เล่มที่ ๓๘

ช้า

๏ เมื่อนั้น ระเด่นมนตรีตรึกนึกสมหวัง
ได้ว่าการงานทั่วทั้งรั้ววัง พระแต่งตั้งขุนนางวางน้ำ
กิดาหยันบรรดาข้าหลวงเดิม ทรงตั้งเติมตามที่มิได้ต่ำ
ที่แกล้วกล้าเป็นพระยาท้ายน้ำ กินคนโททองคำนั่งทำทรง
บ้างได้เป็นพระยาพระหลวง ตามกระทรวงห้วงคลังดังประสงค์
ถ้าบุญคนใหม่ใครตายลง พระองค์ให้ข้าหลวงเดิมเป็นไป
บ้างเป็นที่พระยาศรีสุริยพ่าห์ กรมม้านายพลคนผู้ใหญ่
สำหรับหัดรถาอาชาไนย ตามพิชัยสงครามสามก๊ก ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๏ จึงตรัสสั่งสังคามาระตา พี่ยามีจิตคิดวิตก
บิดาเจ้าชราสั่นงันงก เจ้าจงยกพวกพ้องของเจ้าไป
จะได้ช่วยว่าขานการบ้านเมือง ให้ลื่อเลี่องเฟื่องฟุ้งบำรุงไพร่
ป้องกันศัตรูหมู่ภัย อย่าให้มีเหตุเภทพาล ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สังคามาระตาปรีชาหาญ
ได้สดับรับรสพจมาน จึงกราบทูลภูบาลบทรัช
ข้าบาทปรารถนาจะใคร่อยู่ สุดรู้สุดฤทธิ์จะคิดขัด
จะต้องจำใจจากพรากพลัด เหื่อโทรมโทมนัสกลัดอุรา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ระเด่นมนตรีมียศถา
เห็นระเด่นสังคามาระตา พักตราหมองคล้ำด้วยจำใจ
จึงตรัสว่าเจ้าอย่าน้อยจิต จะเบือนบิดคิดแชแก้ไข
ระลึกถึงพี่ยาจงคลาไคล มิเป็นใดดอกน้องอย่าหมองมน
จึงสั่งพวกภูษามาลา ให้ไปจัดชฎาเครื่องต้น
ให้ต้องตามสำรับอย่าสับสน อย่าให้ปนอื่นมาข้าไม่เอา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พวกภูษามาลาบรรดาเฝ้า
ตัวนายรับสั่งดังไม่เบา ก้มเกล้าบังคมลาแล้วคลาไคล ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ ถึงคลังนั่งเตียงเสียงโผง เรียกพันโรงเซ็งแซ่กุญแจไข
พวกกำนัลขนของมากองไว้ นายใหญ่ใส่แว่นตาป้องหน้าดู
ไหนเครื่องทรงองค์เก่าคราวโสกันต์ เมื่อกระนั้นข้าเห็นอยู่ในตู้
พันโรงบ่นพึมพำกรรมของกู เห็นจะอยู่ในกำปั่นชั้นบน
ขึ้นกะไดไขประแจนี่แน่ละ เปิดปะปิดฝาพากันขน
ตัวนายนำหน้าผ่าฝูงคน ขึ้นบนพระโรงคัลทันใด ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ

๏ เมื่อนั้น พระทรงภพกุเรปันเป็นใหญ่
เห็นเครื่องต้นขนมาตั้งดังพระทัย ประทานให้สังคามาระตา
ตรัสอำนวยอวยพรแล้วสอนสั่ง เจ้าไปยังเวียงชัยให้เร่งหา
คนฉลาดปราชญ์เปรื่องเรืองปัญญา มาเลี้ยงไว้ได้ปรึกษาหารือ
ถ้าแม้นมีศึกเสือเหนือใต้ ก็เร่งให้บอกคดีมีหนังสือ
พี่จะยกกองทัพไปรับมือ ให้แตกฮือลือชาระอาเรา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สังคามาระตาทำหน้าเศร้า
รับของทรงธรรม์ค่อยบรรเทา ก้มเกล้ารับพรแล้วถอนใจ
จึงทูลขอรอพักสักสามวัน จะให้ติดตามกันบรรดาไพร่
ลาเจ้าขุนมุลนายไปไกลไกล จะต้องตามมาให้พร้อมกัน
ทูลพลางทางถวายบังคมลา พระผู้วงศ์เทวากระยาหงัน
ยุรยาตรนาดกรจรจรัล ทรงม้าเหลืองเครื่องสุวรรณจรดล
มหาดเล็กเดินเบียดเยียดยัด แออัดเหลือหลามตามถนน
ตำรวจแห่เป็นคู่ห้ามผู้คน มิให้เดินสับสนไปมา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

๏ ถึงเกยเลยลงม้าที่นั่ง เสด็จยั้งหยุดอยู่ข้างหน้า
ให้หาตัวนายทั้งหลายมา สั่งให้เตรียมตรวจตราข้าไท
ทั้งกองนอกกองหน้าข้าส่วย บอกมันด้วยช่วยเอาช้างเข้ามาให้
แต่ในสามทิวาจะคลาไคล กลับไปธานีบุรีเรา
สั่งเสร็จเสด็จคืนเข้าห้องทอง นั่นแนบแอบน้องแล้วตรัสเล่า
แจ้งยุบลต้นความตามลำเนา ขอเชิญเจ้าเข้าไปในวัง
ทูลลาองค์ประไหมสุหรี ได้พึ่งพาบารมีมาแต่หลัง
ถ้าไม่ไปทูลลาดูน่าชัง ไปเสียหน่อยร้อยชั่งฟังพี่ชาย ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ระเด่นกุสุมาโฉมฉาย
ได้ฟังสามีอภิปราย นางชม้ายเมียงหมอบแล้วตอบไป
เป็นไรนั่นฉันจะไม่ไปทูลลา เป็นเจ้าข้ากันมาแต่ไหนไหน
แต่ครั้งเป็นอุณากรรณนั้นไซร้ ท่านรักใคร่ประทานของน้องดีดี
ตรัสพลางทางสั่งนางกำนัล ไปบอกกันบรรดามีหน้าที่
เวลาบ่ายชายเย็นวันนี้ เราจะจรลีไปในวัง ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นางกำนัลได้สดับรับสั่ง
บังคมลาเดินมางังงัง ถึงประตูทรุดนั่งลงทันที
ร้องตะโกนเรียกไปใครอยู่นั่น ตะบันหมากกุกกุกลุกมานี่
ช่างนิ่งได้ไม่ขานบ้าหรือดี ดูเอาเถิดซียังมิมา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น กิดาหยันนั่งคิดปริศนา
บ้างใบ้บอกหลอกเล่ห์กันเฮฮา ตามประสาหลงโลภละโมบคิด
บ้างคิดออกบอกเพื่อนกันเบาเบา คงจะเอาแล้วนะที่พระอิฐ
เราจะไปต้องให้มิดชิด ท่านสมภารนั้นติดจะดุร้าย
พอได้ยินสำเหนียกเสียงเรียกหา นี่ใครมาลุกเดินมาเกริ่นกร่าย
เห็นสาวใช้เจ้าขุนมุลนาย ก็ยิ้มพรายถามว่ามาว่าไรเรา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นางกำนัลบอกคดีนี่แน่เจ้า
องค์ระเด่นกุสุมานงเยาว์ เสด็จจะเข้าไปในวังให้สั่งวอ
มหาดเล็กยามค่ำถลำถลาก เทล่วมหมากค้นคว้าหาดินสอ
จดหมายรายรับสั่งไม่รั้งรอ เขียนวอเป็นออตามกระบวน
ครั้นเสร็จส่งไปให้กรมวัง มาแต่งตั้งเตรียมไว้ในฉนวน
พวกขอเฝ้าได้ข่าวเพลาจวน ก็เดินด่วนรีบไปจะให้ทัน ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น กุสุมาทรงโฉมประโลมขวัญ
ครั้นบ่ายชายสีรวีวรรณ จรจรัลไปสรงคงคา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

ชมตลาด

๏ ลูบไล้สุคนธ์ปนปรุง หอมฟุ้งรื่นรสนาสา
ผัดพักตร์นวลละอองดังทองทา ทรงภูษาพื้นแดงแย่งดอกลอย
ห่มสไบน้ำเงินงามงด สีสดเลื่อมสลับจับแสงสร้อย
เข็มขัดเพชรประจำยามอร่ามพลอย สะอิ้งห้อยสร้อยสังวาลบานพับ
ทองกรปะวะหล่ำธำมรงค์ สอดทรงมงกุฎเก็จเพชรประดับ
ตุ้มหูห้อยพลอยแดงแสงระยับ เสร็จสรรพจับพัดด้ามจิ้วจันทน์ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย

๏ พร้อมเหล่าสาวสรรค์กำนัลใน อรไทจึงเสด็จผายผัน
ยุรยาตรนาดกรจรจรัล สาวสนมกำนัลก็ตามไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เพลง

๏ ถึงฉนวนชวนกันหยุดอยู่ แล้วขึ้นสู่วอทองผ่องใส
พอขอเฝ้านำหน้าคลาไคล ตรงไปฉนวนน้ำตำหนักแพ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงลงจากวอสุวรรณ สาวสรรค์ส่งเสียงเซ็งแซ่
ร้องเรียกเข้าไปให้ไขประแจ นายประตูรู้แร่มาเปิดรับ
ทรงฉลองรองบาทยาตรา เสด็จมาในวังดังฉับฉับ
พวกข้าหลวงตามหลังคั่งคับ ถ้าจะนับแล้วไม่น้อยสักร้อยปลาย ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เพลง

๏ ถึงปราสาทองค์ประไหมสุหรี บุษบานารีโฉมฉาย
ยุรยาตรนาดกรกรีดกราย เข้าไปถวายบังคมคัล ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น บุษบานารีสาวสวรรค์
เห็นระเด่นกุสุมาลาวัลย์ เข้ามาเฝ้าจอมขวัญอัญชลี
จึงตรัสปราศรัยไต่ถามทัก น้องรักมานั่งให้ถึงนี่
เจ้ามาไยในวังวันนี้ หรือว่ามีธุระประการใด ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น กุสุมานารีศรีใส
จึงกราบทูลยุบลแต่ต้นไป ด้วยพระจอมภพไตรตรัสบัญชา
ให้องค์ภัสดาของข้านั้น คืนไปเขตขัณฑ์กับตัวข้า
จึงขอมาถวายบังคมลา ทูลพลางโศกาอาลัย ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์ประไหมสุหรีศรีใส
ทราบว่ากุสุมาจะคลาไคล อรไทพลอยทรงโศกี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นโศกสร่างนางสั่งพนักงาน ให้ไปจัดเครื่องอานพานพระศรี
เครื่องในใส่ถมยาราชาวดี ต่วนบางอย่างดีสักสี่พับ
ทั้งผ้าลายนอกอย่างต่างพื้น เอามาสักสิบผืนสีสลับ
เข้มขาบเขียวริ้วทองรองซับ ที่ซื้อมาห้าพับเมื่อคราวนั้น ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ชาวคลังรับสั่งแล้วผายผัน
จัดของต้องรับสั่งทั้งแพรพรรณ มาถวายจอมขวัญทันที ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น โฉมยงองค์ประไหมสุหรี
จึงประทานกุสุมานารี แล้วเทวีกล่าวรสพจนา
เจ้าจะไปให้มีศรีสวัสดิ์ อย่าวิบัติเศร้าโทมนัสสา
อนึ่งเล่าเจ้าจงไปชลีลา ประไหมสุหรีฝ่ายขวานารี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น กุสุมาแน่งน้อยนวลศรี
รับประทานพานสลามาทันที ทั้งลายอย่างต่างสีแพรพรรณ
จึงทูลลาอรไทไคลคลา ไปเฝ้านางจินตะหราจอมขวัญ
ขึ้นปราสาทนาดกรจรจรัล เข้าไปอภิวันท์ทันใด ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๏ เมื่อนั้น องค์ประไหมสุหรีขวาอัชฌาสัย
เห็นระเด่นกุสุมายาใจ จึงถามไถ่เนื้อความตามคดี
ได้ยินว่าสังคามาระตา กับน้องยาจะกลับบุรีศรี
จึงตรัสเรียกนางสการะวาตี ทั้งมาหยารัศมีมาพร้อมกัน
เจ้ามาลาพี่ไว้จะไคลคลา ไปส่งอนุชาจงผายผัน
ตรัสพลางทางสั่งนางกำนัล ไปสั่งเรือม่านสุวรรณบรรจง ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นางกำนัลรับสั่งดังประสงค์
กรายกรเดินหยัดดัดทรง ถึงประตูนั่งลงส่งเสียงดัง
มหาดเล็กเวรใครไปไหนหมด มิใช่ปดบัดนี้มีรับสั่ง
หรือเซอะนอนซอนซอกดอกกระมัง เรียกยังไม่มาน่ารำคาญ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น กิดาหยันเล่นหมากรุกสนุกสนาน
กำลังตั้งหมากกลจนริมกระดาน ต่อติดคิดอ่านกันวุ่นวาย
ที่นั่งมองร้องเข้ามาขอข้าที เอาเบี้ยนี้กินอีริมแล้วทิ่มหงาย
ม้ารุกถูกคาดโคนตาย ขุนข้อยเข้าร้ายเห็นพ่ายแพ้
พอได้ยินสำเนียงเสียงร้องเรียก เคยสำเนียกในใจจำได้แน่
เดินเข้ามาบนทิมริมลับแล อะไรแม่เรียกพี่นี้ว่าไร ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สาวใช้แสนงอนค้อนให้
หน้าตาเช่นนี้เป็นพี่ใคร รับสั่งใช้ให้ข้ามาสั่งเรือ
พูดกันดีดีเช่นนี้ดอก กลับมาหยอกยั่วข้ามันน่าเบื่อ
ราชการงานเมืองไม่เอื้อเฟื้อ หรือไม่เชื่ออย่างไรให้ว่ามา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น กิดาหยันเสแสร้งแกล้งว่า
รับสั่งใช้แต่ไหนไหนไม่ออกมา ไปเที่ยวนอนพูดจาจนตาบวม
ว่าพลางทางหยิบสมุดดำ มือคลำหาดินสอที่ในล่วม
เขียนหวัดรัดไปใจสำรวม เหื่อจนท่วมตัวไปแล้วไคลคลา
ส่งให้กรมวังสั่งต่อไป มหาดไทยกลาโหมซ้ายขวา
จ่ายคนจนเต็มนาวา ถอยมาเทียบประทับกับแพ
บ้างร้อยสายผูกม่านเพดานดาด เสื่อสาดปูปัดจัดแคร่
พนักข้างลายปรุฉลุแร หน้าโขนแพรต่วนติดเลื่อมลาย
พู่ห้อยย้อยขาวราวกับนุ่น ดาวดุนกุดั่นพับทับด้าย
พร้อมพรูผู้คนพลพาย คอยเสด็จโฉมฉายจะยาตรา ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น โฉมยงองค์ประไหมสุหรีขวา
จึงทรงจัดสิ่งของต้องอัชฌา ประทานให้กุสุมายาใจ
จึงตรัสแก่นางสการะวาตี ทั้งมาหยารัศมีศรีใส
จะไปส่งอนุชาก็คลาไคล กุสุมาจงไปให้พร้อมกัน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สามอนงค์รับสั่งนางจอมขวัญ
ต่างองค์ทรงถวายบังคมคัล จรจรัลมาตามสนามใน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เพลง

๏ ครั้นถึงฉนวนหน้าตำหนักแพ สาวสรรค์เซ็งแซ่ตามไสว
สามนางต่างเสด็จคลาไคล ลงในนาวาหลังคาบัง
ม่านราวรอบรูดหมดมิด สนมในใช้ชิดหมอบสะพรั่ง
พวกฝีพายหัวท้ายคอยระวัง โขลนนั่งหน้ากัญญาคอยว่าคน
เครื่องอานส่งเสร็จฝีพายจ้อง โขลนร้องให้ออกบอกสามหน
พายกระชากลากเหนี่ยวจนน้ำวน ปากบ่นเอาตัวคั่วแห้งไป ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ โล้

๏ ครั้นถึงจึงรอเรือที่นั่ง ประทับยังตำหนักน้ำที่ทำใหม่
สามนางต่างเสด็จคลาไคล สาวสนมกรมในตามพรั่งพรู ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เพลง

๏ เมื่อนั้น สังคามาระตานั่งสั่งการอยู่
เห็นสองพี่นางทางประตู กับโฉมตรูกุสุมายาใจ
จึงเสด็จลีลามารับ น้อมคำนับบังคมประนมไหว้
เชิญพระพี่นางพลางคลาไคล เข้าในตำหนักนั่งสั่งสนทนา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สองนางต่างโทมนัสสา
จึงตรัสร่ำรำพันจำนรรจา ด้วยว่าอาลัยใจผูกพัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

โอ้ปี่

๏ โอ้ว่าอนุชามาจำจาก กรรมวิบากอย่างไรไฉนนั่น
แต่พลัดพรากจากบิดามาด้วยกัน จะนับวันที่ได้อยู่นั้นน้อยนัก
เจ้าจะไปใจพี่นี้จะขาด ด้วยไกลบาทบิตุรงค์ทรงศักดิ์
ยังจะซ้ำเศร้าหมองด้วยน้องรัก ร่ำพลางซบพักตร์ทรงโศกา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ โอด

ร่าย

๏ ครั้นโศกสร่างนางสั่งดังประสงค์ ช่วยทูลบาทบิตุรงค์นาถา
ทั้งองค์สมเด็จพระมารดา ว่าสองข้านี้ถวายบังคมไป
เจ้าไปขอให้จำเริญศรี ทั้งองค์ภคินีศรีใส
สองนางต่างสอนทรามวัย ด้วยพระทัยเมตตาปรานี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สังคามาระตาหมองศรี
ทั้งระเด่นกุสุมานารี รับพรสองพระพี่ด้วยใจภักดิ์
แล้วทูลว่าตัวข้าจะใคร่อยู่ แต่สุดรู้ด้วยรับสั่งพระทรงศักดิ์
จะขัดขืนบัญชาน่าชังนัก น้องรักจำใจไปตามคำ
สี่องค์ทรงสั่งสนทนา จนเพลาสุริยใสจะใกล้ค่ำ
สองนางสั่งเสียสอนซ้ำ ต่างองค์ครวญคร่ำจะจำไกล ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สองนางนารีศรีใส
จึงเสด็จลีลาคลาไคล ลงในนาวาหลังคาทอง
พวกฝีพายบ่ายบากออกจากท่า โขลนจ่าส่งเสียงสำเนียงก้อง
รีบรัดเร็วบากออกจากคลอง เลยล่องโยนยาวฉาวมา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ โล้

๏ ถึงแพแซ่เสียงหลวงเจ้าแม่ ให้เหล่าโขลนจุดคบทั้งซ้ายขวา
สองนางต่างเสด็จไคลคลา ตรงมาเข้าวังข้างใน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น เสนานายพลคนผู้ใหญ่
แต่สามยามย่ำฆ้องกลองชัย เรียกหาคนใช้ให้พร้อมกัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

ยานี

๏ จัดกระบวนกองหน้าขี่ม้าหมด ใส่เสื้อแสดสีสดดังแสร้งสรร
เหน็บกริชติดตัวโพกหัวพัน ปืนสั้นสายสอดพิรอดรัด
กองหลังตั้งตามกระบวนหน้า ใส่เสื้อสีฟ้าคาดเข็มขัด
มือถือเกาทัณฑ์สันทัด สารวัดตรวจตราขี่ม้าน้อย
ม้าที่นั่งสั่งให้ผูกลูกประสม เครื่องถมทองถักเป็นสายสร้อย
ครั้นเสร็จสรรพประทับกับเกยลอย เตรียมคอยรับเสด็จภูวไนย ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

ร่าย

๏ เมื่อนั้น สังคามาระตาอัชฌาสัย
ครั้นแสงทองส่องฟ้านภาลัย จึงเสด็จคลาไคลไปสรงชล ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

โทน

๏ ไขท่อปทุมทองต้องกาย เย็นสบายกายาดังห่าฝน
ทรงกระแจะจรุงปรุงปน หอมระคนกลิ่นกลั้วยั่วยวน
จับประจงสอดทรงสนับเพลา ปักเนาทองแรพื้นแพรต่วน
ทรงภูษาอย่างใหม่ลายกระบวน เจียระบาดคาดควรค่ากรุง
ฉลององค์ทรงข้าวบิณฑ์แย่งขอ กรองศอหักทองขวางกวางตุ้ง
เข็มขัดแก้วแวววับจับสีรุ้ง สายรัดทองหุงเนื้อแปดชัด
ตาบทิศทับทรวงพวงเพชร แต่ละเม็ดเนื้อน้ำตะกั่วตัด
ทองกรแก้วเก้าเนาวรัตน์ นิ้วพระหัตถ์สอดใส่ธำมรงค์
ชฎาใหม่ได้ประทานวานซืนนี้ ล้วนมณีแวววามงามระหง
กรรเจียกจอนงอนจำหลักลายลง ห้อยอุบะตันหยงส่งกลิ่นไกล ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

ร่าย

๏ ครั้นเสร็จสรรพจับกริชฤทธา ชวนระเด่นกุสุมาศรีใส
ยุรยาตรนาดกรคลาไคล ตรงไปเกยสุวรรณทันที ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ พร้อมเหล่าอาชาม้าที่นั่ง คับคั่งรถรัตน์หัตถี
เสด็จลงทรงนั่งหลังพาชี กุสุมานารีนั้นขี่รถ
พวกเหล่าสาวสรรค์กำนัลนาง ขี่ช้างกูบพังทั้งหมด
ม้าพี่เลี้ยงเคียงองค์พระทรงยศ ให้เร่งรถคชามาจากเมือง ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ กราว

โทน

๏ ม้าเอยม้าที่นั่ง สีสังข์เป็นพื้นผ่านเหลือง
เต้นน้อยซอยซ้ำย่ำเยื้อง ผูกเครื่องน่าชมถมละคร
สองหูพู่ห้อยบังเหียนติด พนังข้างวิจิตรทองร่อน
แต่ล้วนแก้วแวววับซับซ้อน เป็นเครื่องหมอนทรงใช้ไล่มฤค
ทหารแห่โห่ลั่นสนั่นเสียง ฟังสำเนียงคึกคักดังหักศึก
ด้วยได้กลับเวียงชัยดังใจนึก อึกทึกฮึกเหี้ยมหาญคะนอง
บ้างวางใหญ่ให้แส้เสียงขริว แลเป็นทิวม้าทหารพานเคล่าคล่อง
สารวัดรัดเร่งทุกหมวดกอง เดินทางท้องทุ่งนาป่าละเมาะ ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

ชมดง

๏ พระชมสัตว์จัตุบาทดาษดง วิหคหงส์ส่งเสียงเพราะเจาะ
ชะนีเหนี่ยวหน่วงไม้ไล่เลาะ มีทั้งเงาะน่ากลัวเนื้อตัวดำ
โคถึกมฤคีหมีเม่น กระต่ายเต้นตามเพื่อนริมเถื่อนถ้ำ
นกยูงจับดาษดื่นบ้างยืนรำ ลงอาบน้ำไซ้ขนบนคิริน
ที่ท้องธารท่าน้ำลำละหาน อุบลบานเบญจบัวกลั้วกลิ่น
แมลงภู่ผึ้งพาภุมริน บ้างโบยบินกินรสเรณูนวล
บนฟากฝั่งดั่งแสร้งแกล้งปลูก มะเดื่อดูกดอกพะยอมหอมหวน
ให้เร่งรถคชาเพลาจวน เดินกระบวนพลม้านำหน้าไป ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

ร่าย

๏ พอเวลาสายัณห์ตะวันรอน ให้พักพลนิกรน้อยใหญ่
จึงตรัสสั่งให้ตั้งพลับพลาชัย ให้แล้วแต่ในบัดเดี๋ยวนี้ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ตัวนายรับสั่งใส่เกศี
ออกมาสั่งกันทันที บ้างวัดวาหน้าที่ทำทุกนาย
บ้างใช้บ่าวเข้าป่าหาไม้ แบกไขว่อุตลุดขุดหลุมค่าย
บ้างปลูกทิมริมเรียงรอบราย เกณฑ์ฝีพายนอนพิทักษ์รักษาองค์
ยกพลับพลาห้าห้องท้องพระโรง ดูโอ่โถงสูงตระหง่านงามระหง
แล้วผูกม่านสุวรรณบรรจง รอบวงพลับพลาข้างหน้าใน ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น สังคามาระตาอัชฌาสัย
ชวนระเด่นกุสุมายาใจ ขึ้นพลับพลาชัยแล้วไสยา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ ตระ

๏ ครั้นอุทัยไขส่องท้องฟ้าขาว กลบเกลื่อนเดือนดาวในเวหา
บุหรงร้องก้องสนั่นอรัญวา พระตื่นจากไสยามาสรงชล
ทรงเครื่องอย่างกษัตริย์สรรพเสร็จ แล้วเสด็จทรงอาชาม้าต้น
พวกกองนอกออกหน้านำพล เร่งร้นรีบลัดตัดดงดาน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ แรมร้อนนอนไพรได้เจ็ดวัน ถึงปักมาหงันราชฐาน
เสด็จลงจากหลังอาชาชาญ เข้าท้องพระโรงธารทันที ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ ครั้นถึงจึงประณตบทบงสุ์ แทบบาทบิตุรงค์เรืองศรี
จึงกราบทูลเนื้อความตามมี องค์ระเด่นมนตรีบัญชามา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวปักมาหงันหรรษา
จึงตรัสแก่สังคามาระตา ซึ่งเจ้ามาพ่อนี้ยินดีนัก
อันตัวของบิดาชราร่าง ก็เสื่อมสร่างยศถาบรรดาศักดิ์
จะมอบเวนราชัยให้ลูกรัก ให้ประจักษ์แก่ตาบิดานี้
ตรัสพลางทางสั่งเสนา จงแต่ราชสาราให้ถ้วนถี่
ไปทูลพระเชษฐาธิบดี เชิญพระพี่มาช่วยการวิวาห์
ทั้งท้าวเจ้าเมืองล่าสำนั้น ทรงธรรม์แจ้งจิตจะหรรษา
เป็นบิดาของนางกุสุมา เชิญเสด็จยาตรามาแต่งการ ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เสนารับสั่งดังบรรหาร
ก้มเกล้าเคารพกราบกราน ต่างคลานออกมาแล้วคลาไคล ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ นั่งบนศาลาลูกขุน ล้วนเจ้าคุณเหล่าพระยาหน้าใหญ่ใหญ่
ช่วยประดิษฐ์คิดราชสารไป แล้วเสร็จส่งให้ตำรวจเวร
สองนายรับราชสารา แล้วขี่ม้ารีบราวกับกราวเขน
ต่างชำนาญทางชัดจัดเจน แล้วแยกกันตามเกณฑ์ไม่หยุดยั้ง ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ นายหนึ่งถึงปันจะรากัน เข้าหาเสนานั้นแจ้งรับสั่ง
ส่งสำเนาเข้าไปอ่านให้ฟัง แล้วนิ่งนั่งคอยเฝ้าเจ้าธานี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เสนาแจ้งใจในสารศรี
จึงพากันจรจรัลทันที เข้าพระโรงรูจีชัชวาล ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ ครั้นถึงก้มเกล้าเคารพ พระทรงภพปันจะรามหาศาล
จึงกราบทูลข้อคดีมิทันนาน แล้วคลี่สารอ่านไปทันที ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

ช้า

๏ ราชสารพระศรีอนุชา ทูลมาใต้บาทบทศรี
ด้วยสังคามาระตาบุตรข้านี้ จะแต่งตั้งพิธีการมงคล
ขอเชิญพระเชษฐามาด้วย จะได้ช่วยอวยพรสถาผล
บัดนี้เสนาประชาชน ต่างคนยินยอมพร้อมพรัก ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

ร่าย

๏ เมื่อนั้น ท้าวปันจะรากันแจ้งประจักษ์
จึงโอภาปราศรัยถามทัก น้องรักอยู่ดีหรือมีภัย
หนึ่งเล่าข้าวกล้านาน้ำ ยังทำเต็มมือหรือไฉน
จงชี้แจงแถลงเล่าให้เข้าใจ โดยในข้อความที่ถามนั้น ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ขุนตำรวจทูลไปทันใดนั่น
อันองค์พระอนุชาทรงธรรม์ เกษมสันต์เป็นสุขทุกทิวา
ฝนก็ตกต้องตามฤดูกาล ธัญญาหารมั่งคั่งทั้งมังสา
ราษฎรสุขเกษมเปรมปรา จงทราบบาทาฝ่าธุลี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวปันจะรากันเรืองศรี
จึงดำรัสตรัสสั่งเสนี ให้ตรวจเตรียมโยธีทั้งปวง
เราจะไปเมืองปักมาหงัน จงจัดสรรตามตำรับทัพหลวง
แจกจ่ายหมายบอกทุกกระทรวง ให้ตำรวจรีบล่วงปลูกพลับพลา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เสนารับสั่งใส่เกศา
คลานคล้อยถอนตนพ้นออกมา แล้วไปยังศาลาลูกขุนใน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

ยานี

๏ ให้บัตรหมายจ่ายแจกเสื้อแสง พวกปืนแดงเสื้อดำที่ทำใหม่
พวกทวนทองสีตองถัดไป เหล่าธนูหางไก่ใส่สีฟ้า
พวกดาบเขนเกณฑ์เข้ากระบวนหลัง ใส่เสื้อสีครั่งดังลูกหว้า
ดาบดั้งตั้งต่อติดมา ใส่เสื้อแดงดาษดาดูน่ากลัว
จัดกระบวนทวนทบไว้ครบครัน นั่งเป็นหลั่นสารวัดจัดแจงทั่ว
บ้างสอดใส่เสื้อแสงแต่งตัว บ้างโพกหัวผ้าตะบิดกริชเหน็บพุง
พนักงานรถาเอามาเทียม ตรวจเตรียมอดนอนจนค่อนรุ่ง
ที่บิดพลิ้วหลบหนีตีกันนุง คอยท้าวเจ้ากรุงเสด็จจร ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา

ร่าย

๏ เมื่อนั้น ท้าวปันจะรากันชาญสมร
ครั้นรุ่งรังสีรวีวร พระภูธรเสด็จมาสรงวาริน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

โทน

๏ ทรงสุคนธ์ปนปรุงจรุงผิว พิมเสนใส่แก้สิวส่งกลิ่น
สนับเพลาปักเนาเป็นนาคินทร์ ภูษาแย่งครุฑบินจับนาคา
สอดใส่ฉลององค์ทรงประพาส เจียระบาดตาดสีมีค่า
เข็มขัดสายประจำยามอร่ามตา ลงยาฝังพลอยพร้อยพราย
ทับทรวงดวงดอกลายกุดั่น ตาบทิศเวียนวันกระสันสาย
สอดทรงทองกรมังกรกลาย ธำมรงค์เรือนรายริมเพชร
ทรงมงกุฎบุษย์เหลืองประเทืองแสง กรรเจียกจอนพลิกแพลงกาบเก็จ
เหน็บกริชติดพันกัลเม็ด สรรพเสร็จเสด็จมาหน้าพระลาน ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๏ ขึ้นเกยสุวรรณบรรจง พร้อมเหล่าจัตุรงค์ทวยหาญ
เสด็จขึ้นรถทรงอลงการ ให้เคลื่อนพลจากทวารเวียงวัง

ฯ ๒ คำ ฯ กลองโยน

โทน

๏ รถเอยราชรถทรง กำกงลายกระหนกกระจกฝัง
เทพประนมพรหมเรียงรอบบัลลังก์ รายกระจังตั้งติดปิดทอง
งอนงามธงสามชายสะบัด เทียมกัณฐัศว์เผ่นโจนโผนผยอง
สารถีขี่ขับตามทำนอง ชักรถไวว่องดังล่องลม
เครื่องสูงรายเรียงเคียงข้าง พระกลดหักทองขวางด้ามถม
กลองชนะแตรสังข์ดังระงม พ้นนิคมแว่นแคว้นแดนพารา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

ชมดง

๏ พอเข้าป่าพาใจให้ชื่น หอมรื่นดอกดวงพวงบุปผา
สาวหยุดพุดจีบปีบจำปา กรรณิการ์มหาหงส์ชงโค
ลำดวนดอกดกตกเต็ม ยี่เข่งเข็มสารภียี่โถ
รสสุคนธ์ปนมะลิผลิดอกโต ดอกส้มโอกลิ่นเกล้าน่าดม
มะลิวัลย์พันกิ่งมณฑาเทศ แก้วเกดดอกดกตกอยู่ถม
บนเนินเขาล้วนเหล่าลั่นทม ดอกสุกรมยมโดยโชยรส
พิกุลบุนนาคมากมี ตามทางหว่างวิถีสีขาวสด
ชมพลางทางเร่งรีบรถ เลียบตามบรรพตเชิงคิรี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

ร่าย

๏ ถึงด่านเมืองปักมาหงัน เสียงพหลพลขันธ์อึงมี่
จึงดำรัสตรัสสั่งเสนี ให้ตั้งที่ประทับพลับพลา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น เสนีรับสั่งใส่เกศา
ออกมาเกณฑ์กันดังบัญชา ครั้นเสร็จสรรพกลับมาทูลท้าวไท ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น ท้าวปันจะรากันเป็นใหญ่
เสด็จขึ้นสู่พลับพลาชัย แทบใกล้ตระพังฝั่งน้ำ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ บัดนั้น ฝ่ายทูตถือสารไปล่าสำ
รีบรุดหยุดม้าพอกินน้ำ ครั้นพลบค่ำถึงด่านบ้านตัวนาย
เข้าไปหาบอกกล่าวเล่าเนื้อความ แจ้งตามสาราพระฦาสาย
นั่งพูดจากันบรรยาย แล้วนอนผ่อนสบายในราตรี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ ตระ

๏ ครั้นรุ่งแสงสุริยาการ้อง ทั้งสองเชิญราชสารศรี
ต่างมาขึ้นหลังพาชี ตรงเข้าบุรีล่าสำนั้น ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึงลงจากหลังม้า สองนายจึงพากันผายผัน
เข้าหาเสนาผู้ใหญ่พลัน เรียนเรื่องราวนั้นให้แจ้งใจ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เสนานายพลคนผู้ใหญ่
ครั้นได้แจ้งตระหนักประจักษ์ใจ จึงพาเข้าไปพระโรงธาร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ ครั้นถึงจึงประณตบทเรศ ทูลเหตุเรื่องความตามราชสาร
หยิบแว่นตามาใส่แล้วกราบกราน คลี่สาราอ่านถวายพลัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

ช้า

๏ ศุภสารสุนทรีศรีสวัสดิ์ จอมกษัตริย์เมืองปักมาหงัน
ให้ทูตนำสารามาอภิวันท์ ทูลองค์ทรงธรรม์ให้ทราบการ
บัดนี้สังคามาระตา กับระเด่นธิดามาสู่สถาน
คิดไว้ว่าจะให้แต่งงาน จึงมีราชสารมาทั้งนี้
ขอเชิญท่านท้าวเจ้านคร มาช่วยอวยพรเจริญศรี
จะได้อยู่เป็นสุขสวัสดี ตามพิธีบุศยามาแต่ไร ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย

๏ เมื่อนั้น ท่านท้าวล่าสำเป็นใหญ่
ครั้นทราบสารเบิกบานหฤทัย จึงปราศรัยไต่ถามตามเหตุการณ์
แล้วตรัสสั่งเสนาสามนต์ ให้ตรวจเตรียมรี้พลทวยหาญ
เราจะไปในรุ่งทิวาวาร แล้วภูบาลเข้าในไพชยนต์ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๏ บัดนั้น เสนาพากันกลับสับสน
ผู้รับสั่งมานั่งที่เพิงพล ให้เกณฑ์คนเข้ากระบวนถ้วนอัตรา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

ยานี

๏ เกณฑ์ทหารถือธงลงยันต์ ใส่เสื้อสีจันทร์เดินหน้า
พลปืนพื้นเสื้อสีฟ้า เขนงดินศิลาหน้าเพลิงไก
พลทวนล้วนเสื้อเขียวขาบ พลดาบเสื้อแสดสอดใส่
พลดั้งตั้งต่อติดไป ใส่เสื้อสีไพรไม่ปะปน
พนักงานรถาเอามาเทียม ตรวจเตรียมพร้อมสรรพกับพหล
สารวัดจัดแจงผู้คน เกลื่อนกล่นทั่วไปทั้งในวัง ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

ร่าย

๏ เมื่อนั้น ท้าวล่าสำตรองตรึกนึกสมหวัง
ไสยาสน์เหนืออาสน์บัลลังก์ แว่วสำเนียงเสียงระฆังกังสดาล
บรรทมตื่นฟื้นฟังนาฬิกา พอเวลาประจุสมัยไก่ขันขาน
เสด็จเข้าที่สรงชลธาร พนักงานถวายพานภูษาทรง ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

โทน

๏ ทรงขันลงยาราชาวดี ตักวารีชำระสระสรง
แล้วลูบไล้สุคนธาอ่าองค์ สองทรงสนับเพลาเพราพราย
ทรงภูษาเขียนสุวรรณกระสันรัด คาดเข็มขัดประจำยามติดสามสาย
ผ้าทิพย์ขลิบตาดเลื่อมลาย เจียระบาดชาติบุ้มบ่ายลายทอง
สอดทรงฉลององค์พื้นม่วง ดอกดวงสดสีไม่มีหมอง
ทองกรเก้ารอบลำยอง ทับทรวงแสงส่องสังวาลแวว
ทรงชฎาดอกดวงพวงเพชรห้อย กุณฑลทัดจัดพลอยเป็นถ้องแถว
เหน็บกั้นหยั่นกัลเม็ดเสร็จแล้ว คลาดแคล้วออกมาข้างหน้านั้น ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ

ร่าย

๏ ขึ้นเกยเลยลงรถที่นั่ง คับคั่งหมู่พหลพลขันธ์
จุดปืนฉัตรชัยให้สำคัญ เดินขบวนตามกันเป็นหลั่นไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ กลองโยน

โทน

๏ รถเอยรถจำหลัก ธงปักปลายงอนงามไสว
ดุมวงกงกำอำไพ เทียมด้วยมโนมัยไว้หน้าตา
สารถีขี่ขับไวว่อง เคล่าคล่องเคยขับสำหรับขา
จามรชอนตะวันกั้นสุริยา ชุมสายซ้ายขวาเดินหน้ารถ
ฆ้องกลองแตรสังข์ดังระงม ในพนมพนาวาปรากฏ
รถประเทียบตามกันเป็นหลั่นลด เร่งรถยาตราเข้าป่าไป ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

ชมดง

๏ เดินทางตามหว่างศิขเรศ ที่ประเทศลำเนาเขาใหญ่
เป็นหุบเหวห้วยหินดินอุไร น้ำใสไหลเชี่ยวเรี่ยวแรง
ที่หินหักหกห้อยย้อยหยัด น้ำพัดซัดเซาะเป็นเกาะแก่ง
บนฟากฝั่งชลธาร์ศิลาแลง ดูดาษแดงดื่นดงพงพนัส
ไม้ดอกงอกงามเงื้อมคีรี ดูท่วงทีดีดังต้นไม้ดัด
ตะขบข่อยขึ้นเบียดเยียดยัด เอาไว้ตัดเมื่อมาจำป่าไว้
ชมพลางทางเร่งรถทรง ดั้นดงเดินมาในป่าใหญ่
สารวัดรัดเร่งพลไกร เดินไปตามทางหว่างคีรี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

ร่าย

๏ เมื่อนั้น ท้าวปันจะรากันเรืองศรี
เนาในพลับพลาพนาลี แว่วเสียงโยธีนี่นัน
เกรงกริ่งนิ่งนึกตรึกเหตุผล จึงตรัสสั่งเหล่าพหลพลขันธ์
จงขึ้นม้ารีบไปในไพรวัน ดูสำคัญถามไถ่ใครยกมา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เหล่าทหารชาญชัยใจกล้า
รับสั่งแล้วบังคมลา ขึ้นม้าสีมอปล่อยห้อไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึงถามคนถือธง นี่รีบรัดจัตุรงค์จะไปไหน
ใครเป็นนายนำพลสกลไกร จงเล่าไปตามจริงอย่านิ่งนาน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น คนธงผู้ใหญ่ใจเหี้ยมหาญ
จึงบอกกล่าวเล่าไปให้แจ้งการ ภูบาลล่าสำนำพลมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เสนาได้ฟังไม่กังขา
ชักบังเหียนหันกลับแล้วขับม้า กระทืบโกลนโผนมาพลับพลาชัย ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึงลงจากม้า แล้วเข้ามาบังคมประนมไหว้
ทูลท้าวเจ้าตนแต่ต้นไป โดยในข้อความตามกิจจา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น ท้าวปันจะรากันหรรษา
จึงตรัสสั่งมหาเสนา จงไปเชิญเข้ามาพลับพลาชัย ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เสนารับสั่งบังคมไหว้
ออกมาขึ้นม้าแล้วคลาไคล ตรงไปกองทัพฉับพลัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงลงจากพาชีชาญ เข้าไปกราบกรานขมีขมัน
ทูลว่าท้าวปันจะรากัน ให้มาเชิญทรงธรรม์ไปพลับพลา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์ท้าวล่าสำนาถา
ได้ฟังยินดีปรีดา ให้เร่งรถาคลาไคล ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงหยุดรถรอรั้ง ประทับยังพลับพลาทองผ่องใส
จึงดำเนินเดินตรงเข้าไป นั่งใกล้ท้าวปันจะรากัน
ต่างคำนับกันตามประเพณี ถ้อยทีปรีดิ์เปรมเกษมสันต์
ต่างองค์ปราศรัยไถ่ถามกัน ถึงเขตขัณฑ์เขื่อนคูหมู่ภัยพาล ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น ท้าวปันจะรากันเกษมศานต์
สนทนาปราศรัยกันช้านาน แล้วภูบาลตรัสสั่งทูตที่มา
ให้เข้าไปบอกข่าวเจ้านคร ว่าเราจรจากเมืองมาคอยท่า
รีบมารีบไปอย่าให้ช้า จงแจ้งกิจจาดังนี้ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สองทูตรับสั่งใส่เกศี
ต่างบังคมคัลอัญชลี มาขึ้นพาชีตีตะบัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ วางใหญ่ให้แส้เสียงขวิว ม้าโขยกโดดปลิวถึงเขตขัณฑ์
ลงจากอัสดรจรจรัล เข้าหาเสนานั้นแจ้งกิจจา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น เสนานายใหญ่ซ้ายขวา
แจ้งความตามข้อคดีมา แล้วจึงพากันเข้าเฝ้าภูมินทร์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ คลานหมอบยอบกายถวายกร แล้วกราบทูลภูธรให้ทราบสิ้น
สองนครจรจากนคริน ประทับถิ่นปลายด่านชานนคร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวปักมาหงันสโมสร
สั่งให้เตรียมเสนาพลากร เราจะจรออกไปรับฉับไว ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เสนารับสั่งบังคมไหว้
ออกมาเรียกหาข้าไท วิ่งไขว่หากันให้ทันที
พวกตำรวจตรวจตรัสถือมัดหวาย บ้างหอกหายถามหาออกอึงมี่
กรมแสงจัดแจงเป็นสิงคลี รักษาองค์วิ่งตะลีตะลานมา
กรมวังสั่งให้เตรียมพระวอไว้ วิ่งไขว่ชุลมุนวุ่นนักหนา
ด้วยว่าเป็นการด่วนจวนเวลา ต่างมาคอยองค์พระทรงยศ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น ท้าวปักมาหงันครั้นพร้อมหมด
จึงสระสรงคงคาสุธารส แป้งสดหอมฟุ้งจรุงใจ
พนักงานตั้งพานพระภูษา แต่งพระองค์อลงการ์ผ่องใส
ทรงเครื่องสรรพเสร็จเสด็จไป อนงค์ในตามส่งขึ้นทรงวอ
ชาวมาลาตัวนายถวายพระกลด ตามเสด็จมาหมดทั้งมดหมอ
วิ่งตามเป็นยืดหืดขึ้นคอ บ้างหัวร่อคิกคักผลักไสกัน ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด

๏ ถึงประทับพลับพลาที่หน้าด่าน ภูบาลปรีดิ์เปรมเกษมสันต์
เข้าไปเคารพอภิวันท์ พระเชษฐาทรงธรรม์ธิบดี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ เมื่อนั้น ท้าวปันจะรากันเรืองศรี
จึงปราศรัยอนุชาพาที ต่างองค์ยินดีปรีดา

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวปักมาหงันหรรษา
จึงเชิญท้าวล่าสำกับพี่ยา ให้ไคลคลาพาพลเข้านคร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวปันจะรากันชาญสมร
ทั้งท้าวล่าสำฤทธิรอน ต่างองค์บทจรขึ้นทรงรถ
จึงให้เดินพยุหบาตรยาตรา เลิกทศโยธามาจนหมด
ท้าวปักมาหงันนั้นตามรถ กั้นพระกลดหักทองขวางมาข้างท้าย ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ ถึงประทับกับเกยริมตำหนัก ท้าวปักมาหงันก็ผันผาย
นำเข้าพระโรงคัลพรรณราย เสนาขวาซ้ายถวายกร
ต่างองค์สนทนาพาที สุขเกษมเปรมปรีดิ์สโมสร
จะตั้งการภิเษกสยุมพร ให้ถาวรพูนสวัสดิ์กำจัดภัย
จึงตรัสสั่งโหราบรรดาอยู่ จงเร่งดูฤกษ์ยามตามวิสัย
จะเสกสองครองสมบัติฉัตรชัย เมื่อวันไรฤกษ์พาเพลาดี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น โหรคำนับรับสั่งใส่เกศี
ลงลัคน์จันทร์ชันษานาที ตามคัมภีร์โฉลกโชคชัย
จึงทูลว่าห้าค่ำอำมฤค จะก้องกึกโกลาสุธาไหว
แม้นเกิดเหตุเภทพาลประการใด ขอให้สังหารผลาญชีวา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระปิ่นเกศเขตขัณฑ์หรรษา
จึงตรัสสั่งทั้งสี่เสนา จะตั้งการวิวาห์สักห้าวัน
จงปลูกโรงพิธีอภิเษก ใส่เอกฉัตรชัยไอศวรรย์
มีการเล่นเต้นรำระบำบรรพ์ เหมือนกันกับเราคราววิวาห์
ให้พวกพ้องสองเมืองที่มาช่วย สมทบด้วยไพร่นายซ้ายขวา
ครั้นเสร็จสั่งทั้งสามกษัตรา ต่างลีลาเข้าห้องทองประทม ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ

๏ บัดนั้น พวกเสนามาทิมริมสนม
พร้อมพรั่งสั่งเวรเกณฑ์ระดม เลกขุนนางต่างกรมสนมใน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น พวกหมื่นขุนมุลนายน้อยใหญ่
ต่างจัดแจงแบ่งปันกันไป เร่งรัดตัดไม้มาใช้การ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ ตัดไม้

ยานี

๏ ปลูกโรงพิธีสิบสี่ห้อง ที่ท้องสนามหน้ามหาสถาน
ห้อยโคมโขมพัสตร์ดัดเพดาน ผูกม่านสุวรรณกั้นกำบัง
แล้วตั้งเครื่องพระสำอางอย่างเอก เทียนภิเษกเสาวรสกลศสังข์
ทั้งแท่นรัตน์ภัทรบิฐบัลลังก์ พระเต้าตั้งแปดทิศติดเทียนชัย
ทั้งกองทองกองแก้วแพร้วพร่าง กั้นกางเศวตฉัตรจำรัสไข
ราชวัติฉัตรแก้วแววไว เตรียมไว้พร้อมพรักพนักงาน
พวกที่ถูกปลูกโรงรำเต้น ลากเข็นแบกขนอลหม่าน
บ้างใส่สอดรอดพรึงกรึงกระดาน เสียงขวานสิ่วลั่นสนั่นดัง ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา

ร่าย

๏ ครั้นถึงวันงานการวิวาห์ ชีพราหมณ์พฤฒามาพร้อมพรั่ง
เหล่าพวกสังฆ์การีตีระฆัง ไปเร่งสังปะลิเหงะทั้งปวงมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวปันจะรากันหรรษา
ครั้นจวนใกล้ได้ฤกษ์เวลา จึงสั่งให้ลูกยาสรงวารี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สังคามาระตาเรืองศรี
รับสั่งทรงธรรม์อัญชลี มาเข้าที่โสรจสรงคงคา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

โทน

๏ เสด็จเหนือแท่นสุวรรณบัลลังก์ พราหมณ์ถวายน้ำสังข์ซ้ายขวา
สำอางองค์สรงชลสุคนธา ทรงภูษาค่าเมืองเรืองระยับ
ฉลององค์ทรงรัดครัดเคร่ง คาดปั้นเหน่งเปล่งเม็ดเพชรประดับ
ผ้าทิพย์ขลิบทองรองซับ สวมสังวาลบานพับสลับพลอย
ตาบประดับทับทรวงดวงแก้ว พราวแพร้วแวววิ่งดังหิ่งห้อย
ทองกรเก็จเพชรกระจ่างพร่างพร้อย เรียบร้อยธำมรงค์วงวาว
แล้วทรงพระมหามงกุฎ ประดับบุษราคัมน้ำขาว
กรรเจียกซ้อนจอนแก้วแพรวพราว งามราวกับเทวัญชั้นฟ้า ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๏ ครั้นเสร็จสรงทรงเครื่องเรืองรอง พราหมณ์ประคองสองฝ่ายซ้ายขวา
จากมณฑลพิธีลีลา เสด็จมาที่เฝ้าเจ้ากรุงไกร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ พราหมณ์นอก

๏ เมื่อนั้น ท้าวปันจะรากันเป็นใหญ่
ชวนพระวงศ์พงศาเสนาใน แห่ห้อมล้อมไปโรงพิธี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ กลองโยน

๏ ครั้นถึงจึงนั่งบัลลังก์อาสน์ พระหน่อนาถนั่งประณตบทศรี
แวดล้อมพร้อมพวกพราหมณ์ชี โหราตีฆ้องลั่นเป็นสัญญา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์ประไหมสุหรีมียศถา
จึงให้สี่พี่เลี้ยงเคียงธิดา ให้สรงน้ำมุรธาสุราลัย ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ พราหมณ์เข้า

๏ เมื่อนั้น ระเด่นกุสุมาอัชฌาสัย
คิดสะเทินเขินขวยแข็งใจ เสด็จไปสรงสหัสนัทที ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

ชมตลาด

๏ ลูบไล้สุคนธ์ปนทอง สี่พี่เลี้ยงเคียงประคองขัดสี
ทรงสำอางสางเกล้ามาลี ผัดฉวีวรรณเปล่งดังเพ็งจันทร์
นุ่งภูษาค่าเมืองเครื่องใหม่ ห่มสไบใยบัวดูคมสัน
คาดเข็มขัดรัดสะอิ้งโอบพัน พลอยกุดั่นดวงแก้วแววไว
สอดสังวาลบานพับซับซ้อน ทองกรแก้วกระจ่างสว่างไสว
สร้อยนวมสวมพระศออรไท แล้วสอดใส่มงกุฎพระบุตรี
ธำมรงค์ทรงพระหัตถ์ตรัสเตร็จ ทับทิมเพชรพรรณรายหลายสี
แล้วพี่เลี้ยงเคียงคลอจรลี มาเฝ้าพระชนนีที่ห้องใน ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๏ เมื่อนั้น องค์พระมารดาอัชฌาสัย
ปลอบประโลมลูกน้อยกลอยใจ มาจะไปเข้ามณฑลพิธี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ระเด่นกุสุมามารศรี
ให้ครั่นคร้ามขามเขินสะเทินที เทวีมิใคร่จะไคลคลา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์พระชนนีเสนหา
จึงโอนอ่อนผ่อนผันจำนรรจา พระบิดาจะคอยแก้วกลอยใจ
แล้วจูงกรพระบุตรีลีลาศ ประยูรญาติแห่ห้อมล้อมไสว
พร้อมพรักนักสนมกำนัลใน เสด็จไปเข้ามณฑลพิธี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เพลง

๏ ครั้นถึงจึงนั่งข้างเบื้องซ้าย น้อมถวายประณตบทศรี
พอได้ฤกษ์งามยามดี โหรตีฆ้องชัยให้สัญญา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระองค์ทรงพิภพนาถา
จึงจูงกรสังคามาระตา กับระเด่นกุสุมาลาวัณย์
ให้นั่งเหนือกองทองกองแก้ว ผ่องแผ้วพรรณรายฉายฉัน
ให้สององค์ทรงเกี่ยวก้อยกัน แล้วทำขวัญขานโห่เป็นโกลา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เวียนเทียน

๏ เวียนเอยเวียนเทียน ให้เวียนซ้ายส่งวงมาขวา
ประโคมอินทเภรีปี่ชวา แตรสังข์บังกะล่ามลายู
กลองตะโพนโทนทับกระจับปี่ มโหรีเรื่อยเพราะเสนาะหู
โหราพฤฒามาตย์ราชครู ใส่พลูคะแนนแว่นเทียนชัย
พวกท้าวนางต่างคำนับรับส่ง เวียนวงวันทาอัชฌาสัย
บำเรอรับขับร้องทำนองใน ปี่ไฉนเสนาะเพราะสำเนียง
มโหระทึกกึกก้องกลองชนะ ปิ๋งปะเปิงครึ่มกระหึมเสียง
ทั้งฉิ่งกรับขับกล่อมพร้อมเพรียง สนั่นเวียงวันงานการวิวาห์
ฝ่ายพวกเล่นเต้นรำโรงนอก ต่างออกโรงประชันหรรษา
บ้างเชิดฉาวกราวเขนเจรจา ชาวพาราดูงานสำราญครัน ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ ประโคม

๏ ครั้นเวียนเทียนสำเร็จเจ็ดรอบ ตามระบอบเสร็จสมภิรมย์ขวัญ
โหรารับดับเทียนโบกควัน ถวายจันทน์จุณเจิมเฉลิมพักตร์
ต่างอำนวยอวยชัยให้พระเดช ปราบประเทศทั่วไปทั้งไตรจักร
ได้สืบวงศ์พงศาสุรารักษ์ เป็นพำนักโลกาทั้งธาตรี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวปักมาหงันเรืองศรี
มอบสมบัติขัตติยาธานี ให้ว่าที่แทนองค์พระทรงธรรม์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สองกษัตริย์รับสั่งนรังสรรค์
พระลงจากกองแก้วแพรวพรรณ นางลงจากกองสุวรรณทันใด
ต่างองค์ตรงมาหน้าที่นั่ง ถวายบังคมลาอัชฌาสัย
พระมารดาพานางไปข้างใน สี่กษัตริย์เสด็จไปออกพลับพลา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๏ บัดนั้น พนักงานการเล่นทุกภาษา
ล้วนฝึกหัดจัดสรรกันมา เข้าไปเล่นหน้าพลับพลาพลัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น หญิงชายชาวพหลพลขันธ์
เป็นหมู่หมู่ดูงานการประชัน เสียงครื้นครั่นสรวลเสเฮฮา
พวกหนุ่มหนุ่มกลุ้มเกลื่อนกลางถนน เที่ยวดูคนเดินกรายซ้ายขวา
เห็นสาวสาวชาวบ้านนอกคอกนา เข้าพูดจาลดเลี้ยวเกี้ยวพาน
ทั้งพวกพ้องสองทัพก็เที่ยวเกลื่อน บ้างคบเพื่อนผูกรักสมัครสมาน
เสียงอึงอื้อซื้อสุรากินหน้าร้าน สาบานพันผูกเป็นลูกเกลอ
พวกอุบาทว์ชาติชั่วหัวไม้ ไม่กลัวใครไพร่ผู้ดีตีเสมอ
เที่ยวแทรกเสียดเบียดเขาเกาคะเยอ ใครเลินเล่อฉวยผ้าหนีหน้าไป
พวกผู้หญิงชิงที่ดูโขนหุ่น เถียงกันวุ่นค้อนควักผลักไส
บ้างปล้ำปลุกลุกล้มเกลียวกลมไป ตำรวจไล่ตีฉาวกราวเกรียว ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ ครั้นราตรีมีหนังประชันฉาว ทั้งหนุ่มสาวแซ่ซ้องท่องเที่ยว
บ้างเดินอ้อมด้อมคดลดเลี้ยว บ้างตามเกี้ยวกันพลางในกลางคืน
จุดดอกไม้ไฟสว่างช้างร้อง เสียงแซ่ซ้องสับสนผู้คนตื่น
เสียงสนั่นลั่นพิลึกครึกครื้น ทั้งกลางคืนกลางวันสนั่นไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๏ ครั้นสิ้นฤกษ์งานการวิวาห์ ทั้งสองกษัตราอัชฌาสัย
เลิกทัพกลับพหลพลไกร ตรงไปนครเหมือนก่อนมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

ช้าปี่

๏ มาจะกล่าวบทไป ถึงอิเหนาเผ่าพันธุ์อสัญหยา
แต่เสร็จส่งองค์สังคามาระตา กับระเด่นกุสุมาให้ถาวร
ทั้งแว่นแคว้นแดนชวาอาณาเขต เกรงพระเดชนอบนบสยบสยอน
คิดรำพึงถึงระตูภูธร แต่ปางก่อนต่างถวายบุตรชายมา
จำจะให้ไปบุรีมีคู่ สืบวงศ์พงศ์ระตูไปภายหน้า
จึงตรัสสั่งคลังภูษามาลา ให้จัดเครื่องเสื้อผ้ามาประทาน
ให้เจ็ดองค์วงศ์ระตูที่อยู่ด้วย ได้เคยช่วยชิงชัยแรมไพรสาณฑ์
มีความชอบรอบรู้ราชการ ไปอยู่ด่านเขตแดนแทนบิดา
อันระเด่นกุดารัศมี กับกุดาปาตีกุดาวะหา
ทั้งสามนี้พี่น้องร่วมท้องมา เป็นบุตรท้าวสะมาหรังทั้งนั้น
อันระเด่นวิยาหยาที่มาอยู่ บุตรระตูตะมาเสรังสรรค์
แต่ระเด่นสุหราวาตีนั้น เป็นบุตรท้าวกะปาหงันถวายไว้
ทั้งสุหรันติกาหราดาหยน ทั้งเจ็ดคนกิริยาอัชฌาสัย
ปูนบำเหน็จเสร็จสรรพส่งกลับไป อยู่เวียงชัยช่วยรักษาประชาชน ฯ

ฯ ๑๔ คำ ฯ กราวรำ เลิก

เพลงยาว

๏ อันอิเหนาเอามาทำเป็นคำร้อง สำหรับงานการฉลองกองกุศล
ครั้นกรุงเก่าเจ้าสตรีเธอนิพนธ์ แต่เรื่องต้นตกหายพลัดพรายไป
หากพระองค์ทรงพิภพปรารภเล่น ให้รำเต้นเล่นละครคิดกลอนใหม่
เติมแต้มต่อติดประดิษฐ์ไว้ บำรุงใจไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน
ตั้งแต่หนึ่งถึงสี่สิบห้าเล่ม เขียนเต็มตัวดีดินสอสิ้น
ได้ลอกต่อต่อมาเป็นอาจิณ ใครยลยินยืมไปอย่าให้ยับ
พากเพียรเขียนยากลำบากลำบน ต้องซุกซนเต็มประดาหาฉบับ
เสียเลี่ยงโผโล่ลายหลายพับ จึงกำชับว่าไว้พอให้รู้
ครั้นจะขัดทัดทานไม่ให้เล่า ก่นแต่เฝ้าว่าขานรำคาญหู
นักเลงอ่านพาลเขลาข้างเจ้าชู้ พอใจดูสมพาสมาตุคาม
บ้างมากวนล้วนจะเอาที่เข้าห้อง ฉวยได้คล่องต้องจิตคิดย่าม
ยืมต่อยอส่งบ่งความ เจ้าของตามใจนักมักยับเอย ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

จบบทอิเหนา พระราชนิพนธ์รัชกาลที่ ๒ เท่านี้

https://vajirayana.org/system/files/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B2_264950.pdf

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ