- คำอธิบาย ว่าด้วยบทละคร อิเหนาฉบับหอพระสมุดวชิรญาณ
- เล่มที่ ๑
- เล่มที่ ๒
- เล่มที่ ๓
- เล่มที่ ๔
- เล่มที่ ๕
- เล่มที่ ๖
- เล่มที่ ๗
- เล่มที่ ๘
- เล่มที่ ๙
- เล่มที่ ๑๐
- เล่มที่ ๑๑
- เล่มที่ ๑๒
- เล่มที่ ๑๓
- เล่มที่ ๑๔
- เล่มที่ ๑๕
- เล่มที่ ๑๖
- เล่มที่ ๑๗
- เล่มที่ ๑๘
- เล่มที่ ๑๙
- เล่มที่ ๒๐
- เล่มที่ ๒๑
- เล่มที่ ๒๒
- เล่มที่ ๒๓
- เล่มที่ ๒๔
- เล่มที่ ๒๕
- เล่มที่ ๒๖
- เล่มที่ ๒๗
- เล่มที่ ๒๘
- เล่มที่ ๒๙
- เล่มที่ ๓๐
- เล่มที่ ๓๑
- เล่มที่ ๓๒
- เล่มที่ ๓๓
- เล่มที่ ๓๔
- เล่มที่ ๓๕
- เล่มที่ ๓๖
- เล่มที่ ๓๗
- เล่มที่ ๓๘
เล่มที่ ๓๑
ช้า
๏ มาจะกล่าวบทไป | ถึงท้าวล่าสำแข็งขัน |
กับระตูทั้งห้าบุรีนั้น | ซึ่งขอออกอุณากรรณผู้ศักดา |
ได้ถวายบรรณาการมากมี | ทั้งบุตรีโอรสเสนหา |
ครั้นแจ้งกิตติศัพท์ขจรมา | ว่ามิสาอุณากรรณนั้นหายไป |
แต่เหล่าราชบุตรธิดานั้น | ตกอยู่เมืองประมอตันไม่คืนให้ |
ระตูทั้งปวงก็ขัดใจ | จะยกพลไกรไปว่ากัน ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๏ ต่างเมืองต่างประชุมโยธา | ม้ารถคชาแข็งขัน |
จัตุรงค์มากมายหลายพัน | บรรจบกันแล้วยกยาตรา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ กราวนอก เชิด
๏ ครั้นถึงด่านเมืองประมอตัน | จึงให้ตั้งทัพขันธ์ซ้ายขวา |
แล้วแต่งพระราชสารา | ให้เสนาจำทูลไปกรุงไกร ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ทูตาผู้มีอัชฌาสัย |
รับสารบังคมลาคลาไคล | ขึ้นม้ารีบไปทันที ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงแจ้งแก่ชาวด่าน | ตามในราชการสารศรี |
ว่าท้าวล่าสำธิบดี | ให้เรานี้ถือสารเข้ามา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ขุนด่านได้ฟังไม่กังขา |
เรียกบ่าวแล้วขึ้นอาชา | ก็พาทูตาคลาไคล ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงแจ้งคดี | แก่สี่เสนาผู้ใหญ่ |
ตามเรื่องทูตามานั้นไซร้ | บรรยายไปให้แจ้งทุกประการ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ทั้งสี่เสนีได้ฟังสาร |
จึงจัดแจงทุกหมู่พนักงาน | ตรวจตราทหารให้พร้อมไว้ |
ถึงเวลาเฝ้าระตูภูมี | หมู่มุขมนตรีน้อยใหญ่ |
ก็พาทูตาเข้าไป | ยังท้องพระโรงชัยทันที ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ ครั้นถึงจึงถวายบังคมคัล | ทูลท้าวประมอตันเรืองศรี |
ว่าท้าวเจ้าเมืองหกบุรี | ยกโยธีหลายทัพนับประมาณ |
มาตั้งยังด่านนครา | ใช้ให้เสนาจำทูลสาร |
เข้ามาถวายพระภูบาล | แล้วคลี่ออกอ่านไปทันใด ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
ช้า
๏ ราชสารพระผู้ผ่านนคเรศ | มงกุฎเกศล่าสำกรุงใหญ่ |
กับระตูทั้งห้าเวียงชัย | แจ้งใจว่าองค์อุณากรรณ |
หายไปในกลางมรคา | จึงยกโยธาทัพขันธ์ |
มาว่ากล่าวแต่โดยทางธรรม์ | ให้ท้าวประมอตันภูวไนย |
เร่งส่งองค์โอรสา | ทั้งราชธิดาออกมาให้ |
จะพากันเลิกทัพกลับไป | คงเป็นไมตรีกันดังก่อนกาล |
ถ้าขัดไว้จะยกพลากร | เข้าทำลายนครให้แตกฉาน |
จะล้างให้สิ้นพงศ์วงศ์วาน | รู้แล้วคิดอ่านให้จงดี ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | ระตูประมอตันเรืองศรี |
ฟังสารดาลเดือดดังอัคคี | จึงมีสีหนาทประภาษพลัน |
อันองค์อุณากรรณผู้ศักดา | เมื่อเทวาพาไปกระยาหงัน |
ให้อักษรไว้เป็นสำคัญ | ว่าบรรดาเชลยทั้งนี้ |
ให้แก่ปันหยีชาญชัย | ซึ่งอยู่ในกาหลังบุรีศรี |
เมื่อตัวเขาเจ้าของก็ยังมี | กูไม่รู้ที่จะส่งไป |
อันระตูทั้งหกพารา | มีแต่เจรจาหยาบใหญ่ |
ดังชาวประมอตันเวียงชัย | ล้วนสตรีมิใช่ชาติชาย |
เร่งออกไปบอกเจ้ามึง | ถึงจะปล้นกรุงไกรไม่ได้ง่าย |
จะพันตูสู้ศึกไม่กลัวตาย | อย่าหมายว่าจะได้ธานี |
ตรัสแล้วก็สั่งเสนา | ให้กะเกณฑ์โยธาขึ้นหน้าที่ |
ตำมะหงงจงเร่งเอาความนี้ | ไปบอกปันหยีดังสัญญา ฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เสนีธิบดีซ้ายขวา |
รับสั่งแล้วรีบออกมา | ทูตนั้นขึ้นม้ากลับไป ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ฝ่ายมหาเสนาเกณฑ์ทหาร | ขึ้นรักษาปราการกรุงใหญ่ |
หอรบป้อมประตูเวียงชัย | อาวุธเตรียมไว้ครบครัน |
เกณฑ์พลคอยระวังไพรี | ทุกหน้าที่เชิงเทินเขตขัณฑ์ |
สารวัดจัดทหารนับพัน | ตรวจกันอลหม่านทั้งธานี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้น | ตำมะหงงก็แต่งสารศรี |
เสร็จแล้วรีบขึ้นพาชี | ไปบุรีกาหลังทันใด ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ บัดนั้น | ผ่ายทูตผู้มีอัชฌาสัย |
ครั้นถึงที่ประทับพลับพลาชัย | ก็ไปเฝ้าระตูภูมี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ จึงบังคมทูลบรรยาย | แต่ต้นจนปลายถ้วนถี่ |
ตามระตูประมอตันพาที | โดยคดีอนุสนธิ์แต่ต้นมา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวล่าสำกับระตูทั้งห้า |
ได้แจ้งแห่งคำทูตา | ต่างองค์โกรธาคือไฟ |
ดูดู๋ระตูประมอตัน | โมโหหุนหันหยาบใหญ่ |
ฤทธีจะมีสักเพียงไร | ดีร้ายจะได้เห็นกัน |
ว่าแล้วประกาศหมู่โยธา | ทั้งกองหน้ากองหนุนกองขัน |
เร่งเข้าหักโหมโรมรัน | ตีเอาประมอตันอย่าได้ช้า ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นายทหารทุกกองพร้อมหน้า |
รับสั่งแล้วขับโยธา | เข้าตีด่านนคราทันใด ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ อันชาวชนบททั้งหลาย | แตกกระจัดพลัดพรายไม่ทานได้ |
ระตูยกแยกกันเข้าไป | ตั้งล้อมเวียงชัยประมอตัน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ทุกกองเข้าโจมโถมทะยาน | ปีนป่ายปราการเขตขัณฑ์ |
โยธาดาหนุนเนื่องกัน | เสียงปืนครื้นครั่นทั้งพารา |
ต่างเอาพะองบันไดพาด | องอาจปีนป่ายขึ้นเข่นฆ่า |
พลช้างเข้าแย่งทวารา | เสียงโห่ลั่นฟ้าธาตรี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ บัดนั้น | พวกทหารรักษาหน้าที่ |
โรมรันประจัญรบราวี | แทงฟันไพรีทุกด้านไป |
บ้างปล่อยปืนมณฑกนกสับ | วางปืนตับระดมปืนใหญ่ |
บ้างยิงธนูหน้าไม้ | พุ่งหอกออกไปอลวน |
บ้างทุ่มทิ้งหินผาอึงอัด | คั่วกรวดทรายซัดดังห่าฝน |
ข้าศึกล้มตายวายชนม์ | เสียงพลเสียงปืนประดังกัน |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๏ บัดนั้น | ทวยหาญหกระตูแข็งขัน |
หนุนเข้ารบรุกบุกบัน | ต่อแย้งแทงฟันประจัญบาน |
ต่างต้องอาวุธล้มตาย | บ้างหนุนปีนป่ายเข้าต่อต้าน |
ชาวเมืองเข่นฆ่าวายปราณ | ที่เป็นอยู่หักหาญราวี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ทั้งหกระตูผู้เรืองศรี |
เห็นคนตายกลาดปัถพี | บ้างลำบากลากหนีเอาออกมา |
ต่างองค์โกรธาโกลาหล | ขับม้าไล่พลซ้ายขวา |
นายทหารก็ต้อนโยธา | ดากันเข้าทำลายเวียงชัย ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ แต่ให้หักหาญเป็นหลายครั้ง | จะได้ดังปรารถนาก็หาไม่ |
จึงให้ตั้งล้อมเมืองไว้ | ได้ทีเมื่อไรจะโรมรัน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้น | ฝ่ายตำมะหงงเสนาคนขยัน |
รีบมากลางคืนกลางวัน | ดัดดั้นโดยทางพนาลี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงพารากาหลัง | ตรงไปยังที่อยู่ปันหยี |
จึงเข้าไปเคียมคัลทันที | ถวายสารศรีแล้วโศกา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๏ เมื่อนั้น | มิสาระปันหยีสุกาหรา |
จึงรับเอาราชสารา | คลี่ออกทัศนาทันที ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
ช้า
๏ ศุภลักษณสารสุนทร | เจ้านครประมอตันบุรีศรี |
อำนวยอวยพรสวัสดี | มาถึงปันหยีฤทธิรอน |
เมื่อเทวาพาอุณากรรณไป | ให้ลายหัตถ์ไว้เป็นอักษร |
แม้นไพรีย่ำยีพระนคร | พ้นที่จะราญรอนพวกภัย |
จงให้สารไปถึงปันหยี | จะเห็นแก่ไมตรีไม่เสียได้ |
บัดนี้ศึกประชิดติดเวียงชัย | จะให้ส่งโอรสแลบุตรี |
ซึ่งเป็นเชลยอุณากรรณ | อันสั่งไว้ให้ให้แก่ปันหยี |
เชิญมาช่วยสังหารผลาญไพรี | อย่าให้สูญไมตรีอุณากรรณ ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๏ ครั้นอ่านเสร็จสิ้นสารา | พระผ่านฟ้าสำรวลสรวลสันต์ |
จึงถามตำมะหงงด้วยพลัน | ซึ่งโศกานั้นด้วยเหตุใด ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ตำมะหงงทูลแจ้งแถลงไข |
ข้าคิดขึ้นมาก็อาลัย | เมื่ออยู่ในกาหลังพารา |
เจ้าข้าเคยมาเล่นด้วยกัน | กับพระองค์ทรงธรรม์หรรษา |
จะเสด็จแห่งใดไม่คลาดคลา | บัดนี้ข้ามาให้เปล่าใจ |
เห็นแต่พระองค์ผู้เดียวดาย | ก็ใจหายไม่กลั้นน้ำตาได้ |
ด้วยคิดถึงเจ้าตนเป็นพ้นไป | จึงร้องไห้เพราะเหตุดังนี้ ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระโฉมยงองค์มิสาระปันหยี |
จึงตอบไปพลันทันที | ถึงจะมีความรักคณนา |
เมื่อประจักษ์ว่าองค์อุณากรรณ | ไปสู่กระยาหงันหรรษา |
ชมทิพย์สมบัติอันโอฬาร์ | จะโศกาถึงนั้นด้วยอันใด ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ตำมะหงงจึงตอบสนองไข |
ธรรมดาว่ารักแม้นจากไป | เป็นวิสัยในโลกย่อมโศกี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ปันหยีทรงสวัสดิ์รัศมี |
ได้ฟังเสนาพาที | ภูมีแย้มสรวลไปมา |
อันเหล่าพี่เลี้ยงกิดาหยัน | กลั้นยิ้มไม่ได้ก็ก้มหน้า |
ปันหยีจึงมีวาจา | ว่าแก่ตำมะหงงด้วยพลัน |
ท่านจงงดอยู่ท่าก่อน | อย่าเพ่อรีบร้อนผายผัน |
สั่งเสร็จเสด็จจรจรัล | เข้าห้องสุวรรณอันโอฬาร์ ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ
๏ นั่งแนบแอบองค์อรไท | จึงปราศรัยบอกแก่ขนิษฐา |
ตำมะหงงประมอตันนั้นมา | จะเชิญดวงยิหวาไปเวียงชัย ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ติหลาอรสาศรีใส |
แค้นขัดปัดกรภูวไนย | ค้อนให้แล้วมีวาจา |
อันความข้อนี้ได้ขอขาด | ไฉนยังประภาษให้อายหน้า |
เป็นน่าสมเพชเวทนา | ขืนว่าจะแกล้งให้ช้ำใจ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ปันหยียิ้มแล้วแถลงไข |
จริงอยู่พี่ได้รับคำไว้ | ใช่จะลืมไปเมื่อไรมี |
เจ้าขอแต่คำพี่เย้าหยอก | นี่บอกความตามจริงสิโกรธพี่ |
เดี๋ยวนี้ศึกประชิดติดธานี | พระส่งสารศรีให้กัลยา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | โฉมยงองค์ติหลาอรสา |
รับสารมาจากพระภัสดา | อ่านทราบกิจจาก็โศกี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๏ เมื่อนั้น | พระโฉมยงองค์มิสาระปันหยี |
เห็นพระน้องสะอื้นไห้ไม่ไยดี | ยิ้มแล้วภูมีจึงว่าไป |
ซึ่งจะกำสรดอยู่ฉะนี้ | จะได้อิสตรีมาก็หาไม่ |
จงเร่งเกณฑ์พหลสกลไกร | ยกไปให้ทันท่วงที ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ติหลาอรสาโฉมศรี |
ได้ฟังคั่งแค้นแสนทวี | ลุกเข้าไปในที่แล้วโศกา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ปันหยีทรงโฉมเสนหา |
จึงเสด็จลีลาศยาตรา | ตามองค์ขนิษฐาเข้าไป ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงนั่งลงส้วมกอด | รับขวัญเยาวยอดพิสมัย |
วิตกหมกมุ่นไปทำไม | พี่จะรับชิงชัยให้นงเยาว์ |
แต่ตำมะหงงเสนามาเห็นพี่ | ก็โศกีด้วยคิดถึงเจ้า |
จงออกไปดับโศกให้บางเบา | แต่พอเขาได้เห็นประจักษ์ตา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | โฉมยงองค์ติหลาอรสา |
ได้ฟังค่อยคลายวายโศกา | จึงทูลว่าจะไปนั้นฉันใด |
น้องสะเทินเขินจิตพันทวี | มิรู้ว่าจะพาทีกระไรได้ |
อัปยศอดสูเป็นพ้นไป | ภูวไนยจงโปรดปรานี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ปันหยีจึงตอบนางโฉมศรี |
จะหาแต่ตำมะหงงผู้เดียวนี้ | ให้เข้ามายังที่ข้างใน |
แต่เพียงนี้ผู้ใดจะล่วงรู้ | ยังจะคิดอดสูไปถึงไหน |
จงอุตส่าห์ฝืนพักตร์หักใจ | จะได้หรือมิได้นะเทวี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ติหลาอรสามารศรี |
เห็นชอบตอบพลันทันที | ภูมีจงให้ไปหามา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ปันหยีได้ฟังนางว่า |
จึงสั่งสาวสรรค์กัลยา | ไปหาตำมะหงงมาบัดนี้ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | สาวใช้รับสั่งใส่เกศี |
ถวายบังคมคัลอัญชลี | ออกมาที่ข้างหน้าทันใด ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ ชุบ
๏ ครั้นถึงจึงแจ้งกิจจา | แก่มหาเสนาผู้ใหญ่ |
ว่าปันหยีให้หาเข้าไป | ยังที่ข้างในอย่าได้ช้า ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ตำมะหงงผู้มียศถา |
แจ้งคำสาวใช้ก็ไคลคลา | เดินด้อมเข้ามาทันที ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ ครั้นถึงซึ่งที่ข้างใน | จึงบังคมไหว้ปันหยี |
หมอบเฝ้าคอยฟังสั่งคดี | มิได้มีเหลียวแลไปมา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | มิสาระปันหยีสุกาหรา |
จึงมีสุนทรวาจา | ว่าแก่ตำมะหงงเสนาใน |
อย่าก้มอยู่จงดูให้ตระหนัก | ท่านยังจะรู้จักหรือไฉน |
องค์ระเด่นนี้จะเป็นผู้ใด | หรือว่ามิใช่อุณากรรณ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ตำมะหงงเงยหน้าขึ้นแปรผัน |
พิศดูจำได้ทุกสิ่งอัน | ว่าองค์อุณากรรณผู้ศักดา |
ดีใจคลานไปอภิวาท | จับบาทขึ้นทูลเกศา |
ครวญคร่ำกำสรดไปมา | องค์ติหลาอรสาก็โศกี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
๏ แล้วทูลว่าเมื่อพระหายไป | ข้าเที่ยวหาทั่วในพนาศรี |
ไม่พบก็โศกแสนทวี | จึงให้กรีพลคืนยังพารา |
ฝ่ายพระผู้ปิ่นปักนัคเรศ | แจ้งเหตุกันแสงเป็นหนักหนา |
องค์ประไหมสุหรีศรีโสภา | ก็โศกาเพียงจะม้วยวายชนม์ |
ทั้งกำนัลเสนาก็อาวรณ์ | ประชากรโศกเศร้าทุกแห่งหน |
ด้วยความรักใคร่ไม่เว้นคน | จนศึกมาประชิดติดธานี |
บ้างว่าถ้าพระองค์เสด็จอยู่ | ศัตรูหรือจะกล้ามากรุงศรี |
ซึ่งพระมาเป็นเช่นนี้ | เหตุผลนั้นมีประการใด ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นอรสาสะอื้นไห้ |
จึงว่าเหตุนี้เป็นความใน | สุดที่จะให้แจ้งกิจจา |
อันองค์พระชนกชนนี | มีคุณใหญ่หลวงหนักหนา |
เป็นกรรมจำจากพระบาทา | ให้ผ่านฟ้าเศร้าโศกแสนทวี |
จงทูลว่าเราถวายบังคมไป | แทบใต้ละอองบทศรี |
คิดอยู่ทุกทิวาราตรี | มิได้ลืมคุณภูวไนย ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ตำมะหงงจึงทูลสนองไข |
ข้าพบพระองค์บัดนี้ไซร้ | ดังบรรลัยแล้วเป็นคืนมา |
กลับไปถ้าทูลสองกษัตริย์ | จะมีความโสมนัสหนักหนา |
อันชาวประมอตันนัครา | ก็จะผาสุกเกษมเปรมปรีดิ์ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระโฉมยงองค์มิสาระปันหยี |
จึงตรัสแก่ตำมะหงงเสนี | อันศึกครั้งนี้อย่าร้อนใจ |
จะแต่งทัพไปช่วยรอนราญ | สังหารไพรีให้ตักษัย |
ตรัสแล้วก็พาเสนาใน | ออกไปข้างหน้าทันที ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ นั่งลงแล้วมีบัญชา | แก่สังคามาระตาเรืองศรี |
บัดนี้อริราชไพรี | ยกมาติดตีประมอตัน |
คือท้าวล่าสำผู้ศักดา | กับระตูทั้งห้าเขตขัณฑ์ |
จะชิงเอาเชลยอุณากรรณ | นอกนั้นพี่ไม่สู้อาลัย |
เสียดายแต่ธิดาล่าสำ | คมขำนวลละอองผ่องใส |
เจ้าจงยกพหลสกลไกร | เร่งไปให้ทันท่วงที ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สังคามาระตาเรืองศรี |
ก้มหน้าลงยิ้มด้วยยินดี | แล้วยอกรชุลีทูลไป |
อันการณรงค์ราวี | ข้านี้หาสู้ชำนาญไม่ |
แต่รับสั่งมาแล้วก็จนใจ | จะลองไปต่อสู้ดูสักครา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ประสันตาทำเฉยเงยหน้า |
ทูลปันหยีไปมิได้ช้า | แต่ข้าแจ้งเหตุว่าศึกมี |
ดีใจจะใคร่อาสา | แต่เกรงพระอนุชาเรืองศรี |
ซึ่งจะไปสงครามครั้งนี้ | เห็นทีจะเอาเหื่อต่างน้ำ |
เพราะเหตุว่าเป็นงานหา | จำเล่นหน้าจอขึงตะบึงร่ำ |
ใช่หนังขอช่วยจะพึมพำ | ไม่จำใจเหมือนครั้งมะละกา |
อันผู้รู้ความหลังทั้งนั้น | ก็สรวลขึ้นด้วยกันพร้อมหน้า |
แต่ระเด่นสังคามาระตา | เบือนพักตรายิ้มพร้ิมไป ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | มิสาระปันหยีศรีใส |
จึงสั่งยะรุเดะทันใด | ซึ่งทัพไพรีที่ยกมา |
บรรจบกันถึงหกธานี | โยธีมากมายหนักหนา |
แต่พลจะหรังวิสังกา | น้อยกว่าข้าศึกเป็นพ้นไป |
อันพลเชลยกับพลเรา | จงเกณฑ์เข้าเป็นกองทัพใหญ่ |
ทั้งอาวุธสำหรับชิงชัย | เร่งรัดจัดให้บัดนี้ ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ยะรุเดะรับสั่งใส่เกศี |
ถวายบังคมคัลอัญชลี | ออกมาจากที่เฝ้าพลัน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
ยานี
๏ เกณฑ์กระบวนถ้วนทั้งกองหน้า | ปีกซ้ายปีกขวาแลกองขัน |
เกียกกายยุกระบัตรจัดกัน | กองหนุนเลือกสรรที่ชำนาญ |
กองหลังมีกำลังสามารถ | ร้ายกาจใจคอห้าวหาญ |
กองร้อยคอยประจญประจัญบาน | หนักไหนจะได้ต้านตีประดา |
นายไพร่ล้วนเหล่าพวกพหล | ทั้งพลปันหยีสุกาหรา |
กับพลสังคามาระตา | พลเชลยเกณฑ์มาสมทบกัน |
พลม้ากล้าหาญชาญพาชี | ขับขี่รวดเร็วดังจักรผัน |
พร้อมเครื่องอาวุธยุทธภัณฑ์ | เตรียมกันคอยเสด็จจรลี ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | ปันหยีผู้รุ่งรัศมี |
จึงอำนวยอวยพรสวัสดี | แก่องค์ยาหยีมีศักดา |
เจ้าไปให้ได้สมคิด | ปัจจามิตรพ่ายแพ้ทุกทิศา |
แล้วสั่งตำมะหงงเสนา | จงนำทัพอนุชาคลาไคล ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สังคามาระตาศรีใส |
ก้มเกล้ารับพรภูวไนย | ด้วยใจโสมนัสยินดี |
แล้วกราบประณตบทบงสุ์ | ลาองค์มิสาระปันหยี |
ยุรยาตรนาดกรจรลี | มาเข้าที่สรงสหัสวาริน ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
ลงสรง
๏ ชำระสระสรงสุธารส | มะลิสดเฟื่องฟุ้งจรุงกลิ่น |
ทรงสุคนธ์ปนทองหอมประทิน | ภูษาทรงข้าวบิณฑ์พื้นแดง |
สอดใส่ฉลองพระองค์ตาด | เจียระบาดดอกรักปักทองแล่ง |
ปั้นเหน่งเพชรแต่ละเม็ดเท่าเล็ดแตง | ส่องแสงแวววามอร่ามเรือง |
ตาบทิศทับทรวงดวงกุดั่น | สังวาลวรรณทองกรประดับเนื่อง |
ธำมรงค์ล้วนจินดาค่าเมือง | ทรงมงกุฎบุษย์เหลืองประดับลาย |
กรรเจียกแก้วแวววับประดับสี | ห้อยอุบะมณีเฉิดฉาย |
ถือเช็ดหน้าเหน็บกริชอันเพริศพราย | นาดกรกรีดกรายมาเกยชัย ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ
ร่าย
๏ เสด็จขึ้นเกยศิลาหน้าพระลาน | เสนากราบกรานอยู่ไสว |
สั่งให้เคลื่อนโยธาคลาไคล | เสด็จทรงมโนมัยตัวดี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ กราวนอก
โทน
๏ ม้าเอยม้าศึก | เหี้ยมฮึกดังไกรสรสีห์ |
เยื้องอกยกย่างจรลี | ท่วงทีชำนาญการณรงค์ |
พู่ห้อยบังเหียนรจนา | เบาะอานพานหน้างามระหง |
ม้าพี่เลี้ยงเดินเคียงม้าทรง | กลดสุวรรณบรรจงโอฬาร |
กองหน้าม้านำพลไกร | ม้าถือธงชัยธงฉาน |
ปีกป้องกองหนุนจะรอนราญ | ม้าทหารกองหลวงเตือนกัน |
ม้าแซงขับแซงรายเรียง | แซ่เสียงฆ้องกลองบันลือลั่น |
ผงคลีบดบังสุริยัน | รีบเร่งพลขันธ์คลาไคล ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๏ แรมร้อนรีบมาหลายวัน | ถึงเขตประมอตันกรุงใหญ่ |
เห็นธงทัพระตูเป็นทิวไป | จึงให้หยุดพลโยธี |
แล้วสั่งนายทหารทั้งหลาย | ให้ตั้งค่ายเป็นปทุมชัยศรี |
ยั้งไว้ดูเชิงไพรี | ชอบทีจะให้ไปเจรจา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นายทัพนายกองพร้อมหน้า |
รับสั่งแล้วเกณฑ์โยธา | ตั้งค่ายดาษดากันไป |
เป็นปทุมพยุหชัยชาญ | มีด้านลงสู่แม่น้ำไหล |
ก็แล้วเสร็จพลันทันใด | ให้เล่นร่าเริงบันเทิงพลัน ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ฝ่ายประหรัดกะติกาคนขยัน |
เห็นทัพหน้ามาตั้งนี่นัน | ก็ขึ้นกัณฐัศว์ขับควบกลับไป ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงลงจากพาชีชาญ | เข้าไปกราบกรานบังคมไหว้ |
ทูลท้าวล่าสำชาญชัย | ว่ามีทัพใหญ่ยกมา |
จะเป็นทัพผู้ใดมิได้แจ้ง | ดูธงทิวดาษแดงไปทั้งป่า |
ตั้งค่ายเป็นพยุห์ปทุมา | พระผ่านฟ้าจงทราบบทมาลย์ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวล่าสำชาญชัยใจหาญ |
ได้ฟังก็ดำริตริการ | ภูบาลให้เตรียมพลไกร |
แล้วสั่งม้าใช้คนขยัน | จงแยกกันไปแจ้งแถลงไข |
แก่ห้าระตูภูวไนย | กำหนดให้รู้ทั่วพร้อมกัน |
ข้างด้านในเมืองจงประหยัด | แล้วจัดทหารอันแข็งขัน |
จะออกโจมตีทัพกระหนาบนั้น | แต่รุ่งสุริย์ฉันให้ทันที ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ม้าใช้รับสั่งใส่เกศี |
ห้านายถวายอัญชลี | ขึ้นพาชีแยกกันไคลคลา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ต่างถึงลงม้าทันใด | เข้าไปทูลระตูทั้งห้า |
ตามในพระราชบัญชา | องค์ท้าวล่าสำชาญชัย ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | ห้ากษัตริย์สุริย์วงศ์เป็นใหญ่ |
ครั้นแจ้งแห่งคำม้าใช้ | ก็กำชับไพร่พลโยธา |
แล้วจัดทหารชาญณรงค์ | ล้วนกำลังอาจองแกล้วกล้า |
เตรียมไว้ทุกกองดังบัญชา | แต่ในเวลาราตรี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | ท้าวล่าสำผู้รุ่งรัศมี |
ทั้งห้ากษัตริย์ธิบดี | ครั้นรุ่งรังสีรวีวร |
ต่างชำระสระสรงคงคา | ทรงเครื่องยุทธนาชาญสมร |
จับสาตราอาวุธฤทธิรอน | บทจรมาขึ้นมโนมัย ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ ต่างเคลื่อนโยธาทวยหาญ | เสียงพลโห่สะท้านสะเทื้อนไหว |
เสียงช้างเสียงม้าดาไป | เอิกเกริกทั้งในพสุธา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ กราว เชิด
๏ ครั้นใกล้ต่างมีสีหนาท | ประกาศนิกรซ้ายขวา |
เร่งเข้าโจมตีอย่าได้ช้า | จับเอาโจรป่ามาบัดนี้ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นายทหารรับสั่งใส่เกศี |
ทั้งห้าทัพต่างขับโยธี | เข้าโถมโจมตีอลวน |
ต่างพุ่งอาวุธเป็นโกลา | ยิงปืนดังฟ้าคะนองฝน |
บ้างเลี้ยวไล่รุกบุกประจญ | แทงฟันอลวนไม่กลัวตาย ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ บัดนั้น | พวกทหารทัพกระหนาบทั้งหลาย |
ต่อยุทธ์อุตลุดทั้งไพร่นาย | บ้างขับพลนิกายเนื่องมา |
รับรองป้องกันประจัญบาน | ต้านทานหนุนหนักหักกล้า |
พลระตูตายกลาดดาษดา | เสนาช่วยกันประจัญตี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้น | ฝ่ายระตูประมอตันเรืองศรี |
ได้ยินเสียงปืนรบราวี | เสียงโยธีโห่ร้องก้องโกลา |
ก็หมายว่าทัพมิสาระปันหยี | กรีพลมาช่วยเข่นฆ่า |
ยินดีด้วยสมจินดา | จึงมีบัญชาไปทันใด |
เร่งเร็วเสนาระดมกัน | เกณฑ์หมู่พลขันธ์น้อยใหญ่ |
จัดให้หลายทัพฉับไว | ออกไปรบกระหนาบบัดนี้ ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ยาสารับสั่งใส่เกศี |
ถวายบังคมคัลอัญชลี | ออกมาจากที่พระโรงคัล ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
ยานี
๏ จัดได้เสนีสี่คน | รู้กลรณรงค์แข็งขัน |
เกณฑ์หมู่ทวยหาญชาญฉกรรจ์ | เลือกสรรแต่ชำนาญการราวี |
จัดเป็นสี่กองโดยขนาด | องอาจสู้ศึกไม่นึกหนี |
แต่ละกองกำหนดโยธี | ห้าหมื่นทั้งสี่เสนา |
อันตัวยาสาเป็นกองขัน | หนักไหนช่วยกันเข่นฆ่า |
จัดแล้วก็ยกโยธา | ออกมาทุกทวารเวียงชัย ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ กราวเชิด
ร่าย
๏ พอได้ยินเสียงปืนครื้นครั่น | ต่างยกดากันเข้าลุยไล่ |
บ้างยิงปืนยาหน้าไม้ | ปืนไฟใหญ่น้อยระดมกัน |
พลหอกพลดาบพลง้าว | โห่เกรียววิ่งกราวเข้าห้ำหั่น |
พลม้าดาแซงเข้าแทงฟัน | พวกระตูพากันบรรลัยลาญ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ฝ่ายทัพหกระตูที่ต่อต้าน |
กำลังรบรันประจัญบาน | เห็นทัพมาอีกด้านก็ตกใจ |
แยกย้ายโยธาโกลาหล | ให้กลับหน้ามาประจญทางด้านใหม่ |
ที่รบทัพกาหลังกรุงไกร | ก็ราญรอนอ่อนไปในทันที ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สังคามาระตาเรืองศรี |
ได้ยินเอิกเกริกทางธานี | ภูมีดำริตริการ |
ชะรอยว่าทัพเมืองประมอตัน | ยกออกโรมรันหักหาญ |
จึงขับอาชาชัยชาญ | เร่งพลอลหม่านเข้าชิงชัย ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | พวกทหารกาหลังทั้งนายไพร่ |
เห็นการศึกเป็นทีก็ดีใจ | ต่างจู่โจมโถมไล่ไพรี |
พวกม้าไล่ตลบทบแทง | พวกเดินแข่งเข้ารุกทุกหน้าที่ |
พลระตูย่นย่อรอรี | ได้ทีตีตะบึงไม่รารั้ง ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้น | หกระตูเห็นพลย่นถอยหลัง |
ต่างขับพาชีมีกำลัง | ไล่หลังฟันคนกล่นเกลื่อนไป ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | พลระตูคิดขยาดหวาดไหว |
กลัวนายจะฟันให้บรรลัย | ก็จำใจกลับหน้ามาโรมรัน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ทัพทั้งสองนครแข็งขัน |
ได้ทีตีกระหนาบบุกบัน | ไล่พิฆาตฟาดฟันวุ่นวาย ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ อันพลระตูทั้งนั้น | ก็ล้มตายก่ายกันมากหลาย |
บ้างตื่นแตกกระจัดพลัดพราย | ไพร่นายไม่เป็นสมประดี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวล่าสำขุ่นข้องหมองศรี |
กับระตูทั้งห้าธานี | เห็นท่วงทีจะถึงอัปรา |
ด้วยรี้พลกระจัดพลัดพราย | ล้มตายก็มากเป็นหนักหนา |
ข้าศึกโอบอ้อมล้อมเข้ามา | จึงปรึกษากันในทันใด |
แม้นเราจะรบอยู่ฉะนี้ | น่าที่จะพากันตักษัย |
จำจะเอาชีวิตให้รอดไว้ | ต้องขอออกท้าวไทประมอตัน ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ ครั้นปรึกษาพร้อมกันทันใด | ก็ให้ลดธงชัยทุกทัพขันธ์ |
ยกธงขาวขึ้นเป็นสำคัญ | แล้วพากันเข้าไปทันที ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงแจ้งกิจจา | แก่เสนาประมอตันบุรีศรี |
จงช่วยกราบทูลพระภูมี | ว่าเรานี้องอาจอหังการ์ |
พากันกรีพลมาชิงชัย | โทษทัณฑ์นั้นใหญ่หลวงนักหนา |
จะขอเป็นเมืองขึ้นพระผ่านฟ้า | ไปกว่าจะม้วยบรรลัย ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ยาสาเสนาผู้ใหญ่ |
เห็นระตูยอมแพ้แก่ทรงชัย | ดีใจก็พาเข้าธานี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงถวายอภิวาท | ทูลพระบาทผู้ผ่านกรุงศรี |
ตามซึ่งได้รบราวี | ถ้วนถี่เสร็จสิ้นทุกประการ |
บัดนี้ระตูทั้งหกองค์ | ยกธงขอออกไม่ต่อต้าน |
จึงนำมาเฝ้าบทมาลย์ | พระภูบาลจงทราบพระบาทา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวประมอตันนาถา |
ได้ฟังยินดีปรีดา | ดังได้ผ่านฟ้าดุษฎี |
จึงมีบัญชาอันสุนทร | ดูก่อนหกกษัตริย์เรืองศรี |
ธรรมดาโอรสแลบุตรี | ประเพณีย่อมรักทั้งแดนไตร |
แต่เจ้าของเขายังมีอยู่ | เราไม่รู้ที่จะคืนให้ |
แม้นปันหยีมารับเมื่อไร | จะส่งไปตามคำอุณากรรณ |
ซึ่งท่านมาราวีตีเมือง | เราก็สิ้นแค้นเคืองไม่เดียดฉันท์ |
ว่าแล้วเรียกเชลยทั้งนั้น | ให้มาบังคมคัลพระบิดา ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | เหล่าระเด่นบุตรีโอรสา |
ต่างออกมาตามพระบัญชา | กราบบาทพระบิดาแล้วโศกี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๏ เมื่อนั้น | ทั้งหกกษัตริย์หมองศรี |
ต่างกอดลูกรักไว้ทันที | ภูมีร่ำไรไปมา |
อนิจจาเป็นกรรมวิบาก | ตั้งแต่จากช้านานพึ่งเห็นหน้า |
รอดตายจึงได้พบลูกยา | ว่าพลางวันทาทูลไป |
ซึ่งพระองค์โปรดเกศทั้งนี้ | พระคุณหาที่สุดไม่ |
ขอเอาพระเดชภูวไนย | ปกไปกว่าจะม้วยชีวี |
แม้นจะส่งลูกรักของข้า | ไปให้มิสาระปันหยี |
พระองค์ผู้ดำรงธรณี | จงมีมิตรภาพกรุณา |
โปรดช่วยโอวาทฝากฝัง | ถ้าผิดพลั้งจงโปรดเกศา |
ล้วนไกลบิตุเรศมารดา | ไม่มีที่พึ่งพาผู้ใด ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวประมอตันเป็นใหญ่ |
จึงมีบัญชาตอบไป | อย่าได้วิตกด้วยข้อนี้ |
แล้วอำนวยอวยชัยหกกษัตริย์ | จงถาวรพิพัฒน์เกษมศรี |
อย่ามีอันตรายราคี | ครองบุรีสุขเกษมเปรมปรา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ทั้งหกระตูก็หรรษา |
รับพรยอกรบังคมลา | สั่งธิดาโอรสแล้วคลาไคล ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ ครั้นถึงที่ประชุมโยธี | ต่างขึ้นรถมณีศรีใส |
บ้างขึ้นม้าพาพวกพลไกร | ต่างแยกกันไปยังธานี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้น | สังคามาระตาเรืองศรี |
เห็นทัพอริราชไพรี | เลิกพลโยธีกลับไป |
จึงสั่งตำมะหงงผู้ถือสาร | บัดนี้ก็เสร็จการศึกใหญ่ |
จงเข้าไปทูลภูวไนย | ให้แจ้งพระหฤทัยว่าเรามา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ตำมะหงงรับสั่งใส่เกศา |
พาพวกพลไกรไคลคลา | เข้าในนคราทันที ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงเข้าพระโรงชัย | บังคมไหว้ประณตบทศรี |
ทูลองค์พระผู้ทรงธรณี | ว่าปันหยีฤทธิไกรชัยชาญ |
ใช้ให้จะหรังวิสังกา | ยกพลโยธาทวยหาญ |
มาช่วยหักโหมโรมราญ | ไพรีแตกฉานทุกทัพชัย |
แล้วทูลว่าข้าพบอุณากรรณ | อัศจรรย์หาเป็นบุรุษไม่ |
เพศชายนั้นกลายกลับไป | เป็นสตรีวิไลลักขณา |
อยู่กับมิสาระปันหยี | ดูท่วงทีสนิทเสนหา |
เป็นฉันสามีภริยา | พระผ่านฟ้าจงทราบบาทบงสุ์ ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวประมอตันฟังตำมะหงง |
ยินดีดังได้เห็นองค์ | แต่พะวงสงกาเป็นพ้นไป |
แล้วตรัสซักถามตามคดี | เหตุผลนั้นมีเป็นไฉน |
จึงกลับกลายไปได้ดังนี้ไซร้ | รู้บ้างหรือไม่นะเสนา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ตำมะหงงรับสั่งใส่เกศา |
จึงทูลสนองพระบัญชา | เมื่อข้าเห็นปันหยีชาญชัย |
ให้คิดถึงองค์อุณากรรณ | ก็ไม่อาจจะกลั้นน้ำตาได้ |
ปันหยีถามว่าร้องไห้ไย | จึงบอกไปโดยจริงทุกสิ่งอัน |
เธอห้ามว่าอย่าไห้โทมนัส | เขาไปชมสมบัติเมืองสวรรค์ |
ว่าแล้วก็พาสารานั้น | เข้าในห้องสุวรรณทันที |
บัดเดี๋ยวหนึ่งจึงให้สาวใช้ | มาหาข้าเข้าไปถึงในที่ |
จึงเห็นอุณากรรณเป็นนารี | ข้าโศกีพระองค์ก็ร่ำไร |
ข้าได้ทูลถามความทั้งนี้ | ตรัสว่าสุดที่จะบอกได้ |
ด้วยเหตุว่าเป็นความใน | สั่งแต่ให้มากราบพระบาทา |
อันปันหยีนั้นนั่งเคียงอยู่ | พิเคราะห์ดูยิ้มละไมแต่ในหน้า |
แล้วไปสั่งจะหรังวิสังกา | ให้กรีพลมาช่วยราวี ฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวประมอตันเกษมศรี |
ได้ฟังคำตำมะหงงเสนี | ภูมีสุขเกษมเปรมปรา |
จึงสั่งมหาเสนาใน | เร่งจัดพลไกรซ้ายขวา |
ไปรับจะหรังวิสังกา | เข้ามาธานีฉับไว ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ตำมะหงงผู้มีอัชฌาสัย |
รับสั่งบังคมภูวไนย | ก็รีบออกไปด้วยพลัน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ จัดหมู่โยธาพลากร | อัสดรริ้วรายหลายหลั่น |
เครื่องแห่ฆ้องกลองครบครัน | เสร็จแล้วพากันไคลคลา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงตรงเข้าไปเฝ้า | ก้มเกล้าบังคมเหนือเกศา |
ทูลองค์จะหรังวิสังกา | พระผ่านฟ้าให้มารับเข้าธานี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สังคามาระตาเรืองศรี |
ได้ฟังตำมะหงงก็ยินดี | เสด็จเข้าที่สรงชลธาร ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
โทน
๏ สรงสหัสธาราวาริน | ทรงสุคนธ์ปนกลิ่นหอมหวาน |
กิดาหยันนั้นถวายอยู่งาน | ทรงภูษาเครือก้านกระหนกพัน |
ห้อยหน้าผ้าทิพย์ขลิบตาด | เจียระบาดคาดปั้นเหน่งสายกระสัน |
ฉลององค์ปักทองกรองสุวรรณ | ทับทรวงดวงกุดั่นชมพูนุท |
ทรงสังวาลบานพับประดับเพชร | ทองกรข้างละเจ็ดประดับบุษย์ |
ธำมรงค์ลงยาเรือนครุฑ | โพกตาดผาดผุดด้วยแสงทอง |
ห้อยอุบะบุปผาจำปาสด | เหน็บกริชคมกรดไม่มีสอง |
ถือเช็ดหน้าสีทับทิมริมกรอง | เสด็จออกจากห้องพลับพลาพลัน ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ
ร่าย
๏ เหยียบโกลนโผนเผ่นขึ้นพาชี | พร้อมหมู่เสนีกิดาหยัน |
ให้เคลื่อนพลากรจรจรัล | เสนาประมอตันนำหน้าไป ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ กราว
โทน
๏ ม้าเอยม้าเทศ | สูงสามศอกเศษศรีใส |
ขนขาวราวกับนุ่นละมุนละไม | อกใหญ่หางยาวเท้ารัด |
เป็นม้าทวนควรขี่ดีทายาด | ร้ายกาจโผนผกชกกัด |
เบาะอานพานหน้ากะทัดรัด | ห้อยพู่ดูหยัดเยียรยง |
ม้าพี่เลี้ยงเคียงม้าพระโฉมฉาย | ม้าแห่ริ้วรายงามระหง |
กิดาหยันตามม้ารักษาองค์ | เทียวธงแห่แหนแน่นไป ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๏ ครั้นถึงชานชาลาหน้านิเวศน์ | ก็ลงจากม้าเทศศรีใส |
ตำมะหงงนำหน้าคลาไคล | ขึ้นไปยังพระโรงรูจี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ ครั้นถึงจึงประณตบทบงสุ์ | ระตูผู้ดำรงกรุงศรี |
ด้วยใจจงรักภักดี | อยู่ที่ท่ามกลางเสนา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวประมอตันก็หรรษา |
พิศพักตร์จะหรังวิสังกา | แล้วบัญชาปราศรัยด้วยไมตรี |
ซึ่งข้าศึกมาทำหักหาญ | เรามีสารไปแจ้งแก่ปันหยี |
ให้เจ้ายกมาช่วยทันที | ไพรีแพ้ฤทธิ์ไม่ต้านทาน |
ขอบคุณของเจ้าหนักหนา | แกล้วกล้าสามารถอาจหาญ |
หักโหมโรมรันประจัญบาน | รี้พลก็ชำนาญการชิงชัย |
อันองค์มิสาระปันหยี | ยังค่อยอยู่ดีหรือไฉน |
ขอเชิญเจ้าเล่าแถลงให้แจ้งใจ | เรานี้รักจักใคร่เป็นไมตรี ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สังคามาระตาเรืองศรี |
ได้ฟังบัญชาพระภูมี | อัญชลีแล้วทูลสนองไป |
อันปันหยีผู้มีฤทธิรอน | จะทุกขาอาวรณ์ก็หาไม่ |
เป็นสุขเกษมศานต์สำราญใจ | โรคาสิ่งใดไม่พ้องพาน |
แต่ได้แจ้งแห่งราชสารา | ก็เร่งจัดโยธาทวยหาญ |
ให้ข้ารีบมาช่วยรอนราญ | จงทราบบาทบทมาลย์พระภูมี ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระผู้ผ่านประมอตันกรุงศรี |
ได้ฟังแจ้งใจในคดี | มีพระทัยสุขเกษมเปรมปรา |
จึงเรียกเอามงกุฎสังวาลทรง | ธำมรงค์มณีมีค่า |
มาประทานจะหรังวิสังกา | ส่วนมิสาระปันหยีก็ฝากไป |
อันพี่เลี้ยงเสนากิดาหยัน | เสื้อผ้าแพรพรรณก็จัดให้ |
แต่บรรดาซึ่งมาในทัพชัย | ตามหลั่นน้อยใหญ่ทั้งไพร่นาย |
แล้วตรัสแก่จะหรังวิสังกา | เจ้าจงพาเหล่าเชลยทั้งหลาย |
ไปให้อุณากรรณผู้เพริศพราย | ต่อภายหลังเราจึงจะตามไป ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สังคามาระตาศรีใส |
ก้มเกล้ารับสั่งภูวไนย | ด้วยใจประดิพัทธ์ยินดี |
พลางชายชำเลืองนัยนา | ดูระเด่นกุสุมาโฉมศรี |
เนตรประสบพบเนตรนางเทวี | ยิ่งมีเสนหาอาวรณ์ |
ให้คิดกระหยิ่มอิ่มใจ | ดังจะไปอุ้มองค์ดวงสมร |
แล้วบังคมลาพระภูธร | บทจรมาทรงอาชา |
บรรดานางเชลยทั้งนั้น | ก็มาขึ้นสุวรรณรถา |
พร้อมเหล่าสาวสรรค์กัลยา | สองกุมารทรงม้าตามกัน |
จึงให้เคลื่อนโยธาหน้าหลัง | ออกจากทวารวังรังสรรค์ |
ล่วงด่านผ่านเขตประมอตัน | จรจรัลมาโดยพนาลัย ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ กราว
ชมดง
๏ เดินทางตามหว่างเนินพนม | รุกขชาติรื่นร่มพระสุริย์ใส |
เห็นบุหงาแบ่งบานตระการใจ | ภูวไนยครุ่นคิดจิตจง |
พลางชมดอกดวงพวงผกา | แก้วกุหลาบสร้อยฟ้ามหาหงส์ |
สาวหยุดพุดจีบปีบประยงค์ | กาหลงชงโคมะลิวัลย์ |
จำปาสารภียี่สุ่น | พิกุลบุนนาคนมสวรรค์ |
เห็นวิหคนกเปล้าเคล้าคลึงกัน | พระหวั่นหวั่นฤทัยไปมา |
อนิจจาปักษายังมีคู่ | แต่ตัวกูไร้เพื่อนเสนหา |
คิดไว้ยังไม่สมจินดา | เป็นเวราสิ่งใดดังนี้ |
แสนรักกลัดกลุ้มรุมรึง | ถวิลถึงกุสุมาโฉมศรี |
ยิ่งสะท้อนถอนใจพันทวี | พลางเร่งโยธีคลาไคล ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๏ พอพระสุริยาอัสดง | ลดลงลับเหลี่ยมเนินไศล |
ให้หยุดพหลพลไกร | ประทับแรมที่ในพนาวัน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
ช้า
๏ ครั้นล่วงปัจฉิมยามเวลา | จันทราจำรัสฉายฉัน |
สกุณาขันขานประสานกัน | จักจั่นเรไรเครงครวญ |
น้ำค้างตกต้องมาลา | ลมพาคันธรสหอมหวน |
ให้วังเวงหฤทัยรัญจวน | คะนึงถึงนิ่มนวลยุพาพาล |
อนิจจากุสุมาโฉมเฉลา | พี่พาเจ้ามาในไพรสาณฑ์ |
ทำไฉนจะได้เยาวมาลย์ | มาแนบนอนให้สำราญฤดี |
ถึงใกล้เหมือนไกลกันหนักหนา | แก้วตาไม่เห็นอกพี่ |
แสนสุดกระสันพันทวี | หากเกรงองค์ปันหยีพี่ยา |
หาไม่จะไปสมสนิท | ให้ดวงจิตแจ้งเล่ห์เสนหา |
แต่คร่ำครวญถึงระเด่นกุสุมา | จนม่อยนิทราหลับไป ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ ตระ
ร่าย
๏ ครั้นแสงสุริย์ฉายอรุณเรือง | ก็สระสรงทรงเครื่องผ่องใส |
กุมกริชฤทธาคลาไคล | มาขึ้นมโนมัยด้วยพลัน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ จึงให้เดินพยุหทวยหาญ | ข้ามธารผ่านพนมพนาสัณฑ์ |
ร้อนแรมหลายคืนหลายวัน | จรจรัลโดยทางพนาลี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงกาหลังให้ยั้งหยุด | ผู้คนอุตลุดอึงมี่ |
พระเสด็จลงจากพาชี | จรลีเข้าเฝ้าพระผ่านฟ้า ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ จึงกราบประณตบทบงสุ์ | ทูลองค์ปันหยีสุกาหรา |
บรรยายแต่ต้นจนปลายมา | ซึ่งเข่นฆ่ามีชัยแก่ไพรี |
แล้วทูลว่ามงกุฎสังวาลวรรณ | องค์ท้าวประมอตันเรืองศรี |
ให้ข้ามาถวายพระภูมี | ด้วยจงรักภักดีเป็นพ้นไป |
แต่เหล่าเชลยทั้งนี้ | ถวายองค์พระบุตรีศรีใส |
บรรดาโยธาในทัพชัย | ก็ได้บำเหน็จนานา |
อันระตูกับหมู่ประชากร | ทั้งนครเกษมสันต์หรรษา |
ตรัสว่าจะเสด็จตามมา | จงทราบบาทาพระภูมี ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระโฉมยงองค์มิสาระปันหยี |
ได้ฟังอนุชาก็ยินดี | ยิ้มพลางทางมีพจมาน |
เจ้าทำสงครามมาล้าเลื่อย | เหน็ดเหนื่อยควรพักตำหนักสถาน |
อันระเด่นกุสุมายุพาพาล | ถึงไม่ตระการใจพระอนุชา |
จะให้อื่นที่ชื่นอารมณ์ชู | ก็เล็งดูยังไม่มีที่จะหา |
จงรับไว้เป็นบำเหน็จน้องยา | พอปฏิบัติวัตถาให้คลายใจ |
แล้วตรัสสั่งพี่เลี้ยงผู้ภักดี | อันเชลยนอกนี้เรายกให้ |
แก่องค์ย่าหรันนั้นไซร้ | จงนำไปให้ทันในวันนี้ ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สังคามาระตาเรืองศรี |
ซ่อนยิ้มแล้วลาพระภูมี | มายังที่อยู่ในทันใด ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เพลง
๏ บัดนั้น | พี่เลี้ยงรับสั่งบังคมไหว้ |
จึงนำนางเชลยทั้งนั้นไซร้ | ไปตามบัญชาพระทรงธรรม์ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ปันหยีเพราเพริศเฉิดฉัน |
จึงเสด็จนาดกรจรจรัล | เข้าห้องสุวรรณรจนา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ ครั้นถึงนั่งแนบแอบองค์ | พระชงฆ์ทับเพลาขนิษฐา |
ยิ้มพลางทางแจ้งกิจจา | ซึ่งสังคามาระตาไปชิงชัย |
ได้รบโรมรันประจัญบาน | ไพรีไม่ต้านต่อได้ |
ระตูประมอตันนั้นดีใจ | ฝากเชลยมาให้อุณากรรณ |
พี่เห็นว่าเจ้าหาต้องการไม่ | จึงให้อนุชาย่าหรัน |
แต่นางจินตะหรากุสุมานั้น | พี่รางวัลสังคามาระตา |
เจ้าอย่าอาลัยเลยโฉมศรี | จงฟังคำพี่ดีกว่า |
อันท้าวประมอตันจะตามมา | กัลยาจะคิดอ่านประการใด ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นอรสาศรีใส |
ได้ฟังวาจาก็อายใจ | ค้อนให้แล้วตอบวาที |
อันพระบิดาได้การุญ | มีพระคุณดังเกิดเกศี |
แต่อัปยศอดสูแสนทวี | ไม่รู้ที่จะดูพระพักตรา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ปันหยีตอบองค์ขนิษฐา |
อย่าปรารมภ์ตรมใจกัลยา | ต่อมาถึงจึงค่อยคิดกัน |
ว่าพลางแอบอิงพิงพาด | สุดสวาทภิรมย์หฤหรรษ์ |
แสนสนิทเสนหาลาวัณย์ | เกษมสันต์ยั่วยวนยินดี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ กล่อม
๏ เมื่อนั้น | สังคามาระตาเรืองศรี |
ครั้นย่ำสนธยาราตรี | ก็จรลีเข้ายังตำหนักใน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
ชาตรี
๏ นั่งลงเคียงนางกุสุมา | แล้วมีวาจาปราศรัย |
ดูก่อนแก้วตายาใจ | จะแจ้งในความทุกข์แต่หลังมา |
เมื่อเจ้าอยู่ด้วยอุณากรรณ | พี่นี้ผูกพันเสนหา |
อาลัยในองค์วนิดา | ไม่เว้นสักเวลานาที |
จนเจ้าตกไปประมอตัน | ยิ่งรัญจวนใจถึงโฉมศรี |
เป็นบุญให้เกิดไพรี | พี่จึงได้ยกไปชิงชัย |
สู้เอาชีวิตเข้าแลกรัก | หาญหักไม่กลัวตักษัย |
ครั้นเสร็จศึกได้เห็นอรไท | ค่อยคลายใจที่ทุกข์ทรมาน |
พี่อุตส่าห์กลั้นความเสนหา | ตลอดมาในทางไพรสาณฑ์ |
บัดนี้ปันหยีชัยชาญ | ประทานองค์นงคราญให้พี่ยา |
จะค่อยถนอมนวลสงวนรัก | สงวนศักดิ์มิให้เคืองขนิษฐา |
ว่าพลางลูบหลังกัลยา | แก้วตาอย่าสลัดตัดอาลัย ฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นกุสุมาศรีใส |
หวาดหวั่นครั่นคร้ามเป็นพ้นไป | ทรามวัยจึงตอบวาจา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ พระเอยพระองค์ | พระจงโปรดเกล้าเกศา |
ข้านี้ทุกข์นักหนักอุรา | ด้วยตัวเป็นข้าอุณากรรณ |
ซึ่งองค์ปันหยีประทานให้ | จะรับใช้ไม่รังเกียจเดียดฉันท์ |
แต่ที่จะสนิทติดพัน | ข้อนั้นขัดสนพ้นปัญญา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
โลม
๏ แสนเอยแสนคม | คารมแหลมหลักหนักหนา |
ว่าไยเช่นนั้นกัลยา | ไม่พอที่จะมาทุกข์ร้อน |
พี่ก็แจ้งใจในความหลัง | แต่ครั้งเห็นเจ้าเมื่อคราวก่อน |
ว่ามิสาอุณากรรณกับบังอร | เป็นเพื่อนนอนพูดเล่นเจรจา |
แต่เขาหมายไปสวรรค์พันผูก | อันเมียลูกมิได้ปรารถนา |
หาไม่ไหนจะทิ้งกัลยา | ไปสวรรค์ชั้นฟ้าแต่เดียวดาย |
เพราะเห็นเขาไม่หวงห่วงไย | พี่จึงได้ผูกพันมั่นหมาย |
พยายามตามอยู่ไม่รู้วาย | จนได้โฉมฉายมาครั้งนี้ |
ว่าพลางพระทางสัพยอก | เย้าหยอกเล้าโลมนางโฉมศรี |
คว้าไขว่ด้วยใจเปรมปรีดิ์ | อนิจจาผันหนีพี่ยาไย ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
ร่าย
๏ น้อยเอยน้อยจิต | สุดคิดปิ้มเลือดตาไหล |
ยิ่งห้ามก็ยิ่งลามลวนไป | ไม่เกรงใจเพราะเป็นเชลยมา |
ถึงองค์อุณากรรณไม่ห่วงใย | ก็กลการอะไรมาค่อนว่า |
ใครแถลงจึงแจ้งกิจจา | ว่าเป็นเพื่อนนิทราอุณากรรณ |
ธรรมดาเป็นข้าของท่าน | การงานก็ใช้ทุกสิ่งสรรพ์ |
ถ้าพระองค์ทรงใช้ให้เหมือนกัน | ข้าก็ไม่บิดผันรังเกียจใจ |
นี่ลามลวนกวนเกินไปหนักหนา | ไม่เป็นแต่สนทนาปราศรัย |
จะผันผ่อนหย่อนตามก็ขามใจ | นานไปจะไม่พ้นอัประมาณ ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
โลม
๏ สุดเอยสุดสวาท | แสนฉลาดตอบโต้ด้วยโวหาร |
จะรักเจ้าตราบเท่าบรรลัยลาญ | ไม่ทอดทิ้งเยาวมาลย์ให้ได้อาย |
ถึงเจ้าเกี่ยงเลี่ยงแก้ประการใด | พี่ก็ไม่ละวางนางโฉมฉาย |
จะประคองน้องแอบไว้แนบกาย | กว่าจะสมอารมณ์หมายของพี่นี้ |
ว่าพลางกอดเกี้ยวเกลียวกลม | แสนภิรมย์รับขวัญมารศรี |
ชมแก้มแนมดวงสุมาลี | ฤดียียวนไปมา |
ภุมเรศคลึงเคล้าเกสร | แซกซอนฟอนฟั้นบุปผา |
เบิกบานทานแสงสุริยา | เมฆาชอุ่มอนธการ |
เมขลาล่อแก้วแววไว | รามสูรเลี้ยวไล่ขว้างขวาน |
เสียงสนั่นพสุธาบาดาล | ทั้งสองแสนสำราญบานใจ ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ โลม
ช้า
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นกุสุมาศรีใส |
ได้ร่วมรสรักภูวไนย | อรไทเคียงข้างไม่ห่างองค์ |
หมอบชม้อยคอยให้ใช้ชิด | แสนสนิทพิสมัยใหลหลง |
ดังสุธาทิพรสหลั่งลง | ซึมซาบอาบองค์กัลยา |
ลืมคะนึงถึงมิสาอุณากรรณ | ลืมเล่นด้วยกำนัลซ้ายขวา |
ลืมทั้งบิตุเรศมารดา | สุดแสนเสนหาพันทวี ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | สังคามาระตาเรืองศรี |
ได้สู่สมชมรสฤดี | ด้วยยาหยีกุสุมาลาวัณย์ |
แสนสวาทคลึงเคล้าเย้ายวน | ชิดชวนชื่นชมภิรมย์ขวัญ |
ปรองดองสองถนอมน้ำใจกัน | แสนกระสันบันเทิงระเริงใจ |
เกษมสุขทุกทิวาราตรี | จะไปเฝ้าปันหยีก็หาไม่ |
ต่อหลายวันครั้นรุ่งอโณทัย | คิดจะไปเฝ้าองค์พระภูมี |
จึงชำระสระสรงทรงเครื่อง | อร่ามเรืองจำรัสรัศมี |
ถือเช็ดหน้ากรายกรจรลี | พี่เลี้ยงกิดาหยันก็ตามมา ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เพลง
๏ ครั้นถึงจึงประณตบทบงสุ์ | องค์มิสาระปันหยีสุกาหรา |
ด้วยใจภักดีปรีดา | คอยฟังบัญชาภูวไนย ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ประสันตาปากคันไม่กลั้นได้ |
ทำยิ้มในหน้าแล้วว่าไป | เอออะไรนิ่งกันเสียดังนี้ |
พระอนุชายกไปรอนราญ | ผลาญชาวล่าสำกรุงศรี |
ปิศาจร้ายกาจราวี | ให้ภูมีประชวรกลับมา |
ทั้งอาเพศผีซ้ำด้ามพลอย | ดูเป็นริ้วดังรอยนขา |
แล้วซูบซีดไปทั้งกายา | หมออื่นจะรักษาเห็นไม่คลาย |
จำจะต้องหาแพทย์เมืองล่าสำ | มาแก้ผีกระทำจึงจะหาย |
ละไว้จะกำเริบวุ่นวาย | ยิ่งจะร้ายแข็งขันขึ้นกว่านี้ ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สังคามาระตาเรืองศรี |
ได้ฟังประสันตาพาที | ภูมียิ้มละไมไปมา |
จึงเอาพลูรอยกัดซัดไป | กลการอะไรจึงค่อนว่า |
ถึงจะต้องปิศาจมายา | โรคาจะกำเริบก็ทำไม |
พี่ช่างมีหน้าว่าเล่น | จะเห็นอกผู้อื่นก็หาไม่ |
อันธรรมดาป่วยดังนี้ไซร้ | คือใครจะไม่ผอมก็ว่ามา ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | มิสาระปันหยีสุกาหรา |
ยิ้มพลางทางมีวาจา | อันปากประสันตานั้นสามานย์ |
ไม่คิดสอดส่ายดูปลายต้น | สัปดนว่าไปโดยโวหาร |
ให้ความมาปะทะระราน | กระนี้จะว่าขานประการใด ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ประสันตาจึงทูลสนองไข |
รับสั่งจะจำไว้สอนใจ | จะนิ่งเป็นใบ้สักสามวัน |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ปันหยีสำรวลสรวลสันต์ |
แล้วเสด็จกรายกรจรจรัล | เข้าห้องสุวรรณรูจี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ[๑]
[๑] ตั้งแต่พ้นบทที่ทรงพระราชนิพนธ์มา ถึงเล่ม ๓๐ เล่ม ๓๑ ตรวจดูความอยู่ข้างฟั่นเฝือทุกฉบับ การชำระลำบากยิ่งนัก ความที่พิมพ์ในเล่ม ๓๐ เล่ม ๓๑ ฉบับนี้คงผิดกับฉบับอื่น ๆ จึงบอกไว้ให้ทราบ
https://vajirayana.org/system/files/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B2_264950.pdf