บันทึกคำชี้แจงทั่วไปเกี่ยวกับร่าง พ.ร.บ. เงินตรา พ.ศ....

๑. วัตถุประสงค์ของบันทึกฉบับนี้ได้แก่การชี้แจงโดยทั่วไปว่าการร่างพระราชบัญญัติเงินตราฉบับนี้ได้อาศัยความคิดเห็นประการใดบ้าง การชี้แจงจะต้องกล่าวโดยย่อถึงระบบเงินตราปัจจุบันด้วย จึ่งจะสะดวกแก่การพิจารณา

ระบบใน พ.ร.บ. ๒๔๗๑

๒. ระบบเงินตราที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. ๒๔๗๑ และในพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมต่อๆ มา (ซึ่งต่อไปนี้จะรวมเรียกโดยย่อว่า พ.ร.บ. ๒๔๗๑) เป็นระบบที่ต้องด้วยแบบที่เรียกว่า Sterling Exchange Standard คือได้กำหนดค่าของเงินบาทเทียบกับสเตอร์ลิงก์ และเพื่อรักษาค่าของเงินบาทไว้ให้ยืนที่เท่าที่กำหนด (๑๑ บาทต่อปอนด์) กฎหมายจึ่งบังคับรัฐมนตรีคลัง ให้ต้องซื้อหรือขายปอนด์โดยไม่จำกัดจำนวนในอัตรา ๑๑ บาทต่อหนึ่งปอนด์ และในทันทีที่มีผู้เสนอขายหรือซื้อ อนึ่ง เพื่อให้รัฐมนตรีปฏิบัติการเช่นว่านี้ได้จึ่งมีบทบัญญัติให้มีทุนสำรองเงินตราขึ้นไว้กองหนึ่ง ทุนสำรองนี้ให้ประกอบด้วยทองคำหรือปอนด์ อนึ่ง เจ้าหน้าที่จะออกธนบัตรไม่ได้เว้นไว้แต่จะแลกเปลี่ยนกับทองคำหรือปอนด์มีราคาเท่ากัน ทองคำหรือปอนด์นั้นต้องส่งเข้าทุนสำรอง และเจ้าหน้าที่จะจ่ายทุนสำรองไม่ได้เว้นไว้แต่จะแลกเปลี่ยนกับธนบัตรจำนวนเท่ากัน และธนบัตรนั้นต้องถอนกลับคืนเข้ามาจากธนบัตรออกใช้ สาระสำคัญของระบบที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ. ๒๔๗๑ มีเช่นว่ามานี้

ระบบชั่วคราว

๓. ระบบใน พ.ร.บ. ๒๔๗๑ นั้น เมื่อเกิดสงครามแล้วก็ได้มิการแก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งได้กระทำโดยออกกฎกระทรวง ตามอำนาจในพระราชบบัญญัติเงินตราในภาวะฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๔๘๔ และพระราชบัญญัติระบบเงินตราชั่วคราว ๒๔๘๙ แต่เป็นการแก้ไขชั่วคราว และเมื่อหมดอายุแล้วจะต้องกลับใช้ระบบใน พร.บ. ๒๔๗๑ อีก (ระบบที่แก้ไขเพิ่มเติมนี้ ต่อไปนี้จะเรียกโดยย่อว่าระบบชั่วคราว)

๔. ระบบชั่วคราวที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ ได้ยกเลิกการเทียบค่าของบาทกับสเตอร์ลิงก์ แต่ยังไม่ได้เทียบกับทองคำตามข้อผูกพันกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ที่เทียบไว้แล้วก็เฉพาะเพื่อการตีราคาสินทรัพย์ในทุนสำรองเท่านั้น) จึ่งไม่มีบทบัญญัติให้เจ้าหน้าที่เงินตราต้องรักษาค่าแลกเปลี่ยนของเงินบาท ไม่มีการบังคับให้ต้องซื้อหรือขายทองคำหรือเงินต่างประเทศใดๆ แต่บทบัญญัติในระบบ พ.ร.บ. ๒๔๗๑ ซึ่งมีว่าจะออกธนบัตรไม่ได้ เว้นไว้แต่จะแลกเปลี่ยนกับทองคำหรือปอนด์ ซึ่งต้องส่งเข้าทุนสำรอง และจะจ่ายทุนสำรองไม่ได้เว้นไว้แต่จะแลกเปลี่ยนกับธนบัตรซึ่งต้องถอนคืนจากธนบัตรออกใช้นั้น ทั้งสองบทนี้ยังคงใช้อยู่ตามเดิม

ข้อแตกต่างระหว่างสองระบบ

๕. เท่าที่กล่าวมาแล้วนี้จึ่งจะเห็นได้ว่า ข้อแตกต่างในระหว่างระบบ พ.ศ. ๒๔๗๑ กับระบบชั่วคราวนั้นมีสาระสำคัญอยู่ที่ การใช้ทุนสำรอง กล่าวคือ ระบบ พ.ศ. ๒๔๗๑ นั้นใช้ทุนสำรอง (ทองคำและเงินต่างประเทศ) เพื่อประโยชน์สองประการ คือ (๑) เพื่อรักษาค่าของบาทให้ยืนที่เมื่อเทียบกับสเตอร์ลิงก์ และ (๒) เพื่อควบคุมการออกธนบัตรให้เป็นระเบียบ ดั่งนี้ แต่ระบบชั่วคราวนั้นใช้ทุนสำรองเพื่อประโยชน์แต่อย่างเดียว คือเพื่อควบคุมการออกธนบัตรให้เป็นระเบียบเท่านั้น

การร่างพระราชบัญญัติใหม่

๖. ในการร่างพระราชบัญญัติใหม่นี้มีข้อควรคำนึงว่าในวันใดวันหนึ่งไม่ช้าก็เร็วรัฐบาลจะต้องตกลงกับกองทุน ฯ กำหนดค่าของบาทเทียบกับทองคำและจะต้องรักษาค่าของบาทให้ยืนที่เมื่อเทียบกับเงินต่างประเทศที่มีค่าเทียบกับทองคำแล้ว ฉะนั้น จึ่งจำต้องมีทุนสำรองเพื่อใช้ในการรักษาค่าของบาท แต่ปัญหามีอยู่ว่าจะควรใช้ทุนสำรองเพื่อควบคุมการออกธนบัตรด้วยตามเดิมหรือไม่ หรือว่าจะควบคุมด้วยวิธีอื่นใด

๗. การควบคุมการออกธนบัตรให้เป็นระเบียบด้วยอุบายใช้ทุนสำรองเป็นเครื่องมือนั้นเป็นวิธีควบคุมที่ปฏิบัติได้ง่ายดาย เพราะเป็นวิธี automatic กล่าวคือ เมื่อการชำระเงินกับต่างประเทศมี surplus ก็มีผู้นำเงินต่างประเทศมาเสนอขาย จึงต้องออกธนบัตรเพิ่มขึ้น และเมื่อการชำระเงินกับต่างประเทศมี deficit ก็มีผู้ขอซื้อเงินต่างประเทศ จึ่งต้องถอนธนบัตรกลับคืนเข้ามา ฉะนั้นธนบัตรที่ออกใช้จะเพิ่มหรือลดก็สุดแล้วแต่ความจำเป็นของการค้า

๘. แต่ความคิดเห็นทั่ว ๆ ไปในปัจจุบันนี้มีว่า วิธีควบคุมการออกธนบัตรที่กล่าวข้างบนนี้เป็นวิธีที่รัดตรึงแน่นเกินไป เช่นในเวลาที่การชำระเงินกับต่างประเทศมี surplus นั้น อาจมีเหตุสมควรที่จะต้องป้องกันมิให้มีธนบัตรออกใช้เพิ่มขึ้น แต่ก็จะไม่มีทางป้องกันได้ เป็นต้น กฎหมายของเมืองต่างประเทศที่ออกใหม่ ๆ จึงได้ผ่อนคลายการใช้วิธีควบคุมอย่างนี้ไปมาก และเปลี่ยนเป็นใช้วิธีอื่นแทน

๙. แต่ในการร่างพระราชบัญญัตินี้ ข้าพเจ้าเข้าใจว่าท่านรัฐมนตรีคลังไม่มีความประสงค์จะให้มีการเปลี่ยนแปลงมาก หากมุ่งหมายที่จะเลิกระบบชั่วคราวและจัดให้มีกฎหมายเป็นรูปถาวรเสียสักที อีกประการหนึ่ง ข้าพเจ้าเห็นว่าการแก้ไขเปลี่ยนแปลงวิธีควบคุมการออกธนบัตรนั้น เป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่ ซึ่งจะต้องพิจารณาโดยละเอียดก่อนว่าจะควรหรือไม่และจะปฏิบัติได้หรือไม่เพียงใด ฉะนั้นในร่างพระราชบัญญัตินี้จึงไม่ได้บัญญัติให้เปลี่ยนแปลง หากแต่ให้มีการผ่อนคลายลงบ้าง ดั่งจะเห็นได้ในร่างและคำชี้แจงรายมาตรา

๑๐. อนึ่ง ด้วยเหตุว่ารัฐบาลจะต้องตกลงกับกองทุนฯ กำหนดค่าของบาทเทียบกับทองคำ และเมื่อได้กำหนดแล้วก็จะต้องปฏิบัติการบางอย่างเพื่อให้เป็นไปตามข้อผูกพันกับกองทุน ในร่างพระราชบัญญัติจงได้เขียนบทบัญญัติเผื่อไว้ด้วย และหวังว่าเมื่อถึงเวลาจะต้องปฏิบัติตามข้อผูกพันเหล่านั้นก็จะไม่ต้องแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัตินี้

๑๑. ใน พ.ร.บ. ๒๔๗๑ และในระบบชั่วคราว มีบทบัญญัติบางประการที่ข้าพเจ้าเห็นว่าไม่มีความจำเป็นหรือเหตุผลที่จะควรคงมีไว้ต่อไป ในร่างพระราชบัญญัตินี้จึ่งไม่มีบทบัญญัติต่อไปนี้ คือ

(ก) เรื่องเหรียญกษาปณ์ ไม่มีบทว่าด้วยการทำเหรียญบาทเงินซึ่งได้เลิกทำมาตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ ๑ ไม่มีบทว่าด้วยการทำเหรียญทองคำ ซึ่งได้บัญญัติให้ทำก็เพราะความจำเป็นชั่วขณะเท่านั้น และไม่มีบทห้ามการค้าเหรียญกษาปณ์ เพราะไม่เห็นมีความจำเป็นแล้ว

(ข) เรื่องทุนสำรอง ไม่มีบทว่าด้วยการจำหน่ายบัญชีซึ่งสินทรัพย์ในทุนสำรอง เพราะมีบทบัญญัติอย่างอื่นแทน ไม่มีบทบัญญัติโดยเฉพาะว่าด้วยการตีราคาหลักทรัพย์ประจำปี เพราะในร่างพระราชบัญญัตินี้มีการบังคับให้ต้องทำอยู่ในตัวแล้ว ไม่มีบทให้จ่ายเงินแผ่นดินชดใช้ทุนสำรองในเมื่อหลักทรัพย์เสื่อมราคา เพราะได้ร่างวิธีการอย่างอื่นไว้แทนแล้ว ไม่มีบทบัญญัติว่าด้วยการสอบบัญชีประจำปี เพราะเป็นเรื่องของธนาคารแห่งประเทศไทย จึ่งควรเป็นบทบัญญัติในพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย อนึ่ง การประกาศรายการทุนสำรอง ก็ควรเป็นเรื่องของพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทยเหมือนกัน

(ค) เรื่องธนบัตร ไม่มีบทบัญญัติเรื่องเอารายได้ของรัฐบาลเป็นประกัน (พ.ร.บ. ๒๔๗๑ มาตรา ๒๒) เพราะตามร่างพระราชบัญญัตินี้ ไม่มีความจำเป็นแล้ว และไม่มบทว่าด้วยความรับผิดของรัฐบาลในการชำระเงินอันเป็นค่าแห่งธนบัตร (พ.ร.บ. ๒๔๗๑ มาตรา ๒๔) เพราะบทบัญญัตินี้หมดความจำเป็นที่ต้องมีไว้ นับตั้งแต่เมื่อออกพระราชบัญญัติเงินตราแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. ๒๔๗๕ แล้ว

๑๒. ถ้าจะใช้ร่างพระราชบัญญัตินี้ก็จะต้องแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทยบางมาตรา เพราะพระราชบัญญัตินันมีบทท้าวถึง พ.ร.บ. ๒๔๗๑ อยู่ และจะต้องออกกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์และธนบัตร และกำหนดเรื่องธนบัตรชำรุดเป็นต้น กฎใหม่ก็คงเหมือนกฎที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนั้นเอง แต่ร่างพระราชบัญญัตินี้ไม่มี่สิงใดที่กระทบกระเทือนพระราชบัญญัติควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน หรือพระราชกำหนดจัดสรรทุนสำรองเงินตราเกินจำนวนธนบัตรออกใช้ จึงไม่ต้องแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติและพระราชกำหนดนั้น

๑๓. การใช้ถ้อยคำในพระราชบัญญัตินี้ ได้ถือหลักว่าจะเอาถ้อยคำใน พ.ร.บ. ๒๔๗๑ มาใช้เท่าที่จะทำได้ ไม่คำนึงว่ามาในสมัยนี้จะเหมาะสมหรือไม่ ทั้งนี้เพราะเห็นว่าได้เคยใช้กันมานานจนเป็นที่เข้าใจกันดีแล้ว จึ่งไม่น่าจะเปลี่ยนแปลง.

๕ มีนาคม ๒๔๙๙

----------------------------

ร่าง “พระราชบัญญัติเงินตรา พุทธศักราช....”

บันทึกคำชี้แจงบางมาตราในร่างลงวันที่ ๕ มีนาคม ๒๔๙๙

มาตรา ๓

การยกเลิกกฎหมายที่ว่าด้วยเงินตรานั้น จะบอกยกเลิกแต่ (๑) พระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. ๒๔๗๑ และ (๒) พระราชบัญญัติระบบเงินตราชั่วคราว พ.ศ. ๒๔๘๙ ก็จะพอแล้ว แต่ด้วยเหตุว่าพระราชบัญญัติทั้งสองนี้ได้แก้ไขเพิ่มเติมและต่ออายุหลายครั้ง ทั้งยังมีพระราชบัญญัติเงินตราในภาวะฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๔๘๔ ซึ่งได้แก้ไขเพิ่มเติมอีกหลายครั้งด้วย จึ่งเห็นว่าถ้าระบุชื่อพระราชบัญญัติเหล่านี้ลงไว้เสียให้หมดก็จะเป็นที่เข้าใจกันแจ่มแจ้งดี

มาตรา ๕

มาตรานี้ตรงกับมาตรา ๒ แห่งพระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. ๒๔๗๑ แต่การใช้เครื่องหมายย่อแทนบาทเป็นของใหม่

มาตรา ๖

ประเทศไทยเป็นสมาชิกของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ จึงจำต้องกำหนดค่าแห่งเงินตราไทยเทียบกับทองคำ และจะกำหนดเท่าใดก็ตามจะต้องได้รับความตกลงของกองทุน ๆ ก่อนแล้วจึ่งจะประกาศได้

ฉะนั้นเมื่อถึงเวลาที่รัฐบาลและกองทุน ฯ เห็นสมควรก็จะต้องปรึกษาหารือเพื่อทำความตกลงกัน เมื่อได้ตกลงกันแล้วก็จะต้องประกาศค่านั้นโดยเร็ว จึงควรต้องใช้วิธีออกพระราชกฤษฎีกา

มาตรา ๗ (๑)

มุ่งหมายที่จะช่วยให้เกิดความเชื่อถือในความมั่นคงแห่งค่าของเงินบาท และจะให้เป็นที่พอใจสภาผู้แทนด้วย

มาตรา ๗ (๒)

เกี่ยวกับบทบัญญัติในหนังสือสัญญากองทุน ฯ กล่าวคือหนังสือสัญญามาตรา ๔ ข้อ ๗ มีความว่าค่าของเงินตราของทุกประเทศที่เป็นสมาชิกนั้น กองทุน ฯ อาจเปลี่ยนแปลงได้โดยเป็นการเปลี่ยนแปลงตามส่วนอันเดียวกันหมด (ถ้าประเทศใดไม่ประสงค์จะเปลี่ยนแปลงค่าของเงินตราของตนก็ต้องแจ้งให้กองทุนทราบภายใน ๗๒ ชั่วโมง) ฉะนั้นในกรณีที่กองทุน ๆ เปลี่ยนแปลงค่าของบาทตามสัญญาข้อนี้ ถ้าประเทศไทยไม่ขัดข้องก็จะต้องประกาศการเปลี่ยนแปลงนั้นทันที จึ่งจำต้องมีพระราชกฤษฎีกา

มาตรา ๙

อำนาจตามมาตรานี้รัฐมนตรีว่าการคลังมีอยู่แล้วตามพระราชบัญญัติระบบเงินตราชั่วคราว พ.ศ. ๒๔๘๙

อนึ่ง ด้วยเหตุว่าร่างพระราชบัญญัตินี้กำหนดให้เหรียญกษาปณ์เป็นเงินชำระหนี้ได้ตามกฎหมายเพียงไม่เกิน ๑๐ บาทเท่านั้น (ดูมาตรา ๑๐) จึ่งเห็นควรให้รัฐมนตรีคงมีอำนาจอันนี้ต่อไปได้ อนึ่ง ธนบัตรมีค่ามากกว่าเหรียญกษาปณ์ รัฐมนตรีก็มีอำนาจกำหนดชนิดราคา ฯลฯ อยู่แล้วตามพระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. ๒๔๗๑ มาตรา ๘

มาตรา ๑๐ (๑)

ในการร่างพระราชยบัญญัตินี้ได้ถือว่าจะไม่ทำเหรียญบาทเงินอีก และเหรียญทองคำก็จะไม่ทำ อนึ่งเหรียญบาทเงินที่เคยทำก็ไม่มีใช้กันแล้ว จึงได้กำหนดว่าบรรดาเหรียญกษาปณ์ให้ใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมายเพียงไม่เกิน ๑๐ บาท

มาตรา ๑๐ (๒)

ที่ว่าเหรียญบุบสลายจะใช้ชำระหนี้ไม่ได้ตามกฎหมายนั้นตรงกับพระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. ๒๔๗๑ มาตรา ๒๗ แต่บทบัญญัตินี้มีกฎกระทรวงออกตามพระราชบัญญัติเงินตราในภาวะฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๔๘๔ แก้ไขว่าให้ใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย กฎกระทรวงฉบับนั้นได้ออกมาก็ด้วยเหตุพิเศษเกี่ยวกับเหตุการณ์เมื่อสงครามเกิดขึ้นใหม่ ๆ บัดนี้จึ่งเห็นควรกลับให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติ พ.ศ. ๒๔๗๑ อนึ่ง เหรียญต่าง ๆ ที่ใช้กันอยู่เวลานี้ล้วนเป็นเหรียญปลีก บทบัญญัตินี้คงไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อน

มาตรา ๑๑

มาตรานี้ตรงกับพระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. ๒๕๑ มาตรา ๒๘ แก้ไขเพิ่มเติมตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติเงินตรา (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๔๘๔

มาตรา ๑๒ (๒)

การกำหนด ชนิดราคา ฯลฯ ของธนบัตรโดยกฎกระทรวงนั้นเป็นอำนาจของรัฐมนตรีอยู่แล้ว ตามพระราชบัญญัติเงินตรา ๒๔๗๑ มาตรา ๘

มาตรา ๑๒ (๓) ตรงกับพระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. ๒๔๗๑ มาตรา ๘ วรรค ๒

มาตรา ๑๔

มาตรานี้คือพระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. ๒๔๗๑ มาตรา ๒๓ แต่แก้ไขเพิ่มเติมบ้าง (ดูคำชี้แจงมาตรา ๒๕ ด้วย)

มาตรา ๑๕

ตรงกับพระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. ๒๔๗๑ มาตรา ๒๕

มาตรา ๑๖

ตรงกับพระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. ๒๔๗๑ มาตรา ๒๖

มาตรา ๑๗

มาตรานี้คือพระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ.๒๔๗๑ มาตรา ๙ ทวิ. แต่แก้ไขเพิ่มเติมวิธีการ เพราะอำนาจที่ให้แก่รัฐมนตรีตามมาตรา ๙ ทวิ. นั้น เขียนไว้อย่างรุนแรงน่าตกใจ จึงได้เขียนเสียใหม่ให้นุ่มนวลขึ้นประการหนึ่ง และกำหนดเวลาให้นานพอควรสำหรับนำธนบัตรที่ยกเลิกมาเปลี่ยนใหม่อีกประการหนึ่ง นอกจากนี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่เป็นสาระสำคัญ

มาตรา ๑๘

มาตรานี้ตรงกับพระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. ๒๔๗๑ มาตรา ๑๑ แต่มีการแก้ไขเพิ่มเติมมาก และใช้บังคับต่อเมื่อได้ประกาศ par value แล้ว

มาตรา ๑๘ (๑)

บังคับให้ธนาคารต้องซื้อหรือขายเงินตราต่างประเทศบางชนิดเพื่อรักษาค่าของบาทให้ยืนที่ การซื้อขายให้ทำกับธนาคารพาณิชย์เพื่อให้เป็นไปตามหลักการที่ว่าธนาคารกลางต้องไม่แข่งขันกับธนาคารพาณิชย์ หลักการนี้มีอยู่แล้วในพระราชกฤษฎีกาธนาคารแห่งประเทศไทย

อนึ่ง ในร่างนี้ไม่ได้คำนึงถึงทุนรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา เพราะเหตุว่าเมื่อได้ประกาศ par value แล้วรัฐบาลก็มีข้อผูกพันตามสัญญากองทุน ๆ มาตรา ๔ ข้อ ๓ ว่าด้วยการซื้อขายเงินต่างประเทศในเมืองไทย ถ้าเป็นการซื้อขายทันที (spot) จะต้องซื้อขายในอัตราไม่ต่างจาก par value เป็นจำนวนเกินร้อยละ ๑ เพื่อให้การเป็นไปตามนี้จึ่งได้เขียนมาตรา ๑๘, ๑๙ และ ๒๐ ขึ้นไว้ ฝ่ายทุนรักษาระดับ ฯ นั้นไม่ได้มีความมุ่งหมายจะรักษาค่าของบาทไว้ในระดับใด หากมุ่งหมายจะจัดไม่ให้เงินบาทมีค่าขึ้นๆ ลงๆ มากในระยะเวลานั้นเท่านั้น ข้อที่จะต้องพิจารณาจึ่งมีว่าเมื่อประกาศ par value แล้วทุนรักษาระดับ ฯ นั้นจะยังคงต้องมีไว้หรือไม่เพื่ออะไร

อนึ่ง สำหรับรายจ่ายรัฐบาลในต่างประเทศนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทยก็ยังคงทำธุระให้ได้ตามเดิม เพราะมาตรา ๑๘ น ไม่ได้ห้าม แต่ธนาคารก็ต้องปฏิบัติตามข้อผูกพันในสัญญากองทุนฯ มาตรา ๔ ข้อ ๓ ที่กล่าวข้างบน

มาตรา ๑๘ (๒)

เป็นการผ่อนผันจาก (๑) เช่นสมมติว่าเราประกาศ par value แล้ว แต่สเตอร์ลิงก์ยังไม่เป็นเงินตราที่พึงเปลี่ยนได้ (convertible) ก็ไม่มีการบังคับให้ต้องซื้อหรือขายสเตอร์ลิงก์ อนึ่ง ในระหว่างที่มีการควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินก็ต้องผ่อนผันไม่บังคับ เพราะอาจขัดกับการควบคุม แต่ในทางปฏิบัตินั้นธนาคารคงจะต้องใช้ดุลยพินิจว่าจะซื้อขายหรือไม่เมื่อใด โดยถือหลักว่าจะต้องปฏิบัติตามสัญญากองทุน ฯ มาตรา ๔ ข้อ ๓ นั้น

มาตรา ๑๘ (๓)

คำวิเคราะห์นี้ เป็นไปตามสัญญากองทุน ฯ

มาตรา ๑๙

มาตรานี้ใช้ต่อเมื่อได้ประกาศ par value แล้ว อนึ่ง ได้กล่าวแล้วข้างบนว่าตามสัญญากองทุน ฯ มาตรา ๔ ข้อ ๓ การซื้อขายเงินต่างประเทศในเมืองไทยถ้าเป็นการซื้อขายทันทีต้องซื้อขายในอัตราไม่ต่างไปจาก par value เกินกว่าร้อยละ ๑ ในร่างนี้กำหนดให้ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องซื้อขายในอัตราไม่ต่างจาก par value เกิน ๑/๔ ของร้อยละ ๑ เพราะธนาคารจะต้องซื้อขายกับธนาคารพาณิชย์ และให้ธนาคารพาณิชย์ซื้อขายกับพ่อค้าประชาชนอีกต่อหนึ่ง ธนาคารพาณิชย์จึ่งมีขอบเขตอยู่ ๓/๔ ของร้อยละ ๑ (ดูมาตรา ๒๐) สำหรับขึ้นหรือลดอัตราซื้อขายได้ สุดแล้วแต่อุปสงค์และอุปทานในตลาด

ข้อห้ามมิให้รับเงินส่วนลด ฯลฯ นั้น เป็นการป้องกันการหลีกเลี่ยงข้อห้ามที่มิให้ซื้อขายในอัตราเกินกว่าที่กำหนด

ข้อห้ามข้อนี้ สำหรับธนาคารแห่งประเทศไทยไม่มีบทลงโทษ เพราะธนาคารเป็นเจ้าหน้าที่ซึ่งจะต้องปฏิบัติตามสัญญากองทุนฯ อยู่แล้ว แต่สำหรับธนาคารพาณิชย์มีบทลงโทษไว้ด้วย (ดูมาตรา ๓๐)

มาตรา ๒๐ (๑)

โปรดดูคำชี้แจงมาตรา ๑๙ ข้างบนนี้

มาตรา ๒๐ (๑) ก.

ข้อยกเว้นมีไว้ เพราะถ้าการซื้อขายเงินตราต่างประเทศใดในตลาดต่างประเทศ ซื้อขายกันจริงในอัตราต่างจาก par value ของเงินนั้นกว่าร้อยละ ๑ ก็อาจจะมีจะมี arbitrage กับตลาดกรุงเทพ ฯ และทำให้ฝ่ายเราเสียประโยชน์

มาตรา ๒๐ (๑) ข.

อนุโลมตามสัญญากองทุน ฯ มาตรา ๔ ข้อ ๓ (๒)

มาตรา ๒๐ (๒)

โปรดดูคำชี้แจงมาตรา ๑๙ ข้างบนนี้

มาตรา ๒๑

คือมาตรา ๑๒ ของพระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. ๒๔๗๑ แก้ไขถ้อยคำเล็กน้อย

มาตรา ๒๓

คือมาตรา ๑๕ ของพระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. ๒๔๗๑ แต่แก้ไขเรื่องผู้มีอำนาจสั่งจ่ายเงินเพื่อให้สะดวกขึ้น

มาตรา ๒๔

คือมาตรา ๑๖ ของพระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. ๒๔๗๑ แก้ไขถ้อยคำเล็กน้อย ส่วนข้อยกเว้นนั้นจะเห็นได้ถนัดเมื่อดูมาตรา ๑๗ และมาตรา ๒๗

มาตรา ๒๕

คือมาตรา ๑๗ ของพระราชบัญญัติเงินตรา ๒๔๗๑ แต่แก้ไขในสาระสำคัญสองประการ คือ (๑) ให้รัฐมนตรีกำหนดได้ด้วยว่านอกจากปอนด์และดอลลาร์แล้ว จะให้ถือเงินตราต่างประเทศอื่นใดเป็นทุนสำรองได้อีก ข้อนี้เขียนเผื่อไว้เท่านั้น แต่ถ้าสมควรจะต้องใช้อำนาจนี้จริง ๆ ก็ควรกำหนดให้ถือแต่เฉพาะเงินตราที่พึงเปลี่ยนได้ตามนัยแห่งมาตรา ๑๘ และ (๒) ยอมให้ถือหลักทรัพย์ของรัฐบาลไทยที่จ่ายเงินเป็นบาทได้ด้วย

ในบันทึกคำชี้แจงทั่วไปได้กล่าวแล้วว่าวิธีการควบคุมการออกธนบัตรในปัจจุบันนี้เป็นวิธีรัดตรึงมาก ถ้าจะผ่อนคลายลงบ้างก็ต้องให้ถือหลักทรัพย์ของรัฐบาลที่จ่ายเงินเป็นบาทได้ด้วย แต่เพื่อให้ทุนสำรองมี luquidity พอ จึ่งมีข้อจำกัดดั่งแจ้งในข้อ (๒) ของมาตรานี้

การถือหลักทรัพย์รัฐบาลไทยที่จ่ายเงินเป็นบาทเป็นทุนสำรองได้นั้นจะเป็นประโยชน์ดีในบางกรณี เช่นในเวลาที่การชำระเงินกับต่างประเทศมี deficit และธนาคารพาณิชย์เอาบาทมาขอซื้อปอนด์ แต่มีเหตุผลที่ไม่ควรให้ธนบัตรออกใช้ต้องลดน้อยลง ฝ่ายการธนาคารก็อาจรับบาทนั้นไว้แล้วเอาหลักทรัพย์รัฐบาลของฝ่ายการธนาคารส่งให้ฝ่ายออกบัตรธนาคารแลกเปลี่ยนเอาปอนด์ออกมาขายได้

แต่การเปลี่ยนแปลงเท่านี้ก็นับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงไม่น้อย จะถึงเวลาสมควรหรือไม่เป็นเรื่องของกระทรวงการคลัง ถ้ายังไม่เห็นควรเปลี่ยนแปลงก็ต้องแก้ไขร่างนี้

ถ้าหากมีผู้ทักอีกทางหนึ่ง คือว่าอัตราร้อยละ ๖๐ ของยอดธนบัตรออกใช้ในข้อ (๒) สูงไป และควรลดต่ำลงกว่านี้ได้ ก็ต้องขอให้คำนึงว่าธนบัตรและเงินฝากธนาคารแห่งประเทศไทยนั้นย่อมมีลักษณะเหมือนกันแท้ ๆ เพราะผู้มีเงินฝากย่อมจะถอนเอาธนบัตรไปได้เสมอ แต่กฎหมายธนาคารแห่งประเทศไทยต่างจากกฎหมายธนาคารกลางของหลายประเทศ เพราะไม่มีบทบังคับให้ต้องมีเงินต่างประเทศเป็นเงินสำรองสำหรับเงินฝาก ฉะนั้นทุนสำรองอัตราร้อยละ ๖๐ ของยอดธนบัตรออกใช้นั้นเมื่อนับเงินฝากเข้าด้วยแล้วย่อมไม่ถึงร้อยละ ๖๐

มาตรา ๒๖ (๑)

เป็นบทบัญญัติที่จะให้ปฏิบัติได้ตามมาตรา ๒๕ (๒) คือให้คิดอัตราร้อยละ ๖๐ ของยอดธนบัตรออกใช้นั้นได้

มาตรา ๒๖ ข้อ ค.

เป็นบทบังคับอยู่ในตัวให้ต้องตีราคาหลักทรัพย์ทุกปี เหมือนอย่างการใช้พระราชบบัญญัติเงินตรา พ.ศ. ๒๔๗๑

มาตรา ๒๖ (๒)

บัญญัติไว้สำหรับระยะเวลาที่ยังไม่ได้ประกาศ par value ราคาทองคำที่กำหนดไว้นั้นคือราคาที่ถืออยู่ในเวลานี้ อนึ่ง เมื่อกำหนดราคาทองคำไว้เช่นนี้แล้วการตีราคาปอนด์หรือดอลลาร์ก็ปฏิบัติได้ตามข้อ (๑) ก. และ ข จึ่งไม่จำต้องกำหนดราคาปอนด์หรือดอลลาร์ไว้ด้วย

มาตรา ๒๗

ตามกฎกระทรวงฉบับ ๓ พ.ศ. ๒๔๘๙ ออกตามพระราชบัญญัติระบบเงินตราชั่วคราว ๒๔๘๙ นั้น ดอกผลอันเกิดจากทุนสำรองเมื่อได้หักรายจ่ายแล้วเหลือเท่าใดให้สมทบเข้าทุนสำรอง แต่ในร่างใหม่นี้ได้กำหนดว่านอกจากให้หักรายจ่ายแล้วให้หักใช้ค่าเสื่อมของราคาหลักทรัพย์ในทุนสำรองด้วย ถ้ายังมีเงินเหลืออีกก็ให้ขึ้นบัญชีพิเศษไว้ และถ้าในปีใดดอกผลไม่พอจ่ายก็ให้เอาเงินในบัญชีพิเศษนั้นมาจ่ายชดเชย การแก้ไขใหม่เช่นนี้ก็เพราะเห็นว่าบทบัญญัติที่ให้เอาเงินเหลือจ่ายสมทบทุนสำรองนั้นบัดนี้หมดความจำเป็นแล้ว

อนึ่ง พระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. ๒๔๗๑ มาตรา ๑๙ บัญญัตว่า ถ้าหลักทรัพย์เสื่อมราคาก็ให้เอาเงินรายได้แผ่นดินชดใช้ทุนสำรอง บทบัญญัตินี้ได้แก้ไขเพราะเห็นว่าเมื่อได้ตัดทุนสำรองขาดไปจากคลังแล้วก็ไม่ควรต้องไปเอาเงินจากคลังมาชดใช้ต่อไปอีก

มาตรา ๒๘

บทบัญญัตินี้เขียนเผื่อไว้สำหรับบางกรณี เช่น ถ้ามีการเปลี่ยนแปลง par value ของปอนด์ แต่ par value ของบาทไม่ได้เปลี่ยนไปด้วยตามส่วนเดียวกันแล้ว ทุนสำรองอาจมีกำไรหรือขาดทุน จึ่งควรเตรียมรับเหตุการณ์ไว้

ส่วนการเปลี่ยนแปลง par value ของบาทนั้นเป็นเรื่องที่จะต้องออกพระราชบัญญัติ จะจัดการอย่างไรกับทุนสำรองก็ควรกำหนดในพระราชบบัญญัตินั้น

มาตรา ๒๙

ได้แก่มาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติเงินตรา ๒๔๗๑ แต่ได้แก้ไขบ้าง เพราะมาตรา ๑๐ ที่เขียนว่าปรับไม่เกินสามเท่าหรือไม่เกินพันบาทแล้วแต่จำนวนใดจะมากกว่ากันนั้น ยากที่จะเข้าใจได้

มาตรา ๓๐

โปรดดูคำชี้แจงมาตรา ๒๐ (๒)

มาตรา ๓๑

ได้แก่มาตรา ๒๙ แห่งพระราชบัญญัติเงินตรา ๒๔๗๑.

วันที่ ๕ มีนาคม ๒๔๙๙

  1. ๑. เมื่อวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๔๙๙ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ขอให้พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิวัฒนไชย ทรงช่วยยกร่างพระราชบัญญัติเงินตราฉบับถาวรขึ้นใหม่ ทั้งนี้ “เพราะพระราชบัญญัติระบบเงินตราชั่วคราวกับพระราชบัญญัติระบบเงินตราในภาวะฉุกเฉิน ได้ต่ออายุมาครั้งละ ๒ ปี หลายต่อหลายครั้งแล้ว ทุกครั้งที่ขอต่ออายุก็ถูกสภาคัดค้าน ด่าสาดเสียเทเสีย เพราะสมาชิกไม่เข้าใจว่าเรายังทำ par value ไม่ได้ โดยไม่ควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน”

    พระองค์เจ้าวิวัฒนไชย ทรงยกร่างพระราชบัญญัตินี้เสร็จเมื่อวันที่ ๕ มีนาคม ๒๔๙๙ และได้ทรงมีลายพระหัตถ์ถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังว่า “ร่างพระราชบัญญัติที่เสนอนี้ มีปัญหาในเชิงหลักการบางอย่างแจ้งในบันทึกคำชี้แจง ๒ ฉบับนั้นแล้ว นอกจากนี้กฎหมายเงินตราในปัจจุบันก็ยุ่งยากซับซ้อนมาก ในการร่างพระราชบัญญัติใหม่นี้ได้ตั้งใจจะแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายปัจจุบัน แล้วรวบรวมไว้ในฉบับเดียว และจะให้ใช้ได้ทั้งในเวลาปัจจุบันและในเวลาที่ประกาศ par value แล้วด้วย ฉะนั้น ร่างนี้ควรจะได้รับการตรวจพิจารณาอย่างถี่ถ้วน”

    พระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. ๒๕๐๑ ซึ่งประกาศใช้เมื่อวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๐๑ ได้ถือหลักการตามร่างของพระองค์เจ้าวิวัฒนไชยนี้เกือบทั้งสิ้น

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ