- คำอธิบาย ว่าด้วยบทละคร อิเหนาฉบับหอพระสมุดวชิรญาณ
- เล่มที่ ๑
- เล่มที่ ๒
- เล่มที่ ๓
- เล่มที่ ๔
- เล่มที่ ๕
- เล่มที่ ๖
- เล่มที่ ๗
- เล่มที่ ๘
- เล่มที่ ๙
- เล่มที่ ๑๐
- เล่มที่ ๑๑
- เล่มที่ ๑๒
- เล่มที่ ๑๓
- เล่มที่ ๑๔
- เล่มที่ ๑๕
- เล่มที่ ๑๖
- เล่มที่ ๑๗
- เล่มที่ ๑๘
- เล่มที่ ๑๙
- เล่มที่ ๒๐
- เล่มที่ ๒๑
- เล่มที่ ๒๒
- เล่มที่ ๒๓
- เล่มที่ ๒๔
- เล่มที่ ๒๕
- เล่มที่ ๒๖
- เล่มที่ ๒๗
- เล่มที่ ๒๘
- เล่มที่ ๒๙
- เล่มที่ ๓๐
- เล่มที่ ๓๑
- เล่มที่ ๓๒
- เล่มที่ ๓๓
- เล่มที่ ๓๔
- เล่มที่ ๓๕
- เล่มที่ ๓๖
- เล่มที่ ๓๗
- เล่มที่ ๓๘
เล่มที่ ๑๑
๏ บัดนั้น | ฝ่ายกองร้อยคอยเหตุอาสา |
ข้างกะหมังกุหนิงพารา | เห็นทัพใหญ่ยกมามากมี |
รี้พลคณนานับแสน | อเนกแน่นรถรัตน์หัตถี |
ต่างตื่นตกใจไม่สมประดี | ก็เผ่นขึ้นพาชีควบไป ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงเข้าในค่ายหลวง | เอากิจจาทั้งปวงแถลงไข |
บอกแก่ยาสาเสนาใน | โดยได้ไปเห็นรี้พล ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้น | ยาสาได้แจ้งแห่งเหตุผล |
จึงพาม้าใช้ทั้งสองคน | รีบร้นมายังพลับพลาชัย ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ ก้มเกล้ากราบทูลภูวเรศ | ว่าคอยเหตุได้เห็นทัพใหญ่ |
ยกมาแน่นดงพงไพร | ดูไปไม่สิ้นโยธา |
เซ็งแซ่แตรสังข์ฆ้องกลอง | ช้างร้องเรียกกันสนั่นป่า |
เสียงโกลนกระทบแผงข้างม้า | ดังว่าเสียงพายุอึงอล |
อันแสงอาวุธหอกดาบ | ปลาบแปลบแวบวาบเวหน |
ผลคลีมืดคลุ้มโพยมบน | บดบังสุริยนในท้องฟ้า |
ธงหน้ามาปักลงบัดใจ | แลไปไม้ราบไปทั้งป่า |
แล้วมีทัพออกจากพารา | เข้าหาสมทบบรรจบกัน |
กำลังสงครามครั้งนี้ | ดูทียิ่งยวดกวดขัน |
พรุ่งนี้น่าที่จะโรมรัน | พระทรงธรรม์จงทราบฝ่าธุลี ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | ท้าวกะหมังกุหนิงเรืองศรี |
ได้ฟังยาสาเสนี | จึงมีสีหนาทประภาษไป |
กูเห็นจะเป็นทัพจรกา | ทั้งเชษฐาล่าสำกรุงใหญ่ |
บรรจบกับทัพชาวเวียงชัย | พลไกรจึงมากโดยประมาณ |
แต่อรุณฤกษ์รุ่งพรุ่งนี้ | จำจะยกไปตีให้แตกฉาน |
จงตรวจตราม้าช้างที่ชำนาญ | จัดทัพทวยหาญเตรียมไว้ ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เสนารับสั่งบังคมไหว้ |
มาเร่งรัดจัดทัพทันใด | ตามในพระราชบัญชา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
ยานี
๏ เกณฑ์ทหารหอกปืนพื้นลำลอง | เป็นกองสอดแนมให้เดินหน้า |
แล้วกองร้อยคอยหนุนเนื่องมา | กระทั่งถึงโยธากองพัน |
อันกองซุ่มเสือป่าแมวเซา | ให้ลอบเข้าโจมตีทัพขันธ์ |
กองกลางห้าหมื่นพื้นฉกรรจ์ | หนักไหนช่วยนั่นให้ทันที |
เกณฑ์ถ้วนกระบวนทัพหน้า | กองวิหยาสะกำเรืองศรี |
ทัพหลวงล้วนทหารตัวดี | สิบหมื่นพื้นมีฝีมือรบ |
โยธาปาหยังกับประหมัน | เป็นปีกป้องกองขันบรรจบ |
ตำมะหงงรั้งหลังตั้งครบ | พลรบกองละห้าหมื่นปลาย |
แล้วให้ผูกสินธพอาชา | คอยท่ารับเสด็จผันผาย |
พรั่งพร้อมพหลพลนิกาย | ตัวนายตรวจตราในราตรี ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ เจรจา
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | ท้าวกะหมังกุหนิงเรืองศรี |
ครั้งแสงทองส่องพื้นปัถพี | พระตื่นจากที่บรรทมใน |
จึงชวนสองระตูอนุชา | กับโอรสาพิสมัย |
บทจรจากอาสน์อำไพ | เสด็จไปที่สรงคงคา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
โทน
๏ สี่องค์สรงน้ำพิธีสนาน | สุคนธารประทิ่นกลิ่นบุหงา |
ต่างใส่สนับเพลารจนา | ทรงภูษาแย่งยกกระหนกพัน |
เกราะเพชรเก็จกรองฉลององค์ | เจียระบาดบรรจงทรงกระสัน |
คาดบั้นเหน่งพรรณรายสายสุวรรณ | สลับคั่นประจำยามอร่ามเรือง |
ใส่สังวาลสำหรับรณรงค์ | ทับทรวงทรงสายสร้อยห้อยเฟื่อง |
ตาบทิศทับทิมแสงประเทือง | ทองกรประดับเนื่องเนาวรัตน์ |
ทรงมหาธำมรงค์เรือนครุฑ | มงกุฎกรรเจียกจอนจำรัส |
อุบะเพชรพวงผจงทรงทัด | สี่กษัตริย์ทรงกริชแล้วคลาไคล ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ
ร่าย
๏ เสด็จยังเกยรัตน์รูจี | พร้อมกระบวนโยธีทัพใหญ่ |
ต่างองค์ขึ้นทรงมโนมัย | เสนาในอภิวาทดาษดา |
ได้ฤกษ์เลิกพลรณรงค์ | ให้ดำเนินเดินธงทัพหน้า |
สารวัดรัดเร่งโยธา | ออกจากค่ายชายป่าพนาลี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ พระรีบเร่งพลขันธ์ผันผาย | มาตามชายทิวทุ่งกรุงศรี |
ทอดพระเนตรแลดูหมู่โยธี | ภูมีเห็นเป็นอัศจรรย์ |
อันทวนทองธงฉานธงชัย | แลไปไม่มีสีสัน |
จะดูดินฟ้าพนาวัน | สารพันอัปภาคย์หลากลาง |
มิ่งม้าพาชีที่นั่งทรง | เผอิญงงหงอยเงื่องเยื้องย่าง |
กาเหยี่ยวเฉี่ยวฉาบมาริมทาง | ข้ามขวางหน้าฉานผ่านไป |
ให้อาเพศเหตุเห็นวิปริต | ก็แจ้งจิตว่าจะม้วยไม่สงสัย |
ยิ่งคิดคร้ามครั่นพรั่นใจ | พระสั่งให้หยุดพหลมนตรี ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้น | เสนารับสั่งใส่เกศี |
ให้นายกองเอาฆ้องกระแตดี | สัญญาโยธีให้หยุดยั้ง |
ขุนพลผู้ใหญ่ไปตรวจตรา | วางกองโยธาหน้าหลัง |
ปีกขวาปีกซ้ายรายระวัง | จัดตั้งให้ต้องนามนาคา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้น | ฝ่ายทหารกุเรปันแกล้วกล้า |
นั่งทางอยู่ท้ายพารา | เห็นไพรียกมาแต่ชายไพร |
ม้ารถคชพลคับคั่ง | หยุดตั้งกลางทุ่งกรุงใหญ่ |
ต่างคนเผ่นขึ้นมโนมัย | ควบขับกลับไปยังพลับพลา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงลงจากพาชี | เห็นเสนีพี่เลี้ยงอยู่พร้อมหน้า |
จึงเข้าไปแจ้งความตามกิจจา | โดยได้เห็นโยธาไพรี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้น | พระพี่เลี้ยงแจ้งเหตุถ้วนถี่ |
ก็เข้าไปบังคมคัลอัญชลี | ทูลระเด่นมนตรีกุเรปัน |
บัดนี้ม้าคอยมรคา | กลับมาแต่ชายพนาสัณฑ์ |
เห็นทัพท้าวกะหมังกุหนิงนั้น | ออกจากค่ายมั่นยกมา |
หยุดยั้งตั้งกองอยู่กลางทุ่ง | ที่เนินทรายท้ายกรุงดาหา |
ขอพระองค์ผู้ทรงศักดา | จงทราบบาทาฝ่าธุลี ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระผู้พงศ์เทวาในราศี |
ได้ฟังพี่เลี้ยงทูลคดี | จึงมีพระบัญชาการ |
ตำมะหงงจงเร่งไปตรวจตรา | เกณฑ์พลโยธาทวยหาญ |
เราจะออกหักโหมโรมราญ | รีบรัดจัดการให้พร้อมไว้ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ตำมะหงงกุเรปันกรุงใหญ่ |
รับสั่งบังคมลาคลาไคล | ออกไปจัดทัพฉับพลัน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
ยานี
๏ เกณฑ์กระบวนทัพหน้าห้าหมื่น | แต่พื้นพวกปักมาหงัน |
จัดลำลองกองร้อยกองพัน | ทั้งกองกันกองแล่นล้วนตัวดี |
ปีกซ้ายนายไพร่พร้อมหน้า | ล้วนโยธาสิงหัดส่าหรี |
ปีกขวากองกะหรัดตะปาตี | จัดพลโยธีให้เท่ากัน |
พวกอาสาพาชีช้างเขน | เกณฑ์เป็นกองแซงแข็งขัน |
ทัพหลวงล้วนทหารกุเรปัน | สิบหมื่นพื้นฉกรรจ์สรรมา |
กองหลังรั้งท้ายทั้งนายไพร่ | พื้นพวกพิชัยหมันหยา |
เกณฑ์ถ้วยกระบวนเบญจเสนา | พายหมวดตรวจตราทั้งห้าทัพ |
แล้วให้ผูกพาชีที่นั่งทรง | เครื่องกุดั่นบรรจงดาวประดับ |
จัตุรงค์พร้อมพรั่งคั่งคับ | เตรียมทัพรับเสด็จจรจรัล ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ เจรจา
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | พระผู้พงศ์เทวากระยาหงัน |
ครั้นฤกษ์ดีแจ่มดวงสุริยัน | ทรงธรรม์ชวนกะหรัดตะปาตี |
ทั้งสุหรานากงอนุชา | สังคามาระตาเรืองศรี |
กับระเด่นดาหยนผู้ภักดี | มาเข้าที่สรงน้ำทิพมนต์ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
โทน
๏ ห้าองค์ชำระสระสนาน | กิดาหยันถวายพานเครื่องต้น |
บรรจงทรงทาพระสุคนธ์ | ปรุงปนเกสรสุมาลี |
สอดใส่สนับเพลาภูษาทรง | ฉลององค์โหมดตาดต่างสี |
เจียระบาดคาดรัดรูจี | ปั้นเหน่งเพชรพลอยมณีหนุนซับ |
ทรงมหาสังวาลพิชัยยุทธ์ | ชมพูนุทเฟื่องห้อยพลอยประดับ |
ทองกรแก้วพุกามวามวับ | ธำมรงค์รุ้งระยับจับตา |
ทรงมงกุฎกุณฑลทัดตรัสเตร็จ | อุบะเพชรแพร้วพรายพระเวหา |
เหน็บกริชฤทธิไกรแล้วไคลคลา | เสด็จมายังเกยแก้วมณี ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ
ร่าย
๏ ต่างองค์ขึ้นทรงม้าต้น | พร้อมพลจัตุรงค์ทั้งสี่ |
กิดาหยันพี่เลี้ยงเคียงพาชี | ถวายกลดโหมดสีต่างกัน |
ให้เดินทัพโยธาห้ากอง | เสียงกลองเสียงปืนครื้นครั่น |
ผลคลีมืดคลุ้มชอุ่มควัน | รีบร้นพลขันธ์คลาไคล ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นมาใกล้กองทัพไพรี | เห็นโยธีธงทิวปลิวไสว |
ช้างม้าดาทุ่งเป็นแถวไป | พระสั่งให้หยุดพลจัตุรงค์ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | จึงมหาเสนาตำมะหงง |
รับราชบัญชาพระโฉมยง | ให้หยุดธงสำคัญสัญญา |
แล้วรีบรัดจัดพลรณยุทธ์ | ตั้งที่นามครุฑปักษา |
วางกองเยื้องกันเป็นฟันปลา | ให้โยธาคอยยิงชิงชัย ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | ท้าวกะหมังกุหนิงเป็นใหญ่ |
เห็นทัพมาตั้งมั่นกันเมืองไว้ | พลไกรเพียบพื้นปัถพี |
จึงตรัสเรียกโอรสยศยง | กับองค์อนุชาทั้งสองศรี |
ต่างรีบกะระตะพาชี | ออกยืนที่ประจำกองโยธา |
แล้วมีสีหนาทโองการ | ประกาศสั่งทวยหาญกองหน้า |
จงเร่งเข้าตีทัพให้อัปรา | หักเอาดาหาในวันนี้ ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ดะหมังรับสั่งใส่เกศี |
ก็เร่งพลเร่งพวกพาชี | เข้าต่อตีหักโหมโจมทัพ |
บ้างเป่าชุดจุดยิงปืนใหญ่ | ฉัตรชัยมณฑกนกสับ |
นายกองแกว่งดาบวาบวับ | ต่างขับพลวิ่งเข้าชิงชัย ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ บัดนั้น | นายทหารกุเรปันไม่หวั่นไหว |
ให้ระดมปืนตับรับไว้ | แล้วไล่โยธีตีประจัญ |
ต่างดีมีฝีมืออื้ออึง | วางวิ่งเข้าถึงอาวุธสั้น |
ดาบสองมือถือโถมทะลวงฟัน | เหล่ากริชติดพันประจัญรบ |
ทหารหอกกลอกกลับสัประยุทธ์ | ป้องปัดอาวุธไม่หลีกหลบ |
พวกพลพาชีตีกระทบ | รำทวนสวนประจบโถมแทง |
บ้างสกัดซัดพุ่งหอกคู่ | เกาทัณฑ์ธนูน้าวแผลง |
ตะลุมบอนฟอนฟันกันกลางแปลง | ต่อแย้งยุทธ์ยิงชิงชัย |
ตายระดับทับกันดังฟอนฟาง | เลือดนองท้องช้างเหลวไหล |
กองหลังประดังหนุนขึ้นไป | ตัวนายไล่ไพร่เข้าบุกบัน ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้น | สังคามาระตาแข็งขัน |
เห็นพวกพลไพรีตีประจัญ | โยธาขยั้นหยุดยั้ง |
พระกริ้วโกรธนักดังอัคคี | แกว่งกระบี่ขี่ขับม้าที่นั่ง |
โรมรุกบุกไปแต่ลำพัง | ไล่หลังพวกพลเข้ารณรงค์ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรีสูงส่ง |
กับระเด่นทั้งสามสุริย์วงศ์ | ต่างองค์ผันแปรแลตาม |
เห็นสังคามาระตากล้านัก | ยังอ่อนศักดิ์หักศึกไม่เกรงขาม |
มิไว้ใจในทีทำสงคราม | ต่างขับม้าตามไปทันใด ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวกะหมังกุหนิงเป็นใหญ่ |
เห็นระเด่นทั้งสี่จึงถามไป | เจ้าผู้ใดที่ชื่อจรกา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรีใจกล้า |
ยิ้มพลางทางตอบวาจา | เรายกมาแต่กรุงกุเรปัน |
จะสังหารผลาญพวกปัจจามิตร | ที่มาติดดาหาเขตขัณฑ์ |
ซึ่งท่านถามหาจรกานั้น | มิได้มาด้วยกันในกองนี้ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวกะหมังกุหนิงเรืองศรี |
รู้ว่าระเด่นมนตรี | ภูมีครั่นคร้ามขามวิญญาณ์ |
แต่มานะตอบไปด้วยใจหาญ | เจ้าผู้วงศ์วานอสัญหยา |
แต่ละองค์ทรงโฉมโสภา | ชันษาอายุก็ยังเยาว์ |
ได้เห็นก็เป็นน่าเสียดาย | จะพากันมาตายเสียเปล่าเปล่า |
ไม่ควรคู่สู้รบกับเรา | ครั้นจะฆ่าเสียเล่าก็อายใจ |
อนึ่งตัวเจ้ากับเรานี้ | จะราคีเคืองกันก็หาไม่ |
ให้จรกามาเถิดจะชิงชัย | เจ้าจะได้ดูเล่นเป็นขวัญตา ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระองค์วงศ์อสัญแดหวา |
จึงตอบว่าอันตัวจรกา | มิได้อยู่ดาหาธานี |
เมื่อหลับตามารบให้ผิดเมือง | รี้พลตายเปลืองไม่พอที่ |
จะรบกับจรกาดังว่านี้ | จงล่าเลิกโยธีถอยไป |
แม้นไม่รู้แห่งเมืองจรกา | จะช่วยชี้มรคาบอกให้ |
ถ้าขืนตั้งประชิดติดกรุงไกร | จะชิงชัยไม่ฟังท่านพาที |
ถึงมาตรแม้นจรกามิมาเล่า | ตัวเราจำช่วยด้วยเป็นพี่ |
เมตตาว่าน้องเป็นสตรี | จะทอดทิ้งมารศรีเสียอย่างไร |
ใช่นางเกิดในปทุมา | สุริย์วงศ์พงศานั้นหาไม่ |
จะมาช่วงชิงกันดังผลไม้ | อันจะได้นางไปอย่าสงกา ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวกะหมังกุหนิงใจกล้า |
จึงว่าเรายกโยธา | หมายจะมาชิงพระบุตรี |
ถึงจะรับของสู่ระตูไว้ | ยังมิได้ทำการภิเษกศรี |
จรกาไม่มาก็ยิ่งดี | ไม่มีผู้หวงแหนเกียดกัน |
สุดแท้แต่นางอยู่ที่ไหน | เราก็จะชิงชัยที่นั่น |
อันชิงนางอย่างนี้ไม่ผิดธรรม์ | ธรรมเนียนนั้นมีแต่บุราณมา |
สุดแต่ใครดีก็ใครได้ | การอะไรของเจ้าผู้เชษฐา |
จงยกทัพกลับคืนไปพารา | เบื้องหน้าจะได้สืบสุริย์วงศ์ ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรีตอบตามประสงค์ |
ซึ่งจะให้เรายกจัตุรงค์ | คืนคงกรุงไกรนั้นไม่ควร |
อับอายไพร่ฟ้าประชาชน | เสนีรี้พลจะแซ่สรวล |
หรือหมายไม่สมคะเนเรรวน | จึงชวนพูดจาหย่าทัพ |
อย่าพักพูดอุบายให้ตายใจ | ท่านมิยกคืนไปก็ไม่กลับ |
รี้พลจะพลอยย่อยยับ | เรากับระตูมาสู้กัน |
จะได้ดูฤทธีฝีมือ | ให้ลือชื่อในชวาเขตขัณฑ์ |
หรือรักตัวกลัวจะม้วยชีวัน | บังคมคัลจะให้คืนไปพารา ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | วิหยาสะกำใจกล้า |
ได้ฟังคั่งแค้นแทนบิดา | จึงร้องตอบวาจาว่าไป |
ดูก่อนอริราชไพรี | อย่าพาทีลบหลู่ท่านผู้ใหญ่ |
โอหังบังอาจประมาทใคร | จะนบนอบยอบไหว้อย่าพึงนึก |
มิเราก็เจ้าจะตายลง | อย่าหมายจิตคิดทะนงในการศึก |
ยังมิทันพันตูมาขู่คึก | จะรับแพ้แลลึกไม่มีลาย ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สังคามาระตาเฉิดฉาย |
ฟังวิหยาสะกำอภิปราย | หยาบคายเคืองขัดอัธยา |
จึงทูลองค์ระเด่นมนตรี | น้องนี้จะขออาสา |
สู้วิหยาสะกำผู้ศักดา | พระองค์จงยืนม้าเป็นประธาน ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรีใจหาญ |
จึงตอบอนุชาชัยชาญ | เจ้าจะต้านต่อฤทธิ์ก็ตามใจ |
แต่อย่าลงจากพาชี | เพลงกระบี่ยังหาชำนาญไม่ |
เพลงทวนสันทัดชัดเจนใจ | เห็นจะมีชัยแก่ไพรี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สังคามาระตาเรืองศรี |
น้อมองค์ลงถวายอัญชลี | กะระตะพาชีขึ้นไปพลัน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ยืนม้าอยู่ตรงวิหยาสะกำ | แสร้งทำเป็นทีเย้ยหยัน |
แล้วว่าใครไม่คิดแก่ชีวัน | จะชิงตุนาหงันพระธิดา |
จงมาเล่นทวนด้วยกันก่อน | ให้เห็นฤทธิรอนแกล้วกล้า |
แม้นควรคู่กับวงศ์เทวา | จึงจะยกกัลยาให้ไป ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | วิหยาสะกำศรีใส |
ได้ฟังแค้นขัดกลัดใจ | จึงตอบคำไปด้วยพลัน |
ดูก่อนเจ้าผู้เรืองฤทธิรงค์ | รูปทรงงามสมคมสัน |
เชื้อชาติญาติวงศ์พงศ์พันธุ์ | อยู่เขตขัณฑ์ธานีบุรีไร |
หรือเป็นวงศ์อสัญแดหวา | ในสี่นคราเป็นไฉน |
จึงบั้นหน้ามาต่อฤทธิไกร | ไม่กลัวชีวาลัยจะมรณา |
ที่ยืนม้าอยู่ข้างหลังนั้น | กั้นกลดพื้นสุวรรณโอ่อ่า |
นามวงศ์พงศ์ใดจงบอกมา | แจ้งกิจจาแล้วจึงจะรบกัน ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สังคามาระตาเฉิดฉัน |
ได้ฟังดังศรเสียบกรรณ | จึงตอบไปพลันทันใด |
อันองค์สมเด็จพระปิ่นเกล้า | คืออิเหนากุเรปันเป็นใหญ่ |
นั่นกะหรัดตะปาตีชาญชัย | ร่วมในสุริย์วงศ์ธิบดี |
นี่สุหรานากงทรงสวัสดิ์ | องค์อะหนะสิงหัดส่าหรี |
นั่นระเด่นดาหยาภูมี | อยู่หมันหยาธานีกรุงไกร |
เราชื่อสังคามาระตา | หน่อท้าวปักมาหงันเป็นใหญ่ |
ได้เป็นอนุชาเรืองชัย | ภูวไนยองค์ระเด่นมนตรี ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | วิหยาสะกำเรืองศรี |
ยิ้มแล้วจึงกล่าววาที | ซึ่งว่ามานี้ยังแคลงใจ |
อันกาหลังสิงหัดส่าหรีนั้น | ดาหากุเรปันกรุงใหญ่ |
ทั้งหมันหยาธานีนั้นไซร้ | ก็แจ้งใจว่าวงศ์กันสืบมา |
ตัวสิอยู่ปักมาหงัน | ใช่วงศ์อสัญแดหวา |
เหตุใดว่าเป็นอนุชา | นับในวงศาประการใด |
หรือหนึ่งพึ่งจะมาเป็นน้อง | เกี่ยงข้องรักกันเป็นไฉน |
เราคิดเห็นผิดประหลาดใจ | จงบอกไปแต่จริงบัดนี้ ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สังคามาระตาเรืองศรี |
ฟังวิหยาสะกำพาที | ดังตรีเพชรบาดในอุรา |
จึงร้อยว่าเหวยไพริน | ลมลิ้นหยาบคายนักหนา |
มาถามไถ่ไล่เอากิจจา | คือจะปรารถนาสิ่งใด |
สุดแต่ว่าจิตพิศวาส | ก็นับเป็นวงศ์ญาติกันได้ |
อย่าชักเจรจาให้ช้าไป | จะชิงชัยให้เห็นฝีมือกัน |
ว่าพลางทางกรายปลายทวน | รำร่ายเป็นกระบวนหวนหัน |
ชักอาชาชิดติดพัน | เข้าประจัญจ้วงโจมโถมแทง ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
๏ เมื่อนั้น | วิหยาสะกำเข้มแข็ง |
ขับม้าเลี้ยวล่อต่อแย้ง | กรายพระแสงทวนรำเป็นทำนอง |
กลอกกระหยับกลับแทงซ้ายขวา | สังคามาระตาปัดป้อง |
ถ้อยทีหนีไล่รับรอง | เปลี่ยนท่าทวนทองแทงกัน ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ พญาเดิน
๏ เมื่อนั้น | สังคามาระตาแข็งขัน |
ขับม้าไวว่องป้องประจัญ | เป็นเชิงชั้นชิงชัยในทีทวน |
ร่ายรับกลับแทงไม่แพลงพล้ำ | วิหยาสะกำผัดผันหันหวน |
ต่างเรียงเคียงร่ายย้ายกระบวน | ปะทะทวนรวนรุกคลุกคลี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | วิหยาสะกำเรืองศรี |
ชักม้าวงวิ่งชิงที | โหมหักไพรีด้วยแรงฤทธิ์ |
โถมแทงแล้วแปลงเปลี่ยนกระบวน | ทบทวนม้าที่นั่งไม่พลั้งผิด |
หมายเขม้นเข่นฆ่าปัจจามิตร | ตามติดต้านทานราญรอน ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สังคามาระตาชาญสมร |
รบรับเคี่ยวขับอัสดร | ยอกย้อนเปลี่ยนกลรณรงค์ |
กลับกลอกรำร่ายกรายพระแสง | ปะทะแทงลวงไปให้ใหลหลง |
แล้วทำเสียเชิงชักม้าทรง | ตลบวงเวียนหันไปทันที ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ นัยน์เนตรมุ่งหมายวิหยาสะกำ | เห็นถลำเลี้ยวไล่ได้ที่ |
พระแทงสอดลอดเกราะถูกไพรี | ตกจากพาชีมรณา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๏ เมื่อนั้น | ท้าวกะหมังกุหนิงใจกล้า |
เห็นโอรสต้องสาตรา | ตกจากอาชาบรรลัย |
กริ้วโกรธโกรธาบ้าจิต | จะรอรั้งยั้งคิดก็หาไม่ |
แกว่งหอกคู่ขับอาชาไนย | เข้ารุกไล่สังคามาระตา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระสุริย์วงศ์พงศ์อสัญแดหวา |
เห็นไพรีรุกไล่อนุชา | พระขับม้าถลันออกกั้นกาง |
กลับกลอกหอกทรงพุ่งสกัด | ระตูรับผันผัดไม่ขัดขวาง |
พระชักอาชาไนยไว้วาง | สะบัดย่างเชือนชายย้ายทำนอง ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวกะหมังกุหนิงไวว่อง |
ขับม้าวกวิ่งชิงคลอง | เคล่าคล่องกลับกลอกหอกซัด |
ขยับกรผ่อนพุ่งข้างละที | ระเด่นมนตรีป้องปัด |
ระตูตามติดพันด้วยสันทัด | ผันผัดอาวุธกันไปมา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระผู้พงศ์เทวัญอสัญหยา |
รับพลางทางชักอาชา | รั้งรารอไว้ไม่รอนราญ |
จึงคิดว่าระตูผู้นี้ | ท่วงทีสามารถอาจหาญ |
ทั้งอาวุธต่างต่างก็ชำนาญ | จะผลาญบนหลังม้าเห็นยากใจ |
อย่าเลยจะชวนตีกระบี่ | ได้ทีจะฆ่าเสียให้ได้ |
คิดแล้วจึงร้องประกาศไป | ดูก่อนภูวไนยธิบดี |
เรารบกันบนหลังอาชา | ต่างกล้าสามารถไม่ถอยหนี |
มาจะลงยังพื้นปัถพี | ตีกระบี่ให้เห็นฝีมือกัน |
ว่าพลางลงจากอัสดร | พระกรทรงกระบี่ผาดผัน |
รำร่ายหันเหียนเวียนระวัน | หมายมั่นเข่นฆ่าราวี ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวกะหมังกุหนิงเรืองศรี |
จึ่งถอดโกลนโจนจากพาชี | ภูมีไม่ยั้งรั้งรา |
ทรงกระบี่รำเรียงเคียงร่าย | ประปรายปลายกระบี่แล้วให้ท่า |
กระหยับหันผันหลังออกมา | แล้วกลับหน้าจ้วงโจมเข้าฟันแทง ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระสุริย์วงศ์เทวากล้าแข็ง |
กลับกระบี่ให้ท่าเปลี่ยนแปลง | ต่อแย้งย่างเท้าเข้าชิด |
แทงต้องระตูแล้วฟันซ้ำ | ไม่ชอกช้ำผิวหนังแต่สักหนิด |
ต่างทรงศักดาวราฤทธิ์ | เลี้ยวไล่ตามติดต้านทาน ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวกะหมังกุหนิงห้าวหาญ |
แกว่งกระบี่ผัดผันประจัญบาน | ไม่ย่อท้อต่อต้านราญรบ |
แทงทะลวงจ้วงฟันทันที | ระเด่นมนตรีหลีกหลบ |
กระบี่ต่อกระบี่ตีกระทบ | เป็นประกายกลุ้มกลบกันไปมา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ กลอง
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรีใจกล้า |
เห็นระตูต่อตีมีศักดา | คงทั้งสาตราอาวุธ |
ท่วงหนีทีไล่ไวว่อง | เพลงกระบี่ตีคล่องเป็นที่สุด |
ยากที่ใครจะรอต่อยุทธ์ | เป็นบุรุษผู้หนึ่งในแดนไตร |
จำกูจะสังหารผลาญด้วยกริช | ซึ่งเทเวศร์ประสิทธิ์ประสาทให้ |
คิดพลางชักกริชฤทธิไกร | แล้วร้องว่าไปมิได้ช้า |
ดูก่อนระตูภูมี | เพลงกระบี่ตีกันจนสิ้นท่า |
ต่างคนไม่แพ้ฤทธา | เรามารำกริชสู้กัน |
ว่าพลางทางถอดกริชกราย | เยื้องย้ายร่ายรำบิดผัน |
กวักพระหัตถ์ตรัสเรียกระตูพลัน | พระทำทีเย้ยหยันไพรี ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวกะหมังกุหนิงเรืองศรี |
ได้ฟังชื่นชมยินดี | ครั้งนี้อิเหนาจะวายชนม์ |
อันเพลงกริชชวามลายู | กูรู้สันทัดไม่ขัดสน |
คิดแล้วชักกริชฤทธิรณ | ร่ายรำทำกลมารยา |
กรขวานั้นกุมกริชกราย | พระหัตถ์ซ้ายนั้นถือเช็ดหน้า |
เข้าปะทะประกริชด้วยฤทธา | ผัดผันไปมาไม่ครั่นคร้าม ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ กลอง
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรีชาญสนาม |
พระกรกรายฉายกริชติดตาม | ไม่เข็ดขามคร้ามถอยคอยรับ |
หลบหลีกไวว่องป้องกัน | ผัดผันหันออกกลอกกลับ |
ปะทะแทงแสร้งทำสำทับ | ย่างกระหยับรุกไล่มิได้ยั้ง ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ เห็นระตูถอยเท้าก้าวผิด | พระกรายกริชแทงอกตลอดหลัง |
ล้มลงด่าวดิ้นสิ้นกำลัง | มอดม้วยชีวังปลดปลง ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๏ เมื่อนั้น | กะหรัดตะปาตีสูงส่ง |
ทั้งระเด่นดาหยนสุริย์วงศ์ | สุหรานากงทรงฤทธิ์ |
เห็นระเด่นมนตรีต่อสู้ | แทงระตูแม่ทัพดับจิต |
สามองค์ทรงม้ากระชั้นชิด | จะสังหารผลาญชีวิตไพรี |
ต่างเข้าลุยไล่ไม่รอรั้ง | ท้าวปาหยังประหมันผันหนี |
ทหารโห่เอาชัยได้ที | ตามตีโยธาฝ่าฟัน ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์ระตูปาหยังประหมัน |
สุดที่จะรับรองป้องกัน | พลขันธ์พังพ่ายตายยับ |
ไพร่พลัดจากนายกระจายหนี | เห็นเสียทีตีม้าควบขับ |
ปลอมพลปนไปในกองทัพ | ไม่ผันหน้ามารับแต่สักคน |
บ้างบ่าวเข้าคนละบ่าพานายวิ่ง | ประเจียดเครื่องเปลื้องทิ้งไว้เกลื่อนกล่น |
บ้างหนามเกี่ยวหัวหูไม่รู้ตน | ซุกซนด้นไปแต่ลำพัง |
บ้างเททิ้งไถ้ข้าวเขนงปืน | รื้อตื่นเสียงเพื่อนกันข้างหลัง |
ที่ถูกปืนป่วยขาละล้าละลัง | อุตส่าห์คลานเซซังซุกไป ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด เจรจา
๏ ครั้นมาถึงท้ายค่ายมั่น | ท้าวประหมันปาหยังเป็นใหญ่ |
จึงหยุดปรึกษากันทันใด | อันเราจะหนีไปเห็นไม่พ้น |
ครั้นจะคืนเข้าค่ายรายรับ | ไม่ทันทีกองทัพยังสับสน |
จะซ้ำเสียเสนีรี้พล | จำจะผ่อนให้พ้นมรณา |
มาเราจะเข้าบังคมคัล | พระผู้พงศ์อสัญแดหวา |
จึ่งให้ยกธงอัปรา | โยธายั้งหยุดพร้อมกัน ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ สององค์ลงจากอาชา | เสด็จมากับหมู่กิดาหยัน |
เสนาแวดล้อมแน่นนันต์ | จรจรัลมาสมรภูมิชัย ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึ่งแจ้งกิจจา | แก่ตำมะหงงเสนาผู้ใหญ่ |
เราผู้น้องระตูที่บรรลัย | ตั้งใจจะมาเฝ้าบาทบงสุ์ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | จึ่งมหาเสนาตำมะหงง |
พาระตูพี่น้องทั้งสององค์ | มาเฝ้าพระสุริย์วงศ์ทรงธรรม์ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ วันทาทูลแถลงแจ้งคดี | บัดนี้ท้าวปาหยังกับประหมัน |
น้องระตูผู้ม้วยชีวัน | มาบังคมคัลพระภูวไนย ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สองระตูตัวสั่นหวั่นไหว |
ก้มกราบบาทมูลแล้วทูลไป | ภูวไนยได้ทรงพระเมตตา |
ข้าน้อยทั้งสองเป็นไพรี | โทษผิดครั้งนี้นักหนา |
จงโปรดปรานประทานชีวา | ไว้เป็นข้าใต้เบื้องบทมาลย์ |
ขอเอาพระเดชปกเกศเกล้า | ตราบเท่าสิ้นชีวังสังขาร |
ถึงปีจะมีบรรณาการ | มาถวายตามบุราณประเพณี ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
ช้า
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรีเรืองศรี |
ฟังระตูสองราพาที | ภูมีจึ่งตรัสตอบไป |
ซึ่งท่านมาวอนง้อขอโทษ | เราจะถือโกรธนั้นหาไม่ |
อันเชษฐานัดดาซึ่งบรรลัย | เพราะใจโอหังกำลังพาล |
ท่านจงรับศพทั้งสองนั้น | พากันกลับไปยังถิ่นฐาน |
บูชาเพลิงปลงส่งสการ | ให้พร้อมพงศ์วงศ์วานในธานี ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๏ ตรัสพลางย่างเยื้องยุรยาตร | องอาจดังไกรสรสีห์ |
สองระตูตามเสด็จจรลี | ไปที่วิหยาสะกำตาย |
มาเห็นศพทองทิ้งกลิ้งอยู่ | พระพินิจพิศดูแล้วใจหาย |
หนุ่มน้อยโสภาน่าเสียดาย | ควรจะนับว่าชายโฉมยง |
ทนต์แดงดังแสงทับทิม | เพริศพริ้มเพรารับกับขนง |
เกศาปลายงอนงามทรง | เอวองค์สารพัดไม่ขัดตา |
กระนี้หรือบิดามิพิศวาส | จนพินาศด้วยโอรสา |
แม้นว่าระตูจรกา | งามเหมือนวิหยาสะกำนี้ |
จะมิได้ร้อนรนด้วยปนศักดิ์ | น่ารักรูปทรงส่งศรี |
ตรัสแล้วลีลาขึ้นพาชี | กลับไปยังที่พลับพลาพลัน ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้น | สองระตูวิโยคโศกศัลย์ |
กอดศพเชษฐาเข้าจาบัลย์ | พิไรร่ำรำพันโศกา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
โอ้
๏ ว่าพระองค์ผู้ทรงยศ | พระเกียรติปรากฏในแหล่งหล้า |
สงครามทุกครั้งแต่หลังมา | ไม่เคยอัปราแก่ไพรี |
ครั้งนี้ควรหรือมาพินาศ | เบาจิตคิดประมาทไม่พอที่ |
เพราะรักบุตรสุดสวาทแสนทวี | จะทัดทานภูมีไม่เชื่อฟัง |
อนิจจาวิหยาสะกำเอ๋ย | เวรสิ่งใดเลยแต่หนหลัง |
เสียแรงเรืองฤทธีมีกำลัง | มาวอดวายชีวังแต่ยังเยาว์ |
ตั้งแต่นี้ไปไม่เห็นหน้า | กลับคือนพาราจะเงียบเหงา |
สองกษัตริย์กำสรดซบเซา | ให้ละห้อยสร้อยเศร้าวิญญาณ์ ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ โอด
ร่าย
๏ ครั้นคลายวายโศกกันแสงศัลย์ | ให้เชิญศพทรงธรรม์เชษฐา |
กับศพศรีราชนัดดา | ขึ้นมหาบุษบกรถชัย |
ระตูสององค์ทรงอัสดร | เลิกนิกรโยธาทัพใหญ่ |
เข้าในพนมพนาลัย | กลับไปยังราชธานี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ บัดนั้น | เสนาดาหากรุงศรี |
เห็นอิเหนามีชัยแก่ไพรี | ก็เผ่นขึ้นพาชีรีบมา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงที่โรงท้องพระโรงคัล | อภิวันท์องค์ศรีปัตหรา |
ทูลว่าอิเหนานัดดา | เข่นฆ่าไพรีวายปราณ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระปิ่นปักนคเรศราชฐาน |
แจ้งว่าข้าศึกประลัยลาญ | มีความเกษมศานต์โสมนัส |
ซึ่งดาลเดือดนัดดามาแต่หลัง | ก็ค่อยคลายแค้นคั่งเคืองขัด |
เสด็จจากแท่นที่บัลลังก์รัตน์ | เข้าปราสาทจำรัสรูจี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ บัดนั้น | ตำมะหงงกุเรปันกรุงศรี |
จึงสั่งเจ้าพนักงานทันที | บัดนี้เสร็จการชิงชัย |
จะเชิญเสด็จพระโฉมยง | ไปสรงสนานในสระใหญ่ |
ริมเชิงกุหนุงมาลัย | เร่งไปปลูกเกยแลพลับพลา |
ประชุมเหล่าโหราราชครู | หราหมณ์ชีบีกูประมาหนา |
สำหรับราชพิธีกษัตรา | ให้พร้อมแต่เวลาตะวันชาย ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | จึงเจ้าพนักงานทั้งหลาย |
รับสั่งบังคับคำนับนาย | ออกจากค่ายเข้าป่าพากันไป ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงซึ่งฝั่งสระศรี | ริมเชิงคีรีเขาใหญ่ |
เกณฑ์กันปลูกเกยพลับพลาชัย | ทุกหมวดหมายนายไพร่ระดมกัน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้น | ตำมะหงงเสนาคนขยัน |
เข้าไปเฝ้าองค์พระทรงธรรม์ | บังคมคัลแล้วทูลทันใด |
ประเพณีกษัตรามาแต่ก่อน | รณรงค์ราญรอนศึกใหญ่ |
แม้นชนะไพรีมีชัย | ย่อมไปสระสนานสำราญองค์ |
ขอเชิญเสด็จพระภูวนาถ | ลีลาศไปชำระสระสรง |
ยังสระชื่อเบญจบุษบง | ให้เป็นมงคลสวัสดี ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรีเรืองศรี |
ฟังคำตำมะหงงเสนี | ภูมีชื่นชมภิรมยา |
จึ่งเสด็จขึ้นม้าที่นั่งทรง | กับระเด่นสี่องค์วงศา |
พร้อมม้าพี่เลี้ยงแลเสนา | ม้าหมู่โยธาพลไกร |
ครบถ้วนกระบวนพาชี | ขับขี่สะบัดย่างวางใหญ่ |
ควบแข่งแซงเสียดกันไป | ตามแถวแนวไม้ชายดง ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงซึ่งสระปทุเมศ | อยู่นอกนคเรศสำหรับสรง |
เสด็จจากพาชีที่นั่งทรง | แล้วลงสรงสนานสำราญกาย ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
สระบุหร่ง
๏ ชี้ชมโกสุมปทุมมาศ | ขาวแดงเดียรดาษประหลาดหลาย |
ชูก้านบานกลีบคลี่คลาย | เกสรร่วงรายเรณูนวล |
เหล่าระเด่นเล่นน้ำในสระนั้น | ยิ้มแย้มหยอกกันเกษมสรวล |
พระทรงฤทธิ์คิดกระสันรัญจวน | คะนึงนวลโฉมงามสามสุดา |
บุษบงส่งรสรวยริน | หอมละม้ายคล้ายกลิ่นจินตะหรา |
ถวิลวันลงสรงคงคา | เมื่อไปฌาปนกิจอัยกี |
เห็นหมู่มัจฉาว่ายคล้ายคล่ำ | เหมือนเจ้าว่ายแหวกน้ำหนีพี่ |
โหยหวนครวญคร่ำถึงเทวี | ภูมีเศร้าสร้อยกำสรดทรง ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ ลงสรง
ร่าย
๏ สรงเสร็จเสด็จคลาไคล | ประพาสไปริมฝั่งสระสรง |
กับระเด่นทั้งสี่สุริย์วงศ์ | ต่างองค์สัพยอกหยอกกัน |
พระหักก้านโกสุมปทุมา | รำท่ากระบี่บิดผัน |
กับระเด่นสิงหัดส่าหรีนั้น | ป้องปัดผัดผันอลวน |
อันองค์กะหรัดตะปาตี | รำกระบี่กับระเด่นดาหยน |
สังคามาระตานั้นประจญ | ด้วยเสนาสามนต์ไปมา |
ยะรุเดะสันทัดกั้นหยั่น | คู่กันกับกะระตาหลา |
ปูนตาคู่กับประสันตา | รำกริชชวาว่องไว ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ กลอง
๏ ครั้นเสร็จพระเสด็จจรลี | ไปยังที่พลับพลาอาศัย |
ทรงภูษาโขมพัตถ์อำไพ | แล้วตรงไปขึ้นเกยพิธีการ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ปุโรหิตโหรามหาศาล |
ต่างคนประณตบทมาลย์ | โอมอ่านไสยเวทขึ้นฉับพลัน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ สาธุการ
๏ จึงเอาใบมะพร้าวมาจำหลัก | เป็นรูปจักรหอกดาบพระแสงขรรค์ |
ทั้งกริชแลเสน่าเกาทัณฑ์ | สารพันอาวุธนานา |
ลอยลงในน้ำพิธีการ | ซ้ำอ่านอาคมคาถา |
โสรจสรงห้าองค์กษัตรา | ให้เมาะตาริยะกัดสวัสดี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรีเรืองศรี |
ครั้นเสร็จสรงน้ำพิธี | ภูมีชื่นชมภิรมยา |
จึงสำอางอ่าองค์ทรงเครื่อง | อร่ามเรืองจำรัสทัดบุหงา |
ขึ้นทรงสินธพอาชา | ควบขับกลับมาพลับพลาทอง ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงเสด็จขึ้นเหนืออาสน์ | ภูวนาถทุกข์ทนหม่นหมอง |
คะนึงสามทรามสงวนนวลน้อง | ตรึกตรองแต่จะคืนไปพารา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
ช้า
๏ พระสุริยาสายัณห์สิ้นแสง | ศศิธรแจ่มแจ้งเวหา |
พระดูเดือนเหมือนผิวพักตรา | ระเด่นจินตะหรายาใจ |
โอ้ว่าเจ้าดวงยิหวาพี่ | อนิจจาป่านนี้จะเป็นไฉน |
จะตั้งแต่อาวรณ์ร้อนฤทัย | คร่ำครวญหวนไห้ไม่เว้นวัน |
สรงเสวยเคยสุขจะทุกข์ร้อน | ยามนอนจะวิโยคโศกศัลย์ |
ใครจะปลอบอรไทวิไลวรรณ | ให้สร่างกันแสงเศร้าโศกา |
จะได้แต่ปรับทุกข์กันทั้งสาม | จะนับวันคืนยามคอยหา |
อกเอ๋ยจำใจไกลสุดา | เพราะต้องมาปราบราชไพรี |
บัดนี้การศึกก็เสร็จสรรพ | พี่จะเร่งรีบกลับไปสมศรี |
พระครวญคร่ำกำสรดแสนทวี | คิดอยู่แต่ที่จะคลาไคล ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ ตระ
ร่าย
๏ จึงสั่งระเด่นดาหยน | จงจัดพลโยธาทัพใหญ่ |
พร้อมทั้งม้ารถคชไกร | ตรวจตราเตรียมไว้ในราตรี |
พรุ่งนี้จะเข้าไปทูลลา | กลับไปหมันหยากรุงศรี |
สั่งเสร็จเสด็จจรลี | เข้าในแท่นที่ไสยา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
https://vajirayana.org/system/files/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B2_264950.pdf