- คำอธิบาย ว่าด้วยบทละคร อิเหนาฉบับหอพระสมุดวชิรญาณ
- เล่มที่ ๑
- เล่มที่ ๒
- เล่มที่ ๓
- เล่มที่ ๔
- เล่มที่ ๕
- เล่มที่ ๖
- เล่มที่ ๗
- เล่มที่ ๘
- เล่มที่ ๙
- เล่มที่ ๑๐
- เล่มที่ ๑๑
- เล่มที่ ๑๒
- เล่มที่ ๑๓
- เล่มที่ ๑๔
- เล่มที่ ๑๕
- เล่มที่ ๑๖
- เล่มที่ ๑๗
- เล่มที่ ๑๘
- เล่มที่ ๑๙
- เล่มที่ ๒๐
- เล่มที่ ๒๑
- เล่มที่ ๒๒
- เล่มที่ ๒๓
- เล่มที่ ๒๔
- เล่มที่ ๒๕
- เล่มที่ ๒๖
- เล่มที่ ๒๗
- เล่มที่ ๒๘
- เล่มที่ ๒๙
- เล่มที่ ๓๐
- เล่มที่ ๓๑
- เล่มที่ ๓๒
- เล่มที่ ๓๓
- เล่มที่ ๓๔
- เล่มที่ ๓๕
- เล่มที่ ๓๖
- เล่มที่ ๓๗
- เล่มที่ ๓๘
เล่มที่ ๑๖
๏ บัดนั้น | ฝ่ายเสนีผู้ใหญ่ในดาหา |
ถึงกำหนดวันงานการวิวาห์ | ก็ตรวจตราเตรียมกันทันที |
บอกกล่าวเหล่าพวกโขนละคร | ให้มานอนโรงรำประจำที่ |
ให้เปรียบมวยซ้อมดูได้คู่ดี | ถามไถ่ใส่บาญชีชื่อนาย ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้น | พนักงานการเล่นทั้งหลาย |
ครั้นรุ่งก็รีบแต่งกาย | อสุรนายวานรมนุษย์นาง |
พวกโขนเบิกโรงแล้วจับเรื่อง | สื่อเมืององคตพดหาง |
ตลกเล่นเจรจาเป็นท่าทาง | ทั้งสองข้างอ้างอวดฤทธี |
ละครเล่นอุณรุทสมอุษา | นายโรงร้องช้ารับปี่ |
ทำบทสมบทงดงามดี | ท่วงทีชม้ายชายตา |
พวกหุ่นชูเชิดชักสาย | คล่องคล้ายคนรำทำท่า |
เล่นเรื่องพระรามคลั่งฆ่าสีดา | ตะวันบ่ายปล่อยม้าอุปการ ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้น | หญิงชายประชาชนอลหม่าน |
เดินเป็นหมู่หมู่เที่ยวดูงาน | อุ้มลูกจูงหลานพัลวัน |
บ้างแบกม้ามานั่งดูละคร | แดดร้อนก็กางร่มกั้น |
สาวสาวไม่มีผัวตัวสำคัญ | ถือพัดด้ามจิ้วจันทน์กรีดกราย |
ลางคนคมสันทำปั้นปึ่ง | สีขี้ผึ้งกินหมากเมียงม่าย |
ชำเลืองแลมาสบหลบตาชาย | สะกิดเพื่อนเอื้อนอายอดสูใจ |
นักเลงเหล่าเจ้าชู้หนุ่มหนุ่ม | คาดเข็มขัดนุ่งปูมเกี้ยวคอไก่ |
ทัดยาดมห่มสีน้ำดอกไม้ | หวีผมตำรับใหญ่แยบคาย |
เห็นสาวที่ไหนชุมก็รุมเกี้ยว | อดข้าวขับเคี่ยวอยู่จนสาย |
บ้างเที่ยวทิ้งมอญรำทำกรีดกราย | พวกผู้ชายสรวลเสเฮฮา |
ลางคนดัดจริตติดกรุ้งกร่ิง | เห็นผู้หญิงยักคิ้วให้ต่อหน้า |
แล้วเดินเมียงเคียงเข้าพูดจา | หนุ่มสาวชาวพาราสำราญใจ ฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้น | ตำมะหงงเสนาผู้ใหญ่ |
ตะวันบ่ายชายบังปลายไม้ | ก็สั่งให้มีมวยหน้าพลับพลา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | พวกมวยคาดหมัดอยู่พร้อมหน้า |
คู่แรกแหวกวงเข้ามา | ลุกขึ้นตั้งท่าตามทำนอง |
จดหมัดปัดเท้าก้าวชก | ปะเตะตกต่อยตำช้ำถอง |
ถ้อยทีหนีไล่รับรอง | เคล่าคล่องหลายยกตกรางวัล ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา แทงวิสัย
๏ กระบี่มลายูสู้แขกเทศ | ต่างเพศน่าดูเป็นคู่ขัน |
ล่อลวงท่วงทีเข้าตีกัน | ติดพันเลี้ยวไล่ไปมา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ กลอง
๏ บรรดาคนดูล้วนผู้ชาย | มากมายเบียดเสียดอยู่หนักหนา |
สำรวลสรวลเสเฮฮา | เลิกมวยแล้วมาเที่ยวดูงาน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรีใจหาญ |
แต่เสด็จมาแรมอยู่ดงดาน | ไม่มีสุขสำราญสักเวลา |
จึงสั่งให้โหราหาฤกษ์ชัย | ขับไล่คืนวันชันษา |
จงดูยามตามตำรับโหรา | จะได้สมจินดาวันใดดี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ขุนโหรคูณควณถ้วนถี่ |
แล้วทูลว่ายามจันทร์วันนี้ | ฤกษ์ดีจะได้ดังจำนง ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรีสูงส่ง |
ฟังโหรทูลคดีโดยจง | พระองค์ชื่นชมยินดี |
จึงเรียกอนุชามาสั่ง | กับทั้งพี่เลี้ยงทั้งสี่ |
วันนี้เราจะยกเข้าบุรี | ฤกษ์ดีจะได้ดังจินดา |
แต่พระสุริย์ฉายบ่ายลง | พี่จงเตรียมพลไว้คอยท่า |
ได้ฤกษ์จะยกยาตรา | อย่าให้ล่วงเวลานาที ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สังคามาระตาเรืองศรี |
กับสี่พี่เลี้ยงผู้ภักดี | ถวายอัญชลีแล้วออกไป ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
ยานี
๏ จัดหมู่โยธาทวยหาญ | เลือกล้วนเคยชำนาญศึกใหญ่ |
สามหมื่นพื้นแต่ร่วมใจ | สรรพไปด้วยเครื่องสาตรา |
แล้วจึงซ้อมสั่งทุกโยธี | เมื่อไปใกล้ธานีดาหา |
จงยับยั้งอยู่ในอรัญวา | สนธยาจึงค่อยจรดล |
เข้าตามทางทัพกะหมังกุหนิง | ทำเหมือนจะช่วงชิงปลอมปล้น |
แม้นได้ช่องเวลาชอบกล | จึงให้พลโห่เร้าเอาชัย |
ระดมยิงปืนตีกลองศึก | ให้ก้องกึกสนั่นหวั่นไหว |
แล้วกล่าวคำหยาบช้าท้าไป | ดังพวกไพรีรื้อมาโรมรัน |
แม้นชาวบุรีออกรุกรบ | จงเคร่าคอยหลีกหลบผ่อนผัน |
ต่อเกิดกุณฑ์วุ่นวายในเมืองนั้น | จึงหนีเข้าอรัญรีบมา ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
ร่าย
๏ บัดนั้น | พวกทหารชำนาญอาสา |
คำนับรับคำแล้วอำลา | ไปตามบัญชาพระภูมี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรีเรืองศรี |
ครั้นจวนเวลาราตรี | ภูมีชื่นชมภิรมยา |
จึงชำระองค์สรงสนาน | ทรงสุคนธาธารบุปผา |
แต่งองค์ปลอมเป็นเสนา | กุมกริชเทวาแล้วคลาไคล ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ สององค์ขึ้นทรงอัสดร | พร้อมแสนยากรน้อยใหญ่ |
ครั้นได้ศุภฤกษ์เรืองชัย | ให้เคลื่อนพลไกรจรลี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นมาใกล้นคเรศเขตขัณฑ์ | พอสายัณห์ยอแสงสุริย์ศรี |
สององค์ลงจากพาชี | กับพี่เลี้ยงทั้งสี่ดำเนินไป |
ค่อยหย่อยเดินพลอยชาวพารา | ใครจะทันสงกาก็หาไม่ |
แยกย้ายมรรคาคลาไคล | ตรงไปติกาหรังสำราญ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ จึงตรัสสั่งระเด่นดาหยน | จงจัดคนซึ่งสนิทคิดอ่าน |
ไปคอยจุดเพลิงทุกโรงงาน | พี่ตรึกตรองการให้จงดี |
แล้วเทียมรถามาประทับ | กำชับอย่าให้ใครอึงมี่ |
แม้นเกิดกุณฑ์วุ่นวายทั้งธานี | จะลอบหาพระบุตรีหนีไป ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นดาหยนบังคมไหว้ |
ออกมาเร่งให้เทียมรถชัย | เตรียมไว้แต่ในเวลาพลบ |
แล้วจึ่งกระซิบสั่งทหาร | ให้คอยทุกโรงงานมหรสพ |
ถ้าได้ยินเสียงปืนแลกลองรบ | จงจุดเพลิงแล้วหลบหลีกมา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | พวกทหารว่องไวใจกล้า |
คำนับรับคำแล้วอำลา | ต่างหาหยากเยื่อเชื้อไฟ |
ชุบน้ำมันพันห่อผ้าขี้ริ้ว | กำมะถันดินประสิวประสมใส่ |
เสร็จแล้วชวนกันไม่พรั่นใจ | แยกย้ายรายไปทุกตำบล ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงโรงงานมโหรสพ | ก็พบพวกหญิงชายสับสน |
จึงแวะเข้าหยุดยั้งนั่งปลอมปน | ต่างคนคอยระวังฟังสำคัญ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | พนักงานการเล่นทุกสิ่งสรรพ์ |
แต่สมโภชมาได้ยี่สิบวัน | ฆ้องกลองก้องสนั่นพารา |
ครั้นราตรีมีหนังประชันเชิด | ฉลุฉลักลายเลิศเลขา |
ปล่อยลิงหัวค่ำทำศักดา | แล้วพากย์เจรจาเรื่องราว ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิดนอก
๏ บรรดาโขนละครมอญรำ | ครั้นค่ำก็โหมโรงโห่ฉาว |
ตั้งตระสาธุการเชิดกราว | เสียงส้าวสนั่นลั่นไป ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้น | ประชาชนชายหญิงน้อยใหญ่ |
ทั้งพวกผู้ดีแลเข็ญใจ | ต่างคนต่างไปเที่ยวดูงาน |
หนุ่มหนุ่มกลุ้มกลาดกลางถนน | เข้าเบียดสาวสับสนอลหม่าน |
บ้างลอบทิ้งโรงหนังจังฑาล | เขาจับได้ให้การซัดถึงนาย |
พวกบัณฑิตสึกใหม่ไปเป็นหมู่ | แต่ล้วนเหล่าเจ้าชู้ฉุยฉาย |
ชักจ้องหน่องเป่าขลุ่ยทำกรุยกราย | เที่ยวแวดชายหมายดูสตรี |
ครั้นเห็นสาวสาวชาวร้าน | ก็เกี้ยวพานเลียมล้อขอบุหรี่ |
บ้างกินเหล้าเมามึนเต็มที | ชกตีวิวาทบังอาจใจ |
บ้างแอบซุ่มพุ่มไม้อยู่ให้ลับ | เห็นพวกผู้หญิงกลับเข้าดับไต้ |
กระชากผ้าพาวิ่งชิงเอาไป | เจ้าของไล่กลับชกหกล้มลง |
ลางพวกพาเมียมาดูหนัง | แวะนั่งซื้อลูกบัวถั่วลิสง |
แล้วเสียดแทรกแหวกวางเข้ากลางวง | ตะลึงหลงดูหนังฟังเรื่องราว |
ลางคนจับตะขาบมาเด็ดเขี้ยว | เที่ยวทิ้งโรงหนังทำรังหยาว |
หลอนหลอกหยอกหญิงวิ่งกราว | ครั้นสาวสาวตกใจก็ได้ที |
แกล้งทำซวนเซเฮฮา | ไขว่คว้าบ่าเบียดเสียดสี |
แล้วเที่ยวดูโรงโน้นโรงนี้ | อลหม่านอึงมี่ไปมา ฯ |
ฯ ๑๖ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้น | ฝ่ายพวกทหารอาสา |
ซึ่งซ่อนอยู่ชายอรัญวา | ครั้นได้ทีก็มาพร้อมกัน |
จึงตีกลองร้องโห่สำทับ | ระดมยิงปืนตับครื้นครั่น |
แล้วร้องประกาศไปพลัน | ถึงเจ้าเราสวรรคาลัย |
ตัวเราทั้งปวงยังอยู่ | จะนิ่งดูไพรีกระไรได้ |
จะแก้แค้นแทนเจ้าที่ล่วงไป | ใครดีเร่งให้มาสู้กัน ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ฝ่ายพวกประจำซองกองขัน |
ตกใจลุกแล่นพัลวัน | ขับกันให้ขึ้นเชิงเทินราย |
บ้างลากปืนใหญ่ใส่ช่อง | นกสับจับจ้องเขม้นหมาย |
ถืออาวุธไว้ทั้งไพร่นาย | บ้างคั่วกราวทรายเป็นโกลี |
บ้างปิดทวารลงเขื่อนขัณฑ์ | สารวัดตรวจกันทุกหน้าที่ |
บ้างเผ่นขึ้นม้าใช้ทันที | รีบไปแจ้งคดีที่ในวัง ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๏ บัดนั้น | ฝ่ายพวกละครโขนหนัง |
ได้ยินเสียงปืนยิงระดมดัง | ก็ตึงตังใจทั้งไพร่นาย |
บ้างฉวยได้หีบผ้าหน้าโขน | วิ่งโดนประตูจอนหูหาย |
เหล่าพวกเล่นหุ่นก็วุ่นวาย | ตื่นตายไม่เป็นสมประดี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้น | ทหารคอยจุดไฟในกรุงศรี |
เห็นคนตื่นตกใจได้ที | ก็ลอบจุดอัคคีดังสัญญา |
แล้วจึงซอกซอนซ่อนเร้น | มิให้ใครเห็นรู้จักหน้า |
ปลอมปนกับชาวพารา | ทำร้องไห้วิ่งหากันวุ่นไป ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ บัดนั้น | เหล่าทหารซึ่งล้อมกรุงใหญ่ |
เห็นแสงเพลิงสว่างทั้งเวียงชัย | ก็เลิกทัพเข้าในดงดาน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ บัดนั้น | ฝ่ายฝูงหญิงชายชาวบ้าน |
เห็นเพลิงพลุ่งโพลงทุกโรงงาน | อลหม่านไม่เป็นสมประดี |
บ้างเก็บข้าวของร้องหา | จูงมือภรรยาพาหนี |
แบกหีบห่อผ้าบรรดามี | บ้างคอยตีฉกชิงวิ่งราว |
ที่หนุ่มหนุ่มซุ่มแอบอยู่ปลายตรอก | ฉวยฉุดยุดหยอกผู้หญิงสาว |
บ้างอุ้มลูกจูงหลานเป็นระนาว | นายเรียกหาบ่าวอึงอล |
บ้างถอดดาบปลาบเปลือยถือแกว่ง | มิให้ใครปลอมแย่งของขน |
ชายหญิงวิ่งปะทะปะปน | ประชาชนวุ่นวายทั้งเวียงชัย ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด เจรจา
๏ เมื่อนั้น | สองกษัตริย์สุริย์วงศ์เป็นใหญ่ |
ครั้นแจ้งว่าเกิดเหตุเภทภัย | บรรหารให้ตรวจเตรียมโยธา |
แต่งองค์ทรงเครื่องศึกเสร็จ | เสด็จทรงคชสารหาญกล้า |
พร้อมหมู่สุรชาติมาตยา | ลีลาเลิกพลออกจากวัง ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ ให้ปะหรัดกะติกาม้าใช้ | แยกย้ายกันไปประกาศสั่ง |
เหล่าทหารอยู่ด้านให้ยับยั้ง | ด้วยยังมืดมนอนธการ |
ไม่รู้จักฝ่ายเราฝ่ายเขา | พลเรายังตื่นแตกฉาน |
ถ้าปีนป่ายทำลายปราการ | จึงรอนราญห่ำหั่นให้บรรลัย |
แล้วสั่งเสนาทั้งสี่ | เร่งดับอัคคีให้จงได้ |
เร่งช้างเร่งพลเข้าไป | แย่งเหยียบลงในบัดนี้ ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | อำมาตย์รับสั่งใส่เกศี |
ออกมาขับต้อนโยธี | เข้าดับอัคคีทันใด |
ขุนช้างไสช้างเข้าเสยสอย | เหย้าเรือนใหญ่น้อยไม่ทนได้ |
งวงคว้างาแทงทลายไป | สียงไม้โผงผางล้างลง |
บ้างขึ้นหลังคาเอาผ้าฟาด | ตะกร้อน้ำซ้ำสาดแล้วตักส่ง |
บ้างตัดฝาฟันฟากกระชากตง | ยับลงด้วยกำลังโยธี ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด เจรจา
๏ เมื่อนั้น | จรกาล่าสำสองศรี |
กับกรุงกษัตริย์ธิบดี | ได้ยินเสียงอึงมี่ทั้งเวียงชัย |
แต่งองค์แล้วทรงคชสาร | พร้อมโยธาหาญน้อยใหญ่ |
เร่งช้างเร่งพลรีบไป | พบสองภูวไนยทรงธรรม์ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ต่างองค์ถวายอภิวาท | เบื้องบาทสองกษัตริย์รังสรรค์ |
แล้วขับช้างขับพลทั้งนั้น | ระดมกันเข้าดับอัคคี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด เจรจา
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรีเรืองศรี |
แจ้งว่าสองกษัตริย์ธิบดี | มาดับอัคคีนี่นัน |
ฯ ๒ คำ ฯ
โทน
๏ จึงเข้าที่สรงสนานสำราญสกนธ์ | ทรงสุคนธรสรังสรรค์ |
สนับเพลาเชิงงอนซ้อนสามชั้น | ผ้าพอกทองพรรณอำไพ |
ทรงภูษาสุวรรณชั้นนอก | พื้นม่วงดวงดอกระกำไหม |
ฉลององค์สอดสวมนวมใน | ให้กายใหญ่เท่าท้าวจรกา |
ไม่ทรงเครื่องประดับสำหรับทรง | ตามวงศ์อสัญแดหวา |
ทรงแต่เครื่องระตูต่ำช้า | กุมกริชฤทธาจรลี ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ
ร่าย
๏ มาทรงรถแก้วแพรวพรรณ | กะระตาหลานั้นเป็นสารถี |
ประสันตาขึ้นท้ายทันที | สองศรีพี่เลี้ยงเข้าเคียงรถ |
ทั้งระเด่นสังคามาระตา | แสนสุรโยธาก็มาหมด |
โดยเสด็จพระองค์ผู้ทรงยศ | เร่งรถไปยังทวารา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ บัดนั้น | จึงพระพี่เลี้ยงกะระตาหลา |
ร้องว่าเปิดประตูอย่าช้า | องค์ท้าวจรกาจะเข้าไป ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้น | นายประตูจึงแจ้งแถลงไข |
เกิดกุณฑ์วุ่นวายทั้งเวียงชัย | เราเปิดไม่ได้นะเสนา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ปะหรัดกะติกาจึงร้องว่า |
ข้าศึกฮึกโห่เป็นโกลา | เข้ามาจุดไฟในธานี |
รับสั่งให้ท้าวจรกา | มารักษาพระนิเวศน์เรืองศรี |
อย่าโต้ตอบวาจาให้ช้าที | เปิดประตูภูมีจะเข้าไป ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นายประตูหารู้กลไม่ |
ก็ชกกลอนถอนลิ่มทันใด | ไขกุญแจให้ดังจินดา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระสุริย์วงศ์อสัญแดหวา |
เสด็จลงจากรถรัตนา | ก็ลีลาเข้าไปทันที ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เพลงช้า
๏ บัดนั้น | ฝูงนางกำนัลสาวศรี |
แลไปเห็นแสงอัคคี | ตกใจอึงมี่วุ่นวาย |
ทั้งเหล่าเถ้าแก่จ่าโขลน | วิ่งโดนกันล้มผ้าห่มหาย |
อุตลุดฉุดมือเจ้าขรัวนาย | ตื่นตายร้องเรียกกันเพรียกไป |
บ้างเก็บของทองเงินหายหก | บ้างเปิดตู้กระจกประแจไข |
คว้าหาเครื่องแป้งเครื่องแต่งไร | แหนบตะไกรใส่พานผ้ามา |
ลางคนขนได้แต่ข้าวของ | ลืมกระจกคันฉ่องไปมองหา |
บ้างให้บ่าวหามหีบเงินตรา | เบียดเสียดไปมาปะทะกัน ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด เจรจา
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรีเฉิดฉัน |
พระเสด็จลัดหลีกฝูงกำนัล | มาปราสาทแก้วกัลยาณี |
ทำเสียงให้เหมือนจรกา | ถามหาบุษบามารศรี |
บัดนี้ข้าศึกมาราวี | พ้นที่จะต่อฤทธิไกร |
พระบิดาให้พานางโฉมยง | ตามเสด็จพระองค์ไปจงได้ |
บัดนี้นางอยู่แห่งใด | จงบอกเราไปอย่าได้ช้า ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้น | บาหยันพี่เลี้ยงเสนหา |
ไม่ทันพิศดูพักตรา | เห็นกายาเติบใหญ่เท่ากัน |
คิดว่าจรกาธิบดี | พาทีเสียงแหบแสบสั่น |
ทูลว่าพระธิดาดวงจันทร์ | อยู่ห้องสุวรรณบรรทมใน ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระทรงโฉมประโลมพิสมัย |
เข้ายังห้องแก้วแววไว | อุ้มองค์อรไทไคลคลา |
อันพี่เลี้ยงนางนมทั้งนั้น | สาวศรีกำนัลซ้ายขวา |
ก็เบียดเสียดเยียดยัดกันออกมา | จะตามเสด็จพระธิดาคลาไคล ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นบุษบานารีศรีใส |
ไม่แจ้งเหตุผลกลใด | ตกใจตะลึงทั้งอินทรีย์ |
กันแสงพลางทางตรัสด้วยขัดแค้น | บังอาจมาถึงแท่นบรรทมศรี |
จะพาเราไปไหนดังนี้ | จึงทำทีทะนงอหังการ์ |
แม้ไฟไหม้มาถึงวังใน | จะสู้ม้วยบรรลัยเสียดีกว่า |
เราไม่เสียดายชีวา | วางเสียอย่าพาบทจร ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรีชาญสมร |
จึงปลอบด้วยคำอันสุนทร | บังอรระงับดับโศกี |
พระบิตุเรศตรัสใช้ให้มา | เชิญโฉมวนิดามารศรี |
จะพาไปตามเสด็จพระภูมี | เทวีอย่าตระหนกตกใจ |
ครั้นจะเสด็จกลับมารับเอง | ก็เกรงเหล่าไพรีจะลามไล่ |
ปลอบพลางรีบเร่งคลาไคล | ตรงไปยังที่ทวารา ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๏ จึงสั่งนายประตูด้วยพลัน | ฝูงกำนัลตามเรามาหนักหนา |
ห้ามไว้อย่าให้ใครออกมา | แล้วราชาก็รีบบทจร |
บาหยันประเสหรันสองศรี | ตามเสด็จภูมีออกมาก่อน |
พระอุ้มองค์ทรงรถอลงกรณ์ | พี่เลี้ยงสองสมรก็ขึ้นท้าย |
กะระตาหลากับประสันตา | เร่งขับอาชาผันผาย |
เหล่าทหารพร้อมพรั่งทั้งไพร่นาย | ตามท้ายราชรถรีบมา ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงประตูชั้นนอก | มรรคาจะออกไปคูหา |
เห็นคนอึงอัดรัถยา | ให้หยุดอาชารอไว้ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | พี่เลี้ยงประสันตาอัชฌาสัย |
ทำเล่ห์เสแสร้งร้องออกไป | เปิดประตูเวียงชัยออกบัดนี้ |
จรการับราชบรรหาร | พระผู้ผ่านดาหาบุรีศรี |
ให้ไปดูอริราชไพรี | เป็นการร้อนบัดนี้เร็วพลัน |
เร่งฉุดสลักชักกลอน | รื้อถอนเขื่อนปักหลักมั่น |
พลเราเข้าช่วยระดมกัน | ให้ทันเสด็จอย่าได้ช้า ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เหล่าทหารซึ่งตามรัถา |
เข้าชักกลอนถอนเขื่อนเป็นโกลา | แล้วเปิดทวาราออกทันที ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ประสันตาซึ่งเป็นสารถี |
รีบขับราชรถจรลี | ออกนอกบุรีเวียงวัง |
บรรดาเหล่าเสนีรี้พล | เบียดเสียดสับสนอยู่ข้างหลัง |
บ้างขึ้นพาชีมีกำลัง | ตามเสด็จคับคั่งไคลคลา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้น | พระสุริย์วงศ์พงศ์อสัญแดหวา |
อุ้มองค์นงลักษณ์ใส่ตักมา | ดังได้ฟากฟ้าสุราลัย ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
ชาตรี
๏ ครั้นออกมานอกทวารเวียง | จึงกล่าวเกลี้ยงพจนาปราศรัย |
โฉมเฉลาเยาวยอดยาใจ | จงแจ้งในกลซึ่งเสน่ห์นาง |
มิใช่จรกาได้มาต้อง | พี่ดอกนวลน้องอย่าหมองหมาง |
ซึ่งโศกศัลย์กันแสงเคืองระคาง | จงบรรเทาเสียบ้างนะเทวี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นบุษบามารศรี |
ครวญคร่ำกำสรดโศกี | ครั้นได้สมประดีขึ้นมา |
รู้ว่าอิเหนากุเรปัน | นางประหวั่นพรั่นจิตเป็นหนักหนา |
ผลักกรคมค้อนนัยนา | กัลยาหยิกข่วนยับไป ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | สองนางพี่เลี้ยงอัชฌาสัย |
สรวลพลางทางทูลไปทันใด | เป็นไฉนฉะนี้พระทรงธรรม์ |
ช่างประดิษฐ์คิดแปลงแต่งองค์ | ทรวดทรงพินิจไม่ผิดผัน |
ทั้งกายก็ใหญ่คล้ายกัน | สำคัญว่าท้าวจรกา |
มิได้รู้เหตุเภทภัย | ตระหนกตกใจเป็นหนักหนา |
ดังชีวิตจะจากกายา | ผ่านฟ้าทำไยดังนี้ ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรีเรืองศรี |
จึงบัญชาตอบไปทันที | ซึ่งทำทั้งนี้เพราะจนใจ |
มะเดหวีจะช่วยแล้วไม่ช่วย | รับเล่นรวยรวยแล้วไม่ได้ |
แม้นมิปลอมปล้นเป็นกลใน | ที่ไหนจะพ้นมรณา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | บาหยันยอกรเหนือเกศา |
จึงทูลสนองพระบัญชา | ถึงผ่านฟ้าจะมิทำดังนี้ |
เสด็จมาตรงตรงก็เป็นไร | ใครจะทัดขัดได้ก็ใช่ที่ |
นี่แกล้งแปลงองค์อินทรีย์ | ให้ตกใจอึงมี่ทั้งวังใน ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรีเฉลยไข |
แม้นมิแปลงองค์ทำตรงไป | พี่หรือจะได้นางมา |
อันหนึ่งซึ่งได้ปฏิญาณ | ที่ในวิหารบนภูผา |
ยังได้เหมือนคำสัญญา | หรือว่ากล่าวแกล้งแสร้งลวงกัน ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | จึงโฉมนวลนางบาหยัน |
ก้มเกล้าทูลองค์พระทรงธรรม์ | ข้าได้ล่อลวงนั้นเมื่อไร |
มาว่าทีไรก็ทูลเตือน | จะได้คิดบิดเบือนก็หาไม่ |
มะเดหวีตรัสว่าสัญญาไว้ | จะให้ได้ฝ่ายข้างพระองค์นี้ |
อันพระน้องจะให้ครองกับระตู | อกข้าร้อนอยู่ดังไฟจี้ |
แม้นได้คงตามวงศ์ประเวณี | จะยินดีนักเป็นสัจจา ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | พระสุริย์วงศ์เทวัญหรรษา |
ฟังพี่เลี้ยงสนองต้องวิญญาณ์ | พลางเร่งรัถาคลาไคล ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงที่ประทับต้นทาง | ที่กลางมรคาป่าใหญ่ |
จึงสั่งอนุชาผู้ร่วมใจ | อย่าตามไปจงอยู่ที่พลับพลา |
ให้ตระเวนเกณฑ์กันชั้นนอก | มีเหตุจงไปบอกยังคูหา |
สั่งแล้วอุ้มองค์วนิดา | มาทรงอาชาจรลี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้งมาถึงปากถ้ำทอง | พออุทัยเรืองรองส่องศรี |
พระอุ้มนางลงจากพาชี | เข้าห้องคิรีรจนา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
ชมโฉม
๏ วางองค์ลงเหนือแท่นทอง | ค่อยประคองรับขวัญด้วยหรรษา |
พระนั่งชิดพิศพักตร์พนิดา | ดังจันทราทรงกลดหมดราคี |
โฉมยงอย่าทรงกันแสงศัลย์ | ผิวพรรณพักตร์ผ่องจะหมองศรี |
เช็ดชลนานางพลางพาที | จะผินผันหันหนีพี่ยาไย |
เนตรน้องต้องตาเป็นน่ารัก | เสียดายนักจะช้ำเพราะร่ำไห้ |
เนื้อน้องนวลละอองอำไพ | จะหม่นไหม้เสียศรีโสภา ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
ชาตรี
๏ น้องเอยน้องรัก | งามขนงวงพักตร์ดังเลขา |
พี่ตั้งจิดคิดจะฝากชีวา | กัลยาควรหรือมาถือใจ |
เจ้าหยิกข่วนพี่ล้วนแต่รอยเล็บ | ความรักจักเจ็บก็หาไม่ |
เสียดายเล็บของน้องสงวนไว้ | จะหักไปเสียเปล่าไม่เข้าการ |
อนิจจารักเจ้าแต่เฝ้าปลอบ | ก็ไม่ตอบพจนาว่าขาน |
ก่นแต่กันแสงไห้อาลัยลาน | จะคิดอ่านผ่อนปรนก็จนใจ |
แม้นพูดว่ากล่าวโดยดี | เป็นไรมีมิให้ขัดอัชฌาสัย |
พี่จะพาโฉมงามทรามวัย | กลับไปส่งเสียยังพารา ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | บุษบาเยาวยอดเสนหา |
ได้ฟังคั่งแค้นวิญญาณ์ | ก็โศการำพันพาที ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
โอ้ปี่
๏ อกเอ๋ยน่าน้อยใจนัก | ชั่วช้าอัปลักษณ์บัดสี |
ช่างกระไรไม่มีความดี | เสียทีที่กำเนิดเกิดมา |
ทำให้เคืองเบื้องบาทบิตุรงค์ | เหมือนมิใช่เชื้อวงศ์อสัญหยา |
แม้นม้วยมุดสุดสิ้นชีวา | จะดีกว่าที่ได้อัประมาณ |
ทั้งเจ็บทั้งอายทั้งขายหน้า | อยู่ชั่วกัลปาวสาสาน |
ดังชาติกะละหนาสาธารณ์ | ผิดพงศ์วงศ์วานทั้งปวงไป |
เขาจะค่อนนินทาทุกแห่งหน | จะอยู่ดูหน้าคนกระไรได้ |
ว่าพลางนางชักชายสไบ | ปิดพักตร์ร่ำไรโศกี ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
โอ้โลม
๏ ทรามเอยทรามสงวน | ไม่ควรจะขึ้งเคียดเสียดสี |
แสนกระแหน่แง่งอนค่อนพาที | ช่างพิรี้พิไรรำพัน |
ใช่อื่นไกลหาไหนมาเล่า | นงเยาว์อย่ารังเกียจเดียดฉันท์ |
สมศักดิ์สมตระกูลเสมอกัน | ว่าไยอย่างนั้นกัลยา |
พี่ทำโดยสุจริตจิตจง | มิให้เสียสุริย์วงศ์อสัญหยา |
รักเจ้าเท่าเทียมชีวา | กระนี้แล้วแก้วตาไม่ปรานี |
จะถือโทษโกรธขึ้งไปถึงไหน | ช่างไม่เห็นวิตกในอกพี่ |
โทษผิดนิดหนึ่งแต่เพียงนี้ | ไม่ควรที่จะสลัดตัดรอน |
เป็นความสัตย์ทุกสิ่งจริงจัง | โฉมยงจงฟังพี่มั่งก่อน |
เสียแรงรักเจ้าเฝ้าวิงวอน | จงอดอ่อนผ่อนลงเถิดนงเยาว์ ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
ร่าย
๏ วาเอยวาจา | ช่างว่าเหมือนใครไม่รู้เท่า |
สารพัดไพเราะเพราะเพรา | เลือกเอาแต่ดีมาเจรจา |
จะให้เชื่อพจมานหวานถ้อย | จะได้ไปเป็นน้อยชาวหมันหยา |
เขาจะเชิดชื่อลือชา | ว่ารักสามีท่านกว่าความอาย |
อันความอัปยศอดสู | จะติดตัวชั่วอยู่ไม่รู้หาย |
ร้อนใจอะไรเล่าเจ้าเป็นชาย | ไม่เจ็บอายขายหน้าก็ว่าไป |
ว่าพลางนางสะบัดเบือนหนี | มารศรีโศกซ้ำร่ำไห้ |
อนิจจาเจ็บช้ำระกำใจ | แต่นี้จะได้อัประมาณ ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
โอ้โลม
๏ ดวงเอยดวงสมร | ลิ้นลมคมค่อนว่าขาน |
พี่มิให้แก้วตายุพาพาล | ได้ความอัประมาณเหมือนวาจา |
อันนางจินตะหราวาตี | ใช่พี่จะมุ่งมาดปรารถนา |
หากเขาก่อก่อนหย่อนมา | ใจพี่พาลาก็งวยไป |
พี่ลอบโลมเล่นแต่เช่นชู้ | มิได้เลี้ยงเป็นคู่พิสมัย |
อันตัวพี่กับเจ้าก็เข้าใจ | ตุนาหงันกันไว้แต่เยาว์มา |
ถึงจะมีเมียก่อนสักนับร้อย | ก็เป็นน้อยแก่ยอดเสนหา |
ตามจารีตสุริย์วงศ์พงศ์เทวา | โดยได้สัญญาว่ากัน ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๏ ลิ้นเอยลิ้นลม | เพราะพริ้งกลิ้งกลมดังจักรผัน |
ในสารศรีมีมาเป็นสำคัญ | ว่าไม่เลี้ยงข้านั้นแน่นอน |
ซึ่งว่าไม่เลี้ยงจินตะหรา | จงรำลึกตรึกตราดูก่อน |
อย่ากล่าวแกล้งกลับกลอกยอกย้อน | อักษรมีมั่นอยู่เป็นตรา |
ก็ย่อมรู้อยู่ทั่วว่าชั่วชาติ | เจ้าสลัดตัดขาดไม่ปรารถนา |
จึงเริดร้างห่างกันแต่นั้นมา | พระบิดาอาดูรฟูนไฟ |
ไพร่ฟ้าประชากรก็ร้อนรน | ได้เคืองแค้นทุกข์ทนหม่นไหม้ |
แต่เพียงนั้นแล้วมิหนำใจ | ยังมาซ้ำทำให้อัประมาณ |
กระนี้หรือแบกหน้ามาว่ารัก | ปลอมปล้นฉกลักหักหาญ |
นี่เนื้อแกล้งชิงชังจังฑาล | ให้เดือดร้อนรำคาญทั้งธานี ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
โอ้โลม
๏ ดวงเอยดวงยิหวา | ใช่จะชังฉันทามารศรี |
สู้หาญหักเพราะรักเทวี | ยากที่จะหยิบอย่างมาอ้างอิง |
แม้นแหวะทรวงดวงจิตพี่ออกได้ | จะประจักษ์แจ้งใจเจ้าทุกสิ่ง |
อันโทษแต่หลังนั้นผิดจริง | พี่ก็วิงวอนขออรไท |
เจ้าก็ไม่เมตตาปรานี | อันชีวีพี่จะคงอย่าสงสัย |
เดิมที่ได้ออกวาจาไว้ | แม้นมิได้ไม่อยู่ไยดี |
ทีนี้สุดสิ้นวาสนา | ชะรอยกรรมเวราของพี่ |
จะได้เห็นหน้ากันแต่วันนี้ | ค่อยอยู่จงดีจะขอลา |
เจ้าอย่ากินแหนงแคลงจิต | ว่าจะคิดคืนหลังยังหมันหยา |
มิให้เสียคำมั่นสัญญา | จะสู้ตายในป่าพนาลี ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
ร่าย
๏ พระแสร้งแกล้งทำเหมือนจะจาก | โอ้กรรมจำพรากมารศรี |
อาลัยใส่กลโศกี | แล้วเสด็จจรลีออกมา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ จึงตรัสสั่งยะรุเดะผู้ร่วมใจ | จงบอกกับนายไพร่ให้พร้อมหน้า |
จะเตร็ดเตร่เร่ไปตามเวรา | กว่าจะสิ้นชีวาวายชนม์ |
พระแสร้งเสด้วยเล่ห์กลใน | หวังจะให้สองนางนึกฉงน |
กระหยิบเนตรให้หน้าเป็นแยบยล | เร่งเตรียมพลอย่าช้าจะคลาไคล |
แล้วตรัสสั่งทั้งสองกัลยา | พี่ติดตามมาในป่าใหญ่ |
ค่อยอยู่เถิดข้าจะลาไป | โดยในความสัตย์ที่ตัดรอน ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | สองนางพี่เลี้ยงสายสมร |
ไม่แจ้งการมารยาพระภูธร | ให้อาวรณ์หวาดหวั่นพันทวี |
ดังพระกาลมาผลาญเอาชีวาตม์ | ให้สองนางวินาศลงกับที่ |
ต่างคนกำสรดโศกี | อัญชลีแล้วทูลสนองไป |
พระองค์จงทรงพระเมตตา | จะถือโทษโกรธากระไรได้ |
อันองค์ขนิษฐายาใจ | ทรามวัยยังเยาว์เบาความ |
พระทัยเดียวเหี่ยวแห้งแข็งนัก | หาญหักไม่คิดเกรงขาม |
โปรดข้าน้อยก่อนอย่าวู่วาม | จะปลอบโยนดูตามท่วงที |
แม้นพระน้องมิฟังสั่งสอน | จะสลัดตัดรอนก็ควรที่ |
ว่าพลางสองนางจรลี | เข้าในห้องคิรีศรีไสยา ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระสุริย์วงศ์พงศ์อสัญแดหวา |
จึงเสด็จยุรยาตรคลาดคลา | ตามสองกัลยาเข้าไป ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึงค่อยย่างย่อง | ยืนแอบม่านทองสองไข |
คอยฟังพี่เลี้ยงกับทรามวัย | จะว่าขานประการใดแก่กัน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | จึงโฉมนวลนางบาหยัน |
ปลอบองค์อรไทไปพลัน | จอมขวัญเมืองเม่จงเมตตา |
พระพี่ยาว่าไรไม่ฟังบ้าง | ขัดขวางหาญหักเป็นหนักหนา |
จงหยุดยั้งชั่งใจกัลยา | ตรึกตราตรองดูให้จงดี |
จะพอใจให้ได้ข้างระตู | ไม่อดสูเทวาในราศี |
เกิดมาเป็นปิ่นกษัตรี | ไม่ควรที่จะให้ต้องเป็นสองชาย ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นบุษบาโฉมฉาย |
ฟังพี่เลี้ยงปลอบตอบภิปราย | อันลมชายจะเชื่อเหลือประมาณ |
ซึ่งทำการหาญหักว่ารักใคร่ | เกลือกส้มจะไม่เป็นหวาน |
เห็นจะแสร้งแกล้งทำจัณฑาล | ดำริการเกรงกริ่งทุกสิ่งไป |
ข้างระตูสู้ตายไม่นึกหวัง | น้องจะฟังพี่ยาก็หาไม่ |
เขาจะอยู่ด้วยเราสักเท่าใด | เขาจะเห็นอะไรแก่น้องนี้ |
เมียเขาเขารักร่วมชีวัน | สารพันแจ้งอยู่กับใจพี่ |
แต่องค์พระชนกชนนี | ยังไม่มียำเยงเกรงใจ |
บัดนี้ยิ่งไม่มีที่เกรงขาม | จะทำตามแต่ชอบอัชฌาสัย |
เมื่อมิชอบใจแล้วก็แล้วไป | น้องจะได้ความอายพันทวี |
ทั้งเจ็บทั้งแค้นสักแสนส่วน | จงนึกในใคร่ครวญให้ถ้วนถี่ |
เสียแรงเกิดมาเป็นนารี | จะช่วงชิงสามีท่านทำไม ฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ประเสหรันผู้มีอัชฌาสัย |
เห็นนางไม่หย่อนอ่อนใจ | บังคมไหว้แล้วทูลกิจจา |
เราพลัดมารดรบิตุเรศ | เห็นแต่ทรงเดชเชษฐา |
สิ่งใดอย่าได้หยาบช้า | โอนอ่อนผ่อนหาเถิดเทวี |
อย่าให้เคืองขัดอัชฌาสัย | อันจะพ้นภูวไนยก็ใช่ที่ |
จงถนอมพระทัยไว้ให้ดี | แม่จะได้เป็นศรีกุเรปัน |
อันจรกาจะมาเป็นคู่ครอง | ไม่น่าจะร่วมห้องประคองขวัญ |
ทั้งรูปชั่วตัวดำต่ำพงศ์พันธุ์ | ที่จะเรียงเคียงกันน่าอายนัก |
ดังปัดปนศรีมณีโชติ | หฤโหดเนื้อน้ำต่ำศักดิ์ |
พิศไหนก็ได้แต่ทรลักษณ์ | จะสมพักตร์สักสิ่งก็ไม่มี |
อันข้าน้อยนี้ไม่มีสุข | แต่ปรับทุกข์กันอยู่ทั้งสี่ |
ซึ่งพ้นจรกามานี้ | ดังยกคิรีออกจากทรวง |
พระพี่ยารักองค์นงคราญ | จึงคิดกลทำการใหญ่หลวง |
ไม่เห็นแกล้งแต่งข้อล่อลวง | ดวงสมรจงทรงพระเมตตา |
บัดนี้พระพี่แค้นขัด | เร่งรัดรี้พลจะไปป่า |
จะคิดฉันใดดีนะอกอา | เจ้าข้าเราจะม้วยอยู่ในไพร ฯ |
ฯ ๑๖ คำ ฯ เจรจา
โอ้ปี่
๏ เมื่อนั้น | บุษบาเยาวยอดพิสมัย |
ได้ฟังก็สะท้อนถอนใจ | ชลนัยน์นองหน้าจาบัลย์ |
กอดสองพี่เลี้ยงเข้าโศกา | พ่างเพียงชีวาจะอาสัญ |
สะอื้นไห้พิไรรำพัน | จะอดอ่อนผ่อนผันสุดปัญญา |
น้องนี้มิรู้ที่จะคิด | ขัดสนจนจิตเป็นนักหนา |
ทั้งนี้ก็ตามแต่เวรา | ได้สร้างมาแล้วจะโกรธโทษใคร |
ท่านซัดเสียก็จะก้มหน้าตาย | มิให้คนทั้งหลายนินทาได้ |
ว่าพลางทางทรงโศกาลัย | ทรามวัยไม่เป็นสมประดี ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรีเรืองศรี |
ฟังนางสนองสองนารี | โศกีครวญคร่ำรำพัน |
ให้สงสารทรามสงวนนวลน้อง | พระแย้มม่านเมียงมองแล้วรับขวัญ |
พลางเสด็จย่างเยื้องจรจรัล | จากห้องสุวรรณพรรณราย ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ จึงสั่งพี่เลี้ยงกะระตาหลา | จงแต่งเสนาให้ผันผาย |
เข้าไปในเมืองฟังระคาย | ใครจะว่าดีร้ายจะใคร่รู้ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ประสันตาพี่เลี้ยงเมียงหมอบอยู่ |
ทำมองมองแล้วป้องหน้าดู | แกล้งเขม้นเป็นครู่แล้วทูลไป |
พระจงประทานโทษโปรดก่อน | อะไรนิดติดพระกรใหม่ใหม่ |
หรือเสด็จเดินป่าพนาลัย | ไม้ไล่ลัดเลี้ยวเกี่ยวกายา |
หรืออาชาพาโผนเข้าในรก | มุ่นหมกตกต้องหนามหนา |
เป็นร้ิวรอยน้อยหรือพระราชา | ประสันตาลูบอกทำตกใจ ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระสุริย์วงศ์เทวาอัชฌาสัย |
จึงเอาพลูรอยกัดซัดไป | ยิ้มละไมในพักตร์พาที |
กลการอะไรจึงสอดว่า | ถึงตกม้าก็มิใช่ตัวพี่ |
ธรรมดาเดินดงพงพี | ที่จะดีอยู่นั้นสักกี่คน |
จำจะเป็นริ้วรอยน้อยใหญ่ | ด้วยไม้ไหล้เลี้ยวลัดขัดสน |
เห็นจะมีแผลทั่วทุกตัวตน | ว่าแล้วจรดลเข้าห้องใน ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ พระเสด็จนั่งแนบแอบน้อง | พิศพักตร์นวลละอองผ่องใส |
ทั้งสองพี่เลี้ยงอรไท | บังคมไหว้แล้วลามาทันที ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นบุษบามารศรี |
เห็นสองพี่เลี้ยงจรลี | เทวีจะตามจรจรัล |
พระพี่ยาโอบอุ้มองค์ไว้ | นางตระหนกตกใจไหวหวั่น |
หยิกข่วนผลักไสป้องกัน | แล้วร่ำโศกศัลย์โศกา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
ชาตรี
๏ เมื่อนั้น | พระสุริย์วงศ์เทวัญอสัญหยา |
ปลอบนางพลางเช็ดชลนา | อนิจจาผลักมือพี่เสียไย |
ก่นแต่ครวญคร่ำกำสรด | จะโศกศัลย์รันทดไปถึงไหน |
ฝ่ายพี่นี้จำนงจงใจ | หวังจะใคร่ฝากชีพชีวี |
ข้างพระน้องสิข้องเคืองนัก | หาญหักไม่ไว้เยื่อไยพี่ |
จะแค้นขืนฤทัยไยมี | ค่อยอยู่จงดีจะลาไป |
แม้นเจ้าจะคืนหลังยังนิเวศน์ | จงสังเกตทิศนี้ซึ่งชี้ให้ |
พี่จะสู้ซอกซอนสัญจรไพร | เที่ยวไปกว่าชีวิตจะวายปราณ ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | บุษบาเยาวยอดสงสาร |
ไม่แจ้งกลกิริยาอาการ | เยาวมาลย์หวาดหวั่นวิญญาณ์ |
อนิจจาครานี้ตัวกู | น่าที่จะตายอยู่ในคูหา |
จะคืนหลังไปยังพารา | ใครเลยจะพาคลาไคล |
เมื่อมาก็เป็นเวลาค่ำ | สังเกตจำท่าทางก็ไม่ได้ |
แล้วไม่เคยเดินดงพงไพร | จะหลงตายอยู่ในพนาลี |
จำจะลดอดอ่อนผ่อนลง | ลวงให้ไปส่งถึงกรุงศรี |
แล้วนึกมานะกษัตรี | ให้รีรอรื้อสะเทินใจ |
เป็นห่วงบ่วงใยอยู่นักหนา | ด้วยบิตุเรศมารดาเป็นใหญ่ |
จำเป็นเอารักหักฤทัย | ทรามวัยจึงกล่าววาจา ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ พระเอยพระองค์ | พระจงโปรดเกล้าเกศา |
ถ้าพระพากลับคืนไปพารา | จึงจะเห็นจริงว่าปรานี |
อย่าให้อายไพร่ฟ้าประชาชน | คำคนจะค่อนว่าน่าบัดสี |
ตัวน้องสิเป็นสตรี | ยากที่จะไว้ตัวกลัวนินทา |
จงพากลับไปส่งเสียก่อน | ภูธรจงฟังน้องว่า |
พระก็ได้ถูกต้องกายา | ใช่ว่าจะไปไหนพ้น |
อันจะมารีบร้อนก่อนการ | เครื่องจะอัประมาณไม่เป็นผล |
ถ้ารักจริงจงหย่อนผ่อนปรน | จึงจะพ้นคนค่อนไยไพ ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
โอ้โลม
๏ โฉมเอยโฉมเฉลา | ยุพเยาว์ยอดฟ้าจะหาไหน |
ช่างชะอ้อนวอนว่าให้ตายใจ | แยบยลกลในเป็นสุดคิด |
จะลวงให้พี่หลงไปส่งเจ้า | ยิ่งจะรื้อซ้ำเข้าเป็นสองผิด |
ไหนเลยจะได้เชยชมชิด | ด้วยพระคิดแค้นขัดอยูอัตรา |
พี่ทุกข์ตรอมผอมเพียงจะบรรลัย | พระยังไม่ประทานโทษา |
ถึงจะได้อิงแอบแนบกายา | เมื่อพระไม่เมตตาจะว่าไร |
หรือเจ้าจะแข็งขัดวัจนา | พระบิตุเรศมารดาของเจ้าได้ |
จงให้ความสัตย์สัญญาไว้ | พี่จะพากลับไปยังธานี ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๏ พระเอยพระองค์ | พระจงโปรดเกล้าเกศี |
จะให้น้องสัญญาว่าดังนี้ | สุดที่จะรับพระบัญชา |
อันพระชนนีบิตุเรศ | เป็นที่เกิดเกศเกศา |
ทรงพระคุณเป็นพ้นคณนา | จะให้เคืองบาทากลใด |
ยังไม่เคยละเมิดพระบรรหาร | จะให้สัตย์ปฏิญาณกระไรได้ |
น้องว่าแต่ตามจริงไป | ชายใดได้ต้องจำครองกัน ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
โอ้โลม
๏ แสนเอยแสนเฉลียว | เลี่ยงเลี้ยวลิ้นลมคมสัน |
ช่างภิปรายเปรียบมาสารพัน | น้อยหรือนั่นชั้นเชิงพาที |
แต่เพียงนี้พี่พอรู้เท่า | จะว่าไปไยเล่านะเจ้าพี่ |
รสรักร้อนทรวงแสนทวี | สุดที่จะหักห้ามความในใจ |
ว่าพลางทางถดเข้าหา | จะถอยหนีพี่ยาไปข้างไหน |
พระเพลาทับเพลานงเยาว์ไว้ | ฉวยฉุดชายสไบไขว่คว้า ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๏ น้อยเอยน้อยใจ | ช่างข่มเหงกระไรเป็นหนักหนา |
ก่นแต่คว้าไขว่ไปมา | จะว่าโดยดีก็มิฟัง |
นางสะบิ้งสะบัดเบี่ยงหนี | หยิกตีผลักแพลงผันหลัง |
อะไรหยาบช้าเป็นน่าชัง | เหมือนจะกลุ้มคลุ้มคลั่งวิญญาณ์ |
อย่าทำใจด่วนลวนลามเล่น | มิใช่เช่นชาวเมืองหมันหยา |
เขาจะค่อนติฉินนินทา | จะเอาหน้าไปไว้แห่งใด |
ด้วยพระก็มิใช่ชายชั่ว | ไม่เจียมตัวตื่นยศจะเป็นใหญ่ |
จะออกนามความเคืองเนื่องไป | เมื่อไรจะสิ้นชื่อลือชา ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
โอ้โลม
๏ สุดเอยสุดสวาท | ช่างฉลาดแนมเหน็บเก็บมาว่า |
ไม่เหมือนเช่นนั้นกัลยา | ใครจะล่วงนินทาก็ตามที |
อันความติฉินยินร้าย | มีทุกหญิงชายนะโฉมศรี |
ที่รักก็เห็นว่าเป็นดี | ที่มิชอบทีก็นินทา |
อันว่าร้ายเราผู้รักษาสัตย์ | ดังวายุพัดภูผา |
บุราณท่านย่อมกล่าวมา | จะกลัวความนินทาไปว่าไร ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๏ น่าเอยน่าสรวล | ถ้อยคำสำนวนเฉลยไข |
น้องนี้โฉดเขลาไม่เข้าใจ | ที่ในทำเนียบเทียบทาน |
รู้แต่ปกป้องครองตัว | ด้วยกลัวความนินทาว่าขาน |
อันจะทำตามคำบุราณ | ดังโปรดปรานมานี้ไม่ชอบใจ |
นางใดที่ฟังพระสั่งสอน | เชิญเสด็จภูธรไปรักใคร่ |
ตัวน้องไม่ต้องหฤทัย | จงพาไปส่งเสียยังพารา ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
ชาตรี
๏ นงเอยนงลักษณ์ | ไม่ประจักษ์ในความเสนหา |
ช่างถ่อมถ้อยน้อยหรือกัลยา | ไม่ควรเจ้าจะเอามาพาที |
พี่หวังจะฝังฝากไมตรีจิต | กว่าชีวิตจะวายไม่หน่ายหนี |
อันนางใดพี่ไม่ไยดี | มารศรีตกไหนไม่ไกลกัน |
ว่าพลางพระทางหยอกเย้า | ต้องเต้าสุมณฑาสวรรค์ |
จุมพิตชิดเชยปรางสุวรรณ | แสนกระสันปั่นป่วนหฤทัย |
อย่าสะบิ้งสะบัดขัดเคืองพี่ | จะหยิกตีก็ตามอัชฌาสัย |
จะสู้ทนให้ทำจนหนำใจ | แต่โฉมยงจงได้เอ็นดู ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๏ น้อยเอยน้อยจิต | คิดคิดก็เป็นน่าอดสู |
มาทำเทียมเลียมเล่นเช่นชู้ | เป็นมิรู้ที่จะเชื่อเหลือประมาณ |
ส่วนปากหากว่าเมตตาน้อง | มิให้เคืองข้องหมองสมาน |
แต่ท่วงทีที่ทำอาการ | เหมือนจะแกล้งแสร้งประจานให้เจ็บใจ |
กระนี้หรือว่าซื่อสุจริต | จะมีจริงสักนิดก็หาไม่ |
อย่ามาเซ้าซี้พิรี้พิไร | น้องไม่เชื่อลิ้นหลงลม ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
โอ้โลม
๏ ขวัญเอยขวัญตา | อนิจจาใจจริงทุกสิ่งสม |
ไม่ลวงล่อโลมเลียมให้เกรียมตรม | อย่าปรารมภ์หฤทัยเทวี |
ซึ่งทำการหาญหักเพราะรักใคร่ | จนได้ถูกถือถึงมือพี่ |
พึ่งจะสมปรารถนาครานี้ | สุดที่จะเงือดงดอดใจ |
ถึงชีวิตจะเจียนจากร่าง | จะอิงแอบแนบนางให้ได้ |
ว่าพลางโอบอุ้มอรไท | ขึ้นไว้เหนือตักสะพักชม |
เอนองค์ลงแอบแนบน้อง | เชยปรางพลางประคองสองสม |
คลึงเคล้าเย้ายวนสำรวลรมย์ | เกลียวกลมสมสวาทไม่คลาดคลาย |
กรกอดประทับแล้วรับขวัญ | อย่าตระหนกอกสั่นนะโฉมฉาย |
ฤดีดาลซ่านจับเนตรพราย | ดังสายสุนีวาบปลาบตา |
ฟ้าลั่นครั่นครื้นคำรนเสียง | ก้องสนั่นสำเนียงในเวหา |
ชอุ่มคลุ้มดวงพระสุริยา | เมขลาล่อแก้วแววเวียน |
รามสูรขว้างขวานทะยานไล่ | ว่องไวเลี้ยวลัดฉวัดเฉวียน |
หมายมิ่งชิงช่วงดวงวิเชียร | หันเหียนเวียนวิ่งเป็นสิงคลี |
พระพิรุณร่วงโรยโปรยต้อง | มณฑาทองทิพรสสดศรี |
ขยายแย้มผกาสุมาลี | ภุมรีภิรมย์ชมชิด |
สององค์ปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ | ดังได้เสวยสวรรค์ชั้นดุสิต |
ต่างแสนเสนหากว่าชีวิต | สมคิดเพลิดเพลินเจริญใจ ฯ |
ฯ ๑๘ คำ ฯ โลม
ช้า
๏ เมื่อนั้น | บุษบาเยาวยอดพิสมัย |
ร่วมรมย์สมสุขด้วยภูวไนย | นางมิได้นิราศคลาดคลา |
แต่เฝ้าเคล้าแนบแอบองค์ | พระสุริย์วงศ์ทรงเดชเชษฐา |
แย้มพรายชายชำเลืองหางตา | ชลีกรป้อนสลาโอชาชวน |
ต่างเยื้อนมธุรสพจนารถ | ตรัสประภาษปรีดิ์เปรมเกษมสรวล |
บังคมทูลความงามกระบวน | แสนสำรวลรื่นเริงบันเทิงใจ |
พระโอบอุ้มจุมพิตภิรมย์รัก | นางพลิกผลักกันกรแล้วค้อนให้ |
สองสมานสำราญหฤทัย | ที่ในถ้ำทองรูจี ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | ฝ่ายสังคามาระตาเรืองศรี |
อยู่ยังพลับพลาพนาลี | จึงเกณฑ์เสนีผู้ร่วมใจ |
ให้ตระเวนตรวจไตรระไวระวัง | ตามบัญชาสั่งไม่ขาดได้ |
แล้วสั่งทหารอาชาไนย | จงเร่งไปไล่มฤคา |
ข้างแดนกะหมังกุหนิงก่อน | จึงย้อนมาข้างดาหา |
แม้นเราให้ปะหรัดกะติกา | ไปเรียกเร่งจึงมายังคิรี ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เสนารับสั่งใส่เกศี |
แล้วมาจัดสรรกันทันที | ขึ้นพาชีควบเข้าป่าไป ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
https://vajirayana.org/system/files/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B2_264950.pdf