เล่มที่ ๘

ช้า

๏ มาจะกล่าวบทไป ถึงระตูจรกาเป็นใหญ่
ท้าวมีพระเชษฐาร่วมฤทัย ผ่านเวียงชัยล่าสำสืบพงศ์พันธุ์
มีธิดานารีวิไลลักษณ์ ผิวพักตร์ผ่องเพียงดวงบุหลัน
ชื่อระเด่นกุสุมาลาวัณย์ ตุนาหงันกับสังคามาระตา
ระตูรำพึงถึงองค์ ด้วยรูปทรงอัปลักษณ์หนักหนา
ดูไหนมิได้งามทั้งกายา ลักษณาผมหยักพักตร์เพรียง
จมูกใหญ่ไม่สง่าราศี จะพาทีแห้งแหบแสบเสียง
คิดจะหากัลยาเป็นคู่เคียง ที่งามเพียงสาวสวรรค์ให้เกื้อองค์
แต่เที่ยววาดรูปนางต่างพารา ในแว่นแคว้นแดนชวาไม่หลอหลง
พระพินิจพิศดูรูปทรง มิได้ต้องประสงค์จงใจ ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

ร่าย

๏ จึงถามเสนาข้าเฝ้า ได้ยินเขาเล่าลือบ้างหรือไม่
ในแว่นแคว้นแดนชวาเวียงชัย บุตรีบุรีไรจะโสภา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ตำมะหงงบังคมก้มเกศา
จึงทูลว่าออกชื่อลือชา แต่กัลยาสององค์ทรงลักษณ์
พระธิดาสิงหัดส่าหรี กับบุตรีดาหาอาณาจักร
ทั้งสององค์วงศาสุรารักษ์ งามนักยิ่งนางในแดนไตร
ข้างสิงหัดส่าหรีพระนคร ตุนาหงันบังอรหามีไม่
แต่บุตรีดาหานั้นไซร้ กล่าวไว้กับอิเหนากุเรปัน
บัดนี้พระไปเลี้ยงจินตะหรา ยังหมันหยานคเรศเขตขัณฑ์
ท้าดาหาเคืองขัดตัดกัน การนั้นเงือดงดมาช้านาน ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น จรกาปรีดิ์เปรมเกษมศานต์
จึงตรัสซักไซ้เห็นได้การ แล้วบรรหารหาตัวช่างเขียนมา
เอ็งพากันรีบร้อนจรลี ไปสิงหัดส่าหรีแลดาหา
วาดรูปทั้งสองกัลยา ได้แล้วรีบมาอย่านอนใจ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นายช่างทั้งสองบังคมไหว้
ออกมาปรึกษากันทันใด เราจะไปดาหาธานี
ท่านจงรีบรัดตัดทางจร ไปนครสิงหัดส่าหรี
สองนายผายผันจากบุรี แยกกันจรลีเข้าไพรวัน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

 

๏ ครั้นมาถึงทั้งสองนัครา เข้าอยู่ด้วยผู้รักษาสะตาหมัน
ประสมเป็นญาติสนิทติดพัน ต่างพูดจากันไม่กินใจ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น ฝ่ายจินดาส่าหรีศรีใส
นางแสนสำราญหฤทัย พร้อมฝูงกำนัลในดังดารา
ครั้นถ้วนคำรบเจ็ดวัน เคยไปชมสะตาหมันหรรษา
จึงทูลเชิญมะเดหวีศรีโสภา ไปประพาสบุหงาในอุทยาน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น มะเดหวีปรีดิ์เปรมเกษมศานต์
รับคำรับขวัญเยาวมาลย์ จึงสั่งนางพนักงานทันใด
เราจะพาลูกรักไปชมสวน อย่าให้จวนสายแสงสุริย์ใส
แล้วชวนพระธิดายาใจ คลาไคลไปสรงสาคร ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

ชมตลาด

๏ วารีรดเย็นฉ่ำสำราญ ทรงเครื่องสุคนธารปรุงเกสร
พระฉายตั้งเตียงสุวรรณตรงบัญชร บังอรทรงปรัดผัดพักตร์
ทรงยกทองท้องช้ำระกำไหม สไบหน้าเจียระบาดตาดปัก
เข็มขัดเพชรพรรณรายสายชัก ประจำยามจำหลักลงยา
สองทรงสังวาลบานพับ สร้อยนวมสวมทับพระอังสา
ตาบกุดั่นพลอยประดับระยับตา ล้วนจินดาแวววามอร่ามเรือง
ทองกรงูพันบรรจง ธำมรงค์เรือนเก็จเพชรน้ำเหลือง
ทรงมงกุฎธิดาค่าเมือง แล้วย่างเยื้องจากแท่นรูจี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ

ร่าย

๏ สองกษัตริย์เสด็จยุรยาตร ไปปราสาทประไหมสุหรี
สาวสรรค์กำนัลนารี จรลีตามองค์พระธิดา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เพลง

๏ ครั้นถึงจึงเข้าในห้องใน อรไทนบนิ้วเหนือเกศา
น้องกับบุตรีร่วมชีวา จะทูลลาไปเล่นอุทยาน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์ประไหมสุหรีได้ฟังสาร
เสนหาพระธิดานงคราญ เยาวมาลย์อนุญาตด้วยยินดี
มานั่งแนบโลมลูบจูบพักตร์ ลูกรักของแม่จำเริญศรี
เก็บบุหงามาฝากชนนี จะร้อยวางข้างที่พระบิดา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระบุตรีอภิวันท์หรรษา
ทั้งมะเดหวีชลีลา แล้วไคลคลามาเกยฉับพลัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เพลง

๏ โฉมยงขึ้นทรงพระวอทอง ชักม่านปิดป้องสุริย์ฉัน
ขอเฝ้าแห่แหนแน่นนันต์ สาวสรรค์ตามวอจรลี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ กลองโยน

๏ ครั้นถึงซึ่งสวนมาลา กัลยาปรีดิ์เปรมเกษมศรี
ลงจากวอสุวรรณทันที พาพระบุตรีเข้าอุทยาน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

ชมดง

๏ เที่ยวชมพฤกษาสูงไสว เงาไม้ร่มรื่นรโหฐาน
บ้างทรงผลปนดอกแบ่งบาน มะเดหวีเก็บประทานนางกัลยา
พระบุตรีเก็บแก้วกาหลง เด็ดดวงพวงประยงค์แซมเกศา
นางกำนัลน้อยน้อยสอยจำปา บ้างวิ่งมาชิงแบ่งแย่งยื้อ
ลางนางบ้างหักกิ่งส้มพวง มิให้ผลหล่นร่วงประจงถือ
บ้างขอร้องให้น้องเถิดที่มือ นี่แลหรือว่ารักพึ่งเห็นใจ
ลางนางประดิษฐ์คิดขับครวญ โหยหวนสำเนียงเสียงใส
กรายกรฟ้อนรำทำนองใน บ้างเที่ยวเก็บดอกไม้มาให้กัน ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เพลงฉิ่ง

ร่าย

๏ มะเดหวีหยุดยั้งนั่งเล่น หน้าตำหนักที่นั่งเย็นเกษมสันต์
พระบุตรีเลือกบุหงาสารพัน ชวนกำนัลร้อยกรองสุมามาลย์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น นายช่างเลขากล้าหาญ
แอบไม้ลอบดูอยู่ช้านาน พิศพักตร์เยาวมาลย์เพียงดวงเดือน
คลี่กระดาษวาดรูปพระบุตรี ประสานสีเหลืองคล้ายละม้ายเหมือน
ผิวพรรณเพริศพริ้มยิ้มเยื้อน ดั่งจะเตือนใจดูอยู่อัตรา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์มะเดหวีเสนหา
ครั้นสายัณห์บังควรจวนเวลา ชวนธิดาทรงวอเข้าวังใน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น ช่างเขียนยินดีจะมีไหน
เล็ดลอดหลบหนีจากกรุงไกร ตรงไปจรกาธานี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึงเข้าพระโรงคัล อภิวันท์เบื้องบาทบทศรี
ถวายรูปพลางแถลงแจ้งคดี ในสิงหัดส่าหรีทุกประการ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ระตูจรกาเกษมศานต์
คลี่กระดาษดูรูปเยาวมาลย์ เฉิดโฉมประโลมลานอาลัยนัก
พิศทรงสอดสมคมขำ งามล้ำนางในไตรจักร
สารพัดโสภาน่ารัก เหมือนจะเยื้อนเบือนพักตร์มาพาที
จะไว้เปรียบกับอย่างนางดาหา เลือกโฉมกัลยาทั้งสองศรี
ใครเลิศลักษณ์จักขอเทวี ภูมีเปรมปริ่มกระหยิ่มใจ
แต่เวียนพิศรูปทรงนงคราญ จะว่าขานการเมืองก็หาไม่
ม้วนกระดาษวาดรูปนั้นถือไว้ แล้วเสด็จเข้าในที่ไสยา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ

๏ เมื่อนั้น ฝ่ายองค์มะเดหวีดาหา
นางเห็นระเด่นบุษบา พักตราสร้อยเศร้าแสนทวี
คิดจะดับโศกศัลย์ให้บรรเทา จึงโลมเล้าเอาใจนางโฉมศรี
แต่ทุกข์ทุกข์จะประจวบเข้าขวบปี มิได้ชมมาลีเล่นสำราญ
วันนี้มารดาจะพาไป ประพาสพรรณมิ่งไม้เกษมศานต์
แล้วสั่งนางกำนัลพนักงาน เราจะไปอุทยานกับลูกรัก ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นางกำนัลนารีมีศักดิ์
รับส่งอรไทด้วยใจภักดิ์ ไปสั่งวอนงลักษณ์ทั้งสององค์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น จึงมะเดหวีนวลหง
ชวนระเด่นบุษบาโฉมยง ไปสระสรงคงคาวารี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

ชมตลาด

๏ พนักงานไขสุหร่ายดังสายฝน พี่เลี้ยงนฤมลช่วยขัดสี
ทรงสุคนธ์เกสรสารภี จับผิวอินทรีย์นวลละออง
พระบุตรีไม่ปรัดผัดพักตร์ ด้วยนงลักษณ์กำสรดเศร้าหมอง
ทรงภูษาแย่งกระหนกยกทอง สไบตาดครุยกรองทั้งสองชาย
เข็มขัดเพชรพรรณรายสายประสาน ใส่สังวาลไพฑูรย์จำรูญฉาย
สร้อยนวมเนาวรัตน์ใบพัดราย ตาบประดับเพทายลายลงยา
ทองกรแก้วกุดั่นบรรจง ธำมรงค์เลิศล้วนควรค่า
ทรงมงกุฎสำหรับพระธิดา แล้วไคลคลามาเกยรูจี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เพลง

ร่าย

๏ ต่างทรงวอทองประเทืองแสง เกณฑ์แห่เดินแซงไปตามที่
พร้อมฝูงกำนัลนารี ไปยังสวนศรีอุทยาน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ กลองโยน

๏ ครั้นถึงจึงเสด็จลีลาศ เที่ยวประพาสมิ่งไม้ไพรสาณฑ์
พระบุตรีมิได้ชื่นบาน เดินตามพระมารดามา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เพลง

๏ บัดนั้น นายช่างฉลาดเลขา
ครั้นเห็นระเด่นบุษบา ดั่งนางในชั้นฟ้าสุราลัย
ให้ตะลึงลืมตัวมัวแต่ดู จะวาดรูปโฉมตรูก็หาไม่
จนนางยุรยาตรคลาดคล้อยไป ก็โกรธใจตัวเองใช่พอดี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ระเด่นบุษบามารศรี
ถึงตำหนักในสวนมาลี อรไทเข้าที่ไสยา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นวลนางสาวสรรค์ซ้ายขวา
บรรดาซึ่งตามเสด็จมา หน้าตาเศร้าหมองทุกคนไป
นั่งถอนใจใหญ่ดังไข้เจ็บ จะเที่ยวเก็บบุหงาก็หาไม่
แต่กำนัลน้อยน้อยนั้นไซร้ เที่ยวไปเก็บบุหงาประสากัน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น ระเด่นบุษบาสาวสวรรค์
นางตื่นจากที่บรรทมพลัน บาหยันถวายเครื่องสุคนธา
พระบุตรีเสด็จนั่งเหนืออาสน์ มิได้ประพาสพฤกษา
มีแต่หมองไหม้ในอุรา กัลยามึนตึงตะลึงไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์มะเดหวีศรีใส
ปลอบประโลมลูกน้อยกลอยใจ แล้วพาไปเก็บบุหงาสารพัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เพลง

สมิงทอง

๏ ชี้ชวนให้ชมรุกขชาติ ดอกผลหล่นกลาดสะตาหมัน
เหล่าฝูงสุรางค์นางกำนัล ชิงกันเก็บถวายบังอร
มะเดหวีทรงเด็ดดอกสร้อยฟ้า แซมเกล้าพระธิดาดวงสมร
แล้วชวนเก็บองุ่นยี่สุ่นซ้อน หวังจะให้คลายร้อนรำคาญ
พระพี้เลี้ยงเคียงทูลนางเทวี ให้ฟังเสียงปักษีขันขาน
กำนัลในมิได้ชื่นบาน สงสารอรไทไม่สบาย
บ้างพลอยทุกข์ด้วยเจ้าจะเอาหน้า ทำเกศาตกแสกแหวกสยาย
ลางนางพาเพื่อนเชือนชาย เที่ยวกรายไปชมมาลี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๏ สองกษัตริย์นั่งแท่นศิลาล้วน ใต้ต้นลำดวนริมสระศรี
ขับกำนัลลงเล่นนที จะให้พระบุตรีค่อยคลายใจ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น ช่างเขียนผู้มีอัชฌาสัย
เมียงหมอบลอบดูอยู่แต่ไกล วาดรูปอรไทตื่นบรรทม
ไม่ผัดพักตราทรงอาภรณ์ ก็งามงอนระทวยสวยสม
นายช่างเขียนพลางทางชม นึกนิยมเตือนใจไปมา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์มะเดหวีเสนหา
ครั้นรอนรอนอ่อนแสงสุริยา ชวนธิดามาตำหนักอุทยาน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

ชมตลาด

๏ ขึ้นบนเตียงทองในห้องสรง สำอางองค์ขัดสีวารีสนาน
ทรงเครื่องน้ำดอกไม้ใส่พาน สุคนธารหอมประทิ่นกลิ่นกลาย
ทรงปรัดผัดพักตร์ปลั่งเปล่ง ดั่งดวงจันทร์วันเพ็งบูรณ์ฉาย
ภูษายกพื้นตองทองพราย เข็มขัดสายประจำยามงามพลอย
สไบทรงสอดซับสีทับทิม เพริศพริ้มริมขลิบครุยห้อย
สังวาลวรรณคั่นจินดาดุนลอย ทรงสร้อยอย่างนอกดอกลำดวน
ทองกรแก้วกุดั่นบรรจง ธำมรงค์นพรัตน์จัดถ้วน
ใส่มงกุฎประดับทับทิมล้วน แล้วลงจากปราสาทสวนเสด็จมา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เพลง

ร่าย

๏ บัดนั้น นายช่างชำนาญการเลขา
เห็นเทวีทรงเครื่องเรืองรจนา โสภาผุดผ่องละอององค์
ตั้งตาพินิจพิศดูนาง เยื้องย่างยุรยาตรดังราชหงส์
จึงคลี่กระดาษวาดรูปโฉมยง เหมือนทั่วทั้งองค์อินทรีย์ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ทั้งสองกษัตรามารศรี
ต่างทรงวอสุวรรณทันที จรลีเข้ายังวังพลัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น นายช่างเลขาคนขยัน
ม้วนกระดาษรูปวาดทั้งสองอัน ใส่ผ้าโพกพันศีรษะไว้
หนีจากพระนครดาหา เข้าในอรัญวาป่าใหญ่
เดินทางเร็วร้อนไม่นอนใจ รีบไปทั้งทิวาราตรี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงทางสามแพรกแยกกัน ที่มานั้นแดนดาหากรุงศรี
ทางหนึ่งกะหมังกุหนิงธานี ประจบทางบุรีจรกา
พอพระสุริยาเลี้ยวลับ เป็นพยับมัวมืดเวหา
นายช่างล้าเลื่อยเหนื่อยมา เข้านอนริมมรคาพนาวัน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ ตระ

ยานี

๏ มาจะกล่าวบทไป ถึงองค์อัยกากระยาหงัน
อาสน์อ่อนเร่าร้อนคือเพลิงกัลป์ เทวัญเล็งพิพเนตรดู
แจ้งว่าอิเหนาไปหลงรัก ที่ต่ำศักดิ์ขืนเลี้ยงเคียงคู่
จะให้น้องได้ครองกับระตู ไม่เกรงกูผู้เป็นอัยกา
จำจะก่อเหตุเภทภัย ให้มันได้โทมนัสสหัสสา
คิดแล้วสำแดงเดชา เหาะระเห็จลงมาในเที่ยงคืน ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ กลม

ร่าย

๏ ครั้นถึงริมทางกลางดงดอน เห็นช่างนอนหลับใหลยังไม่ตื่น
จึงเข้าไปข้างหลังยั้งยืน ค่อยเปลื้องผืนผ้าโพกออกพลัน
หยิบกระดาษวาดรูปทรงเครื่องไว้ แล้วโพกให้เหมือนเก่ากระหมวดมั่น
ครั่นเสร็จเสด็จจากไพรวัน เหาะไปกระยาหงันชั้นฟ้า ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น ช่างเขียนตื่นนอนแล้วล้างหน้า
พอรุ่งรางสร่างแสงสุริยา ก็รีบไปจรกาธานี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึงเข้านิเวศน์วัง ขึ้นยังท้องพระโรงเรืองศรี
ถวายบังคมคัลอัญชลี คอยฟังภูมีบัญชาการ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ระตูผู้ครองราชฐาน
เห็นช่างเขียนมาประณตบทมาลย์ จึงมีบรรหารด้วยโกรธา
กูร่ำกำชับให้รีบร้อน ช่างไปนอนเสียได้ในดาหา
แต่คอยจนห้าเดือนแกล้งเชือนช้า อันโทษาเอ็งนี้ถึงที่ตาย ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ช่างเขียนอกสั่นขวัญหาย
ก้มเกล้าเคารพอภิปราย บรรยายอนุสนธิ์แต่ต้นมา
ข้าสืบทราบว่าอิเหนากุเรปัน ตุนาหงันพระบุตรีดาหา
กำหนดนัดจะแต่งการวิวาห์ พระไปเลี้ยงจินตะหราวาตี
แล้วแจ้งอรรถตัดรอนมาเป็นเที่ยง ว่าไม่เลี้ยงบุษบามารศรี
พระบิตุรงค์เคืองแค้นแสนเทวี ใครขอบุตรีจะแต่งการ
อันไพร่ฟ้าประชาชนชาวชนบท มีแต่ร่ำกำสรดสงสาร
พระธิดาไม่มาอุทยาน จึงเนิ่นนานถึงห้าเดือนปลาย
ทูลพลางทางชักผ้าโพกเปลื้อง ไม่เห็นรูปทรงเครื่องก็ใจหาย
ได้แต่รูปตื่นนอนไม่แต่งกาย จึงถวายต่อหัตถ์พระภูมี ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ระตูจรกาเรืองศรี
คลี่กระดาษดูรูปนางนารี ให้เปรมปรีดิ์ประดิพัทธ์ผูกพัน
พิศทั่วนรลักษณ์พักตรา ดั่งหยาดฟ้ามาแต่กระยาหงัน
รสรักรึงใจเพียงไฟกัลป์ ทรงธรรม์ซวนซบสลบลง ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ โอด

๏ บัดนั้น ดะหมังยาสาตำมะหงง
เข้าแก้ไขนวดฟั้นบั้นพระองค์ ค่อยดำรงได้สมประดีมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น องค์ท้าวจรกานาถา
ความรักสลักแน่นในอุรา พระจินดาจะใคร่ได้นางเทวี
จึงสั่งยาสาเสนาใน เราจะไปล่าสำบุรีศรี
จงตรวจเตรียมพหลมนตรี เพลารุ่งพรุ่งนี้จะยกไป
สั่งแล้วม้วนกระดาษวาดรูปนาง ถือไว้ไม่วางด้วยรักใคร่
เสด็จจากแท่นแก้วแววไว เข้าในปราสาทรจนา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ

ช้า

๏ พระนิ่งนึกตรึกไตรไม่ไสยาสน์ คลี่กระดาษดูรูปเลขา
เคลิ้มองค์หลงชวนจำนรรจา พักตราแย้มยิ้มพริ้มพราย
กรพาดกระดาษรูปแล้วรับขวัญ ความเสนหานั้นไม่เหือดหาย
เอนองค์ลงแอบแนบกาย เกษมสันต์มั่นหมายว่านงเยาว์
ครั้นได้คิดพิศดูก็มิใช่ เสียฤทัยละห้อยสร้อยเศร้า
พระแสนโศกศัลย์ไม่บรรเทา แล้วลุกขึ้นกอดเข่ารำพึงคิด
โอ้ว่าอกกูเมื่อไรเลย จะได้เชยดวงยิหวายาจิต
เพี้ยงเอ๋ยเทวาสุราฤทธิ์ ขอให้ได้สมสนิทเยาวมาลย์ ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๏ แต่คร่ำครวญหวนไห้อยู่ในที่ จนสุริย์ศรีรุ่งแจ้งแสงฉาน
เสด็จจากแท่นรัตน์ชัชวาล ไปสระสงชลธารทันใด ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

โทน

๏ นางในไขปทุมวารี ขัดสีฉวีกายให้ผ่องใส
ทรงสุคนธ์จันทน์ปรุงจรุงใจ ลูบไล้ปรายประอุรพางค์
สอดใส่สนับเพลาภูษาทรง ฉลององค์อินทรธนูหักทองขวาง
ห้อยหน้าลายทองแสแพรบาง เจียระบาดนอกอย่างกระสันพัน
บั้นเหน่งถมยาราชาวดี ทับทรวงดวงมณีเฉิดฉัน
ตาบทิศติดสายสังวาลวรรณ ทองกรแก้วกุดั่นพาหุรัด
สอดทรงธำมรงค์มีค่า ใส่ชฎาจีบจอนงอนสะบัด
พวงอุบะตันหยงทรงทัด เสด็จจากแท่นรัตน์ไปเกยทอง ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ

ร่าย

๏ ขึ้นทรงช้างต้นคชาธาร ทวยหาญแห่แหนเป็นแถวถ้อง
สังข์แตรแซ่สนั่นฆ้องกลอง ให้ยกพลเนืองนองจากกรุงไกร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงล่าสำบุรีศรี หยุดพหลมนตรีน้อยใหญ่
คชสารประทับกับเกยชัย เสด็จไปเฝ้าองค์พระพี่ยา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ น้อมเศียรเคารพอภิปราย ทูลถวายกระดาษรูปเลขา
น้องใช้ช่างเขียนไปวาดมา บุตรีท้าวดาหาวงศ์เทวัญ
เดิมท้าวกุเรปันเรืองยศ มากล่าวให้โอรสรังสรรค์
ครั้นจะแต่งมงคลวิวาห์กัน ข้างอิเหนากุเรปันตัดรอน
ท้าวดาหาเคืองขัดอัชฌาสัย ว่าใครขอก็จะให้ดวงสมร
อันความนี้เลื่องลือทุกนคร แม้นใครมาว่าก่อนจะเสียที
พระองค์จงโปรดเกศา ให้เสนาไปกล่าวนางโฉมศรี
น้องรักจักได้รอดชีวี ทำทีจะโศกาด้วยอาลัย​ ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น ท้าวล่าสำฟังแจ้งแถลงไข
เจ้าอย่าอาวรณ์ร้อนฤทัย พี่จะให้ไปกล่าวดังจินดา
จึงเรียกตำมะหงงมาแต่งสาร ว่าขานอ่อนน้อมไปหนักหนา
แล้วจัดของดีดีมีราคา สำหรับเครื่องบรรณาครบครัน
ให้ดะหมังยาสาอัชฌาสัย เป็นทูตถือสารไปตุนาหงัน
ประทานทั้งเสื้อผ้าสารพัน จงเร่งผายผันไปวันนี้ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ดะหมังยาสาทั้งสองศรี
ถวายบังคมคัลอัญชลี ออกมาที่ศาลาลูกขุนใน
สั่งให้ชักไพร่หลวงสมกำลัง เสบียงคนละถังทุกตัวไพร่
ชาวคลังกำกับกันไป ขนสิ่งของใส่ในรถ
ช้างทรงราชสารพานรอง ลานทองกล่องแก้วมรกต
แล้วทูตสองนายแต่งตามยศ ขี่ม้าเคียงรถบรรณาการ
ได้ฤกษ์โห่ร้องก้องพารา เดินคชาออกจากราชฐาน
เข้าในอรัญกันดาร ทหารนำมรคาคลาไคล ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงด่านดาหากรุงศรี ให้โยธีทำทับอาศัย
ให้ม้าเร็วควบขับไปฉับไว บอกนายด่านใหญ่ให้แจ้งความ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น นายด่านฮึกฮักซักถาม
ครั้นแน่ใจเห็นว่ามาโดยงาม จึงฉวยย่ามใส่บ่าเข้าธานี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงศาลาลูกขุนใน กราบกรานท่านผู้ใหญ่ทั้งสี่
แล้วเรียนให้แจ้งแห่งคดี ถ้วนถี่สิ้นความซึ่งถามมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น ปาเตะได้ฟังไม่กังขา
จึงชวนทั้งสามเสนา เข้ามายังที่พระโรงชัย​ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ ก้มเกล้าประณตบทศรี ได้ทีจึงทูลแถลงไข
มีทูตมาแต่ล่าสำกรุงไกร ถึงด่านเวียงชัยเมื่อวันวาน
จะเข้ามาอภิวาทบาทบงสุ์ พระผู้วงศ์เทวาศักดาหาญ
ถวายสุวรรณบรรณาการ จงทราบบทมาลย์พระผ่านฟ้า ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

ช้า

๏ เมื่อนั้น องค์ศรีปัตหราดาหา
ได้ฟังปาเตะเสนา นิ่งนึกตรึกตราประหลาดใจ
เห็นจะมาอ่อนง้อขอลูกรัก พระทรงศักดิ์ร้อนรนหม่นไหม้
จำเป็นจำสั่งเสนาใน จงออกไปรับตามประเพณี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

ร่าย

๏ บัดนั้น ปาเตะรับสั่งใส่เกศี
ออกมาเกณฑ์กันทันที ตามมีพระราชบัญชา
เหล่าเวรพนักงานทั้งหลาย เรียกเจ้าขุนมุลนายทั่วหน้า
หมายบอกเวียงวังคลังนา ให้แต่งของโอชาออกไปทัก
แต่บรรดาข้าเฝ้าตำแหน่งที่ เจียดกระบี่มาตามให้สมศักดิ์
อันบ้านแขกเมืองเคยสำนัก แม้นปรักหักพังเร่งซ่อมแปลง
ริมถนนหนทางปลูกโรงร้าน สั่งพวกนครบาลให้ยื้อแย่ง
ให้ล้อมวังตั้งฉาบปูนกำแพง รีบรัดจัดแจงอย่านอนใจ ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น บรรดาเสนาน้อยใหญ่
เร่งรัดจัดกันทันใด ทำการวุ่นไปทั้งไพร่นาย
พวกไปรับราชสารก็เตรียมแห่ สังข์แตรกลองชนะเครื่องชุมสาย
แต่งตัวนุ่งห่มสมกาย เสร็จแล้วผันผายจากบุรี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงด่านเขตขัณฑ์ชั้นนอก จึงบอกราชทูตถ้วนถี่
พระปิ่นสวรรยาธานี ให้ข้านี้มารับเข้ากรุงไกร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ราชทูตยินดีจะมีไหน
ให้เที่ยวเรียกกันทันใด พร้อมเหล่าบ่าวไพร่บรรดามา
เชิญราชสารทรงยานุมาศ แห่แหนเดียรดาษซ้ายขวา
เสนีชาวเวียงชัยไคลคลา เข้าในนครามิทันนาน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึงพาแขกเมืองไป อาศัยในหอราชสาร
แล้วเลี้ยงดูพูดจากันสำราญ พนักงานจ่ายเงินให้โยธี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น จึงมหาเสนาทั้งสี่
วันแขกเมืองจะเฝ้าพระภูมี ก็จัดแจงแต่งทีระดมกัน
เกณฑ์ให้ไพร่ใส่เสื้อเสนากุฎ ถืออาวุธพาดตักมักสัน
สองข้างมรคาเข้ามานั้น รั้วไก่กั้นกัลบาตรนั่งราย
ราชนิกุลขุนนางตำแหน่งนา เข้ามาพร้อมพรั่งทั้งสองฝ่าย
ต่างคนต่างนุ่งสมปักลาย คาดเสื้อครุยกรุยกรายตามทำนอง
ขึ้นพระโรงเตรียมเฝ้าเบียดเสียด หน้าที่นั่งตั้งเจียดเป็นแถวถ้อง
ชาวที่คอยไขม่านทอง กิดาหยันถือจ้องกรับสัญญา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวดาหาสุริย์วงศ์อสัญหยา
เสร็จเสวยเอมโอชโภชนา ก็ลีลาจากแท่นทองประเทือง
เข้าที่ชำรงสระสรง สำอางอ่าองค์ทรงเครื่อง
ล้วนจินดาแวววามอร่ามเรือง แล้วย่างเยื้องออกท้องพระโรงชัย ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๏ ลดองค์ลงเหนือแท่นมณี ชาวที่พนักงานชักม่านไข
ประโคมฆ้องกลองชนะสนั่นไป เสนาในอภิวาทดาษดา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ขุนหมื่นตำรวจวังทั้งซ้ายขวา
จึงนำแขกเมืองเข้ามา ในพระโรงรจนาฉับพลัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงประนมบังคมไหว้ พระผู้ผ่านเวียงชัยไอศวรรย์
จึงแก้ราชสารลานสุวรรณ บังคมคัลแล้วยื่นให้เสนา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ตำมะหงงเสนีมียศถา
กระแอมไอพลางใส่แว่นตา คลี่สาราอ่านถวายพระภูมี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

ช้า

๏ ราชสารสองกษัตริย์ทรงธรรม์ พระพี่นั้นผ่านล่าสำกรุงศรี
พระน้องครองจรกาธานี เป็นที่ระงับภัยไพร่ฟ้า
น้อมเศียรเคารพอภิวาท เบื้องบาทพระผู้พงศ์อสัญหยา
ขอเป็นเกือกทองรองบาทา ไปกว่าชีวันจะบรรลัย
ให้ดับเข็ญเย็นเกล้าประชากร ทุกนครไปมาอาศัย
ทั้งศัตรูรอนราญพาลภัย จะเกรงขามคร้ามไปทั้งธาตรี
อันชีวาข้าน้อยทั้งสองเมือง ก็ปองไว้ใต้เบื้องบทศรี
แม้นสิ่งใดระคายเป็นราคี พระจงมีเมตตาการุญ
ความนี้มิควรทูลเหตุ ขอพระเดชแผ่เผื่อเกื้อหนุน
วงศ์ระตูไม่คู่เคียงบุญ ต้องเคืองขุ่นบทมาลย์พระภูธร
ดังจอมปลวกกับพระสุเมรุมาศ ดังชาติมฤคกับไกรสร
ดังพื้นปัถพีกับอัมพร บห่อนเปรียบได้เห็นไกลกัน
แม้นมิแจ้งอรรถบัดนี้เล่า อนุชาสร้อยเศร้าโศกศัลย์
ไม่เสียดายไยดีแก่ชีวัน ทรงธรรม์จงโปรดปรานี
แต่พระน้องได้ครองเวียงชัย ยังไม่มีประไหมสุหรี
จะขอพระธิดานารี ไปเป็นศรีนครจรกา ฯ

ฯ ๑๖ คำ ฯ

ร่าย

๏ เมื่อนั้น พระผู้ผ่านบุรินทร์ปิ่นดาหา
ได้แจ้งแห่งราชสารา พระคิดแค้นนัดดาเป็นพ้นไป
ทั้งมานะกษัตริย์ตัดขาด จึงอวยอนุญาตประสาทให้
แล้วตรัสปราศรัยเสนาใน ถามไถ่ถึงระตูสองบุรี
ยังค่อยเกษมสุขสำราญ หรือเกิดเหตุเภทพานในกรุงศรี
หนึ่งซึ่งเสนามานี้ เดินดงพงพีมาช้านาน
ไพร่พลโยธามาพร้อมมูล บริบูรณ์ด้วยเสบียงอาหาร
หรือฝืดเคืองในอรัญกันดาร เป็นประการใดบ้างท่าทางจร ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ราชทูตกราบทูลผันผ่อน
อันองค์ระตูสองภูธร นคราถาวรบริบูรณ์
ไพร่ฟ้าปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ ไภยันอันตรายเสื่อมสูญ
แต่พระอนุชานั้นอาดูร จึงให้ข้ามาทูลสารา
เดชะพระเดชปกเกศไป เดินไพรได้สุขถ้วนหน้า
ไม่อดอยากขัดสนโภชนา จงทราบบาทาพระทรงธรรม์ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวดาหาสุริย์วงศ์รังสรรค์
จึงประทานเสื้อผ้าแพรพรรณ รางวัลราชทูตทั้งโยธี
แล้วตรัสว่าจะจัดแจงแต่งการ ตามวงศ์วานสุรารักษ์ศักดิ์ศรี
อีกสามเดือนจึงมายังธานี แล้วภูมีเสด็จเข้าปราสาทพลัน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๏ บัดนั้น สองนายราชทูตคนขยัน
นบนิ้วประนมบังคมคัล แล้วผายผันออกจากพระโรงชัย
เดินตามถนนหนทางมา ไม่มีใครพูดจาปราศรัย
ต่างคนต่างขึ้นอาชาไนย ควบขับกลับไปธานี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึงขึ้นบนปราสาท เคารพอภิวาทบทศรี
แล้วทูลแถลงแจ้งคดี ถ้วนถี่เสร็จสิ้นทุกประการ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น จรกาปรีดิ์เปรมเกษมศานต์
พักตราแดงก่ำสำราญ คลายทุกข์ทรมานในฤทัย
ถึงได้เสวยสวรรค์ชั้นฟ้า ไม่เท่าได้บุษบาพิสมัย
มีแต่แย้มยิ้มกระหยิ่มใจ ภูวไนยคืนเข้าห้องสุวรรณ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๏ เมื่อนั้น ฝ่ายท้าวดาหารังสรรค์
จึงสั่งทั้งสามเสนานั้น จงแยกกันไปสามธานี
ทูลองค์สมเด็จพระเชษฐา แจ้งกิจจาพระน้องสองกรุงศรี
ด้วยระตูล่าสำบุรี มาขอบุตรีให้อนุชา
ไม่ควรเคียงศักดิ์ก็เข้าใจ แต่ได้ให้เขาตามวาสนา
จะแต่งการเท่าวงศ์เทวา พอแก้หน้าที่ได้ความอัประมาณ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สามนายอภิวันท์รับบรรหาร
บังคมลามาขึ้นพาชีชาญ ออกจากราชฐานแยกทางไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ นายหนึ่งถึงเมืองกุเรปัน ผายผันเข้ายังกรุงใหญ่
พอเวลาจวนออกเสนาใน ก็เข้าไปคอยเฝ้าพระภูมี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์ท้าวกุเรปันเรืองศรี
เผยสีหบัญชรรูจี ถามคดีกิจการนครา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น เสนาม้าใช้เมืองดาหา
บังคมทูลว่าพระอนุชา ให้ข้ามาเฝ้าพระภูวไนย
ด้วยระตูจรกาธิบดี มาขอพระบุตรีศรีใส
ได้มีพจมานประทานไป กำหนดไว้สามเดือนจะแต่งการ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์ท้าวกุเรปันได้ฟังสาร
ให้กลุ้มกลัดขัดแค้นในวิญญาณ จึงมีบรรหารด้วยโกรธา
พระน้องไม่ยั้งคิดนี้ผิดนัก ให้เสียศักดิ์สุริย์วงศ์อสัญหยา
เมื่อเห็นดีให้ปันลั่นวาจา จะรื้อมาบอกเล่าเราไย ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เสนีประนมบังคมไหว้
ออกมาจากหน้าพระลานชัย ขึ้นมโนมัยไปธานี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น เสนาซึ่งไปสองกรุงศรี
ครั้งถึงก็รีบจรลี ขึ้นพระโรงรูจีฉับพลัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ต่างถวายอภิวาทบาทบงสุ์ ทูลองค์พระผู้ผ่านไอศวรรย์
พระเชษฐาสุริย์วงศ์เทวัญ ทรงธรรม์ให้มาเฝ้าภูธร
ด้วยระตูจรกาธานี มาขอพระบุตรีดวงสมร
ผ่านฟ้าอนุญาตขาดรอน จะแต่งการสยุมพรพระธิดา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สององค์แค้นขัดสหัสสา
จึงมีมธุรสวาจา แต่แรกพระเชษฐาไม่หารือ
ปลงใจให้ระตูตุนาหงัน อิเหนานั้นบรรลัยเสียแล้วหรือ
จะให้ไพร่พลเมืองเลื่องลือ ไม่นับถือวงศาสุราลัย
ทั้งนี้สุดแต่พระเชษฐา นครากุเรปันเป็นใหญ่
ถ้าพระองค์ยินยอมพร้อมใจ เรามิได้แข็งขัดทัดทาน ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สองเสนาในใจหาญ
บังคมลามาขึ้นพาชีชาญ ออกจากราชฐานพารา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ทั้งสามเสนามาพบกัน ในอรัญทางร่วมเมืองดาหา
ต่างคนแจ้งความตามกิจจา แล้วรีบไคลคลาเข้าธานี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึงตรงเข้าไปเฝ้า ก้มเกล้าประณตบทศรี
กราบทูลพระองค์ทรงฤทธี ตามมีพจนาบัญชาการ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์ศรีปัตหราได้ฟังสาร
จึ่งตรัสแก่เสนาด้วยเดือดดาล ถึงจะเสียงวงศ์วานก็ทำเนา
ตามแต่อนุชาจะว่าไป ด้วยมิได้เจ็บช้ำน้ำใจเขา
อันความแค้นความอายของเรา จนตราบเท่าสิ้นดิ้นฟ้า
ซึ่งยอมยกบุตรีให้ระตู จะอดสูกระไรหนักหนา
ตรัสแล้วภูวไนยไคลคลา เข้ายังปราสาทสุวรรณบรรจง ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ

https://vajirayana.org/system/files/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B2_264950.pdf

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ