เรื่อง อัตราแลกเปลี่ยนเงิน

ในไม่ช้านี้รัฐบาลจะต้องกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนเงินเป็นทางการ ซึ่งจะมีปัญหาต้องวินิจฉัยหลายประการ ข้าพเจ้าจึงขอเสนอดั่งต่อไปนี้

หลักการทั่วไป

๑. การกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนเงินย่อมหมายความรวมตลอดถึงการดำรงอัตรานั้นไว้ด้วย เพราะถ้าดำรงไว้ไม่ได้การกำหนดอัตราก็ไร้ประโยชน์ หรือถ้าจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือจะต้องจัดให้เงินมีค่าเป็นเสถียรภาพ คือให้มีค่าอันยืนที่ไม่ขึ้น ๆ ลง ๆ การกำหนดว่าจะให้ยืนที่อยู่ในอัตราเท่าใดย่อมเป็นส่วนหนึ่งแห่งการจัดให้มีเสถียรภาพ

๒. การจัดให้บาทมีค่าเป็นเสถียรภาพนั้น มีหลักทั่วไปเป็นสำคัญอยู่สองประการ คือ

(ก) อัตราแลกเปลี่ยนที่จะกำหนดขึ้นนั้น จะต้องเสมอกับอัตรา “ธรรมชาติ” คืออัตราที่เป็นไปตามกำลังซื้อ (purchasing power) ของเงินไทยและเงินต่างประเทศที่จะแลกเปลี่ยนกัน

(ข) กำลังซื้อของเงินจะสูงหรือต่ำย่อมแล้วแต่ปริมาณของเงินจะน้อยหรือมากเป็นเกณฑ์สำคัญ

หลักทั่วไปทั้งสองนี้มีคำอธิบายในบันทึกของธนาคารแห่งประเทศไทยเรื่องการบุรณะระบบเงินตรานั้นแล้ว

ปัญหานโยบาย

๓. หลักทั่วไป ๒ ประการนั้นย่อมแสดงให้เห็นว่าจะกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนเงินได้สูงหรือต่ำก็ต้องสุดแล้วแต่ปริมาณของเงินจะน้อยหรือมากเป็นสำคัญ กล่าวคือ

ก] ถ้าเพิ่มปริมาณของเงินขึ้นอีก (โดยออกธนบัตรมาเพื่อการใช้จ่ายของรัฐบาล ดั่งที่ได้เคยปฏิบัติมาแล้ว) กำลังซื้อของเงินจะตกต่ำลงอีก อัตราแลกเปลี่ยน “ธรรมชาติ” ก็จะตกต่ำลงด้วย

ข] ถ้าลดปริมาณของเงินลงเสียส่วนหนึ่ง กำลังซื้อของเงินจะสูงขึ้น อัตราแลกเปลี่ยน “ธรรมชาติ” ก็จะสูงขึ้นด้วย

ค] ถ้าไม่เพิ่มหรือลดปริมาณของเงินจากที่มีอยู่ในปัจจุบัน กำลังซื้อของเงินจะอยู่ในระดับปัจจุบัน อัตราแลกเปลี่ยน “ธรรมชาติ” ก็จะอยู่ในระดับปัจจุบันด้วย

๔. โดยที่การกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนจะต้องกำหนดไว้ในระดับเดียวกันกับอัตรา “ธรรมชาติ” รัฐบาลจึงมีทางปฏิบัติได้ ๒ วิธี สุดแล้วแต่จะเลือกเอา คือ

(๑) ไม่เพิ่มหรือลดปริมาณของเงินที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งจะทำให้อัตรา “ธรรมชาติ” อยู่ในระดับปัจจุบัน อัตราแลกเปลี่ยนที่จะกำหนดขึ้นได้ก็จะอยู่ในระดับต่ำกว่าเมื่อก่อนสงครามมาก

(๒) ลดปริมาณของเงินลงส่วนหนึ่ง ซึ่งจะทำให้อัตรา “ธรรมชาติ” เขยิบสูงขึ้นกว่าระดับปัจจุบัน อัตราแลกเปลี่ยนที่จะกำหนดขึ้นได้ก็จะอยู่ในระดับสูงกว่าวิธีที่ (๑) ข้างบนนี้

ทางได้เสียมีดังจะกล่าวต่อไป

๕. ถ้าใช้วิธีที่ (๑) คือจัดให้ค่าของเงินยืนที่อยู่ในระดับปัจจุบันซึ่งต่ำกว่าเมื่อก่อนสงครามมาก รายจ่ายของรัฐบาลจะต้องเพิ่มขึ้นมากเป็นแน่นอน เพราะค่าของเงินต่ำหมายความว่าของมีราคาแพง รัฐบาลจะต้องขึ้นอัตราเงินเดือนข้าราชการและเพิ่มค่าใช้สอย ฯลฯ จึ่งจะต้องเพิ่มภาษีอากรขึ้นอีกไม่น้อยเลย

หรือถ้าใช้วิธีที่ (๒) คือจัดให้ค่าของเงินยืนที่อยู่ในระดับสูงกว่าปัจจุบัน หากรายจ่ายของรัฐบาลจะต้องเพิ่มขึ้นบ้าง ก็จะไม่เพิ่มมากเท่าวิธีที่ (๑) และจะไม่ต้องเพิ่มภาษีอากรขึ้นมากตามไปด้วย แต่การใช้วิธีที่ (๒) นี้ รัฐบาลจะต้องกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งในอันจะลดปริมาณของเงิน (การลดปริมาณของเงินมีหลายวิธี)

๖. อาศัยเหตุที่กล่าวแล้ว ปัญหานโยบายจึ่งมีว่า จะควร (ก) เพิ่มภาษีอากรขึนอีกมาก และไม่ลดปริมาณของเงิน หรือ (ข) ลดปริมาณของเงินลงให้มาก และเพิ่มภาษีอากรขึ้นแต่น้อย หรือ (ค) ลดปริมาณของเงินลงบ้าง และเพิ่มภาษีอากรขึ้นบ้าง

๗. การปฏิบัติในเมืองต่างประเทศเท่าที่ทราบในขณะนี้ ปรากฏว่าใช้วิธีลดปริมาณแห่งเงินลง แต่ต่างกันในข้อที่ลดลงมากหรือน้อย และถ้าลดลงน้อย ก็เก็ภาษีอากรเพิ่มขึ้นมาก เช่น

(ก) พม่า และมลายู ลดปริมาณแห่งเงินลงมาก โดยอุบายยกเลิกบรรดาธนบัตรที่ออกใช้ในระหว่างสงครามเสียสิ้น ไม่เพิ่มภาษีอากรขึ้น ค่าของเงินกลับขึ้นคืนสู่ระดับก่อนสงคราม

(ข) กรีส ลดปริมาณแห่งเงินลงไม่น้อย โดยอุบายออกเงินใหม่แทนเงินเก่า ค่าของเงินเขยิบเข้าใกล้ระดับก่อนสงคราม

(ค) ฝรั่งเศส ลดปริมาณแห่งเงินลงบ้าง โดยอุบายออกเงินใหม่แทนเงินเก่า และเก็บภาษีเงินทุน (capital levy) และภาษีทรัพย์ที่ได้เพราะสงคราม (war wealth levy) ค่าของเงินไม่ไกลมากจากระดับก่อนสงคราม

(ง) ฮอลันดา ได้ลดปริมาณของเงินลงอย่างมาก ค่าของเงินฮอลันดากลับคืนสู่ระดับก่อนสงคราม

ปัญหาเท็คนิค

๕. การจัดให้ค่าของเงินเป็นเสถียรภาพนั้น นอกจากปัญหานโยบายที่กล่าวแล้ว ยังมีปัญหาเท็คนิคด้วย มีที่สำคัญคือ

ก] จะใช้ทองคำหรือเงินตราประเทศใดเป็นมาตรากำหนดค่าของบาท

ข] จะประมาณกำลังซื้อของเงินไทยและเงินประเทศอื่นได้อย่างไร

ค] อัตราแลกเปลี่ยนที่ต้องกำหนดตามกำลังซื้อนั้น จะดำรงไว้ให้ยืนที่ไม่ขึ้นๆ ลงๆ ได้อย่างไร

๙. ในปัญหาข้อ [ก] ที่ว่าด้วยมาตรากำหนดค่าของบาทนั้น เห็นควรเลือกเอา ทองคำ เป็นมาตรา การใช้ทองคำจะเป็นประโยชน์ในทางที่ว่าจะไม่ต้องผูกบาทกับเงินของประเทศใด ๆ เสียแต่ในขณะนี้ ซึ่งเป็นเวลาที่สถานการณ์เงินของโลกยังปั่นป่วนอยู่ และหากจะมองจากแง่การเมืองต่างประเทศ การเอาทองคำเป็นมาตราก็เป็นการปฏิบัติอย่างกลาง ๆ ไม่เอียงไปทางฝ่ายใด อนึ่ง การใช้ทองคำเป็นมาตราก็จะอธิบายได้ว่าเป็นการปฏิบัติตามสัญญาเรื่อง International Monetary Fund ซึ่งได้กระทำที่ Bretton Woods

เมื่อรัฐบาลได้กำหนดค่าของบาทโดยเทียบกับทองคำแล้วก็ควรให้ธนาคารกลางซื้อขายดอลล่าร์อเมริกันหรือปอนด์สเตอร์ลิงก์ก็ได้ สุดแล้วแต่พฤติการณ์ ไม่มีการผูกมัดว่าจะต้องซื้อขายแต่เฉพาะทองคำหรือเงินตราใด

๑๐. ในปัญหาข้อ [ข] คือการคำนวณกำลังซื้อของเงินนั้น ย่อมเป็นที่รับรองกันทั่วไปว่าไม่มีทางจะคำนวณได้แน่นอนเลย จึ่งจะต้องใช้วิธีประมาณทดลองดูก่อนแล้วค่อยแก้ไขเอาภายหลัง (method of trial and error) ผลแห่งการทดลองนั้นจะถูกหรือผิดเพียงไรจะทราบได้จากดุลย์แห่งการชำระเงินระหว่างประเทศ (balance of payments) เมื่อจะมีการเจรจาปรึกษากับผู้แทนรัฐบาลต่างประเทศ การประมาณกำลังซื้อก็เป็นเรื่องสำคัญอันหนึ่งที่จะต้องปรึกษากัน

๑๑. ในปัญหาข้อ [ค] คือการดำรงไว้ซึ่งอัตราแลกเปลี่ยนที่กำหนดขึ้นแล้วนั้น ในเบื้องตันจะต้องใช้วิธีควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินไปก่อน วิธีนี้จะให้ผล ๒ ประการ คือจะกระทำให้ดำรงอัตราที่กำหนดขึ้นนั้นไว้ได้ และจะช่วยให้เห็นดุลย์แห่งการชำระเงินระหว่างประเทศได้โดยสะดวก ก็จะทราบได้ว่าอัตราที่กำหนดนั้นถูกหรือผิดเพียงใด การใช้วิธีควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินไปพลางก่อนนั้นนานาประเทศก็ได้รับรองแล้วในสัญญา Bretton Woods ว่าเป็นการจำเป็น

ข้อเสนอ

๑๒. อาศัยเหตุที่กล่าวมาแล้ว ข้าพเจ้าจึ่งขอเสนอดั่งต่อไปนี้

[๑] ไม่ควรเพิ่มปริมาณของเงินขึ้นอีกโดยการออกธนบัตรเพื่อการใช้จ่ายของรัฐบาล

[๒] เพื่อให้การค้ากับต่างประเทศเริ่มดำเนินได้โดยเร็ว ควรกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนเงินในระดับปัจจุบันไปพลางก่อน (คือยังไม่ลดปริมาณแท่งเงินเพื่อกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนได้สูงขึ้น)

[๓] การประมาณกำลังซื้อของเงินไทยและต่างประเทศในปัจจุบัน เป็นข้อหนึ่งซึ่งจะต้องมีการปรึกษากับผู้แทนรัฐบาลต่างประเทศ

[๔] เพื่อไม่ต้องเก็บภาษีอากรเพิ่มขึ้นอีกมาก ควรลดปริมาณแห่งเงินลงเสียส่วนหนึ่งภายใน ๒๔๘๙ แล้วกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนเสียใหม่ให้สูงขึ้น

[๕] ในการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนตามข้อ [๒] และ [๔] นั้น ควรอาศัยทองคำเป็นมาตรากำหนดค่าของบาท แล้วให้ธนาคารแห่งประเทศไทยซื้อขายดอลลาร์หรือปอนด์สุดแล้วแต่พฤติการณ์

[๖] ควรดำรงไว้ซึ่งการควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินไปพลางก่อน เพื่อรักษาอัตราแลกเปลี่ยนที่กำหนดไว้นั้นให้ยืนที่ และเพื่อเป็นทางที่จะได้เห็นดุลย์แห่งการชำระเงินได้โดยสะดวก.

สำนักงานที่ปรึกษา กระทรวงการคลัง

๕ ธันวาคม ๒๔๘๘

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ