- คำอธิบาย ว่าด้วยบทละคร อิเหนาฉบับหอพระสมุดวชิรญาณ
- เล่มที่ ๑
- เล่มที่ ๒
- เล่มที่ ๓
- เล่มที่ ๔
- เล่มที่ ๕
- เล่มที่ ๖
- เล่มที่ ๗
- เล่มที่ ๘
- เล่มที่ ๙
- เล่มที่ ๑๐
- เล่มที่ ๑๑
- เล่มที่ ๑๒
- เล่มที่ ๑๓
- เล่มที่ ๑๔
- เล่มที่ ๑๕
- เล่มที่ ๑๖
- เล่มที่ ๑๗
- เล่มที่ ๑๘
- เล่มที่ ๑๙
- เล่มที่ ๒๐
- เล่มที่ ๒๑
- เล่มที่ ๒๒
- เล่มที่ ๒๓
- เล่มที่ ๒๔
- เล่มที่ ๒๕
- เล่มที่ ๒๖
- เล่มที่ ๒๗
- เล่มที่ ๒๘
- เล่มที่ ๒๙
- เล่มที่ ๓๐
- เล่มที่ ๓๑
- เล่มที่ ๓๒
- เล่มที่ ๓๓
- เล่มที่ ๓๔
- เล่มที่ ๓๕
- เล่มที่ ๓๖
- เล่มที่ ๓๗
- เล่มที่ ๓๘
เล่มที่ ๒๐
ช้าปี่
๏ มาจะกล่าวบทไป | ถึงองค์อายันกัศมาหรา |
ตั้งแต่เพียงเข้าปะตาปา | ค่อยเป็นสุขทุกทิวาราตรี |
เมื่อจะพบมิสาอุณากรรณ | ให้ร้อนรัญจวนใจดังไฟจี้ |
พระอยู่ไม่ได้ในกุฎี | ออกมานั่งยังที่แผ่นศิลา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
ร่าย
๏ จึงเรียกอายันยาหยัง | มานั่งด้วยพี่จะปรึกษา |
สององค์ยังมิทันจำนรรจา | พอแลลงมาเห็นทัพชัย |
พวกพลเกลื่อนกลาดดาษป่า | ใครหนอยกมาจะไปไหน |
จึงสั่งกิดาหยันทันใด | จงไปดูทัพใครยกมา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | กิดาหยันรับสั่งใส่เกศา |
มาสั่งปะหรัดกะติกา | ตามมีบัญชาพระทรงธรรม์ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ปะหรัดกะติกาคนขยัน |
ลงจากบรรพตด้วยพลัน | ขึ้นม้าขมีขมันควบไป ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงถามพลที่แห่หน้า | ทัพนี้ยกมาจะไปไหน |
ถิ่นฐานอยู่บ้านเมืองใด | คือใครเป็นจอมจัตุรงค์ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ขุนพลแจ้งความตามประสงค์ |
บอกว่าพระโอรสยศยง | ขององค์ระตูประมอตัน |
มาเที่ยวหาคู่ครองที่ต้องใจ | ทุกนิเวศน์เวียงชัยไอศวรรย์ |
ทรงนามมิสาอุณากรรณ | รูปโฉมโนมพรรณโสภา |
ซึ่งท่านถามเรานี้ไซร้ | จะประสงค์สิ่งไรให้เร่งหา |
หรือระตูผู้ใดใช้มา | จงบอกกิจจาให้แจ้งความ ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้น | ประหรัดกะติกาได้ฟังถาม |
ขึงบอกว่าปันหยีมีนาม | พยายามบวชอยู่บนเขานี้ |
พระแลเห็นพวกพลสกลไกร | ทัพใหญ่ยกมาถึงนี่ |
จะใคร่รู้ระคายร้ายดี | ให้เรานี้มาถามเอาความไป |
ว่าแล้วก็ชักม้ากลับ | ควบขับคืนมายังเขาใหญ่ |
บอกแก่กิดาหยันทันใด | ตามในถ้อยคำขุนพล ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | กิดาหยันครั้นแจ้งเหตุผล |
เข้าไปยังปันหยีฤทธิรณ | กราบทูลยุบลบรรยาย |
อันกองทัพที่ยกมานั้น | คือองค์อุณากรรณโฉมฉาย |
เป็นจอมพหลพลนิกาย | พระฦาสายจงทราบบาทา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์อายันกัศมาหรา |
ได้ฟังกิดาหยันพูดมา | จึงตรัสแก่อนุชาชัยชาญ |
เขาลือว่าอุณากรรณนี้ | ฤทธีสามารถอาจหาญ |
ระตูผู้ใดไม่ต้านทาน | เที่ยวรบรุกรานทุกธานี |
บัดนี้กรีธาทัพใหญ่ | ยกพลสกลไกรมาถึงนี่ |
ทำไฉนจะได้พบพาที | รูปทรงส่งศรีจะอย่างไร ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | อายันยาหยังบังคมไหว้ |
จึงทูลสนองไปทันใด | เห็นจะได้พบองค์อุณากรรณ |
ด้วยเดินทางหว่างเชิงคิรี | เห็นทีจะแวะมาเป็นแม่นมั่น |
ทั้งสองกษัตราอายัน | ตรัสสนทนากันไปมา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | อุณากรรณกระหมันวิยาหยา |
คลายคลี่รี้พลโยธา | ยกมาใกล้เนินบรรพต |
แลเห็นที่ประทับพลับพลาชัย | สูงใหญ่มหิมาปรากฏ |
ค่ายคูเขื่อนขัณฑ์เป็นหลั่นลด | ตามเนินบรรพตพนาวา |
เห็นทัพพลหลังคาดาดาษ | ดังเอาผ้าขาวลาดไปทั้งป่า |
แลไปจนสุดสายตา | ยังไม่สิ้นโยธาพลากร |
จึงสั่งให้ม้าใช้ไปถามดู | ทัพใครตั้งอยู่ยังสิงขร |
จะเป็นโจรป่าพนาดร | หรือระตูอยู่นครใดมา ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ปะหรัดกะติกาแกล้วกล้า |
รับสั่งแล้วขับอาชา | ล่วงพลโยธาขึ้นไป ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นมาพบกันกับขุนพล | ต่างบอกยุบลแถลงไข |
แล้วพากันกลับมาฉับไว | เข้าไปเฝ้าองค์อุณากรรณ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึงทูลกิจจา | ว่าพลโยธาทัพขันธ์ |
ตั้งอยู่ที่เชิงกุหนุงนั้น | ปันหยีมาเข้าปะตาปา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | อุณากรรณกระหมันวิยาหยา |
ได้ฟังจึงสั่งเสนา | ให้หยุดโยธาจัตุรงค์ |
ด้วยแจ้งว่าปัจจาหงันนี้ | ใกล้บุรีกาหลังดังประสงค์ |
จะเข้าไปอภิวาทบาทบงสุ์ | แทนองค์บิตุเรศชนนี |
แล้วตริตรึกนึกในไปมา | จะแวะขึ้นไปหาปันหยี |
จะฟังข่าวสืบดูพระภูมี | เกลือกจะแจ้งคดีดังจินดา |
คิดพลางชวนระเด่นทั้งสองคน | จะไปเที่ยวเล่นบนภูผา |
สามองค์มาทรงอาชา | เสนากิดาหยันก็ตามไป ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงเชิงผาปัจจาหงัน | รุกขชาติเรียงรันงามไสว |
เสด็จลงจากหลังมโนมัย | คลาไคลไปตามเนินคิรี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เพลงช้า
๏ เมื่อนั้น | เกนหลงหนึ่งหรัดมารศรี |
เที่ยวประพาสชมพรรณมาลี | กับกำนัลนารีปรีดา |
เหลือบเห็นมิสาอุณากรรณ | คลับคล้ายไม่ทันจะดูหน้า |
คิดว่าปันหยีพี่ยา | ก็วิ่งเข้ามาสวมสอดกอดไว้ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | อุณากรรณยิ้มพลางทางปราศรัย |
กุมารีนี้นามกรใด | ลูกเต้าเผ่าใครช่างโสภา |
ดวงพักตร์ลักขณาก็พร้อมพริ้ง | ไฉนเจ้าจึงวิ่งมากอดข้า |
รู้จักเราหรือวนิดา | พลางกอดกัลยาอุ้มไว้ |
ด้วยเทวัญมากั้นกำบังตา | จะรู้จักวิยะดาก็หาไม่ |
จึงปราศรัยไต่ถามทรามวัย | เจ้านี้ลูกใครจงบอกมา ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | เกนหลงหนึ่งหรัดขนิษฐา |
เห็นมิใช่ปันหยีพี่ยา | ก็กันแสงโศกาจาบัลย์ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | พี่เลี้ยงทั้งสี่ไม่มีขวัญ |
ตกใจวิ่งไปด้วยพลัน | บาหยันอุ้มองค์พระธิดา |
ปลอบพลางทางเช็ดชลนัยน์ | อย่าร้องไห้ไปฟังพี่ว่า |
ประเสหรันว่าไปด้วยโกรธา | ทำไมให้โศกามากมาย |
ถ้ารู้ไปถึงปันหยี | โทษจะมีแก่เราทั้งหลาย |
ยังไม่รู้จักมาทักทาย | เจ้าเป็นชายมาอุ้มพระบุตรี ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | อุณากรรณจึงตอบนางสาวศรี |
ใครได้ทำไมแก่เทวี | วิ่งมากอดข้านี้จึงอุ้มไว้ |
เด็กชมข้าก่อนจึงเชยบ้าง | เห็นแปลกหน้านางก็ร้องไห้ |
เจ้าอย่ากินแหนงแคลงใจ | จงถามไถ่บรรดาผู้ตามมา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้น | บาหยันคิดเกรงพระเชษฐา |
กลัวจะได้ยินเสียงโศกา | จึงอุ้มพามาเสียให้ไกล ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
ชมตลาด
๏ เมื่อนั้น | อุณากรรณรัศมีศรีใส |
เลี้ยวลัดตัดเดินดำเนินไป | ชมพรรณมิ่งไม้บนคิรี |
บ้างทรงผลปนดอกดกดาษ | ดูประหลาดหลายอย่างต่างสี |
พิศพรรณบุหงาบรรดามี | จรลีเที่ยวทอดทัศนา |
เห็นกุฎีน้อยน้อยรอยเรียบ | สงัดเงียบสบายเป็นหนักหนา |
ถิ่นฐานสะอ้านโอฬาร์ | ลมพาคันธรสตลบไป |
เหลือบแลแปรผันซ้ายขวา | ไม่รู้ว่าปันหยีอยู่ที่ไหน |
ให้คิดขวยเขินสะเทินใจ | เชือนชมมิ่งไม้ไปมา ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เพลงฉิ่ง
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | จึงองค์อายันกัศมาหรา |
เห็นคนเดินประหลาดดาษดา | จึงชวนอนุชาจรจรัล ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
ช้า
๏ เข้าในกุฎีแล้วลอบมอง | ตามช่องบานแกลแปรผัน |
เห็นองค์มิสาอุณากรรณ | ทรงโฉมโนมพรรณพึงใจ |
อรชรอ้อนแอ้นเอวองค์ | ต้องจิตพิศวงหลงใหล |
อนุชาเข้าจงดูไป | ชายใดดำเนินมานี้ |
เห็นคล้ายละม้ายเหมือนบุษบา | ทั้งดวงพักตร์ลักษณาราศี |
กรายกรอ่อนระทวยดังนารี | ท่วงทีกิริยาเป็นน่าชม ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๏ ครั้นดำเนินเดินใกล้เข้ามา | แทบจะถึงศาลาอาศรม |
จึงแกล้งทำสำรวมอารมณ์ | ขืนข่มสมประดีกิริยา |
แล้วกล่าวรสพจนาปราศรัย | ไปไหนเจ้าบ่าวน้อยเสนหา |
ขอเชิญโฉมเฉลาเข้ามา | กินสลาด้วยกันในกุฎี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | อุณากรรณผู้รุ่งรัศมี |
แข็งใจเข้าไปอัญชลี | ชำเลืองดูฤาษีทั้งสองรา |
องค์หนึ่งซึ่งนั่งหน้านั้น | เหมือนพระพี่กุเรปันหนักหนา |
องค์น้อยที่นั่งถัดมา | เหมือนสังคามาระตาชาญชัย |
ครั้นเห็นอายันดูอดสูนัก | เมียงพักตร์ไม่ต่อตาได้ |
ทำเบือนเชือนชมมิ่งไม้ | สะเทินใจมิได้จำนรรจา ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | อายันยิ่งมีเสนหา |
ชายเนตรดูองค์อนุชา | สบตาก็ยิ้มพริ้มไป |
พระจึงยกพานสลามาสู่ | ชำเลืองดูแล้วหยิบใส่หัตถ์ให้ |
ถามว่าเจ้าอยู่บุรีใด | มีธุระสิ่งไรจึงไคลคลา |
เราได้รู้จักกันวันนี้ | จะเป็นมิตรไมตรีไปภายหน้า |
ถ้าแม้นมีธุรกิจจา | จะได้พึ่งพาอาศัยกัน ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | อุณากรรณเพราเพริศเฉิดฉัน |
ได้ฟังวาจาอายัน | ให้ประหวั่นพรั่นใจไปมา |
จำเป็นขืนข่มอารมณ์ไว้ | ด้วยจะใคร่แจ้งเหตุพระเชษฐา |
ความอายเป็นพ้นคณนา | หมากซึ่งให้มาก็กำไว้ |
จึงฝืนพักตร์พจนาว่าข้านี้ | อยู่บุรีประมอตันกรุงใหญ่ |
พระบิดาจะให้ครองเวียงชัย | จะแต่งไปขอราชบุตรี |
ข้าเกรงจะมิชอบดังจำนง | ด้วยมิได้เห็นองค์นางโฉมศรี |
จึงลาบาทบิตุราชจรลี | มาเที่ยวหาสตรีที่พึงใจ |
ครั้นข้ามายั้งอยู่ปลายด่าน | ชาวเมืองหักหาญเข้าลุยไล่ |
เขาว่าข้าเป็นโจรไพร | จึงได้รบรุกทุกธานี |
พระดาบสนี้มาแต่เมืองไหน | จึงมาตั้งทัพชัยอยู่ที่นี่ |
แต่เข้าปะตาปามานี้ | ได้สักกี่ปีกี่เดือนมา ฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | จึงองค์อายันกัศมาหรา |
ฟังเสียงอุณากรรณจำนรรจา | ดังอำมฤตฟ้ายาใจ |
ซึ่งทรงแสนโศกสร้อยเศร้า | ค่อยบรรเทาทุกข์ทนหม่นไหม้ |
จึงบอกให้แคลงแฝงไว้ | เราใช้ใบมาแต่มะละกา |
ขึ้นเที่ยวเล่นตามป่าพนาลี | เห็นที่นี่สำราญเป็นหนักหนา |
จำเริญใจให้เกิดศรัทธา | ปะตาปามาได้สักเดือนปลาย ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | อุณากรรณเพราเพริศเฉิดฉาย |
ยิ้มพลางทางตอบอภิปราย | มลายูก็กลายเป็นชวา |
ละชาติมาข้างศาสนานี้ | ก็นิยมยินดีด้วยหนักหนา |
ข้าถามถึงเมืองแต่แรกมา | ไม่ว่าให้แจ้งแกล้งพรางกัน ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | อายันฟังคำทำสรวลสันต์ |
อันธานีที่อยู่ของข้านั้น | มิใช่สำคัญจะพรางไย |
จะใคร่ร่วมรักกันไปวันหน้า | ฝ่ายข้าไม่คิดสงสัย |
ข้างเจ้าชะรอยไม่เต็มใจ | สลาข้าให้แต่แรกมา |
ยังถืออยู่จนป่านนี้ | หรือว่าหมากฤาษีชีป่า |
ไม่ควรแก่หน่อกษัตรา | หากเห็นแก่หน้าจึงรับไว้ ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | อุณากรรณยิ้มแย้มแจ่มใส |
จึงเอาพัดทองป้องโอษฐ์ไว้ | จำใจกินสลาของอายัน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | อายันแยบคายคมสัน |
ชายเนตรดูอนุชาพลัน | ให้พักตรากันแล้วยิ้มพราย |
พระแสนกระสันรัญจวนจิต | ยิ่งพิศยิ่งเหมือนนางโฉมฉาย |
จึงว่ากินสลาก็ต้องอาย | เหมือนมิใช่ชายชาตรี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | อุณากรรณผู้รุ่งรัศมี |
ร้อนจิตดังพิษอสนี | มิได้มีพจนารถวาจา |
เหลือบไปเห็นให้พักตรากัน | แย้มยิ้มคมสันอยู่ในหน้า |
อายดังจะละลายกายา | จึงว่าเย็นแล้วจะลาไป ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | อายันยิ่งคิดพิสมัย |
จึงว่าอย่าเพ่อคลาไคล | ยังไม่ค่ำควรหรือด่วนลา |
ข้าเห็นเจ้าเป็นตระการนัก | แต่ตั้งพักตร์พิศดูบุหงา |
จำเป็นจำนั่งสั่งสนทนา | จนลืมกินสลาที่สู่กัน |
จงอยู่ชมถ้ำธารสำราญใจ | ที่ในภูผาปัจจาหงัน |
หยุดพักอยู่สักสามวัน | จึงค่อยจรจรัลก็เป็นไร |
ซึ่งเจ้าจะยกจากเขานี้ | จะไปเที่ยวตีธานีไหน |
หรือจะกลับหลังยังเวียงชัย | ครองไอศูรย์แสนศฤงคาร ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | อุณากรรณตอบถ้อยแถลงสาร |
จะยกจากปัจจาหงันนี้กันดาร | จะต้องผ่านพารากาหลังไป |
คิดจะใคร่แวะเข้าอัญชลี | องค์ศรีปัตหราเป็นใหญ่ |
ให้จำเริญศรีสวัสดิ์เรืองชัย | ด้วยภูวไนยนั้นวงศ์เทวา |
แล้วจะเที่ยวไปทุกธานี | ตามมีหฤทัยปรารถนา |
แต่รบได้ก็หลายเมืองมา | ยังมิได้กัลยาที่พึงใจ ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | อายันครั้นแจ้งแถลงไข |
จึงว่าข้าจะขอสัญญาไว้ | เจ้าจะเข้าไปไหว้พระภูธร |
จะตามเจ้าเข้าไปต่อภายหลัง | แม้นประมาทพลาดพลั้งช่วยสั่งสอน |
เป็นชาวไพรไม่เคยเข้านคร | ไปอยู่ก่อนแล้วอย่าลืมกัน ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | อุณากรรณเพราเพริศเฉิดฉัน |
จึงรับวาจาอายัน | นบนิ้วอภิวันท์แล้วคลาไคล |
องค์อ่อนระทวยขวยเขิน | มิใคร่จะดำเนินไปได้ |
ลัดแลงเข้าแฝงพุ่มไม้ | ใส่ไคล้ทำเด็ดมาลา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | อายันสร้อยเศร้าเป็นหนักหนา |
เคลื่อนองค์เหมือนจะตามลงมา | ดูจนลับตาแล้วถอนใจ |
จึงว่าถ้าเป็นสตรี | อันพี่จะละอย่าสงสัย |
ด้วยเหมือนบุษบาดังวาดไว้ | เสียดายพ้นไปด้วยเป็นชาย ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สังคามาระตาเฉิดฉาย |
นบนอบทูลตอบอภิปราย | น้องหมายว่าระเด่นบุตรี |
ทั้งถ้อยคำน้ำเสียงรูปทรง | เหมือนองค์บุษบามารศรี |
แต่หากคิดบิดผันพาที | ว่าเที่ยวหาสตรีจะให้แคลง |
เมื่อดูเดินก็เขินขวยนัก | เชือนชักชมไม้จะได้แฝง |
มิใช่ผู้ชายดีร้ายแปลง | พระน้องหากแกล้งปลอมมา ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | อายันจึ่งตอบขนิษฐา |
พี่เห็นมิใช่บุษบา | แต่ว่าหากคล้ายคลึงกัน |
หายไปแต่หญิงสามคน | ไฉนจะได้พลแล้วผายผัน |
มาเที่ยวรบรุกบุกบัน | อันการศึกนั้นสุดแต่ชาย |
อื่นอื่นที่คิดสงสัย | ครั้นคิดถึงชิงชัยก็สูญหาย |
แล้วเป็นบุตรระตูผู้เพริศพราย | จะถวิลยินร้ายก็ผิดไป |
ส่วนพระวาจาว่าดังนั้น | แต่ฤทัยผูกพันพิสมัย |
ให้คิดถึงบุษบายาใจ | ภูวไนยไม่เป็นสมประดี ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | อุณากรรณผู้รุ่งรัศมี |
ลงจากปัจจาหงันคิรี | กลับมายังที่รถทอง ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ ครั้นถึงจึงมีวาจา | แก่พี่เลี้ยงกัลยาทั้งสอง |
แถลงเล่าเนื้อความตามทำนอง | วันนี้น้องเที่ยวชมพนาวัน |
พบอายันปันหยีปะตาปา | อยู่บนภูผาปัจจาหงัน |
ท่วงทีเหมือนพระพี่กุเรปัน | องค์หนึ่งนั้นเหมือนสังคามาระตา |
น้องอุตส่าห์ฝืนหน้าพาที | แจ้งคดีเอื้อนอำอยู่หนักหนา |
บอกว่ามาแต่มะละกา | เป็นน่าฉงนสนเท่ห์ใจ ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | พี่เลี้ยงทั้งสองสนองไข |
หรือชะรอยพระเชษฐาชาญชัย | ภูวไนยแปลงนามตามมา |
หวังมิให้ใครแจ้งประจักษ์องค์ | ว่าเป็นวงศ์พงศ์พันธุ์อสัญหยา |
เที่ยวตามพระน้องนุชสุดปัญญา | จึงมาเข้าปะตาปาอยู่ที่นี้ |
แม่จงตรองตรึกนึกใน | เห็นมิใช่โจรป่าพนาศรี |
เทเวศร์บอกเหตุให้จรลี | จึงมาพบภูมีดังจำนง ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | อุณากรรณตอบความตามประสงค์ |
มิใช่พระเชษฐาโฉมยง | อย่าพะวงหลงคิดเห็นผิดไป |
จินตะหราวาตีเป็นที่รัก | หรือจะหักเสนหามาได้ |
จะสลัดซัดเมียท่านเสียไย | พี่ช่างเอาอะไรมาเจรจา |
แต่เราหากได้ทุกข์ร้อน | จากบิดามารดรมานอนป่า |
ว่าพลางถอนฤทัยไปมา | นิทราไม่หลับในราตรี ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ ตระ ประธมไพร
๏ ครั้นแสงทองส่องฟ้าพรายพรรณ | ไก่ขันกระชั้นเสียงปักษี |
สองนางนำเสด็จจรลี | มาเข้าที่สระสรงคงคา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ สำอางองค์ทรงเครื่องเสร็จสรรพ | แล้วมายังเกยประทับรถา |
ขึ้นทรงรถที่นั่งหลังคา | ให้ยกโยธาคลาไคล ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
ชมดง
๏ เดินเอยเดินทาง | ตามหว่างโตรกเตรินเนินไศล |
พลางประพาสพิศพรรณมิ่งไม้ | ระบัดใบบังแสงสุริยน |
เขียวชอุ่มอ่อนแก่แลสลับ | บ้างผลิดอกออกรับฤดูฝน |
บ้างตูมหุ้มห่อเสาวคนธ์ | ทรงผลสุกห่ามงามงอน |
สร้อยฟ้ามหาหงส์ส่งกลิ่นเกลี้ยง | รังเรียงลำดวนหวนหอม |
สาวหยุดย้อยระย้าค่าค้อม | เหนี่ยวน้อมเก็บได้ใกล้รถทรง |
พี่เลี้ยงเก็บดอกไม้ใส่พานทอง | มาถวายพระน้องต้องประสงค์ |
ประดู่ดกดอกพวงร่วงลง | ลมส่งกลิ่นกลบตลบไป |
ชมพลางทางคนึงถึงเชษฐา | ปานฉะนี้พี่ยาจะอยู่ไหน |
ยิ่งวิโยคโศกเศร้าสลดใจ | ให้เร่งรีบพลไกรจรลี ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๏ ครั้นมาถึงปลายด่านกาหลัง | หยุดยั้งตั้งพลับพลาชัยศรี |
เสด็จนั่งเหนืออาสน์รูจี | จึงมีพระราชบัญชาการ |
ตรัสแก่ตำมะหงงเสนา | เรายกโยธามาถึงด่าน |
จะเข้าไปประณตบทมาลย์ | สู่บรมสมภารพระภูมี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ตำมะหงงบังคมเหนือเกศี |
ทูลว่ารบมาทุกธานี | จะนบนอบเมืองนี้ด้วยอันใด ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | อุณากรรณจึงแจ้งแถลงไข |
บรรดากษัตริย์ทุกกรุงไกร | มิใช่สุริย์วงศ์เทวา |
องค์ศรีปัตหรากาหลังนั้น | เป็นวงศ์อสัญแดหวา |
จะรบกลัวตุหลาปาปา | จะวันทาให้เป็นสถาพร |
แล้วสั่งเสนาม้าใช้ | จงไปแจ้งการชาวด่านก่อน |
ว่าเราชาวพงดงดอน | จะเข้าไปชลีกรพระทรงธรรม์ ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ปะหรัดกะติกาคนขยัน |
รับสั่งแล้วบังคมคัล | ขมีขมันขึ้นม้าคลาไคล ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงบอกแก่ขุนด่าน | ตามข้อราชการแถลงไข |
อุณากรรณนายเราจะเข้าไป | บังคมภูวไนยด้วยภักดี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้น | ขุนด่านได้ฟังถ้วนถี่ |
เขียนสารแล้วขึ้นพาชี | ขับขี่ตีควบเข้าเวียงชัย ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงลงจากม้า | ไปยังท่านเสนาผู้ใหญ่ |
กราบเรียนเรื่องความทั้งปวงไป | แล้วยื่นสารให้ทันที ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ปาเตะคลี่อ่านสารศรี |
ครั้นแจ้งก็รีบจรลี | เข้ามาที่พระโรงรจนา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ จึงก้มเกล้าประณตบทบงสุ์ | พระผู้วงศ์อสัญแดหวา |
ทูลว่าปันจุเหร็จฤทธา | นามกรมิสาอุณากรรณ |
เที่ยวรบรุกมาทุกธานี | บัดนี้อยู่นอกเขตขัณฑ์ |
จะเข้ามาถวายอภิวันท์ | พระทรงธรรม์จงทราบหฤทัย ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวกาหลังฟังแจ้งแถลงไข |
จึงตรัสว่าธรรมดาโจรไพร | ชิงชัยเชี่ยวชาญชำนาญนัก |
เรืองฤทธิ์วิทยาสามารถ | องอาจจู่โจมโหมหัก |
บัดนี้เข้ามาสามิภักดิ์ | เราจำจะชักชวนไว้ |
มาตรแม้นไพรีมีมา | เห็นว่าพอจะวางใจได้ |
จึงสั่งดะหมังพลันทันใด | ให้แต่งไปรับมายังธานี ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ดะหมังรับสั่งใส่เกศี |
ก้มเกล้ากราบงามสามที | ออกมาสั่งตามที่พนักงาน |
ให้จัดกระบวนแห่หน้าหลัง | พร้อมพรั่งพลเรือนแลทหาร |
เตรียมไว้แต่ในราตรีกาล | ย่ำรุ่งสุริย์ฉานจะไคลคลา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้น | ฝ่ายเจ้าพนักงานถ้วนหน้า |
เร่งรัดจัดกันเป็นโกลา | วิ่งหาบ่าวไพร่อลวน |
พวกนายอำเภอไปร้องป่าว | บรรดาชาวร้านเรือนริมถนน |
ให้แม่ค้าขายของจงทุกคน | แล้วจัดแจงแต่งตนให้สะคราญ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้น | ฝ่ายฝูงหญิงชายชาวบ้าน |
ครั้นแจ้งก็ตกแต่งร้าน | บ้างกั้นม่านกางฉากปูพรม |
หน้าบ้านร้านใครก็กวาดแผ้ว | เสร็จแล้วขนทรายมารายถม |
สาวสาวแม่ค้าน่าชม | นุ่งห่มโอ่อวดประกวดกัน ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้น | ทั้งสองเสนาคนขยัน |
พนักงานรับแขกเมืองนั้น | ก็นำพลขันธ์คลาไคล ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ มาถึงปลายด่านกาหลัง | จึงไปยังตำมะหงงผู้ใหญ่ |
บอกว่าพระองค์ทรงภพไตร | ตรัสใช้เรามาแต่ธานี |
ให้เชิญอุณากรรณเข้าไปเฝ้า | พระปิ่นเกล้ากาหลังกรุงศรี |
ท่านจงไปแถลงแจ้งคดี | โดยมีบัญชาพระภูวไนย ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ตำมะหงงฟังแจ้งแถลงไข |
ก็รีบเข้าไปทูลทันใด | ตามในถ้อยคำเสนา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | อุณากรรณกระหมันวิยาหยา |
ได้ฟังชื่นชมภิรมยา | เสด็จมาสรงสนานสำราญกาย ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
โทน
๏ ให้พี่เลี้ยงเคียงไขปทุมทอง | วารีโรยโปรยต้องไม่ขาดสาย |
ทรงสุคนธ์กลิ่นตลบอบอาย | ส่องพระฉายผัดพักตร์นวลละออง |
สอดใส่สนับเพลาพื้นตาด | ปักรูปสิงหราชผาดผยอง |
ทรงภูษาเข้มขาบเขียวตอง | ใส่ฉลององค์โหมดน้ำเงินงาม |
เจียระบาดตาดปักทองแล่ง | ทับทรวงห้อยพลอยแดงดูอร่าม |
ปั้นเหน่งสายลายดอกประจำยาม | สังวาลแก้วแวววามวิเชียรชู |
ธำมรงค์ทรงสอดนิ้วพระหัตถ์ | พาหุรัดทองกรเก้าคู่ |
ห้อยอุบะบุหงางามตรู | ถือเช็ดหน้าชมพูชูใจ ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๏ แต่งอย่างปันจุเหร็จโจรป่า | กุมกริชเทวาประทานให้ |
เสด็จมาขึ้นทรงมโนมัย | ให้โบกธงชัยดำเนินนำ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
โทน
๏ ม้าเอยม้าต้น | พ่วงพี่สีขนเขียวขำ |
เยื้องอกยกเท้าเป็นทีรำ | สะบัดย่างย่องย่ำซ้ำรอย |
ผูกเครื่องหมอนปักหักทองขวาง | ซองหางบังเหียนหูพู่ห้อย |
จงกลแก้วแวววับประดับพลอย | ดาวกุดั่นดอกลอยแลระยับ |
พลหน้าในกระบวนล้วนชาวเมือง | ธงเทียวเขียวเหลืองสีสลับ |
ม้าทหารแห่หลังคั่งคับ | ม้าแซงแข่งขับเคียงมา |
ม้าระเด่นเต้นตามม้าทรง | ตำมะหงงขี่ม้านำหน้า |
สนั่นเสียงฆ้องกลองก้องโกลา | เร่งพลยาตราเข้าธานี ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๏ บัดนั้น | หญิงชายประชาชาวบุรี |
นั่งแน่นสองข้างทางจรลี | ครั้นเห็นแขกเมืองขี่ม้ามา |
ต่างพินิศโฉมอุณากรรณ | ว่างามดังอสัญแดหวา |
อันบุรุษสุดสิ้นแดนชวา | ทั้งในใต้ฟ้าไม่เทียมทัน |
บ้างว่าเปรียบเทวัญนั้นเห็นผิด | ดูจริตรูปร่างเหมือนนางสวรรค์ |
นวลละอองผ่องพักตร์ผิวพรรณ | ดังบุหลันวันเพ็ญอำไพ |
ที่พวกชายหนุ่มหนุ่มจำนรรจา | ถ้าแม้นหาภรรยาอย่างนี้ได้ |
จะอยู่เคล้าเฝ้าชมภิรมย์ใจ | มิให้จากห้องสักนาที |
ลางคนบ้างว่าข้าสงสัย | จะปลงใจว่าชายก็ใช่ที่ |
ครั้นจะหมายมั่นว่าเป็นนารี | จะมาไยอย่างนี้ผิดทีนัก |
แล้วก็เที่ยวรบรุกทุกบ้านเมือง | ลือเลื่องเรืองฤทธิ์สิทธิศักดิ์ |
ชาวบุรีมีจิตคิดรัก | พิศพักตร์เสนหาอาลัย ฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | อุณากรรณรัศมีศรีใส |
ได้ยินขวยเขินสะเทินใจ | เตือนให้ม้านำเร่งไคลคลา |
เอาเช็ดหน้าซับพักตร์เนืองเนือง | ว่าชาวเมืองนี้ร้ายหนักหนา |
อดสูมิได้ดูไปมา | พลางเร่งอาชาจรลี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงซุ้มทวารวังใน | แทบใกล้ไพชยนต์ปราสาทศรี |
สามองค์ลงจากพาชี | เสนีนำเข้าพระโรงชัย ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ นั่งลงท่ามกลางหว่างอำมาตย์ | แล้วถวายอภิวาทบังคมไหว้ |
เห็นท้าวกาหลังเลิศไกร | กับประไหมสุหรีศรีโสภา |
ให้คิดถึงปาปะอะหยี | ทั้งพระชนนีขนิษฐา |
ชลเนตรหลั่งคลอนัยนา | ก้มพักตรากรีดเสียฉับพลัน ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
ช้า
๏ เมื่อนั้น | องค์ศรีปัตหรารังสรรค์ |
สถิตยังแท่นแก้วแพรวพรรณ | ครั้นเห็นอุณากรรณเข้ามา |
พิศโฉมก็ประโลมลานใจ | งามวิไลเลิศล้ำเลขา |
จึงมีมธุรสพจนา | ตรัสเรียกเข้ามาที่ข้างใน ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
ร่าย
๏ แล้วถามว่าเจ้ามาบัดนี้ | ธุระกังวลมีเป็นไฉน |
อันกุมารสองศรีนี้คือใคร | หรือเนื่องในพงศ์พันธุ์กันมา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | อุณากรรณกระหมันวิยาหยา |
ก้มเกล้าทูลสนองพระบัญชา | อันธุรกิจจานั้นไม่มี |
ข้าเที่ยวอยู่ในอรัญบรรพต | ตั้งใจมาประณตบทศรี |
จะขอพึ่งเดชาฝ่าธุลี | ให้ถาวรสวัสดีสืบไป |
อันราชกุมารทั้งสององค์ | จะร่วมวงศ์กับข้าก็หาไม่ |
บุตรระตูอยู่ต่างเวียงชัย | รบได้เป็นเชลยตามมา ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระองค์ทรงพิภพนาถา |
ฟังพลางทางถวิลจินดา | เขาเล่าลือว่าอุณากรรณ |
รุ่งเรืองฤทธาศักดาเดช | เที่ยวรบรุกทุกประเทศเขตขัณฑ์ |
เหตุใดจึงมาบังคมคัล | หรือจะตุนาหงันบุตรี |
คิดแล้วตรัสถามไปพลัน | ดูก่อนอุณากรรณเรืองศรี |
ชันษาเจ้าได้สักกี่ปี | ยังเยาว์เท่านี้หรือเที่ยวมา |
เจ้าเป็นลูกเต้าเผ่าพงศ์ใคร | ดูทีมิใช่ชาวป่า |
น่าจะเป็นสุริย์วงศ์กษัตรา | จงแจ้งกิจจาแต่จริงไป ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | อุณากรรณคิดโดยอัชฌาสัย |
ครั้นจะทูลตามตรงบัดนี้ไซร้ | จะกินใจว่าจะขอพระธิดา |
จำจะบอกให้อ่อนหย่อนลง | พระองค์จึงจะไม่กังขา |
คิดแล้วจึงสนองพระวาจา | ชันษาข้าได้สิบสี่ปี |
ซึ่งพระองค์สงสัยไต่ถาม | จะทูลความตามจริงให้ถ้วนถี่ |
อันบิดรมารดาของข้านี้ | ครองพิชัยธานีประมอตัน |
ข้าทูลลามาเที่ยวประพาสไพร | ครั้นใกล้นคเรศเขตขัณฑ์ |
เขาว่าเป็นโจรป่าพนาวัน | จึงได้รบพุ่งกันทุกพารา ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวกาหลังฟังสารก็หรรษา |
จึงมีมธุรสพจนา | เจ้านี้อ่อนกว่าธิดาเรา |
แล้วเรียกราชบุตรีศรีสวัสดิ์ | นางสการะหนึ่งหรัดโฉมเฉลา |
จงมาหาอนุชานงเยาว์ | สองเจ้าจงเป็นพี่น้องกัน |
พ่อหาโอรสกุมารไม่ | สิ่งไรอย่างรังเกียจเดียดฉันท์ |
จะเลี้ยงเจ้าเป็นบุตรบุญธรรม์ | จงอยู่ด้วยกันอย่าไคลคลา ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | อุณากรรณกระหมันวิยาหยา |
น้อมศิโรตม์รับพระบัญชา | แล้วไหว้พระธิดานารี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นางสการะหนึ่งหรัดโฉมศรี |
ครั้นเห็นอุณากรรณอัญชลี | เทวีปราศรัยไปพลัน |
ทั้งสองสนทนาไต่ถาม | ไม่มีความรังเกียจเดียดฉันท์ |
ด้วยร่วมสุริย์วงศ์พงศ์พันธุ์ | แต่เห็นกันก็คิดเมตตา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวกาหลังสุริย์วงศ์นาถา |
ชื่นชมด้วยสมดังจินดา | เสนหาอุณากรรณพันทวี |
จึงประทานเครื่องยศอย่างกษัตริย์ | พาหุรัดสังวาลพานพระศรี |
ให้อยู่วังดาหาปาตี | ตำแหน่งที่ลูกหลวงแต่ก่อนมา |
แล้วตรัสอำนวยอวยพร | ให้สถิตถาวรเป็นสุขา |
แม้นคิดถึงพี่นางกัลยา | เจ้าจงเข้ามาหากัน ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | อุณากรรณเพราเพริศเฉิดฉัน |
รับของประทานพระทรงธรรม์ | ถวายบังคมคัลแล้วลาไป ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงวังดาหาปาตี | ตำแหน่งที่ลูกหลวงอาศัย |
มีสระแลสวนดอกไม้ | ที่ข้างหน้าข้างในครบครัน |
อพยพซึ่งอยู่นอกพารา | ก็รับมาในนิเวศน์เขตขัณฑ์ |
หยุดยั้งอยู่สบายมาหลายวัน | พร้อมกันในดาหาปาตี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ มาจะกล่าวบทไป | ถึงนางมะลาหราสาวศรี |
เป็นบุตรดะหมังเสนี | บ้านอยู่แทบที่มรคา |
แต่ได้เห็นองค์อุณากรรณ | ให้รักใคร่ผูกพันเสนหา |
พิศวงด้วยทรงโสภา | ต้องจิตติดตาอยู่ไม่วาย |
อกเอ๋ยจะแนะนำทำไฉน | จึงจะได้สบสมอารมณ์หมาย |
คิดคิดขึ้นมาก็น่าอาย | เป็นหญิงจะชวนชายก็ใช่ที |
แต่เรรวนครวญใคร่ไปมา | จนสุริยาเรืองรองส่องศรี |
จึงอาบน้ำทาแป้งแต่งอินทรีย์ | มานั่งคอยอยู่ที่หน้าต่างนั้น ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | อุณากรรณทรงโฉมเฉิดฉัน |
ครั้นรุ่งรังสีรวีวรรณ | ก็ผายผันมาสรงคงคา |
สำอางองค์ทรงเครื่องประดับกาย | งามละม้ายเหมือนอสัญแดหวา |
มาทรงมโนมัยไคลคลา | ตรงมาตามทางจรจรัล ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้น | มะลาหรานารีสาวสรรค์ |
เยี่ยมแกลแลเห็นอุณากรรณ | ผิวพรรณผุดผ่องละอององค์ |
นางแสนกระสันรัญจวนจิต | ยิ่งดูยิ่งคิดพิศวง |
ให้ผูกพันรักใคร่ในรูปทรง | ตะลึงหลงแลตามจนสุดตา |
แล้วจึงแตระอุบะดอกไม้ | ซ่อนใส่ในห่อเช็ดหน้า |
วางไว้ข้างที่ไสยา | คอยจะให้มิสาอุณากรรณ ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | อุณากรรณทรงม้าผายผัน |
มาถึงนิเวศน์วังพลัน | จรจรัลขึ้นเฝ้าพระภูมี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ เมื่อนั้น | พระผู้ผ่านกาหลังกรุงศรี |
ครั้นเห็นอุณากรรณมาอัญชลี | จึงมีพจนารถประภาษไป |
อันพวกอพยพของเจ้านั้น | มาถึงพร้อมกันหรือไฉน |
หรือยังตกค้างอยู่กลางไพร | จงให้ทหารกลับไปรับมา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | อุณากรรณทูลศรีปัตหรา |
อันพวกอพยพโยธา | บรรดาอยู่นอกธานี |
ข้าได้ให้ทหารออกไป | รับเข้ามาในบุรีศรี |
พร้อมกันแต่วันวานนี้ | จงทราบธุลีบทมาลย์ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระผู้ครองกาหลังราชฐาน |
จึงสั่งเสนีพนักงาน | ให้ประทานส่วยสาอากร |
ซึ่งเคยขึ้นท้องพระคลังทั้งปวง | เหมือนลูกหลวงตามอย่างแต่ปางก่อน |
สั่งสรรพก็หับบัญชร | บทจรเข้าสู่ที่ไสยา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ เมื่อนั้น | อุณากรรณกระหมันวิยาหยา |
เสด็จจากพระโรงรจนา | มาทรงม้ากลับไปฉับพลัน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้น | นวลนางมะลาหราสาวสรรค์ |
นั่งมองอยู่ที่ช่องแกลนั้น | ครั้นเห็นอุณากรรณกลับมา |
ยิ่งดูยิ่งคิดพิสมัย | ให้รัญจวนครวญใคร่เสนหา |
จึงหยิบเอาห่อมาลา | ทิ้งไปให้มิสาอุณากรรณ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | อุณากรรณเหลือบแลแปรผัน |
เห็นโฉมอรไทวิไลวรรณ | รูปทรงคมสันโสภา |
จึงใส่กลแย้มยิ้มพริ้มเพรา | หยิบเอาดอกไม้ในห่อผ้า |
ดมพลางทางดูให้สบตา | ทำมารยาเหมือนจะใคร่เป็นไมตรี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | โฉมนางมะลาหราสาวศรี |
เมียงชม้ายชายดูพระภูมี | ทำทีเมินยิ้มพร้ิมพราย ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | อุณากรรณเพราเพริศเฉิดฉาย |
ให้อดสูจิตคิดละอาย | ก็ขับม้าผันผายรีบมา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงลงจากพาชี | จรลีเข้ายังวังดาหา |
จึงเปลื้องเครื่องทรงสรงคงคา | ลูบไล้สุคนธาจรุงใจ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
ช้าปี่
๏ ครั้นค่ำสนธยาราตรี | รัศมีจันทร์แจ้งจำรัสไข |
เสด็จมายังสวนดอกไม้ | บรรทมเล่นที่ในตำหนักนั้น |
พฤกษาชาติดาษดกดอกหอม | ปลูกล้อมพลับพลาสะตาหมัน |
ลมหวนอวลกลิ่นระคนกัน | ยิ่งกระสันรัญจวนป่วนใจ |
คิดคะนึงถึงองค์พระพี่ | อนิจจาปานนี้เป็นไฉน |
พระหัตถ์ประทับทรวงอรไท | พลางสะท้อนถอนใจใคร่ครวญ ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๏ จึงสั่งกิดาหยันทันที | ให้เล่นมโหรีที่ในสวน |
พอพาใจให้คลายรัญจวน | ปั่นป่วนฤทัยไปมา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | กิดาหยันรับสั่งใส่เกศา |
ไปเที่ยวเรียกกันมิทันช้า | บัดเดี๋ยวได้มาในราตรี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ จึงขึ้นหย่องลองซอประสานเสียง | สำเนียงนิ้วหนักชักคันสี |
รัองรับขับเพลงมโหรี | ท่วงทีเป็นทำนองโอดพัน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
นางนาค
๏ พระเอยพระทรงลักษณ์ | งามพักตร์ผ่องเพียงดวงบุหลัน |
สารพัดพร้อมพริ้งทุกสิ่งอัน | วิไลวรรณอ้อนแอ้นเอวกลม |
อันนารีที่เป็นหน่อกษัตริย์ชาติ | จะสนิทพิศวาสไม่งามสม |
ควรแต่นางสวรรค์อันอุดม | จะร่วมรสภิรมย์ยินดี เอย ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
พัดชา
๏ พระเอยพระยอดฟ้า | พระสนิทนิทราอยู่บนที่ |
ทรงสดับขับไม้มโหรี | ซอสีส่งเสียงจำเรียงราย |
เชิญพระบรรทมสถาพร | จะกล่าวกลอนถนอมกล่อมถวาย |
ให้ไพเราะเสนาะใจสบาย | พระฦาสายจงไสยา เอย ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | อุณากรรณกระหมันวิยาหยา |
สถิตในตำหนักสวนมาลา | นิทราพลางฟังดนตรี |
จะนิ่งบรรทมไปก็ไม่หลับ | แต่พลิกกลับสับสนอยู่บนที่ |
จึงเสด็จย่างเยื้องจรลี | มาเล่นมโหรีให้สบาย |
เรียกเอากระจับปี่มาทรงดีด | กรายกรีดรัวนิ้วหนุนสาย |
แต่งจริตบิดเบือนให้เหมือนชาย | ทำเพลงใหญ่ย้ายเป็นหลายเพลง ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ กะระหนะ
๏ แล้วให้เล่นลำนำขับร้อง | โต้ตอบตามทำนองเหมาะเหมง |
เสียงเสนาะสนั่นบรรเลง | ครื้นเครงไปทั้งสวนมาลา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | ฝ่ายโฉมนวลนางมะลาหรา |
ครั้นค่ำย่ำฆ้องคอยเวลา | คิดจะใคร่ไปหาอุณากรรณ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
ชมตลาด
๏ จึงอาบน้ำขัดสีวารีรด | ให้หมดราคีเป็นสีสัน |
ลูบไล้น้ำดอกไม้กระแจะจันทน์ | ใส่น้ำกันมันกวดกระหมวดมวย |
ผัดหน้านวลละอองผ่องผิว | สีขี้ผึ้งวาดคิ้วสละสลวย |
หอมกลิ่นคันธรสรวยรวย | นุ่งผ้าลายชายกรวยสามชั้น |
ห่มซับในเนื้อดีสีทับทิม | ตาดปักหน้าริมเฉิดฉัน |
สร้อยนวมสวมสอดสังวาลวรรณ | ตาบประดับทับถันเคร่งครัด |
สะอิ้งเอวทองคำประจำยาม | แก้วพุกามฝังรายสายเข็มขัด |
สวมกำไลใส่แหวนนพรัตน์ | แล้วถือพัดด้ามจิ้วจรลี ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๏ สงัดเงียบผู้คนที่บนจวน | จึงชวนทั้งสองทาสี |
ซุบซิบจำนรรจาพาที | แล้วลอบหนีบิดามาพลัน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เพลงช้า
๏ ครั้นถึงวังดาหาปาตี | จรลีเข้าในสะตาหมัน |
ลัดแลงแฝงไม้เมียงมัน | มองดูอุณากรรณไม่วางตา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เพ่งพิศรูปทรงวงพักตร์ | ต้องจิตคิดรักเป็นหนักหนา |
นวลละอองผ่องผิวโสภา | ดังจันทราส่องสว่างกลางโพยม |
ยิ่งดูยิ่งเพลินจำเริญใจ | พิศวงหลงใหลที่ในโฉม |
พักตร์ผ่องส่องจับกับแสงโคม | งามประโลมเสนหาอาลัย |
แสนกระสันรัญจวนป่วนจิต | คิดคิดจะใครเยื้อนปราศรัย |
แล้วคิดขวยเขินสะเทินใจ | ทำเชือนชักกิ่งไม้ให้สำคัญ ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | อุณากรรณเพราเพริศเฉิดฉัน |
เหลือบแลแปรพักตร์ไปพลัน | ก็เห็นนางสาวสรรค์ดำเนินมา |
เลี้ยวลับคลับคล้ายที่พุ่มไม้ | ยังไม่ตระหนักรู้จักหน้า |
จึ่งเสด็จลงจากพลับพลา | ลดเลี้ยวเที่ยวหานารี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เพลงฉิ่ง
๏ มาพบนางพลางเดินเข้าใกล้ | จึงยิ้มเยื้อนปราศรัยสาวศรี |
ค่ำมืดเวลาราตรี | ใครมาถึงที่สวนเรา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นวลนางมะลาหราโฉมเฉลา |
แย้มยิ้มพริ้มพักตร์พรายเพรา | นงเยาว์หยุดยั้งนั่งดุษฎี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | อุณากรรณผู้รุ่งรัศมี |
เอาพลูรอยกัดซัดเทวี | ยิ้มพลางทางมีวาจา |
เจ้ามานี่ประสงค์สิ่งใด | หรือมาทวงดอกไม้กับเช็ดหน้า |
บ้านนางทางไกลจะไคลคลา | อุตส่าห์มาถึงนี่พี่ขอบใจ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | มลาหรานารีศรีใส |
ฟังภิปรายอายจิตเป็นพ้นไป | แสนงอนค้อนให้ด้วยมารยา |
พระอย่าแกล้งแสร้งเสใส่ความ | ใช่จะตามมาทวงพวงบุหงา |
ช่างตรัสได้เหมือนไม่เมตตา | ข้ามาจะเฝ้าโดยดี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | อุณากรรณผู้รุ่งรัศมี |
ทำเทียมเลียมเล่นพอเป็นที | แล้วกุมกรสาวศรีลีลา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เพลงฝรั่ง
ชาตรี
๏ มานั่งที่แท่นศิลากลางสวน | พลางชวนนวลนางมะลาหรา |
เจ้าอย่านั่งที่พื้นพสุธา | มานั่งใกล้เชษฐาให้ยาใจ |
อันดอกไม้ให้พี่ที่กลางทาง | ได้ชมพลางต่างพักตร์พิสมัย |
ความคะนึงถึงนุชสุดอาลัย | ครวญใคร่ครุ่นคิดยังติดตา |
จึงมานั่งเล่นพลางทางคอยดู | เหมือนจะรู้ว่าเจ้าจะมาหา |
พอเหลือบไปเห็นแก้วกัลยา | ก็สมดังปรารถนาที่นึกไว้ |
ว่าพลางทางถดเข้าชิด | จะอายเอียงเบี่ยงบิดไปข้างไหน |
ผินหน้ามาจะเล่าให้เข้าใจ | พี่ได้บนตัวไว้แต่หลังมา |
ด้วยมีทุกข์ธุระรุงรัง | แม้นมิได้สมดังปรารถนา |
สามปียังไม่ร่วมภิรมยา | สมสนิทนิทราด้วยนางใด |
เพราะได้ออกปากบนก็จนจิต | มิรู้ที่จะคิดแก้ไข |
อย่าทำกระบวนให้ยวนใจ | ใช่จะทำไมได้เมื่อไรมี ฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | นวลนางมะลาหราสาวศรี |
ได้ฟังวาจาพาที | เทวีเศร้าสร้อยละห้อยใจ |
จึงบังคมก้มกราบลงกับตัก | ซบพักตร์โศกาน้ำตาไหล |
แม้นน้องมิได้เป็นข้าไท | อันชายอื่นมิให้ต้องตัว ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
โอ้โลม
๏ เมื่อนั้น | อุณากรรณปลอบพลางทางยิ้มหัว |
ได้บวงบนจนจิตก็คิดกลัว | จะทำชั่วเกรงเดชเทวา |
เจ้าเสนหาพี่นี้เท่าไร | พี่พิสมัยในน้องก็หนักหนา |
แม้นเห็นใจไมตรีของพี่ยา | จงงดท่าอยู่ก่อนผ่อนไป ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | มะลาหรานารีศรีใส |
จึงบังคมทูลพลันทันใด | แม้นพระภูวไนยจะเมตตา |
อย่าว่าจะงดแต่เพียงนี้ | ถึงสักสิบปีจะอยู่ท่า |
ความรักจะไว้ใต้บาทา | น้องไม่เสนหาด้วยชายใด ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | อุณากรรณยิ้มพลางเฉลยไข |
อันความรักของเจ้าก็เข้าใจ | จะหานางไหนได้เหมือนน้องนี้ |
สารพัดสัตย์ซื่อสุจริต | พยายามตามติดมาถึงนี่ |
นวลน้องครองตัวไว้จงดี | แต่ในสามปีนี้เถิดรา |
บัดนี้ขอเชิญเจ้าไปบ้าน | จะอยู่ไยให้นานหนักหนา |
เกลือกดะหมังรู้จะโกรธา | โทษาก็จะมีแก่พี่ชาย |
พี่เป็นแขกเมืองมาต่างบุรี | จะพึ่งท่านเสนีทั้งหลาย |
จะทำให้ขัดข้องเคืองระคาย | เหมือนพี่ประทุษร้ายต่อมิตร |
จงกลับไปก่อนเถิดฟังพี่ว่า | เหมือนเมตตาอย่าให้ได้ผิด |
แม้นวาสนาเคยได้เชยชิด | เห็นจะได้สมคิดเราสองรา |
ว่าแล้วเปลื้องซ่าโบะบรรจง | ถอดทั้งธำมรงค์ที่หัตถา |
ประทานนางพลางมีวาจา | กัลยาเอาไปเป็นสำคัญ ฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นวลนางมะลาหราสาวสรรค์ |
รับแหวนกับผ้ามาพลัน | พิศดูอุณากรรณแล้วถอนใจ |
จนจิตจึงจำอำลา | ชลนาแถวถั่งหลั่งไหล |
อุตส่าห์ฝืนขืนจิตคลาไคล | กลับไปยังบ้านบิดา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ ทยอย
https://vajirayana.org/system/files/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B2_264950.pdf