- คำอธิบาย ว่าด้วยบทละคร อิเหนาฉบับหอพระสมุดวชิรญาณ
- เล่มที่ ๑
- เล่มที่ ๒
- เล่มที่ ๓
- เล่มที่ ๔
- เล่มที่ ๕
- เล่มที่ ๖
- เล่มที่ ๗
- เล่มที่ ๘
- เล่มที่ ๙
- เล่มที่ ๑๐
- เล่มที่ ๑๑
- เล่มที่ ๑๒
- เล่มที่ ๑๓
- เล่มที่ ๑๔
- เล่มที่ ๑๕
- เล่มที่ ๑๖
- เล่มที่ ๑๗
- เล่มที่ ๑๘
- เล่มที่ ๑๙
- เล่มที่ ๒๐
- เล่มที่ ๒๑
- เล่มที่ ๒๒
- เล่มที่ ๒๓
- เล่มที่ ๒๔
- เล่มที่ ๒๕
- เล่มที่ ๒๖
- เล่มที่ ๒๗
- เล่มที่ ๒๘
- เล่มที่ ๒๙
- เล่มที่ ๓๐
- เล่มที่ ๓๑
- เล่มที่ ๓๒
- เล่มที่ ๓๓
- เล่มที่ ๓๔
- เล่มที่ ๓๕
- เล่มที่ ๓๖
- เล่มที่ ๓๗
- เล่มที่ ๓๘
เล่มที่ ๓๒
ช้า
๏ เมื่อนั้น | ฝ่ายองค์ย่าหรันเรืองศรี |
คิดถึงพระชนกชนนี | มีแต่เศร้าสร้อยละห้อยใจ |
จึงปรึกษาเกนหลงหนึ่งหรัด | บัดนี้พระเชษฐาเป็นใหญ่ |
ตัดขาดไม่คืนเวียงชัย | เพราะกลัวสองภูวไนยจะโกรธา |
จะมิให้อยู่ด้วยพระพี่นาง | อางขนางข้อนี้เป็นหนักหนา |
เราอ้อนวอนก็สุดปัญญา | จะว่ากล่าวอย่างไรไม่ไยดี |
แต่เราจากบิตุเรศมารดา | ก็นานช้ามิได้กราบบทศรี |
แม้นจะลากลับไปธานี | เห็นกะกังปันหยีจะสงกา |
ก็จะพาพี่นางซ่อนซุ่ม | เที่ยวไปมะงุมมะงาหรา |
ถึงสองพระองค์ทรงนครา | เสด็จมาที่ไหนจะพบพาน |
ก็จะพลัดพรากกันอยู่ฉันนี้ | พี่คิดจะใคร่มีอักษรสาร |
ลอบไปถวายพระภูบาล | เยาวมาลย์จะเห็นประการใด ฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | เกนหลงหนึ่งหรัดศรีใส |
ได้ฟังพี่ยาก็อาลัย | อรไทกราบลงกับบาทา |
แล้วทูลไปด้วยใจภักดี | ซึ่งดำรินี้ชอบหนักหนา |
เห็นกษัตริย์ทั้งสองพารา | จะมารับพี่ยาไปธานี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ย่าหรันครั้นฟังยาหยี |
จึงเขียนสารสองฉบับทันที | ตามมีความหลังทุกสิ่งไป |
แล้วเรียกกิดาหยันอันสนิท | เคยใช้ชิดไว้เนื้อเชื่อใจได้ |
ค่อยกระซิบสั่งพลันทันใด | จงเอาสาราไปบัดนี้ |
ถวายแก่องค์ศรีปัตหรา | กุเรปันดาหากรุงศรี |
คิดอ่านประหยัดจงดี | อย่าให้พระพี่แจ้งกิจจา ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ทั้งสองกิดาหยันหรรษา |
ก้มเกล้าถวายบังคมลา | พากันออกมาฉับไว ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ต่างเรียกบ่าวไพร่ทั้งหลาย | ใครจะรู้แพร่งพรายก็หาไม่ |
พร้อมแล้วขึ้นม้าคลาไคล | แยกไปโดยทางพนาลี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ฝ่ายว่ากิดาหยันผู้หนึ่ง | ครั้นถึงกุเรปันกรุงศรี |
ก็แจ้งแก่มหาเสนี | ตามมีสาราทุกสิ่งอัน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ดะหมังเสนีคนขยัน |
แจ้งเหตุพากันจรจรัล | เข้ายังพระโรงคัลรจนา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ ครั้นถึงบังคมคัลอัญชลี | กราบทูลองค์ศรีปัตหรา |
บัดนี้ระเด่นสียะตรา | ให้สารามาถวายพระทรงธรรม์ |
ทั้งพระอนุชาชัยชาญ | ซึ่งผ่านดาหาเขตขัณฑ์ |
ว่าพระโอรสาธิดานั้น | พร้อมกันอยู่กาหลังเวียงชัย ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวกุเรปันเป็นใหญ่ |
รับเอาสารามาทันใด | ภูวไนยทรงคลี่ด้วยยินดี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
ช้า
๏ ศุภสารระเด่นสียะตรา | กับระเด่นวิยะดามารศรี |
บังคมพระชนกชนนี | แทบใต้ธุลีพระบาทา |
บัดนี้กะกังอิเหนา | โศกเศร้าไปเที่ยวตามหา |
พบองค์พี่นางบุษบา | พระเชษฐาปกป้องครองกัน |
ข้าบาทได้ทูลอ้อนวอน | ให้คืนนครเขตขัณฑ์ |
ตรัสว่ากลัวสองพระทรงธรรม์ | จะบากบั่นให้นิราศคลาดคลา |
ครั้นข้าจะกลับแต่ลำพัง | ก็อาลัยกะกังเป็นหนักหนา |
จึงลอบแต่งศุภสารา | ถวายมาให้ทราบบทมาลย์ |
ว่าพร้อมกันอยู่ทั้งสี่ | ในบุรีกาหลังราชฐาน |
หวังจะให้ดับร้อนรำคาญ | สองพระองค์ผู้ผ่านธรณี ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
ร่าย
๏ ครั้นทรงเสร็จสิ้นในสาร | เบิกบานพระทัยเกษมศรี |
ดังได้ทิพรสวารี | มาโสรจสรงอินทรีย์ให้ปรีดา |
จึงบัญชาสั่งเสนาใน | จงเตรียมพลไกรซ้ายขวา |
รถประเทียบสาวสรรค์กัลยา | โดยพยุหยาตราฉับพลัน |
ให้เสร็จแต่รุ่งอโณทัย | กูจะไปกาหลังเขตขัณฑ์ |
สั่งแล้วก็เสด็จจรจรัล | เข้าปราสาทสุวรรณรูจี ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ
๏ ครั้นถึงจึงยื่นสารให้ | แก่องค์ประไหมสุหรี |
ตรัสแจ้งความนั้นทันที | ตามคดีมีมาทุกสิ่งอัน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์ประไหมสุหรีเฉิดฉัน |
คลี่สารอ่านดูด้วยพลัน | ครั้นแจ้งยินดีเป็นพ้นไป |
จึงบังคมคัลวันทา | ทูลศรีปัตหราเป็นใหญ่ |
แม้นจะให้ไปหาบัดนี้ไซร้ | ที่ไหนอิเหนาจะกลับมา |
ขอเชิญพระองค์ทรงธรรม์ | กรีธาพลขันธ์ไปดีกว่า |
ข้าจะตามเสด็จไคลคลา | จึงจะได้ลูกยามาธานี ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวกุเรปันเรืองศรี |
ได้ฟังอัครราชเทวี | ภูวไนยจึงมีพจมาน |
บัดนี้ให้เตรียมพลไกร | จะยกไปแต่รุ่งสุริย์ฉาน |
อันพระอนุชาชัยชาญ | เห็นจะยกทวยหาญไปด้วยกัน ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | มเหสีทั้งห้าเกษมสันต์ |
อีกฝูงพระสนมกำนัล | ฟังพระบัญชาสำราญใจ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เสนีธิบดีน้อยใหญ่ |
เกณฑ์หมู่พหลพลไกร | อุตลุดทั้งในธานี |
บ้างตกแต่งรถทรงอลงกต | รถประเทียบแลรถสาวศรี |
ขุนม้าก็ผูกพาชี | เครื่องมณีแกมสุวรรณรจนา |
ขุนช้างต่างผูกคชสาร | หมอควาญเลือกล้วนแกล้วกล้า |
อันหมู่ทวยหาญแลเสนา | ก็แต่งตัวโอ่อ่าประกวดกัน |
ถือสาตราอาวุธเพริศพราย | ตั้งตาริ้วรายเป็นหลายหลั่น |
จัดถ้วนโดยกระบวนครบครัน | เตรียมคอยทรงธรรม์จรลี ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | กิดาหยันซึ่งนำสารศรี |
ครั้นถึงดาหาธานี | ก็แจ้งแก่เสนีทันใด ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ตำมะหงงฟังแจ้งแถลงไข |
รับสารแล้วพากันคลาไคล | เข้าไปยังพระโรงรจนา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ ครั้นถึงจึงประณตบทบงสุ์ | ทูลพระองค์ทรงพิภพดาหา |
บรรยายแถลงแจ้งกิจจา | แล้วถวายสาราทันที ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระผู้วงศ์เทวาในราศี |
รับสารมาจากเสนี | แล้วคลี่ออกทรงด้วยพลัน |
ครั้นแจ้งคดีก็ปรีดา | ดังได้ผ่านฟากฟ้ากระยาหงัน |
อนิจจาสียะตราลาวัณย์ | ไปเที่ยวหากันจนพบพาน |
แต่น้อยใจกาหลังอนุชา | เหตุใดมิให้มาบอกขาน |
ให้เราเศร้าโศกมาช้านาน | ไม่มีความสำราญบานใจ |
แล้วมีพระราชบัญชา | สั่งมหาเสนาผู้ใหญ่ |
จงเร่งเตรียมพหลพลไกร | ตามในพยุหยาตรา |
แต่รุ่งจะให้ยกจตุรงค์ | ไปรับเสด็จองค์พระเชษฐา |
ที่ทางร่วมกาหลังพารา | สั่งเสร็จเข้ามหาปราสาทชัย ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ เสมอ
๏ นั่งเหนือแท่นรัตน์รูจี | ตรัสแก่มเหสีพิสมัย |
แจ้งความแต่ต้นจนปลายไป | แล้วยื่นสารให้นางเทวี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | โฉมยงองค์ประไหมสุหรี |
รับสารมาอ่านทันที | ทั้งสี่มเหสีก็ทัศนา |
ครั้นแจ้งในความทุกสิ่งอัน | ต่างองค์เกษมสันต์หรรษา |
ดังได้อมฤตหยาดฟ้า | มาโสรจสรงกายาสิ้นอาวรณ์ |
อันฝูงอนงค์ในซึ่งใช้ชิด | แจ้งจิตสะกิดกันสโมสร |
แล้วห้ามเหสีชลีกร | ทูลพระภูธรทันที |
จะขอตามเสด็จบาทบงสุ์ | พระองค์จงโปรดเกศี |
จะได้พบโอรสแลบุตรี | ให้คลายที่โศกาอาลัย ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวดาหาสุริย์วงศ์เป็นใหญ่ |
รับคำมเหสีทรามวัย | แล้วเข้าในห้องทองรจนา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ บัดนั้น | เสนีผู้ใหญ่ซ้ายขวา |
กะเกณฑ์รี้พลโยธา | ตรวจตราหากันเป็นโกลี |
บ้างเอาเจ้าหมู่มาเร่งรัด | ผูกมัดตรากตรึงอึงมี่ |
บ้างได้ลูกเมียมาโบยตี | บ้างให้พี่น้องส่งกัน |
อันเหล่าทวยหาญชาญยุทธ์ | จัดแจงอุตลุดทั้งเขตขัณฑ์ |
บ้างเบิกอาวุธครบครัน | พากันมาเข้าทัพชัย |
บ้างให้ผูกช้างผูกม้า | ประดับราชรถาศรีใส |
ทั้งรถประเทียบอนงค์ใน | เตรียมไว้พร้อมพรั่งดังบัญชา ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระองค์ทรงพิภพดาหา |
ครั้นอุทัยเรืองรองส่องฟ้า | ตื่นจากนิทราเปรมปรีดิ์ |
จึงมีสุนทรวาจา | ชวนห้าอัคเรศมเหสี |
ยุรยาตรนาดกรจรลี | เข้าที่สรงสหัสธารา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
โทน
๏ ต่างองค์ทรงสุคนธ์ปนทอง | นวลละอองรื่นรวยด้วยบุปผา |
พระทรงสนับเพลาพัสตรา | นางทรงภูษาค่าเมือง |
พระทรงชายแครงชายไหว | นางทรงสไบตาดสีเหลือง |
พระทรงฉลององค์อร่ามเรือง | นางทรงสร้อยเฟื่องยรรยง |
พระทรงสังวาลบวร | นางทรงทองกรแสงส่ง |
พระทรงพาหุรัดบรรจง | นางทรงธำมรงค์รูจี |
พระทรงมงกุฎเพชรแพร้ว | นางทรงกรรเจียกแก้วจำรัสศรี |
ห้านางทรงอุบะมณี | พระภูมีทรงกริชฤทธิรอน |
งามดังอสัญแดหวา | ปรีดาด้วยสุรางค์นางอัปสร |
แล้วพากันเสด็จบทจร | กรายกรมาขึ้นรถชัย ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ เสมอ
ร่าย
๏ อันพระมเหสีทั้งห้าองค์ | ทรงรถตามลำดับน้อยใหญ่ |
รถสนมกำนัลเป็นหลั่นไป | ให้เคลื่อนพลไกรจากพารา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ กลองโยน
โทน
๏ รถเอยราชรถแก้ว | เพริศแพร้วเรืองอร่ามพระเวหา |
ดุมวงกงกำล้วนจินดา | งอนระหงธงหน้าสามชาย |
แปรกบังรังเรือนแสงสุก | จตุรมุขพรหมพักตร์เฉิดฉาย |
หน้าบันเครือกระหนกนกกลาย | รูปนารายณ์ทรงครุฑเผ่นทะยาน |
สารถีขับสินธพชาติ | โอภาสดังรถพระสุริย์ฉาน |
ประดับด้วยเครื่องสูงโอฬาร | ปี่กลองฆ้องขานนี่นัน |
พลเข้าริ้วรายซ้ายขวา | ดั้งแซงหลังหน้าหลายหลั่น |
รถประเทียบตามระเบียบเรียงรัน | ทั้งรถสาวสรรค์กำนัลใน |
เสียงรถเสียงช้างเสียงม้า | เสียงพลโห่โกลาแผ่นดินไหว |
ผงคลีบดบังอโณทัย | รีบยกไปในอรัญวา ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๏ ครั้นถึงซึ่งทางร่วมกัน | ให้หยุดยั้งพลขันธ์ซ้ายขวา |
ตั้งที่ประทับพลับพลา | คอยพระเชษฐาธิบดี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ฝ่ายท้าวกุเรปันเรืองศรี |
ครั้นอุทัยส่องฟ้าธาตรี | ฟื้นองค์จากที่ไสยา |
จึงชวนทั้งห้ามเหสี | กับกะหรัดตะปาตีโอรสา |
เสด็จจากแท่นแก้วรจนา | มาเข้าที่สรงชลธาร ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
โทน
๏ ต่างชำระสระสนานกายา | สุคนธาตรลบหอมหวาน |
สอดทรงสนับเพลาโอฬาร | ภูษาตระการพื้นสุวรรณ |
ซ่าโบะครุยแครงอำไพ | ทรงสไบต่างสีเฉิดฉัน |
ฉลององค์เลื่อมลายพรายพรรณ | สร้อยสังวาลกุดั่นจินดาดวง |
พาหุรัดทองกรยรรยง | ต่างสอดธำมรงค์โชติช่วง |
สององค์ทรงมงกุฎดอกไม้พวง | กรรเจียกแก้วรุ้งร่วงพรายตา |
ห้าองค์ทรงศิโรเพฐน์แพร้ว | กุณฑลแก้วมณีมีค่า |
ทัดอุบะเพชรพวงรจนา | ถือเช็ดหน้าต่างสีบรรจง |
สองกษัตริย์ทรงกริชฤทธิไกร | งามดังเทพไทครรไลหงส์ |
เสด็จจากปราสาททั้งเจ็ดองค์ | ฝูงอนงค์ตามเสด็จจรลี ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ เพลง
ร่าย
๏ ถึงเกยต่างทรงรถา | รถประเทียบทั้งห้ามเหสี |
รถสนมกำนัลนารี | ชิงที่นั่งเบียดเสียดกัน |
อันกะหรัดตะปาตีโอรสา | เป็นกองหน้านำเสด็จผายผัน |
ให้เคลื่อนจัตุรงค์จรจรัล | ออกจากเขตขัณฑ์เวียงชัย ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ กลองโยน
โทน
๏ รถเอยรถกุดั่น | พลอยประดับสลับกันสรรใส่ |
ดุมวงกงกำอำไพ | แสงใสยิ่งยาราชาวดี |
เจ็ดชั้นบังลังก์กระจังราย | กาบฉลุระบุลายระบายสี |
พระยี่ภู่ปูลาดสะอาดดี | พนักล้วนมณีดังวิมาน |
สารภีขี่ขับสินธพผยอง | รนร้องลองเชิงเริงร่าน |
ฉัตรชัยชุมสายชัชวาล | ทานตะวันพัดโบกโบยลม |
ฆ้องกลองแตรสังข์อึงอัด | เสียงพลเพียงปัถพีล่ม |
เสนาหน้าหลังทุกกรม | ขัดดาบแห่ประนมดาษดา |
ช้างดั้งช้างกันขับแข่ง | ม้าแซงนอกในซ้ายขวา |
เร่งรีบจัตุรงค์โยธา | ไปโดยมรคาพนาวัน ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | ท้าวดาหาสุริย์วงศ์รังสรรค์ |
เห็นศรีปัตหรากุเรปัน | ยกพลขันธ์มาก็ดีใจ |
พระจึงลงจากพลับพลา | พร้อมด้วยเสนาน้อยใหญ่ |
กรายกรบทจรคลาไคล | ไปยังรถทรงอลงการ์ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ ครั้นถึงจึงประณตบทบงสุ์ | ทูลองค์สมเด็จพระเชษฐา |
แต่ข้าแจ้งสารสียะตรา | ก็ยกมาคอยเสด็จพระภูมี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวกุเรปันเรืองศรี |
ได้ฟังอนุชาธิบดี | จึงมีบัญชาอันสุนทร |
แต่พี่แจ้งใจในสารา | ก็มีความปรีดาสโมสร |
ให้เร่งตรวจตราพลากร | ยกจากนครรีบมา |
ครั้งนี้จะคลายวายทุกข์ | สมบูรณ์พูนสุขไปภายหน้า |
ด้วยเดชเทเวศร์อันศักดา | ช่วยรักษาทั้งสี่อะหนะไว้ |
จะได้สืบสุริย์วงศ์พงศ์ประยูร | จึงพร้อมมูลหาอันตรายไม่ |
เจ้าจงยกพลสกลไกร | เป็นทัพหน้าไปบัดนี้ ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวดาหาผู้รุ่งรัศมี |
รับพระบัญชาด้วยยินดี | ยอกรชลีแล้วกลับมา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ จึงแจ้งแก่มเหสีทั้งห้าองค์ | ต่างเสด็จขึ้นทรงรถา |
ให้ยกนิกรโยธา | นำทัพพระเชษฐาคลาไคล ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวกุเรปันเป็นใหญ่ |
กรีพลจัตุรงค์ตามไป | ข้ามธารผ่านไศลไพรวัน |
อันหมู่เสนามนตรี | โยธีมีแต่เกษมสันต์ |
ทั้งฝูงพระสนมกำนัล | เห็นพรรณมิ่งไม้นานา |
มฤคีปักษีเกลื่อนไพร | ชมสำราญบานใจถ้วนหน้า |
รีบรัดจัตุรงค์โยธา | ไปโดยมรคาพนาลัย ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นมาถึงเมืองกาหลัง | จึงสั่งนิกรน้อยใหญ่ |
ให้หยุดพหลสกลไกร | อยู่นอกพิชัยธานี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ฝ่ายท้าวกาหลังเรืองศรี |
แจ้งว่าพระเชษฐาธิบดี | ทั้งสองบุรียกมา |
มีพระทัยชื่นชมโสมนัส | ตรัสสั่งเสนีซ้ายขวา |
จงเตรียมรี้พลโยธา | ผูกทั้งคชาชัยชาญ |
จะไปรับสองศรีปัตหรา | เข้ามายังนิเวศน์วังสถาน |
เร่งรัดจัดกันอย่าทันนาน | ให้พร้อมในกาลบัดนี้ ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เสนารับสั่งใส่เกศี |
ถวายบังคมคัลทันที | ออกมายังที่ศาลา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
ยานี
๏ เกณฑ์หมู่รี้พลสกลไกร | นายไพร่ทุกหมวดพร้อมหน้า |
บ้างเร่งผูกช้างผูกม้า | ตรวจตราหากันวุ่นวาย |
บรรดาเสนามนตรี | ชาวที่ชาววังทั้งหลาย |
พระหลวงขุนหมื่นพันทนาย | แต่งกายคอยเสด็จจรลี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | กิดาหยันซึ่งนำสารศรี |
กลับมากับสองพระภูมี | ก็เข้าในธานีทันใด ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงทูลย่าหรัน | ว่าสองพระทรงธรรม์เป็นใหญ่ |
เสด็จมาประทับพลไกร | อยู่นอกพิชัยพารา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ย่าหรันวิลิศมาหรา |
ฟังแจ้งยินดีปรีดา | ดังได้ฟากฟ้าดุษฎี |
จึงชวนขนิษฐายาใจ | จะไปเชิญกะกังปันหยี |
ออกไปเฝ้าสองพระภูมี | ยังที่ประทับพลับพลาชัย |
ว่าแล้วพากันลีลา | จากดาหาปาตีที่อาศัย |
อันพวกกิดาหยันสาวใช้ | ก็ตามไปเกลื่อนกลาดดาษดา ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ เพลง
๏ ครั้นถึงแต่สองเข้าห้องแก้ว | แล้วบังคมทูลพระเชษฐา |
บัดนี้สองพระองค์เสด็จมา | อยู่นอกนคราธานี |
เชิญเสด็จพระเชษฐาคลาไคล | ออกไปประณตบทศรี |
ถึงมาตรว่าความผิดมี | เห็นทีจะทรงเมตตา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ปันหยีได้ฟังพระน้องว่า |
ตกใจดังจะม้วยชีวา | พักตราซีดเผือดลงทันใด |
จึงตอบวาจายาหยี | สุดปัญญาพี่นี้จะไปได้ |
เพราะเหตุด้วยคิดเบาใจ | ทั้งซ้ำให้เคืองบาทพระทรงธรรม์ |
ถึงศรีปัตหราจะกริ้วโกรธ | ลงโทษพี่ม้วยอาสัญ |
ก็มิได้อาลัยแก่ชีวัน | ด้วยผิดนั้นใหญ่พ้นคณนา |
เกรงแต่พระจะพรากโฉมเฉลา | ให้ร้อนเร่าเศร้าโทมนัสสา |
ยิ่งกว่าที่จะสิ้นชนมา | อนุชาจะคิดฉันใดดี ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ย่าหรันผู้รุ่งรัศมี |
ยอกรทูลสนองไปทันที | ข้อนี้ไว้เป็นธุระน้อง |
จะเฝ้าอ้อนวอนด้วยปัญญา | ทูลพระผ่านฟ้าทั้งสอง |
สุดแต่ให้ได้อยู่เป็นคู่ครอง | มิให้เคืองละอองพระบาทา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ปันหยีได้ฟังขนิษฐา |
พระจึงนิ่งนึกตรึกตรา | แล้วตอบวาจาไปทันใด |
เมื่อพระองค์ยังทรงพระโกรธา | อนุชาหรือจะหาญทัดทานได้ |
ว่าพลางทางสะท้อนถอนใจ | ตะลึงไปมิได้พาที ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นอรสามารศรี |
จึงบังคมทูลพระภูมี | ข้อนี้จงถวิลจินดา |
แม้นพระองค์ยังทรงพระโกรธอยู่ | ไหนจะสู้เสด็จมาเดินป่า |
แต่เราทั้งสี่นี้จากมา | เห็นจะทรงโศกาอาลัย |
ด้วยเคยมีพระทัยเสนหา | ดังดวงนัยนาไม่เปรียบได้ |
ซึ่งจะมิไปเฝ้าภูวไนย | ผิดนั้นจะยิ่งใหญ่พันทวี |
ถึงพระองค์จะพรากบากบั่น | ข้อนั้นอย่าหม่นหมองศรี |
น้องจะอ้อนวอนพระชนนี | ทั้งมะเดหวีศรีโสภา |
ให้ช่วยพิดทูลผ่อนผัน | พระทรงธรรม์ก็จะโปรดเกศา |
พระองค์จงฟังวาจา | พาน้องไปเฝ้าบัดนี้ ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | โฉมยงองค์มิสาระปันหยี |
ฟังระเด่นอรสาพาที | ภูมียิ้มพลางทางตอบไป |
อนิจจาเจ้าว่าก็เพราะรัก | ประจักษ์อยู่ทุกสิ่งไม่สงสัย |
แต่พี่มีความน้อยใจ | ด้วยได้ทุกข์ร้อนทรมาน |
ครั้งก่อนมะเดหวีก็รับแล้ว | ต่อหน้าน้องแก้วในวิหาร |
แต่คอยฟังจนสั่งให้ตั้งการ | ชนมานพี่เพียงจะม้วยมรณ์ |
ครั้งนี้จะให้ช่วยอีกเล่า | โฉมเฉลาเจ้าจงคิดดูก่อน |
หากพี่ล้างการสยุมพร | จึงได้ดวงสมรมายาใจ ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ติหลาอรสาศรีใส |
ได้ฟังวาจาภูวไนย | ค้อนให้แล้วตอบไปทันที |
เอาอะไรที่ไหนมาเจรจา | เชิงคิดค่อนว่าน่าบัดสี |
เมื่อรู้อยู่สิ้นทั้งธานี | ครั้งนี้หรือจะไม่เมตตา |
จะว่าอย่างไรก็ไม่เชื่อ | น่าเบื่อน่าแค้นหนักหนา |
ใครใช้ให้ก่อการมา | จะพลอยพาให้ผิดซ้ำไป ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ปันหยีได้ฟังก็หม่นไหม้ |
ในทรวงร้อนรุ่มดังสุมไฟ | ภูวไนยมิได้พาที |
ให้คิดอัดอั้นตันใจ | เกรงไปจะต้องพรากจากยาหยี |
อกเอ๋ยจะผ่อนผันฉันใดดี | แต่รอรีร้อนใจไปมา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวกาหลังสุริย์วงศ์นาถา |
ชวนห้ามเหสีโสภา | สองธิดามาสรงวาริน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
โทน
๏ ต่างองค์ชำระสระสนาน | สุคนธารเฟื่องฟุ้งจรุงกลิ่น |
สนับเพลาเป็นรูปนาคินทร์ | ภูษาลายรูปกินรีรำ |
ซ่าโบะครุยแครงช่อช้อย | สะอิ้งห้อยมรกตเขียวขำ |
ฉลององค์ทรงข้าวบิณฑ์พื้นดำ | รัดองค์ทรงประจำพรรณราย |
ตาบทิศทับทรวงดาวประพาฬ | สร้อยสนสังวาลเฉิดฉาย |
พาหุรัดทองกรฉลุลาย | พรายพรายธำมรงค์อลงกรณ์ |
ต่างองค์ทรงมงกุฎศิโรเพฐน์ | งามดังเทเวศร์อดิศร |
ถือเช็ดหน้ากรายกริชฤทธิรอน | บทจรมาขึ้นคชา ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ
๏ อันห้าองค์อรรคเทวี | กับสองบุตรีเสนหา |
ทรงสีวิกากาญจน์รจนา | สาวสนมกัลยาก็ตามไป ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ กลองโยน
โทน
๏ ช้างเอยช้างทรง | สามารถอาจองสูงใหญ่ |
เชื้อชาติอัฐคชยศไกร | ชำนาญในยุทธนาราวี |
โขมดข่ายสุวรรณเกี่ยวกรอง | สองหูพู่ห้อยจำรัสศรี |
ทองกุดั่นรัดงารูจี | มีชะนักถักกระวิลพรรณราย |
รัตคนซองหางรจนา | พานหน้าดาวฉลุเฉิดฉาย |
พระทรงขอแก้วแพรวพราย | ควาญท้ายหมายคอยทีคชา |
ประดับด้วยเครื่องสูงเรียงรัน | เสียงฆ้องกลองสนั่นแหล่งหล้า |
คลายคลีรี้พลโยธา | ออกจากทวาราวังใน ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้น | ฝ่ายระเด่นอรสาศรีใส |
ได้ยินสำเนียงเกรียงไกร | ก็ทูลพี่ยาไปทันที |
บัดนี้พระปิ่นปักนัคเรศ | มงกุฎเกศกาหลังกรุงศรี |
เสด็จออกไปเฝ้าสองภูมี | เสียงประโคมอึงมี่เป็นโกลา |
พระช่างนั่งตะลึงอยู่ได้ | หรือจะไม่ไปก็เร่งว่า |
ข้าจะพาพระน้องสองรา | ไปกราบบาทาภูวไนย |
ว่าพลางชลนาคลอเนตร | แสนเทวษทุกข์ทนหม่นไหม้ |
ชวนสองขนิษฐาคลาไคล | จะไปจากห้องพรายพรรณ ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ปันหยีครั้นเห็นก็หวาดหวั่น |
ร้อนจิตดังพิษเพลิงกัลป์ | ลุกตามมากั้นไว้ทันที |
ซึ่งจะให้ไปเฝ้าพระภูวไนย | ยังกระไรอยู่หรือนะโฉมศรี |
แม้นพระองค์ไม่โปรดปรานี | ไหนพี่จะคงชีวา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สามกษัตริย์ได้ฟังพระเชษฐา |
ให้สงสารเป็นพ้นคณนา | จึงสนองวาจาไปพลัน |
แม้นสององค์ยังทรงพระโกรธา | ไว้ข้าจะทูลผ่อนผัน |
สุดแต่มิให้พรากจากกัน | พระอย่าหวาดหวั่นพรั่นฤทัย ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ปันหยีฟังแจ้งแถลงไข |
พี่นี้ขัดสนจนใจ | จะคิดฉันใดก็ตามที |
ให้ไปก็จะออกไปเฝ้า | เห็นแต่เจ้าทั้งสามจะช่วยพี่ |
ว่าแล้วพากันจรลี | กิดาหยันสาวศรีก็ตามมา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เพลง
๏ ครั้นออกนอกทวารเขตขัณฑ์ | พอทันพระประเทียบซ้ายขวา |
เดินพลางทางถวิลจินดา | อนิจจาจะเป็นประการใด ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวกาหลังสุริย์วงศ์เป็นใหญ่ |
ขับช้างพลางเร่งพลไกร | ไปยังที่ประทับทันที ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นใกล้ลงจากช้างที่นั่ง | ชวนทั้งห้าพระมเหสี |
กับสองพระราชบุตรี | จรลีเข้าเฝ้าพระผ่านฟ้า ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ จึงกราบถวายอภิวาท | แทบบาทสองศรีปัตหรา |
ด้วยความภักดีปรีดา | ต่อสองเชษฐาเรืองชัย |
อันพระมเหสีสุริย์วงศ์ | สิบห้าองค์ทรงลักษณ์ศรีใส |
ต่างบังคมคัลทันใด | ตามลำดับน้อยใหญ่ด้วยยินดี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | โฉมยงองค์มิสาระปันหยี |
ให้หวาดหวั่นพรั่นใจพันทวี | ภูมีหยุดยืนตะลึงไป |
สามพระน้องรักตักเตือน | จะเขยื้อนพระองค์ก็หาไม่ |
หลงหนึ่งหรัดฉวยพระหัตถ์ทันใด | จึงได้สติก็เดินมา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึงประณตบทบงสุ์ | สององค์ทรงศักดิ์นาถา |
เสโทซึบซาบอาบกายา | กราบก้มพักตราไม่พาที ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระจอมภพกุเรปันเรืองศรี |
ทั้งท้าวดาหาธิบดี | สองประไหมสุหรีนงลักษณ์ |
เห็นอะหนะทั้งสี่ก็ปรีดา | ดังได้ผ่านฟ้าไตรจักร |
เสนหาเพิ่มพูนพระทัยนัก | ต่างกอดลูกรักเข้าโศกา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
๏ เมื่อนั้น | ท้าวกาหลังสุริย์วงศ์นาถา |
กับห้ามเหสีโสภา | สองราชธิดาลาวัณย์ |
เห็นท้าวกุเรปันเรืองศรี | กอดมิสาระปันหยีกันแสงศัลย์ |
อันท้าวดาหาทรงธรรม์ | กอดย่าหรันเข้าโศกาลัย |
ฝ่ายสองประไหมสุหรี | กอดสองอิสตรีละห้อยไห้ |
ต่างคิดผิดประหลาดหลากใจ | ตะลึงไปมิได้จำนรรจา ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สองพระองค์พงศ์อสัญแดหวา |
ให้คิดน้อยพระทัยไปมา | จึงมีพจนาวาที |
ดูราอนุชากาหลัง | ตั้งแต่อะหนะทั้งสี่ |
หายไปจากราชธานี | เป็นตายร้ายดีไม่แจ้งใจ |
พี่กับมเหสีสุริย์วงศ์ | ฝูงอนงค์เสนาน้อยใหญ่ |
ไพร่ฟ้าทั้งสองเวียงชัย | ร่ำไรทุกทิวาราตรี |
อันสี่นัดดายาใจ | มาอยู่ในกาหลังบุรีศรี |
เหตุไฉนนิ่งเสียได้ดังนี้ | ไม่บอกพี่ให้แจ้งกิจจา ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวกาหลังได้ฟังพระเชษฐา |
ยิ่งคิดสงสัยในวิญญาณ์ | จึงสนองบัญชาไปทันใด |
เดิมทีมิสาอุณากรรณ | บุตรระตูประมอตันมาอาศัย |
กับปันหยีนี้เป็นชาวไพร | ข้ารักใคร่เลี้ยงดูเสมอกัน |
ครั้นมีศึกจะมาหรากะปาหลัน | ก็ช่วยกันฆ่าระตูอาสัญ |
อุณากรรณกลับไปประมอตัน | ด้วยบิดานั้นเกิดโรคา |
ภายหลังย่าหรันคนนี้ | จงรักภักดีเข้ามาหา |
บอกว่าเป็นชาวพนาวา | จะขอพึ่งเดชาสืบไป |
อันราชนัดดาทั้งสี่ | ข้านี้จะพบเห็นก็หาไม่ |
แม้นมาอยู่กาหลังเวียงชัย | จะนิ่งความเสียไยพระภูมี ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ทั้งสองพระเชษฐาเรืองศรี |
จึงตอบพระอนุชาธิบดี | ไฉนยังพาทีดึงไป |
ว่าปันหยีนี้ชาวพนาวัน | มิใช่อิเหนากุเรปันหรือไฉน |
ย่าหรันคือสียะตรายาใจ | ชาวไพรที่ไหนให้ว่ามา |
นี่อะหนะบุษบาลาวัณย์ | นั่นองค์วิยะดาเสนหา |
เหตุใดไม่รู้จักนัดดา | อนิจาน่าอัศจรรย์นัก ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวกาหลังฟังดูรู้ประจักษ์ |
ทั้งพระมเหสีนงลักษณ์ | ต่างองค์พิศพักตร์ไปมา |
ก็จำได้ว่าหลานทั้งสี่ | ท้าวมีพระทัยหรรษา |
จึงกราบทูลสมเด็จพระพี่ยา | ความนี้ตัวข้าไม่แจ้งใจ |
ด้วยเหตุแปลงปลอมเป็นชาวดง | ให้คิดงวยงงสงสัย |
ถึงนัดดาทั้งสี่นี้ไซร้ | ต่างก็ไม่รู้จักศักดิ์กัน |
เมื่อสียะตรามาลักวิยะดา | อิเหนาโกรธาหุนหัน |
ตามไปจะพิฆาตฟาดฟัน | จนกริชนั้นกระทบเป็นเปลวไฟ |
หากว่าข้านี้ไปทัน | หาไม่จะพากันตักษัย |
เพราะมิได้แถลงให้แจ้งใจ | ภูวไนยจงทรงพระเมตตา ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สองพระองค์ทรงเดชเชษฐา |
ได้ฟังยินดีปรีดา | จึงมีบัญชาไปทันที |
ซึ่งเหตุทั้งนี้มีมา | เพราะเวราอะหนะทั้งสี่ |
ให้จำจากบิตุเรศชนนี | หากมิได้ม้วยชีวัน |
แล้วถามโอรสธิดา | เมื่อจากดาหาเขตขัณฑ์ |
เป็นไฉนจึงได้พบกัน | จงบรรยายให้แจ้งกิจจา ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | มิสาระปันหยีสุกาหรา |
ฟังไปไม่ตระหนักพระบัญชา | สำคัญว่ากริ้วก็ตกใจ |
จึงค่อยกระซิบพาที | ยาหยีทั้งสามช่างนิ่งได้ |
ไม่ช่วยพี่แล้วหรือฉันใด | จะให้จำตายเสียครั้งนี้ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นบุษบามารศรี |
ค้อนให้แล้วตอบไปทันที | เป็นไฉนฉะนี้ไม่เข้ายา |
จะฟังความก็ไม่เข้าหู | ดูน่าสมเพชเป็นหนักหนา |
คอยแต่จะตื่นอยู่อัตรา | ดังชาวป่าไม่เคยเข้าเวียงชัย ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สองกษัตริย์สุริย์วงศ์เป็นใหญ่ |
เห็นอิเหนานั้นเคลิบเคลิ้มไป | ด้วยกริ่งใจได้ทำผิดมา |
ให้คิดสงสารอะหนะนัก | จึงซ้ำถามลูกรักเสนหา |
ถึงเหตุผลซึ่งพลัดพารา | ไฉนมาพร้อมกันอยู่เมืองนี้ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรีเรืองศรี |
ฟังบัญชาจะแจ้งก็ยินดี | จึงชลีกรทูลสนองไป |
ตั้งแต่แต่งกลเข้าลักนาง | จะปิดบังอำพรางก็หาไม่ |
จนไปอยู่ถ้ำอำไพ | มาแก้สงสัยจึงพลัดกัน |
ต่างวิโยคโศกแสนระกำจิต | ดังชีวิตจะม้วยอาสัญ |
จึงแปลงเป็นชาวป่าพนาวัน | เที่ยวค้นทุกเขตขัณฑ์ธานี |
ครั้งถึงกาหลังก็พบกัน | ไม่สำคัญว่าองค์ยาหยี |
ด้วยเป็นบุรุษเรืองฤทธี | ออกรบราวีก็มีชัย |
แล้วพระน้องหนีไปปะตาปา | อยู่บนตะหลากันเขาใหญ่ |
ลูกรักแจ้งความก็ตามไป | พานางมาไว้ในพารา |
ซึ่งข้าละเมิดเพราะเบาจิต | โทษนั้นก็ผิดเป็นหนักหนา |
ทั้งทำให้เคืองพระบาทา | พระผ่านฟ้าจงโปรดปรานี ฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นบุษบามารศรี |
ชลเนตรคลอเนตรเทวี | โศกีพลางทูลสนองไป |
เมื่อลูกกับพี่เลี้ยงทั้งสอง | อยู่ในถ้ำทองผ่องใส |
ออกมาชมบุหงาให้พาใจ | พอเกิดพยุใหญ่เป็นโกลา |
หอบเอาระแทะทองลอยลิ่ว | ปลิวไปในกลางเวหา |
ตกแดนประมอตันนัครา | ก็โศกาปิ้มจะม้วยชีวี |
องค์ปะตาระกาหลาแปลงกาย | เป็นชายรูปทรงส่งศรี |
ให้กริชแล้วสาปสรรทันที | ลูกนี้พากันสัญจรไป |
ฝ่ายท้าวประมอตันมาเล่นป่า | เห็นข้าก็รับเข้ากรุงใหญ่ |
รักเป็นโอรสยศไกร | จะให้ผ่านซึ่งไอศวรรยา |
จึงอุบายลาเที่ยวจรลี | จะหาที่คู่ชอบเสนหา |
ครั้นถึงกาหลังพารา | ก็เข้าไปวันทาพระภูมี |
นางทูลแต่ต้นจนปลาย | บรรยายความทุกข์ถ้วนถี่ |
จนพบพระเชษฐาธิบดี | ให้ทราบธุลีพระบาทา ฯ |
ฯ ๑๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สียะตราทรงโฉมเสนหา |
กราบลงแล้วทูลกิจจา | ซึ่งลูกรักลาไปเล่นไพร |
เพราะคิดถึงพี่นางกับเชษฐา | จะว่างเว้นเวลาก็หาไม่ |
ครั้นมาถึงกลางพนาลัย | แลไปเห็นบุหรงรูจี |
งามสรรพสารพางค์พรายพรรณ | ดังสุวรรณมรกตสดสี |
ให้มีความรักใคร่พันทวี | ขับพาชีเลี้ยวไล่สกุณา |
ครั้นติดตามไปจะใกล้ทัน | นกนั้นรีบบินถาบถา |
เห็นไกลแกล้งหยุดรำรา | ล่อให้ตามมาในกลางไพร |
จนถึงแดนกาหลังพระบุรี | ลูกนี้จะรู้ตัวก็หาไม่ |
มยุรานั้นสูญหายไป | พอพี่เลี้ยงพลไกรมาทัน |
จึงคิดอุบายมารยา | แปลงเป็นชาวป่าพนาสัณฑ์ |
เข้าไปบังคมพระทรงธรรม์ | มิได้รู้จักกันกับพี่ยา |
แล้วพระทูลแถลงแจ้งความ | ตามซึ่งได้ลักขนิษฐา |
จนตกไปถึงเมืองมะงาดา | ให้ทราบบาทาพระภูมี ฯ |
ฯ ๑๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระทรงภพกุเรปันเรืองศรี |
ทั้งท้าวดาหาธิบดี | กับราชเทวีทั้งสิบองค์ |
ได้ฟังโอรสบุตรี | มีความละห้อยจิตพิศวง |
ชลนัยน์ไหลหลั่งถั่งลง | ต่างทรงกันแสงร่ำไร |
ท้าวกาหลังทั้งห้ามเหสี | จะกลั้นความโศกีก็มิได้ |
ร่ำรักนัดดายาใจ | แซ่ไปทั้งสนมนารี ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ โอด
๏ แล้วสองพระองค์ทรงศักดิ์ | จึงตรัสแก่ลูกรักทั้งสี่ |
ซึ่งเกิดเหตุเภทภัยทั้งนี้ | เพราะผลกรรมมีแต่ก่อนมา |
หากปะตาระกาหลามาช่วย | อะหนะจึงไม่ม้วยสังขาร์ |
ทีนี้จะเกษมเปรมปรา | แก้วตาอย่าอาวรณ์ร้อนใจ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
https://vajirayana.org/system/files/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B2_264950.pdf