- คำอธิบาย ว่าด้วยบทละคร อิเหนาฉบับหอพระสมุดวชิรญาณ
- เล่มที่ ๑
- เล่มที่ ๒
- เล่มที่ ๓
- เล่มที่ ๔
- เล่มที่ ๕
- เล่มที่ ๖
- เล่มที่ ๗
- เล่มที่ ๘
- เล่มที่ ๙
- เล่มที่ ๑๐
- เล่มที่ ๑๑
- เล่มที่ ๑๒
- เล่มที่ ๑๓
- เล่มที่ ๑๔
- เล่มที่ ๑๕
- เล่มที่ ๑๖
- เล่มที่ ๑๗
- เล่มที่ ๑๘
- เล่มที่ ๑๙
- เล่มที่ ๒๐
- เล่มที่ ๒๑
- เล่มที่ ๒๒
- เล่มที่ ๒๓
- เล่มที่ ๒๔
- เล่มที่ ๒๕
- เล่มที่ ๒๖
- เล่มที่ ๒๗
- เล่มที่ ๒๘
- เล่มที่ ๒๙
- เล่มที่ ๓๐
- เล่มที่ ๓๑
- เล่มที่ ๓๒
- เล่มที่ ๓๓
- เล่มที่ ๓๔
- เล่มที่ ๓๕
- เล่มที่ ๓๖
- เล่มที่ ๓๗
- เล่มที่ ๓๘
เล่มที่ ๒
ช้า
๏ มาจะกล่าวบทไป | ถึงระตูผู้ผ่านหมันหยา |
อยู่จำเนียรกาลนานมา | พระมารดาสุดสิ้นทิวงคต |
มเหสีสุริย์วงศ์พงศ์พันธุ์ | ต่างแสนโศกศัลย์กำสรด |
ทั้งองค์ระตูผู้มียศ | ก็ระทดพระทัยพันทวี |
จึ่งให้เชิญพระศพใส่โกศทอง | สถิตไว้ในห้องปราสาทศรี |
ตกแต่งตามตำแหน่งประเพณี | กษัตราธิบดีแต่ก่อนมา |
แล้วมีพจนารถประสาทสั่ง | อำมาตย์ดะหมังยาสา |
ท่านจงจัดแจงแต่งตรา | บอกบรรดาเมืองขึ้นของเรา |
ให้ผู้รั้งทั้งปวงหลวงปลัด | เกณฑ์ไพร่เร่งรัดไปตัดเสา |
กำหนดยาวใหญ่ย่อมกล่อมเกลา | ให้ได้เท่าตามอย่างช่างให้การ |
ทุกสิ่งสารพัดผัดแผง | จัดแจงข้าส่วยให้ช่วยสาน |
จงหมายบอกทุกตำแหน่งพนักงาน | จะทำการให้เสร็จในปีนี้ |
แล้วสั่งปาเตะตำมะหงง | ท่านจงแต่งราชสารศรี |
ไปดาหากุเรปันพระบุรี | ว่าพระชนนีนั้นมรณา ฯ |
ฯ ๑๔ คำ ฯ
ร่าย
๏ บัดนั้น | อำมาตย์ทั้งสี่มียศถา |
รับส่งแล้วบังคมลา | ออกมาจากพระโรงรูจี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ รีบเขียนหนังสือบอกหลายฉบับ | แล้วประทับปิดตราพระราชสีห์ |
ให้ม้าใช้ถือไปทุกธานี | ตามมีรับสั่งพระทรงธรรม์ |
แล้วแต่งราชสารลงลานทอง | มอบให้สองสามนต์คนขยัน |
จงรีบไปดาหากุเรปัน | สิบห้าวันให้ถึงพารา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เสนีสองนายซ้ายขวา |
คำนับรับราชสารา | มาขึ้นม้าแยกย้ายกันไป ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงกุเรปันนคเรศ | ก็เข้าไปในนิเวศน์วังใหญ่ |
บอกแก่ยาสาเสนาใน | แล้วส่งสารให้ทันที ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ยาสาเสนาบดีศรี |
พาอำมาตย์หมันหยาธานี | เข้าไปเฝ้าธุลีพระบาทา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ ครั้นถึงจึงถวายบังคม | นบนิ้วประนมเหนือเกศา |
ทูลแถลงแจ้งความตามกิจจา | แล้วถวายสาราพระทรงธรรม์ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระผู้ผ่านกรุงไกรไอศวรรย์ |
คลี่สารอ่านทราบทุกสิ่งอัน | จึงมีพระบัญชาไป |
พระประชวรฉันใดก็ไม่รู้ | ควรหรือระตูช่างนิ่งได้ |
ต่อเมื่อพระสวรรคาลัย | จึ่งให้มาแจ้งกิจจา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เสนีที่มาแต่หมันหยา |
ได้ฟังพจนารถประภาษมา | จึ่งสนองบัญชาพระทรงยศ |
แต่แรกประชวรมาได้ห้าวัน | พระโรคนั้นเห็นพอจะเปลื้องปลด |
โภชนาอาหารก็มีรส | เสวยพระโอสถทุกเวลา |
ระตูภูธรไว้พระทัย | ว่าจะไม่เป็นไรหนักหนา |
จึ่งว่ามิได้มีราชสารา | มาทูลกิจจาภูวไนย |
พระโรคนั้นกลับกลายเมื่อภายหลัง | หนักลงเหลือกำลังจะแก้ไข |
สองวันก็สวรรคาลัย | ภูวไนยจงทราบฝ่าธุลี ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวกุเรปันเรืองศรี |
ได้ฟังจะแจ้งแห่งคดี | ภูมีจึงสั่งเสนา |
จงจัดแจงแต่งของไทยทาน | ไปช่วยการพระศพในหมันยา |
สั่งเสร็จเสด็จลีลา | เข้ามหาปราสาทรูจี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ นั่งเหนือบัลลังก์รัตน์ชัชวาล | พร้อมห้าเยาวมาลย์มเหสี |
พระจึ่งยื่นสารนั้นทันที | ให้ประไหมสุหรีกัลยา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์ประไหมสุหรีเสน่หา |
คลี่สารอ่านแจ้งกิจจา | ว่าพระมารดาพิราลัย |
ดั่งหนึ่งพระกาลชาญฤทธิ์ | มาเด็ดดวงชีวิตไปได้ |
ชลเนตรฟูมฟองนองนัยน์ | สะอื้นไห้ครวญคร่ำรำพัน ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
โอ้
๏ โอ้พระชนนีของลูกเอ๋ย | พระคุณเคยปกป้องประคองขวัญ |
เชยชมเช้าเย็นเป็นนิรันดร์ | สารพันมิให้อนาทร |
ยังมิได้ทดแทนสนองคุณ | ซึ่งการุญรักร่ำพร่ำสอน |
หรือมาละลูกไว้ให้อาวรณ์ | หนีไปอมรเมืองฟ้า |
พระประชวรโรคันคุ้งบรรลัย | ก็มิได้พิทักษ์รักษา |
เสียแรงที่อุ้มท้องประคองมา | กัลยาร่ำพลางทางโศกี ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ โอด
ร่าย
๏ ครั้นค่อยเคลื่อนคลายวายเทวษ | จึงกราบทูลภูวเรศเรืองศรี |
ข้าขอบังคมลาฝ่าธุลี | ไปดูเปลวอัคคีพระมารดา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระสุริย์วงศ์องค์ศรีปัตหรา |
นิ่งนึกตรึกไตรไปมา | ครั้นจะให้กัลยาคลาไคล |
เกลือกระตูผู้ผ่านแผ่นดิน | จะดูหมิ่นประมาทหาควรไม่ |
จะเสียเกียรติยศปรากฏไป | ทุกกรุงไกรจะติฉินนินทา |
คิดพลางทางปลอบมเหสี | อย่ากันแสงโศกีฟังพี่ว่า |
อันเกิดแล้วไม่แคล้วมรณา | ถึงพรหมินทร์อินทราก็เหมือนกัน |
ซึ่งจะไปส่งสการพระมารดา | ยังนครหมันหยาเขตขัณฑ์ |
กันดารโดยมรคาอารัญ | ทั้งทรงครรภ์ได้แปดเดือนปลาย |
เกลือกจะเกิดเหตุใหญ่ขึ้นในป่า | จะลำบากกายาโฉมฉาย |
รู้ไปถึงไหนจะได้อาย | เขาจะฉินยินร้ายทุกพารา |
เจ้าจงจัดแจงแต่งไทยทาน | ส่งสการพระศพดีกว่า |
ให้อิเหนาลูกเราลีลา | ก็เหมือนกับกัลยาคลาไคล ฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์ประไหมสุหรีศรีใส |
ได้ฟังภิปรายค่อยคลายใจ | อรไททูลสนองพระวาจา |
ซึ่งพระองค์ตรัสโปรดมาทั้งนี้ | เห็นชอบท่วงทีเป็นนักหนา |
ว่าแล้วถวายบังคมลา | ลงมาที่อยู่เยาวมาลย์ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ เมื่อนั้น | พระองค์ผู้ดำรงราชฐาน |
จึงตรัสสั่งดะหมังมิทันนาน | จงรีบไปแจ้งการพระอนุชา |
เราจะให้ระเด่นมนตรี | ไปปลงศพอัยกียังหมันยา |
จะจัดแจงใครไปก็ให้มา | สองเมืองจะได้พากันคลาไคล ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ดะหมังรับสั่งบังคมไหว้ |
มาเร่งรัดจัดกันทันใด | พร้อมเหล่าบ่าวไพร่แล้วไคลคลา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ มาถึงทางร่วมพนาลี | ก็พบพวกเสนีหมันยา |
ต่างคนต่างรีบเร่งมา | ก็ถึงกรุงดาหาพร้อมกัน |
จึงไปหาปาเตะเสนี | แถลงเล่าคดีขมีขมัน |
พอเพลาเฝ้าองค์พระทรงธรรม์ | ก็พากันไปพระโรงรูจี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ จึงก้มเกล้าประณตบทมาลย์ | พระผู้ผ่านดาหากรุงศรี |
อำมาตย์หมันหยาธานี | อัญชลีทูลถวายสารา |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระสุริย์วงศ์องค์ศรีปัตหรา |
คลี่สารอ่านแจ้งในกิจจา | ให้สังเวชวิญญาณ์จาบัลย์ |
จึงสั่งคลังวิเศษศุภรัต | จงจัดไทยทานทุกสิ่งสรรพ์ |
แล้วตรัสถามดะหมังกุเรปัน | พระทรงธรรม์ใช้มาว่าไร ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ดะหมังบังคมแถลงไข |
บัดนี้พระเชษฐาบัญชาใช้ | มาทูลให้ทราบธุลีพระบาทา |
พระจะให้องค์ระเด่นมนตรี | เสด็จไปบุรีหมันหยา |
อันเครื่องไทยทานการนานา | ให้พร้อมแต่สิบห้าราตรี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวดาหาสุริย์วงศ์เรืองศรี |
ได้แจ้งแห่งคำเสนี | ภูมีนิ่งนึกตรึกไตร |
พระเชษฐาน่าจะแหนงฤทัยอยู่ | ด้วยระตูจะประมาทหมิ่นได้ |
หวังมิให้กัลยาคลาไคล | จึงอุบายเป็นนัยมาดังนี้ |
คิดพลางทางมีบัญชาสั่ง | ดะหมังจงคืนไปกรุงศรี |
ทูลพระเชษฐาธิบดี | ว่าเราอัญชลีพระบาทา |
จะให้เสนานำของไป | ยังนิเวศน์เวียงชัยพระเชษฐา |
บรรจบกันกับอิเหนานัดดา | ไปเขตขัณฑ์หมันหยาธานี |
สั่งเสร็จเสด็จยุรยาตร | ไปปราสาทองค์ประไหมสุหรี |
นั่งเหนือบัลลังก์รัตน์รูจี | พระส่งสารศรีให้กัลยา ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์ประไหมสุหรีเสนหา |
คลี่สารอ่านพลันมิทันช้า | แจ้งว่าชนนีทิวงคต |
นางตระหนกอกสั่นขวัญหาย | เพียงจะวายชีวิตปลิดปลด |
สองกรข้อนอุรารันทด | พิไรร่ำกำสรดโศกา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
โอ้
๏ โอ้ว่าพระมารดาเจ้า | พระบาทเคยปกเกล้าเกศา |
เฝ้าถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงลูกมา | มิให้เคืองวิญญาณ์เท่ายองใย |
พระเจ็บไข้ก็มิได้พยาบาล | จะรู้ข่าวอาการก็หาไม่ |
จนสุดสิ้นชีวันบรรลัย | ลูกได้เห็นใจพระมารดร |
ร่ำพลางทางทรงโศกี | ทอดองค์ลงกับที่บรรจถรณ์ |
ดังจะม้วยชีวาด้วยอาวรณ์ | บังอรไม่เป็นสมประดี ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ โอด
ร่าย
๏ ครั้นค่อยคลายอาดูรจึงทูลไป | ภูวไนยจงโปรดเกศี |
ข้าขอบังคมลาไปธานี | ดูเปลวอัคคีพระมารดา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระองค์ทรงพิภพดาหา |
จึงโลมเล้าเอาใจไปมา | เจ้าอย่าอาวรณ์ร้อนฤทัย |
อันกำเนิดเกิดมาในสากล | ใครจะพ้นมรณาก็หาไม่ |
จงระงับดับความอาลัย | ถึงโศกไปใช่ที่จะเป็นมา |
ซึ่งเจ้าว่าจะลาบทจร | ไปนครเขตขัณฑ์หมันหยา |
ในฤดูเดือนนี้จะลีลา | กันดารโดยมรคาท่าทาง |
ฝูงโขมดมายาย่อมอาเพศ | ให้เกิดเหตุอันตรายหลายอย่าง |
ใช่จะแกล้งเกียดกันกั้นกาง | ถึงพี่นางก็ไม่ไคลคลา |
โฉมยงจงจัดไทยทาน | ส่งสักการพระศพจะดีกว่า |
ให้เสนีนำไปด้วยนัดดา | ก็เหมือนกับกัลยาคลาไคล ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์ประไหมสุหรีศรีใส |
ได้ฟังบัญชาภูวไนย | อรไทค่อยคลายโศกา |
จึงมีเสาวนีย์ตรัสสั่ง | พนักงานชาวคลังซ้ายขวา |
จงจัดเครื่องไทยทานนานา | จะให้ไปหมันหยาธานี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ฝ่ายนางพนักงานสาวศรี |
รับสั่งแล้วรีบจรลี | มาจัดตามเสาวนีย์กัลยา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ สิ่งของไทยทานก็เตรียมพร้อม | ทั้งเครื่องหอมเนื้อไม้กฤษณา |
ครั้นเสร็จให้ขนเข้ามา | ถวายองค์กัลยาทันที ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | โฉมยงองค์ประไหมสุหรี |
เคารพจบพระหัตถ์ด้วยยินดี | เทวีสมาโทษพระมารดา |
จึงตรัสสั่งสาวสรรค์ทันใด | ให้ขนของไปข้างหน้า |
มอบให้ดะหมังเสนา | ไปด้วยนัดดาโดยลำพัง ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นางกำนัลคำนับรับสั่ง |
จึงขนของออกไปจากในวัง | มอบให้ดะหมังทันที ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้น | ดะหมังนั่งตรวจดูถ้วนถี่ |
ให้เสมียนจดหมายรายบาญชี | ผูกถือใส่ที่แล้วตีตรา |
ให้ขนสิ่งของบรรทุกช้าง | เหลือนั้นใส่ต่างมหิงสา |
ครั้นเสร็จก็ยกโยธา | ออกจากพารารีบไป ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ เร่งรัดพลมาสิบห้าวัน | ก็ถึงกุเรปันกรุงใหญ่ |
ครั้นเวลาเฝ้าท้าวไท | ก็เข้าไปพระโรงรัตนา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ จึงก้มเกล้าประณตบทบงสุ์ | พระองค์ทรงพิภพนาถา |
ทูลแถลงแจ้งความตามกิจจา | ให้ทราบบาทาทุกสิ่งไป ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวกุเรปันเป็นใหญ่ |
ได้ฟังดะหมังเสนาใน | จึงตรัสไปแก่องค์พระลูกยา |
เจ้าจงคุมของสองธานี | ไปปลงศพอัยกียังหมันหยา |
แทนองค์พระราชมารดา | กับประหมันดาหาเวียงชัย |
แล้วดูโยธีที่ทำงาน | แม้เห็นการแล่ล้าเป็นไฉน |
บอกมาจะเพิ่มพลไกร | ไประดมทำให้ทันที |
เสร็จแล้วลูกแก้วอย่าอยู่ช้า | เร่งกลับมากุเรปันกรุงศรี |
จึงตรัสสั่งปาเตะเสนี | จงตรวจเตรียมโยธีรี้พล |
ท่านไปช่วยดูเป็นผู้ใหญ่ | เอาใจใส่อย่าให้มีเหตุผล |
สั่งเสร็จเสด็จจรดล | ขึ้นสู่ไพชยนต์ปราสาทชัย ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ เสมอ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรีศรีใส |
ครั้นเสด็จขึ้นแล้วก็คลาไคล | กลับไปที่อยู่พระภูมี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ปาเตะเสนาบดีศรี |
ออกมาจัดพลโยธี | ตามมีพระราชบัญชา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
ยานี
๏ ขุนช้างต่างผูกคชสาร | เคยชำนาญการณรงค์แกล้วกล้า |
ขุนม้าก็ผูกอาชา | เบาะอานพานหน้าประดับดาว |
ขุนรถตรวจเตรียมเทียมพาชี | สลับสีเหลืองกะเลียวเขียวขาว |
ขุนพลจัดพลเดินเท้า | นายหมวดตรวจบ่าวพร้อมเพรียง |
พวกทำที่ประทับพลับพลา | ให้ล่วงหน้ารีบไปแต่ในเที่ยง |
จัดแจงหาบคอนผ่อนเสบียง | ตามเยี่ยงอย่างเสด็จยาตรา ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรีโอรสา |
ครั้นรุ่งรางสร่างแสงสุริยา | เสด็จมาสระสรงสรรพางค์ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
โทน
๏ ลูบไล้สุคนธาอ่าองค์ | น้ำมันจันทน์บรรจงทรงพระสาง |
สอดใส่สนับเพลาพลาง | ทรงภูษาแย่งอย่างลายกระบวน |
ฉลององค์โหมดม่วงร่วงระยับ | อบอุหรับจับกลิ่นหอมหวน |
เจียระบาดตาดทองแล่งล้วน | เข็มขัดคาดค่าควรพระนคร |
กรองศอสังเวียนวิเชียรช่วง | ทับทรวงสังวาลห้อยสร้อยอ่อน |
ตาบกุดั่นประดับซับซ้อน | ทองกรเก้าคู่ชมพูนุท |
ธำมรงค์เพชรแพรวแวววับ | กรรเจียกปรับรับทรงมงกุฎ |
เหน็บกริชฤทธิรอนสำหรับยุทธ์ | งามดั่งเทพบุตรบทจร ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ บาทสกุณี
ร่าย
๏ มาทรงรถแก้วแววไว | เสนาในกราบกรานอยู่สลอน |
สั่งให้ยกโยธาพลากร | บทจรออกจากนิเวศน์วัง ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
โทน
๏ รถเอยราชรถแก้ว | จำหลักลายพรายแพร้วพลอยฝัง |
งามงอนอ่อนแอกแปรกบัง | บุษบกที่นั่งบัลลังก์ลอย |
หน้ากระดานฐานบัทม์บัวหงาย | กระจังรายรจนาตาอ้อย |
กระหนกเกรินท้ายรถชดช้อย | เพลาพลอยประดับทับทิมแดง |
เทียมสินธพที่นั่งทั้งสี่ | สารถีขี่ขับเข้มแข็ง |
ทหารม้าเกณฑ์หัดจัดแจง | เดินแซงสองข้างมรคา |
ประดับด้วยเครื่องสูงชุมสาย | ธงชายปลายเชือกนั้นนำหน้า |
เยียดยัดจัตุรงค์โยธา | ไคลคลามาในไพรพนม ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
ชมดง
๏ เดินเอยเดินทาง | สองข้างพ่างพื้นรื่นร่ม |
พี่เลี้ยงเคียงคอยบังคม | พระชี้ชมรุกขชาติดาษเดียร |
บ้างผลิดอกออกผลพวงดก | ดั่งไม้ฉากกระจกจีนเขียน |
ป่าระหงดงยางนางตะเคียน | ใต้ต้นแลเตียนสะอาดตา |
มะลิวัลย์พันพุ่มคัดค้าว | ฤดูดอกออกขาวทั้งราวป่า |
บ้างเลื้อยเลี้ยวเกี้ยวกิ่งเหมือนชิงช้า | ลมพาพัดแกว่งดั่งแกล้งไกว |
ร่มรังบังแสงทินกร | ที่หาบคอนเลื่อยล้าเข้าอาศัย |
สารวัดรัดเร่งพลไกร | คลาไคลไปตามมรคา ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๏ แต่แรมร้อนนอนในพนาเวศ | มาถึงเขตนครหมันยา |
หยุดประทับยับยั้งโยธา | เสด็จขึ้นพลับพลาพนาลี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ เจรจา
๏ บัดนั้น | ขุนด่านแจ้งความถ้วนถี่ |
จึงเหยียบโกลนโผนเผ่นขึ้นพาชี | ขับขี่ตีควบเข้าเวียงชัย ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงตรงไปหา | ทั้งสี่เสนาผู้ใหญ่ |
เรียนคดีชี้แจงให้แจ้งใจ | โดยในอนุสนธิ์แต่ต้นมา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เสนีได้ฟังไม่กังขา |
ก็เข้าไปในพระโรงรัตนา | กราบทูลกิจจาทุกประการ |
บัดนี้อิเหนากุเรปัน | ยกพวกพลขันธ์มาถึงด่าน |
จะเข้ามาประณตบทมาลย์ | ภูบาลจงทราบพระบาทา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระตูผู้ผ่านหมันหยา |
ได้ฟังจึงสั่งเสนา | จงไปรับนัดดามาธานี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ตำมะหงงรับสั่งใส่เกศี |
ออกมาเกณฑ์กันทันที | เร่งรัดสัสดีเอาผู้คน |
บ้างเบิกเสื้อเบิกหมวกอลหม่าน | ทั่วทุกพนักงานสับสน |
พรั่งพร้อมโยธีรี้พล | เสนานำพหลเกณฑ์แห่ไป ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงถวายอัญชลี | องค์ระเด่นมนตรีศรีใส |
บังคมทูลแถลงให้แจ้งใจ | ระตูให้มารับเข้าบุรี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรีเรืองศรี |
ได้ฟังตำมะหงงเสนี | จึงตรัสสั่งทั้งสี่พี่เลี้ยง |
วันนี้เราจะเข้าพระนคร | อย่าให้ทันแดดร้อนก่อนเที่ยง |
จงจัดทหารแห่เป็นคู่เคียง | ให้พร้อมเพรียงแต่ในบัดนี้ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | พระพี่เลี้ยงรับสั่งใส่เกศี |
มาจัดพลจัดพวกพาชี | ทหารแห่ให้ขี่คู่กัน |
แล้วนุ่งห่มสมตัวตกแต่ง | ตามตำแหน่งเสนากิดาหยัน |
ปลายเชือกให้ชาวหมันหยานั้น | จัดกันเดินหน้านำพล |
เหล่ากำนัลเชิญพระแสงสำหรับตาม | ล้วนงามงามต้นเหลี่ยมหลังถนน |
เข้ากระบวนถ้วนทั่วทุกตัวคน | แล้วผูกม้าต้นเตรียมไว้ |
สารวัดจัดตรวจเป็นหมวดกอง | ทวนทองธงทิวปลิวไสว |
คอยเสด็จยาตราคลาไคล | คับคั่งทั้งในแดนดง ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรีสูงส่ง |
เสด็จจากแท่นสุวรรณบรรจง | มาสระสรงวารินกลิ่นเกลา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
ลงสรงสุหร่าย
๏ ทรงสุคนธ์ปนทองชมพูนุท | นวลละอองผ่องผุดดังหล่อเหลา |
พระฉายตั้งคันฉ่องส่องเงา | สอดใส่สนับเพลาเพราผจง |
ทรงภูษายกแย่งอย่างนอก | พื้นม่วงดวงดอกตันหยง |
โหมดเทศริ้วทองฉลององค์ | กระสันทรงเจียระบาดคาดทับ |
ปั้นเหน่งเพชรลงยาราชาวดี | ทับทรวงดวงมณีสีสลับ |
เฟื่องห้อยสร้อยสังวาลบานพับ | ทองกรแก้วประดับดวงจินดา |
สอดใส่ธำมรงค์เรือนครุฑ | ทรงมงกุฎห้อยพวงบุปผา |
เหน็บกริชฤทธิไกรแล้วไคลคลา | เสด็จมาขึ้นทรงสินธพ ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ
โทน
๏ ม้าเอยม้าต้น | สามารถอาจผจญเจนจบ |
เคล่าคล่องทีทวนกระบวนรบ | ไม่หลีกหลบเลื่อมตื่นปืนประทัด |
เผ่นโผนโจนฝ่ามากลางพล | ผู้คนเดินกีดก็ดีดกัด |
ม้ากิดาหยันตามเยียดยัด | ม้าแห่แออัดรัถยา |
ม้าระเด่นดาหยนเดินรอง | ม้าพี่เลี้ยงเคียงสองซ้ายขวา |
พนักงานกั้นกลดรจนา | บังแสงสุริยาตรัสไตร |
อภิรุมชุมสายสีประเทือง | ธงเทียวเขียวเหลืองล้วนใหม่ใหม่ |
สนั่นเสียงฆ้องกลองก้องไพร | รีบล้นพลไกรเข้าในเมือง ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๏ บัดนั้น | หญิงชายระบือลือเลื่อง |
มาคอยดูภูวไนยนองเนือง | นั่งเนื่องแน่นถนนไปจนวัง |
บ้างกลัวต่ำสูงจูงลูกหลาน | ลงจากร้านขายผ้าหน้าถัง |
บ้างลดไม้ค้ำฝาหน้ากระชัง | มาแทรกเสียดเบียดบังนั่งปน |
ที่หญิงปากกล้าก็ด่าทอ | เพิดพ้อผลักไสพิไรบ่น |
ปะชายโฉงเฉงข่มเหงคน | ปากลนปะเตะเล่นก็เป็นไร |
ที่ทางมึงได้ที่ไหนมา | จะนิ่งดูแต่ตาก็ไม่ได้ |
ขึ้นเสียงเถียงทะเลาะกันอึงไป | ฮึดฮัดขัดใจเต็มที |
ที่เป็นผู้ใหญ่ก็ห้ามปราม | ข้าขอความเอ็นดูอย่าจู้จี้ |
มิใช่คนชั่วช้าหน้าดีดี | ไม่พอที่จะโมโหโกรธา |
ครั้นได้เห็นองค์พระทรงธรรม์ | งามดังอสัญแดหวา |
พิศวงงงไปไม่พริบตา | ทั่วทั้งไพร่ฟ้าประชากร |
หญิงชายชาวเมืองก็หมอบกราน | ทุกหน้าบ้านบังคมอยู่สลอน |
บ้างร้องอำนวยอวยพร | ราษฎรเกษมเปรมปรีดิ์ ฯ |
ฯ ๑๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ทหารแห่คับคั่งทั้งวิถี |
เห็นผู้หญิงสาวสาวชาวบุรี | หน้าไหนใครดีก็แลดู |
บ้างกระซิบบุ้ยปากบอกกัน | รูปร่างนางคนนั้นขยันอยู่ |
ที่หนุ่มหนุ่มนักเลงเหล่าเจ้าชู้ | เอาปูนพลูซัดหยอกแล้วยิ้มพราย |
บ้างชักม้าพยศย่างขวางถนน | สะดุดคนเหยียบของเขากองขาย |
บ้างโผนหกมุ่นวุ่นวาย | ตื่นตะกายเกะกะเข้าระรั้ว |
พวกผู้หญิงวิ่งวุ่นอลวน | ลางคนผ้าห่มหายขายหน้าผัว |
บ้างแฝงฝาหน้าถังบังตัว | บ้างหัวบ้างโกรธโกรธา ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระสุริย์วงศ์พงศ์อสัญแดหวา |
เร่งขับมโนมัยไคลคลา | มรคาคับคั่งผู้คน |
ครั้นถึงทิมริมที่ทวารวัง | เสด็จลงจากหลังม้าต้น |
จึงให้หยุดโยธีรี้พล | ชวนระเด่นดาหยนยาตรา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ เข้าในพระโรงรัตน์รูจี | เห็นเสนีเฝ้าแหนแน่นหนา |
จึงถวายบังคมคัลวันทา | พระผู้ผ่านสวรรยาธานี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระตูหมันยาเรืองศรี |
เห็นอิเหนาเข้ามาอัญชลี | จึงมีมธุรสพจมาน |
ปราศรัยไต่ถามพระนัดดา | ซึ่งเจ้ามาท่าทางทุรัศสถาน |
เดินโดยอรัญกันดาร | โยธาทวยหาญยังพร้อมมูล |
พระชนกชนนีทั้งสอง | ครอบครองโภไคยไอศูรย์ |
เสวยรมย์สมบัติบริบูรณ์ | ทั้งประยูรสุริย์วงศ์พงศ์พันธุ์ |
อันฝูงไพร่ฟ้าประชาชน | ทั้งเสนาสามนต์พลขันธ์ |
อยู่เย็นเป็นสุขพร้อมกัน | เหมือนแต่ก่อนกระนั้นหรือนัดดา ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | อิเหนาอภิวันท์หรรษา |
ทูลว่าแต่ยกพลมา | เดินโดยมรคาสิบห้าวัน |
อันพวกพหลพลไกร | ไม่มีเหตุเภทภัยในไพรสัณฑ์ |
สมเด็จพระบิตุรงค์ทรงธรรม์ | ก็เสวยไอศวรรย์เปรมปรีดิ์ |
ถ้วนหน้าผาสุกไม่ทุกข์ร้อน | ไพร่ฟ้าประชากรเกษมศรี |
ปราศจากอันตรายราคี | มิได้มีภัยพานประการใด |
แต่องค์พระชนนีนั้น | ทรงครรภ์แกเกือบไม่มาได้ |
ให้ข้าคุ้มของสองเวียงชัย | มาปลงศพท่านไทอัยกี |
แม้พระเมรุเกณฑ์ทำไม่ทันการ | จะแจ้งสารไปให้ทราบบทศรี |
พระจะเพิ่มเติมพลมนตรี | ทั้งสองบุรีมาทำการ ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวหมันหยายิ้มย่องสนองสาร |
ซึ่งสององค์บรรจงไทยทาน | ให้หลานมาช่วยถึงพารา |
พระคุณนั้นหาที่สุดไม่ | จะเลื่องชื่อลือไปทุกทิศา |
อันการศพสมเด็จพระมารดา | ก็จัดแจงทำมาไม่เงือดงด |
แต่ยังหาได้ตั้งพระเมรุไม่ | ตัวไม้ปรับปรุงไว้พร้อมหมด |
หลานมาน้าสมมโนรถ | จะรีบทำกำหนดให้แน่ลง |
ว่าพลางทางมีบัญชา | ตรัสสั่งเสนาตำมะหงง |
จงแต่งที่ประเสบันอากง | ให้องค์อิเหนากุเรปัน ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ตำมะหงงรับสั่งแล้วผายผัน |
มาจัดแจงแต่งที่ประเสบัน | ช่วยกันอุตลุดทั้งไพร่นาย |
บ้างกั้นฉากแพรลับแลตั้ง | กรมวังวงพระสูตรรูดสาย |
จัดแจงแต่งตำหนักยักย้าย | เพดานดาดรายดารากร |
บ้างตกแต่งพระยี่ภู่ปูอาสน์ | ชาวที่ทอดราชบรรจถรณ์ |
ที่เสวยที่สรงสาคร | เสร็จตามภูธรบัญชาการ ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระองค์ผู้ดำรงราชฐาน |
จึงตรัสสั่งพฤฒาโหราจารย์ | ให้หาฤกษ์ตั้งการกำหนดวัน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ขุนโหรผู้ใหญ่คนขยัน |
คลี่ตำรับขับไล่ลัคน์จันทร์ | ดูโฉลกโชคชั้นทันที |
จึงนบนิ้วประนมบังคมทูล | นเรนทร์สูรจงทราบบทศรี |
กำหนดเชิญพระศพฤกษ์ดี | เดือนสี่สิบค่ำวันอังคาร ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | ระตูหมันหยาได้ฟังสาร |
จึงสั่งเสนีพนักงาน | จงจัดการพระเมรุเกณฑ์กัน |
นายมุลขุนหมื่นทุกหมู่หมวด | สมทบสี่ตำรวจกวดขัน |
เครื่องประดับพระศพครบครัน | รีบทำให้ทันกำหนดไว้ |
สั่งพลางทางกล่าววาที | ชวนระเด่นมนตรีศรีใส |
ทั้งระเด่นดาหยนคลาไคล | เสด็จไปไหว้ศพพระอัยกี ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรีเรืองศรี |
จึงถวายอภิวันท์อัญชลี | ศพพระอัยกีด้วยปรีดา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระตูผู้ผ่านหมันหยา |
จึงมีพระราชบัญชา | สั่งกำนัลกัลยาฉับพลัน |
จงไปเชิญองค์ประไหมสุหรี | กับบุตรีขึ้นมาขมีขมัน |
บอกว่าอิเหนากุเรปัน | มาอภิวันท์พระศพอยู่บนนี้ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นางกำนัลประณตบทศรี |
รับสั่งพระผู้ทรงธรณี | แล้วรีบจรลีออกมา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ ชุบ
๏ ครั้นถึงจึงถวายบังคมไหว้ | องค์ประไหมสุหรีเสน่หา |
ทูลว่าอิเหนานัดดา | เสด็จมาอยู่ที่พระศพนั้น |
บัดนี้พระผู้ผ่านเวียงชัย | ให้เชิญสองอรไทผายผัน |
ขึ้นไปเฝ้าองค์พระทรงธรรม์ | ยังสุวรรณปราสาทรูจี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | โฉมยงองค์ประไหมสุหรี |
จึงชวนจินตะหราวาตี | เข้าที่สรงสนานสำราญกาย ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
ชมตลาด
๏ สองกษัตริย์ขัดสีฉวีวรรณ | นางกำนัลตั้งสุคนธ์คอยถวาย |
ทรงอุหรับจับกลิ่นอบอาย | น้ำกุหลาบละลายกรายกรีดนิ้ว |
กวดเกล้าเปลาปลายพระฉายส่อง | ผัดพักตร์นวลละอองผ่องผิว |
ทรงภูษายกแย่งแพลงพลิ้ว | ห่มริ้วทองทับซับใน |
สร้อยสะอิ้งสังวาลบานพับ | ตาบประดับมรกตสดใส |
ทองกรแก้วมณีเจียระไน | สอดใส่เนาวรัตน์ธำมรงค์ |
ทรงมงกุฎสำหรับพระธิดา | ห้อยอุบะบุหงาตันหยง |
พรั่งพร้อมสุรางค์นางอนงค์ | สององค์เสด็จไคลคลา ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เพลงช้า
ร่าย
๏ ครั้นถึงจึงบังคมบรมศพ | แล้วนอบนบอภิวันท์ท้าวหมันหยา |
พลางทอดพระเนตรแลมา | ดูพระนัดดาธิบดี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรีเรืองศรี |
จึงถวายอภิวันท์อัญชลี | องค์ประไหมสุหรีศรีโสภา |
แล้วทำทีมิให้ใครสังเกต | ชำเลืองเนตรดูระเด่นจินตะหรา |
งามงอนอ่อนจริตกิริยา | ลักขณาเลิศล้ำนารี |
พิศพักตร์งามพักตร์ผุดผ่อง | ผิวเนื้อนวลละอองสองสี |
อรชรอ้อนแอ้นทั้งอินทรีย์ | ภูมีดูนางไม่วางตา ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์ประไหมสุหรีเสนหา |
พินิจพิศพักตร์พระนัดดา | กัลยาแย้มพรายทายทัก |
แต่เจ้ากำเนิดเกิดมา | ถึงเพียงนี้น้าพึ่งรู้จัก |
ทรงโฉมประโลมเลิศลักษณ์ | สมศักดิ์สุริย์วงศ์เทวัญ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรีเฉิดฉัน |
จึงทูลว่าข้าคิดอยู่ก่อนนั้น | จะใคร่มาอภิวันท์พระบาทา |
พึ่งจะสมจินดาครานี้ | มีความยินดีเป็นหนักหนา |
ทูลพลางชำเลืองนัยนา | ดูระเด่นจินตะหราด้วยใจรัก ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | จินตะหราวาตีมีศักดิ์ |
เห็นอิเหนาเฝ้าดูอดสูนัก | นงลักษณ์แอบหลังพระชนนี |
พลางชม้ายชายเนตรดูเชษฐา | นัยนาแลสบก็หลบหนี |
หมอบเมียงเอียงอายเป็นท่วงที | เทวีขวยเขินสะเทินใจ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์ประไหมสุหรีศรีใส |
จึงตรัสแก่ธิดาทันใด | เป็นไรไม่ไหว้พี่ยา |
จงฝากตัวไว้ให้รู้จัก | จะได้พึ่งพำนักในภายหน้า |
อันองค์อิเหนานัดดา | ก็แก่เดือนกว่าเทวี |
อย่าทำกระแหน่แง่งอน | อะหนะก็อ่อนกว่าพี่ |
มิใช่ว่าอื่นไกลหาไหนมี | เจ้าจงอัญชลีพี่ยา ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | โฉมยงองค์ระเด่นจินตะหรา |
ฟังพระชนนีตรัสมา | กัลยาอายเอียงเมียงมัน |
เหลือบไปปะเนตรภูวไนย | ยิ่งสะเทิ้นฤทัยไหวหวั่น |
อุตส่าห์ขืนอารมณ์บังคมคัล | อิเหนากุเรปันแล้วก้มพักตร์ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรีมีศักดิ์ |
เหลือบไปรับไหว้นางนงลักษณ์ | พิศพักตร์ผิวเนื้อนวลละออง |
ลำลำจะใคร่ตรัสปราศรัย | แต่หากเกรงท้าวไททั้งสอง |
ให้คิดพิสมัยใจปอง | พระนิ่งตรึกตรองไปมา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระตูผู้ผ่านหมันยา |
เห็นอิเหนาเฝ้าดูธิดา | ก็แจ้งในกิริยาอาการ |
พระแสร้งทำเฉยเชือนเหมือนไม่รู้ | ยิ้มอยู่ในหน้าไม่ว่าขาน |
นิ่งนึกตรึกตราไปช้านาน | แล้วภูบาลบัญชาพาที |
สั่งประไหมสุหรีมีศักดิ์ | ว่าหลานรักมาอยู่ในกรุงศรี |
จงแต่งโภชนาสาลี | ให้นารีไปส่งจงทุกวัน |
สั่งพลางทางตรัสแก่นัดดา | วันนี้เหนื่อยมาจงผายผัน |
ไปหยุดพักอยู่ตำหนักประเสบัน | ให้ปรีดิ์เปรมเกษมสันต์สำราญ ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรีได้ฟังสาร |
จึงบังคมก้มพักตร์พจมาน | จวนเย็นแล้วหลานจะทูลลา |
พระคลานคล้อยถอยองค์ออกมาพลาง | ชำเลืองเนตรดูนางจินตะหรา |
องค์อ่อนถอนฤทัยไปมา | แล้วลีลาลงจากอัฒจันทร์ |
ชวนระเด่นดาหยนยุรยาตร | มาทรงอัศวราชผายผัน |
ทวยหาญแห่แหนแน่นนันต์ | ไปยังประเสบันอากง ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงลงจากอัสดร | กรายกรยุรยาตรดังราชหงส์ |
เข้าในห้องสุวรรณบรรจง | ทอดองค์ลงกับที่ไสยา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
ช้า
๏ พระยอกรก่ายวิลาศพาดพักตร์ | ถวิลถึงน้องรักจินตะหรา |
โฉมงามทรามสวาทเพียงบาดตา | ใต้ฟ้าหาไหนไม่ทัดเทียม |
งามจริตกิริยาเป็นน่าชม | แต่บังคมพี่ชายก็อายเหนียม |
ที่ลอบแลโฉมน้องลองเลียม | งามเสงี่ยมเจียมจิตพี่ติดใจ |
เมื่อชม้ายมาสบหลบเนตรหนี | ท่วงทีที่ทำยังจำได้ |
ยิ่งแสนเสน่หาอาลัย | เร่าร้อนฤทัยเกรียมตรม |
จะผ่อนผันฉันใดนะอกเอ๋ย | จะได้เชยชวนชิดสนิทสนม |
แต่ระลึกตรึกตราเป็นอารมณ์ | จนบรรทมหลับไปกับไสยา ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ ตระ
ร่าย
๏ บัดนั้น | เสนีสี่นายทั้งซ้ายขวา |
ให้จัดการทุกด้านดังบัญชา | ตรวจตราหน้าที่ทำพระเมรุ |
ลากเสาเข้าที่ทั้งสี่ต้น | ผู้คนอึงอัดขัดเขมร |
บ้างขุดหลุมลงลุยคุ้ยเลน | บ้างกะเกณฑ์กันตั้งนั่งร้าน |
เอาเชือกผูกแทงทบครบเสา | ได้ฤกษ์เร่งคนเข้าขันกว้าน |
ตัวไม้ใช้เดินรอกตะพาน | คนประจำทำงานไม่เงือดงด |
พวกทำเมรุทิศทั้งนั้น | ก็พร้อมกันยกตั้งขึ้นทั้งหมด |
ติดตะม่อสองชั้นเป็นหลั่นลด | นายช่างกำหนดอำนวยการ |
เจ้าหน้าที่สามส้างต่างมาจับ | ชักระดับปลายเสาเสมอสมาน |
บ้างใส่สอดรอดพรึงตรึงกระดาน | เสียงสิ่วเสียงขวานอึงอล ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | พวกวิเสทแต่งสำรับสับสน |
ครั้นเวลาจวนเที่ยงจะเลี้ยงคน | ก็รีบร้นขนสำรับมาฉับไว |
กรมวังนั่งจ่ายให้นายด่าน | พวกทำการเมรุทิศเมรุใหญ่ |
ข้าวกระทงส่งมาแต่ข้างใน | เจ้าขรัวนายเกณฑ์ให้ทำทุกเรือน |
ประชาชนชายหญิงเอาสิ่งของ | มาถวายรายกองไว้กลนเกลื่อน |
แจกให้ไพร่สมระดมเดือน | ทั้งทหารพลเรือนทั่วกัน ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้น | เสนีสี่ตำรวจกวดขัน |
นายด้านทำการพระเมรุนั้น | ทั้งกลางคืนกลางวันเร่งรัด |
ให้ยกดูกผูกเชือกแย่งระยาง | ยอดปรางค์นภศูลสวมฉัตร |
ตำรวจในไม้สูงสันทัด | ขึ้นผูกแผงผัดจัดกระจัง |
ติดชั้นเชิงบาตรบัวหงาย | เรียงรายเทพประนมยืนนั่ง |
บัญชรชัชวาลบานบัง | ฝาผนังหลังคากระยารงค์ |
พนักงานด้านทำพระเมรุทอง | ก็ติดตัวลำยองหางหงส์ |
หน้ากระดานฐานปัทม์ไม่ขัดทรง | บรรจงตั้งเครื่องพระเบญจา |
เพดานดาราระย้าย้อย | ผูกห้อยพู่พวงบุปผา |
ฉากกระจกยกตั้งบังตา | แต่งที่เป็นข้างหน้าข้างใน |
บ้างตั้งไม้กระถางวางรูปสัตว์ | รอบจังหวัดบริเวณพระเมรุใหญ่ |
รูปกินนรอ้อนแอ้นเอาใจ | วางไว้ริมมุขทุกทิศ |
ซุ้มดอกไม้รุ่งรายซ้ายขวา | โคมระย้าหลายลูกผูกติด |
ราชวัติทึบตั้งบังมิด | ฉัตรเงินทองปิดน้ำตะกู |
บ้างยกฉัตรเบญจรงค์เรียงเรียบ | เสาตะเกียบปักเคียงเป็นคู่คู่ |
ยักษ์โตตั้งวางข้างประตู | ยืนอยู่หูตาน่ากลัว |
บ้างทำโรงหุ่นโขนช่องระทา | ขึ้นหลังคาดาดแผงผูกจั่ว |
ปลูกศาลาฉ้อทานทำครัว | เสร็จทั่วทุกตำแหน่งแต่งไว้ ฯ |
ฯ ๑๘ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ฝ่ายเจ้าพนักงานน้อยใหญ่ |
ครั้นจวนกำหนดไม่นอนใจ | ก็ตระเตรียมเทียมพิชัยราชรถ |
รถใหญ่สำหรับใส่พระโกศทอง | เรืองรองรจนาปรากฏ |
รถโยงปรายข้าวตอกเป็นหลั่นลด | รถอ่านหนังสือรถใส่ท่อนจันทน์ |
เกณฑ์ไพร่ไว้สำหรับชักฉุด | ใส่เสื้อเสนากุฎขบขัน |
ที่บ่าวไพร่ใครช้ามาไม่ทัน | ก็พากันวิ่งวุ่นทุกมุลนาย |
บรรดาหมู่คู่แห่เข้ากระบวน | ก็มาถ้วนตามบาญชีซึ่งมีหมาย |
ล้วนใส่เสื้อครุยกรุยกราย | สมปักลายลำพอกถือดอกบัว |
คนชักรูปสัตว์จัดหนุ่มหนุ่ม | ใส่ศีรษะโมงครุ่มครอบหัว |
ทับทรวงสังวาลลอดสอดพันพัว | แต่งตัวนุ่งตาโถงโจงกระเบน |
กิดาหยันจัดกันตามตำแหน่ง | เชิญพระแสงหอกดาบดั้งเขน |
ตั้งตาริ้วรายไปใกล้พระเมรุ | พรั่งพร้อมตามเกณฑ์ทั้งไพร่นาย ฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ประชาชนพลเมืองทั้งหลาย |
จะดูชักพระศพตบแต่งกาย | หญิงชายโอ่อวดประกวดกัน |
บรรดาเหล่าชาวบางบ้านไกล | ก็ลงเรือรีบไปแต่ไก่ขัน |
เร่งพายเตือนผัวกลัวไม่ทัน | ทุ่มเถียงทะเลาะกันมากลางทาง |
ที่บ้านอยู่คนละฟากอยากจะดู | แต่เช้าตรู่ก็ลงมาท่าเรือจ้าง |
ให้เบี้ยเขาข้ามส่งตรงท่าช้าง | บ้างยังค้างคอยอยู่กู่ตะโกน |
พวกเมียขุนนางต่างแต่งแง่ | มาคอยดูอยู่ที่แคร่หน้าโรงโขน |
ปะชายขายหน้าประสาโลน | ทำเมินเดินโดนผู้หญิงไป |
ชาวแพแม่ค้าพาลูกเต้า | ผัวพวกนายสำเภาเป็นจีนใหม่ |
พูดจาไม่ชัดสันทัดไทย | นั่งไหนหนุ่มหนุ่มก็ล้อมอึง |
เมียน้อยเจ้าภาษีมิใช่ชั่ว | หน้าเป็นเล่นตัวจนผัวหึง |
พวกกินเหล้าเมามาหน้าตึง | ปากโป้งโผงอึงอวดตน |
เห็นสาวสาวที่ไหนชุมเข้ากลุ้มกลัด | แทรกสกัดกั้นกางขวางถนน |
ตำรวจในไล่ตีผู้คน | สับสนอลหม่านไปมา ฯ |
ฯ ๑๔ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | ระตูผู้ผ่านหมันหยา |
ครั้นแสงทองส่องสว่างกระจ่างฟ้า | เสด็จมาสรงชลฉับพลัน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
โทน
๏ ทรงสุคนธ์รวยรินกลิ่นเกลา | สอดใส่สนับเพลาสายกระสัน |
ทรงภูษาพื้นขาวเขียนสุวรรณ | กรวยเชิงสามชั้นบรรจงโจง |
ฉลององค์โหมดเทศทองอร่าม | อินทรธนูดูงามอ่าโถง |
เจียระบาดตาดเงินเงาโง้ง | ปั้นเหน่งลายปรุโปร่งประดับพลอย |
กรองศอสังเวียนวิเชียรช่วง | ตาบทิศทับทรวงห่วงห้อย |
ทองกรจำหลักเป็นรักร้อย | ธำมรงค์เพชรพลอยร่วงรุ้ง |
กรรเจียกแก้วแพรวพรายทั้งซ้ายขวา | ทรงชฎาห้ายอดสอดสะดุ้ง |
ห้อยอุบะตันหยงส่งกลิ่นฟุ้ง | ครั้นรุ่งก็เสด็จจรจรัล ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ
ร่าย
๏ มายังเกยมณีที่ข้างหน้า | พระราชาขึ้นทรงอุสงหงัน |
เสนีแห่แหนแน่นนันต์ | อิเหนากุเรปันก็ตามไป ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงหยุดประทับพลับพลา | พร้อมหมู่มาตยาน้อยใหญ่ |
หมอบเฝ้าคอยฟังรับสั่งใช้ | ตำรวจในพิทักษ์รักษาองค์ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ประไหมสุหรีมีศักดิ์สูงส่ง |
ชวนระเด่นจินตะหราโฉมยง | มาทรงวอสุวรรณกั้นกาง |
เสด็จโดยฉนวนในไคลคลา | โขลนจ่าร้องให้เปิดประตูข้าง |
พร้อมหมู่สาวสรรค์กำนัลนาง | ต่างต่างตามเสด็จจรลี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงชวนพระธิดา | หยุดประทับพลับพลาหลังคาสี |
คอยดูชักศพพระอัยกี | เลิกมู่ลี่แลลอดสอดตา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เสนีธิบดีซ้ายขวา |
เร่งรัดจัดถ้วนกระบวนตรา | พอเวลาไขสีรวีวรรณ |
จึงให้เชิญพระศพในปราสาท | ขึ้นสู่ยานุมาศผายผัน |
เกณฑ์แห่แห่แหนแน่นนันต์ | มายังเกยสุวรรณที่ประทับ |
พนักงานเชิญพระโกศขึ้นตั้ง | บนบัลลังก์รถทรงเสร็จสรรพ |
คู่แห่แตรสังข์คั่งคับ | เป็นลำดับเดินโดยมรคา |
เชื้อพระวงศ์ทรงรถเรืองรอง | มือถือแว่นทองซองสลา |
โขมพัตถ์พับยาวโยงมา | พาดเหนืออังสาทรงไว้ |
รถพระวงศ์เชื้อสายปรายข้าวตอก | ใส่ชฎาลำพอกดอกไม้ไหว |
รถบีกูดูหนังสืออ่านไป | รถหลังตั้งเนื้อไม้ท่อนจันทน์ |
เครื่องสูงเคียงคู่ทั้งสองข้าง | พระกลดหักทองขวางกางกั้น |
อินทร์พรหมพร้อมเพรียงเรียงกัน | เสียงประโคมครื้นครั่นสนั่นไป |
รูปสัตว์สิ่งละคู่ดูต่างต่าง | ตามตำแหน่งขุนนางน้อยใหญ่ |
บุษบกบัลลังก์ตั้งผ้าไตร | ชักไปเป็นขนัดอัดมา |
ระเด่นดาหยนสุริย์วงศ์ | ทั้งเผ่าพงศ์ประยูรในหมันหยา |
ต่างองค์ทรงเครื่องใส่ชฎา | ขี่ม้าตามไปในกระบวน ฯ |
ฯ ๑๖ คำ ฯ กลองโยน
๏ บัดนั้น | หญิงชายหนุ่มสาวชาวเรือกสวน |
ลูกเต้าหลานเหลนอยู่เป็นพรวน | เห็นกระบวนแห่หน้ามาแต่ไกล |
พวกผู้หญิงชิงช่องราชวัติ | ด่าทอพ้อตัดผลักไส |
บ้างลุกขึ้นชี้หน้าแล้วว่าไป | ทำไมตะกายเอานายกู |
ลูกผัวพี่น้องทั้งสองข้าง | วิ่งวางเข้าช่วยเหมือนมวยหมู่ |
พวกผู้ชายเฮฮาเข้ามาดู | ตำรวจในไล่ขู่ห้ามปราม |
ผู้คนคั่งคับนับแสน | นั่งแน่นไปทั้งท้องสนาม |
บ้างชมรถรัตน์สารพัดงาม | พระโกศทองอร่ามรูจี |
ท้าวนางข้างในออกไปดู | นั่งอยู่หน้าพลับพลาหลังคาสี |
บ้างพูดถึงครั้งการบ้านเมืองดี | ว่างามยิ่งกว่านี้มากมาย |
เมียขุนนางบางคนติผัว | แต่งตัวใส่ลำพอกพานจะหงาย |
สะกิดเพื่อนเตือนให้ดูท่านผู้ชาย | แย้มยิ้มพริ้มพรายไปมา ฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พวกพระวงศ์พงศ์พันธุ์ในหมันหยา |
ทั้งขุนนางข้างภูษามาลา | ครั้นพระศพชักมาถึงพระเมรุ |
ให้เชิญโกศลงจากบุษบก | พยุงยกฮึดฮัดขัดเขมร |
ใส่ที่นั่งบัลลังก์ราเชนทร์ | เวียนรอบบริเวณพระเมรุมา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ กลองโยน
๏ ครั้นครบคำรบสามตามธรรมเนียม | พนักงานคอยเตรียมอยู่พร้อมหน้า |
จึงเชิญพระโกศแก้วแววฟ้า | ขึ้นตั้งบนเบญจาห้าชั้น |
พวกประโคมสังข์แตรแซ่เสียง | สำเนียงกลองชนะครื้นครั่น |
ชาววังชักรูดพระสูตรสุวรรณ | บังแสงสุริยันตรัสไตร ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | ระตูหมันหยาเป็นใหญ่ |
ชวนอิเหนานัดดาคลาไคล | เข้าไปในพระเมรุรจนา |
ครั้นถึงจึงบังคมเคารพ | พระศพอัยกีนาถา |
แล้วทรงจุดธูปเทียนบูชา | เครื่องสุวรรณบุปผามาลี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ สาธุการ
๏ เมื่อนั้น | โฉมยงองค์ประไหมสุหรี |
ทั้งระเด่นจินตะหราวาตี | จรลีมายังพระเมรุทอง ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ จึงจุดธูปเทียนนมัสการ | เยาวมาลย์กำสรดเศร้าหมอง |
สาวสนมกรมในเนืองนอง | ฟูมฟองชลนาจาบัลย์ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๏ เมื่อนั้น | ระตูผู้ผ่านไอศวรรย์ |
ให้สังฆการีนิมนต์พระนักธรรม์ | พร้อมกันเข้ามาสดับปกรณ์ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ แล้วถวายวัตถุไทยทาน | บริขารเสื่อร่มพรมหมอน |
โสมนัสศรัทธาสถาวร | ภูธรเสด็จกลับมาพลับพลา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ นั่งเหนือพระยี่ภู่ปูลาด | หมู่อำมาตย์เฝ้าแหนแน่นหนา |
ประชาชนกล่นเกลื่อนกันมา | จึงตรัสสั่งเสนาให้ทิ้งทาน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เสนีที่เฝ้าอยู่หน้าฉาน |
รับสั่งแล้ววิ่งไปลนลาน | โบกมือให้ทิ้งทานโปรยปราย ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ขุนหมื่นชาวคลังทั้งหลาย |
นั่งประจำกำมพฤกษ์รอบราย | ต่างถวายบังคมแล้วขึ้นทิ้ง |
ผู้คนคั่งคับสับสน | ปนละวนวุ่นวายทั้งชายหญิง |
บ้างโดดโลดลอยคอยชิง | ชูสวิงร่มรับลูกมะนาว |
บ้างตบมือเพรียกเรียกร้อง | ไล่ตะครุบทุบถองกันอื้อฉาว |
เป็นหมู่หมู่วิ่งกรูเกรียวกราว | ประชาชาวบุรีปรีดา ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้น | พนักงานการเล่นทุกภาษา |
ทั้งหุ่นโขนโรงใหญ่ช่องระทา | มานอนโรงคอยท่าแต่ราตรี |
ครั้นพระศพชักมาถึงหน้าเมรุ | ก็โห่ฉาวกราวเขนขึ้นอึงมี่ |
ต่างเล่นเต้นรำทำท่วงที | เสียงฆ้องกลองตีทุกโรงงาน ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้น | ฝูงประชามาสิ้นทุกถิ่นฐาน |
พวกผู้หญิงสาวสาวชาวร้าน | เดินเที่ยวดูงานพล่านไป |
นักเลงเหล่าเจ้าชู้ฉุยฉาย | นุ่งลายฉีกผ้าดัดตัดผมใหม่ |
ดัดจริตปิดขมับทาไพล | ห่มแพรหนังไก่สองเพลาะ |
เห็นสาวสาวเหล่าข้าหลวงเรือนนอก | สะกิดบอกเพื่อนกันคนนั้นเหมาะ |
บ้างเดินเวียนแวดชายร่ายเราะ | พูดปะเหลาะลดเลี้ยวเกี้ยวพาน |
พวกดูโขนโคลนตมก็ไม่ว่า | สู้ทนฝนฟ้าไม่ไปบ้าน |
บ้างยืนนั่งตั้งใจจะดูงาน | สับสนอลหม่านเร้ารุม |
พวกผู้ชายรายยืนอยู่สองข้าง | แหวกทางให้ผู้หญิงถลำหลุม |
ที่ลื่นล้มกลางถนนคนชุม | หนุ่มหนุ่มสรวลเสเฮฮา ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | พระผู้ผ่านเขตขัณฑ์หมันหยา |
ตะวันบ่ายชายบังหลังพลับพลา | ให้เรียกมวยเข้ามาฉับพลัน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | คู่มวยลุกขึ้นขมีขมัน |
ย่างเท้าสาวหมัดกัดฟัน | ตั้งมั่นตาเขม้นคอยรับ |
ชกนอกหลอกหลอนลวงให้ไล่ | ว่องไวได้ทีตีเท้ากลับ |
ยังไม่ทันถึงยกฟกบวมยับ | อดเหนียวเคี่ยวขับไม่รับแพ้ |
มุทะลุไล่สุ่มตะลุมบอน | ชกซ้อนถูกถนัดหมัดทอดแห |
ล้มลงกลอกคอทำท้อแท้ | เรียกหมอมาแก้แล้วหยุดไว้ ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | ระตูหมันหยาเป็นใหญ่ |
ทรงพระสรวลตรัสสั่งเสนาใน | จงไปเปรียบมวยผู้หญิงดู |
เลือกล่ำงามงามตามสมัคร | ที่ใจรักชกตีจะมีอยู่ |
ลูกเมียของใครก็ไม่รู้ | ได้คู่คาดหมัดมาบัดนี้ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้น | เสนารับสั่งใส่เกศี |
มาเปรียบมวยผู้หญิงเป็นสิงคลี | ตามมีพระราชบัญชา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ คู่แรกหัวไรจุกจับกระเหม่า | หน้าเง้าเจ้าคารมผมประบ่า |
แต่งตัวผัวเสกขมิ้นทา | ห่มผ้าแพรแดงตะแบงมาน |
คาดหมัดขัดเขมรมงคลใส่ | แล้วไปยังสนามหน้าฉาน |
ทุบหลังลงให้นั่งกราบกราน | พระผู้ผ่านสวรรยาธานี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวหมันหยาปรีดิ์เปรมเกษมศรี |
จึงว่าชอบกลอยู่คู่นี้ | ชกให้ดีดีอย่าเกี้ยวกัน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | คู่มวยผู้หญิงคนขยัน |
กราบลงแล้วลุกขึ้นฉับพลัน | ตั้งมั่นหมิ่นเหม่ไม่มีแรง |
ย่างเท้าสาวหมัดเมินหน้า | หลับตาทุบถองกันพร่องแพร่ง |
เลี้ยวลอดกอดกัดวัดแวง | ล้มตะแคงคนดูเฮฮา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | ระตูผู้ผ่านหมันหยา |
ทอดพระเนตรอยู่บนพลับพลา | จนโพล้เพล้เวลาใกล้จะพลบ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | พนักงานด้านพระเมรุเจนจบ |
พร้าขอตะกร้อน้ำเตรียมครบ | หน้าพลับพลาจุดคบรายไป ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวหมันหยาเป็นใหญ่ |
ให้จุดพุ่มระทาดอกไม้ | ไสวสว่างช่วงดังดวงดาว ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | พวกหนังต่างประชันโห่ฉาว |
บ้างหยุดพากย์เจรจาว่าเรื่องราว | บ้างเชิดบ้างกราวอึงไป ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้น | ประชาชนอลหม่านไม่นับได้ |
เป็นหมู่หมู่มาดูดอกไม้ | แล้วไปดูหนังฟังเจรจา |
พวกผู้ดีหนุ่มหนุ่มคลุมศีรษะ | เดินปะใครพบก็หลบหน้า |
ปลอมปนมิให้คนสงกา | เที่ยวเล่นตามประสาหนุ่มคะนอง |
พวกผู้หญิงชาวร้านบ้านใกล้ | ตามไต้นั่งรายขายของ |
หมากพลูบุหรี่ใส่ซอง | เห็นใครเดินมาร้องเรียกให้ซื้อ |
พวกบัณฑิตติดจะเคอะเข้านั่งใกล้ | ช่วยเขี่ยไต้อ่านอวดสวดหนังสือ |
ปะเหล่าโลนลำพองคะนองมือ | เอาอิฐถือลอบทิ้งจนนิ่งไป |
พวกผู้ชายโฉงเฉงนักเลงถั่ว | แต่งตัวนุ่งผ้าพกใหญ่ |
เห็นบ่อนตั้งหลังระทาดอกไม้ | ก็แวะวางเข้าไปนั่งแทง |
บ้างยักขึ้นเส้นเล่นพกเปล่า | ครั้นเสียเข้าก็นั่งทำหน้าแห้ง |
บ้างปลอมเปลี่ยนสับจับเงินแดง | ที่ติดพันยื้อแย่งกันรุงรัง |
ลางเหล่าลอบจุดประทัดทิ้ง | พวกผู้หญิงเป็นหมู่มาดูหนัง |
บ้างโกรธบ้างว่าน่าชัง | บ้างนั่งดูสนุกบ้างลุกไป ฯ |
ฯ ๑๔ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรีศรีใส |
ครั้นค่ำคำนึงถึงทรามวัย | ภูวไนยนิ่งนึกตรึกตรา |
จะเข้าไปคอยอยู่ที่พระศพ | จะได้พบพุ่มพวงดวงยิหวา |
คิดพลางย่างเยื้องลีลา | เข้ามาเมรุสุวรรณชั้นใน ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เพลงช้า
๏ ครั้นถึงจึ่งถวายอัญชลี | พระศพอัยกีเป็นใหญ่ |
จึงจุดธูปเทียนทันใด | ด้วยใจเคารพบูชา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ สาธุการ
๏ เมื่อนั้น | องค์ประไหมสุหรีเสนหา |
สถิตยังสุวรรณพลับพลา | ครั้นสิ้นแสงสุริยาเวลาพลบ |
จึงชวนพระธิดายาใจ | จะเข้าไปทักษิณพระศพ |
โขลนจ่าข้าหลวงวิ่งกระทบ | จุดคบโคมส่องเสด็จมา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เพลงช้า
๏ ครั้นถึงบริเวณพระเมรุใหญ่ | เห็นนายไพร่พร้อมพรั่งนั่งรักษา |
จึงหยุดยืนอยู่แทบทวารา | ทั้งสองกษัตราไม่คลาไคล ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นางโขลนผู้มีอัชฌาสัย |
วิ่งวางมาขับฉับไว | พวกผู้ชายออกไปเสียให้พ้น ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรีแจ้งเหตุผล |
จึงขับเสนาสามนต์ | ผู้คนทั้งนั้นออกมา |
แต่องค์เดียวเสด็จจรจรัล | ไปรับประหมันด้วยหรรษา |
น้อมองค์ลงถวายวันทา | แล้วแลดูจินตะหราวาตี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | โฉมยงองค์ประไหมสุหรี |
จึงตรัสชวนระเด่นมนตรี | มาทักษิณอัยกีด้วยกัน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรีเกษมสันต์ |
สมคิดดังจิตผูกพัน | จึงเสด็จจรจรัลตามมา |
พระแสร้งทำทักษิณไปพลาง | ชำเลืองเนตรดูนางจินตะหรา |
แสงเพลิงส่องจับกับพักตรา | โสภาเพียงบุหลันลอยโพยม |
ดูไหนให้เพลินจำเริญจิต | ยิ่งคิดพิสมัยที่ในโฉม |
ครั้นถึงช่องกลางหว่างโคม | ลำลำจะใคร่โลมนางเทวี ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นจินตะหรามารศรี |
ดำเนินเดินเคียงพระภูมี | ทำท่วงทีอายเอียงเมียงเมิน |
แลสบหลบเนตรเชษฐา | กัลยายิ่งระทวยขวยเขิน |
ให้อดสูจิตคิดสะเทิน | พลางเดินก้มพักตร์ทักษิณไป ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์ประไหมสุหรีศรีใส |
เห็นท่วงทีอิเหนาก็เข้าใจ | ทำเมินเดินไปไม่นำพา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | พี่เลี้ยงกำนัลในซ้ายขวา |
แจ้งใจในที่กิริยา | ชายตาดูองค์พระทรงธรรม์ |
เห็นดำเนินเดินชิดพระธิดา | กิริยาแยบคายคมสัน |
บ้างบอกเพื่อนสนิทสะกิดกัน | นางกำนัลซุบซิบกระหยิบตา |
ที่มีอัชฌาสัยมิใคร่เดิน | ทำเมินยิ้มละไมอยู่ในหน้า |
บ้างรอรั้งยั้งยืนพูดจา | ตามเสด็จเดินมาแต่ไกลไกล ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรีศรีใส |
เดินเคียงกัลยาคลาไคล | เห็นนางห่างไกลพระชนนี |
จึ่งเอาพลูรอยกัดซัดต้ององค์ | โฉมยงสะดุ้งเดินเมินหนี |
พระรีบไปพลันทันเทวี | ภูมียิ้มพรายชายตา |
เห็นนางเดินเมินเมียงเลี่ยงหลบ | พระแกล้งทำกระทบอังสา |
นาสิกสูบรสสุคนธา | กัลยาเคืองค้อนงอนงาม |
แต่เวียนวงทักษิณรอบพระศพ | จนจวนถ้วนครบคำรบสาม |
ให้อาลัยที่จะไกลนงราม | ด้วยความประดิพัทธ์พันทวี ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | โฉมยงองค์ประไหมสุหรี |
ครั้นเสร็จทักษิณศพพระอัยกี | ก็จรลีมาสุวรรณพลับพลา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เพลงเร็ว
๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวเจ้าเมืองหมันหยา |
สมโภชพระศพเสร็จเจ็ดทิวา | ครั้นเพลาบ่ายแสงสุริยง |
จึ่งให้เชิญพระโกศทองลองใน | ขึ้นใส่เชิงตะกอนสูงส่ง |
พร้อมพระมเหสีสุริย์วงศ์ | ทั้งองค์อิเหนานัดดา |
ต่างถือธูปเทียนดอกไม้ | เข้าไปประนมน้อมพร้อมหน้า |
จบพระหัตถ์มัสการขอสมา | อย่าให้มีเวราสืบไป |
ครั้นเสร็จจึ่งจุดเพลิงพลัน | สารพันเครื่องหอมซัดใส่ |
คับคั่งทั้งข้างหน้าข้างใน | ต่างคนเข้าไปจุดอัคคี ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ ปี่กลอง
๏ เมื่อนั้น | โฉมยงองค์ประไหมสุหรี |
ทั้งระเด่นจินตะหราวาตี | ดูเปลวอัคคีชัชวาล |
นางยิ่งระทดสลดจิต | อาลัยให้คิดสงสาร |
ต่างองค์ยกหัตถ์นมัสการ | เยาวมาลย์ข้อนทรวงเข้าโศกา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
โอ้บูชากุณฑ์
๏ โอ้ว่าพระทูลกระหม่อมเอ๋ย | พระคุณเคยปกเกล้าเกศา |
เฝ้าถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงลูกมา | ไม่นิราศคลาดคลาสักคืนวัน |
พระพี่นางทั้งสองมาเชิญไป | ก็มิได้จำนงผายผัน |
เพราะรักใคร่ในลูกผูกพัน | ประโลมเลี้ยงหลานขวัญทุกเวลา |
ทีนี้ตั้งแต่จะแลลับ | ที่ไหนจะได้กลับมาเห็นหน้า |
ร่ำพลางนางทรงโศกา | กัลยาเพียงจะสิ้นสมประดี ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ โอด
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | พระผู้ผ่านหมันหยากรุงศรี |
ครั้นเสร็จส่งสการพระอัยกี | ภูมีสร้อยเศร้าเปล่าวิญญาณ์ |
จึ่งชวนมเหสีโฉมยง | กับองค์บุตรีเสน่หา |
พร้อมฝูงกำนัลกัลยา | ลีลาเข้ายังวังใน ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรีศรีใส |
ครั้นท้าวหมันหยาคลาไคล | ก็กลับไปที่อยู่พระภูธร ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ ครั้นถึงห้องสุวรรณบรรจง | ทอดองค์ลงกับที่บรรจถรณ์ |
ถวิลถึงวนิดายิ่งอาวรณ์ | พลางสะท้อนถอนใจไปมา |
กรกอดเขนยข้างไว้หว่างทรวง | สำคัญว่าพุ่มพวงดวงยิหวา |
เคลิ้มเคล้นเหมือนจะเห็นกัลยา | พระหลงใหลไขว่คว้าม่านมอง |
ครั้นรู้สึกสมประดีว่ามิใช่ | ก็เศร้าเสียพระทัยหม่นหมอง |
ให้โศกศัลย์รัญจวนถึงนวลน้อง | นิ่งนึกตรึกตรองจนหลับไป ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ ตระ
๏ เมื่อนั้น | ระตูหมันหยาเป็นใหญ่ |
ครั้นรุ่งรางสร่างแสงอโณทัย | ภูวไนยแต่งองค์อลงการ |
ครั้นเสร็จเสด็จจรลี | มายังที่เกยลาหน้าฉาน |
ขึ้นทรงยานุมาศสามคาน | พนักงานแห่แหนแน่นนันต์ |
องค์ประไหมสุหรีกับธิดา | เสด็จมาในแนวฉนวนกั้น |
ระเด่นมนตรีกุเรปัน | ก็ตามมาเมรุสุวรรณบรรจง ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึ่งชวนพระวงศา | เขี่ยหาพระธาตุกวาดเผ้าผง |
เก็บได้ใส่ขันสุวรรณลง | โสรจสรงสุคนธาวารี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นจินตะหรามารศรี |
เขี่ยหาพระธาตุอัยกี | เทวีพลางทรงโศกาลัย ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรีศรีใส |
เห็นนางหยิบลงที่แห่งไร | ภูวไนยหยิบลงที่ตรงนั้น |
พระกระทบกรนางเทวี | ทำทีแยบคายคมสัน |
แล้วแสร้งทรงโศกาจาบัลย์ | มิให้สองประหมันกินใจ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระผู้ผ่านหมันหยาเป็นใหญ่ |
เสร็จสรงพระธาตุทันใด | ใส่ในโกศรัตน์ชัชวาล |
ให้เชิญเข้าไปไว้ในวัง | สถิตยังปราสาทราชฐาน |
แล้วสั่งให้ลอยพระอังคาร | ตามจารีตบุราณแต่ก่อนมา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เสนีรับสั่งใส่เกศา |
มาจัดแจงแต่งตามพระบัญชา | ชาวมาลาไปกวาดพระอังคาร |
เอาห่อหุ้มคลุมผ้าโขมพัตถ์ | แล้วผูกรัดพันเข้าทั้งเถ้าถ่าน |
ใส่ในขันทองรองพาน | เชิญขึ้นพระยานุมาศมา |
คู่แห่แต่ล้วนใส่ลำพอก | พนมมือถือดอกบุปผา |
เสียงประโคมฆ้องกลองก้องโกลา | แห่ไปยังท่าชลาลัย ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ กลองโยน
๏ ครั้นถึงตะพานเหนือตำหนักแพ | เรือแห่ธงทิวปลิวไสว |
จึงเชิญพระอังคารลงไป | เรือที่นั่งเอกชัยฉับพลัน |
พลพายนั่งพายเป็นคู่คู่ | ใส่เสื้อปัศตูดูขบขัน |
เรือขุนนางเรือที่นั่งดั้งกัน | แห่แหนแน่นนันต์นทีธาร ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงกึ่งกลางสาชล | เป็นวังวนกว้างใหญ่ไพศาล |
ชาวภูษามาลาพนักงาน | ก็เชิญพระอังคารลอยลง ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
https://vajirayana.org/system/files/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B2_264950.pdf