- คำอธิบาย ว่าด้วยบทละคร อิเหนาฉบับหอพระสมุดวชิรญาณ
- เล่มที่ ๑
- เล่มที่ ๒
- เล่มที่ ๓
- เล่มที่ ๔
- เล่มที่ ๕
- เล่มที่ ๖
- เล่มที่ ๗
- เล่มที่ ๘
- เล่มที่ ๙
- เล่มที่ ๑๐
- เล่มที่ ๑๑
- เล่มที่ ๑๒
- เล่มที่ ๑๓
- เล่มที่ ๑๔
- เล่มที่ ๑๕
- เล่มที่ ๑๖
- เล่มที่ ๑๗
- เล่มที่ ๑๘
- เล่มที่ ๑๙
- เล่มที่ ๒๐
- เล่มที่ ๒๑
- เล่มที่ ๒๒
- เล่มที่ ๒๓
- เล่มที่ ๒๔
- เล่มที่ ๒๕
- เล่มที่ ๒๖
- เล่มที่ ๒๗
- เล่มที่ ๒๘
- เล่มที่ ๒๙
- เล่มที่ ๓๐
- เล่มที่ ๓๑
- เล่มที่ ๓๒
- เล่มที่ ๓๓
- เล่มที่ ๓๔
- เล่มที่ ๓๕
- เล่มที่ ๓๖
- เล่มที่ ๓๗
- เล่มที่ ๓๘
เล่มที่ ๔
ช้า
๏ เมื่อนั้น | ฝ่ายประไหมสุหรีศรีใส |
แต่ละห้อยคอยหาพระดนัย | นางไม่เป็นสุขสักเวลา |
พระครรภ์ได้สิบเดือนโดยกำหนด | จะประสูติโอรสเสนหา |
ให้เจ็บปวดรวดเร้าทั้งกายา | ประหนึ่งว่าโฉมฉายจะวายปราณ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | กำนัลนางต่างคนอลหม่าน |
บ้างเข้าประคององค์นงคราญ | หมอผู้หญิงอยู่งานผันแปร |
เหล่าพวกข้าหลวงก็ตกใจ | บ้างวิ่งไปบอกกล่าวท่านเถ้าแก่ |
เจ้าขรัวนายออกมานั่งสั่งหุ้มแพร | ให้เตรียมแตรพิณพาทย์ฆ้องชัย |
แล้วหมายบอกไปเบิกน้ำสุรา | สำหรับยาจะได้ดองสักสองไห |
เตือนเจ้าพนักงานทหารใน | ให้ยกที่ประทมไฟเข้าไปพลาง |
เชื้อพระวงศ์ทรงถือเขนยทอง | นั่งหนุนพระขนองทั้งสองข้าง |
เห็นโฉมฉายประชวรครวญคราง | กำนัลนางน้อยน้อยพลอยตีทรวง |
บ้างเร่งหาหมอยาหมอนวด | เรียกตำรวจเข้ามาผูกผ้าหน่วง |
บ้างต้มน้ำทำการทั้งปวง | ในเรือนหลวงวิ่งไขว่กันไปมา |
ที่นับถือผีสางลางคน | ก็บวงบนเอาเบี้ยขึ้นเหน็บฝา |
บ้างอวดรู้ดูยามสามตา | จะประสูติไม่ช้าเวลานี้ |
เหล่าพวกเจ้าจอมหม่อมอยู่งาน | ก็ลนลานคลานเข้าไปในที่ |
ชิงกันเอาหน้าพาที | ทูลคดีให้ทราบบาทา ฯ |
ฯ ๑๔ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | พระผ่านภพกุเรปันนาถา |
ครั้นแจ้งก็รีบลีลา | ลงมาที่อยู่เยาวมาลย์ |
ทรงนั่งบัลลังก์รัตน์รูจี | พิศพักตร์มเหสีแล้วสงสาร |
จึงกำชับหมอผู้หญิงที่อยู่งาน | ดูอาการกัลยายิ่งอาวรณ์ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์ประไหมสุหรีศรีสมร |
เจ็บจวนประชวรพระอุทร | บังอรไม่เป็นสมประดี |
ครั้นปัจจุสมัยใกล้สว่าง | เสียงประโคมดุริยางค์อึงมี่ |
พอได้ฤกษ์เพลานาที | มารศรีประสูติพระธิดา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ มโหรี
๏ เมื่อนั้น | องค์มะเดหวีเสนหา |
รับราชบุตรีนั้นมา | โสรจสรงธาราทันใด |
แล้ววางองค์ลงเหนือพระยี่ภู่ | ลาดปูโขมพัตถ์ผ่องใส |
เอาพานทองรองรับตั้งไว้ | ที่ในกระโจมแพรแสสุวรรณ |
พระวงศามาเฝ้าพิทักษ์ถนอม | แน่นนั่งพรั่งพร้อมรับขวัญ |
ท้าวนางพระสนมกำนัล | ชวนกันชื่นชมยินดี ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระผู้ผ่านกุเรปันกรุงศรี |
พิศโฉมพระราชบุตรี | ลออองค์อินทรีย์เพียงนางฟ้า |
อันนิมิตที่เป็นให้เห็นนั้น | ก็เหมือนกันกับบุตรีดาหา |
จึงให้นามตามวงศ์เทวา | ชื่อระเด่นวิยะดานารี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ฝ่ายมหาอำมาตย์ทั้งสี่ |
จึงจัดบุตรเสนาบรรดามี | แปดร้อยนารีจำเริญวัย |
ทั้งเงินทองของขวัญต่างต่าง | ตามอย่างพระธิดาประสูติใหม่ |
ให้เถ้าแก่โขลนจ่าพาเข้าไป | ยังในนิเวศน์วังพลัน |
ต่างบังคมคัลอัญชลี | องค์ศรีปัตหรารังสรรค์ |
ตำมะหงงยาสาเสนานั้น | ทูลถวายของขวัญทันที |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวกุเรปันเรืองศรี |
ยิ่งทรงโสมนัสพันทวี | จึงจัดสี่พี่เลี้ยงพระธิดา |
ล้วนบุตรเสนีมีศักดิ์ | นรลักษณ์รูปทรงวงศา |
คนหนึ่งชื่อบาหยันกัลยา | ซ่าเหง็ดโสภานารี |
หนึ่งชื่อประเสหรันแน่งน้อย | ประลาหงันแช่มช้อยโฉมศรี |
ตำแหน่งที่พี่เลี้ยงพระบุตรี | ตั้งได้แต่สี่พารา |
อันบุตรเสนีทั้งนั้น | แบ่งเป็นกำนัลซ้ายขวา |
แล้วประทานสิ่งของนานา | เงินทองแพรผ้าสารพัน ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรีเฉิดฉัน |
เนาในพลับพลาพนาวัน | สุริยันเยี่ยมยอดบรรพต |
จึงเข้าที่ชำระสระสรง | ทรงเครื่องประดับองค์อลงกต |
แล้วเสด็จขึ้นยังบัลลังก์รถ | ให้เคลื่อนทศโยธาคลาไคล ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
ชมดง
๏ เดินพลางทางชมรุกขชาติ | เดียรดาษดวงดอกออกไสว |
หอมประทิ่นเหมือนกลิ่นทรามวัย | ภูวไนยถวิลหาปรารภ |
สกุณาพาคู่เคียงบิน | เหมือนเคียงพักตร์ทักษิณที่พระศพ |
โนรีเรียงหน้าบนค่าคบ | เหมือนพี่แสร้งแกล้งกระทบอังสานาง |
นกขมิ้นบินโผเข้าพงพี | เหมือนเจ้าเดินหนีพี่ไปให้ห่าง |
สีชมพูเหมือนสีสไบบาง | ที่เปลี่ยนมากลางทางแทนองค์ |
นางนวลเล่นน้ำอยู่ในหนอง | เหมือนนวลน้องเมื่อสนานในสระสรง |
ชมพลางทางระทดกำสรดทรง | ให้รีบรัดจตุรงค์จรลี ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๏ แต่แรมรอนนอนป่าสิบห้าวัน | ลุถึงกุเรปันกรุงศรี |
ให้หยุดรถคชพลพาชี | ภูมีเสด็จไปเข้าในวัง ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เพลง
๏ ครั้นถึงปราสาทพระบิดา | ฝูงกำนัลกัลยาพร้อมพรั่ง |
พระหยุดแฝงทวารบานบัง | ยับยั้งดูทีกิริยา |
เห็นพระบิตุเรศมารดร | สโมสรสรวลสันต์หรรษา |
จึงเข้าไปในปราสาทรจนา | วันทาพระชนกชนนี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
ช้า
๏ เมื่อนั้น | โฉมยงองค์ประไหมสุหรี |
เห็นอิเหนาเข้ามาอัญชลี | จึงมีมธุรสพจนา |
นี่หากว่าชีวันไม่บรรลัย | จึงได้เห็นพักตร์โอรสา |
มิเสียแรงกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงมา | เสนหาก็ไม่เสียที ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรีเรืองศรี |
ก้มเกล้าทูลสนองพระเสาวนีย์ | อันโทษาลูกนี้ผิดนัก |
ได้ทูลลาว่าจะมาเป็นหลายหน | สองประหมันนั้นก่นแต่หน่วงหนัก |
ต่างองค์อาลัยด้วยใจรัก | หาญหักห้ามไว้มิให้มา |
ต่อได้แจ้งอาการในสารศรี | ว่าชนนีจะคลอดโอรสา |
พระจึงอวยให้ลูกไคลคลา | รีบเดินทั้งทิวาราตรี |
จะว่าไปก็ในลูกผิดเอง | เหมือนไม่เกรงเบื้องบาทบทศรี |
ถึงประหมันมิให้จรลี | แม้นมิฟังใช่ที่จะทำไม |
ตกแต่เกรงผู้อื่นนั้นยิ่งกว่า | พระบิตุเรศมารดาเป็นใหญ่ |
ลูกได้พลั้งผิดคิดเบาใจ | ขอพระองค์จงได้เมตตา |
แล้วทูลถวายของขวัญ | สองประหมันประทานขนิษฐา |
พระพินิจพิศโฉมวิยะดา | เสนหาพ่างเพียงดวงใจ |
พลางดูทำนองสองกษัตริย์ | เห็นค่อยคลายเคืองขัดอัชฌาสัย |
จึงบังคมลาคลาไคล | เสด็จไปที่อยู่พระภูมี ฯ |
ฯ ๑๔ คำ ฯ เสมอ
ช้า
๏ มาจะกล่าวบทไป | ถึงท้าวดาหาเรืองศรี |
แจ้งว่าพระเชษฐาธิบดี | มีราชบุตรีโสภา |
จึงให้จัดของขวัญทันใด | ตามในสุริย์วงศ์อสัญหยา |
ทั้งของตุนาหงันกัลยา | ให้อะหนะสียะตราลูกรัก |
ตำมะหงงจงนำสารไป | กราบทูลภูวไนยให้ประจักษ์ |
ว่าเรากับขนิษฐาสามิภักดิ์ | คิดถึงพระทรงศักดิ์เป็นพ้นไป ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๏ บัดนั้น | ตำมะหงงรับสั่งบังคมไหว้ |
ออกมาจัดของขวัญทันใด | ใส่ในราชรถเรียงรัน |
ตำมะหงงเสนีนั้นขี่ม้า | รีบยกโยธาผายผัน |
นอนทางค้างแรมมาหลายวัน | ตรงไปกุเรปันธานี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ พอพบเสนาเมืองกาหลัง | อีกทั้งสิงหัดส่าหรี |
สามนายก็พากันจรลี | เข้าในบุรีกุเรปัน |
ไปหายาสาตำมะหงง | จึงส่งบรรณาการของขวัญ |
เวลาเฝ้าองค์พระทรงธรรม์ | ก็พากันเข้าสู่พระโรงชัย ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ ต่างประนมก้มเกล้าเคารพ | พระปิ่นภพกุเรปันเป็นใหญ่ |
ตำมะหงงมหาเสนาใน | ทูลไปให้แจ้งกิจจา |
บัดนี้พระอนุชาทั้งสาม | มีความโสมนัสเป็นหนักหนา |
ให้เสนีนำบรรณาการมา | ทำขวัญพระนัดดายาใจ |
แต่ศรีปัตหราดาหานั้น | ตุนาหงันพระบุตรีศรีใส |
ให้สียะตราโอรสยศไกร | ตามในสุริย์วงศ์เทวา ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระผู้ผ่านกุเรปันนาถา |
จึงมีพระราชบัญชา | ปราศรัยเสนาทั้งสามคน |
ซึ่งมาท่าทางทุรัศสถาน | เทศกาลเป็นหน้าฟ้าฝน |
กันดารโดยมรคาอารญ | ไพร่พลยังพร้อมมูลกัน |
อันพระอนุชาทั้งสามองค์ | ยังดำรงไอศูรย์เกษมสันต์ |
อยู่เย็นเป็นสุขทุกนิรันดร์ | หรือโรคันอันตรายสิ่งใด ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | สามเสนาทูลสนองไข |
เดชะพระเดชปกเกศไป | มรคามาได้สะดวกดาย |
อันสามสมเด็จพระอนุชา | กับพระญาติวงศาทั้งหลาย |
มิได้มีไภยันอันตราย | กราบถวายบังคมด้วยภักดี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระปิ่นภพกุเรปันกรุงศรี |
จึงผันพักตรามาพาที | กับประไหมสุหรีนงเยาว์ |
อันระเด่นบุษบาดาหานั้น | ได้ไปตุนาหงันให้อิเหนา |
บัดนี้วิยะดาลูกเรา | ฝ่ายเขามาขอให้สียะตรา |
ถ้อยทีมีใจจำนง | มิให้เสียสุริย์วงศ์อสัญหยา |
จะโอนอ่อนผ่อนตามอนุชา | กัลยาจะเห็นประการใด ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์ประไหมสุหรีศรีใส |
เคารพอภิวันท์แล้วทูลไป | ตามแต่ภูวไนยจะโปรดปราน |
มิใช่ว่าอื่นไกลหาไหนมา | สียะตราหนึ่งหรัดก็เป็นหลาน |
น้องมิได้แข็งขัดทัดทาน | ให้เคืองบทมาลย์พระผ่านฟ้า ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระผ่านภพกุเรปันหรรษา |
จึงดำรัสตรัสสั่งเสนา | จงบอกแก่อนุชาทั้งสามเมือง |
ว่าเราอำนวยอวยชัย | ทุกข์โศกโรคภัยจงปลดเปลื้อง |
อย่ารู้มีอันตรายระคายเคือง | ให้รุ่งเรืองเดชากฤษฎาการ |
ซึ่งพระอนุชาดาหานั้น | ให้มาตุนาหงันว่าขาน |
ก็ชอบตามระบอบโบราณ | มิให้เสียวงศ์วานเทวา |
ครั้นเสร็จเสด็จยุรยาตร | จากอาสน์สุวรรณเลขา |
ชวนประไหมสุหรีลีลา | ไปปราสาทวิยะดานารี ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เสนาทั้งสามกรุงศรี |
ครั้นเสด็จขึ้นแล้วก็จรลี | ออกไปจากที่พระโรงคัล |
ต่างคนต่างขึ้นอาชา | รีบเร่งโยธาผายผัน |
มาจากกรุงไกรกุเรปัน | แยกกันไปยังพารา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
ช้า
๏ เมื่อนั้น | พระโฉมยงวงศ์อสัญแดหวา |
แต่จากเยาวมาลย์ช้านานมา | ไม่วายถวิลหาอาลัย |
ยามเข้าไสยาในราตรี | ยิ่งทวีทุกข์ทนหม่นไหม้ |
บรรทมชมเชยแต่สไบ | แทนองค์อรไททุกเวลา |
โอ้ว่ายาหยีของพี่เอ๋ย | เมื่อไรเลยจะได้เห็นหน้า |
ยังมิทันสู่สมภิรมยา | เวราสิ่งใดให้ไกลกัน |
แม้ช้าอีกสักห้าราตรี | เห็นทีจะได้ดังใฝ่ฝัน |
พระรำลึกตรึกตราจาบัลย์ | แสนวิโยคโศกศัลย์ไม่เคลื่อนคลาย ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๏ ซึ่งทรงกำสรดรสรัก | อุตส่าห์หักฤทัยเสียให้หาย |
แสร้งทำสุขเกษมเปรมปราย | มิให้คนทั้งหลายสงกา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นรุ่งรางสร่างแสงสุริยง | พระแต่งองค์ทรงเครื่องโอ่อ่า |
เสด็จทรงมโนมัยไคลคลา | ขึ้นเฝ้าพระบิดาด้วยพลัน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ ครั้นถึงลงจากอัสดร | บทจรย่างเยื้องผายผัน |
เข้าไปถวายอภิวันท์ | พระผู้ผ่านไอศวรรย์เวียงชัย ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
ช้า
๏ เมื่อนั้น | พระปิ่นภพลบโลกเป็นใหญ่ |
แสนสวาทสองราชดนัย | พระนิ่งนึกตรึกไตรไปมา |
อันองค์อิเหนาเยาวเรศ | รักดังดวงเนตรเบื้องขวา |
อันอะหนะระเด่นวิยะดา | เพียงดวงนัยนาเบื้องซ้าย |
พลางพินิจพิศพักตร์พระโอรส | เห็นกำสรดสร้อยเศร้าไม่เหือดหาย |
เหตุที่ทุกข์ใจไม่สบาย | เพราะมุ่งหมายจินตะหราวาตี |
จำจะให้ไปนัดอนุชา | กำหนดการวิวาห์ภิเษกศรี |
เหมือนเอาเสี้ยนบ่งหนามเห็นงามดี | คิดแล้วจึงมีพระบัญชา ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๏ ตรัสสั่งดะหมังเสนาใน | พรุ่งนี้จงไปเมืองดาหา |
ทูลแถลงแจ้งแก่พระอนุชา | จะแต่งการวิวาห์เดือนหกนี้ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ดะหมังรับสั่งใส่เกศี |
ถวายบังคมคัลอัญชลี | ออกมาจากที่พระโรงคัล |
จึงบอกบ่าวไพร่ให้พร้อมเพรียง | ลูกเมียหาเสบียงขมีขมัน |
ครั้นรุ่งก็รีบจรจรัล | ขึ้นม้าพากันคลาไคล ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ แรมร้อนนอนทางกลางอรัญ | สิบห้าวันถึงดาหากรุงใหญ่ |
พอเวลาเฝ้าก็เข้าไป | ยังท้องพระโรงชัยฉับพลัน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ จึงถวายอภิวาทบาทบงสุ์ | พระผู้พงศ์เทวากระยาหงัน |
ทูลว่าพระเชษฐากุเรปัน | มีบัญชาใช้ให้มา |
กำหนดนัดการสยุมพร | ให้ตกแต่งพระนครไว้ท่า |
เดือนหกจะยกยาตรา | มาแต่งการวิวาห์พระบุตรี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวดาหาปรีดิ์เปรมเกษมศรี |
จึงตรัสแก่ดะหมังเสนี | ว่าเรานี้ถวายบังคมไป |
งดสักสามเดือนจึงยกมา | จะตกแต่งพาราเสียใหม่ |
ท่านจงไปทูลพระภูวไนย | ให้ทราบใต้ละอองบาทา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ดะหมังกุเรปันหรรษา |
รับสั่งแล้วบังคมลา | มาขึ้นม้ารีบกลับไปฉับไว ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงเข้าไปเฝ้า | พระปิ่นเกล้ากุเรปันเป็นใหญ่ |
ทูลแถลงแจ้งความทั้งปวงไป | ให้ทราบใต้บาทาฝ่าละออง ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระทรงภพลบโลกไม่มีสอง |
ได้ฟังก็ดำริตริตรอง | ซึ่งพระน้องกำหนดนัดผัดไป |
จำเป็นจะหย่อนผ่อนผัน | จะทำเหมือนนึกนั้นเห็นไม่ได้ |
คิดแล้วเสด็จคลาไคล | เข้าในปราสาทแก้วแพรวพรรณ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรีเฉิดฉัน |
แจ้งว่าบิตุรงค์ทรงธรรม์ | ใช้ให้ดะหมังนั้นไปนัดการ |
จัดแจ้งที่จะแต่งสยุมพร | พระเร่งร้อนฤทัยดังไฟผลาญ |
แต่โศกาครวญคร่ำรำคาญ | จะคิดอ่านผ่อนผันฉันใดดี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ อย่าเลยจะทูลลาไปเล่นไพร | แต่พอได้ออกจากกรุงศรี |
แล้วจะไปหมันหยาธานี | ให้สมที่จินดาอาวรณ์ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ คิดแล้วอ่าองค์ทรงเครื่อง | ย่างเยื้องจากแท่นบรรจถรณ์ |
มาทรงกัณฐัศว์อัสดร | บทจรเข้ายังวังใน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ ครั้นถึงจึงถวายอัญชลี | พระชนกชนนีเป็นใหญ่ |
เห็นท่วงทีชอบช่องจึงทูลไป | ว่าลูกไม่สบายมาหลายวัน |
ขอพระองค์จงโปรดปรานี | พรุ่งนี้จะลาไปไพรสัณฑ์ |
เที่ยวไล่มฤคาในอารัญ | เจ็ดวันจะกลับมาเวียงชัย ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระองค์ทรงพิภพสบสมัย |
ฟังโอรสลาไปเล่นไพร | ภูวไนยไม่พะวงสงกา |
จึงตริตรึกปรึกษามเหสี | อิเหนานี้คะนึงถึงจินตะหรา |
เศร้าหมองไม่หายหลายเดือนมา | จะต้องวิญญาณ์ให้คลายใจ |
ว่าพลางทางมีพจนารถ | อนุญาตโดยดังอัชฌาสัย |
ลูกรักจักลาไปเล่นไพร | ก็ตามใจแต่อย่าอยู่ช้า |
แล้วดำรัสตรัสสั่งตำมะหงง | ท่านจงไปด้วยโอรสา |
เป็นผู้ใหญ่ต่างใจต่างตา | อย่าให้พระลูกยาอยู่นาน |
กำชับให้กลับในเจ็ดวัน | ถึงกรุงกุเรปันราชฐาน |
สั่งเสร็จเสด็จจากพระโรงธาร | ภูบาลเข้าสู่ปราสาทชัย ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ เสมอ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรีศรีใส |
ชื่นชมสมจิตที่คิดไว้ | ก็คลาไคลไปปราสาทวิยะดา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ พอประสบพบองค์มะเดหวี | สถิตที่ห้องทองขนิษฐา |
พระลดองค์ลงถวายวันทา | ทำทีกิริยาเปรมปรีดิ์ |
แล้วโอบอุ้มประคองพระน้องรัก | มาใส่ตักเชยชมมารศรี |
ชันษายังไม่ถึงกึ่งปี | อนิจจาพี่นี้จะจากไป |
พลางสะท้อนถอนจิตจาบัลย์ | สุดที่จะกลั้นกันแสงได้ |
ชลเนตรคลอเนตรภูวไนย | ผินไปทรงซับเสียฉับพลัน ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | มะเดหวีมีศักดิ์เฉิดฉัน |
เห็นอิเหนาลูกยาจาบัลย์ | จึงตรัสถามไปพลันทันใด |
เจ้าอุ้มน้องเชยชมภิรมย์รัก | เป็นไรนั่นผันพักตร์ไปร้องไห้ |
เห็นผิดทีเที่ยวป่าพนาลัย | เหมือนจะไปอยู่ช้าสักห้าปี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรีเรืองศรี |
เสแสร้งแกล้งทูลพระชนนี | เมื่อกี้ผงปลิวเข้าตา |
ก้มกรีดชลนัยน์จะให้หาย | ยังระคายเคืองเนตรเป็นหนักหนา |
อย่ากินแหนงแคลงใจพระมารดา | ใช่ว่าจะโศกศัลย์ด้วยอันใด |
ซึ่งลูกจะลาไปอารัญ | เจ็ดวันก็จะกลับกรุงใหญ่ |
ว่าพลางวางองค์พระน้องไว้ | บังคมไหว้มะเดหวีแล้วลีลา ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ
๏ ครั้นถึงประเสบันทันที | นั่งเหนือแท่นมณีที่ข้างหน้า |
จึงสั่งสี่พี่เลี้ยงให้ตรวจตรา | โยธาสำหรับทัพชัย |
จงจัดคนนำทางที่สันทัด | ดั้นดัดมรคาป่าใหญ่ |
พอย่ำยามสามจะยกไป | อย่านอนใจให้ทันเวลา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ประสันตารู้นัยแต่ไม่ว่า |
ทำนับนิ้วจับยามสามตา | เฉยหน้าทูลองค์พระทรงธรรม์ |
เสด็จในยามนี้เถิดดีจริง | จะเกิดลาภสักสิ่งเป็นแม่นมั่น |
ถ้ามิได้สมจิตที่คิดนั้น | ขอถวายชีวันประสันตา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระโฉมยงวงศ์อสัญแดหวา |
ยิ้มพลางทางเขม้นนัยนา | แล้วตรัสว่าช่างทำนายทายเดา |
นี่ใครใช้ให้เจ้าเป็นหมอดู | อวดรู้พูดโป้งไปเปล่าเปล่า |
จะได้ลาภมิได้ก็ทำเนา | มิใช่การอย่าเอามาพาที |
ไม่สบายวิญญาณ์จะคลาไคล | ก็ย่อมรู้อยู่แก่ใจของพี่ |
รำคาญวานอย่าเฝ้าเซ้าซี้ | จงไปจัดโยธีให้พร้อมไว้ ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ยะรุเดะผู้มีอัชฌาสัย |
แย้มยิ้มในหน้าแล้วว่าไป | เจ้าพูดไยอย่างนั้นประสันตา |
ถึงได้ลาภอย่างไรก็ไม่ชื่น | ไม่เหมือนคืนเขตขัณฑ์หมันหยา |
ว่าพลางทางถวายบังคมลา | ออกมาหน้าจักรวรรดิจัดพล ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
ยานี
๏ ตั้งกองท้องสนามตามอย่าง | ขุนช้างผูกช้างระวางต้น |
แต่ละตัวห้าวหาญชาญชน | ชนะศึกฝึกฝนมาหลายคราว |
ขุนม้าผูกม้าพาชี | แซมสีเหลืองกะเลียวเขียวขาว |
เลือกล้วนตัวดีมีฝีเท้า | ประดับเครื่องกุดั่นดาวนากทอง |
ขุนรถเร่งเทียมรถา | อาชาฉุดชักเคล่าคล่อง |
สารถีขี่ขับตามทำนอง | เหน็บกริชฝักทองถือธนู |
ขุนพลจัดพลพร้อมพรั่ง | คับคั่งโยธีทั้งสี่หมู่ |
กรมวังนั่งคอยไขประตู | เตรียมท่าพระโฉมตรูจะยาตรา ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | พระโฉมยงวงศ์อสัญแดหวา |
ครั้นล่วงปฐมยามเวลา | เสด็จมาเข้าที่พระบรรทม ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
ช้า
๏ เอนองค์ลงรำพึงคะนึงใน | ดังได้โฉมตรูมาสู่สม |
ยินดีปรีดาในอารมณ์ | พลางชมสไบบางต่างเทวี |
หอมตลบอบซาบนาสา | เหมือนกลิ่นจินตะหรามารศรี |
นึ่งนึกตรึกไตรในราตรี | ภูมีไม่สนิทนิทรา |
แต่เฝ้าเปรมปริ่มกระหยิ่มใจ | เหมือนพรุ่งนี้จะได้ไปเห็นหน้า |
พระกรรณตรับนับทุ่มนาฬิกา | นั่งคอยเวลาจะคลาไคล ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๏ ครั้นประโคมฆ้องย่ำสามยามเศษ | ภูวเรศยินดีจะมีไหน |
เสด็จออกจากห้องทองทันใด | คลาไคลไปสรงชลธาร ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
โทน
๏ ไขสุหร่ายวารินกลิ่นเกลี้ยง | สถิตนั่งเหนือเตียงสรงสนาน |
ทรงสุคนธ์ปนทองรองพาน | กลิ่นสุมาลย์ตลบอบองค์ |
สอดใส่สนับเพลาพื้นตาด | ปักรูปสีหราชเหมหงส์ |
ภูษายกแย่งครุฑภุชงค์ | ฉลององค์อินทรธนูงามงอน |
เจียระบาดตาดสุวรรณพรรณราย | คาดปั้นเหน่งเพชรพรายสายสร้อยอ่อน |
ทับทรวงดวงกุดั่นดอกซ้อน | ทองกรแก้วมณีเจียระไน |
ธำมรงค์ค่าเมืองเรืองระยับ | มงกุฎเก็จเพชรประดับดอกไม้ไหว |
เหน็บกริชเทวาแล้วคลาไคล | มาทรงมโนมัยในเที่ยงคืน ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
โทน
๏ ม้าเอยม้าต้น | สามารถอาจผจญไม่เต้นตื่น |
พ่วงพีมีกำลังยั่งยืน | ตัวรู้อยู่ปืนได้ทดลอง |
ผูกเครื่องกุดั่นดาวจำหลัก | สายถือเทศถักเป็นลายสอง |
ห้อยหูพู่จามรีกรอง | ใบโพธทองถมยาประดับเพชร |
พานหน้าผนังข้างอย่างนอก | ดวงดอกเนาวรัตน์ตรัสเตร็จ |
พระทรงแส้สุวรรณกัลเม็ด | เสนาตามเสด็จแน่นนันต์ |
ม้าพี่เลี้ยงเคียงม้าที่นั่งทรง | ตำมะหงงนั้นนำพลขันธ์ |
เดินทางสว่างแจ้งด้วยแสงจันทร์ | เร่งกันให้รีบจรลี ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
โอ้ร่าย
๏ เข้าในอรัญวาป่าใหญ่ | ภูวไนยคะนึงถึงโฉมศรี |
โอ้ว่าจินตะหราวาตี | ปานฉะนี้ดวงใจจะไสยา |
หรือจะตื่นนิทราเพลาดึก | รำลึกถึงพี่มั่งกระมังหนา |
หอมหวนอวลรสสุมาลา | พระพายพากลิ่นตลบอบอาย |
น้ำค้างตกต้องใบพฤกษา | จับแสงจันทราจำรัสฉาย |
หิ่งห้อยย้อยระยับจับไม้ราย | พรายพรายแพร้วแพร้วที่แถวทาง |
เสียงบุหรงร้องก้องพนาวัน | สุริย์ฉันจวนแจ้งแสงสว่าง |
พอพ้นด่านกุเรปันชั้นกลาง | หนทางรื่นราบดังปราบไว้ ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๏ พระคิดดูรู้ระยะมรคา | เห็นยังไกลหมันหยากรุงใหญ่ |
จะอุบายขับควบอาชาไนย | รีบไปให้เปลืองหนทางจร |
คิดแล้วจึงมีบัญชาสั่ง | ให้รอรั้งมโนมัยไว้ก่อน |
พอรุ่งรางสร่างแสงทินกร | จึงให้ควบอัสดรดูกำลัง ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ แล้ววางม้าทรงลงแส้ | ทั้งทวยหาญม้าแห่หน้าหลัง |
ต่างควบอาชาดาประดัง | คับคั่งเคียงแข่งแซงไป |
บ้างมุ่นหกผกโผนลำพอง | แตกคลองพากระเจิงเข้าเชิงไผ่ |
แต่กระชากลากฉุดจนอ่อนใจ | แก้ไขสิ้นคิดถึงปิดตา |
พวกขี้ขลาดอวดดีขี่เบาะบาง | สะบัดย่างวางตามเป็นสามขา |
รัดอกขาดพลาดพลัดลงมา | ปากคอคิ้วตาระยำยับ |
บ้างควบปรึงตะบึงไปไม่รอรั้ง | จนตาลายสิ้นกำลังลมจับ |
เหงื่อออกอาบหน้าเอาผ้าซับ | แล้วรีบขับควบตามเสด็จไป ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
๏ ลุล่วงมรคามาถึง | ที่หนึ่งธารท่าชลาไหล |
เวลาเที่ยงแดดร้อนอ่อนใจ | จึงสั่งให้พักพลโยธา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ขุนหมื่นพันทนายซ้ายขวา |
ต่างเปลื้องเครื่องอานอาชา | พานหน้าซองหางออกวางไว้ |
คนเลี้ยงเคียงม้าจูงประจำ | มาลงน้ำกินหญ้าในป่าใหญ่ |
บรรดาคนเดินเท้านั้นไซร้ | ก็ตามไปถึงพลันทันที |
บ้างหุงโภชนาอาหาร | สับสนอลหม่านอึงมี่ |
บ้างถากเสาเกลาไม้มากมี | ทำที่ประทับพลับพลาพลัน ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรีเฉิดฉัน |
พระเสด็จย่างเยื้องจรจรัล | ขึ้นสู่สุวรรณพลับพลาชัย ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ จึงตรัสเรียกระเด่นดาหยน | กับพี่เลี้ยงสี่คนเข้ามาใกล้ |
พระเสแสร้งแกล้งกล่าวเป็นกลใน | หวังมิให้ตำมะหงงสงกา |
เราจะไปประพาสพนาลี | ครั้งนี้มิให้อึงออกหน้า |
จะแปลงปลอมเป็นชาวอรัญวา | เที่ยวป่าให้สนุกทุกตำบล |
เกลือกจะมีอะไรที่ไหนบ้าง | ชาวบ้านบึงบางกลางไพรสณฑ์ |
ถ้าพอพบสบโชคชอบกล | จะให้พี่คนละคนที่ดีดี |
จงกำชับโยธาทุกหมวดกอง | ให้เรียกน้องว่ามิสาระปันหยี |
แล้วเปลี่ยนนามพหลมนตรี | เป็นชื่อชาวพนาลีจงทุกคน |
ตรัสพลางทางเตือนประสันตา | เร่งไปผูกอาชาม้าต้น |
แต่พอบ่ายแสงสุริยน | จะยกพลรีบไปในไพรวัน ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นดาหยนคนขยัน |
เข้าใจในทีพระทรงธรรม์ | กับพี่เลี้ยงพากันออกมา |
เร่งให้ผูกอาชาม้าที่นั่ง | แล้วสั่งโยธีถ้วนหน้า |
จงทำเป็นชาวพนาวา | ดัดลิ้นพูดจาพาที |
อันพระสุริย์วงศ์ทรงเดช | แปลงเพศเป็นชาวพนาศรี |
ทรงนามมิสาหรังปะรังตี | ปันหยีกัศมาหรังฤทธิรณ |
ระเด่นดาหยนพระวงศา | ผลัดชื่อกุดาระมาหงน |
พวกพี่เลี้ยงเสนาสามนต์ | ต่างคนหารือให้ชื่อกัน |
ตำมะหงงชื่อสุหรันดากา | ปูนตาชื่อตาระมาหงัน |
ยะรุเดะพี่เลี้ยงพระทรงธรรม์ | ชื่อมาหงันเอ็งหรูกูดา |
อันกะระตาหลาพี่เลี้ยงนี้ | ชื่อสุดาส่าหรีกันตะหรา |
ประสันตาชื่อกุดาระมายา | เสนาเปลี่ยนชื่อทุกคนไป ฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ เจรจา
๏ ครั้นเสร็จก็พากันมาเฝ้า | ก้มเกล้ากราบทูลแถลงไข |
อันชื่อซึ่งแปลงเป็นชาวไพร | ทั้งนายไพร่พร้อมกันดังบัญชา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระสุริยวงศ์เทวัญอสัญหยา |
ชื่นชมสมจิตจินดา | จึงปรึกษาพี่เลี้ยงอันร่วมใจ |
จะไปโดยมรคานี้ช้านัก | แล้วผู้คนจะรู้จักจำได้ |
จะลอบสั่งพรานป่าให้พาไป | ยังเขาใหญ่ชื่อว่าปะราปี |
ตรัสพลางทางเปลื้องเครื่องทรง | แปลงองค์เป็นชาวพนาศรี |
ถือเช็ดหน้าเหน็บกริชฤทธี | มาทรงพาชีฉับพลัน |
พร้อมหมู่มาตยาสามนต์ | ทวยหาญพหลพลขันธ์ |
พรานไพรนำหน้าจรจรัล | เลี้ยวลัดดัดดั้นดงมา ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงภูผาปะราปี | สมถวิลยินดีเป็นหนักหนา |
ด้วยเกือบใกล้หมันหยาพารา | ดังได้เห็นหน้านางบังอร |
จึงสั่งตำมะหงงเสนี | จะหยุดยั้งโยธีอยู่นี่ก่อน |
จงกะเกณฑ์พหลพลนิกร | ให้ทำที่ประทับร้อนแรมไพร ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ตำมะหงงเสนาผู้ใหญ่ |
รับสั่งพระองค์ทรงฤทธิไกร | บังคมลาคลาไคลออกไปพลัน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ จึงกะเกณฑ์กันดังบัญชา | วัดที่ตั้งพลับพลาพนาสัณฑ์ |
เอาเชือกชักหลักกรุยเป็นสำคัญ | แบ่งปันปักฉลากให้ตามกรม ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้น | เจ้าหมู่ไพร่หลวงแลเลกสม |
รีบเร่งทำงานการระดม | บ้างถากที่ทุบถมลุ่มดอน |
พวกไปเอาตัวไม้ใส่สาลี่ | อึงมี่ลากฉุดไม่หยุดหย่อน |
บ้างเจาะเสาเข้าฝาเกลากลอน | ถากฟันบั่นรอนเป็นโกลา |
ปลูกสุวรรณพลับพลาอ่าโถง | เก้าห้องท้องพระโรงหลังหน้า |
ที่เสวยที่สรงคงคา | โรงรถคชาพาชี |
ระเนียดรอบขอบคันมั่นคง | ทิมกระท่อมล้อมวงประจำที่ |
ขัดเรือกทำฉนวนลงนที | ปลูกพลับพลาวารีไว้ริมธาร |
สนามทวนทุบปราบราบรื่น | ตั้งป้อมหัดปืนตรงหน้าฉาน |
สารวัดรัดเร่งทำการ | ก็แล้วทุกพนักงานพร้อมกัน ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ปันหยีเพราเพริศเฉิดฉัน |
จึงเสด็จย่างเยื้องจรจรัล | ขึ้นสุวรรณพลับพลาพนาลี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ ลดองค์ลงนั่งเหนืออาสน์ | สำราญราชหฤทัยเกษมศรี |
สรวลสันต์หรรษาพาที | กับเสนีพี่เลี้ยงผู้ร่วมใจ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ตำมะหงงกราบทูลแถลงไข |
แต่เสด็จมาประพาสพนาลัย | ก็นับได้ถึงเจ็ดวันมา |
อันพระมารดาบิตุเรศ | ปานนี้จะเทวษถวิลหา |
จะยับยั้งอยู่ไยให้เนิ่นช้า | เชิญเสด็จลีลาไปธานี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระโฉมยงองค์มิสาระปันหยี |
เคืองขัดตรัสตอบไปทันที | อะไรนี่มีแต่จะจัณฑาล |
ถึงจะถ้วนเจ็ดวันดังสัญญา | ท่านจะไปพาราก็ช่างท่าน |
ข้าจะอยู่เที่ยวเล่นให้นานนาน | รำคาญวานอย่าว่าให้ขัดใจ |
ตรัสพลางทางเสด็จเข้าในห้อง | ให้ชักปิดม่านทองสองไข |
ไสยาสน์เหนืออาสน์อำไพ | ภูวไนยสนิทนิทรา ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ ตระ
https://vajirayana.org/system/files/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B2_264950.pdf