- คำอธิบาย ว่าด้วยบทละคร อิเหนาฉบับหอพระสมุดวชิรญาณ
- เล่มที่ ๑
- เล่มที่ ๒
- เล่มที่ ๓
- เล่มที่ ๔
- เล่มที่ ๕
- เล่มที่ ๖
- เล่มที่ ๗
- เล่มที่ ๘
- เล่มที่ ๙
- เล่มที่ ๑๐
- เล่มที่ ๑๑
- เล่มที่ ๑๒
- เล่มที่ ๑๓
- เล่มที่ ๑๔
- เล่มที่ ๑๕
- เล่มที่ ๑๖
- เล่มที่ ๑๗
- เล่มที่ ๑๘
- เล่มที่ ๑๙
- เล่มที่ ๒๐
- เล่มที่ ๒๑
- เล่มที่ ๒๒
- เล่มที่ ๒๓
- เล่มที่ ๒๔
- เล่มที่ ๒๕
- เล่มที่ ๒๖
- เล่มที่ ๒๗
- เล่มที่ ๒๘
- เล่มที่ ๒๙
- เล่มที่ ๓๐
- เล่มที่ ๓๑
- เล่มที่ ๓๒
- เล่มที่ ๓๓
- เล่มที่ ๓๔
- เล่มที่ ๓๕
- เล่มที่ ๓๖
- เล่มที่ ๓๗
- เล่มที่ ๓๘
เล่มที่ ๓๗
๏ เมื่อนั้น | องค์ศรีปัตหราทั้งสี่ |
เสด็จออกหมู่มุขมนตรี | พร้อมเหล่าเสนีทั้งสี่เมือง |
อีกทั้งโอรสแลนัดดา | เข้ามาเฝ้าแหนอยู่แน่นเนื่อง |
ทรงดำรัสจัดงานการบ้านเมือง | ทรงว่าความตามเรื่องกฎหมายมา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระตูประมอตันท้าวหมันหยา |
หมอบเฝ้าคอยจ้องทั้งสองรา | จะทูลลากลับไปให้พร้อมกัน |
พอเป็นทีมีรับสั่งตรัสถาม | จึงทูลตามใจคิดประดิษฐ์สรร |
ข้าบาทขอถวายบังคมคัล | คืนไปเขตขัณฑ์เวียงชัย ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สี่กษัตริย์ปัตหราเป็นใหญ่ |
ได้ฟังสองระตูภูวไนย | ทูลลาว่าจะไปธานี |
จึงมีพระบัญชาประกาศิต | เราขอบจิตท่านทั้งสองศรี |
มาช่วยการวิวาห์ครานี้ | จงกลับไปบุรีอย่ามีภัย |
อุตส่าห์สร้างกุศลขวนขวาย | วัดวาบุบสลายทำเสียใหม่ |
จะได้เป็นเกียรติยศสืบไป | ราษฎรจักได้พึ่งพา |
จึงดำรัสตรัสสั่งคลังวิเศษ | ไปรับของในนิเวศน์แพรผ้า |
เราจัดไว้ว่าจะให้เจ้าพารา | ไปเรียกเอาออกมาบัดเดี๋ยวนี้ ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ชาวคลังรับสั่งใส่เกศี |
ถวายบังคมคัลอัญชลี | แล้วตรงไปยังที่ประตูทอง |
จึงร้องเรียกเข้าไปใครอยู่นั่น | พระทรงธรรม์ตรัสใช้ให้เอาของ |
ชาวคลังข้างในขนมากอง | ผ้ายกครุยกรองของดีดี |
ลายวิลาดชาดสุหรัดจัดออกมา | มีทั้งผ้าลายอย่างต่างสี |
ขนมามากมายหลายกุลี | ทั้งแพรสีต่างต่างอย่างเมืองบน |
พวกขุนหมื่นชาวคลังนั่งตรวจตรา | เรียกกันเข้ามาพากันขน |
แบกมาเต็มทีสี่ห้าคน | ขึ้นบนพระโรงรัตน์ชัชวาล ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สี่กษัตริย์ปัตหรามหาศาล |
จึงตรัสสั่งชาวคลังพนักงาน | ให้ประทานสองระตูผู้ภักดี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | สองระตูปรีดิ์เปรมเกษมศรี |
ต่างคำนับรับของด้วยยินดี | แล้วจึงมีมธุรสพจมาน |
แก่ระเด่นมนตรีมีศักดิ์ | ด้วยข้าจักไปนิเวศน์เขตสถาน |
ประมอตันนั้นฝากเยาวมาลย์ | บุษบานงคราญคือดวงใจ |
ท้าวหมันหยาฝากราชธิดา | คือระเด่นจินตะหราศรีใส |
ถ้าผิดพลั้งครั้งเดียวจงอภัย | พระองค์จงได้ปรานี ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรีเรืองศรี |
ฟังสองประหมันนั้นพาที | ภูมีจึงตอบวาจา |
สององค์อย่าทรงพระวิตก | จงยกไว้ให้เป็นธุระข้า |
อันพระน้องสองศรีดวงสุดา | ดังหนึ่งนัยนาชีวาลัย |
ถึงผิดชอบหนักเบาจะเฝ้าสอน | มิให้นางอนาทรหม่นไหม้ |
สองพระองค์จงเสด็จคลาไคล | กลับไปพาราให้สำราญ ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์ศรีปัตหรามหาศาล |
จึงสั่งเหล่าเจ้าจอมหม่อมอยู่งาน | ไปหาสองนงคราญขึ้นมา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | สองนางต่างรับสั่งใส่เกศา |
คลานคล้อยถอยหลังบังคมลา | รีบมาตำหนักนางแยกทางไป ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ ชุบ
๏ ต่างคนขึ้นบนชานตำหนัก | เห็นนงลักษณ์หมอบก้มบังคมไหว้ |
จึงทูลว่าพระองค์ทรงภพไตร | รับสั่งใช้ให้มาเชิญไปบัดนี้ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | จินตะหราบุษบามารศรี |
ต่างองค์ทรงแจ้งแห่งคดี | เทวีทรงเครื่องเรืองระยับ |
พนักงานเครื่องอานพานสลา | ยกมาเตรียมเสด็จอยู่เสร็จสรรพ |
พวกข้าหลวงน้อยน้อยคอยคั่งคับ | จินตะหรามารับบุษบา |
สองนางต่างทรงรองพระบาท | ยุรยาตรนาดกรซ้ายขวา |
ข้าหลวงเชิญพระกลดรจนา | โขลนจ่าห้ามคนถนนใน ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ เพลง
๏ ครั้นถึงซึ่งท้องพระโรงรัตน์ | บังคมสี่กษัตริย์เป็นใหญ่ |
หมอบเรียงเคียงกันเป็นหลั่นไป | คอยฟังภูวไนยจะบัญชา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระจอมภพกุเรปันอสัญหยา |
จึงดำรัสตรัสสั่งทั้งสองรา | จงไปหาบิดาจะคลาไคล ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สองนางต่างบังคมประนมไหว้ |
เปิดม่านคลายผจงตรงออกไป | อรไทบังคมประนมกร ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สองระตูครั้นเห็นสองสมร |
จึงตรัสด้วยวาจาอันสุนทร | ดูก่อนนงเยาว์เราจะลา |
เจ้าอยู่หลังตั้งจิตคิดให้ชอบ | ต้องระบบคำบุราณเหมือนท่านว่า |
อย่าหวงหึงขึ้งขัดต่อภัสดา | ให้รักเพื่อนภรรยายิ่งกว่าตัว |
ก็จะมีความสุขสืบไป | ทั้งบิดาก็จะไม่มีความชั่ว |
จงคิดยำเยงเกรงกลัว | ถ่อมตัวจงรักภักดี ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นทั้งสองหมองศรี |
กอดบาทบิตุรงค์ทรงโศกี | เทวีครวญคร่ำร่ำไร ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
โอ้ปี่
๏ จินตะหราว่าโอ้พระทรงเดช | ได้ปกเกศเลี้ยงดูอยู่จนใหญ่ |
ไม่เคยพรากจากข้ามาแต่ไร | กรรมใดได้ทำจึงจำเป็น |
บุษบาว่าโอ้พระทรงศักดิ์ | แต่ลูกรักจากบิดาพึ่งมาเห็น |
ได้บังคมก้มเกล้าอยู่เช้าเย็น | จะว่างเว้นเปล่าจิตคิดไม่วาย |
จินตะหราทูลว่านิจจาเอ๋ย | แต่ก่อนเคยเฝ้าบาทไม่ขาดสาย |
ทั้งเช้าเย็นเป็นสุขสนุกสบาย | โฉมฉายครวญคร่ำรำพันไป |
บุษบาถอนจิตคิดอนาถ | ต้องนิราศทุกข์ทนหม่นไหม้ |
ทั้งสององค์ต่างทรงโศกาลัย | ครวญคร่ำร่ำไรไปมา ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ โอด
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวประมอตันหมันหยา |
ต่างองค์ทรงปลอบธิดา | เจ้าอย่าโศกาอาวรณ์ |
ถึงต่อพ่อจากไปก็ไว้รัก | นงลักษณ์จงจำที่ร่ำสอน |
บิดาจะลาไปนคร | ดวงสมรค่อยอยู่สวัสดี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | จินตะหราบุษบามารศรี |
ถวายบังคมคัลอัญชลี | ทั้งองค์ศรีปัตหราแล้วคลาไคล ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สี่กษัตริย์ปัตหราเป็นใหญ่ |
ครั้นเพลาห้าโมงก็ครรไล | เสด็จคืนเข้าไปในวัง ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ เมื่อนั้น | สองระตูชื่นชมสมหวัง |
ต่างเสด็จคลาไคลไม่หยุดยั้ง | ไปยังมนเทียรที่ประทับ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ จึงสั่งดะหมังเสนี | จงตรวจเตรียมโยธีให้เสร็จสรรพ |
พวกเราที่จะไปให้กำชับ | ที่โจทก์จับหนีหลบไม่พบตัว |
เร่งให้ตามติดคิดค้นคว้า | โรงละครบ่อนนายตราหาให้ทั่ว |
แต่ไก่ขันบอกกันให้เตรียมตัว | เช้ามืดขมุกขมัวเราจะไป ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ดะหมังบังคมประนมไหว้ |
รับพระบัญชาแล้วคลาไคล | ออกไปจัดกระบวนใช้ถ้วนครบ |
ดะหมังสองนั่งมองดูบาญชี | ตามมีรายคนไปจนจบ |
ทั้งเลกสมขอเฝ้าเข้าสมทบ | หนีหลบมีอยู่ทุกหมู่กรม |
ให้นายมุลขุนหมื่นเที่ยวตามหา | บ้างปะตัวไม่มาคว้าผ้าห่ม |
ผูกคออะเอะเตะเอาล้ม | โคลนตมท่วมตัวหัวดังเงาะ |
พวกเมืองประมอตันนั้นพานเก่ง | เที่ยวตามซอกตรอกสำเพ็งริมวัดเกาะ |
ปะพวกหญิงยียวนชวนหัวเราะ | แย่งเพลาะชักชิงวิ่งเข้าโรง |
พวกผู้ชายวายวุ่นอึงคะนึง | โกรธขึ้งชี้หน้าด่าโผง |
ที่ใจชั่วกลัวผู้หญิงวิ่งตะโพง | ที่โป้งโหยงเกะกะจะร้องฟ้อง |
พวกท้าวหมันหยามามาก | ปะบ่าวฉุดกระชากลากลงถอง |
จับได้ครบตัวทั่วทุกกอง | ทั้งสองดะหมังนั่งตรวจตรา ฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ เจรจา
ยานี
๏ จัดกระบวนนั่งริ้วเป็นทิวแถว | ล้วนแล้วแต่งตัวโอ่อ่า |
ถือธนูหน้าไม้ปืนยา | กองหน้าถือธงลงยันต์ |
ทั้งสองเมืองเนืองแน่นตามถนน | สารวัดจัดพหลพลขันธ์ |
ให้สีเสื้อสีธงเดินตรงกัน | ดูเป็นหลั่นคั่นสลับซับซ้อน |
ชาวเมืองหมันหยามาจัดรถ | พร้อมหมดเรียงรายปลายสลอน |
ประมอตันนั้นผูกกุญชร | คอยท้าวเจ้านครทั้งสององค์ ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | สองระตูตื่นแต่เช้าเข้าที่สรง |
ลูบไล้สุคนธาอ่าองค์ | ต่างทรงเครื่องประดับสำหรับกาย |
ชาวประไหมสุหรีมีศักดิ์ | ลงจากตำหนักแล้วผันผาย |
ขึ้นเกยสุวรรณพรรณราย | พร้อมพหลพลนิกายถวายกร |
ต่างองค์ทรงรถคชสาร | ทวยหาญขานโห่ออกกระฉ่อน |
เคลื่อนคชาม้ารถบทจร | จากนครกาหลังทั้งสองกอง ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ กราว
๏ เดินกระบวนด่วนตะบึงถึงทางแยก | พลขันธ์นั้นแตกออกเป็นสอง |
ต่างองค์ตรงไปดังใจปอง | ฆ้องกลองก้องดังสังข์แตร |
ต่างชมนกไม้มาในป่า | บ้างบินมาให้เสียงสำเนียงแซ่ |
บ้างฟักไข่ไซ้ขนบนต้นแค | ที่ลูกน้อยคอยแม่ไปหากิน |
แรมร้อนผ่อนพักตำหนักไพร | ล่วงเข้าไปในด่านถึงบ้านถิ่น |
สารวัดรัดเร่งราวกับบิน | ตรงเข้านครินทั้งสององค์ ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๏ ลงเกยเลยขึ้นปราสาทศรี | ชวนประไหมสุหรีนวลหง |
เข้าห้องสุวรรณบรรจง | ต่างองค์สุขเกษมเปรมปรา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
ช้า
๏ เมื่อนั้น | สี่พระองค์วงศ์อสัญแดหวา |
เสด็จออกหมู่มุขมาตยา | พร้อมมหาเสนีสี่นคร |
ทั้งโอรสนัดดาเข้ามาเฝ้า | ก้มเกล้าพระทรงฤทธิ์อดิศร |
มิได้เงยแหงนดูพระภูธร | ชุลีกรหมอบเรียงเคียงกัน ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
ร่าย
๏ ฝ่ายท้าวกุเรปันเชษฐา | ทั้งองค์ท้าดาหานราสรรค์ |
จึงตรัสแก่อนุชากาหลังนั้น | พี่ละนิเวศน์เขตขัณฑ์มาช้านาน |
ทั้งพระน้องสิงหัดส่าหรี | จะคืนไปบุรีราชฐาน |
เจ้าค่อยอยู่เวียงชัยให้สำราญ | โรไคภัยพาลอย่ายายี |
ตรัสพลางทางสั่งตำมะหงง | ท่านจงจัดพหลพลทั้งสี่ |
จะกลับไปนัคราธานี | ให้พร้อมกันวันนี้อย่าได้ช้า ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ตำมะหงงรับสั่งใส่เกศา |
ทั้งสามคนต่างตนออกมา | นั่งที่ศาลากรมวัง ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
ยานี
๏ จัดทหารสามกองเป็นถ่องแถว | ล้วนแล้วถือสาตราทั้งหน้าหลัง |
กรมช้างผูกช้างพลายพัง | คับคั่งตั้งตามสนามใน |
กรมม้าผูกพาชีชาญ | เบาะอานสองหูพู่ไหว |
ขุนรถผูกรถมาเตรียมไว้ | คอยเสด็จท้าวไทจะไคลคลา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวกุเรปันอสัญหยา |
จึงชวนสองพระอนุชา | เสด็จมาสรงสนานสำราญสกนธ์ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
โทน
๏ ต่างองค์สรงสหัสขัดสี | วารีเย็นฉ่ำดังน้ำฝน |
พนักงานถวายพานพระสุคนธ์ | ปรุงปนนพคุณหนุนเนื้อ |
พระสอดทรงสนับเพลาเพราผจง | ฉลององค์ชั้นในใส่กันเหื่อ |
ชั้นนอกดอกกระจายลายเครือ | เรียกว่าเสื้อทรงประพาสตาดปักกรอง |
ห้อยหน้าผ้าทิพขลิบสุวรรณ | รัดพระองค์ทรงกระสันเป็นลายสอง |
ปั้นเหน่งแก้วแวววับจับสีทอง | ฉลักฉลุปรุช่องลงยา |
ต่างองค์สอดทรงสังวาลวรรณ | ทับทรวงดวงกุดั่นมีค่า |
ทองกรฝังพลอยพร้อยเพราตา | ทรงชฎาห้ายอดสอดสายรัด |
กรรเจียกจรงอนงามอร่ามแวว | ล้วนแล้วฝังเพชรเตร็จตรัส |
ห้อยอุบะตันหยงทรงทัด | สามกษัตริย์ประทับแท่นบัลลังก์ ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
ร่าย
๏ ฝ่ายท้าวกุเรปันนาถา | ตรัสแก่อนุชากาหลัง |
พี่จะไปเจ้าจะอยู่เวียงวัง | ขอฝากฝังกะหรัดตะปาตี |
ถ้าผิดพลั้งสั่งสอนเอาเถิดเจ้า | อย่าว่าเราเขาเฝ้าจู้จี้ |
ทำผิดคิดไม่ต้องประเวณี | ทุบตีเอาเถิดตามชอบใจ |
ต่างองค์สั่งเสียละเหี่ยละห้อย | บ้างเศร้าสร้อยทุกข์ทนหม่นไหม้ |
สั่งเสร็จเสด็จคลาไคล | ท้าวกาหลังตามไปส่งพลัน ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ
๏ ขึ้นเกยสุวรรณบรรจง | ต่างองค์ทรงรถเฉิดฉัน |
องค์ระเด่นมนตรีกุเรปัน | เป็นทัพหน้าทรงธรรม์พระบิดา |
องค์ระเด่นสียะตรายาจิต | เป็นทัพหน้าทรงฤทธิ์ท้าวดาหา |
สุหรานากงทรงศักดา | เป็นทัพหน้าท้าวสิงหัดส่าหรีไป |
อันพระมเหสีสามนคร | ทรงรถแอกอ่อนงอนไสว |
ท้าวกาหลังทรงคานหามตามไป | ส่งเสด็จท้าวไทให้พ้นเมือง ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ กลองโยน
โทน
๏ รถเอยราชรถทรง | แอกอ่อนงอนระหงธงสีเหลือง |
กาบเก็จเพชรวามอร่ามเรือง | รักร้อยห้อยเฟื่องประเทืองตา |
กระจังรายรอบเรียงเรือนรถ | มรกตแก้วมณีมีค่า |
สารถีขี่ขับอาชา | โพกผ้าพันตะบิดถือกริชกราย |
เครื่องสูงสองข้างกลางพระแสง | กลองชนะทาแดงตะแบงสาย |
สังข์แตรแซ่เสียงเรียงราย | คับคั่งดังสายชลธี |
ท้าวกาหลังหยุดยั้งเพียงประตู | แลดูรถรัตน์หัตถี |
ส่งเสร็จเสด็จกลับเข้าธานี | สามกษัตริย์รัดรี้พลไป ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๏ ล่วงแดนพารามาวันหนึ่ง | ลุถึงป่ากว้างหนทางใหญ่ |
เป็นสามแพร่งแย่งแยกแตกกันไป | จึงสั่งให้หยุดยั้งตั้งพลับพลา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ฝ่ายเจ้าพนักงานพร้อมหน้า |
จึงใช้ไพร่ให้ไปตัดไม้มา | บ้างถางหญ้าขุดหลุมรุมประดัง |
บ้างเจาะเสาเกลาฝาผ่ากลอน | สามนครปลูกเสร็จสิบเอ็ดหลัง |
ดาดเพดานม่านราวพวกชาววัง | มาแต่งตั้งตามเคยไม่เลยละ |
มีประตูเข้าออกนอกใน | ตำรวจใหญ่ปลูกทิมที่ริมสระ |
พวกล้อมวังดั้งทองกลองชนะ | เกณฑ์กะนั่งยามตามไต้ไฟ ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | สามกษัตริย์ปัตหราเป็นใหญ่ |
ชวนโอรสนัดดายาใจ | มเหสีท้าวไททั้งนั้น |
ขึ้นสู่สุวรรณพลับพลา | ต่างองค์สนทนาแล้วโศกศัลย์ |
ด้วยจะต้องพลัดพรากจากกัน | ครวญคร่ำรำพันไปมา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
โอ้ปี่
๏ บุษบาว่าโอ้พระทรงศักดิ์ | แต่ลูกรักจากสถานนานนักหนา |
พึ่งได้พบพระบิดรมารดา | กลับจะมาพลัดไปให้ได้ทุกข์ |
วิยะดาทูลว่ามารดาเจ้า | จะโศกเศร้าเปล่าใจไม่มีสุข |
กรรมใดมามีกลียุค | ให้เฉินฉุกเริศร้างห่างกัน |
ร่ำพลางนางทรงกันแสงไห้ | สาวสนมกรมในพลอยโศกศัลย์ |
มเหสีทั้งสามเมืองนั้น | ก็ชวนกันโศกาอาดูร ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ โอด
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | สามกษัตริย์ปัตหรานเรนทร์สูร |
ตรัสตระโบมโลมเล้าเป็นเค้ามูล | จากไปก็ไม่สูญไปทีเดียว |
จะมานั่งโศกาไปว่าไร | ให้ทุกข์ทนหม่นไหม้ใจแห้งเหี่ยว |
ลูกผู้หญิงว่ายากลำบากเจียว | พระเลยเลี้ยวสั่งมหาเสนาใน |
เพลาค่ำวันนี้ตีสิบเอ็ด | จัดให้เสร็จอย่าให้ทันอุทัยไข |
สามกองจะต้องแยกแตกออกไป | ตั้งกระบวนเสียใหม่ในบัดนี้ ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เสนารับสั่งใส่เกศี |
ออกมากะเกณฑ์กันทันที | ตามมีพระราชบัญชา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | สามพระองค์วงศ์อสัญแดหวา |
ครั้นอุทัยไขส่องท้องฟ้า | เสด็จมาสรงสนานสำราญกาย |
ต่างองค์ทรงเครื่องเรืองระยับ | กรจับกริชแก้วแล้วผันผาย |
ขึ้นทรงรถสุวรรณพรรณราย | พลนิกายสามกองโห่ร้องเกรียว |
ต่างแยกมรคาคลาไคล | ไปในป่ากว้างทางเปลี่ยว |
สารวัดตรวจทั่วตัวเป็นเกลียว | ธงเทียวโบกสะบัดเร่งรัดไป ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๏ สามทัพยับยั้งมาหลายวัน | เข้าขอบเขตเขื่อนขัณฑ์กรุงใหญ่ |
สารถีขี่ขับรถท้าวไท | ประทับกับเกยชัยหน้าพระลาน |
เสด็จลงจากรถบทจร | พลนิกรเหล่าขุนนางต่างไปบ้าน |
มเหสีสาวสนมนงคราญ | ตามเสด็จภูบาลเข้าในวัง ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
https://vajirayana.org/system/files/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B2_264950.pdf