เล่มที่ ๑๙

ช้า

๏ เมื่อนั้น ปันหยีมีศักดิ์สูงส่ง
สถิตที่แท่นสุวรรณบรรจง คิดคะนึงถึงองค์บุษบา
เจ้าจะอยู่แห่งหนตำบลใด ทั่วทุกกรุงไกรพี่เที่ยวหา
จนสิ้นแผ่นดินแดนชวา ไม่ได้ข่าวดวงยิหวายาใจ
จะข้ามไปเมืองมะละกาเกาะ สืบเสาะให้สิ้นสงสัย
จึงสั่งประสันตาทันใด จงเข้าไปพาราบาหลี
บอกแก่ระตูผู้ผ่านเมือง ให้แจ้งความตามเรื่องถ้วนถี่
เราจะยืมกำปั่นวันพรุ่งนี้ จะข้ามไปธานีมะละกา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๏ บัดนั้น ประสันตารับสั่งใส่เกศา
มาขึ้นมโนมัยไคลคลา บ่าวไพร่พร้อมหน้าตามไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึงลงจากอาชา เข้าไปหาระตูผู้เป็นใหญ่
ทูลว่าปันหยีชาญชัย สั่งใช้ให้ข้าเข้ามา
ยืมเรือใหญ่น้อยสักร้อยลำ ให้นำมาจอดทอดท่า
จะข้ามไปยังเกาะมะละกา เที่ยวเล่นให้ผาสุกใจ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น ระตูฟังแจ้งแถลงไข
จึงสั่งเสนาทันใด จงจัดนาวาให้บัดนี้ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ดะหมังรับสั่งใส่เกศี
มาเร่งรัดจัดแจงทำบาญชี เรือของใครมีก็เก็บมา
ทั้งเชือกเสาเพลาใบรอกกว้าน ต้นหนคนงานให้เร่งหา
บ้างตกแต่งดอกหมันเอาชันยา ทำประทุนหลังคาทาดำ
บ้างบรรทุกอับเฉาข้าวเสบียง ชำรุดรั่วรอยเพรียงเอียงคว่ำ
ให้เร่งรัดผลัดเปลี่ยนได้ครบลำ มาอดอยู่ปากน้ำพร้อมกัน ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น ประสันตาก็รีบผายผัน
มาทูลพระองค์ผู้ทรงธรรม์ เรือนั้นยืมได้ดังบัญชา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ปันหยีมีจิตหรรษา
จึงแต่งองค์ทรงเครื่องรจนา พระหัตถ์ขวากุมกริชฤทธี
แล้วชวนโฉมยงหลงหนึ่งหรัด กับสุรางค์นางกษัตริย์สาวศรี
พร้อมหมู่แสนสุรเสนี จรลีไปลงนาวา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

จำปาทองเทศ

๏ ลมดีพระก็ใช้ใบไป พระอุ้มองค์อรไทขนิษฐา
ขึ้นนั่งยังท้ายเภตรา ชมหมู่มัจฉาในสาชล
พิมทองล่องลอยแลคร่ำ วาฬผุดพ่นน้ำดังฝอยฝน
ฉนากฉลามว่ายตามวน โลมาหน้าคนนนทรี
พระชี้ชมศิลาปะการัง ที่เขียวดังมรกตสดสี
ที่ลายคล้ายราชาวดี แดงเหลืองเลื่อมสีเหมือนโมรา
บ้างปริ่มน้ำรำไรไคลจับ งอกสลับกับกัลปังหา
ชมพลางแล่นเลียบเกาะมา หมายมุ่งมะละกาธานี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ โล้

ร่าย

๏ เมื่อนั้น เกนหลงหนึ่งหรัดมารศรี
ชมหมู่มัจฉาในวารี มากมีหลายอย่างต่างกัน
บรรดานางเชลยไม่เคยเห็น ก็ตื่นเต้นปรีดิ์เปรมเกษมสันต์
ทั้งสี่พี่เลี้ยงแลกำนัล ชวนกันชมไม้ในเกาะเกียน
เขียวขอุ่มพุ่มใบเหลืองสลับ เหมือนฉากพับแต้มลายระบายเขียน
บ้างดูระลอกกลอกกล้ิงวิงเวียน เมาคลื่นอาเจียนไม่สมประดี
บางคนคว้าหาส้มดมพิมเสน บ้างบ่นว่ากรรมเวรอะไรนี่
บ้างบนตัวกลัวตายวายชีวี ที่ใครดียิ้มเยาะเพื่อนกัน ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ปันหยีปรีดิ์เปรมเกษมสันต์
ลมดีแล่นข้ามมาสามวัน กำปั่นถึงเกาะมะละกา
จึงให้ม้วนใบยอดทอดสมอ หยุดรอเรียงลำขนานหน้า
แล้วยกธงสำคัญสัญญา อย่างเรือลูกค้ามาแต่ไกล ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น กรมการด่านคอยน้อยใหญ่
เห็นเภตราดาดาษประหลาดใจ จึงลงเรือแล่นใบออกไปดู ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึงถามไปทันที เรือนี้ไปไหนมาทอดอยู่
สุหรัดหรือชวามลายู จงบอกไปให้รู้เรื่องความ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ประสันตาตอบไปไม่เข็ดขาม
เรานี้ชาวชวาพยายาม อุตส่าห์ข้ามมาชมเวียงชัย
หวังจะกินข้าวเมืองมะละกา ข้าวชวาเบื่อแล้วกินไม่ได้
นายเราชาวดงพงไพร ชื่อปันหยีมีใจภักดี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น ขุนด่านได้ฟังถ้วนถี่
จึงใช้ใบกลับมาธานี แล้วเข้าไปยังที่ศาลา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึงแจ้งคดี แก่ดะหมังเสนียาสา
ตามซึ่งข้อความที่ถามมา ให้ทราบกิจจาทุกสิ่งไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ทั้งสองเสนาผู้ใหญ่
ครั้นแจ้งก็พากันคลาไคล เจ้าไปพระโรงรจนา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ จึงกราบทูลระตูภูมี บัดนี้ปันหยีโจรป่า
ใช้ใบกำปั่นข้ามมา เข้าทอดท่าหน้าด่านปากน้ำ
ประมาณเรือใหญ่น้อยสักร้อยเศษ ถามเหตุก็บอกเป็นความขำ
มีปืนสำหรับรบมาครบลำ ท่วงทีที่ทำเห็นชอบกล
นัยว่าจะมาชมธานี ร้ายดีไม่แจ้งเหตุผล
เขาลือนามขามเดชทุกตำบล เที่ยวประจญปล้นเมืองมามากมาย ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น รายาหวาดหวั่นขวัญหาย
จึงว่าปันหยีนี้หยาบคาย ชิงชัยได้หลายพารา
บัดนี้เที่ยวมาถึงเมืองเรา จำจะเอาใจไว้ดีกว่า
แต่งรับตามอย่างกษัตรา จงไปเชิญขึ้นมาบัดนี้ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เสนารับสั่งใส่เกศี
ก้มเกล้ากราบงามสามที มาสั่งตามมีบัญชาการ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ให้เหล่าชาววังจัดแจง ตกแต่งปราสาทราชฐาน
ทอดราชอาสน์ดาดเพดาน ผูกม่านสุวรรณบรรจง
บ้างทำถนนหนทาง แผ้วถางให้สะอาดกวาดผง
ที่ไหนลุ่มทุ่มถมดินลง บรรจงปรายโปรยโรยทราย
ให้ชาวบ้านร้านริมถนนนั้น จัดสรรสินค้ามาเรียงขาย
สักหลาดตาดโหมดมากมาย อัตลัดผ้าลายมะละกา
บ้างขายเครื่องหีบหมากนากทอง กระจกส่องเครื่องแก้วกะหลาป๋า
เพชรนิลมณีมีราคา แม่ค้านั่งขายเนืองนอง ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ฝ่ายมหาเสนาทั้งสอง
ให้เกณฑ์แห่หน้าหลังตั้งกอง แตรสังข์ฆ้องกลองมลายู
ธงฉานธงชายปลายสะบัด เป็นขนัดรายเรียงเคียงคู่
ครบถ้วนทุกหมวดตรวจดู พร้อมหมู่โยธาแล้วคลาไคล ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึงบอกกะระตาหลา ว่ารายายินดีจะมีไหน
ให้ข้ามาเชิญพระทรงชัย ขึ้นไปประพาสพารา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น จึงพระพี่เลี้ยงกะระตาหลา
มาทูลปันหยีด้วยปรีดา เจ้าเมืองมะละกาให้เชิญไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น มิสาระปันหยีศรีใส
จึงว่าเราจะเข้าไปเวียงชัย จงแต่งให้หลายอย่างต่างกัน
ทั้งสีเสื้อสีผ้าแลธงเทียว แดงเขียวเหลืองลายสลับคั่น
สั่งเสร็จเสด็จจากแท่นสุวรรณ จรจรัลไปสรงวาริน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

โทน

๏ ทรงสุคนธ์ปนปรุงกลิ่นเกลา สนับเพลาเชิงช่อเฉิดฉิน
ทรงภูษายกแย่งนาคิน ฉลององค์ติดอินทรธนูเนา
เจียระบาดตาดปักอย่างนอก มะลิเลื้อยลายดอกฉลุเฉลา
ทับทรวงจำหลักลายพรายเพรา งามเงาเนาวรัตน์จำรัสเรือง
ทองกรเก้าคู่ชมพูนุท ประดับบุษราคัมน้ำเหลือง
ธำมรงค์รจนาค่าเมือง อร่ามเรืองเฟื่องห้อยพลอยเพชร
ตาดสุวรรณพันโพกเกศา แต่งอย่างโจรป่าปันจุเหร็จ
ทรงอุบะเพชรพรายกระจายเม็ด แล้วเสด็จมาทรงอัสดร ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เชิดฉิ่ง

ร่าย

๏ พรั่งพร้อมโยธากิดาหยัน ถวายบังคมคัลอยู่สลอน
เสียงประโคมเซ็งแซ่แตรงอน ให้เคลื่อนพลนิกรเดินทาง ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

โทน

๏ ม้าเอยม้าต้น ผ่านดำขำขนสองอย่าง
อกผายท้ายพีเป็นมะปราง ชันหูชูหางอย่างม้ายนต์
ยกเท้าก้าวสอดขอดข้อ หกมุ่นม้วนคอย่อย่น
ป่วนปั่นหันคว้างมากลางพล เริงรนร่านร้องลำพองมา
อนุชาขี่ม้าที่นั่งรอง ม้าพี่เลี้ยงเคียงสองซ้ายขวา
ม้าระเด่นเต้นตามรัถยา กิดาหยันเสนาก็ตามไป
สนั่นเสียงฆ้องกลองเซ็งแซ่ ทหารแห่ถือทวนธงไสว
สารวัดรัดเร่งพลไกร เข้าในนครมะละกา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

ร่าย

๏ บัดนั้น หญิงชายชาวเมืองมาหนักหนา
นั่งแน่นสองข้างมรคา ตั้งหน้าชะแง้แลดู
บ้างกระซิบถามไถ่กันไปพลาง ชวารูปร่างอย่างไรอยู่
บ้างแย้มบานหน้าต่างเปิดประตู คอยดูตามทางคลาไคล
เห็นพลแห่หน้าในตาริ้ว ทวนทองธงทิวปลิวไสว
สีเสื้อสลับจับกันไป ดังสีรุ้งที่ในนภา
เห็นปันหยีขี่ม้ามากลางพล งามจริงยิ่งคนในใต้หล้า
เหมือนหนึ่งเทวัญในชั้นฟ้า มิใช่โจรป่าพนาลี
ชะรอยกษัตริย์สุริย์วงศ์ หากแกล้งแปลงองค์เป็นปันหยี
บรรดาสาวสาวชาวธานี ยินดีปรีดาด้วยรูปทรง
บ้างชม้อนช้อยชายหางตา เสนหาอาลัยใหลหลง
ทำเอียงอายชายสไบเลื่อนลง ต้องจิตพิศวงวิญญาณ์ ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น มิสาระปันหยีสุกาหรา
ชำเลืองเนตรดูชาวพารา สบตาก็ยิ้มพริ้มพราย
เห็นหน้าไหนดีเป็นทีท่วง ก็หน่วงม้าเต้นเขม้นหมาย
บุ้ยบอกพี่เลี้ยงแล้วภิปราย มลายูแยบคายชอบกล
ตรัสพลางกะระตะอาชา ไว้หน้าเงยงามมาตามถนน
ถึงทวารในไพชยนต์ ก็ลงจากม้าต้นไคลคลา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ

๏ เข้าในพระโรงรูจี เห็นเสนีเฝ้าแหนแน่นหนา
สดองค์ลงพลันไม่วันทา นั่งน้อมกายาพอเป็นที ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ระตูผู้ผ่านกรุงศรี
ครั้นเห็นปันหยีก็ยินดี จึงมีพจนารถประภาษไป
เชิญขึ้นมานั่งบัลลังก์อาสน์ บิตุราชจัดแจงแต่งให้
มาเถิดเจ้ามาอย่าเกรงใจ พ่อไม่มีจิตคิดฉันทา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ปันหยีกล่าวแกล้งแสร้งว่า
จะร่วมอาสน์กับราชรายา กลัวตุหลาปาปาจะเกิดมี
ข้านี้ชาวดงพงไพร ไม่พอใจที่สูงศักดิ์ศรี
อันรายาโปรดมาทั้งนี้ พระคุณพ้นที่จะพรรณนา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ระตูได้ฟังก็หรรษา
ไพเราะเพราะรสวาจา ยิ่นแสนเสนหาเป็นพ้นคิด
จึงเลื่อนองค์ลงจากราชอาสน์ ตรัสประภาษโดยความสุจริต
เจ้ามาไยมิใช่พาณิช มีกิจสิ่งใดจึงไคลคลา
จะมาเมืองนี้หรือจะไปไหน พอใกล้จึงแวะขึ้นมาหา
อนึ่งทางกลางทะเลแล่นมา กันดารโดยมรคาสาชล
พวกพลมนตรียังพร้อมเพรียง หรือเสบียงอาหารขัดสน
หรือขอบเขตพระนครร้อนรน จลาจลบ้านเมืองเคืองใจ ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ปันหยียิ้มพลางแถลงไข
เมื่อมาท่าทางชลาลัย ใช้ใบได้ลมตลอดมา
ด้วยมีใจจงรักภักดี ทั้งไพร่พลมนตรีก็ชื่นหน้า
ข้าอยู่ไพรไม่มีพารา จึงเที่ยวทางนาวาให้สบาย
จะใคร่เห็นยศอย่างต่างประเทศ ชมนิเวศน์เวียงวังทั้งหลาย
ไม่มีธุระเรื่องเคืองระคาย ชมแล้วจะผันผายคืนไป ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น รายาได้ฟังก็สงสัย
วาจาจริตผิดชาวไพร จะเป็นในสุริย์วงศ์กษัตรา
ชะรอยเที่ยวมาหาอิสตรี คิดว่าลูกเรามีกระมังหนา
แล้วจึงกล่าวรสพจนา ดูราปันหยีมียศ
ตัวพ่อนับวันจะอันตราย วางวายชีวิตปลิดปลด
ไร้ราชบุตรีโอรส จะสืบสายสูญหมดไม่มีใคร
เชิญเจ้าครองครองพารา ไอศูรย์สวรรยาจะยกให้
เป็นเอกในเศวตฉัตรชัย ให้เย็นใจไพร่พลโยธา
จะได้พึ่งเดชาอานุภาพ ปราบปรามปัจจามิตรทุกทิศา
เรานี้จะไปปะตาปา ทรงพรตอยู่ป่าพนาลี ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น โฉมยงองค์มิสาระปันหยี
จึงว่าข้าเคยอยู่แต่พงพี อันธานีไม่คู่ควรครอง
ซึ่งจะให้ว่าการพารา จะเสียใจไพร่ฟ้าหม่นหมอง
โภไคยไอศูรย์ไม่ปูนปอง จะเที่ยวท่องสัญจรดอนดง ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น รายายิ่งคิดพิศวง
จะวอนว่าเท่าไรด้วยใจจง ก็ไม่ปลงลงตามบัญชาการ
พระจึงตรัสสั่งเสนา ให้จัดแจงโอชากระยาหาร
มาเลี้ยงปันหยีแลกุมาร ทั้งโยธาบริวารบัดนี้ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น กรมวังรับสั่งใส่เกศี
มาบอกวิเสทพลันทันที ตามมีพระราชบัญชาการ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พวกวิเสทสับสนอลหม่าน
บ้างจัดแจงเจียนตองรองจาน เทียบของคาวหวานครบครัน
แล้วยกไปเลี้ยงโยธา บ้างเลี้ยงเหล่าเสนากิดาหยัน
บ้างยกเครื่องเสวยปันหยีนั้น มาตั้งในพระโรงคัลทันใด ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น เจ้ากรุงมะละกาเป็นใหญ่
จึงตรัสแก่ปันหยีชาญชัย เชิญให้เสวยโภชนา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น มิสาระปันหยีสุกาหรา
กับระเด่นสังคามาระตา เสร็จเสวยโภชนาสาลี
แล้วลาระตูภูวไนย มิได้ประณตบทศรี
สององค์มาทรงพาชี เสนีแห่แหนแน่นมา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ เดินทางมากลางนคเรศ พระชายเนตรชำเลืองแลหา
พระกรรณตรับฟังข่าวบุษบา จนมาถึงที่ท่าสำเภา
ลงจากอาชาม้าที่นั่ง มายังหลงหนึ่งหรัดโฉมเฉลา
อุ้มนางขึ้นวางบนเพลา ชมพลางสร้อยเศร้าวิญญาณ์
ยิ่งคะนึงถึงองค์อัคเรศ อาดูรพูนเทวษถวิลหา
ทอดถอนฤทัยไปมา จนจวนเวลาราตรี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

๏ มาจะกล่าวบทไป ถึงนางหวันยิหวาสาวศรี
เป็นบุตรตำมะหงงเสนี เคหาอยู่ที่ทางไป
ได้เห็นปันหยีทั้งไปมา กัลยาประดิพัทธ์พิสมัย
ให้แสนเสนหาอาลัย รัญจวนครวญใคร่เป็นไมตรี
นอนนั่งตั้งแต่ตะลึงหลง ในรูปทรงมิสาระปันหยี
ครั้นค่ำย่ำฆ้องก็จรลี มาอาบน้ำขัดสีกายา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

ชมตลาด

๏ ทาแป้งแต่งกายอายอบ จันทน์ปรุงฟุ้งตลบกลิ่นบุหงา
ลูบไล้น้ำดอกไม้เทศทา ส่องกระจกผัดหน้านวลผจง
กันกวดกระหมวดมวยรวยรับ สีขี้ผึ้งเสร็จสรรพกันขนง
สะอิ้งเอวพรรณรายสายสอดวง ห้อยอุบะตันหยงพู่พวง
นุ่งตานีอย่างนอกดอกไหม ห่มริ้วทองช่องไผ่พื้นม่วง
สอดสีซับในหงอนไก่ดวง ทีท่วงไว้วางเหมือนนางใน
ใส่แหวนรังแตนเพชรเม็ดแตง แวววับจับแสงแขไข
ต่างหูห้อยพลอยเพชรอำไพ งามวิไลพิศเพียงขวัญตา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๏ ครั้นเสร็จพอเวลาบิดาหลับ ซุบซิบกันกับทาสา
ลอบลงจากเรือนแล้วไคลคลา บ่าวถือของสลาไปตามนาย ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เพลง

๏ มายังตีนท่าหน้าบ้าน เดินตามสะพานผันผาย
ลงเรือน้อยค่อยเลื่อนเคลื่อนคลาย ทาสีถือท้ายพายไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ โล้

๏ ครั้นถึงนาวาปันหยี จึงประทับเข้าที่กำปั่นใหญ่
แล้วคิดขวยเขินสะเทินใจ เอาสไบบังแสงอัคคี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ประสันตาแลเห็นนางสาวศรี
ก็รู้แจ้งใจที่ในที จึงมาทูลปันหยีด้วยพลัน
ข้าเห็นสตรีขี่เรือน้อย มาจอดลอยคอยอยู่ข้างกำปั่น
ใครกระไรไว้บ้างเมื่อกลางวัน จึงรักใคร่ผูกพันตามมา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ปันหยียิ้มพลางทางว่า
รำคาญวานไปบอกอนุชา จงรับมาอย่าให้เปล่าไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ประสันตารีบมาหาช้าไม่
ทูลองค์อนุชาชาญชัย ลาภใหญ่มาถึงพระภูมี
พระเชษฐาโปรดปรานประทานนาง รูปร่างอย่างไรไม่รู้ที่
มาจอดคอยลอยเรืออยู่ตรงนี้ จงจรลีไปรับนงเยาว์ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สังคามาระตาโฉมเฉลา
จึงว่าภาษาไม่เหมือนเรา ข้างเขาเจรจามลายู
จะพาทีด้วยนางอย่างไร พรั่นใจให้คิดอดสู
จะพูดมาอย่างไรก็ไม่รู้ เอ็นดูจงขับให้กลับใจ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ประสันตาตอบตามอัชฌาสัย
ถึงว่าภาษามิเข้าใจ พูดมิได้ก็อย่าเจรจา
อาหารประทานมาถึงปาก ทำลำบากคนใช้ไยหนักหนา
ซื้อยังขอแถมเหน็บแนมมา ได้เปล่ายังว่ามิรับไว้
แต่ให้รบเร้าเฝ้าเตือน ทำบิดเบือนเหมือนเข้าหอใหม่
วิบากกรรมแล้วจำแข็งใจ ได้เช่นก็จะย่ามตามรอย ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สังคามาระตาตอบถ้อย
จะอุตส่าห์แข็งใจไปสักน้อย ยิ้มพลางคลาดคล้อยดำเนินไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

ชาตรี

๏ ถึงนาวาน้อยก็ค่อยย่าง นั่งลงใกล้นางแล้วปราศรัย
สาวน้อยถอยหนีพี่ไย จะเล่าให้เจ้าฟังแต่หลังมา
พี่สู้ข้ามคงคามหารณพ หวังจะพบนวลนางต่างภาษา
โฉมงามทรามสวาทเพียงบาดตา นางในเมืองชวาไม่เหมือนน้อง
พี่จะขอฝากฝังไมตรีจิต อย่าคิดเคืองระคางหมางหมอง
จะอยู่ไยที่ในสัดจอง ขอเชิญดำเนินน้องไปห้องใน ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย

๏ เมื่อนั้น หวันยิหวานารีศรีใส
ฟังพูดภาษาชวาไป ไม่เข้าใจในรสวาจา
นางสะทกสะเทินเมินเมียง อายเอียงก้มพักตร์กินสลา
ชายชำเลืองเนตรรับจับตา เยื้อนยิ้มในหน้าไม่พาที ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

โลม

๏ ดวงเอยดวงสมร งามงอนจริตติดใจพี่
สาวสวรรค์ขวัญตาจงปรานี อย่าให้เสียทีพี่ลงมา
ว่าไรก็ไม่ตอบถ้อย ทำแต่ชม้อยเมียงหน้า
พระฉวยฉุดยุดนางกัลยา ขึ้นมายังที่ห้องใน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ นั่งแอบแนบชิดชมนาง พระพลางกล่าวแกล้งแถลงไข
วันนี้เห็นน้องต้องฤทัย นึกอยู่ว่าจะใคร่เป็นไมตรี
พี่ผูกใจจึงไปดลจิตเจ้า เผอิญให้ขวัญข้าวมาถึงนี่
จะขืนขัดตัดใจไปไยมี สนทนาพาทีด้วยพี่ชาย
อันชวากับนางมลายู พอจะรู้ภาษากันง่ายง่าย
อย่าทำขวยเขินสะเทินอาย เจ้าสายสุดที่รักจงเมตตา
ว่าพลางตระโบมโลมเล้า สัพยอกหยอกเย้าหรรษา
เชยคางชมปรางปรีดา กลิ่นมาลาฟุ้งจรุงใจ ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๏ น่าเอยน่าสรวล มาทำลามลวนด่วนได้
วางข้าอย่ายุดมือไว้ ว่าไรไม่รู้ภาษากัน
นางสะบิ้งสะบัดปัดกร งามงอนจริตบิดผัน
ทำชม้อยชายตาเมียงมัน เกียดกันด้วยกลมารยา
อย่ามายั่วเย้าเซ้าซี้ เป็นน่าบัดสีหนักหนา
พลั้งจิตผิดไปได้ลงมา เห็นนาวาแล้วจะลาไป ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

โลม

๏ น้องเอยน้องน่ารัก ทำเหมือนไม่สมัครพิสมัย
หรือผิดภาษาน้องมิต้องใจ เสนหาอาลัยเหมือนกัน
พี่จะสอนภาษาชวาให้ แจ้งใจเจ้าแล้วจึงผายผัน
จะทำให้เขินค้างอยู่กลางคัน ยังมิทันที่จะได้เป็นไมตรี
ว่าพลางจุมพิตชิดชวน อย่าหยิกข่วนหนักนักผลักมือพี่
พระสัมผัสพุ่มพวงดวงมาลี หยอกเย้าเซ้าซี้ด้วยปรีดา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย

๏ น้อยเอยน้อยใจ ทำเล่นเห็นไม่รู้ภาษา
ก่นแต่เลียมลอดสอดคว้า อนิจจาไม่คิดเกรงใจ
น้องรักน้องอุตส่าห์มาถึงนี่ จะเมตตาปรานีก็หาไม่
อัปยศอดสูเป็นพ้นไป นางค้อนควักผลักไสไปมา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

โลม

๏ ทรามเอยทรามสงวน งามกระบวนยวนยั่วเสนหา
พี่รักเจ้าเท่าเทียมชีวา ไม่ประจักษ์วาจาก็จำจน
อันท่วงทีกิริยามลายู พึ่งจะรู้แยบคายสายสน
ว่าพลางเหน็บแนมแกมกล คลึงเคล้าเสาวคนธ์มณฑาทอง
พระอิงแอบแนบเนื้อนวลนาง เชยปรางปรีดิ์เปรมเกษมสอง
รสรักประจักษ์ใจในทำนอง ค่อยประคองเคียงชมภิรมย์ใจ
อัศจรรย์บันดาลพายุพัด คลื่นซัดสาครกระฉ่อนไหว
กำปั่นจอดทอดท่าชลาลัย ระลอกใหญ่ฟัดฝืนคลื่นแคลง
มัจฉาชมชลวนว่าย โบกบ่ายเข้าบังฝั่งแฝง
นาคราชผาดผุดพลิกแพลง สำแดงเดชาวราฤทธิ์
ทั้งสองเกษมสันต์หรรษา ดังอำมฤตฟ้ายาจิต
คลึงเคล้าเฝ้าแอบแนบชิด แสนสนิทชิดชมภิรมย์ใจ ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ โลม

๏ เมื่อนั้น หวันยิหวานารีศรีใส
วันทาแล้วลาคลาไคล กลับไปยังบ้านบิดา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เพลง

๏ เมื่อนั้น มิสาระปันหยีสุกาหรา
ครั้นอรุณรุ่งแสงสุริยา ก็ใช้ใบเภตรากลับไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ โล้

๏ ครั้นมาถึงท่าบาลี พรั่งพร้อมโยธีทัพใหญ่
จึงขึ้นบกยกพลคลาไคล เข้าในป่าระหงดงดอน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

ชมดง

๏ เดินเอยเดินทาง ตามหว่างแนวเนินสิงขร
พฤกษาสองข้างที่ทางจร บ้างระบัดใบอ่อนออกผกา
ปริงปรางลางต้นผลดก คณานกจับจิกเป็นภักษา
ลดาวัลย์พันพุ่มอัมพา สาวหยุดย้อยระย้ายมโดย
มะสังรังเรียงเคียงขานาง ยูงยางพะยอมหอมโหย
วายุพัดสะบัดโบกโบย เกสรร่วงโรยโปรยปราย
หอมกลิ่นถวิลถึงบุษบา อนิจจาจำร้างเพราะนางหาย
สร้อยเศร้าเปล่าเปลี่ยวอยู่เดียวดาย พลางเร่งพลนิกายจรจรัล ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

ร่าย

๏ ร้อนแรมมาในอรัญวา ก็ถึงภูผาปัจจาหงัน
แลเห็นอาศรมพระนักธรรม์ ให้หยุดพลขันธ์อยู่ชายไพร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ พระจึ่งสั่งพี่เลี้ยงประสันตา ให้เร่งรัดเสนาน้อยใหญ่
ตั้งที่ประทับพลับพลาชัย แทบใกล้แนวเนินคิรี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ประสันตารับสั่งใส่เกศี
ออกมาเกณฑ์กันทันที ตามมีพระราชบัญชา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เสนานายไพร่พร้อมหน้า
บ้างถางที่ทุบปราบไปมา ตัดไม้เกี่ยวคาวุ่นไป
ปลูกสุวรรณพลับพลาสิบห้าห้อง ทำท้องพระโรงขวางกว้างใหญ่
มุขลดหลังคาพาไล ที่ข้างหน้าข้างในครบครัน
แล้วเกณฑ์กองร้อยคอยเหตุการณ์ ทุกด้านเดินตรวจกวดขัน
นั่งยามตามเพลิงผลัดกัน รายรอบสุวรรณพลับพลา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น มิสาระปันหยีสุกาหรา
จึงเสด็จยุรยาตรคลาดคลา ขึ้นยังพลับพลาทันใด ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

ช้า

๏ ทอดองค์ลงกับที่บรรจถรณ์ เร่าร้อนรัญจวนหวนไห้
คิดถึงบุษบายิ่งอาลัย เที่ยวหาแห่งใดไม่พานพบ
พระแน่นอนถอนจิตเจ็บใจ ทั้งบกเรือเหนือใต้ก็ไปจบ
จนสิ้นแดนมะละกามหารณพ ไม่พานพบพนิดาดวงจันทร์
หรือชะรอยเทวาพาน้อง ไปสู่ห้องวิมานเมืองสวรรค์
หรือสิงสัตว์พยัคฆาในอารัญ พาไปขบคั้นให้บรรลัย
จึงสูญสิ้นชื่อระบือนาม จะมีใครบอกความก็หาไม่
แม้นตายก็จะตายตามไป ไม่อยู่ให้หนักพื้นพสุธา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๏ ครวญพลางพระทางคะนึงใน ทำไฉนจะพบดวงยิหวา
อย่าเลยจะไปปะตาปา สำรวมจิตรักษาอารมณ์
เดชะบุญบวชเคร่งบำเพ็ญฌาน จะบันดาลให้พบประสบสม
พระอาวรณ์ร้อนใจเกรียมตรม จนบรรทมหลับไปกับไสยา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ ตระ

๏ ครั้นรุ่งรางสร่างแสงอโณทัย ภูวไนยแต่งองค์ทรงภูษา
พร้อมหมู่กิดาหยันเสนา เสด็จมาอาศรมพระมุนี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เพลง

๏ ครั้นถึงจึงเข้าวันทา พระมหาดาบสฤาษี
แล้วถวายธูปเทียนมาลี ด้วยใจยินดีปรีดา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อายันผู้ทรงสิกขา
แจ้งการด้วยญาณปรีชา จึงมีวาจาถามไป
ซึ่งเจ้าจากสถานบ้านเมือง ระคายเคืองข้องเข็ญเป็นไฉน
หรือวิบัติพลัดพรากสิ่งใด จึงเที่ยวมาในพนาลี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น โฉมยงองค์มิสาระปันหยี
จึงสนองวาจาพระมุนี ข้านี้ไม่สบายวิญญาณ์
จะใคร่ปะตาปาเป็นดาบส สร้างพรตพรหมจรรย์ให้หรรษา
พระนักสิทธ์จงคิดเมตตา อย่าให้สูญศรัทธาที่จงใจ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อายันยิ้มพลางแถลงไข
แรกรุ่นรูปร่างอย่างนี้ไซร้ จะปะตาปาได้สักกี่วัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น ปันหยีเพราเพริศเฉิดฉัน
ยิ้มพลางทางดูตากัน ต่างถวายอภิวันท์แล้วออกมา
จึงนุ่งคากรองครองเปลือกไม้ ตามวิสัยฤาษีชีป่า
พระอาจารย์ให้นามสมญา ชื่อกัศมาหราอายัน
สังคามาระตานั้นก็ทรงพรต ชื่อดาบสยาหยังรังสรรค์
นุ่งหนังเสือลายพรายพรรณ จุณจันทน์เจิมพักตร์เพียงโยคี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น บรรดาระเด่นทุกกรุงศรี
ทั้งพระพี่เลี้ยงผู้ภักดี ก็บวชตามภูมีด้วยปรีดา
แต่ประสันตาคนคะนอง ว่าจะลองบวชตามวาสนา
จะแข็งใจสำรวมวาจา ไปกว่าจะสิ้นเคราะห์ร้าย
อันพวกเสนากิดาหยัน ต่างบวชด้วยกันมากหลาย
เอาผ้าเปลือกไม้เข้าพันกาย แล้วถวายวันทาพระอาจารย์ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น พระมุนีมีพรตห้าวหาญ
จึงสอนสั่งให้นั่งจำเริญฌาน จงอุตส่าห์ทรมานระงับใจ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น บรรดาอายันบวชใหม่
รับคำอำลาแล้วคลาไคล ต่างไปกุฎีที่สำราญ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

ช้า

๏ อายันปันหยีสำรวมจิต พยายามตามกิจอธิษฐาน
ข้าได้ปะตาปาสมาทาน เดชะฌานแผ่ผลภาวนา
ขอให้ได้ดังจิตพิศวาส ร้อนอาสน์องค์ปะตาระกาหลา
ไปดลใจนงนุชบุษบา ให้มาประสบพบพาน
สถิตแห่งหนตำบลใด ทุกนิเวศน์เวียงชัยราชฐาน
ถึงจะอยู่กระยาหงันชั้นวิมาน จงบันดาลให้ได้คืนมา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย

๏ ครั้นเสร็จตั้งจิตพิษฐาน มัสการกราบงามสามท่า
เข้านั่งบำเพ็ญภาวนา ด้วยใจศรัทธายินดี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ ตระ

ช้าปี่

๏ มาจะกล่าวบทไป ถึงองค์อุณากรรณเรืองศรี
แต่พลัดพรากจากระเด่นมนตรี มาอยู่บุรีประมอตัน
เมื่อวันปันหยีปะตาปา ให้เร่าร้อนอุราโศกศัลย์
แสนคะนึงถึงองค์พระทรงธรรม์ ครวญคร่ำรำพันโศกา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

โอ้

๏ โอว่าปานนี้พระพี่เจ้า จะโศกเศร้ารัญจวนหวนหา
ตั้งแต่ไปแก้สงสัยมา ไม่เห็นขนิษฐาในถ้ำทอง
พระจะแสนโศกสร้อยละห้อยไห้ ร้อนราชหฤทัยหม่นหมอง
จะดั้นด้นค้นคว้าเที่ยวหาน้อง ทุกประเทศเถื่อนท้องพนาลี
อกเอ๋ยทำไฉนจะได้รู้ ว่าน้องอยู่ประมอตันกรุงศรี
แม้นใครทูลแถลงแจ้งคดี เห็นทีจะรีบมาด้วยอาลัย
หรือสุดคิดที่จะติดตามหา จะคืนสมจินตะหราหรือไฉน
ทิ้งน้องไว้เดียวเปลี่ยวใจ ว่าพลางร่ำไห้ไปมา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ​ โอด

ยานี

๏ มาจะกล่าวบทไป ถึงองค์ปะตาระกาหลา
สถิตยังกระยาหงันชั้นฟ้า คะนึงถึงนัดดาดวงใจ
กูแกล้งพรากจากกันก็ช้านาน ต่างทุกข์ทรมานหม่นไหม้
อุณากรรณโศกาอาลัย อยู่ในประมอตันพารา
อย่าเลยจะให้พานพบ ประสบกับอิเหนาเชษฐา
คิดแล้วสำแดงแผลงฤทธา เหาะมาประมอตันทันที ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ กลม

ร่าย

๏ ครั้นถึงจึงเข้าในไพชยนต์ บอกยุบลอุณากรรณเรืองศรี
แถลงเล่ากิจจาด้วยปรานี บัดนี้อิเหนากุเรปัน
ตั้งแต่มะงุมมะงาหรา โศกาวิโยคโศกศัลย์
คิดถึงคะนึงนางไม่ว่างวัน เที่ยวทุกขอบขัณฑเสมา
เมื่อเจ้ามานิ่งนอนใจ ทำไฉนจะพบพระเชษฐา
แม้นยกออกเดินอรัญวา ไปทิศบูรพาจะพบพาน
ว่าแล้วองค์ท้าวเทเวศร์ สำแดงเดชเดชาศักดาหาญ
คลับคล้ายหายไปมิทันนาน กลับคืนสถานพิมานบน ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น อุณากรรณครั้นแจ้งเหตุผล
จึงเรียกสองพี่เลี้ยงนฤมล มาบอกยุบลด้วยใจภักดิ์
บัดนี้องค์ปะตาระกาหลา ลงมาเล่าแถลงแจ้งประจักษ์
บอกว่าพระโฉมยงทรงลักษณ์ เที่ยวตามน้องรักทุกพารา
ให้เรานี้กรีพลออกเดินไพร จึ่งจะได้พบองค์พระเชษฐา
เล่าพลางทางทรงโศกา กัลยาไม่เป็นสมประดี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ โอด

๏ บัดนั้น พี่เลี้ยงเล้าโลมนางโฉมศรี
องค์พระอัยกาปรานี มาช่วยชี้บอกเหตุให้เรา
ที่นี้จะได้พบพระเชษฐา แม่อย่าวิโยคโศกเศร้า
ขอเชิญโฉมยงนงเยาว์ เสด็จขึ้นไปเฝ้าแล้วทูลลา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อุณากรรรณกระหมันวิยาหยา
ฟังสนองต้องตามวิญญาณ์ ยินดีปรีดาเป็นพ้นไป
ครั้นรุ่งรางสร่างแสงสุริยง ก็แต่งองค์ทรงเครื่องแจ่มใส
ชวนสองพี่เลี้ยงคลาไคล ขึ้นไปเฝ้าองค์พระทรงธรรม์ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เพลงช้า

ช้า

๏ เมื่อนั้น เจ้ากรุงประมอตันเขตขัณฑ์
สถิตเหนือแท่นแก้วแพรวพรรณ ครั้นเห็นอุณากรรณขึ้นมา
จงมีมธุรสพจนารถ ตรัสประภาษชมโฉมโอรสา
งามทรงวงพักตร์ลักขณา โสภาผิวเนื้อนวลละออง
อันบุรุษสุดสิ้นในดินแดน จะหาไหนไม่แม้นเสมอสอง
พ่อจะมอบไอศูรย์ปูนปอง ให้ครอบครองสวรรยาราชัย ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย

๏ เมื่อนั้น อุณากรรณกราบก้มบังคมไหว้
ยิ้มพลางทางทูลสนองไป ซึ่งภูวไนยโปรดปรานี
จะให้ครองนคเรศเขตขัณฑ์ พระคุณนั้นจะรับใส่เกศี
แต่จะขอกราบลาฝ่าธุลี ไปเที่ยวหาอิสตรีที่พึงใจ
ได้แล้วจึงจะกลับคืนมา อยู่รองบาทาคุ้มตักษัย
พระจงเมตตาให้คลาไคล ลูกไปไม่ช้าจะมาพลัน ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระผู้ผ่านโภไคยไอศวรรย์
ได้ฟังมิสาอุณากรรณ ทรงธรรม์จึงมีบัญชาการ
ลูกรักของพ่อผู้ร่วมใจ จะไปไยให้ยากจากสถาน
มรคาท่าทางก็กันดาร จงอยู่ครองศฤงคารสำราญใจ
พ่อจะให้ไปขอธิดา กรุงกษัตริย์นานาน้อยใหญ่
ให้แต่งมาส่งถึงกรุงไกร ก็จะได้ดังจิตที่คิดปอง ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อุณากรรมก้มเกล้าทูลสนอง
ซึ่งทรงพระดำริตริตรอง จะขอสู่คู่ครองให้ลูกยา
เกลือกจะมิชอบจิตที่คิดไว้ ถึงกันดารเดินไพรก็ไม่ว่า
ขอกราบบาทบิตุราชบังคมลา ไปเที่ยวหาแต่ตามอำเภอใจ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ระตูประมอตันเป็นใหญ่
ทั้งประไหมสุหรีมีอาลัย จะทัดทานเท่าไรก็ไม่ฟัง
จนจิตจึงกล่าวพจนารถ อนุญาตให้ไปดังใจหวัง
แสนสวาทราชบุตรสุดกำลัง ลูบหลังลูบหน้าด้วยอาวรณ์
สองกษัตริย์อำนวยอวยชัย จงไปเป็นสุขสโมสร
แม้นได้คู่สู่สมสยมพร จงกลับคืนพระนครอย่าอยู่ช้า
ว่าพลางทางสั่งตำมะหงง ให้ไปด้วยองค์โอรสา
เป็นผู้ใหญ่ต่างใจต่างตา อย่าให้พระลูกยามีเหตุการณ์
อันโยธีที่จะไปในกระบวน เลือกล้วนเข้มแข็งกำแหงหาญ
ทั้งม้ารถคชไกรชัยชาญ เร่งรัดจัดการให้พร้อมไว้ ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ตำมะหงงเสนาผู้ใหญ่
รับสั่งบังคมแล้วคลาไคล ออกไปจากท้องพระโรงคัล ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

ยานี

๏ เร่งรัดจัดพลทวยหาญ ล้วนชำนาญการณรงค์แข็งขัน
ขุนช้างผูกช้างยืนยัน พลายพังดั้งกันล้วนตัวดี
ขุนม้าผูกม้าอาชาไนย ทหารใส่เสื้อดำประจำขี่
ขุนรถเร่งเทียมพาชี สารถีถือเขนเขียนทอง
ขุนพลเร่งรัดจัดพล เคยผจญข้าศึกสยบสยอง
ทัพหน้าทัพหลังให้ตั้งกอง คับคั่งทั้งท้องสนามใน
บ้างถืออาวุธหอกดาบ กำซาบทวนธนูหางไก่
เตรียมทั้งรถแก้วแววไว มาประทับเทียบไว้กับเกยลา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา

ร่าย

๏ เมื่อนั้น อุณากรรณกระหมันวิยาหยา
อภิวาทสองราชกษัตรา แล้วลามายังปราสาทชัย ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เพลง

๏ ครั้นถึงจึงเข้าในห้อง บรรทมเหนือแท่นทองผ่องใส
ตรึกตราอยู่ที่จะคลาไคล จนหลับไปในราษราตรี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ ตระ

๏ ครั้นบรรทมตื่นฟื้นองค์ พระสุริยงเรืองรองผ่องศรี
เสด็จจากแท่นทองจรลี มาเข้าที่สระสรงสาคร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

โทน

๏ ทรงสุคนธ์ปนทองศรีประเทือง ให้หนุนเนื้อเรื่อเรืองเหลืองอ่อน
ผัดพักตร์ผิวพรรณดังจันทร เสยเส้นผมงอนงามปลาย
ทรงภูษาไว้วางหางหงส์ พี่เลี้ยงช่วยบรรจงโจงถวาย
ฉลององค์โหมดตองทองพราย ห้อยหน้าริ้วรายดอกดวง
เจียระบาดตาดติดครุยทอง ซ่าโบะกรองช่องไผ่พื้นม่วง
สังวาลแววแก้วประดับทับทรวง ทองกรกุดั่นดวงจินดา
ทับทิมธำมรงค์ทรงเบื้องซ้าย แพรวพรายเพชรรัตน์พระหัตถ์ขวา
ทรงห้อยสร้อยสนจำปา เหน็บกริชเทวาแล้วคลาไคล ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ

ร่าย

๏ มายังเกยรัตน์รูจี เสนีกราบก้มบังคมไหว้
เสด็จทรงรถแก้วแววไว ให้เคลื่อนพลไกรจรจรัล ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

โทน

๏ รถเอยรถทรง ดุมวงเวียนเฉวียนฉวัดผัดผัน
กระหนกกระหนาบกาบแก้วแพรวพรรณ ธงสุวรรณปักลายงอนงาม
เทียมด้วยอาชาพลาหก ผาดผกว่องไวในสนาม
ทหารแห่ซ้ายขวาอาสาจาม เครื่องสูงแทรกตามตาริ้วเรียง
ธงชายปลายปลิวเป็นทิวถ้อง ฆ้องกลองแตรสังข์ประดังเสียง
ช้างดั้งช้างกันน้ำมันเมียง ม้าแซงแข่งเคียงเป็นคู่ไป
ตำมะหงงเสนีขี่อาชา คุมกองทัพหน้าเป็นนายใหญ่
เร่งรีบพหลพลไกร เข้าในพนมพนาวา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

ชมดง

๏ เดินทางพลางคิดพิศวง ให้คะนึงถึงองค์พระเชษฐา
แกล้งฝืนสมประดีทำปรีดา ชมพรรณพฤกษาในอารัญ
บุหรงร้องก้องดงส่งเสียง บ้างจับไม้ม่ายเมียงผินผัน
จากพรากจับเจ่าเหงางัน ถวิลวันพระพรากจากไป
แอ่นเคล้าเคล้าเคียงเรียงคู่ ร่วมภิรมย์สมสู่ตามวิสัย
ให้ขวยเขินเมินพักตร์ละอายใจ เชือนชมมิ่งไม้นานา
สาวหยุดยมโดยลำดวนดง ลมส่งหอมซาบนาสา
เหมือนกลิ่นซ่าโบะพระพี่ยา ซึ่งเปลี่ยนไว้เมื่อลาไปธานี
ยิ่งสะท้องถอนใจอาลัยหลง กันแสงทรงโศกเศร้าหมองศรี
ให้รีบรถคชพลพาชี จรลีไปตามมรคา ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ เชิด

ร่าย

๏ ครั้นถึงแดนพาราปะตาหรำ มีละหานธารน้ำที่เชิงผา
จึงสั่งตำมะหงงเสนา ให้ตั้งพลับพลาทันใด ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ตำมะหงงรับสั่งบังคมไหว้
มาเร่งพหลพลไกร ให้ปลูกพลับพลาชัยที่ใกล้ธาร
ตั้งค่ายรายป้อมล้อมวง แล้วปลงม้ารถคชสาร
เกณฑ์กองป้องกันภัยพาล นายทหารสี่หมวดให้ตรวจตรา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อุณากรรณกระหมันวิยาหยา
เสด็จจากรถทรงอลงการ์ ขึ้นสู่พลับพลาพนาลี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ บัดนั้น ขุนด่านปะตาหรำกรุงศรี
ตั้งกองป้องกันไพรี อยู่ที่ทางร่วมมรคา
ได้ยินเสียงม้ารถคชไกร ก็สำคัญมั่นใจว่าโจรป่า
ร้องเรียกพวกพลกล่นเกลื่อนมา แต่ล้วนแกล้วกล้าในการยุทธ์
นายไพร่พร้อมจิตไม่คิดกลัว จัดแจงแต่งตัวอุตลุด
จับปืนกำซาบคาบชุด ถืออาวุธถ้วนหน้าแล้วคลาไคล ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ กราวเขน

๏ ครั้นถึงกองทัพชัยที่ใกล้ธาร ชาวด่านโห่สนั่นหวั่นไหว
พร้อมหน้าประดากันเข้าไป ระดมยิงปืนไฟเป็นโกลา
บ้างหน่วงน้าวเกาทัณฑ์ลั่นธนู บ้างร่ายรำหอกคู่เข้าหน้า
หมายมุ่งพุ่งตรงตรวยมา จะเข่นฆ่ากองทัพให้ยับลง ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น ฝ่ายมหาเสนาตำมะหงง
ได้ยินเสียงปืนลั่นสนั่นดง ก็ขับพลรณรงค์กลางแปลง
ทหารเข้าตีประดาราวี ทะลวงไล่ไพรีด้วยเข้มแข็ง
พลกริชต่อกริชประชิดแทง ปืนต่อปืนแย้งยิงกัน
บ้างล้มบ้างตายก่ายกอง เลือดนองท้องป่าพนาสัณฑ์
กองทัพได้ทีตีประจัญ บุกบั่นลุยไล่มิได้ยั้ง
ชาวด่านแตกยับสับสน กองหน้ามาปนกองหลัง
เสียกระบวนรวนเรพ่ายพัง ก็วิ่งหนีเข้ายังพนาลี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

๏ มาจะกล่าวบทไป ถึงท้าวปะตาหรำเรืองศรี
กับทั้งระตูทุกบุรี บรรดาที่อยู่ใกล้หนทางไป
แจ้งว่ามิสาอุณากรรณ ยกพวกพลขันธ์ทัพใหญ่
มาหักหาญรานรุกชิงชัย ต่างตระหนกตกใจเป็นพ้นคิด
ด้วยเดชปะตาระกาหลา ลงมาบันดาลดลจิต
ทุกระตูย่อท้อไม่ต่อฤทธิ์ นึกจะใคร่เป็นมิตรไมตรี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ จึงจัดแจงแต่งเครื่องบรรณาการ ทั้งธิดากุมารมีศรี
ต่างองค์ทรงสั่งเสนี ให้คุมของทั้งนี้ไคลคลา
ไปขอออกแก่องค์อุณากรรณ ผูกพันไมตรีเสียดีกว่า
อย่าให้ปัจจามิตรติดพารา ไพร่ฟ้าประชากรจะร้อนรน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เสนีกราบงามสามหน
รับสั่งบังคมแล้วจรดล ออกไปจัดเครื่องต้นบรรณาการ
ให้เชิญราชธิดาโฉมยง ขึ้นทรงรถสุวรรณกั้นม่าน
อันโอรสราชกุมาร ขี่ม้าเบาะอานพรายพรรณ
เกณฑ์แห่แตรสังข์ฆ้องกลอง ประโคมครึกกึกก้องไหวหวั่น
ยกพลนิกรจรจรัล พร้อมกันทั้งหกเวียงชัย ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ กลองโยน เชิด

๏ มาถึงที่ประทับพลับพลา จึงไปหาตำมะหงงผู้ใหญ่
เล่าแถลงแจ้งความทั้งปวงไป ตามในคดีซึ่งมีมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ตำมะหงงได้ฟังก็หรรษา
จึงนำทั้งหกเสนา เข้ามายังที่พลับพลาชัย​ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ ครั้นถึงจึงประณตบทบงสุ์ ตำมะหงงทูลแจ้งแถลงไข
บัดนี้ระตูทุกกรุงไกร มีใจจำนงจงรัก
แต่งราชโอรสหญิงชาย มาถวายพระโฉมยงทรงศักดิ์
ระตูวะละหงิดสามิภักดิ์ ถวายสองเยาวลักษณ์บุตรี
ชื่อระเด่นจินดาอรสา พักตราแช่มช้อยเจริญศรี
อันองค์ขนิษฐานารี ชื่อจินดารัศมีโสภา
บุตรท้าวสัจหนูภูธร นามกรกะระตาวิยาหยา
องค์หนึ่งชื่อยาหยาสัตรา วงพักตร์ลักขณาละกลกัน
บุตรระตูบุหราตันหยง ชื่อระเด่นนาหงสุหวัน
อันองค์อนุชาน้อยนั้น ชื่อสุหงันอระสายาใจ
ระตูบุตรสัดดะกันภูมี ถวายราชบุตรีศรีใส
ชื่อรัตนาวาตีทรามวัย ทรงลักษณ์วิไลลาวัณย์
ท้าวล่าสำถวายธิดา ชื่อระเด่นกุสุมาเฉิดฉัน
ระตูปะตาหรำทรงธรรม์ ถวายเครื่องสุวรรณบรรณาการ
ทั้งสาตราอาวุธนานา รี้พลโยธาทวยหาญ
ขอเป็นข้าไปกว่าจะวายปราณ จงทราบบทมาลย์พระภูมี ฯ

ฯ ๑๖ คำ ฯ

ช้า

๏ เมื่อนั้น อุณากรรณผู้รุ่งรัศมี
จึงกล่าวพจนาวาที ปราศรัยเสนีทั้งปวงไป
ซึ่งกรุงกษัตริย์ทรงยศ เอาโอรสธิดามาให้
เป็นทางราชไมตรีนี้ไซร้ เราขอบใจระตูทุกพารา
ตรัสพลางทางสั่งให้รางวัล เงินทองแพรพรรณเสื้อผ้า
แต่ล้วนอย่างดีมีราคา ประทานให้เสนาทุกธานี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย

๏ บัดนั้น เสนาทั้งหกกรุงศรี
รับของประทานด้วยยินดี แล้วถวายอัญชลีลาไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น อุณากรรณรัศมีศรีใส
ครั้นเสนีทูลลาคลาไคล ทรามวัยพลางทอดทัศนา
เห็นสุหรันอระสาโฉมเฉลา ยังเยาว์ได้ห้าชันษา
ให้คิดถึงยาหยีสียะตรา เสนหาก็เอาเป็นโอรส
ยิ่งอาดูรพูนเทวษถึงเชษฐา แต่มิให้กิจจานั้นปรากฏ
กลั้นความโศกศัลย์รันทด เสด็จไปทรงรถรัตนา
ให้เคลื่อนจัตุรงคโยธี แสนสุรเสนีซ้ายขวา
รถประเทียบเรียบกันเป็นหลั่นมา เดินตามมรคาพนาลัย ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

๏ เที่ยวเตร่เร่ตามพระเชษฐา ไม่รู้ว่าจะไปหนไหน
แรมร้อนนอนทางมากลางไพร ก็ได้หลายทิวาราตรี
ครั้นเย็นก็หยุดโยธา อยู่ยังชายป่าพนาศรี
จึงชวนสองพี่เลี้ยงนารี จรลีขึ้นสู่พลับพลาทอง ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๏ เสด็จนั่งเหนืออาสน์อำไพ เปลี่ยวเปล่าเศร้าใจหม่นหมอง
จนเวลาพลบค่ำย่ำฆ้อง ไม่วายนึกตรึกตรองถึงพี่ยา
จึงว่าแก่พี่เลี้ยงทั้งสองศรี แต่เรายกโยธีออกเที่ยวหา
หลายวันแต่สัญจรมา ไม่พบพระเชษฐายาใจ
ฟังข่าวเหล่าเชลยมาทุกเมือง จะรู้เรื่องกิจจาก็หาไม่
จะเสาะหาแห่งหนตำบลใด จึงจะได้พบองค์พระภูมี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สองนางประณตบทศรี
ทูลว่าพระเชษฐาธิบดี เห็นทีจะเที่ยวอยู่ไพรวัน
เทเวศร์บอกเหตุให้ตามหา ข้างทิศบูรพาพนาสัณฑ์
นัยจะได้ประสบพบกัน จงกลั้นโศกาอาวรณ์
เร่งทรงคิดปิดป้องความใน ให้เขาสิ้นสงสัยเสียก่อน
เชิญระเด่นกุสุมาบังอร มาแนบนอนพูดเล่นเจรจา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อุณากรรณตอบคำพี่เลี้ยงว่า
อดสูจิตคิดอายกัลยา จะนิทราด้วยนางอย่างไร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สองพี่เลี้ยงทูลแถลงไข
เมื่อแปลงองค์เป็นชายจะอายไย จะเป็นที่สงสัยแก่เสนา
เขาจะว่าทรามวัยมิใช่ชาย จึงเฉยเชือนเอื้อนอายเสนหา
ธรรมเนียมบุรุษในโลกา ย่อมปองปรารถนานารี
แต่นางมาอยู่ก็หลายวัน ไม่คิดกันควันความก็ใช่ที่
ธรรมดาฝอยไว้ใกล้อัคคี อันจะมิติดเชื้ออย่าสงกา
แม้นใครรู้แจ้งว่าแปลงองค์ เห็นโฉมยงจะไม่พบพระเชษฐา
จะระคนปนศักดิ์ด้วยชายช้า จำเป็นอุตส่าห์แข็งใจ
เชิญเสด็จไปหานางเทวี แล้วชวนมาพาทีตามได้
แต่สองต่อสองที่ห้องใน ข้างนอกนั้นใครจะรู้กล ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อุณากรรณจึงตอบอนุสนธิ์
จะปลอบนางอย่างไรในแยบยล ให้อายจิตคิดจนใจน้อง ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พี่เลี้ยงก้มเกล้าทูลสนอง
พระพี่ปลอบอย่างไรในถ้ำทอง จงกล่าวคำทำนองให้เหมือนกัน
แล้วว่าบนตัวไว้สามปี ไม่ร่วมรสฤดีด้วยสาวสรรค์
ทำเชิงชายเล่นแต่เช่นนั้น อย่าให้ใครทันสงกา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อุณากรรณกระหมันวิยาหยา
ฟังพี่เลี้ยงกล่าววาจา แย้มยิ้มไปมาไม่พาที
สองนางรบเร้าเฝ้าว่าวอน จึงจำจรจากอาสน์เรืองศรี
ปะจินดาพาเสด็จจรลี ไปเข้าที่สระสรงคงคา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

ชมตลาด

๏ สำอางองค์ทรงเครื่องสุคนธาร น้ำกุหลาบซาบซ่านมังสา
ทรงปรัดผัดผิวพักตรา ดังจันทราทรงกลดหมดราคี
ทรงภูษาลายทองท้องม่วง ดอกดวงโกสุมส่าหรี
ฉลององค์อินทรธนูรูจี ซ่าโบะสีทับทิมริมขลิบทอง
ทองกรกาบเก็จเพชรรัตน์ ธำมรงค์ทรงพระหัตถ์ทั้งสอง
อุบะบุหงาห้อยร้อยกรอง สอดฉลองพระบาทยาตรา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เพลงฝรั่ง

ร่าย

๏ ครั้นถึงจึงเผยม่านทอง ค่อยย่องเข้าไปในรถา
นั่งชิดพิศดูนางไสยา สไบปิดพักตราจาบัลย์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

ชาตรี

๏ กรประคองต้ององค์นงลักษณ์ เลิกสไบจากพักตร์แล้วรับขวัญ
พลางปลอบวนิดาลาวัณย์ อย่าทรงกันแสงเลยนะทรามวัย
จงหักห้ามความโศกเสียบ้าง คิดคะนึงถึงทางพิสมัย
บิตุรงค์ขององค์อรไท ท่านไม่มีจิตคิดเมตตา
จึงให้เจ้ามาเป็นเชลยพี่ เมื่อกระนี้ยังแค่นกันแสงหา
รักจริงหรือจะให้เจ้าไกลมา จะต่อฤทธิ์พี่กว่าจะสุดรู้
มาตรแม้นพ่ายแพ้ก็จำเป็น จึงจะเห็นประจักษ์ว่ารักอยู่
ส่วนท่านทำได้ไม่เอ็นดู โฉมตรูจะร่ำรักไย
มาร่วมรักกับพี่ดีกว่า จะทำเช่นบิดาเจ้าหาไม่
จะพันตูสู้ตายมิให้ใคร อย่าร้องไห้ไปเลยนะเทวี ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

ร่าย

๏ เมื่อนั้น ระเด่นกุสุมาโฉมศรี
จับใจในรสวาที ค่อยคลายโศกีที่อาวรณ์
สุรเสียงเพียงอำมฤตรส มาดับความกำสรดสายสมร
จะใคร่ตอบบัญชาอันสุนทร บังอรขวยเขินสะเทินใจ
ถอยองค์ออกไปให้ห่าง แล้วนางบังคมประนมไหว้
กราบกัมพักตร์อยู่ไม่ดูไป มิได้ตอบรสพจมาน ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

โลม

๏ เมื่อนั้น อุณากรรณกล่าวคำอ่อนหวาน
โฉมเฉลาเยาวยอดยุพาพาล พี่แสนรักหักหาญมาหาน้อง
ควรหรือสาวน้อยถอยหนี ทำทีระคางหมางหมอง
โลมลูบปฤษฎางค์พลางประคอง นวลละอองจงฟังวาจา
พี่ก็ยังไม่เคยมีคู่ ให้อดสูแก่ใจหนักหนา
รักเจ้าเท่าเทียมชีวา อนิจจาไม่คิดปรานี
แต่พักตราแก้วตาก็ไม่ดู โฉมตรูขัดแค้นสิ่งไรพี่
เชิญชม้ายชายเนตรมาข้างนี้ จะเล่าคดีให้น้องฟัง
พี่นี้มีทุกข์กังวล ได้ออกปากบนแต่หนหลัง
แม้นมิเสร็จสิ้นทุกข์ที่รึงรัง ก็ยังไม่ร่วมรักด้วยนางใด
แม้นพ้นกำหนดสามปี จึงร่วมรสฤดีสตรีได้
อย่าทำห่างเหินสะเทินไป พี่ตั้งใจจะฝากชีวัน ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

ร่าย

๏ เมื่อนั้น ระเด่นกุสุมาสาวสวรรค์
ได้ฟังวาจาอุณากรรณ เห็นความรักผูกพันมั่นคง
จึงเหลือบแลแปรพักตร์ผันหา ชายตาพินิจพิศวง
กราบก้มบังคมทูลบาทบงสุ์ พระโฉมยงจงโปรดปรานี
น้องไกลบิดามาตุราช มาสนองรองบาทบทศรี
แม้นเหมือนพระวาจาพาที ก็จะมีความสุขสืบไป ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

โลม

๏ นงเอยนงลักษณ์ พี่รักเจ้าจริงอย่าสงสัย
ไม่คิดแต้มแต่งแกล้งใส่ไคล้ สิ่งใดมิจริงไม่เจรจา
แต่วันเห็นโฉมเจ้าเยาวลักษณ์ ให้มีจิตคิดรักเป็นหนักหนา
จะใคร่พบประสบสนทนา แต่ว่าพี่ยังอดสูใจ
คิดคิดอยู่เป็นนิจนิรันดร์ หลายวันแล้วพี่พึ่งมาได้
ว่าพลางชวนนางอรไท บรรทมในแท่นที่ไสยา
สององค์ทรงเยาวแน่งน้อย ก็ค่อยสนิทเสนหา
สำรวลสรวลเล่นเจรจา จนนิทราหลับไปในราตรี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ ตระ

ร่าย

๏ ครั้นจวนจะใกล้รุ่งราง แสงทองส่องสว่างพนาศรี
โลมนางพลางลาจรลี กลับมายังที่พลับพลาพลัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ จึงชำระสระสรงทรงเครื่อง แล้วเสด็จย่างเยื้องผายผัน
ขึ้นทรงรถแก้วแพรวพรรณ ให้ยกพลดัดดั้นเข้าดงดอน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ กลองโยน

๏ แรมร้อนผ่อนพักมากลางไพร จนใกล้ปัจจาหงันสิงขร
เห็นเขาใหญ่เยี่ยมเทียมอัมพร ให้เร่งจรจัตุรงค์ตรงมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

https://vajirayana.org/system/files/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B2_264950.pdf

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ