เล่มที่ ๑๔

ช้าปี่

๏ เมื่อนั้น ระเด่นบุษบาสาวสวรรค์
ในอกหมกไหม้ดังไฟกัลป์ อยู่ยังห้องสุวรรณไสยา
บรรทมรำพึงคะนึงไป ให้คลั่งคลุ้มกลุ้มใจหนักหนา
ตัวกูแม้นม้วยมรณา ก็ดีกว่าที่เป็นดังนี้
ไม่สรงไม่เสวยกระยาหาร เยาวมาลย์มัวหมองรัศมี
ยิ่งคิดยิ่งแค้นแสนทวี ดังเลือดตามารศรีจะหยัดลง ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ โอด

ร่าย

๏ เมื่อนั้น มะเดหวีศรีสวัสดิ์นวลหง
จึงปลอบพระบุตรีโฉมยง เจ้าจงระงับดับโศกา
ตามเสด็จภูวไนยใช้บน นฤมลจงฟังแม่ว่า
แม้นสองกษัตริย์ทราบกิจจา โทษาแม่นี้จะหนักนัก
ถึงพี่ยาได้มาต้องตัว ใช่ชายชั่วมาระคนปนศักดิ์
ฟังคำแม่เถิดนะลูกรัก เอาน้ำมาลูบพักตร์พระบุตรี
แล้วเอาสุคนธามาทรง บรรจงกวดเกล้าเกศี
พระพี่เลี้ยงช่วยแต่งให้เทวี จนรุ่งราตรีสว่างฟ้า ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น ฝ่ายเจ้าพนักงานถ้วนหน้า
บ้างแต่งที่สถานศาลเทวา ประดับประดาราชวัติฉัตรธง
แขวนโคมผูกม่านเพดานดาษ พรมเจียมปูลาดกวาดผง
ตั้งเครื่องพลีกรรม์บรรจง สำหรับจะได้ทรงบูชา
ชาวประโคมพิณพาทย์มโหรี ก็ขนเครื่องดนตรีไปเตรียมท่า
ทั้งสัตว์สิงสิ่งละพันนานา พนักงานก็เอามาปล่อยไว้
บ้างรีบทำที่ประทับรับเสด็จ แล้วเสร็จพอจวนประจุสมัย
ตั้งกองป้องกันระวังระไว คอยท่าภูวไนยจรลี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น ระเด่นมนตรีเรืองศรี
ทั้งสุหรานากงทรงฤทธี กับกะหรัดตะปาตีพี่ยา
สังคามาระตาสุริย์วงศ์ ต่างองค์เกษมสันต์หรรษา
ทั้งระตูล่าสำจรกา เสด็จสรงคงคาทันใด ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

โทน

๏ ต่างองค์ชำระสระสนาน สุคนธารปนทองผ่องใส
หอมหวนอวลอบตลบไป สอดใส่สนับเพลาเชิงงอน
ภูษาทรงลายอย่างต่างสีกัน น้ำเงินตองท้องพันม่วงอ่อน
ต่างใส่ฉลององค์อลงกรณ์ อินทรธนูงามงอนสะบัดปลาย
ชายไหวสุวรรณกุดั่นดวง ทับทรวงสังวาลประสานสาย
ทองกรเนาวรัตน์จำรัสราย ธำมรงค์เพชรพรายเพราตา
ต่างทรงมงกุฎชฎาแก้ว กรรเจียกจอนเพริศแพร้วซ้ายขวา
ห้อยอุบะเหน็บกริชฤทธา มาคอยท่ารับเสด็จพระทรงธรรม์ ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เพลง

ร่าย

๏ เมื่อนั้น พระผู้ผ่านดาหาเขตขัณฑ์
ครั้นรุ่งรางสร่างสีรวีวรรณ ก็จรจรัลมาสรงวารี
ทรงเครื่องประดับสำหรับกษัตริย์ ล้วนวิเชียรจำรัสรัศมี
แล้วชวนโอรสราชบุตรี มเหสีโสภายาใจ
พร้อมพระสนมนางทั้งปวง ดังดาวล้อมดวงแขไข
เสนาแห่แหนแน่นไป ภูวไนยเสด็จมายังคิรี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ กลองโยน

๏ ครั้นถึงซึ่งสถานเทพารักษ์ อันทรงฤทธิ์สิทธิศักดิ์เรืองศรี
เสด็จนั่งเหนืออาสน์รูจี ภูมีเคารพอภิวันท์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

สระบุหร่ง

๏ จึงจุดธูปเทียนทองบวงสรวง บำบวงเทวราชรังสรรค์
ถวายเครื่องสังเวยพลีกรรม์ ภูเขาเงินสุวรรณอันอำไพ
ทั้งแพะแกะโคกระทิงมหิงสา สิ่งละพันนานาน้อยใหญ่
แก้คำซึ่งบำบวงไว้ แล้วสั่งให้ประโคมขึ้นนี่นัน

ฯ ๔ คำ ฯ สาธุการ

ร่าย

๏ เสร็จแล้วเคารพอภิวาท ภูวนาถย่างเยื้องผายผัน
พร้อมฝูงอนงค์นางกำนัล มาหยุดยังสุวรรณพลับพลา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ เมื่อนั้น ระเด่นมนตรีมียศถา
กับระเด่นซึ่งตามเสด็จมา ก็ขึ้นทรงอาชาฉับพลัน
พวกอาสาเกราะทองสันทัด ทหารหัดม้าแซงแข็งขัน
ต่างคนถวายบังคมคัล แล้วชักม้าดากันเข้าไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บ้างร่ายรำเพลงหอกกลอกกลับ ขี่ขับสะบัดย่างวางใหญ่
บ้างรำทวนดังกระบวนชิงชัย ล้อมไล่ลุยแทงมฤคา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ โห่พลางต่างขับอัศวราช เข้าพิฆาตโคกระทิงมหิงสา
พุ่งซัดต้องสัตว์นานา ความโตรกตัวกล้าก็กลับชน
บ้างตื่นเต้นเผ่นผาดลำพองโผน โดดโดนเสี่ยวสู้สับสน
บ้างบ้าเลือดเดือดดุไม่คิดตน ตามชนจนม้วยชีวิต ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ทหารหอกเกณฑ์หัดสกัดหน้า ควบม้าหมายมุ่งพุ่งไม่ผิด
ต่างคนเข้มแข็งสำแดงฤทธิ์ ตามติดไล่ซ้ำระยำลง ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ มฤคาโคกระทิงสิ่งละพัน ก็ม้วยชีวันไม่เหลือหลง
สำรวลสรวลสุขไปทุกองค์ ให้ขนส่งวิเสทเนื่องมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น นางวิเสทนอกในซ้ายขวา
บ้างแล่เถือเนื้อนั้นมิทันช้า แต่งมัจฉมังสาวุ่นไป
บ้างยี่ยำทำพล่าฉู่ฉี่ ปิ้งจี่ต้มแกงพะแนงไก่
สมันคั่วอั่วอ่อมพร้อมไว้ แล้วยกไปเลี้ยงเหล่าโยธา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ ชุบ เจรจา

๏ บัดนั้น ฝ่ายนางพนักงานถ้วนหน้า
ครั้นจวนบังควรเวลา ก็เชิญเครื่องเนื่องมาตามกัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ ชุบ

๏ ตั้งพระสุพรรณภาชน์บรรจง ถวายองค์พระผู้ผ่านไอศวรรย์
เครื่องเสวยกษัตริย์ทั้งนั้น ตั้งรายเรียงกันเป็นหลั่นมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระองค์ทรงพิภพดาหา
ชวนโอรสราชนัดดา ให้เสวยโภชนาสาลี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ระตูจรกาเกษมศรี
เห็นโฉมระเด่นบุตรี สมประดีด่าวดิ้นแดยัน
เสวยพลางทางตะลึงลืมเคี้ยว แลเหลียวดูนางพลางรับขวัญ
เสนหาอาวรณ์ผูกพัน หมายมั่นกระหยิ่มกริ่มใจ
พระเชษฐาสั่นกายเป็นหลายที จะรู้สึกสมประดีก็หาไม่
ลืมอายสาวสรรค์กำนัลใน ลืมกลัวท้าวไทธิบดี
สังคามาระตาทรงสวัสดิ์ กับระเด่นสิงหัดส่าหรี
อีกองค์กะหรัดตะปาตี ก็แลดูมารศรีไม่วางตา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ระเด่นมนตรีคิดริษยา
เห็นระตูดูนางบุษบา พระกริ้วโกรธโกรธาดังเพลิงกัลป์
เขม้นดูจรกาแล้วคว้ากริช จะใคร่ผลาญชีวิตให้อาสัญ
ขุกคิดเกรงองค์พระทรงธรรม์ สู้สะกดอดกลั้นโกรธา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระองค์ทรงพิภพดาหา
เสร็จเสวยเอมโอชโภชนา จึงมีบัญชาตรัสไป
จงชวนกันขับรำให้สำราญ ทำสักการเทวาในป่าใหญ่
แก้คำซึ่งบำบวงไว้ แก่เทพไทเทพารักษ์ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ระเด่นมนตรีมีศักดิ์
ขวยเขินสะเทิ้นเป็นพ้นนัก ก้มพักตรายิ้มพริ้มพราย
จำเป็นรับสั่งแล้วยั้งอยู่ ให้อดสูกำนัลทั้งหลาย
อนุชาทูลเตือนให้เคลื่อนคลาย พระชายชำเลืองเนตรดูเทวี
จะนิ่งเสียก็กลัวภูวไนย ครั้นจะไปก็อายนางโฉมศรี
เสหยอกสียะตราให้ช้าที ครั้นภูมีซ้ำว่าก็คลาไคล ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ แล้วว่าอนุชาเจ้าขับก่อน พี่จึงจะกล่าวกลอนแก้ไข
บัดนี้ยังขุ่นข้องไม่คล่องใจ คิดอะไรขัดสนพ้นปัญญา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สุหรานากงกนิษฐา
เข้าใจในทีพระพี่ยา วันทาแล้วลุกขึ้นทันใด
ทอดกรอ่อนระทวยนวยนาด ยุรยาตรเยื้องกรายส่ายไหล่
ตามจังหวะประเท้าว่องไว แล้วขับครวญหวนไปเป็นโอดพัน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

ฝรั่งรำเท้า

๏ ยอกรประนมขึ้นเหนือเกศ ไหว้ไทเทเวศร์รังสรรค์
ศักดิ์สิทธิ์ฤทธิไกรใครจะทัน ซึ่งรับพลีกรรม์บำบวง
องค์อสัญแดหวาวราฤทธิ์ สิงสถิตอยู่ในไศลหลวง
เชิญดูขับรำทั้งปวง ที่ได้บวงสรวงไว้เอย ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ กลองแขก

ร่าย

๏ เมื่อนั้น ระเด่นมนตรีศรีใส
ขวยเขินสะเทิ้นอายอรไท จำใจจึงลุกขึ้นทันที
ทอดกรกรีดกรายทั้งซ้ายขวา ชำเลืองดูบุษบามารศรี
คิดแค้นจรกาแสนทวี ภูมีขับเปรียบไปมา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

ฝรั่งเดิน

๏ ยอกรกึ่งเกล้าบังคม องค์บรมอสัญแดหวา
ผู้ใดองอาจอหังการ์ จงจิตริษยาสาธารณ์
อันดวงดอกฟ้าสุมาลัย ของเราปลูกไว้ในสถาน
มันไม่เกรงพักตร์จะหักราน จงสังหารอย่าไว้มันเอย ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เพลงฝรั่ง

ร่าย

๏ เมื่อนั้น จรกาเคืองขุ่นหุนหัน
รู้เท่าอิเหนากุเรปัน บังคมคัลแล้วลุกออกมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ระเด่นมนตรีใจกล้า
ทำเป็นกริ้วโกรธโกรธา ติว่าตีกลองไม่ต้องเพลง
จะลงจังหวะก็เคลื่อนคลาด จะนวยนาดรำไปไม่เหมาะเหมง
พระจึงจรลีไปตีเอง ให้ครื้นเครงกลบเสียงจรกา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ระตูเคืองขัดสหัสสา
ก้มเกล้ากราบงามสามลา มิช้าก็ขับรำไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

พม่าแห่

๏ ยอกรขึ้นเพียงศิโรเพฐน์ ไหว้ไทเทเวศร์น้อยใหญ่
อันมีทิพเนตรส่องไป อย่าได้เข้าด้วยคนร้าย
จงสังหาญผลาญหมู่ริษยา ให้ประจักษ์แก่ตาคนทั้งหลาย
ข้ามิได้คิดคดหยาบคาย ขอให้เสร็จสมหมายมา เอย ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เพลง เจรจา

ร่าย

๏ เมื่อนั้น พระองค์ทรงภพดาหา
เห็นองค์อิเหนานัดดา ขัดเคืองจรกาธิบดี
จะให้ขับรำเรียงตัวไป ก็จะไม่เป็นสุขเกษมศรี
มิรู้ที่จะบัญชาพาที ภูมีเสด็จกลับพลับพลาพลัน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๏ เมื่อนั้น ระเด่นมนตรีเฉิดฉัน
จึงชวนกษัตราทั้งห้านั้น เที่ยวไปในอรัญรัถยา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

ชมดง

๏ พระพลางพิศพรรณรุกขชาติ งอกงามเดียรดาษบนเนินผา
ดอกผลพวงห้อยย้อยระย้า สกุณาจิกกินแล้วบินพลาง
ลางต้นเอนชายปลายสะบัด ดังไม้ดัดปลูกไว้ในกระถาง
กอรวกร่มเรียงเคียงทาง พะยอมยางสูงเยี่ยมเทียมคิรี
งามชะง่อนเงื้อมผาศิลาลาย เหลืองแดงดังระบายหลายสี
โตรกตรอกซอกธารชลธี วารีซับซึมอยู่อัตรา
ที่ทางข้างเชิงกุหนิงนั้น ร่มรื่นพื้นพรรณพฤกษา
ภายใต้เตียนสะอาดลาดศิลา เสด็จโดยมรคาคลาไคล ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เพลงช้า

ร่าย

๏ พระพายชายพัดมาอ่อนอ่อน เข้าหยุดประทับร้อนอาศัย
นั่งเล่นที่หน้าศาลาลัย แทบใกล้อาศรมพระมุนี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจาบทที่ ๔๘

๏ เมื่อนั้น โฉมยงองค์ประไหมสุหรี
ครั้นเวลาเฝ้าพระภูมี เทวีแต่งองค์อลงการ์
ชวนมะเดหวีมีศักดิ์ บุษบาลูกรักเสนหา
กุมกรระเด่นสียะตรา ฝูงกำนัลกัลยาก็ตามไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เพลงช้า

๏ ครั้นถึงที่ประทับพลับพลาทอง พระผู้ครองพิภพเป็นใหญ่
สี่กษัตริย์เสด็จคลาไคล เข้าไปอภิวาทวันทา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

สามเส้า

๏ เมื่อนั้น พระปิ่นปักนคเรศดาหา
ครั้นเห็นระเด่นบุษบา พักตราเศร้าหมองมัวไป
จึ่งถามว่าเป็นไรนะลูกรัก ผิวพักตร์พิกลหม่นไหม้
เจ้าเจ็บป่วยเป็นประการใด หรือใครทำไมให้ขัดแค้น ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

ร่าย

๏ เมื่อนั้น มะเดหวีอกสั่นขวัญแขวน
ก้มกราบบาทมูลแล้วทูลแทน ไม่ได้ยินว่าแค้นเคืองใคร
กิริยาอาการก็เห็นดี จะมีโรคาก็หาไม่
น่าจะเคราะห์ร้ายไม่สบายใจ จึ่งมัวหมองไปกว่าทุกวัน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระผู้ผ่านกรุงไกรไอศวรรย์
จึ่งตรัสสั่งมะเดหวีด้วยพลัน จะพาไปอภิวันท์พระอาจารย์
ให้ดาบสช่วยรดน้ำมนต์ให้ ระงับภัยเป็นสุขเกษมศานต์
เห็นจะหายเคราะห์ร้ายรำคาญ เร่งพาเยาวมาลย์ไปบัดนี้ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น โฉมยงองค์มะเดหวี
รับสั่งทรงธรรม์อัญชลี แล้วพาพระบุตรีออกมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ จึ่งสั่งพี่เลี้ยงด้วยพลัน ให้จัดสรรสิ่งของแลภูษา
ครบเครื่องสักการบูชา ธูปเทียบมาลาหลายพรรณ
ให้พระธิดาเยาวมาลย์ แบกพานใส่ผ้าผายผัน
มะเดหวีก็พาจรจรัล ฝูงกำนัลแวดล้อมลีลา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เพลงช้า

๏ เมื่อนั้น บุษบาทรงโฉมเสนหา
แบกพานผ้าเดินดำเนินมา กับฝูงกัลยานารี
ครั้นถึงศาลาริมถนน เห็นฝูงคนมากมายอึงมี่
เหลือบเห็นระเด่นมนตรี กับกษัตริย์ธิบดีจรกา
นางมิอาจดำเนินเดินไป ละอายใจตระหนกตกประหม่า
องค์ระทวยขวยเขินเมินพักตรา ดังพานผ้าจะพลัดตกลง ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ระเด่นมนตรีสูงส่ง
จึ่งขับพลที่มาด้วยพระองค์ ให้หลบลงพ้นทางนางจะมา
ยังแต่หกองค์พงศ์กษัตริย์ คือกะหรัดตะปาตีเชษฐา
กับระเด่นสังคามาระตา ทั้งสุหรานากงทรงฤทธี
อีกทั้งท้าวจรกาล่าสำ ต่างคำนับไหว้มะเดหวี
ครั้นเห็นระเด่นบุตรี แบกพานมณีเอียงมา
ระเด่นมนตรีกุเรปัน ผายผันเข้าประคองพานผ้า
ว่าพานหนักไม่ช่วยกัลยา หากว่าเรารับไว้ทัน ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น จรกาครั้นเห็นก็หุนหัน
เดือดดาลทะยานใจดังไฟกัลป์ น้อยหรือนั่นบังอาจดูเบา
ครั้นจะว่าก็มิได้ใช่ที่ เพราะเหตุว่าเป็นพี่น้องเขา
สารพัดทำได้ก็ทำเอา ต่อหน้าเราเจ้าผัวไม่กลัวเกรง
จึงเสว่าแก่ระเด่นทั้งสาม เจ้าทำหยาบหยามข้ามข่มเหง
อะไรกลุ้มรุมดูเมียกันเอง เป็นเพื่อนชายไม่เกรงใจกัน ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สังคามาระตาก็สรวลสันต์
จึ่งว่าเป็นน่าอัศจรรย์ ตรัสไยอย่างนั้นภูวไนย
ถึงดูก็ต่อเสด็จคล้อย จะว่าไรสักน้อยก็หาไม่
เป็นมเหสีท่านก็แจ้งใจ จะได้เป็นศรีจรกา
อันพระบุตรีดังปิ่นเกล้า เช่นเรานี้ควรแต่เป็นข้า
ไม่ใฝ่สูงให้เกินพักตรา อย่าพักคิดริษยาให้ป่วยการ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น กะหรัดตะปาตีจึ่งว่าขาน
ข้าและแลดูเยาวมาลย์ จะใคร่ได้จึ่งซานซมมา
ด้วยตัวเรารูปชั่วแลต่ำศักดิ์ เขย่งรักอรไทได้เกื้อหน้า
แม้นมิได้ก็ไม่คืนพารา จะเอากรุงดาหาเป็นเรือนตาย ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจาบทที่ ๔๙

๏ เมื่อนั้น สุหรานากงเฉิดฉาย
ยิ้มพลางทางกล่าวอภิปราย อย่าว่ามากมายให้ป่วยการ
อันกะกังกะหรัดตะปาตี แก้ไขด้วยมีโวหาร
สังคามาระตากุมาร อ่อนหวานฉลาดเจรจา
จะตามนางไปบ้างก็ไม่ได้ ทะยานใจแล้วพูดแก้หน้า
ฝ่ายข้างระตูจรกา เจ้าว่าทั้งนี้ผิดที่ไป
ถึงจะเป็นคู่ครองของเจ้า แต่พี่น้องของเรายกให้
อย่าดูนางนางจะอดสูใจ ต่อได้แล้วจึ่งพิศให้อิ่มตา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เจรจาบทที่ ๕๐

๏ เมื่อนั้น จรกาแค้นขัดสหัสสา
มิรู้ที่จะตอบวาจา ก็สรวลเสเฮฮาไปด้วยกัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ระเด่นมนตรีเฉิดฉัน
ประคองพานเดินเคียงเมียงมัน พระแสนกระสันพันทวี
เหน็บแนมแกมกลปนไป มิให้ปรากฏแก่สาวศรี
ครั้นใกล้อาศรมพระมุนี ภูมีมิใคร่จะไคลคลา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น บุษบาเยาวยอดเสนหา
ดำเนินเดินเคียงเมียงมา นัยนาหลบเนตรภูวไนย
นางสะบิ้งสะบัดด้วยขัดเคือง ชายชำเลืองหางตาแล้วค้อนให้
ขวยเขินสะเทินหฤทัย จำเป็นจำใจจรจรัล ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เพลง เจรจาบทที่ ๕๑

๏ เมื่อนั้น มะเดหวีมีศักดิ์เฉิดฉัน
มาถึงอาศรมพระนักธรรม์ ก็เข้าไปอภิวันท์ทันใด
แล้วถวายธูปเทียนแลภูษา โสมนัสศรัทธาเลื่อมใส
ขอพระอาจารย์ชาญชัย จงได้โปรดเกล้าบุษบา
ช่วยรดน้ำทิพมนต์ให้ อรไทเศร้าหมองหนักหนา
ปาปะอะหยีให้พามา กราบแล้ววันทาพระอาจารย์

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจาบทที่ ๕๒

๏ เมื่อนั้น องค์สังปะลิเหงะฤาษีสาร
เล็งดูรู้ด้วยอภิญญาณ เหตุการณ์ทั้งปวงก็แจ้งใจ
จึ่งถามว่าจะให้รดน้ำมนต์ ทั้งสองทีเดียวหรือไฉน
พระองค์จงตรัสบอกไป อย่าให้ต้องทำเป็นสองที ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจาบทที่ ๕๓

๏ เมื่อนั้น โฉมยงองค์มะเดหวี
ฟังสังปะลิเหงะมุนี เทวียิ้มแล้วก็แลมา
อิเหนายิ้มแล้วก็เมินพักตร์ ส่วนลูกรักผูกคิ้วนิ่วหน้า
ทั้งสี่พี่เลี้ยงกัลยา ยิ้มพรายชายตาดูกัน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์สังปะลิเหงะก็ผายผัน
เข้าเสกน้ำทำในอาศรมนั้น สรรเอาแต่ยอดวิทยา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ ตระ

๏ เดชะพระเวทอันเชี่ยวชาญ ระงับโรคภัยพาลเป็นสุขา
ครั้นเสร็จก็ยกน้ำมนต์มา ยังหน้าอรัญกุฎี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ จึ่งรดศิโรตม์โสรจสรง ให้องค์บุษบามารศรี
รดทั้งระเด่นมนตรี พร้อมกับเทวีด้วยพลัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ แล้วจึ่งอวยพรศรีสวัสดิ์ สองกษัตริย์จงสุขเกษมสันต์
เสวยรมย์สมสองครองกัน อย่ามีโรคันอันตราย ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจาบทที่ ๕๔

๏ เมื่อนั้น องค์มะเดหวีโฉมฉาย
กับพี่เลี้ยงซ่อนยิ้มพริ้มพราย บุษบาคิดอายก็ก้มพักตร์
ต่างถวายประณตบทบงสุ์ ลาองค์พระมุนีมีศักดิ์
ออกจากอาศรมสำนัก แล้วชวนลูกรักคลาไคล ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เพลง

๏ เมื่อนั้น พระทรงโฉมประโลมพิสมัย
ตามเสด็จพระชนนีไป ภูวไนยชายเนตรดูเทวี
ครั้นถึงศาลาจงกรม จึ่งบังคมลาองค์มะเดหวี
ไปกับพี่เลี้ยงเสนี สู่ที่ประทับพลับพลาชัย ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

ช้า

๏ เมื่อนั้น พระองค์ทรงภพสบสมัย
แต่เสด็จมาแรมอยู่ในไพร ก็ได้เจ็ดทิวาราตรี
พระทรงธรรม์ถวิลจินดา จะกลับคืนดาหากรุงศรี
เกลือกพระเชษฐาธิบดี พระน้องสองบุรีจะยกมา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

ร่าย

๏ คิดแล้วจึ่งบัญชาสั่ง อำมาตย์ดะหมังยาสา
จงเร่งตรวจเตรียมโยธา เพลาเย็นจะกลับเข้ากรุงไกร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ทั้งสองเสนาอัชฌาสัย
รับสั่งบังคมแล้วคลาไคล ออกไปจัดพลโยธา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ เจรจา

ยานี

๏ เร่งรัดจัตุรงค์ทวยหาญ ตามตำแหน่งพนักงานซ้ายขวา
ขุนช้างผูกช้างชนะงา ขุนม้าผูกม้าล้วนตัวดี
ขุนรถก็เตรียมรถทรง รถประเทียบอนงค์สาวศรี
ขุนพลตรวจพลโยธี ล้วนมีฝีมือเชี่ยวชาญ
ตั้งกองเดียรดาษกลาดเกลื่อน พร้อมทั้งพลเรือนแลทหาร
เสร็จในสายัณห์มิทันนาน คอยเสด็จภูบาลจะยาตรา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

ร่าย

๏ เมื่อนั้น ระเด่นมนตรีใจกล้า
จึ่งว่าแก่ระตูจรกา เมื่อเสด็จออกมาจากธานี
ข้าเป็นทัพหน้าเจ้ามาหลัง ครั้งนี้จะกลับบุรีศรี
เจ้าจงเป็นทัพหน้าพระภูมี เรานี้จะรั้งหลังไป
ว่าแล้วก็เสด็จกลับมา ยังสุวรรณพลับพลาที่อาศัย
พระเร่งเศร้าสร้อยละห้อยใจ ด้วยจะไกลระเด่นบุษบา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ

๏ เมื่อนั้น องค์ศรีปัตหราดาหา
ครั้นใกล้สุริยนสนธยา เสด็จมาสรงสนานสำราญองค์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

โทน

๏ พนักงานถวายพานภูษาผลัด ไขสหัสธาราโสรจสรง
วารีโปรยปรายกระจายลง แล้วทรงเครื่องต้นพระสำอาง
ปรุงปนนพคุณหนุนผิวพักตร์ สอดสนับเพลาปักหักทองขวาง
ภูษายกอย่างนอกดอกกลาง ไว้หางหงส์ห้อยชายแครง
ฉลององค์ตาดปักปีกแมงทับ สร้อยสังวาลบานพับระยับแสง
ทับทรวงพวงเพชรเม็ดแตง ทองกรแก้วแดงกุดั่นดวง
ธำมรงค์ทรงถ้วนนิ้วพระหัตถ์ มงกุฎเก็จเพชรจำรัสรุ้งร่วง
กรรเจียกจอนห้อยอุบะบุปผาพวง ถือเช็ดหน้าสีม่วงโมรี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๏ ทรงกริชแล้วเสด็จลีลา งามสง่าดังไกรสรสีห์
ขึ้นทรงรถแก้วมณี ให้เคลื่อนโยธีไคลคลา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ กลองโยน

โทน

๏ รถเอยรถแก้ว ดุมวงเวียนแววเวหา
สีแก้วจับแสงจันทรา ส่องสว่างกลางป่าพนาลัย
เครื่องสูงชุมสายรายริ้ว ทวนทองธงทิวปลิวไสว
ทหารแห่ถือคบเป็นคู่ไป แสงไฟส่องสว่างดังกลางวัน
กึกก้องเสียงประโคมโครมครื้น สัตว์สิงวิ่งตื่นเข้าไพรสัณฑ์
พวกพลม้ารถคชกรรม์ มีโคมสำคัญทุกตัวคน
อันสองข้างทางป่าที่คลาไคล จุกช่องกองไฟทุกแห่งหน
เยียดยัดจัตุรงค์รี้พล เดินตามสถลมารคมา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

ร่าย

๏ เมื่อนั้น บุษบาเยาวยอดเสนหา
สถิตในรถมณีลีลา มาโดยมรคาพนาวัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

ชมดง

๏ ครั้นค่ำสนธยาราตรีกาล จึ่งเผยม่านออกชมแสงบุหลัน
ทรงกลดหมดเมฆพรายพรรณ แสงจันทร์จับแสงรถทรง
แสงโคมประทีปทองส่องสว่าง กระจ่างจับพุ่มไม้ไพรระหง
ดอกพะยอมหอมหวนลำดวนดง สาวหยุดประยงค์โยทะกา
หอมกลิ่นกล้วยไม้ที่ใกล้ทาง บอกบาหยันพลางแล้วแลหา
ลมหวนอวลกลิ่นสุมาลย์มา ระคนกลิ่นบุหงารำไป
เรไรจักจั่นสนั่นเสียง เพราะเพียงดนตรีปี่ไฉน
บุหรงร้องพร้องเพรียกพงไพร ฟังเพลินจำเริญใจไปมา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

ร่าย

๏ เมื่อนั้น ระเด่นมนตรีใจกล้า
เป็นทัพหลังรั้งพลไคลคลา เพลาค่ำคำนึงถึงเทวี
จึงปลอมแปลงแต่งองค์เป็นอำมาตย์ ชวนพี่เลี้ยงราชทั้งสี่
ทรงสินธพชาติพาชี ผ่าพลมนตรีขึ้นมา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ พญาเดิน

๏ ล่วงรถสาวสรรค์กำนัลนาง พระพลางชายเนตรชำเลืองหา
ครั้นใกล้รถระเด่นบุษบา จึงห้ามม้าพี่เลี้ยงให้รอไว้
แล้วแกล้งชักอาชาม้าที่นั่ง ทำพยศเหนี่ยวรั้งหาอยู่ไม่
ผ่าเข้าในกระบวนป่วนไป ภูวไนยพลางทอดทัศนา
เห็นระเด่นบุษบาลาวัณย์ เผยม่านพิศพรรณพฤกษา
งามพักตร์ผิวผ่องดังทองทา จับแสงจันทราในนภางค์
อรชรอ้อนแอ้นเอวองค์ ทรวดทรงสารพัดไม่ขัดขวาง
พระแสนประดิพัทธ์กำหนัดนาง ปิ้มปางจะสิ้นสมประดี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ระเด่นบุษบามารศรี
ชมไม้มาในพนาลี เทวีเหลือบแลแปรไป
เห็นคนขี่ม้ามาประหลาด ท่วงทีองอาจก็สงสัย
นางคิดฉงนสนเท่ห์ใจ จึงปิดม่านสองไขเสียฉับพลัน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น จึงโฉมนวลนางบาหยัน
ร้องว่าม้าอะไรใครนั่น บุกบั่นเข้ามาในกระบวน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ระเด่นมนตรีก็แย้มสรวล
จึงแก้ไขไปด้วยสำนวน ว่าม้าป่วนเป็นม้าบ้าใจ
ขืนจะเข้ามาในกระบวนหลัง จะเหนี่ยวรั้งเท่าไรก็ไม่ไหว
แต่ฉุดฉุดก็สุดแรงไป พึ่งรอลงได้บัดเดี๋ยวนี้ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นวลนางบาหยันสาวศรี
จึงว่าม้ารั้งมิหยุดนี้ เพราะพาชีคะนึงถึงโรงใน
เร่งควบคืนหลังยังสถาน หญ้าน้ำสำราญเคยอาศัย
จึงจะสิ้นพยศสะกดใจ ที่ปั่นป่วนก็จะได้สมประดี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ระเด่นมนตรีเรืองศรี
จึงตอบบาหยันไปทันที ถ้าพาชีรักโรงดังว่ามา
ก็จะเร่งรีบควบคืนกลับ จะอยู่ไยให้ขับได้อายหน้า
ทั้งนี้เพราะพี่ไม่เมตตา วาสนาน้อยแล้วไม่เห็นใจ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น บาหยันกล่าวแกล้งแถลงไข
ข้าน้อยนี้รักภูวไนย สิ่งใดจะหาเปรียบก็ยากเย็น
รักเหมือนหนึ่งเส้นเกศา เมื่อพระไม่เมตตาจึงไม่เห็น
ถึงรักก็เป็นแต่รักเร้น ยากที่จะชี้เช่นให้เห็นจริง ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ระเด่นมนตรีแก้ไปทุกสิ่ง
ใช่จะแกล้งกล่าวเกลาะให้เพราะพริ้ง รักพี่นี้จริงดังวาจา
รักเหมือนหนึ่งกริชที่น้องเหน็บ ยากที่จะเก็บเอามาว่า
ถ้าแหวะอกยกใจได้ออกมา จึงจะแจ้งวิญญาณ์ว่ารักนาง ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น บาหยันแก้ไขไม่ขัดขวาง
พระเป็นปิ่นกษัตริย์เลิศปาง ทรงอาวุธต่างต่างมากมี
เห็นจะรักไปสิ้นทั้งนั้น จะผูกพันแต่กริชก็ใช่ที่
อันเกศาของข้าน้อยนี้ ไม่มีสิ่งจะเปรียบเทียบทัน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ระเด่นมนตรีตอบบาหยัน
ถึงจะรักอาวุธทั้งนั้น ไม่เท่ากริชเทวัญเล่มนี้
รักนักเหน็บอยู่ไม่รู้ขาด จึงอาจเอาเปรียบกับรักพี่
ครั้งถึงประตูพระบุรี ที่นี้จะแลลับตา
จะตามไปส่งด้วยมิตรจิต พี่คิดถึงบ้างอย่าลืมข้า
สิ่งใดที่ได้จำนรรจา อย่าลืมสัญญาที่ว่าไว้ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น บาหยันประนมบังคมไหว้
จึงว่าข้ากลัวภูวไนย ไกลแล้วจะลืมกรุณา
อันข้าน้อยนี้ไม่ลืมหลง รักนั้นมั่นคงเป็นหนักหนา
พอรถเข้าในทวารา ก็อำลาภูธรจรลี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น องค์ท้าวดาหาเรืองศรี
ครั้นถึงเกยแก้วรูจี เสด็จจากรถมณีด้วยพลัน
พร้อมพระมเหสีเสนหา โอรสธิดาสาวสรรค์
กับฝูงสุรางค์นางกำนัล จรจรัลขึ้นปราสาทรัตนา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๏ เมื่อนั้น สุหรานากงวงศา
กับกะหรัดตะปาตีพี่ยา ต่างถวิลจินดาในใจ
แต่มาอยู่ดาหาก็ช้านาน จะมีภารธุระก็หาไม่
จะบังคมทูลลาคลาไคล เพลาเฝ้าเข้าไปพระโรงคัลฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๏ สองกษัตริย์ประณตบทมาลย์ กราบทูลพระผู้ผ่านไอศวรรย์
ข้าขอลาองค์พระทรงธรรม์ กลับคืนเขตขัณฑ์พารา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

ช้า

๏ เมื่อนั้น พระองค์ทรงพิภพดาหา
จึงเรียกสองราชนัดดา มาลูบหลังลูบหน้าแล้วพาที
เจ้าจงไปทูลพระบิตุเรศ ตามเหตุให้ทราบบทศรี
ทั้งสองเจ้าไปจงสวัสดี อย่ามีทุกข์โศกโรคภัย
อันหมู่ทมิฬอรินราช ให้วินาศอย่ารอต่อได้
ลือเลื่องเรืองเดโชชัย จำเริญสุขไปทุกเวลา
จะใคร่ชวนให้อยู่ดูการน้อง เกรงสองบิตุเรศจะคอยหา
แต่เจ้ามาจากพารา ก็นานช้าแล้วควรจะรีบจร
ขอบังคมพระบรมเชษฐา จงครอบครองไพร่ฟ้าสโมสร
อันพระอนุชาฤทธิรอน บอกว่าลุงอวยพรสวัสดี ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

ร่าย

๏ เมื่อนั้น สุหรานากงเรืองศรี
ทั้งระเด่นกะหรัดตะปาตี รับพรภูมีด้วยปรีดา
แล้วบังคมลาคลาไคล มาจัดพลไกรพร้อมหน้า
ต่างยกพหลพลโยธา กลับไปพาราด้วยพลัน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น พระสุริย์วงศ์เทวากระยาหงัน
แต่มาจากใช้บนวันนั้น มิได้อยู่ประเสบันอากง
ไปอยู่ติกาหรังลูกหลวง ยิ่งเป็นห่วงให้คิดพิศวง
ด้วยไกลสียะตราสุริย์วงศ์ เคยชมแทนองค์บุษบา
ต่อเวลาเฝ้าจึงพบบ้าง ค่อยสว่างสร่างที่ถวิลหา
แต่ตริตรึกนึกในไปมา พระราชาสะท้อนถอนใจ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

ช้าปี่

๏ นอนนั่งดังอยู่ในเพลิงกาล ให้รำคาญขุ่นหมองไม่ผ่องใส
กอดเข่าเหงาง่วงตะลึงไป ชลนัยน์ไหลอาบพักตรา
ยามเสวยเลยตะลึงลืมเคี้ยว หลงเหลียวชะแง้แลหา
ทำไฉนจะได้เห็นกัลยา สักหน่อยหนึ่งราให้ยาใจ
ยามสรงไปสรงสาคร น้ำต้องกายร้อนดังเพลิงไหม้
ร้อนทั้งภายนอกภายใน มิได้มีสุขสักเวลา
ยามเข้าไสยายิ่งอาวรณ์ เร่าร้อนฤทัยถวิลหา
คลุ้มคลั่งดังพิกลกิริยา พระราชาซูบผอมตรอมใจ
อกเอ๋ยจะคิดฉันใดดี จึงจะได้แก้วพี่มาพิสมัย
มะเดหวีสัญญาว่าไว้ จะให้ได้สมถวิลจินดา ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

ร่าย

๏ อย่าเลยจะให้ไปฟัง ได้ทูลแล้วหรือยังกระมังหนา
คิดพลางทางเรียกประสันตา เข้ามาแล้วสั่งความใน
พี่จงไปถามนางบาหยัน ที่ว่ากันนั้นจะเป็นไฉน
ความร้อนเหลือร้อนอย่านอนใจ จวนจะใกล้แต่งงานการวิวาห์

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ประสันตารับสั่งใส่เกศา
ก้มเกล้าถวายบังคมลา แล้วลงมาที่ทิมริมวัง
จึงอาบน้ำทาแป้งแต่งกาย เรียกทนายถือล่วมตามหลัง
พอเวลาตะวันชายบ่ายบัง ก็ออกจากติกาหรังรีบไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงที่ทิมริมประตู ก็เข้านั่งหยุดอยู่อาศัย
เหลือบเห็นบาหยันมาแต่ไกล ดีใจก็พยักกวักมือ
นี่แน่นางชาววังข้านั่งคอย ช้านานนั้นน้อยไปแล้วหรือ
เชิญเจ้าเข้ามาจะหารือ ข้าเป็นคนซื่ออย่าถือความ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น บาหยันค้อนให้แล้วไถ่ถาม
ธุระมีก็ว่าให้งดงาม อย่าพูดจาลวนลามไม่ชอบใจ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ประสันตาจึงแจ้งแถลงไข
ธุระมีจะเล่าให้เข้าใจ พระตรัสใช้ให้ข้ามาฟัง
อันความในที่ได้สัญญา เจ้าก็แจ้งกิจจามาแต่หลัง
พระสั่งมาจำเพาะเจาะจัง ได้ทูลแล้วหรือยังจะใคร่รู้ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น บาหยันว่าเจ้าจงคอยอยู่
ข้าจะไปทูลความถามดู แล้วกลับเข้าประตูดำเนินมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ ชุบ

๏ ครั้นถึงจึงทูลมะเดหวี บัดนี้ประสันตามาเตือนข้า
ได้ทูลแล้วหรือยังดังสัญญา พระนัดดาโศกเศร้าเร่าร้อน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์มะเดหวีศรีสมร
ว่าอย่าให้นัดดาอาวรณ์ จะผันผ่อนพิดทูลภูวไนย
เราคอยช่องอยู่ทุกเวลา ใช่จะลืมวาจาก็หาไม่
บาหยันจงเร่งกลับไป บอกให้แจ้งใจประสันตา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น บาหยันรับสั่งใส่เกศา
นบนิ้วประนมบังคมลา ออกมายังที่ทวารวัง ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ ชุบ

๏ ครั้นถึงจึงแถลงแจ้งคดี ตามพระเสาวนีย์ตรัสสั่ง
อย่าให้ร้อนพระทัยรึงรัง คอยฟังดูก่อนไม่นอนใจ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พี่เลี้ยงประสันตาอัชฌาสัย
ฟังบาหยันบอกความใน แจ้งใจแล้วรีบกลับมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงตำหนักติกาหรัง เห็นพระทรงนั่งคอยท่า
จึงเข้าไปทูลความตามกิจจา มะเดหวีสั่งมาถึงภูมี
ว่าอย่าให้อาวรณ์ร้อนรน ทุกข์ทนหฤทัยหมองศรี
คอยอยู่ยังไม่ได้ท่วงที ไม่ลืมความตามที่ได้สัญญา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระองค์พงศ์อสัญแดหวา
ได้ฟังพี่เลี้ยงทูลมา พระราชากินแหนงแคลงใจ
ครั้นนึกสมจินดาก็พาชื่น ครั้นคืนคิดความหลังก็หม่นไหม้
เอนองค์ลงรำพึงคะนึงใน จนหลับไปกับที่ไสยา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ ตระ

https://vajirayana.org/system/files/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B2_264950.pdf

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ