- คำอธิบาย ว่าด้วยบทละคร อิเหนาฉบับหอพระสมุดวชิรญาณ
- เล่มที่ ๑
- เล่มที่ ๒
- เล่มที่ ๓
- เล่มที่ ๔
- เล่มที่ ๕
- เล่มที่ ๖
- เล่มที่ ๗
- เล่มที่ ๘
- เล่มที่ ๙
- เล่มที่ ๑๐
- เล่มที่ ๑๑
- เล่มที่ ๑๒
- เล่มที่ ๑๓
- เล่มที่ ๑๔
- เล่มที่ ๑๕
- เล่มที่ ๑๖
- เล่มที่ ๑๗
- เล่มที่ ๑๘
- เล่มที่ ๑๙
- เล่มที่ ๒๐
- เล่มที่ ๒๑
- เล่มที่ ๒๒
- เล่มที่ ๒๓
- เล่มที่ ๒๔
- เล่มที่ ๒๕
- เล่มที่ ๒๖
- เล่มที่ ๒๗
- เล่มที่ ๒๘
- เล่มที่ ๒๙
- เล่มที่ ๓๐
- เล่มที่ ๓๑
- เล่มที่ ๓๒
- เล่มที่ ๓๓
- เล่มที่ ๓๔
- เล่มที่ ๓๕
- เล่มที่ ๓๖
- เล่มที่ ๓๗
- เล่มที่ ๓๘
เล่มที่ ๘
ช้า
๏ มาจะกล่าวบทไป | ถึงระตูจรกาเป็นใหญ่ |
ท้าวมีพระเชษฐาร่วมฤทัย | ผ่านเวียงชัยล่าสำสืบพงศ์พันธุ์ |
มีธิดานารีวิไลลักษณ์ | ผิวพักตร์ผ่องเพียงดวงบุหลัน |
ชื่อระเด่นกุสุมาลาวัณย์ | ตุนาหงันกับสังคามาระตา |
ระตูรำพึงถึงองค์ | ด้วยรูปทรงอัปลักษณ์หนักหนา |
ดูไหนมิได้งามทั้งกายา | ลักษณาผมหยักพักตร์เพรียง |
จมูกใหญ่ไม่สง่าราศี | จะพาทีแห้งแหบแสบเสียง |
คิดจะหากัลยาเป็นคู่เคียง | ที่งามเพียงสาวสวรรค์ให้เกื้อองค์ |
แต่เที่ยววาดรูปนางต่างพารา | ในแว่นแคว้นแดนชวาไม่หลอหลง |
พระพินิจพิศดูรูปทรง | มิได้ต้องประสงค์จงใจ ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
ร่าย
๏ จึงถามเสนาข้าเฝ้า | ได้ยินเขาเล่าลือบ้างหรือไม่ |
ในแว่นแคว้นแดนชวาเวียงชัย | บุตรีบุรีไรจะโสภา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ตำมะหงงบังคมก้มเกศา |
จึงทูลว่าออกชื่อลือชา | แต่กัลยาสององค์ทรงลักษณ์ |
พระธิดาสิงหัดส่าหรี | กับบุตรีดาหาอาณาจักร |
ทั้งสององค์วงศาสุรารักษ์ | งามนักยิ่งนางในแดนไตร |
ข้างสิงหัดส่าหรีพระนคร | ตุนาหงันบังอรหามีไม่ |
แต่บุตรีดาหานั้นไซร้ | กล่าวไว้กับอิเหนากุเรปัน |
บัดนี้พระไปเลี้ยงจินตะหรา | ยังหมันหยานคเรศเขตขัณฑ์ |
ท้าดาหาเคืองขัดตัดกัน | การนั้นเงือดงดมาช้านาน ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | จรกาปรีดิ์เปรมเกษมศานต์ |
จึงตรัสซักไซ้เห็นได้การ | แล้วบรรหารหาตัวช่างเขียนมา |
เอ็งพากันรีบร้อนจรลี | ไปสิงหัดส่าหรีแลดาหา |
วาดรูปทั้งสองกัลยา | ได้แล้วรีบมาอย่านอนใจ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นายช่างทั้งสองบังคมไหว้ |
ออกมาปรึกษากันทันใด | เราจะไปดาหาธานี |
ท่านจงรีบรัดตัดทางจร | ไปนครสิงหัดส่าหรี |
สองนายผายผันจากบุรี | แยกกันจรลีเข้าไพรวัน ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นมาถึงทั้งสองนัครา | เข้าอยู่ด้วยผู้รักษาสะตาหมัน |
ประสมเป็นญาติสนิทติดพัน | ต่างพูดจากันไม่กินใจ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | ฝ่ายจินดาส่าหรีศรีใส |
นางแสนสำราญหฤทัย | พร้อมฝูงกำนัลในดังดารา |
ครั้นถ้วนคำรบเจ็ดวัน | เคยไปชมสะตาหมันหรรษา |
จึงทูลเชิญมะเดหวีศรีโสภา | ไปประพาสบุหงาในอุทยาน ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | มะเดหวีปรีดิ์เปรมเกษมศานต์ |
รับคำรับขวัญเยาวมาลย์ | จึงสั่งนางพนักงานทันใด |
เราจะพาลูกรักไปชมสวน | อย่าให้จวนสายแสงสุริย์ใส |
แล้วชวนพระธิดายาใจ | คลาไคลไปสรงสาคร ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
ชมตลาด
๏ วารีรดเย็นฉ่ำสำราญ | ทรงเครื่องสุคนธารปรุงเกสร |
พระฉายตั้งเตียงสุวรรณตรงบัญชร | บังอรทรงปรัดผัดพักตร์ |
ทรงยกทองท้องช้ำระกำไหม | สไบหน้าเจียระบาดตาดปัก |
เข็มขัดเพชรพรรณรายสายชัก | ประจำยามจำหลักลงยา |
สองทรงสังวาลบานพับ | สร้อยนวมสวมทับพระอังสา |
ตาบกุดั่นพลอยประดับระยับตา | ล้วนจินดาแวววามอร่ามเรือง |
ทองกรงูพันบรรจง | ธำมรงค์เรือนเก็จเพชรน้ำเหลือง |
ทรงมงกุฎธิดาค่าเมือง | แล้วย่างเยื้องจากแท่นรูจี ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ
ร่าย
๏ สองกษัตริย์เสด็จยุรยาตร | ไปปราสาทประไหมสุหรี |
สาวสรรค์กำนัลนารี | จรลีตามองค์พระธิดา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เพลง
๏ ครั้นถึงจึงเข้าในห้องใน | อรไทนบนิ้วเหนือเกศา |
น้องกับบุตรีร่วมชีวา | จะทูลลาไปเล่นอุทยาน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์ประไหมสุหรีได้ฟังสาร |
เสนหาพระธิดานงคราญ | เยาวมาลย์อนุญาตด้วยยินดี |
มานั่งแนบโลมลูบจูบพักตร์ | ลูกรักของแม่จำเริญศรี |
เก็บบุหงามาฝากชนนี | จะร้อยวางข้างที่พระบิดา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระบุตรีอภิวันท์หรรษา |
ทั้งมะเดหวีชลีลา | แล้วไคลคลามาเกยฉับพลัน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เพลง
๏ โฉมยงขึ้นทรงพระวอทอง | ชักม่านปิดป้องสุริย์ฉัน |
ขอเฝ้าแห่แหนแน่นนันต์ | สาวสรรค์ตามวอจรลี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ กลองโยน
๏ ครั้นถึงซึ่งสวนมาลา | กัลยาปรีดิ์เปรมเกษมศรี |
ลงจากวอสุวรรณทันที | พาพระบุตรีเข้าอุทยาน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
ชมดง
๏ เที่ยวชมพฤกษาสูงไสว | เงาไม้ร่มรื่นรโหฐาน |
บ้างทรงผลปนดอกแบ่งบาน | มะเดหวีเก็บประทานนางกัลยา |
พระบุตรีเก็บแก้วกาหลง | เด็ดดวงพวงประยงค์แซมเกศา |
นางกำนัลน้อยน้อยสอยจำปา | บ้างวิ่งมาชิงแบ่งแย่งยื้อ |
ลางนางบ้างหักกิ่งส้มพวง | มิให้ผลหล่นร่วงประจงถือ |
บ้างขอร้องให้น้องเถิดที่มือ | นี่แลหรือว่ารักพึ่งเห็นใจ |
ลางนางประดิษฐ์คิดขับครวญ | โหยหวนสำเนียงเสียงใส |
กรายกรฟ้อนรำทำนองใน | บ้างเที่ยวเก็บดอกไม้มาให้กัน ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เพลงฉิ่ง
ร่าย
๏ มะเดหวีหยุดยั้งนั่งเล่น | หน้าตำหนักที่นั่งเย็นเกษมสันต์ |
พระบุตรีเลือกบุหงาสารพัน | ชวนกำนัลร้อยกรองสุมามาลย์ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้น | นายช่างเลขากล้าหาญ |
แอบไม้ลอบดูอยู่ช้านาน | พิศพักตร์เยาวมาลย์เพียงดวงเดือน |
คลี่กระดาษวาดรูปพระบุตรี | ประสานสีเหลืองคล้ายละม้ายเหมือน |
ผิวพรรณเพริศพริ้มยิ้มเยื้อน | ดั่งจะเตือนใจดูอยู่อัตรา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์มะเดหวีเสนหา |
ครั้นสายัณห์บังควรจวนเวลา | ชวนธิดาทรงวอเข้าวังใน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ บัดนั้น | ช่างเขียนยินดีจะมีไหน |
เล็ดลอดหลบหนีจากกรุงไกร | ตรงไปจรกาธานี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงเข้าพระโรงคัล | อภิวันท์เบื้องบาทบทศรี |
ถวายรูปพลางแถลงแจ้งคดี | ในสิงหัดส่าหรีทุกประการ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระตูจรกาเกษมศานต์ |
คลี่กระดาษดูรูปเยาวมาลย์ | เฉิดโฉมประโลมลานอาลัยนัก |
พิศทรงสอดสมคมขำ | งามล้ำนางในไตรจักร |
สารพัดโสภาน่ารัก | เหมือนจะเยื้อนเบือนพักตร์มาพาที |
จะไว้เปรียบกับอย่างนางดาหา | เลือกโฉมกัลยาทั้งสองศรี |
ใครเลิศลักษณ์จักขอเทวี | ภูมีเปรมปริ่มกระหยิ่มใจ |
แต่เวียนพิศรูปทรงนงคราญ | จะว่าขานการเมืองก็หาไม่ |
ม้วนกระดาษวาดรูปนั้นถือไว้ | แล้วเสด็จเข้าในที่ไสยา ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ
๏ เมื่อนั้น | ฝ่ายองค์มะเดหวีดาหา |
นางเห็นระเด่นบุษบา | พักตราสร้อยเศร้าแสนทวี |
คิดจะดับโศกศัลย์ให้บรรเทา | จึงโลมเล้าเอาใจนางโฉมศรี |
แต่ทุกข์ทุกข์จะประจวบเข้าขวบปี | มิได้ชมมาลีเล่นสำราญ |
วันนี้มารดาจะพาไป | ประพาสพรรณมิ่งไม้เกษมศานต์ |
แล้วสั่งนางกำนัลพนักงาน | เราจะไปอุทยานกับลูกรัก ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นางกำนัลนารีมีศักดิ์ |
รับส่งอรไทด้วยใจภักดิ์ | ไปสั่งวอนงลักษณ์ทั้งสององค์ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | จึงมะเดหวีนวลหง |
ชวนระเด่นบุษบาโฉมยง | ไปสระสรงคงคาวารี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
ชมตลาด
๏ พนักงานไขสุหร่ายดังสายฝน | พี่เลี้ยงนฤมลช่วยขัดสี |
ทรงสุคนธ์เกสรสารภี | จับผิวอินทรีย์นวลละออง |
พระบุตรีไม่ปรัดผัดพักตร์ | ด้วยนงลักษณ์กำสรดเศร้าหมอง |
ทรงภูษาแย่งกระหนกยกทอง | สไบตาดครุยกรองทั้งสองชาย |
เข็มขัดเพชรพรรณรายสายประสาน | ใส่สังวาลไพฑูรย์จำรูญฉาย |
สร้อยนวมเนาวรัตน์ใบพัดราย | ตาบประดับเพทายลายลงยา |
ทองกรแก้วกุดั่นบรรจง | ธำมรงค์เลิศล้วนควรค่า |
ทรงมงกุฎสำหรับพระธิดา | แล้วไคลคลามาเกยรูจี ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เพลง
ร่าย
๏ ต่างทรงวอทองประเทืองแสง | เกณฑ์แห่เดินแซงไปตามที่ |
พร้อมฝูงกำนัลนารี | ไปยังสวนศรีอุทยาน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ กลองโยน
๏ ครั้นถึงจึงเสด็จลีลาศ | เที่ยวประพาสมิ่งไม้ไพรสาณฑ์ |
พระบุตรีมิได้ชื่นบาน | เดินตามพระมารดามา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เพลง
๏ บัดนั้น | นายช่างฉลาดเลขา |
ครั้นเห็นระเด่นบุษบา | ดั่งนางในชั้นฟ้าสุราลัย |
ให้ตะลึงลืมตัวมัวแต่ดู | จะวาดรูปโฉมตรูก็หาไม่ |
จนนางยุรยาตรคลาดคล้อยไป | ก็โกรธใจตัวเองใช่พอดี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นบุษบามารศรี |
ถึงตำหนักในสวนมาลี | อรไทเข้าที่ไสยา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นวลนางสาวสรรค์ซ้ายขวา |
บรรดาซึ่งตามเสด็จมา | หน้าตาเศร้าหมองทุกคนไป |
นั่งถอนใจใหญ่ดังไข้เจ็บ | จะเที่ยวเก็บบุหงาก็หาไม่ |
แต่กำนัลน้อยน้อยนั้นไซร้ | เที่ยวไปเก็บบุหงาประสากัน ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นบุษบาสาวสวรรค์ |
นางตื่นจากที่บรรทมพลัน | บาหยันถวายเครื่องสุคนธา |
พระบุตรีเสด็จนั่งเหนืออาสน์ | มิได้ประพาสพฤกษา |
มีแต่หมองไหม้ในอุรา | กัลยามึนตึงตะลึงไป ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์มะเดหวีศรีใส |
ปลอบประโลมลูกน้อยกลอยใจ | แล้วพาไปเก็บบุหงาสารพัน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เพลง
สมิงทอง
๏ ชี้ชวนให้ชมรุกขชาติ | ดอกผลหล่นกลาดสะตาหมัน |
เหล่าฝูงสุรางค์นางกำนัล | ชิงกันเก็บถวายบังอร |
มะเดหวีทรงเด็ดดอกสร้อยฟ้า | แซมเกล้าพระธิดาดวงสมร |
แล้วชวนเก็บองุ่นยี่สุ่นซ้อน | หวังจะให้คลายร้อนรำคาญ |
พระพี้เลี้ยงเคียงทูลนางเทวี | ให้ฟังเสียงปักษีขันขาน |
กำนัลในมิได้ชื่นบาน | สงสารอรไทไม่สบาย |
บ้างพลอยทุกข์ด้วยเจ้าจะเอาหน้า | ทำเกศาตกแสกแหวกสยาย |
ลางนางพาเพื่อนเชือนชาย | เที่ยวกรายไปชมมาลี ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๏ สองกษัตริย์นั่งแท่นศิลาล้วน | ใต้ต้นลำดวนริมสระศรี |
ขับกำนัลลงเล่นนที | จะให้พระบุตรีค่อยคลายใจ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้น | ช่างเขียนผู้มีอัชฌาสัย |
เมียงหมอบลอบดูอยู่แต่ไกล | วาดรูปอรไทตื่นบรรทม |
ไม่ผัดพักตราทรงอาภรณ์ | ก็งามงอนระทวยสวยสม |
นายช่างเขียนพลางทางชม | นึกนิยมเตือนใจไปมา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์มะเดหวีเสนหา |
ครั้นรอนรอนอ่อนแสงสุริยา | ชวนธิดามาตำหนักอุทยาน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
ชมตลาด
๏ ขึ้นบนเตียงทองในห้องสรง | สำอางองค์ขัดสีวารีสนาน |
ทรงเครื่องน้ำดอกไม้ใส่พาน | สุคนธารหอมประทิ่นกลิ่นกลาย |
ทรงปรัดผัดพักตร์ปลั่งเปล่ง | ดั่งดวงจันทร์วันเพ็งบูรณ์ฉาย |
ภูษายกพื้นตองทองพราย | เข็มขัดสายประจำยามงามพลอย |
สไบทรงสอดซับสีทับทิม | เพริศพริ้มริมขลิบครุยห้อย |
สังวาลวรรณคั่นจินดาดุนลอย | ทรงสร้อยอย่างนอกดอกลำดวน |
ทองกรแก้วกุดั่นบรรจง | ธำมรงค์นพรัตน์จัดถ้วน |
ใส่มงกุฎประดับทับทิมล้วน | แล้วลงจากปราสาทสวนเสด็จมา ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เพลง
ร่าย
๏ บัดนั้น | นายช่างชำนาญการเลขา |
เห็นเทวีทรงเครื่องเรืองรจนา | โสภาผุดผ่องละอององค์ |
ตั้งตาพินิจพิศดูนาง | เยื้องย่างยุรยาตรดังราชหงส์ |
จึงคลี่กระดาษวาดรูปโฉมยง | เหมือนทั่วทั้งองค์อินทรีย์ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ทั้งสองกษัตรามารศรี |
ต่างทรงวอสุวรรณทันที | จรลีเข้ายังวังพลัน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ บัดนั้น | นายช่างเลขาคนขยัน |
ม้วนกระดาษรูปวาดทั้งสองอัน | ใส่ผ้าโพกพันศีรษะไว้ |
หนีจากพระนครดาหา | เข้าในอรัญวาป่าใหญ่ |
เดินทางเร็วร้อนไม่นอนใจ | รีบไปทั้งทิวาราตรี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงทางสามแพรกแยกกัน | ที่มานั้นแดนดาหากรุงศรี |
ทางหนึ่งกะหมังกุหนิงธานี | ประจบทางบุรีจรกา |
พอพระสุริยาเลี้ยวลับ | เป็นพยับมัวมืดเวหา |
นายช่างล้าเลื่อยเหนื่อยมา | เข้านอนริมมรคาพนาวัน ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ ตระ
ยานี
๏ มาจะกล่าวบทไป | ถึงองค์อัยกากระยาหงัน |
อาสน์อ่อนเร่าร้อนคือเพลิงกัลป์ | เทวัญเล็งพิพเนตรดู |
แจ้งว่าอิเหนาไปหลงรัก | ที่ต่ำศักดิ์ขืนเลี้ยงเคียงคู่ |
จะให้น้องได้ครองกับระตู | ไม่เกรงกูผู้เป็นอัยกา |
จำจะก่อเหตุเภทภัย | ให้มันได้โทมนัสสหัสสา |
คิดแล้วสำแดงเดชา | เหาะระเห็จลงมาในเที่ยงคืน ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ กลม
ร่าย
๏ ครั้นถึงริมทางกลางดงดอน | เห็นช่างนอนหลับใหลยังไม่ตื่น |
จึงเข้าไปข้างหลังยั้งยืน | ค่อยเปลื้องผืนผ้าโพกออกพลัน |
หยิบกระดาษวาดรูปทรงเครื่องไว้ | แล้วโพกให้เหมือนเก่ากระหมวดมั่น |
ครั่นเสร็จเสด็จจากไพรวัน | เหาะไปกระยาหงันชั้นฟ้า ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ บัดนั้น | ช่างเขียนตื่นนอนแล้วล้างหน้า |
พอรุ่งรางสร่างแสงสุริยา | ก็รีบไปจรกาธานี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงเข้านิเวศน์วัง | ขึ้นยังท้องพระโรงเรืองศรี |
ถวายบังคมคัลอัญชลี | คอยฟังภูมีบัญชาการ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระตูผู้ครองราชฐาน |
เห็นช่างเขียนมาประณตบทมาลย์ | จึงมีบรรหารด้วยโกรธา |
กูร่ำกำชับให้รีบร้อน | ช่างไปนอนเสียได้ในดาหา |
แต่คอยจนห้าเดือนแกล้งเชือนช้า | อันโทษาเอ็งนี้ถึงที่ตาย ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ช่างเขียนอกสั่นขวัญหาย |
ก้มเกล้าเคารพอภิปราย | บรรยายอนุสนธิ์แต่ต้นมา |
ข้าสืบทราบว่าอิเหนากุเรปัน | ตุนาหงันพระบุตรีดาหา |
กำหนดนัดจะแต่งการวิวาห์ | พระไปเลี้ยงจินตะหราวาตี |
แล้วแจ้งอรรถตัดรอนมาเป็นเที่ยง | ว่าไม่เลี้ยงบุษบามารศรี |
พระบิตุรงค์เคืองแค้นแสนเทวี | ใครขอบุตรีจะแต่งการ |
อันไพร่ฟ้าประชาชนชาวชนบท | มีแต่ร่ำกำสรดสงสาร |
พระธิดาไม่มาอุทยาน | จึงเนิ่นนานถึงห้าเดือนปลาย |
ทูลพลางทางชักผ้าโพกเปลื้อง | ไม่เห็นรูปทรงเครื่องก็ใจหาย |
ได้แต่รูปตื่นนอนไม่แต่งกาย | จึงถวายต่อหัตถ์พระภูมี ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระตูจรกาเรืองศรี |
คลี่กระดาษดูรูปนางนารี | ให้เปรมปรีดิ์ประดิพัทธ์ผูกพัน |
พิศทั่วนรลักษณ์พักตรา | ดั่งหยาดฟ้ามาแต่กระยาหงัน |
รสรักรึงใจเพียงไฟกัลป์ | ทรงธรรม์ซวนซบสลบลง ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
๏ บัดนั้น | ดะหมังยาสาตำมะหงง |
เข้าแก้ไขนวดฟั้นบั้นพระองค์ | ค่อยดำรงได้สมประดีมา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวจรกานาถา |
ความรักสลักแน่นในอุรา | พระจินดาจะใคร่ได้นางเทวี |
จึงสั่งยาสาเสนาใน | เราจะไปล่าสำบุรีศรี |
จงตรวจเตรียมพหลมนตรี | เพลารุ่งพรุ่งนี้จะยกไป |
สั่งแล้วม้วนกระดาษวาดรูปนาง | ถือไว้ไม่วางด้วยรักใคร่ |
เสด็จจากแท่นแก้วแววไว | เข้าในปราสาทรจนา ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ
ช้า
๏ พระนิ่งนึกตรึกไตรไม่ไสยาสน์ | คลี่กระดาษดูรูปเลขา |
เคลิ้มองค์หลงชวนจำนรรจา | พักตราแย้มยิ้มพริ้มพราย |
กรพาดกระดาษรูปแล้วรับขวัญ | ความเสนหานั้นไม่เหือดหาย |
เอนองค์ลงแอบแนบกาย | เกษมสันต์มั่นหมายว่านงเยาว์ |
ครั้นได้คิดพิศดูก็มิใช่ | เสียฤทัยละห้อยสร้อยเศร้า |
พระแสนโศกศัลย์ไม่บรรเทา | แล้วลุกขึ้นกอดเข่ารำพึงคิด |
โอ้ว่าอกกูเมื่อไรเลย | จะได้เชยดวงยิหวายาจิต |
เพี้ยงเอ๋ยเทวาสุราฤทธิ์ | ขอให้ได้สมสนิทเยาวมาลย์ ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๏ แต่คร่ำครวญหวนไห้อยู่ในที่ | จนสุริย์ศรีรุ่งแจ้งแสงฉาน |
เสด็จจากแท่นรัตน์ชัชวาล | ไปสระสงชลธารทันใด ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
โทน
๏ นางในไขปทุมวารี | ขัดสีฉวีกายให้ผ่องใส |
ทรงสุคนธ์จันทน์ปรุงจรุงใจ | ลูบไล้ปรายประอุรพางค์ |
สอดใส่สนับเพลาภูษาทรง | ฉลององค์อินทรธนูหักทองขวาง |
ห้อยหน้าลายทองแสแพรบาง | เจียระบาดนอกอย่างกระสันพัน |
บั้นเหน่งถมยาราชาวดี | ทับทรวงดวงมณีเฉิดฉัน |
ตาบทิศติดสายสังวาลวรรณ | ทองกรแก้วกุดั่นพาหุรัด |
สอดทรงธำมรงค์มีค่า | ใส่ชฎาจีบจอนงอนสะบัด |
พวงอุบะตันหยงทรงทัด | เสด็จจากแท่นรัตน์ไปเกยทอง ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ
ร่าย
๏ ขึ้นทรงช้างต้นคชาธาร | ทวยหาญแห่แหนเป็นแถวถ้อง |
สังข์แตรแซ่สนั่นฆ้องกลอง | ให้ยกพลเนืองนองจากกรุงไกร ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงล่าสำบุรีศรี | หยุดพหลมนตรีน้อยใหญ่ |
คชสารประทับกับเกยชัย | เสด็จไปเฝ้าองค์พระพี่ยา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ น้อมเศียรเคารพอภิปราย | ทูลถวายกระดาษรูปเลขา |
น้องใช้ช่างเขียนไปวาดมา | บุตรีท้าวดาหาวงศ์เทวัญ |
เดิมท้าวกุเรปันเรืองยศ | มากล่าวให้โอรสรังสรรค์ |
ครั้นจะแต่งมงคลวิวาห์กัน | ข้างอิเหนากุเรปันตัดรอน |
ท้าวดาหาเคืองขัดอัชฌาสัย | ว่าใครขอก็จะให้ดวงสมร |
อันความนี้เลื่องลือทุกนคร | แม้นใครมาว่าก่อนจะเสียที |
พระองค์จงโปรดเกศา | ให้เสนาไปกล่าวนางโฉมศรี |
น้องรักจักได้รอดชีวี | ทำทีจะโศกาด้วยอาลัย ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | ท้าวล่าสำฟังแจ้งแถลงไข |
เจ้าอย่าอาวรณ์ร้อนฤทัย | พี่จะให้ไปกล่าวดังจินดา |
จึงเรียกตำมะหงงมาแต่งสาร | ว่าขานอ่อนน้อมไปหนักหนา |
แล้วจัดของดีดีมีราคา | สำหรับเครื่องบรรณาครบครัน |
ให้ดะหมังยาสาอัชฌาสัย | เป็นทูตถือสารไปตุนาหงัน |
ประทานทั้งเสื้อผ้าสารพัน | จงเร่งผายผันไปวันนี้ ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ดะหมังยาสาทั้งสองศรี |
ถวายบังคมคัลอัญชลี | ออกมาที่ศาลาลูกขุนใน |
สั่งให้ชักไพร่หลวงสมกำลัง | เสบียงคนละถังทุกตัวไพร่ |
ชาวคลังกำกับกันไป | ขนสิ่งของใส่ในรถ |
ช้างทรงราชสารพานรอง | ลานทองกล่องแก้วมรกต |
แล้วทูตสองนายแต่งตามยศ | ขี่ม้าเคียงรถบรรณาการ |
ได้ฤกษ์โห่ร้องก้องพารา | เดินคชาออกจากราชฐาน |
เข้าในอรัญกันดาร | ทหารนำมรคาคลาไคล ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงด่านดาหากรุงศรี | ให้โยธีทำทับอาศัย |
ให้ม้าเร็วควบขับไปฉับไว | บอกนายด่านใหญ่ให้แจ้งความ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้น | นายด่านฮึกฮักซักถาม |
ครั้นแน่ใจเห็นว่ามาโดยงาม | จึงฉวยย่ามใส่บ่าเข้าธานี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงศาลาลูกขุนใน | กราบกรานท่านผู้ใหญ่ทั้งสี่ |
แล้วเรียนให้แจ้งแห่งคดี | ถ้วนถี่สิ้นความซึ่งถามมา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้น | ปาเตะได้ฟังไม่กังขา |
จึงชวนทั้งสามเสนา | เข้ามายังที่พระโรงชัย ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ ก้มเกล้าประณตบทศรี | ได้ทีจึงทูลแถลงไข |
มีทูตมาแต่ล่าสำกรุงไกร | ถึงด่านเวียงชัยเมื่อวันวาน |
จะเข้ามาอภิวาทบาทบงสุ์ | พระผู้วงศ์เทวาศักดาหาญ |
ถวายสุวรรณบรรณาการ | จงทราบบทมาลย์พระผ่านฟ้า ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
ช้า
๏ เมื่อนั้น | องค์ศรีปัตหราดาหา |
ได้ฟังปาเตะเสนา | นิ่งนึกตรึกตราประหลาดใจ |
เห็นจะมาอ่อนง้อขอลูกรัก | พระทรงศักดิ์ร้อนรนหม่นไหม้ |
จำเป็นจำสั่งเสนาใน | จงออกไปรับตามประเพณี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
ร่าย
๏ บัดนั้น | ปาเตะรับสั่งใส่เกศี |
ออกมาเกณฑ์กันทันที | ตามมีพระราชบัญชา |
เหล่าเวรพนักงานทั้งหลาย | เรียกเจ้าขุนมุลนายทั่วหน้า |
หมายบอกเวียงวังคลังนา | ให้แต่งของโอชาออกไปทัก |
แต่บรรดาข้าเฝ้าตำแหน่งที่ | เจียดกระบี่มาตามให้สมศักดิ์ |
อันบ้านแขกเมืองเคยสำนัก | แม้นปรักหักพังเร่งซ่อมแปลง |
ริมถนนหนทางปลูกโรงร้าน | สั่งพวกนครบาลให้ยื้อแย่ง |
ให้ล้อมวังตั้งฉาบปูนกำแพง | รีบรัดจัดแจงอย่านอนใจ ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้น | บรรดาเสนาน้อยใหญ่ |
เร่งรัดจัดกันทันใด | ทำการวุ่นไปทั้งไพร่นาย |
พวกไปรับราชสารก็เตรียมแห่ | สังข์แตรกลองชนะเครื่องชุมสาย |
แต่งตัวนุ่งห่มสมกาย | เสร็จแล้วผันผายจากบุรี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงด่านเขตขัณฑ์ชั้นนอก | จึงบอกราชทูตถ้วนถี่ |
พระปิ่นสวรรยาธานี | ให้ข้านี้มารับเข้ากรุงไกร ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ราชทูตยินดีจะมีไหน |
ให้เที่ยวเรียกกันทันใด | พร้อมเหล่าบ่าวไพร่บรรดามา |
เชิญราชสารทรงยานุมาศ | แห่แหนเดียรดาษซ้ายขวา |
เสนีชาวเวียงชัยไคลคลา | เข้าในนครามิทันนาน ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงพาแขกเมืองไป | อาศัยในหอราชสาร |
แล้วเลี้ยงดูพูดจากันสำราญ | พนักงานจ่ายเงินให้โยธี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | จึงมหาเสนาทั้งสี่ |
วันแขกเมืองจะเฝ้าพระภูมี | ก็จัดแจงแต่งทีระดมกัน |
เกณฑ์ให้ไพร่ใส่เสื้อเสนากุฎ | ถืออาวุธพาดตักมักสัน |
สองข้างมรคาเข้ามานั้น | รั้วไก่กั้นกัลบาตรนั่งราย |
ราชนิกุลขุนนางตำแหน่งนา | เข้ามาพร้อมพรั่งทั้งสองฝ่าย |
ต่างคนต่างนุ่งสมปักลาย | คาดเสื้อครุยกรุยกรายตามทำนอง |
ขึ้นพระโรงเตรียมเฝ้าเบียดเสียด | หน้าที่นั่งตั้งเจียดเป็นแถวถ้อง |
ชาวที่คอยไขม่านทอง | กิดาหยันถือจ้องกรับสัญญา ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวดาหาสุริย์วงศ์อสัญหยา |
เสร็จเสวยเอมโอชโภชนา | ก็ลีลาจากแท่นทองประเทือง |
เข้าที่ชำรงสระสรง | สำอางอ่าองค์ทรงเครื่อง |
ล้วนจินดาแวววามอร่ามเรือง | แล้วย่างเยื้องออกท้องพระโรงชัย ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ ลดองค์ลงเหนือแท่นมณี | ชาวที่พนักงานชักม่านไข |
ประโคมฆ้องกลองชนะสนั่นไป | เสนาในอภิวาทดาษดา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ขุนหมื่นตำรวจวังทั้งซ้ายขวา |
จึงนำแขกเมืองเข้ามา | ในพระโรงรจนาฉับพลัน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงประนมบังคมไหว้ | พระผู้ผ่านเวียงชัยไอศวรรย์ |
จึงแก้ราชสารลานสุวรรณ | บังคมคัลแล้วยื่นให้เสนา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ตำมะหงงเสนีมียศถา |
กระแอมไอพลางใส่แว่นตา | คลี่สาราอ่านถวายพระภูมี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
ช้า
๏ ราชสารสองกษัตริย์ทรงธรรม์ | พระพี่นั้นผ่านล่าสำกรุงศรี |
พระน้องครองจรกาธานี | เป็นที่ระงับภัยไพร่ฟ้า |
น้อมเศียรเคารพอภิวาท | เบื้องบาทพระผู้พงศ์อสัญหยา |
ขอเป็นเกือกทองรองบาทา | ไปกว่าชีวันจะบรรลัย |
ให้ดับเข็ญเย็นเกล้าประชากร | ทุกนครไปมาอาศัย |
ทั้งศัตรูรอนราญพาลภัย | จะเกรงขามคร้ามไปทั้งธาตรี |
อันชีวาข้าน้อยทั้งสองเมือง | ก็ปองไว้ใต้เบื้องบทศรี |
แม้นสิ่งใดระคายเป็นราคี | พระจงมีเมตตาการุญ |
ความนี้มิควรทูลเหตุ | ขอพระเดชแผ่เผื่อเกื้อหนุน |
วงศ์ระตูไม่คู่เคียงบุญ | ต้องเคืองขุ่นบทมาลย์พระภูธร |
ดังจอมปลวกกับพระสุเมรุมาศ | ดังชาติมฤคกับไกรสร |
ดังพื้นปัถพีกับอัมพร | บห่อนเปรียบได้เห็นไกลกัน |
แม้นมิแจ้งอรรถบัดนี้เล่า | อนุชาสร้อยเศร้าโศกศัลย์ |
ไม่เสียดายไยดีแก่ชีวัน | ทรงธรรม์จงโปรดปรานี |
แต่พระน้องได้ครองเวียงชัย | ยังไม่มีประไหมสุหรี |
จะขอพระธิดานารี | ไปเป็นศรีนครจรกา ฯ |
ฯ ๑๖ คำ ฯ
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | พระผู้ผ่านบุรินทร์ปิ่นดาหา |
ได้แจ้งแห่งราชสารา | พระคิดแค้นนัดดาเป็นพ้นไป |
ทั้งมานะกษัตริย์ตัดขาด | จึงอวยอนุญาตประสาทให้ |
แล้วตรัสปราศรัยเสนาใน | ถามไถ่ถึงระตูสองบุรี |
ยังค่อยเกษมสุขสำราญ | หรือเกิดเหตุเภทพานในกรุงศรี |
หนึ่งซึ่งเสนามานี้ | เดินดงพงพีมาช้านาน |
ไพร่พลโยธามาพร้อมมูล | บริบูรณ์ด้วยเสบียงอาหาร |
หรือฝืดเคืองในอรัญกันดาร | เป็นประการใดบ้างท่าทางจร ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ราชทูตกราบทูลผันผ่อน |
อันองค์ระตูสองภูธร | นคราถาวรบริบูรณ์ |
ไพร่ฟ้าปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ | ไภยันอันตรายเสื่อมสูญ |
แต่พระอนุชานั้นอาดูร | จึงให้ข้ามาทูลสารา |
เดชะพระเดชปกเกศไป | เดินไพรได้สุขถ้วนหน้า |
ไม่อดอยากขัดสนโภชนา | จงทราบบาทาพระทรงธรรม์ ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวดาหาสุริย์วงศ์รังสรรค์ |
จึงประทานเสื้อผ้าแพรพรรณ | รางวัลราชทูตทั้งโยธี |
แล้วตรัสว่าจะจัดแจงแต่งการ | ตามวงศ์วานสุรารักษ์ศักดิ์ศรี |
อีกสามเดือนจึงมายังธานี | แล้วภูมีเสด็จเข้าปราสาทพลัน ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ บัดนั้น | สองนายราชทูตคนขยัน |
นบนิ้วประนมบังคมคัล | แล้วผายผันออกจากพระโรงชัย |
เดินตามถนนหนทางมา | ไม่มีใครพูดจาปราศรัย |
ต่างคนต่างขึ้นอาชาไนย | ควบขับกลับไปธานี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงขึ้นบนปราสาท | เคารพอภิวาทบทศรี |
แล้วทูลแถลงแจ้งคดี | ถ้วนถี่เสร็จสิ้นทุกประการ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | จรกาปรีดิ์เปรมเกษมศานต์ |
พักตราแดงก่ำสำราญ | คลายทุกข์ทรมานในฤทัย |
ถึงได้เสวยสวรรค์ชั้นฟ้า | ไม่เท่าได้บุษบาพิสมัย |
มีแต่แย้มยิ้มกระหยิ่มใจ | ภูวไนยคืนเข้าห้องสุวรรณ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ เมื่อนั้น | ฝ่ายท้าวดาหารังสรรค์ |
จึงสั่งทั้งสามเสนานั้น | จงแยกกันไปสามธานี |
ทูลองค์สมเด็จพระเชษฐา | แจ้งกิจจาพระน้องสองกรุงศรี |
ด้วยระตูล่าสำบุรี | มาขอบุตรีให้อนุชา |
ไม่ควรเคียงศักดิ์ก็เข้าใจ | แต่ได้ให้เขาตามวาสนา |
จะแต่งการเท่าวงศ์เทวา | พอแก้หน้าที่ได้ความอัประมาณ ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | สามนายอภิวันท์รับบรรหาร |
บังคมลามาขึ้นพาชีชาญ | ออกจากราชฐานแยกทางไป ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ นายหนึ่งถึงเมืองกุเรปัน | ผายผันเข้ายังกรุงใหญ่ |
พอเวลาจวนออกเสนาใน | ก็เข้าไปคอยเฝ้าพระภูมี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวกุเรปันเรืองศรี |
เผยสีหบัญชรรูจี | ถามคดีกิจการนครา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้น | เสนาม้าใช้เมืองดาหา |
บังคมทูลว่าพระอนุชา | ให้ข้ามาเฝ้าพระภูวไนย |
ด้วยระตูจรกาธิบดี | มาขอพระบุตรีศรีใส |
ได้มีพจมานประทานไป | กำหนดไว้สามเดือนจะแต่งการ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวกุเรปันได้ฟังสาร |
ให้กลุ้มกลัดขัดแค้นในวิญญาณ | จึงมีบรรหารด้วยโกรธา |
พระน้องไม่ยั้งคิดนี้ผิดนัก | ให้เสียศักดิ์สุริย์วงศ์อสัญหยา |
เมื่อเห็นดีให้ปันลั่นวาจา | จะรื้อมาบอกเล่าเราไย ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เสนีประนมบังคมไหว้ |
ออกมาจากหน้าพระลานชัย | ขึ้นมโนมัยไปธานี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ บัดนั้น | เสนาซึ่งไปสองกรุงศรี |
ครั้งถึงก็รีบจรลี | ขึ้นพระโรงรูจีฉับพลัน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ต่างถวายอภิวาทบาทบงสุ์ | ทูลองค์พระผู้ผ่านไอศวรรย์ |
พระเชษฐาสุริย์วงศ์เทวัญ | ทรงธรรม์ให้มาเฝ้าภูธร |
ด้วยระตูจรกาธานี | มาขอพระบุตรีดวงสมร |
ผ่านฟ้าอนุญาตขาดรอน | จะแต่งการสยุมพรพระธิดา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สององค์แค้นขัดสหัสสา |
จึงมีมธุรสวาจา | แต่แรกพระเชษฐาไม่หารือ |
ปลงใจให้ระตูตุนาหงัน | อิเหนานั้นบรรลัยเสียแล้วหรือ |
จะให้ไพร่พลเมืองเลื่องลือ | ไม่นับถือวงศาสุราลัย |
ทั้งนี้สุดแต่พระเชษฐา | นครากุเรปันเป็นใหญ่ |
ถ้าพระองค์ยินยอมพร้อมใจ | เรามิได้แข็งขัดทัดทาน ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | สองเสนาในใจหาญ |
บังคมลามาขึ้นพาชีชาญ | ออกจากราชฐานพารา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ทั้งสามเสนามาพบกัน | ในอรัญทางร่วมเมืองดาหา |
ต่างคนแจ้งความตามกิจจา | แล้วรีบไคลคลาเข้าธานี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึงตรงเข้าไปเฝ้า | ก้มเกล้าประณตบทศรี |
กราบทูลพระองค์ทรงฤทธี | ตามมีพจนาบัญชาการ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์ศรีปัตหราได้ฟังสาร |
จึ่งตรัสแก่เสนาด้วยเดือดดาล | ถึงจะเสียงวงศ์วานก็ทำเนา |
ตามแต่อนุชาจะว่าไป | ด้วยมิได้เจ็บช้ำน้ำใจเขา |
อันความแค้นความอายของเรา | จนตราบเท่าสิ้นดิ้นฟ้า |
ซึ่งยอมยกบุตรีให้ระตู | จะอดสูกระไรหนักหนา |
ตรัสแล้วภูวไนยไคลคลา | เข้ายังปราสาทสุวรรณบรรจง ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ
https://vajirayana.org/system/files/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B2_264950.pdf