- คำนำ
- ลายพระหัตถ์ หม่อมเจ้าหญิง พัฒน์คณนา ไชยันต์
- พระประวัติ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิวัฒนไชย
- สดุดีพระเกียรติ
- การตั้งธนาคารแห่งประเทศไทย
- บันทึกเรื่องการตั้งธนาคารกลาง
- – เรื่อง การตั้งธนาคารกลาง (CENTRAL BANK)
- –– ใบแนบ 1
- –– ใบแนบ 2
- ร่างพระราชบัญญัติธนาคารชาติแห่งประเทศไทย
- บันทึกคำอธิบายร่างพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย
- เรื่อง การบังคับธนาคารต่างๆให้มีเงินฝากในธนาคารกลาง
- – 1. Royal Commission on Indian Currency and Finance
- – 2. Sir Otto Niemeyer, (Report on Re-organization of Brazilian National Finance)
- – 3. CENTRAL BANKS. (Sir Cecil Kisch & W.A. Elkin.)
- THE BANK OF THAILAND
- การควบคุมการปริวรรตเงิน
- การควบคุมเครดิต
- การควบคุมธนาคารพาณิชย์
- เสถียรภาพแห่งค่าของเงินบาท
- เรื่อง กันเงินเฟ้อ (ANTI-INFLATION)
- เรื่องธนบัตรขาดแคลน
- – เรื่อง ธนบัตรอาจขาดมือ
- – โครงการ บัตรเงินสด
- – โครงการตัดธนบัตรเป็นสองท่อน
- เรื่อง สถานการณ์การคลังและการเงินปัจจุบัน
- – สถานการณ์คลังปัจจุบัน
- – สถานการณ์เงินปัจจุบัน
- เรื่อง อัตราแลกเปลี่ยนเงิน
- นโยบายการเงิน
- บันทึกเรื่อง การปริวรรตเงินต่างประเทศ
- – ๑๕ มกราคม ๒๔๙๕
- – ๓๑ มกราคม ๒๔๙๕
- – ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๕
- Memorandum, 28 March 1952 (2495)
- ระบบเงินตรา
ร่างพระราชบัญญัติธนาคารชาติแห่งประเทศไทย
พุทธศักราช ๒๔๘๕
หลักการ
เพื่อจัดตั้งธนาคารชาติแห่งประเทศไทย
เหตุผล
สมควรจัดให้มีธนาคารประเภทที่เรียกกันว่า “ธนาคารกลาง” (Central Bank) มีหน้าที่จัดระเบียบการเงินตราและควบคุมเครดิต กับทั้งเป็นธนาคารของรัฐและธนาคารของธนาคารอื่นทั้งหลาย เพื่อประโยชน์ในอันจะนำมาซึ่งความมั่นคงในการเงินของประเทศ
ร่าง
พระราชบัญญัติธนาคารชาติแห่งประเทศไทย
พุทธศักราช ๒๔๘๕
.......................................…
.......................................…
.......................................…
..........................................
โดยที่สภาผู้แทนราษฎรลงมติว่า สมควรจัดตั้งธนาคารกลางขึ้นในราชอาณาจักรไทย
.......................................…
..........................................
หมวด ๑
ความเบื้องต้น
มาตรา ๑. พระราชบัญญัตินี้ให้เรียกว่า “พระราชบัญญัติธนาคารชาติแห่งประเทศไทย พุทธศักราช ๒๔๘๕”
มาตรา ๒. ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้ตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓. เมื่อได้จัดตั้งธนาคารชาติแห่งประเทศไทยขึ้นแล้วตามบทแห่งพระราชบัญญัตินี้ ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติจัดตั้งสำนักงานธนาคารชาติไทย พุทธศักราช ๒๔๘๒
มาตรา ๔. ในพระราชบัญญัตินี้ “ธนาคารชาติ” หมายความว่า ธนาคารชาติแห่งประเทศไทย
“รัฐมนตรี” หมายความว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
“ผู้ประศาสน์การ” และ “รองผู้ประศาสน์การ” หมายความว่า ผู้ประศาสน์การ และ รองผู้ประศาสน์การธนาคารชาติแห่งประเทศไทย
“คณะกรรมการ” หมายความว่า คณะกรรมการธนาคารชาติแห่งประเทศไทย
“ธนาคาร” หมายความว่า บุคคล หรือคณะบุคคลที่ใช้ชื่อ หรือคำแสดงชื่อ ว่า “ธนาคาร” หรือคำอื่นใดที่มีความหมายอย่างเดียวกัน และบริษัตจำกัดที่รับฝากเงินที่ถอนคืนได้โดยใช้เช็ค ดราฟท์ หรือคำสั่ง ในกรณีที่เกี่ยวกับคณะบุคคลซึ่งมิใช่เป็นนิติบุคคลนั้น หัวหน้าหรือผู้จัดการของคณะบุคคลนั้นต้องเป็นผู้รับผิดตามบทแห่งพระราชบัญญัตินี้
หมวด ๒
การจัดตั้งธนาคารชาติ เงินทุน และเงินสำรอง
มาตรา ๕. ให้จัดตั้งธนาคารขึ้น เรียกว่า “ธนาคารชาติแห่งประเทศไทย” เพื่อประโยชน์ในอันจะรับมอบการจัดการออกธนบัตรไปจากกระทรวงการคลัง และประกอบธุรกิจอันเป็นหน้าที่ของธนาคารกลาง ตามบทแห่งพระราชบัญญัตินี้ และตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๖. ให้ธนาคารชาติแห่งประเทศไทยเป็นนิติบุคคล และยื่นคำฟ้อง หรือ ถูกฟ้องต่อศาลได้ในชื่อนี้
ห้ามมิให้บุคคลอื่นใดใช้ชื่อ “ธนาคารชาติ” “ธนาคารแห่งประเทศไทย” หรือ “ธนาคารชาติแห่งประเทศไทย” หรือใช้ชื่อที่กล่าวนี้ โดยมีถ้อยคำอื่นเพิ่มเติมเข้าด้วย
มาตรา ๗. เงินทุนของธนาคารชาติในเบื้องต้น ให้กำหนดเป็นจำนวน ๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท (ยี่สิบล้านบาท) เงินจำนวนนี้ให้รัฐบาลจ่ายให้ธนาคารชาติจากเงินงบประมาณแผ่นดิน
มาตรา ๘. เงินทุนของธนาคารชาตินั้น รัฐมนตรีจะเพิ่มหรือลดก็ได้ โดยคำแนะนำของคณะกรรมการ แต่ยอดเงินทุนทั้งสิ้นไม่ว่าในขณะใดจะต้องไม่เกินจำนวน ๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท (ห้าสิบล้านบาท)
เงินที่ต้องจ่ายอีกในการเพิ่มทุนของธนาคารชาตินั้นให้รัฐบาลจ่ายให้ธนาคารชาติจากเงินงบประมาณแผ่นดิน
มาตรา ๙. เงินสำรองของธนาคารชาตินั้นให้ประกอบด้วยเงินสำรองธรรมดาตั้งไว้เผื่อขาดทุน และนอกจากนี้ให้มีเงินสำรองเฉพาะเพื่อการอื่นๆ ตามแต่คณะกรรมการจะจัดตั้งโดยอนุมัติของรัฐมนตรี และสะสมขึ้นโดยจ่ายจากเงินกำไรจำนวนสุทธิในปีหนึ่ง ๆ
มาตรา ๑๐. เงินสำรองธรรมดานั้นให้สะสมขึ้นโดยจ่ายจากเงินกำไรจำนวนสุทธิในปีหนึ่งๆ เป็นจำนวนร้อยละ ๒๕ แห่งเงินกำไรจำนวนสุทธินั้น แต่ต้องกันเงินไว้เป็นค่าแห่งหนี้ที่เรียกไม่ได้และที่สงสัยเป็นค่าเสื่อมราคาแห่งสินทรัพย์ และเป็นรายจ่ายอย่างอื่นๆ ซึ่งธนาคารพึงจ่ายเป็นปกติเสียก่อน ทั้งนี้จนกว่าเงินสำรองที่กล่าวจะมีจำนวนเสมอร้อยละ ๑๐๐ แห่งเงินทุนที่มีอยู่
เมื่อเงินสำรองธรรมดามีจำนวนเสมอร้อยละ ๑๐๐ แห่งเงินทุนที่มีอยู่หรือมากกว่านั้นแล้ว คณะกรรมการจะลดจำนวนที่ต้องจ่ายเพื่อสะสมก็ได้
มาตรา ๑๑. กำไรจำนวนสุทธิที่คงเหลืออยู่หลังจากที่ได้จ่ายส่งเป็นเงินสำรองธรรมดา และเป็นเงินสำรองอื่นๆ ที่คณะกรรมการจัดตั้งตามมาตรา ๙ แล้วนั้น ให้นำส่งเป็นรายได้ของรัฐทุกๆ ปี
มาตรา ๑๒. ให้โอนสินทรัพย์และหนี้สินของสำนักงานธนาคารชาติไทยให้แก่ธนาคารชาติ และสินทรัพย์ส่วนที่สูงกว่าหนี้สินที่โอนไปนั้นให้ส่งเข้าเป็นเงินสำรองธรรมดาของธนาคารชาติ
มาตรา ๑๓. ให้ธนาคารชาติตั้งสำนักงานแห่งใหญ่ในกรุงเทพฯ และจะตั้งสาขาหรือตัวแทนในที่อื่นใดในประเทศไทยก็ได้ และถ้าได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีแล้วจะตั้งสาขาหรือตัวแทนในต่างประเทศก็ได้
หมวด ๓
การกำกับ ดูแล และจัดการ
มาตรา ๑๔. ให้รัฐมนตรีกำกับกิจการของธนาคารชาติโดยทั่วๆ ไป
มาตรา ๑๕. การควบคุมดูแลกิจการของธนาคารชาติโดยทั่ว ๆ ไปนั้น ให้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการอันประกอบด้วยผู้ประศาสน์การ รองผู้ประศาสน์การ และกรรมการอีก ๓ นาย
ให้ผู้ประศาสน์การและรองผู้ประศาสน์การเป็นประธานและรองประธานโดยตำแหน่ง
มาตรา ๑๖. ผู้ประศาสน์การเป็นผู้จัดกิจการของธนาคารชาติ และดูแลให้การเป็นไปตามกฎหมายและข้อบังคับ
รองผู้ประศาสน์การปฏิบัติงานตามหน้าที่ที่ผู้ประศาสน์การมอบให้ไว้
มาตรา ๑๗. กิจการทั้งปวงที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการนั้น ผู้ประศาสน์การจะปฏิบัติไปก็ได้ แต่แล้วต้องเสนอต่อคณะกรรมการเพื่อให้สัตยาบัน
ในกรณีที่ผู้ประศาสน์การไม่เห็นพ้องด้วยกับมติของกรรมการฝ่ายข้างมาก ให้เสนอประเด็นไปยังรัฐมนตรี เพื่อวินิจฉัย
มาตรา ๑๘. ผู้ประศาสน์การและรองผู้ประศาสน์การนั้น พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งโดยคำแนะนำของรัฐบาล และให้ดำรงตำแหน่งเพียงเท่าระยะเวลาที่กำหนดไว้เมื่อทรงแต่งตั้ง แต่ต้องไม่เกิน ๕ ปี เมื่อครบกำหนดนั้นแล้วจะทรงแต่งตั้งอีกก็ได้
มาตรา ๑๙. กรรมการอื่น ๆ นั้นให้รัฐมนตรีแต่งตั้งและให้ดำรงตำแหน่งเพียงเท่าระยะเวลาที่กำหนดไว้เมื่อแต่งตั้ง แต่ต้องไม่เกิน ๓ ปี เมื่อครบกำหนดนั้นแล้วจะแต่งตั้งอีกก็ได้
มาตรา ๒๐. ผู้ประศาสน์การ รองผู้ประศาสน์การแลกรรมการอื่นๆ นั้น จะถอนจากตำแหน่งไม่ได้ เว้นไว้แต่พระมหากษัตริย์จะทรงสั่งโดยคำแนะนำของรัฐบาล
มาตรา ๒๑. ให้คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งพนักงานตามแต่จะจำเป็นเพื่อจัดทำธุรกิจของธนาคารชาติ เรียกประกันจากพนักงานว่าจะปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต จ่ายเงินเดือน เงินโบนัส หรือเงินอื่น ๆ ให้ สั่งพักหรือถอดถอนจากตำแหน่ง และสั่งการอย่างอื่นๆ ตามแต่จะสมควร เพื่อจัดธุรกิจให้เป็นไปด้วยดี
หมวด ๔
การออกธนบัตร และธนาคารบัตร
มาตรา ๒๒. ธนาคารชาติมีสิทธิออกธนาคารบัตรในประเทศไทยได้แต่ผู้เดียว
มาตรา ๒๓. การออกและจัดการธนาคารบัตรนั้น ให้ธนาคารชาติจัดทำ โดยมี “ฝ่ายออกธนาคารบัตร” เป็นเจ้าหน้าที่ “ฝ่ายออกธนาคารบัตร” นี้ให้แบ่งออกเป็นส่วนหนึ่งต่างหากจากฝ่ายที่ประกอบธุรกิจอื่น ๆ ของธนาคารชาติ ซึ่งให้เรียกว่า “ฝ่ายการธนาคาร”
มาตรา ๒๔. จนกว่าจะถึงเวลาที่การเงินระหว่างประเทศได้เข้าสู่ภาวะอันประจักษ์แจ้งแน่นอนพอสมควรแล้ว การออกและจัดการธนาคารบัตรของธนาคารชาตินั้นให้อยู่ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยเงินตรา และคำว่า “ธนบัตร” ที่ใช้ในกฎหมายที่กล่าวนั้นให้ถือว่ารวมตลอดถึง “ธนาคารบัตร” ที่ธนาคารชาติจำหน่ายด้วย
มาตรา ๒๕. นับตั้งแต่และจนถึงเวลาที่รัฐมนตรีกำหนด ธนาคารชาติจะออกธนบัตรของรัฐบาลก็ได้ ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยเงินตรา
มาตรา ๒๖. เพื่อประโยชน์แห่งมาตรา ๒๔ และ ๒๕ รัฐมนตรีจะสั่งให้โอนทุนสำรองที่ตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติเงินตรา พุทธศักราช ๒๔๗๑ หนี้สินเหนือทุนสำรองนั้น และกองเงินตราในกรมคลัง พร้อมทั้งเงินที่อนุญาตในงบประมาณสำหรับกองนั้น ไปให้แก่ฝ่ายออกธนาคารบัตรแห่งธนาคารชาติก็ได้
มาตรา ๒๗. เพื่อประโญชน์แห่งมาตรา ๒๔ และ ๒๕ และเพียงเท่าที่เกี่ยวแก่การออกและจัดการธนบัตร ธนาคารบัตร และทุนสำรอง คำว่า “กองเงินตรา กรมคลัง” และ “อธิบดีกรมคลัง” ที่ใช้ในพระราชบัญญัติเงินตรา พุทธศักราช ๒๔๗๑ พระราชบบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมต่อ ๆ มา พระราชบัญญัติเงินตราในภาวะฉุกเฉิน พุทธศักราช ๒๔๘๔ และกฎกระทรวงที่ออกตามความในพระราชบัญญัติเหล่านี้นั้นทุกแห่ง ให้แก้เป็น “ฝ่ายออกธนาคารบัตรแห่งธนาคารชาติแห่งประเทศไทย” และ “ผู้ประศาสน์การธนาคารชาติแห่งประเทศไทย” ตามลำดับ และคำว่า “รัฐมนตรี” ที่ใช้ในมาตรา ๑๕ และมาตรา ๑๙ แห่งพระราชบัญญัติเงินตรา พุทธศักราช ๒๔๗๑ และ “กระทรวงการคลัง” ในข้อ ๒ แห่งกฎกระทรวงการคลังออกตามความในพระราชบัญญัติเงินตราในภาวะฉุกเฉิน พุทธศักราช ๒๔๘๔ (ฉบับที่ ๒) นั้น ให้แก้เป็น “ผู้ประศาสน์การธนาคารชาติแห่งประเทศไทย”
มาตรา ๒๘. ธนาคารบัตรที่ธนาคารชาติออกนั้น ให้ได้รับความคุ้มครองของบทบัญญัติแห่งกฎหมายลักษณะอาญา
หมวด ๕
กิจการธนาคาร
มาตรา ๒๙. ให้ธนาคารชาติประกอบธุรกิจประเภทที่เป็นหน้าที่ของธนาคารกลางตามแต่จะได้ระบุไว้ในพระราชกฤษฎีกา
ห้ามมิให้ธนาคารชาติประกอบธุรกิจอื่นใดนอกจากที่ได้ระบุไว้นั้น
มาตรา ๓๐. ให้ธนาคารชาติประกาศเป็นครั้งคราวแจ้งอัตราปกติที่จะซื้อหรือซื้อช่วงซึ่งตั๋วแลกเงิน หรือตราสารพาณิชย์ที่พึงซื้อได้ ตามความในพระราชกฤษฎีกาที่กล่าวข้างบนนี้
หมวด ๖
ความสัมพันธ์กับรัฐบาล
มาตรา ๓๑. ให้ธนาคารชาติรับเงินฝากเพื่อลงบัญชีของกระทรวงการคลัง และจ่ายเงินตามคำสั่งโดยไม่เกินจำนวนที่มีเครดิตในบัญชีนั้น กระทรวงการคลังไม่พึงต้องจ่ายเงินให้แก่ธนาคารชาติเป็นค่าถือบัญชีที่กล่าว และธนาคารชาติไม่พึงต้องจ่ายดอกเบี้ยเงินฝากให้แก่กระทรวงการคลัง
เพื่อประโยชน์แห่งมาตรานี้ รัฐมนตรีจะสั่งให้โอนกอง แผนก หรือเจ้าพนักงานในกรมบัญชีกลางหรือกรมคลังตามแต่จะจำเป็น รวมทั้งเงินอนุญาตในงบประมาณสำหรับกอง แผนก หรือเจ้าพนักงานที่กล่าวไปให้แก่ฝ่ายการธนาคารแห่งธนาคารชาติก็ได้
มาตรา ๓๒. ให้ธนาคารชาติมีหน้าที่ปฏิบัติการแลกเปลี่ยนเงิน การส่งเงินไปต่างประเทศ และการธนาคารของรัฐบาล ออกกู้เงินและจัดการเงินกู้แทนรัฐบาลและองค์การสาธารณะ โดยมีข้อตกลง และเงื่อนไข ตามแต่จะได้ตกลงกัน
หมวด ๗
เงินสำรองที่ธนาคารอื่น ๆ ต้องฝากไว้
มาตรา ๓๓. นับแต่วันที่ได้รับคำสั่งจากธนาคารชาติ ธนาคารทุกธนาคารต้องมีเงินฝากไว้ที่ธนาคารชาติ ซึ่งในขณะที่เลิกทำงานในวันหนึ่ง ๆ ต้องมีจำนวนคงเหลือไม่ต่ำกว่าที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา
มาตรา ๓๔. ธนาคารทุกธนาคารต้องส่งรายงานลับต่อผู้ประศาสน์การ แสดงรายการต่อไปนี้
ก. หนี้สินในประเทศไทยที่ต้องจ่ายเมื่อเรียกร้อง และที่ต้องจ่ายโดยมีกำหนดเวลา
ข. ยอดรวมแห่งธนบัตรและธนาคารบัตรของธนาคารชาติที่มีอยู่ในประเทศไทย
ค. เหรียญกระษาปณ์ที่มีอยู่ในประเทศไทย
ง. จำนวนเงินที่ได้ให้กู้ยืม และตั๋วเงินที่ได้ซื้อในประเทศไทย
จ. เงินคงเหลือในธนาคารชาติ
ฉ. รายการอื่น ๆ อันควรแก่เรื่อง ตามแต่ผู้ประศาสน์การจะต้องการ
ทั้งนี้ เมื่อหมดเวลาทำงานทุก ๆ วันศุกร์ หรือถ้าวันศุกร์เป็นวันหยุดทำงานของธนาคาร ก็เมื่อหมดเวลาทำงานในวันทำงานวันก่อน รายงานลับที่กล่าวนี้ต้องส่งไม่ช้ากว่าวันทำงาน ๒ วัน หลังจากวันที่ต้องรายงาน
แต่ว่าเมื่อผู้ประศาสน์การเป็นที่พอใจว่า ธนาคารใดไม่สามารถส่งรายงานประจำสัปดาห์ได้ ก็อาจสั่งให้ธนาคารนั้นส่งรายงานประจำเดือนแทนรายงานประจำสัปดาห์ และให้ส่งภายในกำหนดวันที่ผู้ประศาสน์การกำหนด
เมื่อผู้ประศาสน์การสั่ง ธนาคารทุกธนาคารต้องชี้แจงข้อความหรืออธิบายหรือขยายความในรายงานที่ส่งนั้นโดยทันที
หมวด ๘
ผู้ตรวจบัญชี
มาตรา ๓๕. บัญชีแสดงกิจการทั้งหลายซึ่งเกี่ยวแก่ทุนสำรองนั้น ให้ประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินคงต้องตรวจต่อไปตามเดิม
มาตรา ๓๖. โดยไม่เป็นการเสื่อมเสียแก่บทบัญญัติในมาตรา ๓๕ ให้คณะกรรมการเลือกตั้งผู้ตรวจบัญชีคนหนึ่งหรือมากกว่า ให้ผู้ตรวจบัญชีมีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา และให้ดำรงตำแหน่งเป็นเวลา ๓ ปี เมื่อครบกำหนดนั้นแล้วจะเลือกตั้งอีกก็ได้ อนึ่ง กรรมการหรือพนักงานของธนาคารชาติจะเป็นผู้ตรวจบัญชีตามมาตรานี้ไม่ได้
มาตรา ๓๗. รัฐมนตรีจะให้ประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน หรือบุคคลอื่นตามแต่จะเห็นสมควร ตรวจบัญชีของธนาคารชาติเมื่อใดก็ได้ โดยไม่เป็นการเสื่อมเสียแก่บทบัญญัติในมาตรา ๓๖
หมวด ๙
บททั่วไป
มาตรา ๓๘. แม้ถึงว่าจะมีข้อความอย่างใด ๆ ในประมวลรัษฎากรและพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมต่อ ๆ มา ธนาคารชาติไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ ภาษีเสริม หรือภาษีการธนาคาร และธนาคารบัตรที่ธนาคารชาติออกก็ไม่ต้องเสียอากรแสตมป์
มาตรา ๓๙. ห้ามมิให้ชำระบัญชีธนาคารชาติ เว้นไว้แต่โดยคำสั่งของรัฐบาล
มาตรา ๔๐. ให้รัฐบาลมีอำนาจออกพระราชกฤษฎีกากำหนดกิจการทั้งปวงที่จำเป็นหรือสมควรต้องกำหนด เพื่อปฏิบัติให้เป็นไปตามบทแห่งพระราชบัญญัตินี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งและโดยไม่เป็นการเสื่อมเสียแก่อำนาจทั่วไปที่กล่าวข้างบนนี้ พระราชกฤษฎีกานั้นจะกำหนดข้อความต่อไปนี้
ก. กิจการที่คณะกรรมการพึงปฏิบัติ
ข. หน้าที่และความรับผิดชอบของคณะกรรมการ
ค. ธุรกิจประเภทต่าง ๆ ที่อนุญาตให้ธนาคารชาติประกอบได้ แต่ว่าธุรกิจที่กล่าวนั้นต้องอยู่ในหน้าที่ของธนาคารกลาง
ง. ธุรกิจประเภทต่าง ๆ ที่ห้ามมิให้ธนาคารชาติประกอบ
จ. จำนวนเงินคงเหลือที่ธนาคารทุกธนาคารต้องมีฝากไว้ในธนาคารชาติ
ฉ. อำนาจและหน้าที่ของผู้ตรวจบัญชีที่คณะกรรมการเลือกตั้ง
ช. บัญชี รายการ และรายงานที่ธนาคารชาติต้องทำเสนอต่อรัฐมนตรี หรือที่ต้องประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา ๔๑. บุคคลใดใช้ชื่อ “ธนาคารชาติ” “ธนาคารแห่งประเทศไทย” หรือ “ธนาคารชาติแห่งประเทศไทย” หรือใช้ชื่อที่กล่าวนี้ โดยมีถ้อยคำอื่นเพิ่มเติม โดยฝ่าฝืนมาตรา ๖ มีความผิดต้องระวางโทยปรับไม่เกิน ๕,๐๐๐ บาท
มาตรา ๔๒. ธนาคารใด
ก. ไม่มีเงินฝากคงเหลือในธนาคารชาติเป็นจำนวนอย่างน้อยเท่าที่ต้องฝากตามมาตรา ๓๓
ข. ไม่ส่งรายงาน หรือไม่ชี้แจง อธิบายหรือขยายข้อความที่ต้องการตามมาตรา ๓๔
มีความผิดต้องระวางโทษปรับไม่เกิน ๕,๐๐๐ บาท และปรับอีกไม่เกินวันละ ๑,๐๐๐ บาท เรียงตามรายวันตลอดเวลาที่ยังทำการขาดตกบกพร่องอยู่ และรัฐมนตรีอาจเรียกใบอนุญาตที่ออกให้ตามความในพระราชบัญญัติควบคุมกิจการธนาคาร พุทธศักราช ๒๔๘๐ นั้นคืนก็ได้ โดยคำแนะนำของคณะกรรมการ
มาตรา ๔๓. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้.