เล่มที่ ๓๖

ช้า

๏ เมื่อนั้น ฝ่ายประไหมสุหรีดาหา
ตั้งแต่ไปใช้บนมา นางพิศดูจินตะหรามาหลายวัน
เห็นพักตราเศร้าหมองหม่นไหม้ อิเหนาไม่ไปหาเป็นแม่นมั่น
นี่ก็ลูกโน่นก็หลานรำคาญครัน จะคิดกันนินทาเสียให้มิด
จำจะให้หาบุษบามา ยึดเอาไว้เสียให้สาสมจิต
อิเหนาจะเชื่อดีว่ามีฤทธิ์ หรือจะคิดอย่างไรจะได้ฟัง ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย

๏ คิดแล้วจึงสั่งสาวใช้ จงเร่งออกไปติกาหรัง
บอกให้บุษบามาในวัง จะประสงค์สั่งความตามมี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สาวใช้รับสั่งใส่เกศี
กราบก้มประนมกรจรลี ไปยังพระบุตรีทันใด ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ ชุบ

๏ ครั้นถึงจึงประณตบทบงสุ์ ทูลองค์บุษบาศรีใส
พระมารดาให้เชิญเสด็จไป แต่ในเวลาบัดเดี๋ยวนี้ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ระเด่นบุษบามารศรี
ทราบสารสมเด็จพระชนนี ให้หาเทวีไปวังกลาง
จึงสระสรงทรงเครื่องเรืองรอง สอดฉลองพระบาทหักทองขวาง
ทรงพระกลดคันสั้นกั้นกาง สนมในตามสล้างไสวมา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เพลง

๏ ครั้นถึงจึงถวายอัญชลี องค์ประไหมสุหรีดาหา
คอยฟังพระราชบัญชา จะประภาษตรัสมาประการใด ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์ประไหมสุหรีศรีใส
จึงตรัสแก่บุษบายาใจ ช่างกระไรไม่ว่าสามี
จินตะหรามาอยู่ก็ช้านาน จนแต่งการราชาภิเษกศรี
ยังไม่ไปงอนง้อขอดี หรือว่ามิใช่เมียก็ว่ามา
ว่าพลางทางสั่งมะเดหวี จงพาราชบุตรีไปเคหา
คุมไว้อย่าให้ลีลา อิเหนาเขาจะว่าประการใด ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์มะเดหวีศรีใส
พลางคำนับรับสั่งอรไท พาบุษบาไปทันที ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ ทยอย

๏ ครั้นแล้วจึงชวนพระลูกรัก ขึ้นยังตำหนักนางโฉมศรี
แล้วตรัสเล้าโลมนางเทวี มารศรีอย่าได้น้อยใจ
รับสั่งให้เอาไว้เห็นไม่ช้า มารดาจะช่วยแก้ไข
ผัวเจ้านั้นเขาว่ากระไร จึงไม่ไปหาน่ารำคาญ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

โอ้ปี่

๏ เมื่อนั้น บุษบาเยาวยอดสงสาร
ก้มเกล้าประณตบทมาลย์ นงคราญครวญคร่ำร่ำทูลไป
ข้าได้ทูลเตือนเป็นหลายครั้ง พระจะเชื่อฟังก็หาไม่
เป็นกรรมแล้วก็จำจนใจ ว่าพลางร่ำไห้โศกา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ โอด

ร่าย

๏ เมื่อนั้น มะเดหวีพลอยโทมนัสสา
จึงเรียกบาหยันนั้นเข้ามา จงเร่งออกไปหาหลานรัก
บอกให้รู้แจ้งแห่งคดี ว่าองค์ประไหมสุหรีกริ้วหนัก
ให้เราคุมบุษบายุพาพักตร์ เอาไว้ในตำหนักบัดนี้ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น บาหยันพี่เลี้ยงสาวศรี
สงสารเป็นพ้นพันทวี ทูลลาจรลีมิได้ช้า ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ ชุบ

๏ ครั้นถึงจึงตรงเข้าไปเฝ้า โฉมยงองค์อิเหนานาถา
ทูลแถลงแจ้งความตามกิจจา มะเดหวีสั่งมาสิ้นทั้งปวง ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อิเหนาได้ฟังนั่งง่วง
ราวกับใครเอามีดมากรีดทรวง เด็ดดวงชีวิตปลิดเอาไป
มิได้ตรัสกับบาหยันกัลยา ให้ขัดข้องนาสาเหมือนคนไข้
เสด็จลุกเข้าห้องบรรทมใน พระครวญคร่ำร่ำไรจาบัลย์ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ โอด

โอ้ปี่

๏ โอ้ว่าเจ้าดวงยิหวาพี่ ปานนี้จะทรงกันแสงศัลย์
ทำไฉนจะได้พบกัน โอ้เจ้าขวัญตาพี่จะเปลี่ยวใจ
ยามนอนเจ้าจะนอนระทวยเทวษ ยามเสวยชลเนตรจะหลั่งไหล
ใครจะช่วยเช็ดชลนัยน์ พระทอดองค์ลงไห้โศกา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ โอด

ร่าย

๏ เมื่อนั้น ระเด่นวิยะดาเสนหา
คิดฉงนสนเท่ห์ในวิญญาณ์ ไม่เห็นพระเชษฐามาหลายวัน
เคยเสด็จขึ้นเฝ้าอยู่เป็นนิจ เห็นทรงฤทธิ์จะประชวรเป็นแม่นมั่น
อย่าเลยจะไปเยี่ยมพระทรงธรรม์ คิดแล้วสั่งกำนัลทันใด
จงไปสั่งกรมวังข้างหน้า ให้เตรียมวอไว้ท่าอย่าช้าได้
เราจะไปเยี่ยมองค์พระภูวไนย ในเวลาลมชายบ่ายวันนี้ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นางกำนัลรับสั่งใส่เกศี
กราบกรานคลานออกมาทันที ไปยังที่ศาลายามค่ำพลัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ ชุบ

๏ หานายเวรกรมวังมาสั่งเสร็จ พระธิดาจะเสด็จผายผัน
ให้ผูกวอช่อฟ้าม่านสุวรรณ พร้อมกันที่ฉนวนตำหนักแพ
ฝ่ายข้างในวิ่งไขว่เที่ยวหากัน เหล่ากำนัลคุณหม่อมจอมเถ้าแก่
หลวงแม่จ่ามาให้ไขประแจ ขอเฝ้าคอยแห่พร้อมกัน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น วิยะดาเพราเพริศเฉิดฉัน
ครั้นบ่ายชายแสงสุริยัน จรจรัลมาทรงสุคนธาร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

ชมตลาด

๏ ทรงชำระขัดสีวารีรด น้ำดอกไม้ใสสดหอมหวาน
ทรงสุคนธ์ปนทองบางตะพาน นางอยู่งานพัชนีวีลม
ทรงปรัดผัดพักตร์ผ่องใส น้ำมันจันทน์กันไรใส่ผม
สีขี้ผึ้งวาดคิ้วขำคม ทรงภูษาเทพประนมเขียนสุวรรณ
ห่มสีทับทิมพริ้มเพรา สร้อยนวมปักเนาไหมมั่น
สังวาลบานพับสลับกัน ทองกรกุดั่นอำไพ
ธำมรงค์รังแตนแหวนนอก ศิโรเพฐน์มีดอกไม้ไหว
ห้อยอุบะบุหงามาลัย แล้วเสด็จคลาไคลออกมา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๏ จึงชวนพี่เลี้ยงสาวสรรค์ ทั้งฝูงกำนัลพร้อมหน้า
เสด็จยุรยาตรคลาดคลา ออกมายังประตูฉนวนใน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เพลง

๏ ครั้นถึงจึงขึ้นวอสุวรรณ สาวสนมกำนัลตามไสว
พวกขอเฝ้านำหน้าคลาไคล ตรงไปยังวังพระพี่ยา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึงลงจากวอ เสด็จขึ้นบนหอข้างหน้า
สงัดเงียบเสียงคนจำนรรจา ประหลาดจิตคิดน่าอัศจรรย์
จึงเสด็จเข้าห้องรูจี เห็นระเด่นมนตรีโศกศัลย์
ก้มกราบบาทมูลทูลถามพลัน พระทรงธรรม์โศกาอยู่ว่าไร
หรือโรคายายีพระพี่เจ้า จึงโศกเศร้าทุกข์ทนหม่นไหม้
จงตรัสเล่าชี้แจงให้แจ้งใจ น้องจะได้พยาบาลพระทรงฤทธิ์ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อิเหนาสะท้อนถอนจิต
จึงตรัสว่าขนิษฐาเจ้าอย่าคิด โรคนี้เต็มติดจะลึกซึ้ง
พี่จะเล่าชี้แจงให้แจ้งใจ ที่ไหนพระน้องจะคิดถึง
ถ้าแม้นเทวัญชั้นดาวดึงส์ นั่นแลจึงช่วยได้เห็นไม่แคลง ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น วิยะดากราบก้มบังคมแถลง
ถ้าพระองค์ตรัสเล่าชี้แจง ให้น้องแจ้งตระหนักประจักษ์ใจ
สายสนต้นความยากหรือง่าย น้องจะได้เบี่ยงบ่ายแก้ไข
จะประธมโศกาไปว่าไร ขอพระองค์จงได้เมตตา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อิเหนาได้ฟังนางวอนว่า
จึงตรัสเล่าให้ฟังแต่หลังมา ประไหมสุหรีดาหากริ้วนัก
ว่าพี่ไม่ไปอยู่กับจินตะหรา เอาบุษบาไปไว้ในตำหนัก
พรากเสียมิให้พี่พบพักตร์ ปิ้มจักชีวิตจะวอดวาย ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น วิยะดาได้ฟังพระโฉมฉาย
จึงกราบทูลทรงธรรม์บรรยาย เพียงเท่านั้นอย่าระคายพระบาทา
จงเสวยโภชนากระยาหาร ให้สำราญหฤทัยเสียดีกว่า
น้องจะคิดอุบายด้วยปัญญา เอาพี่นางออกมาเร็วเร็วนี้ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อิเหนาได้ฟังเกษมศรี
จึงลุกขึ้นนั่งทันที พระน้องว่ามานี้จริงหรือไร
ถ้าเจ้าช่วยพี่ได้ในครั้งนี้ เห็นชีวีพี่ไม่ตักษัย
พระค่อยสร่างโศกาอาลัย ซักไซ้ไต่ถามกันไปมา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น วิยะดาพิศดูพระเชษฐา
เห็นค่อยคลายวายทรงโศกา ถวายบังคมลามาทันที
จะกลับไปที่อยู่ก็หาไม่ พาฝูงกำนัลในสาวศรี
ตรงไปปราสาทรูจี องค์ประไหมสุหรีกุเรปัน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงปราสาทบรรจง สั่งฝูงอนงค์สาวสรรค์
จงกลับไปที่อยู่ให้พร้อมกัน แล้วนางนั้นเข้าเฝ้าพระมารดา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ เมื่อนั้น นางประไหมสุหรีเสนหา
ครั้นเห็นบุตรีก็ปรีดา ต่างองค์พูดจาปราศรัยกัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น วิยะดานารีเกษมสันต์
พูดเล่นเจรจาจนสายัณห์ บรรทมค้างอยู่นั่นไม่กลับไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ประไหมสุหรีมีจิตคิดสงสัย
จึงตรัสถามไปพลันทันใด เป็นไฉนไม่กลับออกไปวัง ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น วิยะดาทูลไปดังใจหวัง
ลูกคิดถึงบาทยุคลพ้นกำลัง จะยับยั้งอยู่นอนผ่อนสบาย ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ประไหมสุหรีมีจิตคิดหมาย
น่าที่จะมีเคืองระคาย กับพระหลานชายสียะตรา
ครั้นจะตักเตือนให้จรลี ก็เกรงใจบุตรีเสนหา
แต่ไสยาสน์ด้วยราชธิดา ล่วงมาได้สองราตรี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

ช้า

๏ เมื่อนั้น ฝ่ายระเด่นสียะตราเรืองศรี
วิยะดาลาไปเฝ้าชนนี ถึงสองราตรีมิออกมา
ให้คิดฉงนสนเท่ห์ใจ มีเหตุพลกลใดกระมังหนา
อย่าเลยจะไปเฝ้าพระมารดา จะได้รู้กิจจาให้แน่นอน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

ร่าย

๏ คิดแล้วเสด็จออกข้างหน้า กิดาหยันเสนาเฝ้าสลอน
จึงตรัสสั่งให้ผูกอัสดร แล้วบทจรเข้ายังข้างใน
แต่งองค์ทรงเครื่องเสร็จสรรพ พระหัตถ์จับเช็ดหน้าโกสัย
ลีลามาทรงมโนมัย เสนาตามไสวมาพร้อมกัน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงประตูพรหมริมปราสาท ลงจากอัศวราชแล้วผายผัน
กิดาหยันนั้นมิได้จรจรัล นั่งคอยทรงธรรม์ที่ประตู
โขลนจ่าเดินตามร้องห้ามคน ที่สาวสาวซ่อนตนคิดอดสู
ขึ้นบนเรือนชวนเพื่อนกันมองดู เสด็จมาถึงประตูชานชาลา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ระเด่นวิยะดาเสนหา
เหลือบเหลียวแลเห็นสียะตรา เสด็จดำเนินมาแต่ไกล
นางลุกไปหับทวารมิด ลั่นกลอนเสียให้ติดดันไม่ไหว
ให้เคืองขัดกลัดกลุ้มน้ำพระทัย ชลนัยน์ไหลอาบพักตรา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์ประไหมสุหรีเสนหา
จึงตรัสแก่อะหนะวิยะดา ทำไมเจ้าจึงมาทำดังนี้
สียะตราตามมางอนง้อ เอ็นดูแม่แม่ขอเถิดโฉมศรี
ให้เข้ามาพูดจากันโดยดี อย่าเคืองเคียดเสียดสีกันเลย ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น วิยะดากราบก้มบังคมเฉลย
กับพระพี่นั้นก็ดีอยู่ตามเคย มิได้ว่าเกินเลยให้เดือดร้อน
แต่องค์ประไหมสุหรีดาหา พรากพี่นางบุษบาดวงสมร
เอาไปไว้ในวังมิให้จร พระเชษฐาเร่าร้อนดังนอนไฟ
ไม่สรงเสวยโภชนามาหลายวัน ผิวพรรณเศร้าหมองไม่ผ่องใส
อยู่เอองค์สงสารเป็นพ้นไป ลูกจึงได้นิราศคลาดคลา
หวังจะแกล้งแสร้งเสเพทุบาย ที่ขัดข้องเคืองระคายคลายโทษา
ตรัสพลางนางทรงโศกา สะอื้นไห้ไปมาจาบัลย์ ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ โอด

๏ เมื่อนั้น องค์ประไหมสุหรีก็โศกศัลย์
ได้ฟังบุตรีทูลรำพัน นางกันแสงทรงร่ำไร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

โอ้ปี่

๏ โอ้ว่าลูกรักของแม่เอ๋ย กรรมสิ่งใดเลยมาซัดให้
แสนเวทนาเป็นพ้นไป เกิดมามีแต่ได้ความทุกข์
คนทั้งหลายเขามีคู่แล้ว ก็ผ่องแผ้วปรีดิ์เปรมเกษมสุข
แต่ลูกนี้แลให้เกิดกลียุค จากเมืองเที่ยวบุกป่าดง
ครั้นว่ามาพบกันเข้า กรรมเจ้าทำไว้มาตามส่ง
ตรัสพลางทางร่ำกันแสงทรง ทั้งสององค์กอดกันรำพันไป ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ โอด

ร่าย

๏ เมื่อนั้น สียะตราแฝงฟังยังสงสัย
ได้ยินเสียงวิยะดาโศกาลัย ทั้งประไหมสุหรีกุเรปัน
ร่ำไรบ่นไปอยู่ในที่ มิได้แจ้งคดีที่โศกศัลย์
พระตรัสเรียกหนักหนายิ่งจาบัลย์ ทรงธรรม์สะท้อนถอนใจ
จึงเสด็จกลับมายังประตู ขึ้นสู่สินธพละห้อยไห้
แข็งขืนอารมณ์ข่มฤทัย ขับอาชาไนยไปวัง ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงหยุดง่วงอยู่เป็นครู่ มิได้รู้สึกองค์ทรงนิ่งนั่ง
ต่อพี่เลี้ยงทูลเตือนเป็นหลายครั้ง จึงลงจากหลังอาชาชาญ
ขึ้นตำหนักรสรักหนักอุรา มิได้เปลื้องภูษาสรงสนาน
เสด็จเข้าห้องในใส่ดาล พงพานเตะกลิ้งเกลื่อนไป

ฯ ๔ คำ ฯ

โอ้ปี่

๏ ทอดองค์เหนือที่บรรทม ให้เกรียมกรมทุกข์ทนหม่นไหม้
โอ้เจ้าดวงยิหวายาใจ เหตุไฉนจึงมาเป็นเช่นนี้
พี่อดออมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงเจ้า ยุพเยาว์มาระคางขนางหนี
ความผิดนิดหนึ่งก็ไม่มี ทำให้พี่พ่างเพียงมรณา
อกเอ๋ยไหนเลยจะพบเจ้า ให้ร้อนเร่าแดดิ้นถวิลหา
ไม่สรงไม่เสวยเลยเวลา ตั้งแต่โศกาจาบัลย์ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ โอด

ร่าย

๏ เมื่อนั้น ประไหมสุหรีดาหาเฉิดฉัน
ไม่เห็นสียะตรามาหลายวัน หรือโรคันไข้เจ็บประการใด
อย่าเลยจะไปเยี่ยมให้ตระหนัก ว่าลูกรักของแม่เป็นไฉน
คิดแล้วสั่งนางกำนัลใน จงไปสั่งเรือศรีมีกำลัง
เราจะไปเยี่ยมเยือนสียะตรา ยังวังดาหาติกาหรัง
หายไปไม่เห็นมาในวัง จะไปฟังให้ตระหนักประจักษ์ใจ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นางกำนัลรับสั่งบังคมไหว้
คลานคล้อยถอยมาแล้วคลาไคล ตรงไปยังหน้าท้องพระโรง ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ ชุบ

๏ จึงร้องเรียกหากิดาหยัน เวรใครอยู่นั่นนั่งพูดโผง
สั่งสรรพกลับมาพอห้าโมง มานั่งคอยท้องพระโรงข้างใน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์ประไหมสุหรีศรีใส
จึงสระสรงทรงเครื่องอำไพ ห่มสไบสีนวลพอควรองค์
แล้วเสด็จจรจรัลผันผาย มเหสีทั้งหลายมาตามส่ง
เถ้าแก่ชาวแม่นางอนงค์ ตามเสด็จไปลงตำหนักแพ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เพลง

๏ ครั้นถึงจึงลงเรือที่นั่ง พวกสาวสาวชาววังก็เซ็งแซ่
แย่งนั่งต้นพนักจักได้แล ตามบรรดาพ่วงแพริมน้ำ
บ้างส่งรับเครื่องอานพานสลา พวกฝีพายเงื้อง่าตั้งท่าจ้ำ
เหล่าขอเฝ้าลงท้ายเต็มลำ ออกเรือเหื่อเป็นน้ำจ้ำไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ โล้

๏ ถึงประทับตำหนักริมวารี ก็ขึ้นจากเรือศรีสุกใส
สาวสาวเชิญเครื่องเนื่องไป ตามเสด็จอรไทจะให้ทัน

ฯ ๒ คำ ฯ เพลง

๏ ถึงปราสาทยุรยาตรเข้าห้อง เห็นบานช่องประตูปิดมิดมั่น
จึงตรัสเรียกสียะตราเข้าไปพลัน จงมาเปิดทวารนั้นออกบัดนี้ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สียะตราโศกเศร้าหมองศรี
แว่วเสียงสมเด็จพระชนนี ภูมีลีลามาถอดดาล
แล้วกลับเข้าห้องไสยาสน์ ร้อนราชฤทัยดังไฟผลาญ
ให้คิดถึงวิยะดายุพาพาล ทรมานพระกายมาหลายวัน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์ประไหมสุหรีไม่มีขวัญ
เสด็จตามโอรสเข้าไปพลัน เห็นบรรทมจาบัลย์โศกา
จึงเข้าส้วมสอดกอดไว้ พ่อทุกข์ตรอมผอมไข้เป็นหนักหนา
หรือโรคันยายีบีฑา ไม่บอกมารดาให้รู้เลย ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สียะตรากราบก้มบังคมเฉลย
ลูกไม่มีสิ่งใดผิดสักนิดเลย วิยะดามาเฉยไปอยู่วัง
กริ่งจิตคิดคอยถึงสามทิวา ไม่เห็นนางกลับมาติกาหรัง
สงสัยเข้าไปหมายจะฟัง นางแค้นคั่งมาปิดประตูไว้
ได้ยินเสียงวิยะดานารี กับประไหมสุหรีร่ำไห้
เรียกให้เปิดประตูสักเท่าไร จนอ่อนใจมิได้รู้เหตุการณ์ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ประไหมสุหรีมีจิตคิดสงสาร
จึงตรัสว่าอย่าทุกข์ทรมาน จงสรงเสพกระยาหารให้สบาย
แม่จะกลับไปเฝ้าพระพี่ ฟังเหตุร้ายดีที่เงื่อนสาย
จะแก้ไขมิให้เคืองระคาย ตรัสพลางนาดกรายกลับมา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เพลง

๏ เสด็จลงเรือที่นั่งบรรจง ฝูงอนงค์ลงเต็มแน่นหนา
ฝีพายบ่ายบากนาวา โยนยาวฉาวฉ่ามากลางน้ำ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ โล้

๏ ถึงประทับนาวาหน้าตำหนัก ข้าหลวงขึ้นคึกคักกลัวจักค่ำ
ฝีพายถวายบังคมทั้งลำ เสด็จไปตำหนักน้ำพี่นางพลัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เพลง

๏ ครั้นถึงขึ้นปราสาทรจนา เห็นระเด่นวิยะดาโศกศัลย์
จึงถามไปไยเจ้าจึงจาบัลย์ สียะตราคอยนั้นน้อยเมื่อไร
ตรัสพลางนางบังคมประไหมสุหรี จึงทูลถามเหตุนี้เป็นไฉน
จงโปรดเล่าชี้แจงให้แจ้งใจ สียะตราครวญใคร่มาหลายวัน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ประไหมสุหรีจึงว่าไม่น่าขัน
ลูกของเจ้าเจ้ารักดังชีวัน แต่ลูกของข้านั้นแลอาภัพ
เผอิญให้ได้ทุกข์ฉุกใจ ชะรอยกรรมทำไว้แต่ต้นกัป
ถึงทำดีก็ไม่มีใครนับ ตั้งแต่จะยับระยำไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ประไหมสุหรีผู้น้องสนองไข
อันระเด่นมนตรีนี้ไซร้ ก็รักใคร่เหมือนบุตรในอุทร
แต่ว่าทำผิดอยู่นิดหนึ่ง ช่างโกรธขึ้งจินตะหราดวงสมร
ไม่ไปมาหาสู่หลับนอน ให้เขาค่อนแคะว่านินทากัน
น้องทำทั้งนี้เพราะรัก มิใช่จักรังเกียจเดียดฉันท์
เพราะสงสารจินตะหราลาวัณย์ ด้วยเป็นวงศ์พงศ์พันธุ์ด้วยกันมา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ประไหมสุหรีจึงตอบขนิษฐา
ซึ่งยำเยงเกรงเขาจะนินทา ใช่ว่าไม่เลี้ยงเมื่อไรมี
อภิเษกก็เป็นเอกอนงค์ใน เป็นเจ้าจอมหม่อมประไหมสุหรี
อิเหนาเฝ้าไปง้อจนเต็มที เขาก็ไม่ดูดีกี่ครั้งมา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์ประไหมสุหรีดาหา
มิได้ทูลโต้ตอบพระวาจา จึงตรัสแก่วิยะดานารี
พระพี่นางเคืองขัดก็ทำเนา ทำไมเจ้าจึงพลอยโกรธพี่
สียะตราตั้งแต่โศกแสนทวี ไฉนทำดังนี้นะหลานรัก ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น วิยะดาทูลไปให้ประจักษ์
เมื่อพี่นางบุษบายุพาพักตร์ แกล้งร้างรักเชษฐาให้จาบัลย์
ลูกจากกะกังมาทั้งนี้ หวังจะให้พระพี่เกษมสันต์
ถ้าพี่นางเริศร้างอยู่อย่างนั้น กระหม่อมฉันมิได้ไยดี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น โฉมยงองค์ประไหมสุหรี
ได้ฟังวิยะดานารี ก็เข้าใจในทีกิริยา
แล้วลาประไหมสุหรีมีศักดิ์ จึงชวนหลานรักเสนหา
สาวสุรางค์นางกำนัลก็ตามมา ตรงไปปรางค์ปราไม่ช้าที ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เพลง

๏ ครั้นถึงขึ้นปราสาทบรรจง ชวนองค์วิยะดามารศรี
พูดเล่นเจรจาพาที พนักงานพานพระศรีตั้งตามเคย ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น วิยะดาหยิบสลามาเสวย
แล้วจึงทูลเบี่ยงบ่ายปรายเปรย หม่อมฉันจะเลยทูลลาฝ่าธุลี
ขอประทานพี่นางโฉมฉาย ไปถวายเชษฐาให้ผ่องศรี
ทูลพลางทางเสด็จจรลี ไปปราสาทมะเดหวีทันใด ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เพลง

๏ ครั้นถึงกราบกรานพระมารดา ทูลองค์บุษบาศรีใส
พระชนนีโปรดแล้วอย่าร้อนใจ เชิญเสด็จคลาไคลออกไปวัง
พระเชษฐาทรงโศกแสนเทวษ ชลนัยน์นองเนตรไหลหลั่ง
ทุกข์ตรอมผอมซูบแทบทรวงพัง เร่งกลับไปวังอย่าช้าการ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น บุษบาเยาวยอดสงสาร
ได้ฟังขนิษฐายุพาพาล จึงตอบรสพจมานอันสุนทร
ตัวพี่นี้เหมือนคนโทษ ถึงจะโปรดก็ยังไปไม่ได้ก่อน
ความผิดนั้นจะติดพระมารดร ดวงสมรจงฟังพี่พาที ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น โฉมยงองค์มะเดหวี
ได้ฟังสงสารแสนทวี นางจึงมีมธุรสพจนา
แต่เพียงนี้มิพอจะเป็นไร แม่จะไปทูลฉลองลองว่า
ตรัสพลางทางชวนกันไคลคลา สนมในตามมาแจจรร ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เพลง

๏ ครั้นถึงปราสาทแก้วแววไว จึงให้บุษบาสาวสวรรค์
อยู่นอกม่านทองพรายพรรณ ชวนกันเข้าไปแต่สองรา
จึงทูลประณตบทบงสุ์ องค์ประไหมสุหรีดาหา
บัดนี้อะหนะวิยะดา ว่าโปรดให้บุษบาออกไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์ประไหมสุหรีศรีใส
รับคำมะเดหวีทรามวัย ให้ไปเสียเถิดหนาข้ารำคาญ
จะแข็งขัดไว้บัดนี้เล่า อิเหนาจะโศกาน่าสงสาร
แล้วตรัสแก่วิยะดายุพาพาล เยาวมาลย์แม่จะสั่งฟังมารดา ฯ
จงช่วยกันหมั่นเตือนกะกังบ้าง อย่าให้แรมร้างนางจินตะหรา
ถึงเพียงนี้อย่าแหนงแคลงวิญญาณ์ ใช่ว่าจะขาดเมื่อไรมี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ระเด่นวิยะดามารศรี
จำใจคำนับรับวาที ด้วยรักพระพี่บุษบา
จึงบังคมคัลอัญชลี องค์ประไหมสุหรีดาหา
ทั้งมะเดหวีศรีโสภา ก็ออกมาจากม่านทันใด
จึงกระซิบทูลถามตามคดี เมื่อตะกี้ได้ยินหรือหาไม่
ว่าพลางสะท้อนถอนใจ อรไทโศกาจาบัลย์ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ระเด่นบุษบาโศกศัลย์
จึงปลอบขนิษฐาลาวัณย์ เจ้าอย่ากันแสงเศร้าโศกา
ตรัสพลางทางเสด็จคลาไคล พร้อมด้วยอนงค์ในซ้ายขวา
ยุรยาตรนาดกรลีลา ไปยังติกาหรังมิทันนาน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เพลง

๏ ครั้นถึงเข้าในห้องแก้ว อันเพริศแพร้วพรรณรายฉายฉาน
จึงกราบประณตบทมาลย์ พระเชษฐาผู้ผ่านธรณี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ระเด่นมนตรีเรืองศรี
เหลือบเห็นขนิษฐานารี ทั้งยาหยีน้องนุชบุษบา
ยินดีลุกขึ้นจากไสยาสน์ ความแสนพิศวาสเสนหา
คิดจะใคร่อุ้มองค์บุษบา หากเกรงขนิษฐานารี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ระเด่นวิยะดามารศรี
จึงทูลพระเชษฐาธิบดี แต่ต้นจนพี่นางมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระสุริย์วงศ์เทวัญอสัญหยา
ได้ฟังยาหยีก็ปรีดา จึงตอบวาจาไปทันใด
ซึ่งเจ้าคิดอ่านครั้งนี้ คุณนั้นพ้นที่จะเปรียบได้
หาไม่ก็จะร้างห่างไกล จะตรอมใจทุกทิวาราตรี
แล้วมีมธุรสพจนา แก่ระเด่นบุษบามารศรี
พี่เกรงว่าจากเจ้าครั้งนี้ เทวีจะเข้าปะตาปา
เหมือนครั้งภูผาตะหลากัน ให้หวาดหวั่นพรั่นจิตนั้นหนักหนา
สุดที่จะตามแล้วแก้วตา แต่จะแสนทรมาอาลัย ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ระเด่นบุษบาศรีใส
ได้ฟังคั่งแค้นเคืองใจ ค้อนให้แล้วตอบไปทันที
อันเชิงกระนี้สิดีนัก ช่างเยื้องยักประดิษฐ์ใส่สี
ซึ่งพระน้องทูลแจ้งแห่งคดี ว่าประไหมสุหรีกำชับมา
อย่าช้าจงเร่งคลาไคล เสด็จไปอยู่ด้วยจินตะหรา
อย่าให้ผู้อื่นพลอยเวทนา จะก้มหน้าอยู่ให้สำราญใจ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ระเด่นวิยะดาบังคมไหว้
ลาสองกษัตริย์แล้วคลาไคล กลับไปดาหาปาตี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เพลง

๏ ครั้นถึงเป็นองค์พระเชษฐา กันแสงโศกาอยู่ในที่
กราบลงตรงบาทพระภูมี เทวีสะอื้นไห้ไปมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ โอด

๏ เมื่อนั้น ระเด่นสียะตราเสนหา
เห็นยาหยีมาทรงโศกา พระถวิลจินดาอาวรณ์
รีบลุกขึ้นจากที่ไสยา เข้าส้วมกอดวิยะดาดวงสมร
แล้วมีวาจาอันสุนทร ดูก่อนแก้วตายาใจ
ซึ่งเจ้านิราศร้างรัก พี่จะแจ้งประจักษ์ก็หาไม่
หนีเข้าไปยังวังใน พี่ผิดสิ่งใดนะเทวี
จนตามเข้าไปจะไต่ถาม โฉมงามแต่เหลือบเห็นพี่
เจ้ามาลั่นกลอนเสียทันที แต่เฝ้าเรียกเทวีอยู่ช้านาน
ครั้นยาหยีมิรับก็กลับมา โศกากำสรดสงสาร
ด้วยมิได้แจ้งเหตุเภทพาล ไฉนเจ้าเยาวมาลย์จึงหมางใจ
ซึ่งเจ้ามาเศร้าโศกี พี่นี้มีความสงสัย
เหตุผลต้นปลายประการใด ทรามวัยจงแจ้งแห่งคดี ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ระเด่นวิยะดามารศรี
ได้ฟังสงสารพันทวี อัญชลีกรสนองไปด้วยพลัน
เล่าคดีถี่ถ้วนบรรยาย แต่ต้นจนปลายทุกสิ่งสรรพ์
อันองค์พระเชษฐากุเรปัน โศกศัลย์ซูบผอมตรอมใจ
น้องเห็นเป็นน่าเวทนา จะกลั้นโศกาก็ไม่ได้
จึงรีบเข้าไปยังวังใน ทูลประไหมสุหรีให้แจ้งการ
เมื่อพี่ยาลีลาไปตามนั้น ครั้นจะทูลทรงธรรม์จะฟุ้งซ่าน
ให้เห็นเคืองเรื่องแค้นพระภูบาล จึงปิดทวารมั่นลั่นตรึงตรา
ซึ่งน้องตรองการทั้งนี้ ให้พระพี่เศร้าโทมนัสสา
โทษนั้นเป็นพ้นคณนา พระเชษฐาจงโปรดปรานี ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ระเด่นสียะตราเรืองศรี
ฟังพระขนิษฐาพาที ภูมีสลดระทดใจ
คิดคะนึงถึงองค์พระเชษฐา ชลนาแถวถั่งหลั่งไหล
จึงว่าอนิจจาไม่แจ้งใจ เสียแรงได้มีคุณแก่น้องมา
มิได้สนองเท่ายองใย ความชั่วกระไรเป็นหนักหนา
เมื่อพระชนนีเสด็จมา จะแพร่งพรายกิจจาก็ไม่มี
ซึ่งเจ้าได้ทำความชอบไว้ ที่ในพระเชษฐาเรืองศรี
ขอบคุณเจ้าอีกนะเทวี พี่นี้มิได้ถือโทษกรณ์
ว่าพลางพระทรงคลึงเคล้า ยั่วเย้ายวนยีศรีสมร
ความสุขดับทุกข์ก็หายร้อน ภูธรแสนเกษมเปรมปรา ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ฝ่ายองค์ท่านท้าวหมันหยา
ทั้งประไหมสุหรีศรีโสภา แจ้งว่าจินตะหราวาตี
เคียดแค้นอิเหนากุเรปัน จึงปรึกษากันทั้งสองศรี
อันเราจะนิ่งเสียดังนี้ เห็นจะมีราคีสืบไป
แม้นศรีปัตหรานั้นแจ้งจิต เราจะพลอยได้ผิดเป็นข้อใหญ่
เมื่อมิได้ว่าขานประการใด เหมือนแกล้งให้ใจแก่ธิดา
จำจะหามาว่าเสียให้ดี กับระเด่นมนตรีนาถา
แล้วสั่งสาวใช้จงไคลคลา ไปหาจินตะหรามาบัดนี้ ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สาวใช้รับสั่งใส่เกศี
ถวายบังคมคัลอัญชลี ไปยังที่ตำหนักนางกัลยา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ ชุบ

๏ ครั้นถึงจึงประณตบทบงสุ์ ทูลองค์พระบุตรีเสนหา
ว่าพระบิตุเรศมารดา ให้มาเชิญเสด็จคลาไคล ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ระเด่นจินตะหราอัชฌาสัย
ได้ฟังสาวสรรค์กำนัลใน อรไทสระสรงวารี
ทรงเครื่องประดับสำหรับองค์ เพริศพริ้งยิ่งยงจำรัสศรี
เสร็จแล้วกรายกรจรลี ฝูงอนงค์นารีก็ตามมา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เพลง

๏ ครั้นถึงจึงประณตบทรัช แทบบาทสองกษัตริย์นาถา
นางนิ่งนั่งฟังรสพจนา จะบัญชาว่าขานประการใด ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวหมันหยาผู้มีอัชฌาสัย
ทั้งประไหมสุหรีทรามวัย ให้อาลัยในองค์พระธิดา
สองกษัตริย์จึงตรัสให้โอวาท แก่พระราชบุตรีเสนหา
เจ้าดังดวงใจนัยนา แก้วตาจงจำคำไว้
อันอิเหนากุเรปันสุริย์วงศ์ เรืองเดชดังองค์พระสุริย์ใส
ทุกประเทศเกรงเดชภูวไนย แล้วก็ได้ว่าขานการธานี
ตัวก็เป็นปิ่นพระสนมนาฏ อย่าประมาทให้เคืองเบื้องบทศรี
จงตั้งใจจงรักภักดี ถึงจะมีสิ่งเคืองประการใด
เจ้าอย่าหุนหันจงนบนอบ ให้ประกอบด้วยอัชฌาสัย
ถึงรักเจ้าเจ้าอย่ากำเริบใจ เร่งเจียมตัวกลัวภัยภูบาล
จงต่างฤทัยนัยเนตร การในพระนิเวศน์วังสถาน
ซึ่งสิ่งชั่วอย่ากลั้วด้วยพวกพาล สงวนองค์นงคราญให้จงดี
เจ้าอย่าเคียดคุมโทษา องค์พระภัสดาเรืองศรี
จงฟังคำชนกชนนี จึงจะมีความสุขสถาวร ฯ

ฯ ๑๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ระเด่นจินตะหราดวงสมร
ฟังพระบิตุเรศมารดร ชลีกรแล้วทูลสนองไป
ซึ่งโปรดตรัสสอนสั่งครั้งนี้ พระคุณนั้นหาที่สุดไม่
แต่จะดีด้วยนั้นฉันใด จนใจเป็นพ้นคณนา
ความเจ็บใจในอกลูกนี้ แม้นม้วยชีวีเสียดีกว่า
พระองค์จงทรงพระเมตตา ไม่ขอดูหน้าพาที ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระบิตุเรศมารดาทั้งสองศรี
ได้ฟังพระราชบุตรี จึงมีพจนารถประภาษมา
ซึ่งเจ้าจะดึงดันอยู่ฉันนี้ แม้นทราบถึงองค์ศรีปัตหรา
เห็นจะเคืองเบื้องบาทพระราชา ก็จะพากันผิดติดมากไป
ฝ่ายอิเหนาก็เป็นเจ้าแผ่นดิน อย่าดูหมิ่นจงประหยัดอัชฌาสัย
เจ้าอย่าตัดให้ขัดเคืองฤทัย ทรามวัยฝากตัวกลัวไว้ดี
อันว่าบิตุเรศมารดา ดังพฤกษาใกล้ฝั่งนทีศรี
นับวันแต่จะถมธรณี หวังฝากผีลูกรักดังดวงตา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น โฉมยงองค์นางจินตะหรา
ได้ฟังสองกษัตริย์ตรัสมา กัลยาสงสารพันทวี
อสุชลคลั่งคลอนัยเนตร แสนทุกข์แสนเทวษหมองศรี
ความรักพระชนกชนนี กลัวที่จะอาวรณ์ร้อนพระทัย
แต่แค้นอิเหนาก็สุดคิด เจ็บจิตปิ้มเลือดตาไหล
จึงทูลสนองสองภูวไนย เพราะลูกทำความไว้แต่เดิมมา
หลงลิ้นด้วยเชื่อลมชาย จึงได้ความอายเป็นนักหนา
ทั้งขายละอองพระบาทา โทษาผิดพ้นพันทวี
พระอย่าอาวรณ์ร้อนฤทัย มิให้ขุ่นเคืองเบื้องบทศรี
ลูกจะสู้ทรมานอินทรีย์ ไปกว่าชีวีจะบรรลัย
ทูลแล้วถวายบังคมลา พระบิตุเรศมารดาเป็นใหญ่
โขลนจ่านำหน้าคลาไคล ตรงไปห้องมณีศรีไสยา ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ เพลง

ช้า

๏ เมื่อนั้น พระโฉมยงองค์อิเหนานาถา
สถิตบรรจถรณ์แท่นแว่นฟ้า กับระเด่นบุษบานารี
เคียงเขนยเชยชื่นระรื่นกลิ่น ไม่สุดสิ้นเสนหายาหยี
นางยิ้มเยื้อนเบือนกระบวนให้ยวนยี สรวลระริกซิกซี้ทุกวี่วัน
หวนรำลึกถึงนางจินตะหรา พระมาตุจฉากำชับมาคับขัน
มิไปตามความผิดจะติดพัน จะพรากขวัญเนตรไปเสียในวัง
แม้นไปง้อก็จะซ้ำร่ำว่า ที่สัญญาไว้ตามความหลัง
เคยรู้เห็นเช่นเชื้อเบื่อฟัง ไม่เหมือนดังบุษบายาใจ ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๏ พระคิดพลางทางว่ากับยาหยี บรรทมที่แท่นทองอย่าหมองไหม้
วันนี้พี่ยาจะลาไป ตามประไหมสุหรีมีบัญชา
จริงจริงนะพระน้องอย่างหมองหมาง ว่ารักใคร่ในนางจินตะหรา
มิเกรงผิดติดพันถึงขวัญตา พี่ก็ไม่ปรารถนาคลาไคล ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น บุษบายาหยีศรีใส
ได้ฟังรสพจนาไว้อาลัย ยิ้มละไมในหน้าแล้วพาที
หม่อมฉันรู้อยู่ว่าเขาเป็นเจ้าของ ไม่ทานทัดขัดข้องให้หมองศรี
เชิญพระไปให้เกษมเปรมปรีดิ์ อยู่หลายปีจึงจะสิ้นนินทา
แม้นน้องรักทักท้วงหวงหึง พระองค์จึงห้ำหั่นบั่นเกศา
เป็นถ้อยยำคำมั่นน้องสัญญา เชิญเสด็จเชษฐารีบคลาไคล
อันโฉมยงนงคราญเหมือนถ่านดับ คงจะกลับติดเชื้อเป็นเนื้อไข
ช่วยโปรดนางอย่างแต่ก่อนร่อนชะไร ให้ชื่นใจจินตะหราวาตี

ฯ ๘ คำ ฯ

ชาตรี

๏ สุดเอยสุดสวาท แสนฉลาดละเมียดช่างเสียดสี
พจมานหวานเย็นถึงเช่นนี้ จะให้พี่เหินห่างเสียอย่างไร
ซึ่งวานให้ไปรักจินตะหรา จะอุตส่าห์แข็งจิตพิสมัย
จะวานมั่งฟังความนะทรามวัย ช่วยเชื่อใจพี่บ้างอย่าคลางแคลง
อันถ่านดับกลับติดก็นิดหน่อย เหมือนเพลิงน้อยริบหรี่ไม่มีแสง
เป็นสัจจังดังพี่ได้ชี้แจง ก็ย่อมแจ้งอยู่กับจิตวนิดา
ถึงจะมีที่อื่นสักหมื่นแสน ไม่เหมือนแม้นพุ่มพวงดวงยิหวา
พลางกอดเกยเชยชมภิรมยา เกษมสันต์หรรษาพาที ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๏ พอแดดลบพลบค่ำย่ำฆ้อง ลาพระน้องบุษบามารศรี
ลงจากอาสน์นาดกรจรลี มาเข้าที่สรงน้ำสำราญ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

โทน

๏ ไขสุหร่ายสายชลดังฝนตก สายอุทกธารากระยาสนาน
เสร็จสรงมาทรงสุคนธาร พนักงานพัชนีวีลม
พระฉายตั้งเทียนทองส่องสว่าง เครื่องสำอางจัดไว้ในพานถม
พวงมาลัยบุหงาแลยาดม สำหรับชมก็วางไว้ข้างองค์
พระบรรจงทรงหวีพระเกศา ผัดพักตราพอควรนวลระหง
เลือกลายอย่างภูษาเอามาทรง รัดพระองค์ลงยาราชาวดี
ห่มแพรเพลาะดำร่ำอบ หอมตรลบฟุ้งไปทั้งในที่
พวงมาลัยใส่กรพระภูมี เหน็บกริชฤทธีของเทวา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๏ ครั้นสำเร็จเสร็จสรรพถือซับพักตร์ ลงจากตำหนักจันทน์หรรษา
ดำเนินนาดยาตรเยื้องชำเลืองมา นางส่องโคมนำหน้าคลาไคล ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงห้องจินตะหราวาตี หยุดอยู่ที่ม่านทองสองไข
เห็นนางเมินเดินย่องเข้าห้องใน แกล้งมิให้นางรู้จะดูที ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

ช้าหวน

๏ เมื่อนั้น ระเด่นจินตะหรามารศรี
แต่เปลี่ยวเปล่าเศร้าใจอยู่หลายปี ถึงราตรีตรอมจิตดังพิษปืน
สถิตแท่นแว่นฟ้าเวลาดึก ยิ่งหนาวนึกน้อยใจให้สะอื้น
แค้นอิเหนาคราวรักราวจักกลืน มากลับคืนคำมั่นที่สัญญา
ส่วนเมียเขาเคล้าเคล้นไม่เว้นว่าง ส่วนเราร้างเริศไว้ไม่มาหา
ยิ่งแค้นคั่งนั่งสะอื้นกลืนน้ำตา ทรงโศกากำสรดสลดใจ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ โอด

ร่าย

๏ เมื่อนั้น ระเด่นมนตรีศรีใส
เห็นนงเยาว์เฝ้าสะท้อนถอนฤทัย พระรู้ในท่วงทีกิริยา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

ชาตรี

๏ ยิ้มพลางทางนั่งบัลลังก์รัตน์ ประคองหัตถ์เชยกลิ่นจินตะหรา
เห็นแค้นขัดอัดอั้นไม่วันทา จึงตรัสว่าพี่จะเล่าให้เจ้าฟัง
ซึ่งเคราะห์กรรมจำพลัดกำจัดจาก เพราะวิบากบาปสร้างแต่ปางหลัง
จนทราบความสามพระองค์ดำรงวัง มาพร้อมพรั่งตั้งงานการพิธี
จึงทูลให้ไปรับน้องรัก มาเป็นอัคเรศเอกภิเษกศรี
ควรหรือยังคั่งแค้นแสนทวี ไม่เห็นดีบ้างหรือเจ้าเยาวลักษณ์
อย่าผินหลังนั่งเฉยอยู่เลยน้อง ที่ขัดข้องข้อไหนเจ็บใจหนัก
เอากริชพี่นี่แน่น้องรัก ตามแต่จักเชือดทำให้หนำใจ ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๏ เมื่อนั้น จินตะหราวาตีศรีใส
ทั้งรักทั้งแค้นแน่นฤทัย นางทรามวัยวันทาแล้วพาที
ไม่ลืมคุณทูลกระหม่อมชุบย้อมเลี้ยง ได้ชื่อเสียงสมคะเนมเหสี
ไฉนพระจะมาให้ฆ่าตี น้องไม่มีขัดเคืองด้วยเรื่องไร
หรือมีผู้รู้เห็นเป็นโจทก์ ทูลกล่าวโทษว่าน้องทำไฉน
ซึ่งทรงธรรม์สัญญาว่าไว้ เล่าก็ไม่มีผิดสักนิดเลย
แต่น้องรักศักดิ์ต่ำเหมือนน้ำมาก ขึ้นท่วมปากสุดที่จะทูลเฉลย
อย่าลูบหลังซังตายภิปรายเปรย น้องก็เคยเป็นข้ามาช้านาน
เหมือนเขาเปรียบเทียบความเมื่อยามรัก แต่น้ำผักต้มขมก็ชมหวาน
ถึงยามยืดจืดกร่อยทั้งอ้อยตาล เคยโปรดปรานเปรี้ยวเค็มรู้เต็มใจ
ขออยู่เป็นข้าฝ่าพระบาท ไม่แข่งวาสนาหามิได้
เสด็จมาช้าอยู่แม้นรู้ไป จะเคืองใจพระน้องจะหมองมัว
ด้วยแรกเริ่มเดิมพระสละเสีย มิใช่เมียแล้วจะวิ่งมาชิงผัว
เห็นสูงศักดิ์นักน้องจึงต้องกลัว จะฝากตัวตามประสาเป็นข้าไท
แต่หนหลังพลั้งพลาดประมาทจิต จึงต้องผิดเพียงว่าเลือดตาไหล
แม้นมิจำตำราข้างหน้าไป จะซ้ำได้ความอายเพียงวายปราณ ฯ

ฯ ๑๖ คำ ฯ

ชาตรี

๏ เจ้าเอยเจ้าพี่ ไม่พอที่ว่ากล่าวให้ร้าวฉาน
ความรักน้องครองสัตย์ปฏิญาณ ไม่แต่งการกับพระนุชบุษบา
เจ้าก็รู้อยู่มิใช่ไม่ประจักษ์ หรือลืมรักเสียสิ้นจินตะหรา
จนเกิดศึกกึกก้องจึงต้องมา ช่วยรักษาสุริย์วงศ์ทำสงคราม
พอนางหายภายหลังรับสั่งใช้ ต้องตามไปแรมป่าพนาหนาม
จนพบองค์นงลักษณ์ประจักษ์ความ จึงทูลสามกษัตรามาจัดการ
มิปกครองน้องหญิงจะทิ้งเสีย ให้เป็นเมียข้าศึกนึกสงสาร
เจ้าก็น้องสององค์เป็นวงศ์วาน อย่าคิดการเกียจกันจำนรรจา
จะรักสองน้องรักอัคเรศ เหมือนดวงเนตรพี่ชายทั้งซ้ายขวา
ความรักเจ้าเท่ากันไม่ฉันทา อย่าสงกากินแหนงแคลงฤทัย
จงผินมาพาทีกับพี่บ้าง จะหมองหมางมึนตึงไปถึงไหน
พระว่าพลางทางประโลมลูบไล้ นี่อะไรเฝ้าปัดสะบัดมือ
เจ้าก็รู้อยู่นี่น้องเป็นของหลวง จะห้ามหวงภาษีเห็นดีหรือ
เฝ้าแค้นคิดจิตใจเหมือนไฟฮือ ไม่หายดื้อเลยแล้วหนอแก้วตา ฯ

ฯ ๑๔ คำ ฯ

ร่าย

๏ โปรดเอยโปรดเกศ ขอบพระเดชพระคุณบุญหนักหนา
ซึ่งทรงศักดิ์รักสุดเหมือนบุษบา เห็นเกินหน้าน้องไปจึงไม่ยอม
อันพระนุชบุตรีเป็นที่ยิ่ง ระตูชิงรักรูปจนซูบผอม
แต่เคยเห็นเว้นหายไม่วายตรอม ทูลกระหม่อมอย่ามาเปรียบให้เทียบเทียม
ด้วยหลายปีมิได้ใกล้พระบาท คิดขยาดยังไม่หายที่อายเหนียม
โปรดเหมือนอย่างนางห้ามตามธรรมเนียม อย่าและเลียมโลมลองไม่ต้องการ
ใช่รุ่นราวสาวแส้เหมือนแม่หม้าย เช่นกับปลายอ้อยหมดที่รสหวาน
อย่าว่าดื้อถือโทษจงโปรดปราน แต่ก่อนกาลมิใช่พระไม่เคย ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

โอ้โลม

๏ น้องเอยน้องรัก กระบวนหนักขึ้นกว่าเก่าเจียวเจ้าเอ๋ย
ถึงนับปีมิใช่จะละเลย เจ้าลืมเคยพี่นี้คิดยังติดใจ
ขืนว่ารักบุษบายิ่งกว่าเจ้า จนบอกเล่าตามตรงยังสงสัย
ส่วนใจพี่นี้ไม่ลืมปลื้มอาลัย จะทิ้งให้เป็นหม้ายเสียดายนัก
พระว่าพลางทางประโลมลูบต้อง ค่อยประคองอุ้มนางขึ้นวางตัก
แนบสนิทชิดชมภิรมย์รัก ต่างรู้จักเจนเชิงละเลิงลาน
เมขลาล่อแก้วแววสว่าง อสุรขว้างขวานเปรี้ยงเสียงประหาร
ทั้งฝนฟ้าอาเพศใช่เทศกาล ก็ตกซ่านเซ็นซ่าลงหน้าแล้ง
ยิ่งพรอยพรำน้ำมากเปี่ยมปากบ่อ ท่วมทั้งท่อเล็กน้อยรอยระแหง
โกสุมปทุมานบานแบ่ง ฝูงแมลงภู่ผึ้งลงคลึงเคล้า
อัศจรรย์บันดาลด้วยถ่านดับ พระเพลิงกลับติดฮือกระพือเผา
พระเอนแอบแนบองค์นางนงเยาว์ จนเลยเข้าที่หลับระงับไป ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ กล่อม

ช้า

๏ เมื่อนั้น จินตะหราวาตีศรีใส
ได้ร่วมรสรักร้างที่ห่างไกล อรไทชื่นชมสมคิด
อันความขุ่นเคืองเคียดเดียดฉันท์ ที่ข้อนั้นหายหมดดังปลดปลิด
เพี้ยมเฝ้าเคล้าคลึงพระทรงฤทธิ์ งอนจริตกระบิดกระบวนชวนพูดจา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

ร่าย

๏ เมื่อนั้น ระเด่นมนตรีมียศถา
ได้ร่วมภิรมย์สมจิตที่คิดมา พอเวลารุ่งแจ้งแสงทอง
พระโลมลูบจูบสั่งซังตาย แล้วผันผายลีลามาจากห้อง
ทรงฉลองพระบาทตาดปักกรอง ตรงไปเข้าห้องไสยา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เพลง

๏ เมื่อนั้น โฉมยงองค์ระเด่นจินตะหรา
จึงสั่งทั้งสองกัลยา ให้ไปเฝ้าบุษบานารี
เจ้าอย่าเคียดขึ้งหึงสา ไปวันทาเขาเถิดนะโฉมศรี
ถึงตัวข้าก็จะจรลี เจ้าไปก่อนพี่เถิดน้องรัก ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางมาหยารัศมีมีศักดิ์
ทั้งสการะวาตีนงลักษณ์ บังคมก้มพักตร์แล้วทูลไป
ซึ่งจะให้ไปเฝ้าบุษบา ตัวข้ามิได้ขัดอัชฌาสัย
ต่างบังคมลาแล้วคลาไคล สาวสนมกรมในก็ตามมา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เพลง

๏ ขึ้นปราสาทบุษบานารี เห็นสาวศรีเฝ้าแหนอยู่แน่นหนา
หมอบเมียงเคียงกันทั้งสองรา ก้มหน้าพากันอัญชลี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ระเด่นบุษบามารศรี
เห็นสองกัลยานารี เทวีนิ่งนึกตรึกไตร
เห็นจะเป็นจินตะหราวาตี ให้ระเด่นสองศรีนี้มาไหว้
จึงดำรัสตรัสสั่งสาวใช้ ยกพานสลาไปให้สองนาง ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สาวใช้พากันอยู่ชั้นล่าง
ได้รับสั่งตั้งพานสลาพลาง ลางนางโบกปัดพัดวี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น บุษบาแน่งน้อยนวลศรี
จึงตรัสปราศรัยเป็นไมตรี ด้วยสุนทรวาทีเป็นที่รัก
เจ้าหรือคือเป็นพี่ยา สังคามาระตามีศักดิ์
ทั้งทรวดทรงเอวองค์วงพักตร์ งามละม้ายคล้ายนักเสมอกัน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สองนางพลางทูลนางจอมขวัญ
สังคามาระตาร่วมชีวัน เป็นน้องรองหม่อมฉันลงไป
ตัวข้าทั้งสองขอรองบาท ไปกว่าชีวาตม์จะตักษัย
ทั้งบิดรมารดาก็อยู่ไกล อรไทจงทรงปรานี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ระเด่นบุษบามารศรี
ฟังสองสุดาพาที เทวีจึงตอบวาจา
เจ้าอย่าประหวั่นพรั่นจิต เราไม่คิดเคียดขึ้งหึงสา
จะรักเจ้าเท่าน้องทั้งสองรา ด้วยเราร่วมภัสดาเดียวกัน
ตรัสพลางทางประทานสิ่งของ แก่สองวนิดาจอมขวัญ
ธำมรงค์สร้อยสนสังวาลวรรณ ทั้งแพรพรรณต่างต่างอย่างดี
แล้วดำรัสตรัสสั่งหกธิดา จงไปเฝ้าจินตะหรามารศรี
จะให้สองนางนำจรลี อย่าให้มีรังเกียจกันสืบไป ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สองนางรับของด้วยผ่องใส
ถวายบังคมลาแล้วคลาไคล พาหกนางไปมิได้ช้า ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เพลง

๏ ครั้นถึงจึงชวนหกนาง เยื้องย่างขึ้นปราสาทจินตะหรา
ทั้งแปดนางต่างถวายวันทา องค์ระเด่นจินตะหราวาตี

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ระเด่นจินตะหรามารศรี
เห็นหกนางกัลยานารี ขึ้นมาอัญชลีก็แจ้งใจ
ว่าโฉมยงองค์ระเด่นบุษบา ให้หกนางนี้มาบังคมไหว้
จึงให้หาเข้ามาข้างใน แล้วปราศรัยไต่ถามตามกิจจา
ที่จริงจิตคิดจะไปพูดเล่น กับระเด่นบุษบาเสนหา
แต่ธุระไม่ได้ว่างห่างเวลา จึงมิได้ไคลคลาไปหากัน
ทั้งหกนางอย่าแหนงแคลงฤทัย เรามิได้รังเกียจเดียดฉันท์
จงนึกว่าร่วมวงศ์พงศ์พันธุ์ ไปกว่าชีวันจะบรรลัย ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หกนางต่างบังคมประนมไหว้
ยินดีพ้นที่จะอุปมัย จึงทูลไปด้วยไวปัญญา
อันระเด่นบุษบายาจิต มิได้คิดเคียดขึ้งหึงสา
ตรัสไว้ว่าจะให้ข้าไคลคลา พอทั้งสองกัลยาไปอัญชลี
จึงให้พาข้าน้อยนี้มาเฝ้า ก้มเกล้าประณตบทศรี
ข้าขอรองบาทาฝ่าธุลี ไปกว่าชีวีจะบรรลัย

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น จินตะหราวาตีศรีใส
จึงจัดแจงสิ่งของที่ต้องใจ มาให้หกนางล้วนอย่างดี
แหวนเพชรเม็ดใหญ่มิใช่เล่น ซื้อเป็นพันบาทจากราชเศรษฐี
แหวนทับทิมถมยาราชาวดี องค์ระเด่นมนตรีประทานไว้
มรกตใบหนึ่งถึงแปดชั่ง ท่านพระคลังซื้อมาแต่เมืองใหม่
แหวนมณฑปนพเก้าอีกสามใบ ประทานให้คนละวงด้วยจงรัก
จึงดำรัสตรัสสั่งดังประสงค์ ช่วยทูลองค์บุษบามีศักดิ์
ว่าเรานี้จะไปให้พบพักตร์ ให้โฉมตรูรู้จักรักใคร่กัน ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หกนางปรีดิ์เปรมเกษมสันต์
ต่างรับธำมรงค์ทรงใส่พลัน แล้วบังคมคัลลามา

ฯ ๒ คำ ฯ เพลง

๏ ครั้นถึงปราสาทแก้วแพรวพราย ต่างถวายบังคมก้มเกศา
ทูลความตามได้ไคลคลา ไปเฝ้าจินตะหราวาตี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ระเด่นบุษบามารศรี
ทรงฟังทั้งหกทูลคดี เทวีมิได้ตรัสประการใด ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น จินตะหราวาตีศรีใส
ครั้นหกนางต่างคืนกลับไป อรไทสระสรงคงคา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

ชมตลาด

๏ ลูบไล้ขัดสีฉวีวรรณ ทรงสุคนธ์ปนสุคันธบุปผา
ภูษาทรงนุ่งหยี่สีจำปา สไบม่วงดวงชบาจินเจา
สอดสังวาลบานพับประดับพลอย ธำมรงค์ทรงก้อยทองเนื้อเก้า
แล้วนาดกรกรีดกรายพรายเพรา ชวนเหล่าสนมในไคลคลา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

ร่าย

๏ ถึงปราสาทบุษบายุพาพักตร์ เห็นผู้คนคึกคักอยู่หนักหนา
ให้คิดขวยเขินดำเนินมา สองราชี้ทางให้นางจร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เข้าห้องเห็นระเด่นมนตรี กับบุษบานารีดวงสมร
นางเข้าไปบังคมประนมกร องค์อิเหนาเจ้านครกุเรปัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น บุษบาเพราเพริศเฉิดฉัน
จึงหยิบพานสลามาพลัน ตั้งให้นางนั้นทันใด ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น จินตะหราวาตีศรีใส
จึงกล่าวรสพจนาปราศรัยไป กับอรไทบุษบายุพาพักตร์
เราสองครองสัตย์ร่วมภัสดา ทั้งเรียงวงศ์พงศาสูงศักดิ์
พบปะที่ไหนมิได้ทัก ด้วยว่าไม่รู้จักรักใคร่กัน
ตั้งแต่วันนี้ไปวันหน้า เราอย่ารังเกียจเดียดฉันท์
มีสุขทุกข์ภัยให้บอกกัน ไปกว่าชีวันจะบรรลัย ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น บุษบานารีศรีใส
รับคำจินตะหราแล้วว่าไป มิเป็นใดดอกอย่าแหนงแคลงวิญญาณ
คิดไว้ว่าจะไปพูดเล่น แต่ใช่เช่นเชื้อวงศ์ยังสงสาร
นี่ในเผ่าพงศ์วงศ์วาน เราสมานเสียให้สิ้นเขานินทา
ถ้ามีทุกข์ฉุกเข็ญเป็นไฉน ก็จะได้คิดกันเมื่อวันหน้า
เราสองครองรักร่วมชีวา ไปกว่ามอดม้วยลงด้วยกัน ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ระเด่นมนตรีฟังนั่งสรวลสันต์
จึงตรัสแก่ขนิษฐาสองรานั้น เจ้าผู้ขวัญนัยเนตรเกศสุรางค์
อย่าเคียดขึ้งหึงสาเลยหนาน้อง มันจะต้องเป็นหม้ายอายผีสาง
ไกล่เกลี่ยเสียให้ดีนี่แนะนาง ถ้าจัณฑาลรานทางไม่ชอบใจ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น จินตะหราวาตีศรีใส
รับพระบัญชาภูวไนย อรไทถวายบังคมลา
ลุกดำเนินเดินนาดดังราชหงส์ บุษบาตามส่งจินตะหรา
ถึงประตูหูช้างทางเข้ามา นางก็ลาไปตำหนักสำนักนาง ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เพลง

๏ เมื่อนั้น อิเหนาเฝ้าชมไม่แหห่าง
ไปมาหาสู่ทั้งสิบนาง มิได้ว่างเว้นสวาทขาดวัน
มีพระทัยใสโสมนัสสา องค์ระเด่นบุษบาสาวสรรค์
ยิ่งกว่านางทั้งเก้าเหล่านั้น ด้วยร่วมวงศ์เทวัญกันมา
ทั้งเป็นเพื่อนยากลำบากลำบน ต้องซุกซนซอกซอนนอนกลางป่า
จักกะแหล่นจะตายวายชีวา เพราะเที่ยวหาน้องนุชจนสุดฤทธิ์
ร่ายภิรมย์ชมรสต่างต่าง ตามอย่างกษัตริย์สุจริต
เพลิดเพลินเจริญใจอยู่เป็นนิจ มิได้คิดฉันทาราคี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

 

https://vajirayana.org/system/files/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B2_264950.pdf

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ