- คำอธิบาย ว่าด้วยบทละคร อิเหนาฉบับหอพระสมุดวชิรญาณ
- เล่มที่ ๑
- เล่มที่ ๒
- เล่มที่ ๓
- เล่มที่ ๔
- เล่มที่ ๕
- เล่มที่ ๖
- เล่มที่ ๗
- เล่มที่ ๘
- เล่มที่ ๙
- เล่มที่ ๑๐
- เล่มที่ ๑๑
- เล่มที่ ๑๒
- เล่มที่ ๑๓
- เล่มที่ ๑๔
- เล่มที่ ๑๕
- เล่มที่ ๑๖
- เล่มที่ ๑๗
- เล่มที่ ๑๘
- เล่มที่ ๑๙
- เล่มที่ ๒๐
- เล่มที่ ๒๑
- เล่มที่ ๒๒
- เล่มที่ ๒๓
- เล่มที่ ๒๔
- เล่มที่ ๒๕
- เล่มที่ ๒๖
- เล่มที่ ๒๗
- เล่มที่ ๒๘
- เล่มที่ ๒๙
- เล่มที่ ๓๐
- เล่มที่ ๓๑
- เล่มที่ ๓๒
- เล่มที่ ๓๓
- เล่มที่ ๓๔
- เล่มที่ ๓๕
- เล่มที่ ๓๖
- เล่มที่ ๓๗
- เล่มที่ ๓๘
เล่มที่ ๓๓
๏ เมื่อนั้น | ท้าวกาหลังบังคมประนมไหว้ |
ทูลองค์พระเชษฐาเรืองชัย | ภูวไนยจงได้โปรดปราน |
ขอเชิญสองพระองค์ทรงเดช | เสด็จเข้านิเวศน์วังสถาน |
ให้ไพร่ฟ้าประชากรเบิกบาน | จะได้ดำริการสืบไป ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สองศรีปัตหราเป็นใหญ่ |
ได้ฟังอนุชายาใจ | ตริไตรเห็นชอบท่วงที |
ต่างตรัสชวนองค์อนุชา | กับห้าอัคเรศมเหสี |
ทั้งราชโอรสแลบุตรี | เข้าที่สระสรงคงคา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
โทน
๏ ต่างองค์ชำระสระสนาน | สุคนธารรื่นรวยด้วยบุหงา |
ต่างทรงภูษิตรจนา | สะอิ้งแก้วแววฟ้าอร่ามเรือง |
ต่างทรงฉลององค์แลสไบ | สังวาลตาบวิไลเลื่อมเหลือง |
ต่างสอดพาหุรัดแสงประเทือง | ทองกรกาบเฟื่องพรายพรรณ |
ต่างทรงธำมรงค์มีค่า | ทรงมงกุฎชฎาเฉิดฉัน |
มเหสีกับพระบุตรีนั้น | ทรงศิโรเพฐน์อันรูจี |
อิเหนากุเรปันโอรสา | กับระเด่นสียะตราเรืองศรี |
ทรงเครื่องอย่างกษัตริย์ธิบดี | ห้อยอุบะมณีพรรณราย |
หกองค์ทรงกริชฤทธี | ถือเช็ดหน้าต่างสีเฉิดฉาย |
แล้วเสด็จยุรยาตรนาดกราย | มาขึ้นรถแพรวพรายทันใด ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ เสมอ
โทน
๏ รถเอยราชรถแก้ว | แวววับจับแสงสุริย์ใส |
สารถีขับม้าว่องไว | ดังจะเลื่อนลอยไปในเมฆา |
อันท้าวกาหลังฤทธิรณ | ทรงช้างนำพลยกไปหน้า |
ทั้งสามกระบวนยาตรา | แต่ละกองโยธาแน่นนันต์ |
เครื่องสูงไสวทั้งสามกอง | เสียงประโคมฆ้องกลองไหวหวั่น |
ซ้ายขวาเสนาเรียงรัน | หน้าหลังเป็นหลั่นกันไป |
อิเหนานั้นทรงสินธพชาติ | ตามเสด็จบิตุราชเป็นใหญ่ |
สียะตราก็ทรงอาชาไนย | ตามพิชัยราชรถบิตุรงค์ |
อันองค์ระเด่นบุษบา | กับระเด่นวิยะดานวลหง |
ต่างทรงรถสุวรรณบรรจง | ด้วยองค์พระราชชนนี |
ฝ่ายรถสาวสรรค์นั้นมาท้าย | เรียงรายโดยกระบวนถ้วนถี่ |
ให้รีบหมู่พหลมนตรี | เข้าบุรีกาหลังทันใด ฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | ท้าวกาหลังมีจิตผ่องใส |
ครั้นเสด็จถึงเกยอำไพ | ก็ลงจากคชไกรทันที |
จึงบังคมทูลแทบบาท | พระเชษฐาธิราชเรืองศรี |
ขอเชิญเสด็จจรลี | ขึ้นปราสาทมณีรจนา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สองพระองค์ทรงเดชเชษฐา |
จึงชวนมเหสีธิดา | ขึ้นมหาพิมานพรายพรรณ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ ครั้นสิ้นแสงสีรวีวร | อัมพรแจ่มแจ้งแสงบุหลัน |
สามกษัตริย์สุริย์วงศ์ทรงธรรม์ | บรรทมแท่นเดียวกันสำราญใจ |
อันสามประไหมสุหรี | ร่วมที่นิทราผ่องใส |
มะเดหวีทั้งสามทรามวัย | ไสยาสน์ร่วมอาสน์สถาวร |
มะโตทั้งสามองค์นั้น | บรรทมแท่นเดียวกันสโมสร |
ลิกูทั้งสามพระนคร | ร่วมที่บรรจถรณ์ถัดมา |
เหมาหลาหงีทั้งสามทรามสวาท | ไสยาสน์ด้วยกันหรรษา |
ทั้งสี่พระราชธิดา | ก็นิทราด้วยกันเปรมปรีดิ์ |
อันอิเหนากับองค์สียะตรา | บรรทมข้างหน้าทั้งสองศรี |
ถัดนั้นกะหรัดตะปาตี | เข้าที่ข้างนอกออกไป |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวกาหลังทรงสวัสดิ์อัชฌาสัย |
ดำริตริตรองในพระทัย | แล้วทูลสองภูวไนยพระพี่ยา |
ซึ่งเกิดเหตุวิบัติให้พลัดกัน | แสนทุกข์โศกศัลย์ถ้วนหน้า |
ก็เพราะอานุภาพพระอัยกา | จะให้เดชนัดดาขจรไป |
บรรดาแดนชวาทั้งหลาย | จึงแพ้พ่ายย่อท้อไม่ต่อได้ |
เกริกเกียรติวงศาสุราลัย | ทั้งในไตรภพโลกา |
บัดนี้โอรสแลหลานขวัญ | ก็พร้อมกันเป็นบรมสุขา |
สองพระองค์ก็เสด็จยกมา | อยู่ยังพารากาหลังนี้ |
ควรจะมีสารไปให้หา | พระอนุชาสิงหัดส่าหรี |
ให้ยกพหลมนตรี | มาแต่งการพิธีสยุมพร |
ที่ในกาหลังให้พร้อมกัน | ตามคู่ตุนาหงันไว้แต่ก่อน |
ให้วงศ์เทวาสถาวร | พระภูธรจงโปรดปรานี ฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระเชษฐาธิราชทั้งสองศรี |
ได้ฟังพระอนุชาพาที | ภูมีเห็นชอบก็ตอบไป |
ตัวเราก็ชรานักหนาแล้ว | ควรอภิเษกลูกแก้วให้เป็นใหญ่ |
เราเป็นศรีปัตตาหวันสืบไป | ให้สิ้นห่วงบ่วงใยเสียทันตา |
ถึงอนุชาสิงหัดส่าหรี | ก็จะยินดีเป็นหนักหนา |
คงมาทำการวิวาห์ | ตรัสแล้วนิทราภิรมย์ใจ ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ฝูงอนงค์นารีศรีใส |
พนักงานการบำเรอท้าวไท | ก็เข้าไปบำเรอด้วยภักดี |
ฯ ๒ คำ ฯ
นางนาค
๏ บ้างตีรำมะนาท้าทับ | ฉิ่งกรับรับซอกระจับปี่ |
รัวสายกรายกรีดดีดตี | ระนาดฆ้องก้องมี่บรรเลงลาน |
ลางนางบ้างร้องขับครวญ | โหยหวนเฉื่อยฉ่ำคำหวาน |
พร้อมเพราะเสนาะฟังกังวาน | เปรียบปานเพลงสวรรค์ชั้นฟ้า |
ฯ ๔ คำ ฯ มโหรี
ร่าย
๏ ครั้นพระสุริยาเรืองรอง | แสงทองส่องสว่างพระเวหา |
สามกษัตริย์สุริย์วงศ์เทวา | ตื่นจากนิทราเปรมปรีดิ์ |
สระสรงทรงเครื่องบรรจง | ชวนองค์อัคเรศมเหสี |
กับราชโอรสบุตรี | เสด็จออกยังที่พระโรงคัล ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ พรั่งพร้อมหมู่มุขมาตยา | หมอบกลาดดาษดาหลายหลั่น |
ทั้งสามกรุงเฝ้าแหนแน่นนันต์ | ดังดาราล้อมจันทร์อันอำไพ |
จึงมีพระราชบัญชา | ตรัสสั่งเสนาผู้ใหญ่ |
จงแต่งสารแจ้งคดีทั้งนี้ไซร้ | ไปสิงหัดส่าหรีอย่าช้า |
ให้พระอนุชาสุริย์วงศ์ | พาสุหรานากงโอรสา |
มายังกาหลังนัครา | จะแต่งการวิวาห์ให้พร้อมกัน |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ยาสาเสนาคนขยัน |
รับสั่งมายังศาลาพลัน | ขึ้นนั่งที่อัฒจันทร์ชั้นลด ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ จึงจัดแจงแต่งพระราชสารา | ใส่แว่นตานั่งมองนายรองจด |
เรียกเอาน้ำชาเข้ามาซด | พอเขียนหมดเข้าผนิดปิดตรา |
เสร็จแล้วส่งให้นายตำรวจ | เคยเร็วรวดชำนาญการป่า |
เชิญราชสารศรีขี่อาชา | ออกจากพาราไปทันที ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ สามทิวามาตามทางลัด | ถึงนครสิงหัดส่าหรี |
จึงแจ้งแก่มหาเสนี | ตามราชสารศรีซึ่งมีมา |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เสนีนายใหญ่ซ้ายขวา |
แจ้งคดีมีพระราชสารา | เวลาเฝ้าก็พากันเข้าไป ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ ครั้นถึงจึงประณตบทบงสุ์ | ทูลองค์ทรงภพเป็นใหญ่ |
ว่าพระเชษฐาภูวไนย | ทั้งสองกรุงไกรเสด็จมา |
อยู่ยังกาหลังพระบุรี | ใช้ให้เสนีตำรวจหน้า |
นำสารมาถวายพระผ่านฟ้า | แล้วอ่านสาราไปทันที ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
ช้า
๏ ราชสารสุนทรบวรสวัสดิ์ | สามกษัตริย์ปรีดิ์เปรมเกษมศรี |
มายังพระอนุชาธิบดี | ด้วยอะหนะทั้งสี่ที่หายไป |
บัดนี้มาอยู่พร้อมกัน | ในเขตขัณฑ์กาหลังกรุงใหญ่ |
จึงยกพหลพลไกร | มาด้วยหฤทัยปรีดา |
หวังจะอภิเษกสยุมพร | ให้ขจรเกียรติยศไปภายหน้า |
จึงให้มาเชิญอนุชา | พาลูกยาไปแต่งให้พร้อมกัน ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | ท้าวสิงหัดส่าหรีรังสรรค์ |
แจ้งความตามราชสารนั้น | พระทรงธรรม์ยินดีเป็นพ้นไป |
จึงดำรัสตรัสประภาษให้หา | นายตำรวจเข้ามาแล้วปราศรัย |
ซักไซ้ไต่ถามความใน | ทำไฉนจึงประสบพบนัดดา |
ครั้นทราบเค้ามูลทูลถ้วนถี่ | ภูมียิ่งทรงหรรษา |
บอกสุหรานากงลูกยา | กับทั้งห้ามเหสีวิไลวรรณ |
จะพร้อมกันไปเมืองกาหลัง | แล้วตรัสสั่งให้เตรียมทัพขันธ์ |
กับเครื่องอภิเษกทั้งปวงนั้น | ก็ให้จัดสรรทุกสิ่งไป |
พอรุ่งรังสีรวีวร | จะยกพลนิกรทัพใหญ่ |
สั่งเสร็จพระเสด็จคลาไคล | เข้าในปราสาทรูจี ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ เสมอ
๏ บัดนั้น | จึงมหาเสนาทั้งสี่ |
มาเกณฑ์หมู่พหลมนตรี | รถรัตน์หัตถีอาชา |
ขุนช้างผูกช้างอลหม่าน | เลือกล้วนคชสารตัวกล้า |
ขุนรถแต่งรถรจนา | ทั้งรถาประเทียบครบครัน |
ขุนม้าผูกม้าพร้อมพรั่ง | ล้วนกำลังเรี่ยวแรงแข็งขัน |
ขุนพลเกณฑ์พลคนฉกรรจ์ | ทุกหมวดตรวจสรรทั้งไพร่นาย |
แต่งตัวโอ่อ่าสามารถ | ท่วงทีองอาจทุกเหล่าหลาย |
ถือสาตราวุธเพริศพราย | ตั้งตาริ้วรายในบุรี |
อันหมู่รี้พลโยธา | ซ้ายขวาหน้าหลังอึงมี่ |
สำเนียงเอิกเกริกทั้งราตรี | คอยเสด็จภูมีจะยาตรา ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวสิงหัดส่าหรีนาถา |
ครั้งรุ่งรางสร่างแสงสุริยา | พระฟื้นตื้นนิทราทันที |
เสด็จจากห้องสุวรรณบรรจง | ชวนสุหรานากงเรืองศรี |
ยุรยาตรนาดกรจรลี | เข้าที่สรงสหัสธารา |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
โทน
๏ ต่างชำระสระสนานวาริน | ทรงสุคนธ์ปนกลิ่นบุปผา |
สอดใส่สนับเพลาเพราตา | ทรงภูษาแย่งครุฑจับภุชงค์ |
เจียระบาดคาดทับระยับแสง | ปั้นเหน่งถมยาแดงงามระหง |
ต่างสวมสอดใส่ฉลององค์ | สังวาลวรรณบรรจงรจนา |
ทองกรบานพับตาบทิศ | ธำมรงค์วิจิตรเลขา |
ต่างองค์ทรงมหาชฎา | กรรเจียกจอนซ้ายขวากุณฑลทอง |
ถือเช็ดหน้าแสดสีโกสัย | เหน็บกริชฤทธิไกรไม่มีสอง |
เสด็จมาขึ้นเกยเรืองรอง | เสียงประโคมฆ้องกลองนี่นัน ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ
ร่าย
๏ พร้อมทั้งมเหสีมีศักดิ์ | ให้ลูกรักนำหน้าพลขันธ์ |
ออกจากนิเวศน์วังจันทน์ | รถประเทียบเป็นหลั่นตามมา |
ฯ ๒ คำ ฯ กลองโยน
โทน
๏ รถเอยรถแก้ว | พรายแพรวจำรัสพระเวหา |
ดุมวงกงแก้วมุกดา | บัลลังก์หลังคาประกอบกาญจน์ |
รูปสัตว์เทพประนมพรหมพักตร์ | งอนงามจำหลักปักธงฉาน |
สารถีขี่ขับอาชาชาญ | กิดาหยันอยู่งานรำเพยลม |
เครื่องสูงรายเรียงเคียงรถ | พนักงานกางพระกลดด้ามถม |
ตำรวจใหญ่ในนอกบอกระดม | มือประนมตะพายดาบกาบทอง |
ช้างเขนเกณฑ์เข้ากระบวนหน้า | ปืนหลักปักจังก้าตัวละสอง |
สังข์แตรแซ่เสียงฆ้องกลอง | ประโคมก้องมาในไพรพนม ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
ชมดง
๏ เดินทางพลางชมพรรณไม้ | พฤกษาใหญ่เรียบเรียงรื่นร่ม |
ที่ริมทางหว่างเขาล้วนลั่นทม | ต้องลมดอกดวงร่วงเรี่ยทาง |
สาวหยุดพุดจีบปีบจำปา | มะลิลาสารภีมีหลายอย่าง |
แก้วเกดกรรณิการ์ขานาง | ดอกสล้างดกระย้าตรงหน้ารถ |
ที่ไม้ผลปนช่ออรชร | บ้างสุกลูกอ่อนนั้นเขียวสด |
ต้นลูกอินลิ้นจี่มีรส | ขึ้นตามเชิงบรรพตคิรี |
เสียงบุหรงร้องก้องพนาดร | พระภูธรทรงฟังดังดีดสี |
ให้เร่งรถเร่งคชพาชี | เสด็จโดยวิถีดำเนินมา ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๏ ครั้นถึงกาหลังนัคเรศ | พระทรงเดชแสนโสมนัสสา |
จึงให้หยุดรี้พลโยธา | อยู่นอกพาราธานี |
เสด็จจากรถทรงอลงการ์ | ชวนห้าอัคเรศมารศรี |
กับสุหรานากงทรงฤทธี | จรลีเข้าพระโรงรจนา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ ครั้งถึงจึงถวายบังคม | ทั้งสามพระบรมเชษฐา |
มเหสีทั้งสี่พารา | ต่างวันทากันเป็นหลั่นไป |
อันโอรสกับราชบุตรี | ชลีกรตามลำดับน้อยใหญ่ |
ต่างองค์สำราญบานใจ | ปราศรัยกันด้วยสวัสดี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวกุเรปันเรืองศรี |
แต่ตรึกตรามาหลายราตรี | เห็นได้ท่วงทีพร้อมกัน |
จึงมีมธุรสพจนา | แก่สามอนุชารังสรรค์ |
อันอะหนะอิเหนากุเรปัน | ผิดนั้นใหญ่พ้นคณนา |
เพราะเหตุใจหนุ่มก็หุนหัน | ไปผูกพันหลงรักจินตะหรา |
แต่ก็เป็นพงศ์พันธุ์กันมา | หากใช่วงศ์เทวาเลิศไกร |
จำจะกันฉันทาราคี | อย่าให้มีผู้ล่วงติได้ |
จะให้เสนานำสารไป | ยังพิชัยหมันหยาธานี |
ให้ระตูนำราชธิดา | มาแต่งการราชาภิเษกศรี |
ทั้งอะหนะบุษบานารี | ให้เป็นที่อรรคราชชายา |
จึงจะควรแก่ขัตติยวงศ์ | อันดำรงพิภพแหล่งหล้า |
อย่าให้เสียธรรมบุราณมา | อนุชาจะเห็นประการใด ฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สามกษัตริย์ผู้มีอัชฌาสัย |
ฟังพระเชษฐาเรืองชัย | จึงบังคมทูลไปมิได้ช้า |
ซึ่งพระองค์ทรงดำริทั้งนี้ | ชอบธรรมประเพณีหนักหนา |
ขอให้มีสารไปหามา | ตามราชบัญชาพระภูมี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระจอมภพกุเรปันเรืองศรี |
ฟังสามอนุชาก็ยินดี | จึงมีสีหนาททันใด |
ดูก่อนตำมะหงงกุเรปัน | เคยไปหมันหยากรุงใหญ่ |
จงเร่งถือราชสารไป | ให้ระตูนั้นนำบุตรีมา |
ทำการมงคลอภิเษก | เป็นเอกโดยซ้ายฝ่ายขวา |
แล้วสั่งดะหมังเสนา | จงถือสาราไปบัดนี้ |
แจ้งแก่ระตูประมอตัน | บรรยายยุบลจงถ้วนถี่ |
ให้มาช่วยวิวาห์พระบุตรี | ที่ในกาหลังเวียงชัย ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ตำมะหงงดะหมังบังคมไหว้ |
รับสั่งแล้วลาคลาไคล | ตรงไปศาลาลูกขุนพลัน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ ต่างแต่งสารตามพระบัญชา | พระผู้วงศ์เทวากระยาหงัน |
ให้จารึกลงในแผ่นสุวรรณ | แล้วจัดพลขันธ์ทันที |
ทั้งสองเสนีขึ้นขี่ม้า | ออกจากกาหลังบุรีศรี |
ดั้นดัดลัดป่าพนาลี | จรลีแยกมรคาไป ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ ฝ่ายว่าตำมะหงงเสนา | ครั้นถึงหมันหยากรุงใหญ่ |
จึงแจ้งแก่เสนีทันใด | ตามในสาราพระภูมี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | จึงมหาเสนาทั้งสี่ |
ก็พาตำมะหงงจรลี | เข้าสู่ที่พระโรงรจนา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ ครั้นถึงจึงกราบบาทบงสุ์ | ทูลระตูผู้ดำรงหมันหยา |
บัดนี้พระผู้วงศ์เทวา | ทั้งสี่นัคราเรืองชัย |
ใช้ให้ตำมะหงงกุเรปัน | ซึ่งทรงธรรม์เคยทราบอัชฌาสัย |
เชิญสารมาทูลภูวไนย | แถลงไขข้อราชกิจจา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระตูผู้ผ่านหมันหยา |
ได้ฟังว่ามีสารมา | ให้หวาดหวั่นวิญญาณ์พันทวี |
แต่นั่งนิ่งขึงตะลึงไป | เร่าร้อนหฤทัยหมองศรี |
จึงมีพจนาวาที | แก่ตำมะหงงเสนีทันใด |
เมื่ออิเหนามาร่วมภิรมยา | ด้วยอะหนะจินตะหราศรีใส |
พอเราตระหนักประจักษ์ใจ | ก็เห็นไม่พ้นคำนินทา |
ได้บอกท่านไว้เป็นพยาน | ด้วยกลัวความอัประมาณหนักหนา |
ทั้งทุกข์ด้วยเกรงสองกษัตรา | ตั้งแต่วันนั้นมาคุ้งวันนี้ |
อนิจจาพลอยผิดด้วยลูกตน | ต้องมาทนอัปยศไม่พอที่ |
ราชสารบรรยายร้ายหรือดี | เสนีจงแถลงให้แจ้งใจ ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ตำมะหงงผู้มีอัชฌาสัย |
ได้ฟังบัญชาภูวไนย | จึงทูลสนองไปมิได้ช้า |
อันสี่พระองค์ทรงฤทธิ์ | ดำรงธรรม์สุจริตเป็นหนักหนา |
ปรานีมีพระคุณไม่ฉันทา | ปรึกษากันโดยคลองประเพณี |
แล้วให้ข้ามาทูลบทมาลย์ | เชิญพระผู้ผ่านกรุงศรี |
ทั้งองค์อรรคราชเทวี | พาระเด่นบุตรีเสด็จไป |
จะแต่งการวิวาห์สยุมพร | ในนครกาหลังกรุงใหญ่ |
ทูลแล้วส่งราชสารไป | ให้แก่ดะหมังเสนา ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ดะหมังฝ่ายกรุงหมันหยา |
ก้มเกล้ารับราชสารา | มาอ่านถวายพระภูมี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
ช้า
๏ ราชสารพระผู้พงศ์เทเวศร์ | จอมพิภพนัคเรศทั้งสี่ |
มงกุฎกุเรปันธานี | อีกบุรีดาหาสถาวร |
ทั้งกาหลังแลสิงหัดส่าหรี | มีพระทัยสมัครสโมสร |
อยู่ยังกาหลังพระนคร | จะทำการสยุมพรพระลูกนั้น |
แต่วิตกด้วยนางจินตะหรา | ถึงใช่วงศ์เทวากระยาหงัน |
ก็เป็นประยูรวงศ์พงศ์พันธุ์ | ฝ่ายเขตขัณฑ์หมันหยาธานี |
ควรเป็นปิ่นสนมซ้ายขวา | กับอะหนะบุษบามารศรี |
จึงให้ราชสารสวัสดี | โดยราชไมตรีที่มีมา |
เชิญท้าวหมันหยาภูวนาถ | นำราชบุตรีเสนหา |
มาแต่งการมงคลวิวาห์ | ในพารากาหลังบัดนี้ ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | ท้าวหมันหยาได้ฟังสารศรี |
เห็นยกข้อเปรียบปรายพาที | เอาแต่ดีเคลือบร้ายให้ตายใจ |
จึงมีพระราชบัญชา | แก่ตำมะหงงเสนาผู้ใหญ่ |
เรานี้เจียมตัวกลัวภัย | มาได้อัประมาณเพราะลูกรัก |
อนิจจาเหมือนน้ำท่วมปาก | กรรมวิบากบุญน้อยจึงถอยศักดิ์ |
คิดจะไปก็ให้อดสูนัก | จะเยื้องยักก็เกรงพระทรงธรรม์ |
แม้นพระองค์ทรงเคืองเราอยู่ | จงเอ็นดูช่วยทูลผ่อนผัน |
พออย่าให้มีผิดติดพัน | ไมตรีท่านนั้นจะถึงใจ ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ตำมะหงงผู้มีอัชฌาสัย |
ฟังตรัสจึงทูลสนองไป | จะแคลงพระหฤทัยไปไยมี |
เพราะสิ้นความขุ่นเคืองในเบื้องบาท | จึงให้มีพระราชสารศรี |
มาโดยมิตรภาพสวัสดี | พระภูมีไม่ควรคิดอาวรณ์ |
เชิญเสด็จยกพหลโยธา | พาองค์พระธิดาดวงสมร |
ไปตามราชสารพระภูธร | ก็จะสโมสรสืบไป ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวหมันหยาเป็นใหญ่ |
ฟังคำตำมะหงงเสนาใน | จำใจจึงตอบวาจา |
ครั้นเราจะมิไปบัดนี้ | ก็เกรงสี่บรมนาถา |
จำเป็นจำใจไคลคลา | ก้มหน้าไปรับอัประมาณ |
แล้วสั่งมหาเสนี | ให้เตรียมกรีรี้พลทวยหาญ |
คชาม้ามิ่งชัยชาญ | ทั้งรถแก้วสุรกานต์รูจี |
อีกทั้งรถประเทียบฝ่ายใน | ให้เสร็จครบไว้จงถ้วนถี่ |
จะยกไปแต่รุ่งราตรี | สั่งแล้วจรลีเข้าปรางค์ใน ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ
๏ ลดองค์ลงนั่งเหนืออาสน์ | อันโอภาสพิจิตรแจ่มใส |
แล้วมีบัญชาตรัสไป | แก่ประไหมสุหรีนงคราญ |
ทบทวนแต่ต้นจนปลาย | บรรยายตามในกระแสสาร |
พี่นี้เดือดร้อนรำคาญ | จะคิดอ่านฉันใดก็ใช่ที ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | โฉมยงองค์ประไหมสุหรี |
ได้ฟังบัญชาพระภูมี | เทวีอัดอั้นตันใจ |
น้อยจิตคิดแค้นอิเหนานัก | มาหาญหักเอาแต่โดยได้ |
อนิจจาเวทนาเป็นพ้นไป | เลี้ยงลูกก็ไม่เทียมคน |
รู้ไปถึงไหนก็ไม่ดี | จะมีแต่อัปยศทุกแห่งหน |
สุดที่จะคิดผ่อนปรน | นฤมลก็ร่ำโศกา ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ โอด
โอ้ปี่
๏ โอ้พระทูลกระหม่อมจอมเกล้า | บุญเรานี้น้อยเป็นหนักหนา |
ทั้งต่ำศักดิ์ไม่มีที่พึ่งพา | จะเหลียวซ้ายแลขวาก็เปล่าใจ |
ท่านเป็นผู้ใหญ่ให้มาหา | จะขืนขัดวัจนากระไรได้ |
จำเป็นจำพากันคลาไคล | ว่าพลางร่ำไรโศกี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | ท่านท้าวหมันหยาเรืองศรี |
จึงมีสุนทรวาที | ปลอบประไหมสุหรีไปมา |
อันความทุกขาอาดูร | จงระงับดับสูญเสียดีกว่า |
วิบากกรรมแล้วก็จำเวทนา | ไปตามเวราซึ่งทำไว้ |
แล้วมีมธุรสพจนารถ | เรียกราชธิดาเข้ามาใกล้ |
บอกคดีชี้แจงให้แจ้งใจ | ตามในสาราทุกประการ ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | จินตะหราเยาวยอดสงสาร |
ฟังพระทรงยศพจมาน | ให้เดือดดาลคั่งแค้นแสนทวี |
ยอกรกราบกับบาทา | พระบิตุเรศมารดาทั้งสองศรี |
พิไรทูลรำพันโศกี | ลูกนี้ชั่วช้าสามานย์ |
อันกำเนิดเกิดมาเป็นสตรี | บุรุษหนีหน่ายใจไม่สงสาร |
จะแค่นตามเขาไปไม่ต้องการ | จะได้ความอัประมาณพันทวี |
ทั้งจะอายชาวเมืองดาหา | เขาจะค่อนนินทาว่าเสียดสี |
ขึ้นชื่อเชื้อชายเช่นนี้ | มิขอเห็นหน้าให้เคืองใจ |
ลูกได้ชั่วแล้วก็ได้คิด | จะซ้ำผิดไปอีกหาควรไม่ |
จะซ่อนอายอยู่แต่กับเวียงชัย | อย่าให้ใครแลเห็นพักตรา |
ขอฝากแต่สการะวาตี | กับมาหยารัศมีเสนหา |
ไปให้เขาเจ้าของซึ่งพามา | ทูลพลางกัลยาก็โศกี ฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ โอด
๏ เมื่อนั้น | พระบิตุเรศผู้รุ่งรัศมี |
ทั้งองค์พระราชชนนี | เห็นบุตรีกันแสงร่ำไร |
สองกษัตริย์สงสารลูกรัก | อสุชลนองพักตร์หลั่งไหล |
ต่างลูบปฤษฎางค์พลางตรัสไป | โลมเล้าเอาใจพระธิดา |
เจ้าอย่ากำสรดสลดจิต | สิ่งผิดจะเคืองไปเบื้องหน้า |
ซึ่งเจ้าจะมิไปดังบัญชา | เหมือนแก้วตาแกล้งทำโทษทัณฑ์ |
ให้แก่บิดามารดร | จะเดือดร้อนไปทั่วทั้งเขตขัณฑ์ |
บุญน้อยจำจะคล้อยไปตามกัน | อย่าโศกศัลย์นักเลยนะบังอร ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นจินตะหราดวงสมร |
ได้ฟังบิตุเรศมารดร | ได้คิดยอกรสนองไป |
อันพระคุณการุญเลี้ยงมา | ถึงดินแดนแผ่นฟ้าไม่เปรียบได้ |
ยังมิได้สนองเท่ายองใย | มาซ้ำให้ได้เคืองพระบาทา |
จะก้มหน้าไปรับความอาย | ถึงจะวายชีวังสังขาร์ |
ก็ตามแต่ผลกรรมซึ่งทำมา | ไม่นำพาอาลัยแก่ชีวี |
เหมือนหนึ่งลูกได้สนองคุณ | ซึ่งการุญโปรดเกล้าเกศี |
พระจงเสวยสวัสดี | อย่ามีวิตกหฤทัย |
ทูลแล้วถวายบังคมลา | พระบิตุเรศมารดาเป็นใหญ่ |
ไปยังปราสาทแก้วแววไว | พี่เลี้ยงกำนัลในก็ตามมา ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ ทยอย
๏ ครั้นถึงจึงเข้าในห้อง | ชักปิดม่านทองเลขา |
ตรัสสั่งสาวใช้ให้ไคลคลา | ไปหาสองขนิษฐามาบัดนี้ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | สาวใช้รับสั่งใส่เกศี |
ถวายบังคมคัลอัญชลี | ตรงไปยังที่ตำหนักจันทน์ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ ชุบ
๏ ทูลนางมาหยารัศมี | นางสการะวาตีเฉิดฉัน |
ว่าองค์พระธิดาลาวัณย์ | เชิญเสด็จผายผันบัดนี้ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมาหยารัศมี |
ทั้งนางสการะวาตี | ได้ฟังสาวศรีทูลกิจจา |
ต่างองค์ทรงเครื่องอำไพ | พร้อมฝูงกำนัลในซ้ายขวา |
ทรงพระกลดคันสั้นกั้นมา | เสด็จตามชาลาหน้าคลัง ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เพลง
๏ ค่อยย่างย่องเข้าห้องพระบรรทม | ต่างบังคมคอยสดับรับสั่ง |
พระพี่เลี้ยงเมียงชม้อยคอยระวัง | ยกพานสลามาตั้งเตรียมไว้ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นจินตะหราอัชฌาสัย |
เรียกสองขนิษฐายาใจ | เข้ามาใกล้แล้วแถลงแจ้งคดี |
ตามสารซึ่งจะให้ไปแต่งการ | ยังสถานกาหลังกรุงศรี |
ซึ่งจะแบกหน้าไปครานี้ | อัปยศพ้นที่จะพรรณนา |
จะอดสูใครใครก็ไม่คิด | ไม่เจ็บจิตเหมือนหนึ่งชาวดาหา |
อันความแค้นแสนทุกข์ทรมา | ยิ่งกว่านอนอยู่ในกองไฟ |
เพราะชาติชายเช่นนี้ไม่มีสัตย์ | สารพัดไม่เอาคำได้ |
มิขอพบขอเห็นสืบไป | แต่รอยก็อย่าให้ร่วมกัน |
หากเกรงพระชนกชนนี | หาไม่หรือพี่จะผายผัน |
นี่จำเป็นจำใจจรจรัล | จะต้องกลั้นแค้นไปทุกเวลา |
อันตัวเจ้าทั้งสองกับพี่ | จะมีแต่แสนโทมนัสสา |
ว่าพลางฟูมฟายชลนา | กัลยาสะอื้นโศกี ฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ โอด
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมาหยารัศมี |
ทั้งนางสการะวาตี | ได้ฟังเสาวนีย์ก็อาลัย |
ยิ่งคิดถึงตัวก็ใจหาย | โฉมฉายไม่กลั้นน้ำตาได้ |
กราบพลางทางทูลรำพันไป | โอ้กรรมสิ่งใดได้ทำมา |
จึงจากบิตุเรศมารดร | ตั้งแต่อาวรณ์ถวิลหา |
ได้เห็นแต่หน้าอนุชา | ก็ซ้ำมาพลัดไปเสียหลายปี |
เป็นบุญได้พึ่งพระพี่นาง | ค่อยเสื่อมสร่างขุ่นข้องหมองศรี |
แต่เมื่อมาเป็นเช่นนี้ | มิรู้ที่จะคิดประการใด |
อันที่จะไปเหมือนใจเบา | ครั้นจะนิ่งอยู่เล่าก็ไม่ได้ |
แม้นพี่นางเสด็จคลาไคล | น้องก็จะไปตามเวรา |
ถึงยากง่ายกระไรก็ไม่ทิ้ง | จะพึ่งพิงไปกว่าจะสังขาร์ |
ไม่ขอไกลใต้เบื้องบาทา | ว่าพลางโศกาพันทวี ฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นจินตะหรามารศรี |
ฟังสองนางร่ำโศกี | เทวีสลดระทดใจ |
จึงว่าวิบากกรรมของเราแล้ว | พี่จะทิ้งน้องแก้วอย่าสงสัย |
มาไปเถิดตามกรรมซึ่งทำไว้ | ทุกข์ร้อนจะได้เห็นหน้ากัน |
อันจะไปครั้งนี้เจ้าพี่เอ๋ย | ที่ไหนเลยจะวายโศกศัลย์ |
จะกินแต่น้ำตาไม่ราวัน | ว่าพลางกอดกันเข้าโศกา ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ โอด
๏ เมื่อนั้น | นางมาหยารัศมีเสนหา |
ทั้งสการะวาตีศรีโสภา | กัลยาค่อยคลายโศกี |
จึงบังคมลาพระพี่นาง | ลงจากปรางค์รัตน์เรืองศรี |
ไปยังตำหนักนางเทวี | พี่เลี้ยงสาวศรีก็ตามไป ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เพลง
๏ บัดนั้น | ทั้งสี่เสนาผู้ใหญ่ |
แต่ออกมาจากพระโรงชัย | ก็กะเกณฑ์นายไพร่พลโยธา |
บ้างเทียมรถรัตน์อัสดร | กุญชรนอกในซ้ายขวา |
ประดับเครื่องเรืองระยับรจนา | ล้วนจินดากุดั่นพรรณราย |
อันรถประเทียบก็จัดสรร | รถสนมกำนัลทั้งหลาย |
ทั้งทหารอาสามามากมาย | บ้างแต่งกายโอ่อวดประกวดกัน |
ทั้งเหล่าฝรั่งอังกฤษ | บรเทศมุหงิดมักกะสัน |
จีนจามญี่ปุ่นครบครัน | มลายูวิลันดาตานี |
พรั่งพร้อมทุกหมู่เป็นขนัด | สารวัดตรวจตราอยู่อึงมี่ |
เข้ากระบวนถ้วนครบตามบาญชี | คอยเสด็จภูมีจะคลาไคล ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวหมันหยาเป็นใหญ่ |
ครั้งรุ่งรางสร่างแสงอโณทัย | ภูวไนยตื่นจากไสยา |
จึงชวนองค์ประไหมสุหรี | ทั้งราชบุตรีเสนหา |
กับสองระเด่นดวงสุดา | เสด็จมาสระสรงวารี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
โทน
๏ ต่างชำระสระสนานทั้งห้าองค์ | ทรงสุคนธ์ปนทองผ่องศรี |
พระสอดสนับเพลารูจี | รัดองค์มณีพรรณราย |
นางทรงภูษาอำไพ | ทรงสไบต่างสีเฉิดฉาย |
พระทรงฉลององค์แพรวพราย | ชายไหวไหวปลายทองพรรณ |
นางทรงสร้อยสนตาบประดับ | เพชรระยับจับแสงสุริย์ฉัน |
พระทรงตาบทิศสังวาลวรรณ | กุดั่นดวงเป็นรูปเหรา |
นางทรงทองกรบรรจง | ต่างสอดธำมรงค์มีค่า |
พระทรงมงกุฎแก้วแววฟ้า | กรรเจียกจอนรจนาเรืองอุไร |
นางทรงศิโรเพฐน์ทั้งสี่ | ห้อยอุบะมณีศรีใส |
พระทรงกริชแล้วพากันคลาไคล | ต่างไปขึ้นรถมิทันนาน ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ เสมอ
ร่าย
๏ จึงให้เคลื่อนโยธีรี้พล | รถประเทียบสับสนอลหม่าน |
ตำมะหงงนั้นขี่อาชาชาญ | นำพลทวยหาญจากเวียง ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ กลองโยน
โทน
๏ รถเอยรถทรง | ดุมกงก้องลั่นสนั่นเสียง |
บุษบกบัลลังก์ตั้งเตียง | มีเฉลียงบังสาดดาดเพดาน |
ประดับดวงดาราระย้าย้อย | ซุ้มเสาฝังพลอยฉายฉาน |
เทียมด้วยสินธพอาชาชาญ | สารถีเผ่นทะยานขับรถ |
เครื่องสูงอภิรุมชุมสาย | ธงทิวริ้วรายอลงกต |
สังข์แตรแซ่สนั่นบรรพต | ผงคลีบังบดพระสุริยัน |
ทหารแห่ถือหอกเป็นคู่คู่ | เหล่าพวกมลายูถือปืนสั้น |
เดินเป็นระเบียบเรียบกัน | โห่สนั่นครั่นครื้นปัถพี ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
ชมดง
๏ เดินพลางทางชมคณานก | บ้างโผนผกจับไม้อึงมี่ |
สาลิกาบินจับสารภี | โนรีจับนางนวลนอน |
นกแก้วจับกิ่งกาหลงพลอด | ว่าสาวรักสาวกอดดังคนสอน |
นกไม้มีมากตามทางจร | แรมร้อนมาในพนาลี |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๏ ครั้นถึงกาหลังให้ยั้งหยุด | ผู้คนอุตลุดอึงมี่ |
สารวัดจัดแจงโยธี | ตั้งที่ประทับพลับพลา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | ระตูผู้ครองหมันหยา |
เสด็จลงจากรถรัตนา | ชวนสี่สุดานวลอนงค์ |
ขึ้นสู่สุวรรณพลับพลา | จึงรับสั่งให้หาตำมะหงง |
จงไปแจ้งเค้ามูลทูลพระองค์ | ให้ท้าวทรงทราบคดีที่เรามา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ตำมะหงงกุเรปันหรรษา |
ก้มเกล้ารับราชบัญชา | รีบเข้าพาราทันใด ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึงประณตบทบงสุ์ | ทูลกษัตริย์สี่พระองค์เป็นใหญ่ |
ท้าวหมันหยาพาธิดาดวงใจ | มาอยู่นอกพิชัยธานี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวกุเรปันเรืองศรี |
ได้ฟังตำมะหงงก็ยินดี | ภูมีชำเลืองนัยนา |
ดูสามอนุชารังสรรค์ | ทั้งอิเหนากุเรปันโอรสา |
จะใคร่แจ้งท่วงทีกิริยา | หรือจะว่ากล่าวประการใด ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวดาหาแจ้งโดยอัชฌาสัย |
จึงทูลพระเชษฐาเรืองชัย | ขอให้ไปรับเข้ามา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์ประไหมสุหรีดาหา |
ได้ฟังคิดแค้นแน่นอุรา | จำเป็นจำว่าให้เป็นที |
ดูก่อนอิเหนาช่างนิ่งได้ | เหตุไฉนเมียมาจนถึงนี่ |
จงไปรับเข้ามาแต่โดยดี | อย่าให้มีรังเกียจกันสืบไป ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรีก็หม่นไหม้ |
ชำเลืองดูบุษบายาใจ | แล้วภูวไนยก็ก้มพักตรา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระจอมภพพิชัยดาหา |
จึงตรัสแก่อิเหนานัดดา | ไฉนมานิ่งอยู่ดูเบา |
ระตูได้มาถึงเวียงชัย | เหตุไรไม่ออกไปรับเล่า |
เขาจะพลอยติฉินนินทาเรา | ทั้งจะน้อยใจเจ้าผู้หลานรัก ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรีมีศักดิ์ |
รับสั่งแล้วบ่ายเบือนพักตร์ | ดูองค์นงลักษณ์พอสบตา |
เห็นบุษบาขุ่นเคืองค้อนให้ | ภูวไนยขวยเขินเมินหน้า |
จำเป็นจำใจก็ไคลคลา | ตรงมาติกาหรังวังพลัน ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงมีพระบัญชา | ให้ผูกม้าเตรียมหมู่พลขันธ์ |
สั่งเสร็จเสด็จจรจรัล | เข้าห้องสุวรรณทันใด ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ทั้งสี่พี่เลี้ยงผู้ใหญ่ |
ครั้นเสด็จขึ้นแล้วก็คลาไคล | ออกไปจัดพหลพลยุทธ์ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
ยานี
๏ เกณฑ์ทหารอาสาขี่ม้าแข็ง | กางเกงแดงใส่เสื้อเสนากุฎ |
ถือธนูกำซาบปืนคาบชุด | ธงศรีกระบี่ครุฑด้ามเงิน |
พนักงานม้าต้นขนเครื่อง | ผูกม้าเหลืองฝีเท้าราวเหาะเหิน |
การจะไล่มฤคีไม่มีเกิน | เขาสรรเสริญนักหนาม้าตัวนี้ |
เอาม้าเทียมเตรียมไว้เกยชาลา | โต๊ะทองรองหญ้ามันน่าขี่ |
คนเลี้ยงถือแส้จามรี | ปัดแมงหวี่ยุงริ้นที่บินตอม ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | อิเหนาอ่าองค์ทรงเครื่องหอม |
แล้วเยี่ยมแกลแลดูเห็นพลพร้อม | เสด็จเข้าเหล่าเจ้าจอมอยู่งานพัด ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
โทน
๏ พนักงานเชิญพานภูษาถวาย | สนับเพลาเพราพรายปลายสะบัด |
ไว้หางหงส์ทรงเจียระบาดรัด | คาดเข็มขัดใจเพชรเม็ดไม่น้อย |
ทับทรวงดวงกุดั่นดอกประดับ | ทรงบานพับสลับสีสายสร้อย |
ธำมรงค์เรือนฝรั่งฝังพลอย | ระย้าย้อยใต้มณีมีหีบเพลง |
ครั้งนี้เป็นที่จะออกหน้า | ไปอวดชาวหมันหยาให้เหมาะเหมง |
จะได้ลือชื่อไว้ให้ครื้นเครง | ว่านักเลงของดีมีอัศจรรย์ |
ทรงมงกุฎทำใหม่ใส่กรรเจียก | ถือผ้าเปียกชุบน้ำกุหลาบกลั่น |
เหน็บกริชกรายกรจรจรัล | เสด็จขึ้นเกยสุวรรณทันใด ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ
ร่าย
๏ พร้อมพรั่งคั่งคนพลม้า | ดาษดาธงทิวปลิวไสว |
พระเสด็จเสร็จทรงอาชาไนย | เคลื่อนพหลพลไกรออกจากเมือง ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ กลองโยน
โทน
๏ ม้าเอยม้าคลี | ท่วงทีขี่ขับงามรับเครื่อง |
เต้นน้อยซอยซ้ำย่ำเยื้อง | ตัวเหลืองผมขาวฝีเท้าดำ |
สำหรับองค์ทรงคลีที่สนาม | ไม่เข็ดขามควบขึงตะบึงร่ำ |
ติดคู่ไม่สู้กินมัดจำ | ถึงตัวดำนพรัตน์ที่จัดเจน |
เอาไปเปรียบหลายหนก่นแต่หนี | ด้วยว่าทรงขับขี่เขาเคยเห็น |
ผิดเจ้าของขึ้นตกหกคะเมน | องค์จันทร์เจ้าเขมรถวายมา |
ม้าระเด่นเต้นซอยถูกน้อยหมด | ม้าทหารพานพยศกดสามขา |
เกณฑ์แห่แออัดรัถยา | ต่างขับอาชามาพลัน ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๏ เดินกระบวนทัพม้ามาใกล้ | จึงสั่งให้หยุดพหลพลขันธ์ |
ลงจากอัสดรจรจรัล | เหล่าระเด่นทั้งนั้นก็ตามไป ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ ครั้นถึงจึงประณตบทบงสุ์ | องค์ท้าวหมันหยาเป็นใหญ่ |
ทั้งประไหมสุหรีทรามวัย | แล้วกราบทูลไปดังจินดา |
บัดนี้องค์พระบิตุเรศ | พระชนนีเกิดเกศเกศา |
ตรัสใช้ให้ข้าออกมา | รับเสด็จไคลคลาเข้าธานี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สองกษัตริย์ได้ฟังถ้วนถี่ |
ให้น้อยใจอิเหนาพันทวี | จึงมีวาจาตอบไป |
ซึ่งสองพระองค์โปรดเกล้า | ให้มารับเราเข้ากรุงใหญ่ |
พระคุณล้ำลบภพไตร | ด้วยภูวไนยทรงพระเมตตา |
ทั้งนี้ขอบใจพระหลานรัก | อุตส่าห์เหนื่อยพักตร์เป็นหนักหนา |
มารับถึงนอกพารา | อนิจจาเป็นน่าปรานี ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรีเรืองศรี |
ฟังสองประหมันพาที | ภูมีไม่ตอบประการใด |
จึงกราบถวายบังคมลา | ทั้งสองกษัตราเป็นใหญ่ |
จับชายกรายกรคลาไคล | ไปยังจินตะหรายุพาพาล ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | จินตะหราเยาวยอดสงสาร |
เหลือบไปเห็นองค์พระภูบาล | ให้เดือดดาลร่านร้อนในวิญญาณ์ |
ทั้งโศกทั้งแค้นแสนเทวษ | ชลนัยน์คลอเนตรซ้ายขวา |
ผินพักตร์ไม่ดูพักตรา | สะอื้นร่ำโศกาอาลัย ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
๏ เมื่อนั้น | อิเหนาผู้มีอัชฌาสัย |
เห็นนางครวญคร่ำร่ำไร | จึงโลมเล้าเอาใจไปมา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
ชาตรี
๏ น้องเอยน้องรัก | ผินพักตร์มานี่พี่มาหา |
จะเล่าความให้ฟังแต่หลังมา | เป็นสัจจาจริงจังดังนี้ |
เมื่อเสร็จศึกนึกไว้ว่าจะกลับ | กรรมวิบากยากยับเจียวเจ้าพี่ |
ต้องเดินป่าฝ่าดงพงพี | ถึงเจ็ดปีสี่เดือนพึ่งเคลื่อนคลาย |
พี่คิดถึงจึงทูลพระภูบาล | ให้มีสารไปรับโฉมฉาย |
เฝ้าแต่ค้อนควักไม่ทักทาย | จงภิปรายเปรมปรีดิ์ด้วยพี่ยา ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | โฉมยงองค์ระเด่นจินตะหรา |
ได้ฟังคั่งแค้นแน่นอุรา | มิได้ตอบวาจาประการใด ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
โลม
๏ ดวงเอยดวงสมร | พี่ว่าวอนหนักหนาไม่ปราศรัย |
ซึ่งความผิดนิดนั้นขออภัย | เจ้าดวงใจของพี่ผู้ยอดรัก |
พระขยับเข้าใกล้แล้วไขว่คว้า | อุ้มองค์กัลยาขึ้นบนตัก |
นางสะบัดปัดกรแล้วค้อนควัก | ผูกคิ้วนิ่วพักตร์ไม่พาที |
ฯ ๔ คำ ฯ
ร่าย
๏ แต่เฝ้าเย้ายวนชวนชิด | กอดสะกิดนิ่มน้องอย่าหมองศรี |
ตรัสพลางทางเสด็จจรลี | มาเฝ้าภูมีที่พลับพลา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึงบังคมคัล | ทูลสองประหมันด้วยหรรษา |
เชิญพระองค์จงเสด็จยาตรา | เข้าในมหาธานี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวหมันหยาทรงสวัสดิ์รัศมี |
ได้ฟังระเด่นมนตรี | ชวนประไหมสุหรีทรามวัย |
ทั้งองค์พระราชธิดา | กับสองกัลยาศรีใส |
สระสรงทรงเครื่องอำไพ | เสด็จไปขึ้นรถรัตนา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ ให้เคลื่อนโยธาเสนามาตย์ | โดยกระบวนพยุหบาตรซ้ายขวา |
อันอิเหนานั้นทรงอาชา | นำพลเข้ามายังธานี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรีเรืองศรี |
ครั้นถึงเกยแก้วมณี | ลงจากพาชีแล้วลีลา |
ทำย้อนรอยดูรถพระประเทียบ | เป็นระเบียบถึงรถจินตะหรา |
อ้าหัตถ์จะรับกัลยา | มาถึงนี่พี่จะพาเข้าวังใน ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นางจินตะหราวาตีศรีใส |
แค้นขัดปัดกรภูวไนย | อรไทลงจากรถสุวรรณ |
อิเหนาเข้าประคองนงลักษณ์ | นางพลิกผลักค้อนให้แล้วผินผัน |
จึงพาสองสุดาลาวัณย์ | จรจรัลมายังพระบิดา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระองค์ผู้ดำรงหมันหยา |
ทั้งประไหมสุหรีศรีโสภา | เสด็จจากรถาอันรูจี |
จึงชวนพระราชธิดา | กับสองกัลยามารศรี |
พร้อมด้วยสนมนารี | จรลีเข้ายังพระโรงใน ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ ครั้นถึงจึงประณตบทบงสุ์ | สี่กษัตริย์สุริย์วงศ์เป็นใหญ่ |
ทั้งประไหมสุหรีสี่กรุงไกร | ให้อายใจเป็นพ้นคณนา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์ทาวกุเรปันนาถา |
จึงมีพระราชบัญชา | พจนาปราศรัยไปพลัน |
ดูราระตูผู้ทรงเดช | ท่านดำรงนคเรศเขตขัณฑ์ |
ยังค่อยผาสุกทุกคืนวัน | หรือโรคันอันตรายสิ่งใดมี |
เรามีสารไปแจ้งกิจจา | ให้พาธิดามากรุงศรี |
จะแต่งการวิวาห์สวัสดี | โดยธรรมประเพณีกษัตรา |
ซึ่งท่านจงรักภักดี | มานี้ขอบใจเป็นหนักหนา |
มิให้สูญประยูรวงศ์กันมา | จะปรากฏยศถาสืบไป ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวหมันหยาสะดุ้งจิตคิดหวาดไหว |
ให้อดสูแก่หมู่เสนาใน | จำใจทูลสนองพจมาน |
อันข้ากับไพร่ฟ้าประชากร | เป็นสุขสโมสรเกษมศานต์ |
ด้วยพระเดชานุภาพภูบาล | เป็นประธานโปรดเกศจึงเปรมปรา |
แต่พอทราบสาราพระภูมี | ก็รีบพาบุตรีเสนหา |
มาเฝ้าใต้เบื้องพระบาทา | มิให้ขัดอัธยาภูวไนย |
ซึ่งเกิดเหตุเภทผลแต่ต้นนั้น | ข้าจะเป็นใจกันก็หาไม่ |
ครั้นแจ้งก็เกรงจะมีภัย | ได้บอกให้ตำมะหงงเป็นพยาน |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระจอมภพกุเรปันราชฐาน |
ตรัสตอบไปพลันมิทันนาน | ข้อนั้นป่วยการอย่าเจรจา |
อันอะหนะอิเหนาเป็นใจหนุ่ม | เราไม่เคืองคุมโทษา |
เหมือนท่านช่วยการวิวาห์ | อย่าคิดฉันทาราคี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระตูหมันหยาเรืองศรี |
ได้ฟังบัญชาพระภูมี | ชลีกรแล้วทูลสนองไป |
ซึ่งพระองค์โปรดมาทั้งนี้ | พระคุณนั้นหาที่สุดไม่ |
จะขอเอาพระเดชปกเกศไป | กว่าชีวาลัยจะมรณา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ประไหมสุหรีหมันหยา |
จึงพาบุตรีเข้ามา | วันทาพี่นางทั้งสององค์ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นจินตะหรานวลหง |
จึงกราบประณตบทบงสุ์ | องค์ประไหมสุหรีสี่เวียงชัย |
บังคมทั้งมะเดหวีสี่กษัตริย์ | ด้วยความประดิพัทธ์ผ่องใส |
แล้วชายชำเลืองเนตรไป | จะใคร่ดูองค์ไหนบุษบา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์ประไหมสุหรีดาหา |
แลไปพอสบพักตรา | กัลยาแจ้งใจในที |
เคืองจิตก็พิศดูตา | สบเนตรบุษบามารศรี |
จะให้ไหว้จินตะหราวาตี | แต่มิได้ตรัสประการใด ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นบุษบาศรีใส |
ดูทีชนนีก็แจ้งใจ | ขุ่นเคืองพระทัยไปมา |
จึงหยิบพานสลามาวาง | เชิญเสวยพี่นางจินตะหรา |
มิได้เคียมคัลวันทา | แต่ชำเลืองนัยนาดูที ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นจินตะหรามารศรี |
เห็นนางบุษบานารี | ทำทีกิริยาคมใน |
ยิ่งแค้นเคืองระคายนัยนา | กัลยามิใคร่จะยั้งได้ |
จึงเอาพระหัตถ์ซ้ายทรามวัย | รับพานเสือกไสไว้ตรงพักตร์ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ประไหมสุหรีดาหามีศักดิ์ |
ครั้นเห็นเคืองขัดพระทัยนัก | นงลักษณ์จึงดำรัสตรัสไป |
ดูดู๋อะหนะบุษบา | จะวันทาเจ้าผัวก็หาไม่ |
ไม่รู้จักเมียหลวงหรือว่าไร | ตกจะให้มีความนินทา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | บุษบาแค้นขัดสหัสสา |
ความกลัวพระราชบิดา | จะยกกรวันทาก็อายใจ |
จะผ่อนผันฉันใดก็สุดคิด | จำจิตประสานหัตถ์ไหว้ |
พอนางจินตะหราเมินไป | นางก็มิได้อัญชลี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรีเรืองศรี |
ได้ยินองค์พระชนนี | จะให้ยาหยีนั้นวันทา |
ความรักพระไม่กลั้นโศกได้ | ชลนัยน์คลอเนตรทั้งซ้ายขวา |
ก้มพักตร์กรีดเช็ดชลนา | มิได้ว่าขานประการใด ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นวิยะดาศรีใส |
นางเห็นพี่ยาโศกาลัย | ก็ขัดใจจินตะหราวาตี |
ให้รังเกียจเคียดแค้นในอุรา | จึงว่าอนิจจาไม่พอที่ |
เมื่อครั้งเดินดงพงพี | พระพี่นางนั้นเป็นอุณากรรณ |
ทุกกรุงกษัตราระอาฤทธิ์ | กลัวจะผลาญชีวิตอาสัญ |
ต่างมาประนมบังคมคัล | ถวายบุตรธิดานั้นเป็นข้าใช้ |
ครั้งนี้น่าเวทนานัก | จะไหว้คนต่ำศักดิ์หาควรไม่ |
พี่นางช่างจะไหว้หรือไร | เป็นใจของน้องไม่วันทา |
ถึงศรีปัตหราจะไม่โปรด | ลงโทษก็จะรับใส่เกศา |
สู้ตายไม่เสียดายชีวา | ดีกว่าให้เป็นเช่นนี้ |
จะนั่งอยู่ก็พลอยอัปยศ | จะอดปากอดใจก็ใช่ที่ |
แล้วลุกกระทืบบาทไปทันที | โศกีอยู่ในม่านรจนา ฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ประไหมสุหรีกุเรปันเสนหา |
จึงว่าอะหนะวิยะดา | โมโหโกรธานั้นพ้นใจ |
จะว่าสิ่งใดก็ไม่คิด | จะรู้จักชอบผิดก็หาไม่ |
บัดเดี๋ยวก็กลับดีไป | จินตะหราอย่าได้ถือน้อง ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นจินตะหราหม่นหมอง |
จำเป็นทูลไปดังใจปอง | มิให้เคืองละอองพระบาทา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สี่พระองค์วงศ์อสัญแดหวา |
จึงสั่งมหาเสนา | ให้นำท้าวหมันหยาคลาไคล |
ทั้งองค์ประไหมสุหรี | กับราชบุตรีศรีใส |
อีกสองระเด่นทรามวัย | ให้ไปอยู่ปราสาทรูจี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เสนารับสั่งใส่เกศี |
จึงนำกษัตราจรลี | ไปปราสาทดังมีบัญชาการ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เพลง
https://vajirayana.org/system/files/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B2_264950.pdf