- คำนำ
- ลายพระหัตถ์ หม่อมเจ้าหญิง พัฒน์คณนา ไชยันต์
- พระประวัติ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิวัฒนไชย
- สดุดีพระเกียรติ
- การตั้งธนาคารแห่งประเทศไทย
- บันทึกเรื่องการตั้งธนาคารกลาง
- – เรื่อง การตั้งธนาคารกลาง (CENTRAL BANK)
- –– ใบแนบ 1
- –– ใบแนบ 2
- ร่างพระราชบัญญัติธนาคารชาติแห่งประเทศไทย
- บันทึกคำอธิบายร่างพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย
- เรื่อง การบังคับธนาคารต่างๆให้มีเงินฝากในธนาคารกลาง
- – 1. Royal Commission on Indian Currency and Finance
- – 2. Sir Otto Niemeyer, (Report on Re-organization of Brazilian National Finance)
- – 3. CENTRAL BANKS. (Sir Cecil Kisch & W.A. Elkin.)
- THE BANK OF THAILAND
- การควบคุมการปริวรรตเงิน
- การควบคุมเครดิต
- การควบคุมธนาคารพาณิชย์
- เสถียรภาพแห่งค่าของเงินบาท
- เรื่อง กันเงินเฟ้อ (ANTI-INFLATION)
- เรื่องธนบัตรขาดแคลน
- – เรื่อง ธนบัตรอาจขาดมือ
- – โครงการ บัตรเงินสด
- – โครงการตัดธนบัตรเป็นสองท่อน
- เรื่อง สถานการณ์การคลังและการเงินปัจจุบัน
- – สถานการณ์คลังปัจจุบัน
- – สถานการณ์เงินปัจจุบัน
- เรื่อง อัตราแลกเปลี่ยนเงิน
- นโยบายการเงิน
- บันทึกเรื่อง การปริวรรตเงินต่างประเทศ
- – ๑๕ มกราคม ๒๔๙๕
- – ๓๑ มกราคม ๒๔๙๕
- – ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๕
- Memorandum, 28 March 1952 (2495)
- ระบบเงินตรา
สดุดีพระเกียรติ
พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิวัฒนไชย ประสูติเมื่อวันที่ ๒๙ เมษายน พ.ศ. ๒๔๔๒ ทรงเป็นโอรสในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นมหิศรราชหฤทัย พระนามเดิมว่า พระองค์เจ้าไชยันตมงคล โอรสองค์ที่ ๗๖ ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบิดาและหม่อมส้วนมารดาได้สิ้นพระชนม์และถึงอนิจกรรมเสียแต่เมื่อพระองค์ท่านยังทรงพระเยาว์อยู่
พระองค์ได้ทรงเข้าศึกษาในโรงเรียนมหาดเล็กหลวงและโรงเรียนราชวิทยาลัย และสำเร็จชั้นมัธยมปีที่ ๒ เมื่อมีพระชัณษาเพียง ๑๒ ขวบในปีพุทธศักราช ๒๔๕๔ และในปีนั้นเองสมเด็จพระศรีพัชรินทรา พระบรมราชินีนาถ ได้พระราชทานพระอุปถัมก์ โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้เป็นนักเรียนส่วนพระองค์ออกไปศึกษาต่อ ณ ประเทศอังกฤษ ได้เสด็จเข้าศึกษาที่โรงเรียน Preparatory School ณ เมือง Torquay เป็นเวลา ๒ ปี และต่อจากนั้นที่ปับลิคสกูล ชื่อ Cheltenham College อีก ๓ ปี และ Magdalene College แห่งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ๓ ปี จนสำเร็จ ทรงรับปริญญาเกียรตินิยม (ชั้นสอง) ทางวิชาประวัติศาสตร์
เมื่อเสด็จกลับกรุงเทพ ฯ ในปีพุทธศักราช ๒๔๖๓ แล้ว พระองค์ได้ทรงเข้ารับราชการสนองพระเดชพระคุณในกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ เป็นการดำเนินตามรอยพระบิดาซึ่งได้เคยทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงนี้มาเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๙ พระองค์ได้ทรงรับตำแหน่งเลขานุการกระทรวงเป็นตำแหน่งแรกเมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๔๖๓ ต่อจากนั้นก็ได้เลื่อนขึ้นเป็นลำดับ คือเป็นผู้ช่วยปลัดทูลฉลอง เมื่อเดือนกันยายน ๒๔๖๕ รั้งตำแหน่งปลัดทูลฉลองในเดือนเมษายน ๒๔๖๙ และได้ทรงเป็นปลัดทูลฉลองในเดือนเมษายน ๒๔๗๐ ในระหว่างที่ทรงดำรงตำแหน่งปลัดทูลฉลอง ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งให้เป็นกรรมการองคมนตรี เมื่อปี ๒๔๗๒ อีกตำแหน่งหนึ่งด้วย
ในเดือนเมษายน ๒๔๗๓ ได้ทรงรับแต่งตั้งเป็นอธิบดีกรมสรรพากรและกรมสุรา ครั้นเมื่อได้รวมกรมฝิ่นและกรมสุราเข้าเป็นกรมเดียวกัน เรียกว่ากรมสรรพสามิต ใน พ.ศ. ๒๔๗๕ แล้ว ก็ได้ทรงเป็นอธิบดีกรมสรรพสามิตอีกตำแหน่งหนึ่งเป็นการชั่วคราว ในเดือนพฤศจิกายน ๒๔๗๘ ได้ทรงรับแต่งตั้งเป็นอธิบดีกรมศุลกากร และในเดือนมีนาคม ๒๔๘๑ ได้ทรงรับแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาฝ่ายไทย กระทรวงการคลัง ระหว่างที่ทรงดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาฝ่ายไทยกระทรวงการคลังอยู่นั้นได้ทรงเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไปเจรจากับอินโดจีนฝรั่งเศสที่ไซ่ง่อนเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๔ เรื่องเกี่ยวกับการคลัง การเงิน และการโอนมูลค่าระหว่างอินโดจีนกับอาณาเขตที่โอนให้ประเทศไทย อันสืบเนื่องมาจากอนุสัญญาสันติภาพระหว่างประเทศทั้งสอง และในเดือนเมษายน ๒๔๘๕ ได้เสด็จไปกรุงโตเกียว ในฐานะทรงเป็นทูตเศรษฐกิจเพื่อปรึกษาเรื่องการเงินและการค้าระหว่างสงครามกับประเทศญี่ปุ่น ในปีเดียวกันนี้ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งให้เป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นคนแรกอีกตำแหน่งหนึ่งด้วย และได้ทรงเป็นที่ปรึกษาสำนักนายกรัฐมนตรีเมื่อเดือนกันยายน ๒๔๘๘
เมื่อสงครามมหาอาเซียบูรพาสงบลงใน พ.ศ. ๒๔๘๘ ก็ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าคณะทูตไปเจรจาทำสัญญาเลิกสถานะสงครามกับประเทศอังกฤษ อินเดีย และออสเตรเลีย ณ เมืองแคนดี และเมืองสิงคโปร์ และหลังจากนี้เล็กน้อยได้เสด็จไปประเทศอังกฤษและสหรัฐอเมริกา เพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่การคลังและการธนาคารในสองประเทศนั้นขึ้นใหม่ ได้ทรงลาออกจากราชการในเดือนตุลาคม ๒๔๘๙ และเมื่อได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. ๒๔๘๙ แล้ว ก็ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในเดือนพฤศจิกายน ๒๔๙๐ ครั้งหนึ่ง และในเดือนธันวาคม ๒๔๙๑ อีกครั้งหนึ่ง ทรงพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีในเดือนตุลาคม ๒๔๙๒ และเมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๔๙๓ ทรงรับพระราชทานสถาปนาพระยศขึ้นเป็นพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิวัฒนไชย ในปี ๒๔๘๔ ได้เสด็จไปประจำ ณ ประเทศเกาหลี ๓ เดือน โดยสำนักงานบูรณะประเทศเกาหลีของสหประชาชาติได้แต่งตั้งให้ทรงเป็นที่ปรึกษาทางการคลังและเศรษฐกิจของรัฐบาลเกาหลีใต้ และในปี ๒๔๙๘ ทรงได้รับคำเชิญจากเลขาธิการสหประชาชาติให้ทรงเป็นกรรมการผู้หนึ่งสำหรับให้คำปรึกษาแก่เลขาธิการ ฯ ว่าด้วยเรื่องรายงานเศรษฐกิจของโลก และในการนี้ได้เสด็จไปประชุม ณ นครนิวยอร์ค เมื่อปลายเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๔๙๘
ในฐานะที่ทรงเป็นผู้ว่าการแทนประเทศไทยในสภาผู้ว่าการกองทุนการเงินระหว่างประเทศและธนาคารโลก ได้เสด็จไปประชุมประจำปีขององค์การดังกล่าวทุกปี นับตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๒ เป็นต้นมาจนถึง พ.ศ. ๒๕๐๒ งานชิ้นสุดท้ายที่ได้ทรงกระทำไว้ก็คือการตั้งบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งพระองค์เองทรงเป็นประธานกรรมการ เมื่อวันที่ ๘ เมษายน ๒๔๙๕ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้เป็นองคมนตรี ซึ่งเป็นตำแหน่งราชการสุดท้ายและใกล้ชิดพระยุคลบาท พระองค์ได้สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๐๓ สิริรวมพระชนมายุได้ ๖๑ พรรษา ๓ เดือน กับ ๒๔ วัน
000
พระประวัติการรับราชการเท่าที่กล่าวมาแต่โดยสังเขปนี้ แสดงให้เห็นว่า พระวรวงศ์เธอ พระองคืเจ้าวิวัฒนไชย ทรงเป็น “ลูกคลัง” ตลอดพระชนม์ชีพ ตั้งแต่ได้ทรงเริ่มเข้ารับราชการในกระทรวงพระคลังมหาสมบัติเมื่อพระชนมายุได้ ๒๑ พรรษาแล้ว ก็ทรงเกี่ยวข้องอยู่กับเรื่องการเงินของแผ่นดินมาตลอดระยะเวลา ๔๐ ปีจวบจนสิ้นพระชนมายุ แม้ว่าพระองค์จะมิได้ทรงศึกษาวิชาเศรษฐศาสตรการคลัง หรือการธนาคาร สมัยเมื่อทรงเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยก็ตาม ความวิริยะอุตสาหะ พระปรีชาสามารถ ความสนพระทัยในสิ่งแวดล้อมทั่ว ๆ ไป และการที่ทรงโปรดการอ่านหนังสือตำรับตำราต่าง ๆ อย่างกว้างขวางมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ประกอบกับการที่ทรงมีโอกาสได้ทำงานใกล้ชิดกับเสนาบดีและที่ปรึกษาชาวต่างประเทศของกระทรวงการคลังในสมัยแรก ๆ ได้เป็นปัจจัยส่งเสริมให้พระองค์ได้ทรงเป็นเอตทัคคะในด้านนี้ จนเป็นที่ยกย่องนับถือกันโดยทั่วไปทั้งในประเทศและต่างประเทศ
สิบปีแรกแห่งอายุราชการของพระองค์ท่าน คือในระหว่างที่ทรงดำรงตำแหน่งเลขานุการกระทรวงและปลัดทูลฉลอง อาจกล่าวได้ว่าเป็นระยะที่ทรงศึกษาหาความรู้ให้แก่พระองค์เองในด้านการเงินของประเทศไทย และทรงหาความช่ำชองในระเบียบปฏิบัติราชการ เพราะจะเรียนงานคลังให้รู้หัวใจของงานได้รวดเร็วและถ่องแท้ย่อมไม่มีวิธีใดดีกว่าเห็นงานที่โต๊ะของเสนาบดีและโต๊ะปลัดทูลฉลอง ความเป็นอัจฉริยะในการสร้างสรรค์ของพระองค์ท่านได้ปรากฏให้เห็นเด่นชัดเป็นครั้งแรกเมื่อคราวทรงดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสรรพากร โดยได้ทรงเปลี่ยนแปลงระบบภาษีอากร เพื่อให้การค้าและการประกอบธุรกิจต่าง ๆ ต้องเสียภาษีทางตรง ได้เคยรับสั่งไว้ว่า “การเปลี่ยนจากระบบเก่ามาเป็นระบบใหม่นี้เป็นเรื่องใหญ่และใช้เวลานาน ต้องค่อยก่อสร้างงานและฝึกหัดคนขึ้นเป็นลำดับ เพราะการเก็บภาษีอากรนั้น เมื่อก้าวหน้าไปได้บ้างแล้วก็ต้องตั้งตัวให้ติดก่อนที่จะก้าวต่อไปอีก เพื่อไม่ให้ต้องถอยหลังหรือล้มลุกคลุกคลาน” พระองค์ได้ทรงวางระเบียบแบบแผนวิธีปฏิบัติราชการไว้อย่างมากมาย ซึ่งถือเป็นหลักปฏิบัติการเก็บภาษีอากรมาจนตราบเท่าทุกวันนี้ มีบันทึกตอนหนึ่งของพระองค์ท่านเมื่อวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๔๘๔ เกี่ยวกับเรื่องภาษีเงินได้ไว้ดังต่อไปนี้
“The income tax, reputed to be the most equitable tax, is also the most difficult tax to collect equitably. When first imposed in India, the tax had to be withdrawn after a short period. Not long before the second World War, the British Government introduced it into Malaya and was soon defeated by the Chinese business men who found it easy to evade. The tax had also to be withdrawn for a time. Thailand, profiting from her nieghbour’s experience, kept the exemption limit high and the rate of tax low. But forced to increase the rate during the last World War, she is now having a very difficult time with it. Judging from the experience of the countries mentioned, I have no doubt that, without a really capable and experienced staff, the income tax cannot be collected equitably, cheaply or anything like efficiently. Further, the low level of exemption necessarily involves the assessment and collection of a small amount of tax from a large number of persons and means undue expense.”
000
เมื่อได้ทรงจัดระบบการเก็บภาษีอากรในกรมสรรพากรจนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งให้ทรงเป็นอธิบดีกรมศุลกากรใน พ.ศ. ๒๔๗๘ นอกจากจะทรงปรับปรุงส่วนงานของกรมให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และตั้งด่านศุลกากรเพิ่มขึ้นทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือแล้ว งานชิ้นสำคัญก็คือ ได้ทรงเปลี่ยนหลักการในการเก็บภาษีอากรจากการเก็บตามราคามาเป็นการเก็บตามสภาพ เป็นผลให้กรมศุลกากรมีรายได้เพิ่มขึ้นถึงประมาณร้อยละ ๕๐ ในระยะเพียงหนึ่งปี การแก้ไขหลักการนี้เป็นการปรับปรุงใหญ่ ต้องอาศัยการตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว นอกจากนี้ยังได้ทรงแก้ไขพิกัดอัตราศุลกากร อันเป็นหัวใจของงานศุลกากร โดยอาศัย Customs Nomenclature เป็นหลัก ขยายประเภทสินค้าจาก ๓๐-๔๐ ประเภท เป็น ๑๙๘ ประเภท นับว่าเป็นการเปลี่ยนระบบศุลกากรครั้งใหญ่ครั้งแรกของประเทศไทย อันควรจารึกไว้ในประวัติศาสตร์การคลังของประเทศไทยเรื่องหนึ่ง อนึ่ง ได้ทรงร่างกฎหมายเกี่ยวกับศุลกากรทางบกและศุลกากรทางอากาศขึ้น เพราะกฎหมายศุลกากรฉบับ พ.ศ. ๒๔๖๙ เดิมนั้นมีบทบัญญัติเฉพาะศุลกากรทางทะเลเท่านั้น นับว่าเป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยมีกฎหมายศุลกากรอย่างครบถ้วนในสมัยพระองค์ท่าน ส่วนระเบียบภายในสำหรับเจ้าหน้าที่ถือปฏิบัติก็ได้ทรงวางรูปเป็นคำสั่งทั่วไป คำวินิจฉัยพิธีการศุลกากร คำวินิจฉัยพิกัดอัตราศุลกากร ฯ ล ฯ และภายหลังได้ทรงทำประมวลข้อบังคับขึ้น เพื่อใช้เป็นคู่มือของพนักงานศุลกากรด้วย
000
การที่ต้องทรงดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมต่าง ๆ ถึงสามกรม คือ กรมสรรพากร กรมสรรพสามิต และกรมศุลกากร ภายในระยะเวลาติดต่อกันเพียง ๕ ปีนี้ ย่อมแสดงให้เห็นประจักษ์ชัดว่า ในระยะใดที่มีราชการสำคัญที่จะต้องปรับปรุงราชการในกรมต่าง ๆ ซึ่งเป็นกรมจัดหารายได้ให้แก่ประเทศ ทางราชการก็ได้อาศัยพระสติปัญญาของพระองค์ท่านเป็นกำลังเสมอ ฉะนั้นการย้ายตำแหน่งบ่อย ๆ ในระยะนั้น ย่อมเป็นพยานแห่งพระปรีชาสามารถเป็นอย่างดี นอกจากนั้นพระองค์ยังทรงดำรงตำแหน่งสำคัญ ๆ เหล่านี้ในเมื่อมพระชนมายุได้เพียงสามสิบเศษ ๆ เท่านั้น การที่ทรงสามารถปฏิบัติพระองค์ให้เป็นที่รักและเคารพนับถือแก่ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา ซึ่งสูงอายุกว่า และรับราชการมานานกว่าพระองค์เป็นอันมากนั้น ย่อมเป็นประจักษ์พยานอันดีอีกอย่างหนึ่งซึ่งบ่งให้เห็นพระปรีชาสามารถของพระองค์ในด้านการปกครองและบังคับบัญชาคน
โดยที่พระองค์ทรงเป็นบุคคลผู้ประกอบด้วยคุณวุฒิและทรงรอบรู้กิจการต่าง ๆ ในกระทรวงการคลังเป็นอย่างดี จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ย้ายไปดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาฝ่ายไทยในกระทรวงการคลังเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๑ ตำแหน่งทีปรึกษากระทรวงการคลังนี้ได้มีมา ๖๐ กว่าปีแล้ว เริ่มตั้งแต่สมัยกรมหมื่นมหิศรราชหฤทัยทรงเป็นเสนาบดีกระทรวงพระคลัง แต่เป็นตำแหน่งสำหรับชาวต่างประเทศตลอดมา โดยมี Mr. Mitchel Innes ชาวอังกฤษเป็นที่ปรึกษาคนแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๙ โดยเฉพาะการที่กระทรวงการคลังได้ตั้งตำแหน่งที่ปรึกษาฝ่ายไทยขึ้นในครั้งนั้นก็เพราะตระหนักในพระปรีชาสามารถของพระองค์ดี ว่าเหมาะสมกับตำแหน่งยิ่งกว่าผู้อื่นใด และพระองค์ก็ได้ทรงแสดงให้เป็นที่ปรากฏในกาลต่อมาว่าข้อนี้เป็นความจริงเพียงไร จนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในสมัยนั้นยกย่องพระองค์ท่านว่าเป็นนักปราชญ์ราชบัณฑิต
อันคุณค่าความสามารถของคนเรานั้นจะวัดได้ว่าดีเด่นกว่าผู้อื่นหรือไม่กี่ด้วยการปฏิบัติของผู้นั้นในยามวิกฤติ เช่นเมื่อภัยมาถึงตัวหรือถึงบ้านเมือง เมื่อประเทศไทยต้องตกอยู่ในภาวะสงคราม พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิวัฒนไชย ก็ได้ทรงฟันฝ่าอุปสรรคในด้านการเงินนานาประการ อันเนื่องมาจากภาวะวิกฤติของบ้านเมืองขณะนั้น จนเป็นที่ประจักษ์แก่ชนทั่วไปในความสามารถของพระองค์ท่าน แทบจะกล่าวได้ว่า ภาระส่วนใหญ่ในขณะนั้นตกหนักอยู่ที่พระองค์ท่านแต่ผู้เดียว ดังข้อความที่ได้ทรงบันทึกไว้ในเรื่อง The Currency in War Time เมื่อเดือนกรกฎาคม ๒๔๘๗ มีความตอนหนึ่งว่า
“The following pages constitute an attempt to relate the story of the Baht from 2481 (1938) to the end of 2486 (1943). During this brief period Finance Ministers have come and gone; the British Adviser to the Treasury happened to be absent on leave during the critical months immediately before and after the outbreak of war in Europe and naturally left the service when war came to Thailand in 2481 (1941). It fell to the author, in an advisory and subordinate capacity, to witness all the events and to deal with all the transactions related in these pages.”
000
เมื่อพระองค์เสด็จมาดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาฝ่ายไทยในกระทรวงการคลัง เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๑ งานชิ้นใหญ่ในระยะแรก เฉพาะที่เกี่ยวกับธนาคารแห่งประเทศไทยก็คือได้ทรงร่วมมือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจัดตั้งสำนักงานธนาคารชาติไทยขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะจัดระเบียบการเงินตราและเครดิตของประเทศ ความจริงหน้าที่อันนี้เป็นหน้าที่ของธนาคารกลาง แต่การตั้งธนาคารกลางนั้นจะตั้งให้สำเร็จรูปโดยทันทีหาได้ไม่ หากจะต้องคัดเลือกหาพนักงานที่เหมาะสมแล้วฝึกฝนขึ้น และให้แสวงหาความรู้ความชำนาญต่อไป ด้วยเหตุนี้รัฐบาลจึงได้จัดตั้งสำนักงานธนาคารชาติไทยขึ้น โดยให้อยู่ในความควบคุมของกระทรวงการคลังไปพลางก่อน มีหน้าที่กระทำธุรกิจของธนาคารกลางแต่เฉพาะบางประเภทเท่านั้น เช่นการรับฝากเงิน และการจัดการเงินกู้ของรัฐและองค์การสาธารณะเป็นต้น และขณะเดียวกันก็เตรียมการที่จะเปลี่ยนองค์การนี้ให้เป็นธนาคารกลางโดยสมบูรณ์ต่อไป สำนักงานนี้จึงเป็นรากฐานของธนาคารแห่งประเทศไทยปัจจุบัน
ความปรารถนาในอันที่จะจัดตั้งธนาคารกลางขึ้นในประเทศไทยนั้นได้มีมาเป็นเวลาช้านานแล้ว คือตั้งแต่เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๗ ในสมัยนั้นกระทรวงพระคลังได้จ้างนักการธนาคารชาวอังกฤษผู้หนึ่งชื่อ Sir Bernard Hunter ให้มาศึกษาดูว่าจะมีทางใดหรือไม่ที่จะแปลงแบงก์สยามกัมมาจล จำกัด (คือธนาคารไทยพาณิชย์ปัจจุบันนี้) ให้เป็นธนาคารกลางของประเทศได้ หรือมิฉะนั้นก็ให้จัดตั้งธนาคารกลางขึ้นใหม่เลย อนึ่ง ธนาคารไทยพาณิชย์นี้เป็นธนาคารไทยธนาคารแรกซึ่งพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นมหิศรราชหฤทัย ทรงเป็นผู้ริเริ่มตั้งขึ้นเมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๔๔๗ (ร.ศ. ๑๒๓) มีสำนักงานตั้งอยู่ที่บ้านหม้อ ชื่อเดิมว่า “บุคคลัภย์ บ.ช.ง. (Book Club Association) ที่ประทานชื่อเช่นนี้ก็เพราะทรงเกรงว่า ถ้าเรียก “แบงก์” เสียแต่ต้น แล้วแบงก์นั้นมีอันจะเป็นไปก็จะเสียชื่อคนไทยเปล่า ๆ และ “บุคคลัภย์” นี้ ทรงตั้งพระทัยไว้ว่าถ้าเจริญดีก็จะตั้งเป็นแบงก์ของชาติต่อไป อย่างไรก็ดี Sir Bernard Hunter ได้ถวายรายงานต่อกรมพระจันทบุรีนฤนาถ เสนาบดี ว่าควรตั้งธนาคารกลางขึ้น โดยการซื้อกิจการของแบงก์สยามกัมมาจล ธนาคารกลางนี้ควรให้มีทุน ๖,๕๐๐,๐๐๐ บาท โดยเป็นทุนชำระแล้วไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่ง รัฐบาลยังคงเป็นผู้ออกธนบัตรอยู่ต่อไป แต่มอบให้ธนาคารเป็นผู้ดำเนินการ และห้ามมิให้ธนาคารนี้ประกอบธุรกิจกับประชาชนโดยตรง ข้อเสนอของผู้เชี่ยวชาญคนนี้ ตลอดจนร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวกับการจัดตั้งธนาคารกลางในครั้งนั้น ไม่ปรากฏว่าเหตุใดจึงมิได้รับการพิจารณาต่อไป ความดำริที่จะตั้งธนาคารกลางขึ้นในสมัยนั้นจึงคงถูกทอดทิ้งอยู่ในแฟ้มของกระทรวงการคลังตลอดมา
หลังจากได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕ แล้ว ก็ได้มีการรื้อฟันเรื่องตั้งธนาคารกลางกันขึ้นอีก โดยมีผู้แสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ต่าง ๆ นานา ทั้งในวงการรัฐบาลและวงวิชาการ ซึ่งพอสรุปได้ว่าการตั้งธนาคารกลางจะเป็นยาขนานเดียวที่สามารถแก้สรรพโรคที่เกิดจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในครั้งนั้น (พ.ศ. ๒๔๗๖) ได้อย่างสัมฤทธิผล
ต่อไปนี้เป็นบันทึกของพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิวัฒนไชย ลงวันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ เมื่อครั้งทรงดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสรรพากร ซึ่งแสดงให้เห็นตัวอย่างความคิดเห็นของนักนิยมธนาคารกลางในสมัยนั้นได้เป็นอย่างดี
“ขอประทานเสนอรัฐมนตรี”
(๑) ตามที่ได้โปรดส่ง “บันทึกนโยบายเศรษฐการ” ให้ข้าพเจ้าดูนั้น ได้อ่านตลอดแล้ว และเห็นว่ามีข้อที่ควรสังเกตดังจะกล่าวย่อ ๆ ต่อไปนี้
(๒) ข้อความในบันทึกฉบับนี้มีหลายประการซึ่งเป็นเพียง Platitudes เช่นว่ากระทรวงเศรษฐการโตมากไป ควรแบ่งออกเป็นทะบวงหรือกระทรวงอื่นอีก ประเทศสยามเป็นประเทศกสิกร จะเปลี่ยนเป็นประเทศอุตสาหกรรมไม่ได้ การจ่ายเงินแผ่นดินต้องวางนโยบายว่าจะจ่ายทางใดก่อน ไม่ควรตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ฯ ล ฯ เป็นต้น ข้อความเหล่านี้เป็นกำปั้นทุบดิน ไม่มีใครเถียง
(๓) นอกจากที่กล่าวนี้ ยังมีข้อความที่เกี่ยวด้วยกระทรวงการคลังอยู่ ๒ ประการ คือ (ก) คำแนะนำให้ตั้ง Central Bank เรียกว่าธนาคารชาติ และ (ข) คำตำหนิกระทรวงการคลังว่าไม่ควรเก็บทุนสำรองเงินตราไว้เป็นปอนด์สเตอร์ลิงก์
(๔) เรื่อง Central Bank มีคำแนะนำว่า (ก) รัฐบาลจำเป็นต้องรีบตั้ง Central Bank (ข) แบงก์นี้ต้องมีทุนสำรองเป็นทองคำ (ค) เพื่อที่จะให้ได้ทองคำมาเป็นทุนสำรองนั้น รัฐบาลต้องทำป่าไม้ โรงเลื่อย และขายไม้และแร่ไปต่างประเทศแลกเอาทองเข้ามา (ง) รัฐบาลจะสามารถททำกิจการเหล่านี้ได้โดยกู้ยืมเงินจาก Central Bank นั้นมาทำ
ข้อแรกที่พึงสังเกตก็คือ คำแนะนำอันนี้เป็น vicious circle อย่างบริบูรณ์
ข้อที่พึงสังเกตต่อไปก็คือ ไม่มีคำแนะนำโดยตลอดว่าแบงก์นี้มีหน้าที่ในกิจธุระประการใดบ้าง คงกล่าวไว้แต่ว่าจะให้รัฐบาลและเทศบาลกู้ยืมเงินไปทำเหมืองแร่ ปลูกห้องแถว ทำไฟฟ้า ฯ ล ฯ ก็ถ้าจะจัดแบงก์นี้เป็น Central Bank อย่างที่เข้าใจกันแล้ว แบงก์ย่อมจะมีหน้าที่ในการออกจำหน่ายเงินตราและการรับรักษาเงินแผ่นดินด้วย ถ้าจะให้แบงก์มีหน้าที่เช่นนี้ แบงก์ก็จะเอาเงินทุนสำรองเงินตราหรือเงินรัฐบาลไปให้รัฐบาลหรือเทศบาลกู้ยืม เพื่อทำกิจการที่กล่าวข้างต้นมิได้ เพราะการออกจำหน่ายเงินตราต้องถือศีลว่า เงินทุนสำรองต้องมี liquidity ส่วนเงินของรัฐบาลนั้นรัฐบาลก็ต้องใช้จ่ายอยู่เสมอ
แต่อย่างไรก็ดี เมื่อไม่ปรากฏว่าแบงก์นี้จะตั้งขึ้นได้ด้วยอุบายอย่างใด และจะทำหน้าที่อย่างไรบ้าง ก็ยังพิจารณามิได้
(๕) เรื่องรักษาเงินทุนสำรองเงินตราในเวลานี้เป็นปอนด์สเตอร์ลิงก์ ไม่รักษาไว้เป็นทองคำ นั้น เป็นเรื่องที่รัฐบาลวินิจฉัยไว้แล้วเมื่อปลาย พ.ศ. ๒๔๗๕ นั้นเอง
ข้อที่ว่าจะเอาเงินทุนสำรองนี้กลับเมืองไทยมิได้ เว้นไว้แต่จะจ่ายซื้อสินค้าเพื่อนำเข้ามาขายเอาเงินบาทนั้น แท้จริงจะเอาทุนสำรองนั้นกลับเข้ามาเป็นทองคำก็คงไม่มีข้อติดขัด แต่ปัญหาข้อแรกก็มีว่าจะเอาทุนสำรองนี้กลับคืนมาเพื่อประโยชน์อย่างไร และถ้าเอาทุนสำรองจ่ายซื้อสินค้าเสียแล้ว เงินบาทของเราก็จะเป็นเศษกระดาษ รัฐบาลจะเอาสินค้าเข้ามาแลกกับเศษกระดาษเหล่านี้เพื่อประโยชน์อย่างไร”
000
ธนาคารแห่งประเทศไทยได้เริ่มดำเนินงานเมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๔๘๕ โดยมีพระราชโองการโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งให้พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิวัฒนไชย เมื่อครั้งยังทรงดำรงพระยศหม่อมเจ้า และดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานธนาคารชาติไทยอยู่ เป็นผู้ว่าการคนแรกของธนาคาร เหตุผลในการตั้งธนาคารแห่งประเทศไทยขึ้นในขณะนั้น และความยากลำบากที่ต้องประสพในการจัดตั้งเพราะคนไทยขาดความรู้ความชำนาญในด้านนี้ มีปรากฏอยู่ในบันทึกฉบับภาษาอังกฤษของพระองค์ท่านในหนังสือเล่มนี้แล้ว
ณ ที่นี้ใคร่จะย้ำแต่เพียงว่า หากพระองค์ท่านมิได้ทรงขวนขวายหาความรู้ใส่พระองค์เองในเรื่องธนาคารกลาง คือทรงกลับเป็นนักเรียนใหม่อีกในเมื่อมีพระชนมายุถึง ๔๓ พรรษา หรือหากทรงเจรจากับฝ่ายญี่ปุ่นไม่เป็นผลแล้ว ธนาคารแห่งประเทศไทยนี้ก็จะเริ่มประวัติขึ้นด้วยการมีที่ปรึกษาและหัวหน้างานต่าง ๆ เป็นชนชาวญี่ปุ่นอย่างมิพึงต้องสงสัย ส่วนการเงินของประเทศในระหว่างสงครามและผลแห่งการดำเนินนโยบายอันไม่เป็นไทแก่ตนเองจะเป็นประการใดนั้นย่อมสุดที่จะเดาได้
000
หลังจากได้ทรงดำรงตำแหน่งที่ปรึกษากระทรวงการคลังในปี ๒๔๘๑ ไม่กี่เดือน ก็เกิดสงครามขึ้นในยุโรปเมื่อเดือนกันยายน ๒๔๘๒ ในระยะแรก ๆ แห่งสงครามนั้นประเทศไทยได้รับประโยชน์เป็นอันมากจากนโยบายเป็นกลางในฐานะที่เป็นผู้ค้าวัตถุดิบ เพราะขายสินค้าได้ราคาดีขึ้นทั้งปริมาณที่ส่งออกก็สูง โดยเฉพาะจักรภพอังกฤษยังคงเป็นลูกค้าที่ดีที่สุดของไทยตามเดิม และได้ซื้อข้าวเพิ่มขึ้น สรุปแล้วนับว่าปี ๒๔๘๓ เป็นปีที่ประชาชนคนไทยมั่งคั่งสมบูรณ์เนื่องจากสงครามในยุโรปขณะนั้น
เรื่องที่มีผู้สนใจกันมากในระยะนั้นคือ ประเทศไทยยังจะควรโยงเงินบาทเข้าไว้กับปอนด์สเตอร์ลิงก์ต่อไปหรือไม่ เพราะปอนด์มีราคาตกต่ำไปมาก อันเป็นเรื่องที่พระองค์ท่านทรงถูกถามอยู่เนือง ๆ
ระบบเงินตราของไทยได้โยงอยู่กับสเตอร์ลิงก์มาช้านานแล้วและตลอดเวลามหาสงครามโลกครั้งแรก มีเวลาที่ไม่ได้โยงอยู่ด้วยกันก็เฉพาะชั่วระยะเวลา ๘ เดือน คือระหว่าง ๒๑ กันยายน ๒๔๗๔ ถึง ๑๑ พฤษภาคม ๒๔๗๕ เท่านั้น การที่ต้องโยงกับสเตอร์ลิงก์ก็เพราะเหตุการณ์บังคับ หาใช่เพราะความสมัครใจเลือกเอาสเตอร์ลิงก์ไม่
เหตุการณ์ที่บังคับให้ต้องเป็นเช่นนี้แต่เดิมมา ก็เพราะการค้าขายของประเทศไทยส่วนมากมีอยู่กับจักรภพอังกฤษและประเทศอื่น ๆ ที่อาศัยปอนด์สเตอร์ลิงก์เป็นมาตรฐานแห่งการเงินประการหนึ่ง และเพราะกรุงลอนดอนเป็นแหล่งกลางสำหรับการชำระหนี้การค้าขายระหว่างประเทศอีกประการหนึ่ง กล่าวคือ การค้าขายของไทยเรากับต่างประเทศนั้น จะเป็นการค้าขายกับเมืองใดก็ตาม โดยมากก็ชำระหนี้สินกันที่ลอนดอน ตัวอย่างเช่นพ่อค้าข้าวในกรุงเทพ ฯ ส่งข้าวไปขายที่เมืองฮัมเบอร์ก ก็ทำตั๋วเงินเป็นปอนด์ หาได้ทำเป็นมาร์คไม่ และตั๋วนั้นก็ชำระเงินที่ลอนดอน มิใช่ที่เบอร์ลิน ดังนี้เป็นต้น ฉะนั้น การโยงบาทไว้กับปอนด์สเตอร์ลิงก์โดยกำหนดราคาแลกเปลี่ยนบาทกับปอนด์ไว้เป็นอัตราแน่นอนตายตัว จึงได้เป็นผลให้การค้าขายของไทยไม่น้อยกว่าร้อยละ ๘๗ ของราคาสินค้าเข้าออกทั้งสิ้นใน พ.ศ. ๒๔๘๑ ได้อาศัยเงินตราที่มีค่ายืนที่มั่นคงเป็นหลัก
เหตุการณ์ที่ประเทศไทยได้ตัดขาดจากสเตอร์ลิงก์ในระหว่างกันยายน ๒๔๗๔ ถึง พฤษภาคม ๒๔๗๕ เป็นระยะเวลา ๘ เดือนนั้น ก็เพราะรัฐบาลอังกฤษได้ออกจากมาตราทองคำเมื่อ ๒๑ กันยายน ๒๔๗๕ แต่รัฐบาลไทยในขณะนั้นได้ตกลงใจว่าจะคงใช้มาตราปริวรรตทองคำไปตามเดิม จึงได้ตัดขาดจากสเตอร์ลิงก์ แล้วเอาเงินบาทไปโยงกับดอลลาร์อเมริกันซึ่งขณะนั้นยังอยู่ในมาตราทองคำ การปฏิบัติเช่นนี้ได้เป็นผลเสียหายแก่สินค้าขาออกของไทยไม่น้อย กล่าวค่อข้าวไทยนำไปขายในตลาดที่ใช้สเตอร์ลิงก์เป็นมาตรฐานแห่งการเงิน ราคาที่ซื้อขายก็อยู่นอกอำนาจที่ไทยจะควบคุมได้ ผลที่ได้รับจากการขายข้าวจึงลดน้อยไป ในขณะนั้นปอนด์มีราคาตกต่ำไปมาก คืออัตราแลกเปลี่ยนลอนดอน-นิวยอร์ค (Cross Rate) ได้ตกจากปอนด์ละ \$ ๔.๘๕ ๑๕/๑๖ เมื่อวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๔๗๔ เป็น \$ ๓.๖๕ ๓/๔ เมื่อวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๔๗๕ เมื่อปอนด์เทียบกับดอลลาร์ทองคำมีราคาตกต่ำไปมากเช่นนี้ แต่ข้าวไทยได้ขายในตลาดที่ใช้สเตอร์ลิงก์ และราคาข้าวในตลาดนั้นมิได้เพิ่มสูงขึ้นตามส่วนที่ราคาสเตอร์ลิงก์ตกต่ำไป เพราะฉะนั้นราคาข้าวในกรุงเทพฯ ที่ใช้บาททองคำจึงได้ตกต่ำไปมาก คือราคาข้าวที่ส่งออกคิดเฉลี่ยรายเดือนได้ตกจากหาบละ ๓.๖๙ บาทในเดือนสิงหาคม ๒๔๗๔ ลงเหลือหาบละ ๓.๐๕ บาทในเดือนเมษายน ๒๔๗๕
เมื่อราคาข้าวในกรุงเทพ ฯ ที่ใช้บาททองคำตกต่ำไปมากเช่นนี้ ชาวนาก็คือผู้ที่ได้รับความเสียหายมากกว่าบุคคลอื่น ๆ เพราะรายจ่ายต่าง ๆ ในการส่งข้าวออกไปขายนั้นมีลักษณะเป็นรายจ่ายตายตัว ลดลงมิได้ รายได้ของชาวนาจึงต้องลดไป และนอกจากนี้ลูกหนี้ยังต้องเสียเปรียบเจ้าหนี้เป็นอันมาก ตัวอย่างเช่นในขณะที่ข้าวเปลือกมีราคา ๑๕ เกวียนต่อ ๑,๐๐๐ บาท ชาวนากู้เงินไป ๑,๐๐๐ บาทก็อาจใช้หนี้ได้ด้วยการขายข้าว ๑๕ เกวียน แต่ครั้นเมื่อข้าวเปลือกลดราคาลงเหลือ ๔๐ เกวียนต่อ ๑,๐๐๐ บาท ลูกหนี้ที่เป็นหนี้อยู่แล้ว ๑,๐๐๐ บาทจะใช้หนี้ได้ก็ต่อเมื่อขายข้าวถึง ๔๐ เกวียน เป็นต้น
เมื่อการตัดเงินบาทขาดจากสเตอร์ลิงก์ได้เกิดผลเสียหายขึ้นเช่นนี้ รัฐบาลจึงต้องกลับเอาเงินบาทเข้าไปโยงกับสเตอร์ลิงก์เช่นเดิมอีกเมื่อเดือน พฤษภาคม ๒๔๗๕ ดังคำแถลงการณ์ต่อไปนี้
“รัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ตกลงออกจากมาตราทองคำ และกำหนดค่าเงินตราตามปอนด์สเตอร์ลิงก์ ในอัตราเมื่อเงินทั้งสองอยู่ในมาตราทองคำ คือ ๑๑ บาท ต่อปอนด์
เหตุที่บังคับให้วินิจฉัยเช่นนี้ คือโภคกิจของประเทศ รายได้ของประเทศสยามเกิดจากกสิกรรมแทบทั้งสิ้น ราคาสินค้าได้ตกต่ำอย่างมากมาย และราคาข้าวโดยเฉพาะตกต่ำมาก แต่คำใช้จ่ายในการทำให้บังเกิดผลและการส่งจำหน่ายมิได้ลดลงตามส่วน จึงกระทำให้เกิดภาระแก่ชาวนาและลูกหนี้ซึ่งเกินกว่าจะทนได้”
เมื่อได้เอาเงินบาทกลับไปโยงกับสเตอร์ลิงก์แล้ว ราคาข้าวก็ได้กลับฟื้นตัวขึ้นเป็นลำดับ
ฉะนั้นเมื่อเกิดสงครามในยุโรปขึ้นในเดือนกันยายน ๒๔๘๒ จึงยังไม่มีเหตุอันใดที่จะตัดเงินบาทขาดจากสเตอร์ลิงก์ แล้วนำไปโยงกับเงินตราอื่นเช่นดอลลาร์อเมริกันเป็นต้น แม้ประเทศญี่ปุ่นที่มีการค้าขายกับอเมริกาอยู่มาก ก็ยังคงอาศัยปอนด์สเตอร์ลิงก์เป็นมาตรฐานอยู่ แต่อย่างไรก็ดี การอาศัยสเตอร์ลิงก์เป็นมาตราฐานแห่งเงินตราไทยนั้น มิได้หมายความว่าจะต้องเก็บรักษาทุนสำรองเงินตราไว้ในประเทศอังกฤษทั้งหมด เพื่อความไม่ประมาท กระทรวงการคลังจึงได้กระจายสินทรัพย์ของทุนสำรอง ฯ ไปเก็บสามประเทศ ปรากฏตัวตามเลขเมื่อสิ้นเดือนพฤศจิกายน ๒๔๘๒ ดังนี้ ประเทศไทย ๓๘ % ประเทศอังกฤษ ๕๐ % สหรัฐอเมริกา ๑๒ %
000
ครั้นเมื่อเกิดสงครามมหาอาเชียบูรพาขึ้นเมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๔๘๔ ประเทศไทยกระทำการค้าหรือธุรกิจติดต่อกับดินแดนใด ๆ ไม่ได้ เว้นไว้แต่ประเทศญี่ปุ่นและดินแดนที่ประเทศญี่ปุ่นเข้ายึดครอง ระบบเงินตราไทยที่โยงบาทกับสเตอร์ลิงก์อันมีหลักว่าต้องซื้อหรือขายสเตอร์ลิงก์ทันทีที่มีผู้เสนอขายหรือซื้อนั้น ก็เป็นอันใช้ต่อไปไม่ได้อยู่เอง หรืออีกนัยหนึ่งพฤติการณ์ในขณะนั้นได้บังคับให้ต้องตัดเงินบาทขาดจากสเตอร์ลิงก์
โดยที่การค้าและธุรกิจกระทำได้แต่กับประเทศญี่ปุ่นและดินแดนที่ญี่ปุ่นยึดครองอยู่ จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงระบบเงินตราเข้าหาพฤติการณ์เพื่อให้การค้าดำเนินไปได้บ้าง ในขณะนั้นรัฐบาลญี่ปุ่นได้เสนอให้รัฐบาลไทยรับหลักการในเรื่องเงินตรา ๓ ประการ คือ (ก) ให้กำหนดค่าของบาทเท่ากับเยน (9) การชำระเงินระหว่างประเทศญี่ปุ่นและประเทศไทยให้ชำระด้วยเยน (ค) ให้ตั้งธนาคารกลางขึ้นเป็นเจ้าหน้าที่เงินตรา โดยให้มี่ที่ปรึกษาและหัวหน้าหน่วยงานต่าง ๆ เป็นชนชาวญี่ปุ่น คำเสนอสองข้อแรกก็เท่ากับเป็นการเสนอให้โยงบาทกับเยนในอัตรา ๑ บาทต่อ ๑ เยน หรือลดค่าของบาทลงประมาณ ๓๖ %
การกำหนดค่าของบาทให้เท่ากับเยนนั้น พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิวัฒนไชย ซึ่งขณะนั้นทรงเป็นที่ปรึกษากระทรวงการคลังอยู่ ทรงเห็นว่าเป็นการกำหนดค่าของบาทต่ำกว่าค่าแท้จริง แต่เมื่อรัฐบาลญี่ปุ่นยืนยันให้รับข้อเสนอข้อนี้ รัฐบาลก็จำต้องยอมรับ ส่วนข้อเสนอที่ว่าการชำระเงินระหว่างประเทศให้ชำระด้วยเยนนั้น รัฐบาลไทยต้องยอมรับเพราะไม่มีทางอื่น ทั้งนี้ก็เพราะพฤติการณ์บังคับมิให้ทำการค้ากับประเทศใดได้ เว้นไว้แต่ประเทศญี่ปุ่น
การลดค่าบาทลงเมื่อ ๒๒ เมษายน ๒๔๘๕ อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างบาทกับเยนซึ่งเคยอยู่ในระดับ ๑๐๐ บาทต่อ ๑๕๕.๗๐ เยนต้องลดลงคงเหลือ ๑๐๐ บาทต่อ ๑๐๐ เยน เมื่อพิจารณาจากแง่การเงิน การลดค่าของบาทในครั้งนั้นย่อมไม่มีเหตุผลสมควรเลย ประเทศไทยเป็นประเทศเจ้าหนี้ การดำรงอัตราแลกเปลี่ยนเงินไว้ในระดับเดิมจึงกระทำได้ไม่ยาก เมื่อต้องลดค่าของบาทลงแล้ว สินค้าไทยที่ฝ่ายญี่ปุ่นซื้อเอานั้นเมื่อคิดราคาเป็นเงินเยนก็ถูกลงทันที ฝ่ายคนไทยที่ต้องจ่ายเงินบาทซื้อสินค้าญี่ปุ่นก็ต้องจ่ายเงินเพิ่มมากขึ้นทันทีเหมือนกัน ต่อมาราคาสินค้าในประเทศไทยได้เขยิบขึ้นสู่ระดับใหม่ ประโยชน์ที่ญี่ปุ่นได้รับในตอนต้นได้ค่อยลดน้อยถอยลงเป็นลำดับ แต่ถึงกระนั้นประเทศไทยก็ได้เสียประโยชน์ไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง แต่การจะเป็นเพียงเท่านั้นก็หาไม่ ประเทศไทยเป็นประเทศเจ้าหนี้ดังกล่าวแล้ว เงินที่ประเทศญี่ปุ่นต้องชำระให้แก่ประเทศไทยสูงกว่าเงินที่ประเทศไทยต้องชำระให้แก่ประเทศญี่ปุ่น ฉะนั้นเงินบาทที่มีผู้ขอรับเอาจากธนาคารโดยนำเยนมาเสนอขายจึงมีจำนวนสูงกว่าที่ธนาคารได้รับจากผู้ซื้อเงินเยน เมื่อการชำระเงินระหว่างประเทศเป็นอยู่เช่นนี้ ธนาคารก็ต้องจำหน่ายธนบัตรแลกเปลี่ยนกับเยนอยู่ร่ำไป การลดค่าของบาทเมื่อตอนต้นแห่งสงครามจึงเป็นเหตุสำคัญอันหนึ่งที่ช่วยกระทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ
สรุปได้ว่า ที่ประเทศไทยต้องโยงบาทไว้กับสเตอร์ลิงก์มาเป็นเวลาช้านานก็เพราะเหตุการณ์บังคับ และที่ต้องตัดบาทขาดจากสเตอร์ลิงก์ก็เพราะพฤติการณ์บังคับ และการโยงบาทกับเยนในอัตรา ๑ บาทต่อ ๑ เยนก็เพราะพฤติการณ์และรัฐบาลญี่ปุ่นบังคับ อันเป็นเรื่องธรรมดาของสงคราม
การโยงบาทกับเยนดังกล่าวแล้วนั้น ได้มีความตกลงในหลักการระหว่างกระทรวงการคลังไทยและญี่ปุ่นรวมเป็นหลายฉบับ และมีความตกลงในวิธีปฏิบัติการระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทยกับธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่นด้วย ความตกลงเหล่านี้ทั้งหมดอาศัยความตกลงฉบับหนึ่งเป็นหลักเรียกว่า Memorandum of Agreement ระหว่างกระทรวงการคลังไทยและญี่ปุ่น ลงวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๔๘๕ ซึ่งพระองค์ท่านทรงเป็นผู้เจรจากับฝ่ายญี่ปุ่นโดยตลอด ทั้งที่กรุงเทพ ฯ และกรุงโตเกียว
000
ในเดือนกรกฎาคม ๒๔๘๔ พระองค์ท่านได้ทรงเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไปเจรจากับอินโดจีนฝรั่งเศสที่ไซ่ง่อน เรื่องเกี่ยวกับการคลัง การเงิน และการโอนมูลค่าระหว่างอินโดจีนกับอาณาเขตที่โอนให้ประเทศไทย อันสืบเนื่องมาจากอนุสัญญาสันติภาพระหว่างประเทศทั้งสองลงวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๔๘๔ ในการประชุมนี้ได้อาศัยร่างของฝ่ายไทยเป็นหลักในการปรึกษา และได้ลงนามกันเมื่อวันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๔๘๔
ตามความตกลงนี้ ประเทศไทยต้องชำระเงินเป็นรายปี ปีละ ๑ ล้านเปียสตร์อินโดจีน มีกำหนด ๖ ปี โดยแบ่งชำระปีละ ๒ งวด งวดแรกชำระในวันที่ ๕ มกราคม ๒๔๘๕ และงวดสุดท้ายชำระในวันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๔๙๐ โดยให้ถืออัตราแลกเปลี่ยนเงิน ๑๐.๘๐ บาท เท่ากับ ๑๗๖.๕๐ แฟรงค์ฝรั่งเศส เท่ากับ ๑๗.๖๕ เปียสตร์ เท่ากับ ๑๗.๒๐ เยน เท่ากับ ๔.๓๐ ดอลลาร์อเมริกัน เท่ากับ ๑ ปอนด์สเตอร์ลิงก์
000
พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิวัฒนไชย ได้เสด็จไปกรุงโตเกียวเมื่อต้นเดือนเมษายน ๒๔๘๕ เพื่อเจรจาเรื่องการเงินและการค้ากับรัฐบาลญี่ปุ่น ในระหว่างที่ประทับอยู่ ณ กรุงโตเกียวนั้นได้ทรงบันทึกเรื่องราวที่ได้ทรงพบเห็นไว้เปนจดหมายเหตุ ข้อความที่คัดมาต่อไปนี้แสดงให้เห็นว่าพระองค์ท่านทรงเป็นผู้ช่างสังเกตเหตุการณ์และรายละเอียดต่าง ๆ สามารถนำมาเล่าให้ผู้อื่นฟังได้อย่างถี่ถ้วน ในขณะเดียวกันก็สอดความคิดเห็นอันแยบคายของพระองค์ลงไปด้วย ทำให้เรื่องมีรสชาติน่าอ่านน่าฟังยิ่งขึ้น ฉะนั้นสุนทรพจน์ของพระองค์ท่านในงานและโอกาสต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นปาฐกถาหรือเพียงคำปราศรัยหลังงานเลี้ยง จึงเป็นที่นิยมชมชอบกันยิ่งนัก
“วันเสาร์ ๒๕ เมษายน ๒๔๘๕ วันนี้เป็นวันที่เขากำหนดให้คณะทูตพิเศษฉลองกติกาพันธไมตรีกับญี่ปุ่น ให้มาถึงโตเกียวเวลาบ่าย ๓ โมง ๒๕ นาที คณะทูตพิเศษนี้รัฐบาลญี่ปุ่นรับรองเป็นแขกเมืองรวมเวลา ๗ วัน หมายความว่า ในระหว่าง ๗ วันนั้นรัฐบาลญี่ปุ่นเป็นผู้รับรองเลี้ยงดูเสร็จ รัฐบาลไทยเราไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอย่างไรเลย และรัฐบาลญี่ปุ่นรับรองอย่างให้เกียรติยศสูงสุด คณะทูตพิเศษมีรายนามคือ (๑) พระยาพหล (๒) หลวงธำรง (๓) นายวนิช (๔) ม.จ. วิวัฒน์ (๕) หลวงประกิต (๖) ไชย ประทีปเสน......วนิช ข้าพเจ้า และไชย เป็นทูตเศรษฐกิจ อยู่โตเกียวมาตั้งแต่วันที่ ๗ เมื่อต้องเป็นทูตพิเศษด้วย ก็ต้องทำพิธีมาถึงโตเกียวใหม่ในวันนี้ เพราะฉะนั้นเมื่อถึงเวลาบ่ายโฒง จึงแต่งตัวกันอย่างเต็มที่ คือใส่มอร์นิงโค้ต หมวกทอปแฮต ถือถุงมือขาว ขึ้นรถยนตร์จากโตเกียวไปโยโกฮามาเพื่อสมทบกับทูตอีก ๓ คน ซึ่งมาทางรถไฟ เป็นทีว่าทูตทั้ง ๖ คนเพิ่งจะมาถึงโตเกียว เป็นการเล่นลครแท้ ๆ แต่เมื่อญี่ปุ่นเขาต้องการให้เล่นลคร เราก็ต้องเล่น......... รถไฟถึงสถานี แลเห็นเยเนราลโตโจ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นแต่งยูนิฟอร์มติดตรายืนคอยอยู่แล้ว และมีรัฐมนตรีต่าง ๆ กับนายพลบกเรืออีกเยอะแยะยืนเรียงแถวคอยรับ ดิเรกลงไปก่อนและแนะนำเจ้าคุณพหลต่อรัฐมนตรีต่างประเทศซึ่งมีชื่อว่าโตโก (ตาโตโกนี้หน้าตาเหมือนเจ้าพระยาสุรศักดิ์) แล้วตาโตโกแนะนำเจ้าคุณพหลต่อโตโจ นายกรัฐมนตรี ส่วนทูตพิเศษอื่น ๆ ไม่ต้องแนะนำเพราะจะเสียเวลาช้านัก เราทูตพิเศษอีก ๕ คนจึงเดินแถวเรียงหนึ่งผ่านหน้าแถวฝ่ายเขา ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่าง ๆ เรียงอยู่ เมื่อผ่านใครเราก็คำนับ เขาก็คำนับทำท่าคล้าย ๆ กับคณะผู้สำเร็จของเราเดินผ่านแถวข้าราชการเวลางานเลี้ยงน้ำชาที่สวนศิวาลัย แล้วเดินตามพรมทางสีแดงมาขึ้นรถยนตร์เป็นกระบวนแห่มาโฮเต็ล ในขณะที่เดินตามพรมทางสีแดงนั้น ทำให้นึกถึงหนังชาลีแชปลินเรื่องดิกเตเตอร์ ตอนที่มุสโสลินีเอะอะไม่รู้ว่าจะลงจากรถไฟทางประตูไหนถึงจะเหมาะกับพรมทาง ก็คล้าย ๆ กันกับที่เราวุ่นวายเรื่องพิธีลงรถไฟนั่นเอง แสดงให้เห็นว่าชาลีแชปลินเก่งขึ้นอีกมาก คือการที่ล้อนั้นล้อโดยมีมูลจริงๆ ไม่ใช่คิดขึ้นเองเฉย ๆ......... เซ็นชื่อเสร็จแล้วกลับมากินกลางวันที่โฮเต็ล แล้วก็ต้องออกไปไหว้ศาลเจ้าสองแห่ง แห่งแรกเรียกว่าศาลเจ้าเมจิ อยู่ห่างจากโฮเต็ลไม่น้อย เราขึ้นรถกันเป็นกระบวนไปอย่างเมื่อเช้านี้ เมจินี้ได้ความว่าเป็นเอมเปอเรอพระองค์แรกที่ได้จัดการเปลี่ยนแปลงเมืองญี่ปุ่นให้เป็นสมัยใหม่ คือเป็นพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงของเรานั่นเอง ศาลเจ้านี้ตั้งอยู่ในปาร์คใหญ่ โตงดงามดีมาก ปาร์คนั้นหน้าตาคล้าย ๆ บัวส์เดอบูลอยน์ในกรุงปารีส......... เมื่อกำลังเดินผ่านประตูใหญ่เข้าไป นึกในใจว่าเราบนเจ้าพ่อองค์นี้สักทีคงจะดี ขอให้ได้ทำธุระที่ต้องทำนั้นให้สำเร็จผลดีโดยเร็ว แล้วกลับกรุงเทพ ฯ โดยสวัสดิภาพ ครอบครัวที่บ้านขอให้อยู่เป็นเป็นสุขทั่วหน้ากัน ส่วนสิ่งของที่จะบนนั้น เห็นจะต้องเป็นปลาแป๊ะซะ เพราะญี่ปุ่นเขาชอบปลา เจ้าพ่อญี่ปุ่นคงโปรดปลาเหมือนกัน พอเดินกลับออกมาถึงระเบียงชั้นนอก เห็นเขาตั้งโต๊ะไว้คอยที่ระเบียง บนโต๊ะมีฐานเหมือนจานรองถ้วยน้ำชาซ้อนกันอยู่หลายใบ มีเหยือกน้ำอยู่สองเหยือก มีพระอีกสององค์ยืนอยู่ที่โต๊ะ พอเราเดินมาถึงที่นั่น พระองค์หนึ่งก็ส่งจานให้เรา ๑ ใบ อีกองค์หนึ่งถือเหยือกคอยจะรินให้ เราก็นึกว่า อ้อ ! เห็นจะเป็นน้ำมนต์ ก็ดีเหมือนกันจะได้เฮงดีบ้าง กินและรดน้ำมนต์เจ้าพ่อญี่ปุ่นเสียทีคงจะดีกระมัง แต่พอซดอึกเข้าไปแล้ว มันหาใช่น้ำไม่ กลับเป็นเหล้าสาเกนี่เอง จะเป็นสุรามนต์ใช่หรือไม่ก็ไม่ทราบ จะเอาสาเกรดหัวก็ดูจะไม่ได้เรื่อง เลยกินเสียหมดจานเพราะมันหวานดี กินแล้วก็เดินตามกันกลับออกมา พิธีไหว้เจ้าพ่อเมจิมีเท่านี้เอง......... เมื่อพวกเราไปถึงพระที่นั่งเพื่อเข้าเฝ้าเอมเปอเรอแล้ว เขาก็พาเราไปในห้องสำหรับแขกพักผ่อน ในห้องนั้นมีนายโตโก (รัฐมนตรีต่างประเทศ) และนายมัตซูไดรา (รัฐมนตรีกระทรวงวัง) คอยต้อนรับอยู่ การเดินเข้าไปที่ห้องพักนั้นต้องเดินเรียงตามลำดับ เจ้าคุณพหล ฯ ออกหน้า นึกถึงโกษาปานไปเฝ้าพระเจ้าหลุยซ์ที่ ๑๔ แกคงได้ทำรุ่มร่ามอะไรแยะ เราเป็นทูตพิเศษมาคราวนี้ก็เท่ากับโกษาปานนั่นเอง จะได้ทำอะไรผิดขนบธรรมเนียมญี่ปุ่นบ้างเราก็ไม่รู้ พระราชวงศ์จักรีนี้สืบเนื่องมาจากโกษาปาน เมื่อเราได้เป็นโกษาปานบ้างก็ชอบกลดี.”
000
เมื่อวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๔๘๔ คือก่อนกองทัพญี่ปุ่นเข้าประเทศไทยเพียงแปดวัน จำนวนธนบัตรออกใช้มี ๒๗๕,๓๓๑,๖๘๘ บาท และมีทุนสำรองเงินตราอยู่เป็นจำนวนทั้งสิ้น ๒๗๑,๗๖๗,๗๗๓ บาท ประกอบด้วยทองคำ ๑๒๓,๑๑๐,๔๘๕ บาท ปอนด์สเตอร์ลิงก์และหลักทรัพย์สเตอร์ลิงก์ ๑๔๗,๔๘๗,๔๖๓ บาท และเหรียญบาท ๑,๑๖๙,๘๒๕ บาท ตัวเลขข้างบนนี้แสดงให้เห็นว่าเงินตราตั้งอยู่ในฐานะมั่นคงดี เพราะมี liquid assets เป็นทองคำและปอนด์ประมาณร้อยละ ๘๔ ของธนบัตรออกใช้ ครั้นเมื่อเกิดสงครามมหาอาเซียบูรพา เงินปอนด์ในอังกฤษและทองคำในอเมริกาถูกกัก ทุนสำรองเงินตราเมื่อวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๔๘๕ จึงเหลือเพียงร้อยละ ๓๗.๖ ของธนบัตรออกใช้ คือ ๒๙๖,๑๗๔,๒๕๔ บาท
เมื่อวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๔๘๔ คือในเดือนที่สงครามมหาอาเซียบูรพาเสร็จสิ้นลง สถานการณ์ธนบัตรปรากฏว่ามีธนบัตรออกใช้อยู่ ๑,๙๙๒,๖๕๐,๓๔๘ บาท และมีทุนสำรองเงินตราที่ไม่ถูกกักกัน คือ ทองคำ ๓๓๘,๙๕๙,๐๙๓ บาท พันธบัตรคลัง ๒๕๒,๕๐๐,๐๐๐ บาท และเงินเยน ๑,๒๘๔,๔๒๙,๙๘๘ บาท แต่ liquid assets อันได้แก่ทองคำในประเทศไทยและญี่ปุ่นนั้นมีเพียงประมาณร้อยละ ๑๗ ของธนบัตรที่ออกใช้เท่านั้น
จะเห็นได้ว่า ระหว่างระยะเวลาสงครามนี้ธนบัตรออกใช้ได้เพิ่มขึ้นกว่า ๑,๗๑๗ ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ ๖๒๔ และถึงหากว่าสหรัฐอเมริกาและอังกฤษจะปล่อยสินทรัพย์ที่ยึดไว้ liquid assets คือทองคำและปอนด์สเตอร์ลิงก์ ก็จะมีเพียงประมาณร้อยละ ๒๘ ของธนบัตรที่ออกใช้เท่านั้น
ชั่วระยะเวลา ๔ ปี นับตั้งแต่วันที่กองทัพญี่ปุ่นเข้าประเทศไทยเมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๔๘๔ เป็นต้นมาพระองค์ท่านทรงมีปัญหาใหญ่ที่ต้องเผชิญอยู่สามประการ คือ ประการที่หนึ่ง ได้แก่ปัญหาว่าทำอย่างไรจึงจะมีเงินมาให้รัฐบาลจ่าย ในเมื่องบประมาณแผ่นดินอยู่ในฐานะขาดดุลย์ คือเงินรายได้ธรรมดาไม่พอกับรายจ่าย ประการที่สอง ได้แก่ปัญหาว่าทำอย่างไรจึงจะมีเงินบาทจ่ายเป็นค่าใช้จ่ายของกองทัพญี่ปุ่นและการค้าของญี่ปุ่นในประเทศไทย กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ จำต้องจัดการอย่างไรมิให้เงินบาทขาดมือลงได้ไม่ว่าในขณะใด อันเป็นปัญหาเฉพาะหน้า ประการสุดท้าย ในขณะเดียวกันก็ต้องพยายามหาทางป้องกันความเสียหายอันอาจเกิดขึ้นถ้าประเทศไทยตกอยู่ในภาวะเงินเฟ้อ อันเป็นนโยบายระยะยาว
000
อันการคลังนั้นย่อมเป็นนโยบายของรัฐ ไม่เคยปรากฏว่ามีประเทศใดยับยั้งไม่ทำสงครามเพราะมีรายได้ไม่พอจ่าย ฉะนั้น การที่จะมิให้เงินขาดมือลงได้ไม่ว่าในขณะใด จึงทำได้โดยวิธีจำหน่ายพันธบัตรออกใช้แลกเปลี่ยนกับพันธบัตรคลัง พันธบัตรเงินกู้ของรัฐบาล และเงินเยนญี่ปุ่น ตามอำนาจในพระราชบัญญัติเงินตราในภาวะฉุกเฉินซึ่งได้ออกเมื่อปลายปี ๒๔๘๔ อันเป็นวิธีเดียวที่จะพยุงฐานะการเงินของประเทศไว้ให้ได้ในระหว่างสงคราม พันธบัตรคลังนี้กระทรวงการคลังออกให้แก่ธนาคารแห่งประเทศไทยในเมื่อเงินฝากของรัฐบาลมีไม่พอแก่การใช้จ่าย เมื่อธนาคารได้รับพันธบัตรคลังแล้วก็เครดิตบัญชีกระทรวงการคลังเป็นจำนวนเงินเท่ากับค่าของพันธบัตรเหล่านั้น การหาเงินที่ขาดอยู่โดยวิธีนี้ ถ้าใช้ถ้อยคำธรรมดาไม่มีศัพท์เทคนิค ก็ต้องว่ารัฐบาลอาศัยโรงพิมพ์ให้พิมพ์เงินกระดาษออกมาจนพอใช้เท่านั้น อันเป็นเหตุอีกประการหนึ่งที่ช่วยกระทำให้เงินเฟ้อ วิธีนี้ได้พยายามกระทำน้อยที่สุด จึงมิได้นำมาใช้จนวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๖
000
นอกจากจะต้องหาเงินเป็นค่าใช้จ่ายของรัฐบาลไทยแล้ว กระทรวงการคลังยังมีภาระที่จะต้องหาเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของกองทัพญี่ปุ่นและการค้าของญี่ปุ่นในประเทศไทยอีกด้วย ภาระเกี่ยวกับการค้านั้นได้เริ่มมีขึ้นตั้งแต่ก่อนสงครามมหาอาเซียบูรพาแล้วเนื่องจากอังกฤษและสหรัฐอเมริกาได้กักสินทรัพย์ญี่ปุ่นไว้หมดเมื่อเดือนกรกฎาคม ๒๔๘๔ เมื่อเป็นเช่นนี้ธนาคารโยโกฮามาสเปซีในกรุงเทพฯ เมื่อต้องการบาทก็ไม่มีปอนด์จะเอามาแลกเปลี่ยนได้ ญี่ปุ่นจึงไม่สามารถจะซื้อสินค้าไทยได้ ถ้าการค้าต้องติดขัดเช่นนี้ก็ย่อมจะเสียหายด้วยกันทั้งฝ่ายไทยและญี่ปุ่น ในระยะนั้นกระทรวงการคลังจึงได้จัดให้ธนาคารญี่ปุ่นได้กู้เงินจากธนาคารไทย ๓ ธนาคาร ที่เรียกว่าสหธนาคาร เป็นจำนวน ๑๐ ล้านบาท ญี่ปุ่นก็เป็นอันซื้อสินค้าไทยต่อไปได้ภายในจำนวนเงินที่กู้นั้น
การชำระหนี้เงินกู้รายนี้ ฝ่ายญี่ปุ่นต้องการชำระเป็นเงินญี่ปุ่น แต่พระองค์ท่านทรงเห็นว่าทองคำเป็นวัตถุที่มีค่ามั่นคงดีกว่าเงินเยน ทั้งจะแลกเปลี่ยนเป็นเงินตราต่างประเทศอื่นก็ได้ ส่วนเงินเยนจะแลกเปลี่ยนเป็นเงินตราบางประเทศมิได้ จึงได้ทรงเกี่ยงให้ญี่ปุ่นชำระหนี้รายนี้เป็นทองคำ ฝ่ายญี่ปุ่นมีความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะซื้อสินค้าไทย ก็ต้องยอมชำระหนี้ให้เป็นทองคำ
แต่การกู้เงินจากสหธนาคารไทย ๑๐ ล้านบาท ย่อมไม่พอแก่ความต้องการของญี่ปุ่น และถ้าจะกู้มากกว่านั้นก็จะเกินกำลังของสหธนาคารไทย ๓ ธนาคารที่จะให้กู้ได้ ญี่ปุ่นจึงได้ขอกู้เงินจากกระทรวงการคลัง และเมื่อพระองค์ท่านได้ทรงเกี่ยงให้ชำระหนี้เป็นทองคำ ญี่ปุ่นก็จำต้องยินยอมอีก เพราะจำเป็นจะต้องได้เงินบาทเพื่อซื้อสินค้าไทย
แต่ครั้นเมื่อเกิดสงครามในอาเซียแล้ว ไทยขายสินค้าให้ประเทศอื่นใดไม่ได้นอกจากญี่ปุ่น ญี่ปุ่นจึงกลายเป็นฝ่ายได้เปรียบ และเงินกู้จากกระทรวงการคลังต่อจากนั้นมาญี่ปุ่นก็ไม่ยอมชำระคืนเป็นทองคำอีก หากจะชำระคืนเป็นเยนญี่ปุ่น เมื่อพระองค์ท่านได้เสด็จไปกรุงโตเกียวในเดือนเมษายน ๒๔๘๔ ก็ได้ทรงเจรจาต่อรองกันมากมาย เป็นผลให้ฝ่ายญี่ปุ่นยินยอมสัญญาว่าเงินเยนที่ไทยจะได้รับจากญี่ปุ่นนั้นไทยจะใช้ซื้อทองคำจากญี่ปุ่นได้เมื่อไทยต้องการทองคำ “โดยมีเหตุผลสมควร”
การหาเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของกองทัพญี่ปุ่นและเพื่อการค้าของประเทศญี่ปุ่นกับประเทศไทยได้ทำโดยวิธีหาเงินบาทมาจ่ายเพื่อรับแลกเปลี่ยนกับเงินเยน การจ่ายเงินบาทและรับเงินเยนเป็นการแลกเปลี่ยนกันนี้ได้ปฏิบัติอยู่สามทาง คือ ทางแรกจ่ายบาทและรับเยน (หรือจ่ายเยนและรับบาท) เนื่องในการรวมแหล่งกลางเงินปริวรรตซึ่งเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๔๘๕ การรวมแหล่งกลางเงินปริวรรตนั้น หมายความว่า เยนที่ได้มาจากการส่งสินค้าออกต้องนำมาขายให้เจ้าพนักงานควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินคือธนาคารแห่งประเทศไทย และเยนที่ต้องจ่ายเพื่อประโยชน์ในการนำสินค้าเข้าก็จะต้องซื้อจากเจ้าพนักงานที่กล่าวนั้น
การจ่ายเงินบาทรับแลกกับเงินเยนทางที่สอง ได้แก่การปฏิบัติตามความตกลงระหว่างกระทรวงการคลังกับธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่น ทำที่กรุงโตเกียวเมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๔๘๕ ความตกลงฉบับนี้ใช้เมื่อวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๔๘๕ มีความว่า กระทรวงการคลังจะอำนวยความสะดวกแก่การประกอบธุรกิจโดยสุจริตของธนาคารญี่ปุ่นในประเทศไทย (คือธนาคารโยโกฮามาสเปซี) และจะจ่ายบาทหรือรับบาทจากธนาคารนั้นแลกเปลี่ยนกับเยน
ทางที่สามที่ต้องจ่ายบาทแลกเปลี่ยนกับเยน ได้แก่การปฏิบัติตามข้อตกลงว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการทหารญี่ปุ่นระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกับเอกอัครราชทูตญี่ปุ่น เมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๔๘๕ ตามข้อตกลงนี้ ฝ่ายไทยต้องจ่ายบาทให้ทหารญี่ปุ่นแลกเปลี่ยนกับเยนตามจำนวนที่จะได้ตกลงกันเป็นครั้งเป็นคราวไป
000
การช่วยเหลือทางการทหารญี่ปุ่นในเรื่องเงินอันได้แก่การจัดให้ฝ่ายญี่ปุ่นมีเงินบาทสำหรับใช้จ่ายในประเทศไทยนั้น ในขั้นแรก (ธันวาคม ๒๔๘๔-มิถุนายน ๒๔๘๕) ได้ใช้วิธีให้กู้ยืมเงิน คือธนาคารโยโกฮามาสเปซีกรุงเทพฯ เบิกเงินเกินบัญชีจากสำนักงานธนาคารชาติไทย เสียดอกเบี้ยร้อยละ ๔ ต่อปี และชำระต้นเงินคืนเป็นทองคำ คิดราคา ๑ กรัมบริสุทธิต่อ ๓.๐๖ บาท
ครั้นต่อมา ระหว่างกรกฎาคม ๒๔๘๕ ถึงธันวาคม ๒๔๘๖ ได้เลิกใช้วิธีให้กู้เงินบาทโดยตรง และใช้วิธีให้เครดิตซึ่งกันและกัน คือธนาคารโยโกฮามาสเปซีกรุงเทพ ฯ สั่งธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่นให้เครดิตบัญชีธนาคารแห่งประเทศไทยที่ธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่นเป็นเยนพิเศษ แล้วธนาคารแห่งประเทศไทยก็เครดิตบัญชีธนาคารโยโกฮามาสเปซีกรุงเทพฯ ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นบาท เยนพิเศษที่เป็นเครดิตของธนาคารแห่งประเทศไทยนั้น ในระยะต้น (กรกฎาคม ๒๔๘๕ - มิถุนายน ๒๔๘๖) รัฐบาลญี่ปุ่นได้ยอมให้ใช้ซื้อทองคำได้ประมาณร้อยละ ๕๐ แต่ในระยะหลัง (กรกฎาคม ๒๔๘๖ – ธันวาคม ๒๔๘๖) ให้ซื้อได้ประมาณร้อยละ ๒๑ ทั้งนี้คิดราคา ๑ กรัมบริสุทธิ์ต่อ ๔.๘๐ บาท เพราะประเทศไทยได้ลดค่าของเงินบาทลงแล้วประมาณร้อยละ ๓๖ โดยผลแห่งการกำหนดค่าเสมอภาคเท่ากับเงินเยน สำหรับระยะเวลา ๖ เดือนต้นของปี พ.ศ. ๒๔๘๗ ก็ยังคงใช้วิธีให้เครดิตเงินบาทแลกกับเงินเยนอยู่ แต่รัฐบาลญี่ปุ่นยอมให้ซื้อทองคำได้ประมาณเพียงร้อยละ ๑๘ และได้ขึ้นราคาทองคำเป็น ๑ กรัมบริสุทธิ์ต่อ ๕.๗๘ บาท
000
เมื่อกองทัพญี่ปุ่นเข้าประเทศไทยในวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๔๘๔ นั้น ไม่มีใครทราบว่าประเทศไทยจะยังคงใช้เงินบาทอยู่ต่อไปอย่างเดียวหรือประการใด ทั้งนี้เพราะปรากฏว่าญี่ปุ่นได้ออกธนบัตรขึ้นใช้เองในประเทศใกล้เคียงที่ญี่ปุ่นเข้าครอบครอง และธนบัตรเหล่านี้ก็เป็นเงินตราที่ถูกต้องตามกฎหมาย และใช้เคียงคู่กันไปกับเงินตราของประเทศนั้น ๆ ความยุ่งยากอันเกิดจากการใช้เงินตราสองสกุลในประเทศเดียวกันมีประการใดบ้างย่อมเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้ว และเพราะเหตุนี้พระองค์ท่านจึงได้เสนอให้กระทรวงการคลังตกลงหลักการกับฝ่ายญี่ปุ่นว่าจะจัดให้ทางการทหารญี่ปุ่นได้รับเงินที่ต้องใช้จ่ายเพื่อการทหารในประเทศไทยไปจากรัฐบาลไทยโดยตรง ส่วนจำนวนเงินนั้นรัฐบาลทั้งสองจะได้ทำความตกลงกันเป็นคราว ๆ ไป คราวละ ๖ เดือน
ในการเจรจากับฝ่ายญี่ปุ่นแต่ละคราว พระองค์ท่านได้ทรงพยายามเกี่ยงและต่อรองทุกทางที่จะให้ได้เปลี่ยนเยนพิเศษเป็นทองคำให้มากที่สุด คือทรงพยายามนำทองคำเข้าทุนสำรองเงินตราให้มากที่สุด แทนที่จะรับแต่เงินเยนอย่างเดี่ยว ทั้งนี้ก็เพราะทรงเห็นการณ์ไกลว่า เงินเยนจะแลกเปลี่ยนเป็นเงินประเทศอื่น ๆ ไม่ได้สะดวกหรือไม่ได้เลย ถ้าเรามีเยนมากเกินกว่าที่ต้องการจ่ายในญี่ปุ่นก็จะมีเงินเยนเหลืออยู่เปล่า ๆ และเมื่อเลิกสงครามแล้วเยนที่มีอยู่คงจะเป็นเงินที่ไร้ค่า ความพยายามของพระองค์ท่านที่จะเกี่ยงให้ญี่ปุ่นชำระคืนเป็นทองคำนี้ยังผลให้ประเทศไทยได้ซื้อทองคำจากประเทศญี่ปุ่นด้วยเงินเยนหลายคราว เป็นจำนวนน้ำหนักบริสุทธิรวมทั้งสิ้น ๒๖,๗๐๓,๔๘๕.๗๐ กรัม เป็นราคา ๑๒๙,๐๐๑,๐๙๕ เยน ทองคำจำนวนนี้กับที่ได้ซื้อไว้ก่อนเกิดสงครามและยังคงฝากไว้กับธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่นเป็นจำนวนรวมทั้งสิ้น ๓๘,๘๕๔.๙๙๙.๓ กรัมบริสุทธิ์ รัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้ออกคำสั่งให้ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของมหาอำนาจสัมพันธมิตรในญี่ปุ่นคืนให้แก่ประเทศไทย เมื่อเดือนกันยายน ๒๔๙๒ จำนวน ๓๘,๒๘๒,๑๓๑ กรัมบริสุทธิ์
000
คงจะมีผู้สงสัยว่า กระทรวงการคลังทำอย่างไรจึงให้ญี่ปุ่นกู้เงินได้ทั้ง ๆ ที่คลังเองก็ไม่มีเงิน ข้อนี้เป็นเพราะเหตุว่าได้ออกกฎหมายกำหนดให้ทองคำและเยนเป็นทรัพย์สินที่ใช้เป็นทุนสำรองเงินตราได้ ฉะนั้นเมื่อญี่ปุ่นมีทองคำหรือเยนมาส่งคลัง คลังก็ส่งเข้าทุนสำรองเงินตราแล้วก็ออกธนบัตรให้ไป หรือถ้าจะกล่าวอีกนัยหนึ่ง เงินที่ให้ญี่ปุ่นกู้นั้นมิได้จ่ายจากเงินรายได้หรือเงินคงคลัง หากได้ออกธนบัตรแลกกับทองคำหรือเยนจากญี่ปุ่นเท่านั้นเอง
อาจมีผู้สงสัยต่อไปอีกว่า เหตุใดจึงต้องเอาเยนเป็นทุนสำรองเงินตรา เพราะเมื่อต้องการธนบัตรก็ย่อมจะแลกเปลี่ยนกับพันธบัตรคลังได้อยู่แล้ว ส่วนเยนที่จะได้รับมานั้นก็กันไว้ส่วนหนึ่งต่างหาก ข้อนี้อันที่จริงก็ย่อมทำได้ เพราะมีผลไม่ต่างกันเท่าใดนัก กล่าวคือคลังจะต้องจ่ายธนบัตรออกไปและก็จะได้รับเยนเข้ามาอยู่นั้นเอง แต่พระองค์ท่านทรงเห็นว่า “เมื่อรัฐบาลญี่ปุ่นมีนโยบายจะให้เงินตราของประเทศทั้งปวงในมหาอาเชียตะวันออกโยงกับเยนอยู่แล้ว การไม่เอาเยนเป็นทุนสำรองเงินตราอาจทำให้ญี่ปุ่นระแวงสงสัยว่าประเทศไทยมีข้อรังเกียจอย่างใดอย่างหนึ่งในเยน อาจมีเรื่องกระเทือนน้ำใจกันโดยเราไม่ได้ประโยชน์อะไร” อนึ่งในเชิงทฤษฎี การมีเยนพิเศษไว้ในทุนสำรองเงินตรา ควรถือได้ว่ามี liquidity มากกว่าพันธบัตรคลัง เพราะเยนพิเศษอาจมีหวังแลกเปลี่ยนเป็นเงินตราต่างประเทศหรือเป็นทองคำได้ ส่วนพันธบัตรคลังไม่มีทางจะเปลี่ยนเป็นอื่นได้จนกว่าจะถึงเวลาไถ่ถอน
เงินเยนที่นำเข้าเป็นทุนสำรองเงินตรานั้น ในที่สุดปรากฏว่าญี่ปุ่นตกเป็นลูกหนี้อยู่ ๑,๕๕๖,๖๕๓,๑๔๔ เยน เกี่ยวกับหนี้ที่กล่าวนี้ทางการญี่ปุ่นได้ชดใช้ให้เป็นเงินปอนด์สเตอร์ลิงก์แล้วถึงบัดนี้เป็นจำนวน ๕.๔ ล้านปอนด์ หนี้ส่วนที่เหลือรัฐบาลทั้งสองกำลังเจรจายังไม่เป็นที่ตกลงกัน ดังที่ทราบกันอยู่แล้ว
000
ปัญหาที่พระองค์ท่านทรงวิตกกังวลอยู่ตลอดระยะเวลาสงครามก็คือ จะหาตัวธนบัตรมาจากไหน เพราะเมืองไทยไม่เคยพิมพ์ธนบัตรใช้เลย นับตั้งแต่เริ่มใช้ธนบัตรกันมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๔๕ (ร.ศ. ๑๒๑) ในสมัยเมื่อพระบิดาของพระองค์เอง คือพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นมหิศรราชหฤทัย ทรงเป็นเสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ
ในขณะที่สงครามเกิดเมื่อปลายปี ๒๔๘๔ ธนบัตรที่สั่งจากบริษัทโทมัสเดอลารู ประเทศอังกฤษ มาติดค้างอยู่กลางทางเป็นราคา ๑๖.๒ ล้านบาท ธนบัตรจึงเหลืออยู่เป็นจำนวนน้อยเกือบจะขาดมือ นับตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๘๕ เป็นต้นมา ในฐานะที่ปรึกษากระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย พระองค์ท่านได้พยายามสะสมสต๊อคธนบัตรขึ้นเป็นลำดับ โดยวิธีสั่งพิมพ์ในประเทศญี่ปุ่น แม้กระนั้นก็ยังทรงเห็นว่าในยามสงครามไม่ควรวางใจทีเดียวนัก หากญี่ปุ่นไม่สามารถจะขนส่งธนบัตรมาประเทศไทยได้ด้วยเหตุใด ๆ ก็ตาม ก็จะทำให้ประเทศไทยตกอยู่ในฐานะที่ลำบากเป็นอย่างยิ่ง เพื่อความไม่ประมาทจึงได้ทรงจัดพิมพ์ธนบัตรขึ้นใช้ภายในประเทศเป็นครั้งแรกที่โรงพิมพ์กรมแผนที่ทหารบก โดยให้พิมพ์ธนบัตรชนิดราคา ๑ บาทขึ้นก่อน ต่อมาจึงให้พิมพ์ราคาสูง ถึงกระนั้นก็ดี แม้ว่าโรงพิมพ์จะทำงานชนิดหามรุ่งหามค่ำ คือวันละ ๒๐ ชั่วโมงแล้วก็ตาม จำนวนธนบัตรก็ยังไม่เพียงพอแก่ความต้องการอยู่นั่นเอง จึงได้จัดพิมพ์ขึ้นที่โรงพิมพ์กรมอุทกศาสตร์ทหารเรือขึ้นอีกแห่งหนึ่ง และในที่สุดก็ต้องใช้โรงพิมพ์ของเอกชนอีก ๓ แห่ง คือ โรงพิมพ์จันกวง โรงพิมพ์กรุงเทพวานิช และโรงพิมพ์กิมไป๊ ธนบัตรที่พิมพ์ขึ้นภายในประเทศนี้มีคุณภาพต่ำมาก จนได้ชื่อว่า “ธนบัตรกงเต๊ก” เพราะใช้เครื่องพิมพ์ธรรมดาพิมพ์ และใช้วัตถุดิบ เช่น กระดาษ, สี, และอุปกรณ์อื่น ๆ ที่จะพึงหาได้ในเมืองไทยในขณะนั้น ทั้งขาดความชำนาญในการพิมพ์อีกด้วย ส่วนทางด้านญี่ปุ่นเมื่อสถานะสงครามรุนแรงขึ้นก็ไม่สามารถจะพิมพ์ธนบัตรส่งมาให้ได้ เรื่องธนบัตรนี้จึงเป็นเรื่องที่น่าวิตกอย่างยิ่งสำหรับกระทรวงการคลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี ๒๔๘๘ ซึ่งในเดือนเมษายนนั้นโรงไฟฟ้าทั้งสองโรงซึ่งอาศัยเป็นกำลังได้ถูกทำลายเสียอีก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสมัยนั้นถึงกับบนบานศาลกล่าวขอให้ธนบัตรที่สั่งพิมพ์จากญี่ปุ่นมาถึงกรุงเทพ ฯ ให้ทันกำหนดเวลา หาไม่แล้วจะไม่มีธนบัตรพอจ่ายเงินเดือนข้าราชการ
อนึ่ง โดยที่ไทยเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น ญี่ปุ่นจึงได้ยกดินแดน ๔ รัฐมาลายาให้ไทยปกครอง เดิมพระองค์ท่านทรงจัดพิมพ์บัตรชนิดราคา ๑ ดอลลาร์มาลายาขึ้นเพื่อนำไปใช้ใน ๔ รัฐมาลายาดังกล่าว แต่ครั้นแล้วบัตรดอลลาร์เหล่านี้ก็มิได้นำออกใช้ ซึ่งกลับเป็นผลดีตอนหลังสงครามเมื่อรัฐบาลไทยต้องคืนดินแดน ๔ รัฐมาลายาให้แก่อังกฤษ เพราะไทยไม่ต้องมีข้อผูกพันในการที่จะต้องไปไถ่ถอนบัตรดอลลาร์กลับคืน ส่วนบัตรดอลลาร์ที่ได้พิมพ์ไว้นั้นแม้ว่าจะไม่ได้นำออกใช้ตามที่ได้กะโครงการไว้ก็ตาม ก็ไม่ได้นำไปทำลายเสียเปล่าประการใด ทรงให้นำมาดัดแปลงเป็นธนบัตรชนิดราคา ๕๐ บาทออกใช้ เป็นการช่วยแก้ความขาดแคลนธนบัตรไปได้อีกอย่างหนึ่ง
เมื่อสงครามโลกได้ยุติลง ได้ทรงดำริที่จะพิมพ์ธนบัตรที่บริษัทเดิมในอังกฤษ คือบริษัทโทมัสเดอลารูเช่นที่เคยปฏิบัติมาก่อนสงคราม แต่ยังกระทำไม่ได้ เนื่องจากบริษัทต้องประสบภัยแห่งสงคราม จึงได้ทรงติดต่อขอให้รัฐบาลสหรัฐอเมริกาพิมพ์ให้ ซึ่งทางสหรัฐก็ได้พิมพ์ และจัดส่งมาให้อย่างรีบด่วนเป็นครั้งแรก เมื่อ ๓ ตุลาคม ๒๔๘๙
อนึ่ง เมื่อได้ทรงทราบว่า รัฐบาลอังกฤษได้เตรียมธนบัตรซึ่งกำหนดให้มีค่าหนึ่งบาทไว้สำหรับนำมาใช้ในการบุกประเทศไทยรวมทั้งสิ้น ๑๐ ล้านฉบับ แต่เมื่อรัฐบาลอังกฤษไม่มีความจำเป็นจะใช้แล้ว เพราะสงครามเสร็จลงเสียก่อน จึงได้ทรงร้องขอให้ฝ่ายอังกฤษจัดส่งมาให้แทนที่จะทำลายเสีย ซึ่งทางฝ่ายอังกฤษก็ได้ส่งมาให้ ทำให้ได้ธนบัตรที่มีคุณภาพดีมาช่วย “แก้ขัด” ไปได้อีกระยะหนึ่ง
เรื่องที่กลัวว่าจะไม่มีธนบัตรพอใช้นั้น นอกจากจะทรงแก้ปัญหาด้วยวิธีเพิ่มการผลิตดังกล่าวแล้ว ท่านยังได้ทรงค้นคิดวิธีการทุกแง่ทุกมุมอีกด้วย คือหาทางตัดทอนการใช้ธนบัตรอย่างหนึ่ง และดึงธนบัตรเข้ามาจากมือประชาชนอีกอย่างหนึ่ง โดยทรงพยายามที่จะกระทำทั้ง ๓ วิธีพร้อม ๆ กันไปเพื่อให้ได้ผล เช่นในด้านตัดทอนการใช้ธนบัตร ก็ทรงมีโครงการตัดทอนการใช้ธนบัตรของทหารญี่ปุ่นและของรัฐบาลไทยไว้ โดยถ้าถึงคราวแล้วก็จะขอให้จ่ายค่าจ้างแรงงานส่วนหนึ่งเป็นบัตรออมสิน และจ่ายค่าสิ่งของ ค่าจ้างเหมา เป็นบัตรเงินสด เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๔๘๖ ได้มีการจ่ายเงินเดือนด้วยเช็คสำหรับข้าราชการในส่วนกลางที่มีเงินเดือนที่จะจ่ายด้วยเช็คสำหรับข้าราชการในส่วนกลางที่มีเงินเดือนตั้งแต่ ๓๐๐ บาทขึ้นไป เพื่อประหยัดการใช้ธนบัตรทั้ง ๆ ที่จำนวนเงินเดือนที่จะจ่ายด้วยเช็คสำหรับข้าราชการในส่วนกลางขณะนั้นมจำนวนเพียงสี่แสนกว่าบาท
ในด้านการดึงธนบัตรเข้ามาจากมือประชาชนนั้นเล่า ก็ทรงมีวิธีทั้งการบังคับ การล่อ การขู่ แต่เมื่อทรงเห็นว่ารัฐบาลไม่ควรใช้วิธีใด ๆ ที่เป็นการขู่ จึงเหลืออยู่แต่การบังคับและการล่อ ซึ่งแต่ละวิธีพระองค์มีแผนการไว้โดยพิสดาร รวมตลอดถึงการเปิดโรงบ่อนกาสิโนขึ้นในกรุงเทพ ฯ และส่วนภูมิภาคเมื่อต้นปี ๒๔๘๘ จริงอยู่ ในแง่ศีลธรรม การส่งเสริมให้ประชาชนเล่นการพะนันไม่เป็นสิ่งที่รัฐบาลพึงกระทำ แต่เมื่อมาคำนึงว่าการที่ธนบัตรขาดแคลนนั้นเป็นปรากฏการณ์ธรรมดาอย่างหนึ่งในภาวะเงินเฟ้อ ฉะนั้น การแก้ไขปัญหาเรื่องธนบัตรจึงจำต้องหนักไปในทางที่จะช่วยบรรเทาภาวะเงินเฟ้อนั้นด้วย การบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ชนส่วนใหญ่ย่อมอยู่เหนือความหายนะของนักการพะนันอันเป็นแต่ส่วนน้อยของประชาชน นอกจากนั้น ปฏิบัติการครั้งนี้ยังเป็นเพียงการชั่วคราวเท่านั้น ดังบันทึกของพระองค์ท่านลงวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๔๘๘ ดังต่อไปนี้
“เรื่องการพนันย่อมมีความเห็นแตกต่างกันอยู่ ว่าจะให้เล่นภายใต้ความควบคุม หรือจะห้ามเล่นโดยเด็ดขาด อย่างใดจะดีกว่ากัน แต่ปัญหาข้อนี้ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยในที่นี้ เพราะการจัดตั้งสถานกาซิโน ซึ่งจะเสนอต่อไป มีวัตถุประสงค์เป็นการชั่วคราวเฉพาะในภาวะคับขัน วัตถุประสงค์นั้นได้แก่การดูดดึงเอาธนบัตรจากมือประชาชนเข้ามาสู่คลัง โดยวิธีที่จะได้ผลรวดเร็วที่สุด”
ผลปรากฏว่า ระหว่างวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ถึง ๑๐ พฤษภาคม ๒๔๘๘ รวมวันที่เปิดให้เล่น ๘๒ วัน สถานกาซิโนในกรุงเทพ ฯ ซึ่งเปิดขึ้นที่ราชตฤณมัยสมาคม ตามภัตตาคารและโรงมหรสพต่างๆ และตามสโมสรต่างๆ ได้ทำรายได้ให้แก่รัฐบาลเป็นเงิน ๑๒,๙๔๗,๗๑๔ บาท หรือประมาณ ๒๒.๘ % ของงบประมาณรายได้ประจำเดือนในขณะนั้น
000
ลักษณะอีกอย่างหนึ่งของพระองค์ท่านก็คือ ทรงชอบคิดค้นอะไรแปลกๆ ใหม่ ๆ เสมอ ตัวอย่างเช่น วิธีประกันภัยจากการโจมตีทางอากาศในระหว่างสงคราม เป็นต้น ระหว่าง ๘ มกราคม ๒๔๘๕ ถึง ๘ มีนาคม ๒๔๘๗ ปรากฏว่าพระนครและธนบุรีได้ถูกเครื่องบินโจมตี ๑๘ ครั้ง หลังจากการถูกโจมตีเมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๔๘๖ แล้ว รับสั่งว่า ทรงสงสารพวกเบี้ยน้อยหอยน้อยที่ต้องสิ้นเนื้อประดาตัวเพราะบ้านช่องถูกระเบิดหรือไฟไหม้หมด พระองค์จึงเสนอให้รัฐบาลบังคับเก็บเบี้ยประกันภัยสงครามจากเจ้าของโรงเรือนเฉพาะในเขตเทศบาลนครกรุงเทพฯ และธนบุรีที่มีชุมนุมชนหนาแน่น เพื่อหาทางช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนของบุคคลที่ต้องประสบภัย
โครงการรับประกันภัยก็คือ ทำให้เจ้าของเคหะสถานมีฐานะเป็นทั้งผู้เอาประกันภัยและผู้รับประกันภัยไปด้วยในตัว กล่าวคือ เมื่อใช้ค่าทดแทนแก่เจ้าของเคหะสถานที่ถูกทำลายหรือเสียหาย และหักค่าใช้จ่ายของเจ้าหน้าที่แล้ว จะคืนเบี้ยประกันที่เหลือให้แก่ผู้ชำระเบี้ยประกัน โดยคิดเฉลี่ยตามส่วนซึ่งแต่ละคนได้ชำระไว้ แต่ในกรณีที่เบี้ยประกันไม่พอจ่ายค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายดังกล่าวแล้ว กระทรวงการคลังจะเป็นผู้จ่ายให้ทั้งสิ้น
หลักการมีอยู่ว่า ให้เอา “ค่ารายปี” ของเคหะสถานเป็นเกณฑ์กำหนดเบี้ยประกันค่าทดแทน ถ้าโรงเรือนนั้นวินาศสิ้นจะใช้ค่าทดแทนให้สี่เท่าค่ารายปีของโรงเรือนนั้น แต่ไม่เกิน ๙๐ % แห่งจำนวนวินาศจริง (หรือไม่เกินหนึ่งแสนบาท) ส่วนอัตราสูงสุดของเบี้ยประกันนั้นไม่เกิน ๗ ๑/๒ % ของค่าทดแทน ซึ่งจะต้องชำระในกรณีที่เคหะสถานวินาศสิ้น
การบังคับให้ประกันภัยสงครามนี้ ว่าที่จริงก็เป็นการชอบธรรมอยู่ เพราะทุกคนอยู่ในภาวะสงคราม เมื่อผู้ใดเคราะห์ร้ายก็ชอบที่จะเฉลี่ยเอาเงินของคนอื่นมาสงเคราะห์กันได้ และการช่วยเหลือซึ่งกันและกันเช่นนี้ย่อมเป็นการแสดงสมานฉันท์แห่งชาติพร้อมกันไปด้วย โครงการนี้หาได้แฝงเจตนาที่จะหาเงินเข้าคลังแต่อย่างใดไม่ แต่โดยที่พระองค์ทรงเป็นคนสรรพากรมาก่อน จึงทรงเห็นผลพลอยได้สำหรับกระทรวงการคลังอยู่ด้วยว่าหากทำได้ก็จะเป็นประโยชน์แก่การเก็บภาษีอากรไม่น้อย เพราะเจ้าของโรงเรือนให้เช่าคงจะไม่พยายามปิดบังค่าเช่าเพื่อให้ประเมินค่ารายปีต่ำ ซึ่งย่อมจะทำให้เก็บภาษีโรงเรือนได้ผลดีขึ้นประการหนึ่ง และจะได้มีทางทราบค่ารายปีของโรงเรือนที่มิได้ให้เช่า ซึ่งจะได้ใช้เป็นหลักในการเก็บภาษีโรงเรือนเหล่านี้ หากรัฐบาลดำริจะเก็บต่อไปอีกประการหนึ่ง
ได้มีการถกเถียงกันมากมายระหว่างพิจารณายกร่าง “พระราชกำหนดประกันภัยสงครามทางอากาศ พ.ศ. ๒๔๘๗” และปรากฏว่าคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ประชุมกันมากกว่า ๒๐ ครั้ง แต่ครั้นแล้วเรื่องนี้ก็ต้องตกไปเมื่อเดือนเมษายน ๒๔๘๗ ด้วยเหตุผลทางการเมือง ดังปรากฏในบันทึกของพระองค์ท่านดังต่อไปนี้
“เรื่องที่เกี่ยวกับสภาผู้แทนราษฎรนั้น เป็นเรื่องนโยบายทางการเมือง สุดแล้วแต่คณะรัฐมนตรีจะวินิจฉัย ประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณามีเพียงว่า จะใช้พระราชกำหนดนี้หรือไม่ พระราชกำหนดนี้มีจุดประสงค์จะทำคุณให้แก่ประชาชน โดยจัดการให้เขาช่วยเหลือกันเองเสียก่อน และถ้ามีภัยมารุนแรงมาก ถึงกับจะช่วยเหลือกันเองไม่สำเร็จ รัฐบาลก็จะออกเงินช่วยด้วย รัฐบาลไม่ได้ผลประโยชน์อะไรเลย มีแต่เสมอตัวหรือเสีย แต่ถ้าเห็นว่าพระราชกำหนดนี้จะเป็นโทษมากกว่าเป็นคุณ หรือจะกลายเป็น “ทำคุณบูชาโทษ” ก็ไม่ควรใช้พระราชกำหนดนี้”
000
การจัดให้ทางการทหารญี่ปุ่นมีเงินบาทใช้ และค่าใช้จ่ายของรัฐบาลเอง เป็นผลให้ต้องจำหน่ายธนบัตรเพิ่มมากขึ้นอย่างมากมาย ถ้าเทียบธนบัตรออกใช้เมื่อมกราคม ๒๔๘๕ กับเมื่อพฤษภาคม ๒๔๘๗ ก็จะปรากฏว่าได้เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ ๒๗๓ ที่ได้เพิ่มขึ้นมากมายเช่นนี้ก็เพราะการใช้จ่ายของทหารญี่ปุ่นเป็นเหตุสำคัญ
ในเวลาสงคราม เครื่องอุปโภคบริโภคย่อมมีปริมาณลดน้อยลง แม้สมมติว่าธนบัตรออกใช้จะมิได้เพิ่มขึ้นเลย เครื่องอุปโภคบริโภคก็จะต้องมีราคาสูงขึ้นอยู่แล้วเป็นธรรมดา แต่เมื่อธนบัตรออกใช้กลับเพิ่มขึ้นอีกมากมายเช่นนี้ ก็ย่อมทำให้ราคาของยิ่งแพงขึ้นไปอีก เลขดัชนีที่กระทรวงพาณิชย์ได้ทำไว้ขณะนั้น แสดงว่าค่าใช้จ่ายในการครองชีพในกรุงเทพฯ ได้สูงขึ้นเป็นลำดับดังต่อไปนี้
พ.ศ. ๒๔๘๑ | ๑๐๐ |
พ.ศ. ๒๔๘๔ | ๑๓๒.๙๐ |
พ.ศ. ๒๔๘๕ | ๑๗๖.๙๙ |
พ.ศ. ๒๔๘๖ ธันวาคม | ๒๙๑.๕๖ |
พ.ศ. ๒๔๘๗ มีนาคม | ๔๐๙.๐๗ |
พ.ศ. ๒๔๘๘ สิงหาคม | ๑,๐๖๙.๕๕ |
หรือเงิน ๑ บาทเมื่อสิ้นสงคราม มีค่าเท่ากับ ๙.๓๕ สตางค์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๑
ภาวะเงินเฟ้อเกิดขึ้นจากเหตุสามประการ คือ ปริมาณเงิน (เงินตราและเครดิต) ได้เพิ่มมากขึ้นด้วยเหตุดังกล่าวแล้ว ปริมาณแห่งสินค้าลดน้อยลงเพราะสถานะสงคราม และความเร็วแห่งความหมุนเวียนของเงินเพิ่มขึ้น คือเมื่อเกิดสงครามขึ้นและสินค้าเข้ามาจากต่างประเทศไม่ได้เหมือนในเวลาปกติก็คาดกันได้ทุกคนว่าสินค้าจะแพงขึ้น ฉะนั้นในชั้นต้นจึงได้มีการกักสินค้าไว้ขายในราคาสูง แล้วต่อมาเมื่อราคาได้ขึ้นไปมากแล้ว ก็เกิดมีคนกลางในการซื้อขายขึ้นเป็นจำนวนมาก แม้สินค้าจะมีปริมาณลดลง การซื้อขายก็มีมากขึ้น เงินจึงหมุนเวียนรวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งมีผลเท่ากับการเพิ่มปริมาณแห่งเงินขึ้นอีก
เมื่อภาวะเงินเฟ้อได้เกิดขึ้นเพราะเหตุดังกล่าวแล้ว การที่จะปล่อยปละละเลยไม่จัดการบรรเทาเสียให้ทันการ ย่อมจะทำให้ค่าของเงินตกต่ำลงมากมาย ซึ่งถ้ายับยั้งไว้มิได้ ในที่สุดจะเกิดผลร้ายขึ้นประการใดบ้างก็มีตัวอย่างมาแล้วในบางประเทศ เช่นเยอรมนีเมื่อปี ค.ศ. ๑๙๒๓ ดังที่พระองค์ท่านได้ทรงบันทึกไว้เมื่อเดือนมีนาคม ๒๔๘๖ ดังต่อไปนี้
“ผลร้ายที่เกิดขึ้นแก่ประชาชนในประเทศเยอรมันนั้นสุดที่จะประมาณได้ จะเหลียวแลไปทางใดก็ประสพแต่ความอดอยากยากจน ทรัพย์สินซึ่งประชาชนได้สะสมไว้แต่ก่อน ถ้าเป็นตัวเงินก็จะหมดค่าลงไปด้วยโดยเร็ว ถ้าเป็นที่ดินหรือทรัพย์สินอื่นๆ อาจยังคงมีค่าเหลืออยู่ตราบใดที่เจ้าของยังไม่ขาย แต่ถ้าขายไปเมื่อใด เงินตราที่ได้รับมานั้นก็สูญค่าไปโดยรวดเร็วเช่นเดียวกัน ความยากลำบากนี้มิได้ตกอยู่เฉพาะบุคคลประเภทที่มีรายได้เป็นประจำ แม้แต่พ่อค้าซึ่งขายสินค้าได้ด้วยราคาสูงนั้นเองก็ได้รับความยากลำบากด้วย เพราะทุกครั้งที่พ่อค้าขายสินค้าเก่าออกไป จะได้รับเงินตราตอบแทน ซึ่งเงินตรานั้นได้มีค่าลดน้อยลงไปก่อนที่ตนจะมีเวลาไปหาซื้อสินค้าได้ใหม่ จำนวนเด็กและผู้ใหญ่ที่ถึงแก่ความตายด้วยการขาดอาหารนั้นเพิ่มขึ้นเป็นอันมาก อาหารต่างๆ ถึงแม้ว่าจะมีก็ไม่มีผู้ใดมีเงินพอที่จะซื้อได้ การบริโภคเนื้อสัตว์ที่ดี เช่นโคและสุกรนั้น ลดน้อยลงจนเกือบจะไม่มีเหลือ แต่การบริโภคเนื้อม้าและสุนัขนั้นเพิ่มขึ้น สถิติได้แสดงไว้ว่า จำนวนสุนัขที่ถูกฆ่าเป็นอาหารในปี ๑๙๒๑ นั้นเป็นจำนวน ๑,๐๙๐ ตัว ในปี ๑๙๒๒ เป็นจำนวน ๓,๖๗๘ ตัว และได้เพิ่มขึ้นถึง ๖,๔๓๐ ตัว ในปี ค.ศ. ๑๙๒๓ โรคภัยไข้เจ็บนานาชนิดที่ไม่เคยปรากฏในประเทศเยอรมันนีก็ได้ปรากฏขึ้นในคราวนี้ ส่วนศีลธรรมของประชาชนได้เสื่อมลงอย่างน่าตกใจ เพราะปรากฏว่าคดีลักทรัพย์และคดีอาญาอื่นๆ ได้เพิ่มปริมาณขึ้นอย่างที่มิได้เคยพบเห็นมาแต่ก่อน จำนวนผู้อดตายและฆ่าตัวตายเพราะความยากจนอันเกิดด้วยเงินเฟ้อได้เพิ่มขึ้นทุกวันไปตามราคาสินค้า จนในที่สุดถึงแม้จะตายแล้วก็ยังจะหนีความลำบากอันเกิดจากของแพงมิพ้น ดังที่ปรากฏว่าจำนวนศพอนาถานั้นเพิ่มขึ้นเป็นอันมาก โดยเหตุที่ญาติของผู้ตายไม่สามารถจ่ายเงินค่าทำศพได้ ทั้งๆ ที่กระทรวงมหาดไทยได้ให้อนุญาตเป็นพิเศษให้ประชาชนห่อศพไปฝังในป่าช้าได้โดยไม่ต้องใส่โลง เพราะโลงใส่ศพนั้นมีราคาแพงไป
ทางด้านรัฐบาลนั้นไซร้ ในชั้นแรกก็นับว่าเป็นการง่ายที่จะเผชิญต่อเหตุการณ์เฉพาะหน้า โดยวิธีพิมพ์ธนบัตรออกใช้ทุกคราวที่รัฐบาลจำเป็นต้องใช้เงิน ผลร้ายแห่งวิธีการนี้ในชั้นต้นก็ยังไม่รู้สึก เพราะถ้าจะมองดูภาวะการเงินทั่ว ๆ ไปก็ดูคล้าย ๆ กับว่าดีขึ้น ทางฝ่ายรัฐบาลก็ได้รับความสะดวกใจ ทางฝ่ายการค้าขายก็ดูเหมือนว่าได้พื้นฟูเนื่องด้วยราคาของขึ้นสูง แต่มีข้อควรระลึกอยู่ข้อหนึ่งว่า ความสะดวกต่างๆ อันพึงจะได้รับโดยปล่อยให้เงินเฟ้อไปตามยถากรรม และความง่ายดายในการหากำไรในทางการค้าเพราะเหตุเดียวกันนั้น ได้มีอยู่ก็เพียงในชั้นแรกแห่งเงินเฟ้อ อุปมาเหมือนหนึ่งนักเลงสุรา เมื่อแรกเสพย์สุราก็ดูจะครึกครื้นรื่นเริงดีอยู่ แต่ในที่สุดก็จะฟุบไปเพราะฤทธิ์สุรานั้นเอง
การปล่อยให้เงินเฟ้อไปตามยถากรรมนี้ เมื่อถึงขั้นสุดท้ายก็ได้ก่อให้เกิดความยุ่งยากภายในประเทศหาน้อยไม่ การหาเลี้ยงชีพได้ฝืดเคืองยิ่งขึ้น ก่อให้เกิดความอดอยากยากเข็ญไปทุกหนทุกแห่ง ความยากลำบากในทางกายทำให้ประชาชนหมดกำลังยึดเหนี่ยวทางใจ เมื่อของแพงจนซื้อไม่ไหว ก็ลักขโมยเอา ยังเกิดโจรกรรมปล้นสะดมมากขึ้นกว่าแต่ก่อน เป็นการเพิ่มภาระและความหนักใจให้แก่รัฐบาลในทางปกครองเป็นอันมาก
เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ได้เกิดขึ้นแล้วครั้งหนึ่ง และพอจะเป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่าเหตุการณ์เช่นเดียวกันนี้จะต้องหาหนทางป้องกันมิให้เกิดขึ้นได้ในประเทศไทย อันภัยต่างๆ ที่ถือกันว่าน่าเกรงกลัวมาแต่ปรัมปรา ได้แก่โจรภัย อัคคีภัย อุทกภัย และทุพพิกขภัย นั้น จะมีผลร้ายหรือน่าสพึงกลัวเท่าแม้แต่เพียงส่วนน้อยของภัยอันเกิดจากเงินเฟ้อนั้นก็หาไม่ เพราะภัยต่างๆ นี้เกิดขึ้นได้ก็เพียงแต่ในบางส่วนของประเทศ คงมีอีกหลายส่วนที่รอดพ้นไปได้บ้างทุกครั้งไป และภัยแต่ละอย่างนั้นจะทำลายขวัญ ชีวิต หรือทรัพย์สินก็ได้แต่ทีละอย่าง จะมีที่ทำลายชีวิตและทรัพย์สินพร้อมกันบ้างก็น้อย ผลอันเป็นวิบัติไปทั่วทั้งประเทศ และกระทบกระเทือนถึงทรัพย์สิน ชีวิต กำลังใจ ตลอดจนศีลธรรมอันดีของประชาชนทุกๆ คนโดยมิเลือกเพศเลือกวัยหรืออาชีพ หามีใครหลีกเลี่ยงได้ไม่”
000
กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยตระหนักดีว่า บรรดาเงินที่รัฐบาลจ่ายนั้นราษฎรต้องเป็นผู้เสีย เมื่อรัฐบาลใช้จ่ายไปเท่าใด ภาระทั้งปวงอันเกิดจากการใช้จ่ายของรัฐบาลนั้น จำต้องตกอยู่แก่ราษฎรอย่างสิ้นเชิงโดยไม่ต้องสงสัย เพราะการจำหน่ายธนบัตรออกไปเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของรัฐบาลย่อมมีผลเท่ากับเก็บภาษีผู้มีธนบัตรมาใช้จ่ายนั่นเอง ฉะนั้น เมื่อเหตุการณ์ได้เป็นมาดังได้กล่าวแล้วข้างต้น และรัฐบาลก็จำเป็นจะต้องมีรายจ่ายเกินกว่ารายได้ประจำเป็นอันมาก เพื่อเผชิญกับภาวะสงครามไปให้ถึงที่สุด การป้องกันเงินเฟ้อโดยวิธีตัดทอนรายจ่ายแผ่นดินเป็นการใหญ่จึงมิอาจทำได้ ได้แต่ยอมให้เงินเฟ้อ แต่ให้อยู่ภายใต้ความควบคุม การควบคุมเงินเฟ้อตามวิธีที่ใช้กันอยู่ทั่วไปก็ได้แก่การเพิ่มสินค้าให้มีปริมาณมากขึ้น ปรับปรุงรายได้รายจ่ายของแผ่นดิน และตัดทอนและกีดกันการจ่ายเงินของประชาชนทั้งทางตรงและทางอ้อม
การเพิ่มสินค้าให้มีปริมาณมากขึ้นมีอยู่สองวิธี คือ ส่งเสริมการผลิตและส่งเสริมสินค้าขาเข้า วิธีแรกได้แก่การส่งเสริมการผลิตภายในประเทศให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยอุดหนุนอุตสาหกรรมส่วนบุคคลและปรับปรุงอุตสาหกรรมของรัฐ เรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายของรัฐบาลอยู่แล้ว และรัฐบาลก็ได้ลงทุนประกอบการอุตสาหกรรมไปแล้วหลายอย่าง โดยถือว่าสิ่งใดที่จำเป็นแก่การครองชีพและจะผลิตได้โดยเร็ว การผลิตสิ่งนั้นควรได้รับการส่งเสริมสนับสนุนยิ่งกว่าสิ่งอื่น ๆ ส่วนสินค้าขาเข้าไม่ว่าจากประเทศใด ๆ และไม่ว่าสินค้าประเภทใดก็ได้รับการสนับสนุนให้นำเข้าอยู่ระยะหนึ่ง แต่เมื่อสถานะสงครามรุนแรงขึ้น สินค้าทั้งเข้าและออกนับได้ว่าไม่มี เพราะเรือเดินไม่ได้
การปรับปรุงรายได้รายจ่ายแผ่นดินอันเป็นหลักควบคุมเงินเฟ้อประการที่สอง มีวิธีทำได้สามวิธี คือ (ก) เพิ่มภาษีอากรทั้งทางตรงและทางอ้อมในทางที่เป็นธรรม (ข) เพิ่มรายได้เข้าคลังทางอื่นๆ ได้แก่รายได้อันเกิดจากการรัฐพาณิชย์ เช่น รถไฟ ไปรษณีย์ จากองค์การกึ่งรัฐพาณิชย์ เช่น องค์การค้าต่าง ๆ ที่รัฐบาลตั้งขึ้น และจากทางอื่นๆ เช่น การออกสลากกินแบ่ง การออมสิน และค่าธรรมเนียม (ค) ประหยัดรายจ่ายแผ่นดิน โดยพยายามหาหนทางใช้เงินแต่น้อย กิจการอันใดที่ไม่จำเป็นหรือพอจะรอไปได้ ก็ตัดกิจการนั้นหรือระงับไว้ก่อน ส่วนกิจการอันใดที่จะต้องลงทุนรอนมากในการขยายงานก็ระงับไว้ไม่ดำเนินการต่อไป และที่ห้ามบรรจุข้าราชการใหม่
หลักการที่สามในการควบคุมเงินเฟ้อ คือถอนและกีดกันการจ่ายเงินของประชาชนทั้งทางตรงและทางอ้อม ทางตรงได้แก่การปันส่วนและควบคุมสินค้า เฉพาะอย่างยิ่งที่เป็นเครื่องอุปโภคบริโภค เช่นได้มีการปันส่วนและกำหนดราคาไม้ขีดไฟ น้ำตาลทราย และผ้าดิบเป็นต้น ส่วนทางอ้อมนั้น นอกจากการเพิ่มภาษีและค่าธรรมเนียมที่กล่าวแล้ว ก็มีการกู้เงินจากประชาชน แต่การกู้เงินนั้น กู้จากประชาชนโดยตรงไม่ได้ผลเท่าใด นอกจากบังคับกู้ การกู้เงินที่แล้วๆ มาเป็นผลสำเร็จก็เพราะกู้ทางอ้อม กล่าวคือ ได้ใช้วิธีการต่างๆ ต้อนให้เงินเข้าธนาคารพาณิชย์และคลังออมสินเสียก่อน แล้วจึงให้ธนาคารและคลังออมสินซื้อพันธบัตรเงินกู้อีกที่หนึ่ง
ในฐานะที่ทรงเป็นประธานกรรมการของคณะกรรมการพิเศษในกระทรวงการคลังซึ่งตั้งขึ้นในปี ๒๔๘๖ เพื่อค้นคว้าหาวิธีการในอันที่จะป้องกันเงินเฟ้อ ได้ทรงรายงานไว้ดังนี้
“เท่าที่ได้เสนอมาทั้งหมดนี้ กะว่ารัฐบาลจะได้เงินเพิ่มขึ้นรวมทั้งสิ้นประมาณ ๘๙,๒๗๐,๐๐๐ บาท จึงเห็นว่าภาระต่างๆ อันจะตกอยู่แก่ราษฎร ทั้งนี้นับว่าเป็นภาระที่หนักอยู่มาก ความรู้สึกเดือดร้อนของราษฎรก็คงจะมีเกิดขึ้นบ้างเป็นธรรมดา ฉะนั้นรัฐบาลจึงควรพิจารณาหาหนทางตัดภาระอื่นๆ ที่ไม่จำเป็นให้พ้นไปเสียด้วยความเห็นใจราษฎร เพื่อจะได้บำรุงกำลังใจราษฎรไว้ อนึ่งกิจการตามที่ได้เสนอมานี้ จักต้องกระทำร่วมกันไปและโดยด่วนจึงจะได้ผลแท้จริง ทั้งนี้เพราะกิจการต่างๆ ที่ได้เสนอมานี้มีความสัมพันธ์เกี่ยวโยงกัน ผลสำเร็จแห่งกิจการอย่างหนึ่งจะช่วยให้กิจการอย่างอื่นๆ ได้ผลด้วย ถ้าผลแห่งกิจการอย่างหนึ่งเสียไป ผลแห่งกิจการอื่นๆ ก็อาจจะพลอยเสียไปด้วย การปฏิบัติการต่างๆ นี้ให้พร้อมกันจึงเป็นหนทางดีที่สุดที่จะยังให้บังเกิดผลสมปรารถนา คือการควบคุมเงินเฟ้อ”
วิธีการต่าง ๆ ที่คณะกรรมการพิเศษเสนอในครั้งนั้น รัฐบาลได้ปฏิบัติแต่เพียงบางส่วน ฉะนั้นผลที่ได้รับจึงกระท่อนกระแท่นไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยดังที่คาดไว้ พระองค์ท่านได้ทรงบันทึกไว้เป็นการส่วนพระองค์เมื่อเดือนกรกฎาคม ๒๔๘๗ ดังนี้
“It has already been said that this Memorandum is intended to be purely narrative; it deals with the facts as they are and does not delve deep into the whys and wherefors. Nevertheless there is a strong temptation to enquire into the cause which led to the failure, for failure it must be deemed to be, of the anti- inflation proposal, inspite of the fact that an inflationary condition was already visible to the naked eye.
One of the many reasons that contributed to the failure of the anti-inflation proposal cannot but be a testimony to the past record of the Treasury. The Sterling exchange standard had been adopted early in the twentieth century and the Sterling value of the Baht stabilized for well nigh forty years. Government finance up to recent years had always been sound and never for a moment imperilled the internal stability of the monetary unit. A generation grown up under such conditions would hardly be able to grasp the fact that the Baht could be anything but respectable. Inspite of Treasury opinion, the rise of prices was generally put down solely to the shortage of imports; and the general belief appeared to be that prices would return more or less to the old level after the war. Maintenance of the Yen value of the Baht, at first through exchange control and subsequently by accumulation of Yen probably completed this delusion.”
000
ในด้านการควบคุมเครดิตนั่นเล่า ในประเทศต่าง ๆ เช่นประเทศไทยที่การธนาคารพาณิชย์ยังอยู่ในเยาว์วัย และใช้เงินตราเป็นสื่อในการแลกเปลี่ยนมากกว่าใช้เครดิตนั้น การควบคุมเงินตราย่อมเป็นกิจการที่สำคัญกว่าควบคุมเครดิต ในสมัยก่อนเกิดสงคราม พ.ศ. ๒๔๘๔ กระทรวงการคลังได้รักษาไว้อย่างเข้มแข็งซึ่งมาตราปริวรรต อันเป็นวิธีการที่ทำให้ปริมาณแห่งเงินตรายืดหรือหดตัวได้สะดวก กล่าวคือ ในขณะที่มีสินค้าออกมากกว่าเข้า ทุนสำรองย่อมเพิ่มขึ้นและปริมาณแห่งเงินตราก็ยืดตัวออกไปเอง และในขณะที่มีสินค้าเข้ามากกว่าออก ทุนสำรองย่อมลดลงและปริมาณแห่งเงินตราก็หดตัวเข้ามาเองดุจกัน และโดยที่เงินตราเป็นสื่อสำคัญในการแลกเปลี่ยนวิธีการที่กล่าวแล้ว จึงพอเพียงแก่การดำรงไว้ซึ่งระดับราคาสินค้าในเวลาปกติ ส่วนเครดิตนั้นไม่เคยได้มีการควบคุม หากได้ปล่อยไว้สุดแท้แต่ธนาคารพาณิชย์ในกรุงเทพ ฯ
สภาพการเช่นว่านี้ได้เปลี่ยนไปมากเพราะสงคราม การค้ากับต่างประเทศถูกขีดขั้นให้ทำได้แต่เฉพาะบางประเทศ ไม่มีสินค้าเข้ามาในประเทศจากเมืองต่าง ๆ หลายเมือง และสินค้าที่เข้ามาจากประเทศญี่ปุ่นได้ลดลงคงเหลือน้อยกว่าปกติมาก แต่ในขณะเดียวกัน ปริมาณแห่งเงินตราได้ยืดตัวออกไปมากแล้วตั้งแต่ก่อนสงคราม เพราะข้าว ดีบุก และยาง ได้มีราคาสูงขึ้นดังกล่าวข้างต้น ฉะนั้น เมื่อสินค้าเข้าจากหลายทางต้องหยุดลงทันที เมื่อธันวาคม ๒๔๘๔ จึงทำให้เงินตราตกอยู่ในภาวะที่เหลือเฟือ และกีดขวางวิถีทางธรรมดาที่ทำให้ปริมาณแห่งเงินตราหดตัวเข้า นอกจากนี้ ใน พ.ศ. ๒๔๘๖ รัฐบาลมีความจำเป็นยิ่งที่ต้องจ่ายเงิน เมื่อรายรับจากรายได้ธรรมดาและเงินกู้จากประชาชนมีไม่พอจ่าย ธนาคารแห่งประเทศไทยก็ต้องจำหน่ายธนบัตรเพิ่มโดยวิธีแลกเปลี่ยนกับพันธบัตรคลังตามความในกฎกระทรวงการคลังที่ออกตามพระราชบัญญัติเงินตราในภาวะฉุกเฉิน ทั้งยังต้องจำหน่ายธนบัตรแลกเปลี่ยนกับเงินเยนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของทหารญี่ปุ่นอีกด้วย เป็นเหตุให้ปริมาณแห่งเงินตรายืดตัวออกไปอีกเป็นอันมาก
เมื่อปริมาณแห่งเงินตราได้ยืดตัวออกไปเช่นนี้ เงินฝากธนาคารพาณิชย์ก็ได้เพิ่มมากขึ้นด้วยเป็นธรรมดา ฉะนั้นในเวลาอันจำเป็นที่เครดิตจะต้องหดตัวเข้าเพื่อประโยชน์ทั่วไปนั้น ธนาคารพาณิชย์กลับมีโอกาสที่จะขยายเครดิตได้มากขึ้นไปอีกด้วยการให้กู้ยืมเงิน สถานการณ์เช่นว่านี้พระองค์ท่านได้ทรงคาดล่วงหน้าไว้แล้วเมื่อทรงร่างพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๘๔ จึงได้ทรงเขียนบทบัญญัติไว้บทหนึ่งว่า ธนาคารพาณิชย์ทุกธนาคารจะต้องดำรงเงินสำรองไว้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นจำนวนไม่น้อยกว่าที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกาเป็นคราว ๆ ไป
แต่โดยที่ใน พ.ศ. ๒๔๘๖ เครดิตได้เริ่มขยายตัวออกไป ฉะนั้น เมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๔๘๖ จึงได้ประกาศใช้พระราชกำหนดควบคุมเครดิต ซึ่งมีบทบังคับอยู่ประการหนึ่งว่า ให้ธนาคารพาณิชย์ทุกธนาคารต้องดำรงไว้ซึ่งเงินสดสำรองเป็นจำนวนตามแต่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดเป็นคราว ๆ ไป ทั้งนี้ก็เพราะในประเทศที่ตลาดเงินและระบบการธนาคารพาณิชย์ยังเจริญไม่ถึงขีด ธนาคารกลางมักจะไม่มีทางควบคุมเครดิตโดยวิธีอื่น เว้นไว้แต่การกำหนดเงินสดสำรองของธนาคารพาณิชย์ การที่ธนาคารกลางมีอำนาจกำหนดว่าธนาคารพาณิชย์ต้องมีเงินสดสำรองเป็นอัตราส่วนเท่าใดของเงินฝาก และมีอำนาจแก้ไขเปลี่ยนแปลงอัตราส่วนนั้นได้ตามควรแก่กาละนั้น ย่อมจะได้ผลดังต่อไปนี้ คือ เมื่อธนาคารพาณิชย์มีเงินสดมาก ธนาคารกลางอาจกีดกันมิให้ปริมาณแห่งเครดิตที่หมุนเวียนเพิ่มมากขึ้นได้ด้วยวิธีการกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ต้องมีเงินสดสำรองในอัตราสูง และเมื่อธนาคารพาณิชย์มีเงินสดน้อย ธนาคารกลางอาจจัดให้ปริมาณแห่งเครดิตมีอยู่คงเดิมด้วยการลดอัตราเงินสดสำรองลงตามควร แต่น่าเสียดายว่าพระราชกำหนดฉบับนี้สภาผู้แทนราษฎรไม่อนุมัติ หากแต่ว่ารัฐบาลได้ยืนยันว่าต้องมีการควบคุม จึงได้มีพระราชบัญญัติควบคุมเครดิตในภาวะคับขันออกมาแทน ประกาศใช้เมื่อวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๔๘๖ บังคับให้ธนาคารพาณิชย์ต้องปฏิบัติการบางอย่าง รวมตลอดถึงต้องถือพันธบัตรเงินก็ของรัฐบาลเป็นอัตราส่วนกับยอดเงินฝาก ใน พ.ศ. ๒๔๘๗ ได้กำหนดว่าต้องถือพันธบัตรไว้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๓๐ ของเงินฝาก อนึ่ง องค์การเครดิตอื่นก็อยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติฉบับนี้เหมือนกัน อย่างไรก็ดี บทบังคับแห่งพระราชบัญญัตินี้หย่อนกว่าพระราชกำหนดที่สภาผู้แทน ฯ ไม่อนุมัติ ความรู้สึกของพระองค์ท่านในเรื่องนี้ ปรากฏในบันทึกของพระองค์ท่าน เมื่อ ๒๘ สิงหาคม ๒๔๘๖ ดังนี้
“ขอได้โปรดบันทึกไว้เป็นข้อสังเกตของหม่อมเจ้าวิวัฒนไชย ไชยันต์ ดังต่อไปนี้ ในร่างพระราชบัญญัติที่รัฐบาลเสนอมานี้ อัตราเงินสดสำรองที่จะต้องมี และพันธบัตรที่จะต้องซื้อ ได้กำหนดไว้ต่ำกว่าในพระราชกำหนดอยู่แล้ว เมื่อยังจะลดลงไปอีก ก็เห็นว่าจะทำให้ภัยแห่งเงินเฟ้อใกล้เข้ามาอีก”
อนึ่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในสมัยนั้นได้บันทึกในโอกาสเดียวกัน ว่า
“ทราบ ขอขอบพระทัยที่ได้โต้ไปจนถึงที่สุดนี้ เราได้พยายามทำดีที่สุดแล้วที่จะป้องกันภัยของเงินเฟ้อ เมื่อได้เพียงเท่านี้ หากเกิดภัยขึ้นนอกเหนือไปก็ได้ชื่อว่าไม่ใช่ความผิดของเรา เป็นเรื่องของสภา ฯ ที่ไม่ยอมให้เราทำมากกว่านี้”
พระราชบัญญัตินี้ได้ถูกยกเลิกไปเมื่อวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๔๙๘
000
ในเดือนมิถุนายน ๒๔๘๖ กระทรวงการคลังได้ออกเงินกู้เพื่อชาติ ๓๐ ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๓ ต่อปี และมีกำหนดไถ่ถอน ๘ ปี เพื่อชักจูงให้ประชาชนนิยมซื้อจึงได้กำหนดไว้ว่า เมื่อถึงเวลาไถ่ถอนผู้ถือพันธบัตรอาจจะเลือกที่จะขอรับชำระเป็นเงินสด หรือเป็นทองคำเนื้อแปดได้ในราคาบาทละ ๘๖ บาท ได้ทำการไถ่ถอนเงินกู้รายนี้ซึ่งเรียกกันว่า “พันธบัตรทองคำ” เมื่อเดือนมิถุนายน ๒๔๙๔ เนื่องด้วยราคาทองคำเมื่อทำการไถ่ถอนสูงกว่าราคาที่กำหนด ไว้เมื่อออกถึงประมาณ ๖ เท่า ผู้ถือพันธบัตรจึงเลือกที่จะรับไถ่ถอนเป็นทองคำทั้งสิ้น เช่นเดียวกับสินค้าอื่น ๆ ราคาทองได้สูงขึ้นเรื่อยมาตลอดเวลาที่เงินเฟ้อ พันธบัตรทองคำนี้ได้เป็นวัตถุแห่งการเก็งกำไร และได้มีการเปลี่ยนมือกันอย่างมากมายก่อนได้รับการไถ่ถอน เมื่อเวลาไถ่ถอนพันธบัตรนี้มีราคากว่า ๕ เท่าของราคาที่ตราไว้ อนึ่งในปีเดียวกันนี้ คือ พ.ศ. ๒๔๘๖ ได้มีการออกเงินกู้อีก ๒ ราย อัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๔ ๑/๒ ต่อปี รวมเป็นเงิน ๓๐ ล้านบาท
ในที่สุดเมื่อต้น พ.ศ. ๒๔๘๗ ได้มีพระราชกำหนดออกมาหนึ่งฉบับ ซึ่งมีผลเท่ากับเป็นการบังคับว่าการชำระหนี้รายใดซึ่งเกินกว่าหนึ่งพันบาทจะต้องชำระเป็นเช็ค พระราชกำหนดฉบับนี้มีวัตถุประสงค์ในเบื้องต้นว่าจะให้ใช้เครดิตธนาคารแทนธนบัตร เพราะขณะนั้นธนบัตรขาดแคลนไม่พอแก่การใช้จ่าย แต่นอกจากนี้ยังมีวัตถุประสงค์สำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือจะดึงเอาเงินจากมือประชาชนมาสู่ธนาคารด้วย และโดยที่พระราชบัญญัติควบคุมเครดิตบังคับให้ธนาคารต้องซื้อพันธบัตร เงินที่ดึงเข้ามาได้นั้นก็จะเข้ามาสู่คลัง แต่พระราชกำหนดฉบับนี้ก็มีอายุสั้นอีก จึงไม่สามารถที่จะคำนวณได้ว่ามีผลมากน้อยเพียงไร แต่ถึงกระนั้นก็ยังเห็นได้ถนัด ว่า ความประสงค์ที่จะดึงเอาเงินจากมือประชาชนมาสู่ธนาคารนั้นได้เป็นผลสำเร็จบ้าง เพราะในเดือนแรกที่ใช้พระราชกำหนดนั้นได้มีผู้เปิดบัญชีเงินฝากขึ้นใหม่เป็นจำนวนกว่า ๑,๑๐๐ บัญชี ข้อที่จะกล่าวเป็นแน่นอนนั้นคือ กิจการทั้งปวงบรรดาที่ได้กล่าวมาแล้วนี้ได้เป็นผลให้ธนาคารพาณิชย์และบุคคลอื่น ๆ ซื้อพันธบัตร (นอกจากพันธบัตรคลัง ซึ่งไม่มีดอกเบี้ย) ไปแทบหมดก่อนสิ้นปี พ.ศ. ๒๔๘๗ อนึ่ง ที่พระองค์ท่านได้ทรงเสนอให้มีการชำระหนี้ด้วยเช็คนี้ มีข้อที่น่าสังเกตด้วยว่า ในบางประเทศในยุโรปมีเหตุสำคัญอันหนึ่งที่ทำให้ประชาชนเก็บเงินไว้ ไม่ฝากธนาคาร เหตุอันนี้คือความประสงค์ที่จะปิดบังการกระทำผิดกฎหมาย การค้าในตลาดมืดนั้น ถ้าไม่เป็นการเอาของแลกเปลี่ยนกับของก็เป็นการซื้อขายกันด้วยเงินสด ฉะนั้นความประสงค์ของพระองค์ท่านที่จะปราบการค้าในตลาดมืดจึงเป็นเหตุให้ต้องห้ามการสะสมธนบัตร และบังคับให้ใช้เช็คในการชำระหนี้ที่มิใช่จำนวนเล็กน้อย และถ้าในที่สุดประเทศไทยจะถึงแก่จำต้องใช้วิธีจำกัดการซื้อ และมีการควบคุมราคาเป็นการทั่วไปเช่นในเมืองต่างประเทศ กฎหมายว่าด้วยการใช้เช็คนั้นถ้าหากยังคงใช้อยู่ ก็จะเป็นเครื่องมื่ออันหนึ่งสำหรับป้องกันการค้าที่ผิดกฎหมายได้บ้าง
เมื่อเป็นที่ประจักษ์ว่า อำนาจตามกฎหมายควบคุมเครดิตและตามกฎหมายควบคุมกิจการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๔๘๐ ไม่เพียงพอที่จะต่อต้านกับภาวะเงินเฟ้อ จึงได้มีการตราพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ขึ้นใหม่ในเดือนตุลาคม ๒๔๘๘ ตามพระราชบัญญัตินี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจที่จะกำหนดอัตราเงินสดสำรองต่ำที่สุดธนาคารพาณิชย์จะต้องดำรงระหว่าง ๙ % ถึง ๒๐ % ของยอดเงินฝากทั้งสิ้น ซึ่งตามกฎหมายใหม่นี้ไม่ต่ำกว่ากึ่งหนึ่งจะต้องดำรงไว้เป็นเงินสดคงเหลือที่ธนาคารแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๔๘๙ ธนาคารแห่งประเทศไทยได้กำหนดอัตราดังกล่าวไว้ ๑๐ % และไม่ได้เปลี่ยนแปลงจนปัจจุบันนี้
เมื่อวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๘ ได้มีพระราชกำหนดออกมาฉบับหนึ่ง บังคับให้ออมทรัพย์ เรียกว่าพระราชกำหนดออมทรัพย์ในภาวะคับขัน บัญญัติว่าธนบัตรชนิดราคา ๑,๐๐๐ บาทที่ออกใช้อยู่ในขณะนั้นไม่ให้เป็นเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย ผู้ใดที่ถือธนบัตรราคานี้อยู่จะต้องนำไปจดทะเบียนที่คลังทุกแห่งทั่วราชอาณาจักรเพื่อขอแปลงเป็น “พันธบัตรออมทรัพย์” พันธบัตรนี้มีดอกเบี้ย ๑ % ต่อปี และจะไถ่ถอนคืนได้ภายใน ๑ ปี การ “แช่เย็น” ธนบัตรใบละพันบาทคราวนั้นมีวัตถุประสงค์หลายประการ ประการหนึ่งก็คือเพื่อให้เป็นอุปสรรคแก่การเก็งกำไรอันเป็นตัวประกอบอันสำคัญของเงินเฟ้อ และเป็นผลให้ถอนธนบัตรกลับคืนมาได้จากการหมุนเวียนเป็นราคา ๓๗๑.๕ ล้านบาท ทำให้ราคาสินค้าบางอย่างที่จำเป็นแก่การครองชีพลดลงหรือหยุดชะงักไม่เพิ่มขึ้นชั่วคราว ผลอันดีนี้คงจะอยู่ไปได้นานพอควรถ้าหากไม่มีธนบัตรต้องออกเพิ่มมาอีกเพราะรายจ่ายของทหารญี่ปุ่น พระราชกำหนดนี้มีผู้ติเตียนมากในขณะที่ประกาศออกมา แต่การให้เลิกใช้ธนบัตรมิใช่เป็นของใหม่ที่แปลกประหลาดอย่างไร เพราะเคยมีตัวอย่างในเมืองต่างประเทศมาก่อนแล้ว เช่นเมื่อเดือนมีนาคม ๒๔๘๖ ธนบัตรชนิดราคาสูง ๆ ในประเทศเนเธอร์แลนด์ก็ต้องเลิกใช้หมดเช่นเดียวกัน
เท่าที่กล่าวมานี้ เป็นความพยายามของพระองค์ท่านที่จะลดปริมาณธนบัตรที่ออกใช้หมุนเวียนอยู่ ด้วยความประสงค์ที่จะขจัดภาวะเงินเฟ้อให้ได้ผลเต็มที่เท่าที่เหตุการณ์และกฎหมายจะอำนวยให้กระทำได้ในขณะนั้น วิธีการสุดท้ายได้แก่การแบ่งขายทองคำจากทุนสำรองเงินตราภายในประเทศเสียส่วนหนึ่ง มีน้ำหนัก ๒,๘๘๗,๙๖๙.๓๘๓ กรัมบริสุทธิ์ เมื่อเดือนกันยายน ๒๔๘๙ โดยหวังจะได้เงินราว ๙๖ ล้านบาทโดยเร็ว เพื่อไถ่ถอนธนบัตรจากการหมุนเวียนซึ่งขณะนั้นมีอยู่ ๒,๒๙๕ ล้านบาท การขายทองคำครั้งนั้นพระองค์ท่านได้เสนอต่อรัฐบาลให้ขายด้วยวิธีการประมูลราคา แต่รัฐบาลในสมัยนั้นมีนโยบายจะให้ประชาชนซื้อเป็นแท่งเล็ก ๆ ในราคาต่ำกว่าตลาดเล็กน้อย โดยไม่ต้องประมูลราคา เมื่อความเห็นไม่ตรงกันเช่นนี้พระองค์จึงได้ทรงลาออกจากตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารพร้อมด้วยรองผู้ว่าการเมื่อวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๔๘๙ และได้มีการเปลี่ยนตัวกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย แต่คณะกรรมการที่ได้รับแต่งตั้งใหม่ก็ได้เสนอให้ระงับการขายทองคำนี้ภายหลังที่ได้ดำเนินการขายไปได้เพียง ๓๓๙,๔๕๙.๒๒ กรัมบริสุทธิ์ เป็นเงิน ๑๔.๗ ล้านบาทเท่านั้น เพราะเป็นที่ประจักษ์ชัดว่ามิได้รับผลตามความมุ่งหมาย
000
พระองค์ท่านทรงมีหลักประจำพระทัยอยู่่อย่างหนึ่ง คือ เมื่อทรงเป็นข้าราชการประจำก็ต้องบำเพ็ญพระองค์เป็นข้าราชการประจำของแผ่นดิน ไม่ใช่ของรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่ง ไม่ทรงเล่นการเมือง ดังจะสังเกตได้จากบรรดาบันทึกของพระองค์ในขณะที่ทรงดำรงตำแหน่งที่ปรึกษากระทรวงการคลัง ซึ่งจัดได้ว่าเป็นบันทึกตัวอย่างของผู้ที่เป็นที่ปรึกษาราชการโดยแท้ เพราะประกอบไปด้วยวิชาการของเรื่องนั้น ๆ ตลอดจนผลได้ผลเสียอันอาจบังเกิดขึ้นหากรัฐมนตรีตัดสินใจไปในทางใดทางหนึ่ง เมื่อทรงถือพระองค์ว่าเป็นข้าราชการของแผ่นดินเช่นนี้แล้ว ความเห็นของพระองค์ท่านจึงมุ่งแต่ประโยชน์ของส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ปราศจากอคติใด ๆ และด้วยเหตุนี้จึงทรงเป็นที่ยกย่องนับถือของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังทุกคนทุกยุคทุกสมัยตลอดมา
ในการบริหารราชการแผ่นดิน ไม่ว่าจะเป็นในฐานะตำแหน่งการเมือง ตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารกลาง หรือข้าราชการประจำ พระองค์ท่านได้ทรงยึดเอาหลักการและอุดมคติเป็นใหญ่ หากความเห็นหรือหลักการขัดกันกับรัฐบาลก็ต้องแยกทางกัน เช่นเมื่อครั้งทรงลาออกจากตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยเมื่อปี ๒๔๙๘ และทรงลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในปี ๒๔๙๒ นั้น สาเหตุก็ไม่มีอะไร นอกจากว่าความเห็นไม่ตรงกับรัฐบาล ดังจะเห็นได้จากข้อความตอนหนึ่งของจดหมายถึงบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ “สแตนดาร์ด” ลงวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๔๙๘ โดยผู้ใช้นามว่า A Foreign Reader ดังต่อไปนี้
“The news that Prince Viwat has resigned his appointment as Governor of the Bank of Siam is bound to arouse considerable interest in banking circles. Prince Viwat has steered the baht through many difficult years, and is perhaps the only Siamese banking authority with an international reputation. It is generally believed that the masterly review of Siam’s war currency problems included in the last annual report of the Bank of Siam was written by Prince Viwat himself and this fact did much to impress on foreign authorities the view that Siams currency problems were in safe hands. The news of Prince Viwats resignation has therefore come as something of a shock.
The immediate cause of Prince Viwat’s drastic action is reported to have been a disagreement between the authorities of the Bank of Siam and the present Government as to the best method of effecting the sale of gold recently authorized by Parliament. The Bank of Siam took the view that, since the avowed object of selling the gold was to effect an immediate reduction in the volume of outstanding currency, and thus to encourage a fall in the present exhorbitant cost of living, the gold should be carefully placed on the market at the highest prices it would fetch. We have yet to learn the Governments reason for rejecting this advice, and arguing that the gold should be liquidated at a price below the present market level....”
000
หลังจากได้ทรงเข้าดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังครั้งแรกเมื่อ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๔๙๐ และทรงออกจากตำแหน่งนี้เมื่อ ๑๕ เมษายน ๒๔๙๑ เพราะเปลี่ยนรัฐบาลแล้ว ได้ทรงกลับเข้าดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอีกครั้งหนึ่งเมื่อ ๑ ธันวาคม ๒๔๙๑ และได้ทรงลาออกจากตำแหน่งเมื่อ ๑๘ ตุลาคม ๒๔๙๒ เหตุผลที่ทรงลาออกครั้งนี้ก็เกี่ยวกับเรื่องความเห็นไม่ตรงกันเช่นเดียวกัน ดังปรากฏในรายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เมื่อพระยาปรีดานฤเบศร์ตั้งกระทู้ถามรัฐบาล ดังข้อความต่อไปนี้
ประธาน |
ต่อไปเป็นกระทู้ถามของพระยาปรีดานฤเบศร์ เรื่องการลาออกของหม่อมเจ้าวิวัฒนไชย ไชยันต์ เชิญพระยาปรีดา ฯ |
พระยาปรีดา ฯ |
เรื่องหม่อมเจ้าวิวัฒนไชยลาออก ประชาชนยังไม่รู้แน่นอนว่าลาออกเพราะเหตุอะไรแน่ ข้าพเจ้าจึงขอตั้งกระทู้ถามรัฐบาล คือ ๑. ฯลฯ ฯลฯ ๒. หม่อมเจ้าวิวัฒนไชยได้ลาออกเพราะเรื่องอะไร ? ๓. การลาออกของหม่อมเจ้าวิวัฒนไชย เพราะการไม่พอพระทัยของหม่อมเจ้าวิวัฒนไชยจะอยู่ในตำแหน่งหน้าที่เอง หรือเพราะรัฐบาลไม่พอใจในหม่อมเจ้าวิวัฒนไชย ? ๔. ฯลฯ ฯลฯ |
นายก ฯ |
ตามที่ท่านได้ตั้งกระทู้ถามว่าการลาออกของหม่อมเจ้าวิวัฒนไชย เป็นเรื่องที่ประชาชนอยากทราบนั้น ขออธิบายยืดยาวสักหน่อย ๑. ฯลฯ ฯลฯ ๒. ที่ท่านถามว่า ลาออกด้วยเรื่องอะไรนั้น ในเรื่องนี้การตอบก็จะขอย่อหนังสือใบลาออกของท่านมาเรียนให้ท่านสมาชิกทราบ หนังสือกล่าวว่า เมื่อท่านกลับมา ท่านก็ได้มาทบทวนดูเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน ท่านบอกว่ามีความเห็นอยู่ตามเดิม คือลดค่าเงินบาทตามปอนด์ ๓๐.๕ % การกำหนดอัตรา ๓๕ บาทต่อปอนด์ และ ๑๒.๕๐ บาทต่อดอลลาร์นั้น ท่านเห็นว่าไม่เหมาะ และอาจเสียหายได้ ท่านจึงขอลาออก ทางคณะรัฐมนตรีก็ได้ประชุมวิงวอนขอให้ท่านรับราชการต่อไป แต่ท่านมีพระประสงค์จะลาออก จึงได้กราบบังคมทูลทรงพระกรุณา ฯ ให้ท่านลาออกได้ ดังได้เสนอให้สภานี้ทราบแล้ว ๓. ที่ท่านถามว่า การลาออกเพราะความไม่พอพระทัยที่จะอยู่ในตำแหน่งหน้าที่ หรือเพราะรัฐบาลไม่พอใจในหม่อมเจ้าวิวัฒนไชยนั้น การที่ท่านลาออกได้ตอบมาในข้อ ๒ แล้ว คือท่านลาออกไปตามวิถีทางแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๔๙ ๔. ฯลฯ ฯลฯ |
พระยาปรีดา ฯ |
เมื่อหม่อมเจ้าวิวัฒนไชยเข้ามาแล้ว ก็บอกว่าอัตราแลกเปลี่ยนไม่ควรจะเป็นอย่างนั้น อย่างที่ท่านนายก ฯ ได้บอกแก่สภาเมื่อกี้นี้ ทำไมรัฐบาลจึงไม่เชื่อฟังความเห็นของหม่อมเจ้าวิวัฒนไชย ที่ท่านไปพูดกับอังกฤษและอเมริกามาแล้ว และใช้อัตราแลกเปลี่ยนตามท่าน |
นายก ฯ |
เรื่องอัตราแลกเปลี่ยนนี้ ขอเล่าว่า ก่อนที่ท่านจะไป ท่านได้ทำบันทึกเสนอนายกรัฐมนตรีว่า เวลานี้มีท่าทีว่าเงินปอนด์จะลดลงไป ท่านให้เหตุผลไว้ว่าถ้าอังกฤษลดเท่าไร เราก็ควรจะลดตามเปอร์เซ็นต์เท่ากับอังกฤษ เวลานั้นท่านอยู่ในต่างประเทศก็มีการลดกันขึ้น ท่านวิวัฒน์ก็มีความเห็นมาว่า ควรจะเป็นปอนด์ละ ๔๐ บาทตามเดิม คือลดเท่ากับของอังกฤษ ๓๐.๕ % ทางกรุงเทพ ฯ เมื่อพิจารณาดูเหตุการณ์แล้วได้ประชุมคณะรัฐมนตรี และผู้มีความรู้ในทางการคลังส่วนมากมีความเห็นว่าควรจะเป็น ๓๕ บาทต่อปอนด์ ซึ่งลดลงประมาณ ๒๑.๖ % ไม่ถึง ๓๐.๕ % อย่างอังกฤษ และได้ประกาศไป กับได้บอกไปให้ธนาคารโลกเขาทราบ เมื่อท่านวิวัฒน์กลับมาจากการประชุมธนาคารโลก ก็ไม่สามารถจะแก้ไขอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะได้ประกาศเป็นกฎหมายไปแล้วว่าจะถืออัตรา ๓๕ บาทต่อปอนด์และ ๑๒.๕๐ บาทต่อดอลลาร์ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่ตรงกับความคิดของท่าน ท่านจึงได้กราบถวายบังคมลาออกไป |
Dear Mr………
I arrived home a few days ago and would like to take this opportunity to thank you for the kind assistance given me and my colleague in Washington with by yourself and your staff. It is both useful and pleasant, - a nice combination.
I was surprised to learn on arrival in London from New York of the new rates of exchange for our currency. That the rates were altered without previous consultation with A Fund was in face due to a misunderstanding here and I am glad to find that the Fund took this view of the matter. As you can readily imagine from our last conversation, I am firmly of the opinion that, as surest of Siam’s trade is with sterling countries and her competitors are also sterling countries, Siam has no chance other than to keep in line with sterling. As Government has not kept in line, I saw no alternative other than to resign now and are now free as the wind which is also pleasant. One of my real regrets is that I shall not be in Paris next September.
With kindest personal regards,
Yours Sincerely,
Mr………
C/O The International Monetary Fund,
1819 H. Street N.W.
Washington D.C.
U.S.A.
หมายเหตุ ร่างลายพระหัตถ์ที่จำลองมานี้ ได้ทรงมีไปถึงเจ้าหน้าที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ กล่าวถึงเรื่องที่ได้ทรงลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพราะความเห็นไม่ตรงกับรัฐบาลในเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน
000
พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิวัฒนไชย หาได้ทรงเป็นผู้เชี่ยวชาญแต่ในด้านการเงินเท่านั้นไม่ หากยังได้ทรงประกอบภารกิจอันสำคัญยิ่งอย่างอื่นอีกด้วย เมื่อสิ้นสงครามแล้วรัฐบาลได้ตั้งให้พระองค์ท่านซึ่งขณะนั้นทรงดำรงตำแหน่งที่ปรึกษากระทรวงการคลัง ที่ปรึกษาสำนักนายกรัฐมนตรี และผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นหัวหน้าคณะทูตไปเจรจาทำสัญญาเลิกสถานะสงครามกับประเทศอังกฤษ อินเดีย และออสเตรเลีย ณ เมืองแคนดี ประเทศซีลอน เมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๔๘๘ และพระองค์ท่านได้ไปประทับอยู่ ณ ที่นั้นจนถึงวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๔๘๘ การเจรจาในระยะนี้ นับว่าผะอืดผะอมเป็นที่สุด ต้องทรงใช้พระวิริยะอุตสาหะและความอดทนอย่างยิ่งยวด จนถึงกับผู้ที่ตามเสด็จออกปากสรรเสริญว่าพระทัยท่านช่างเย็นแท้ ๆ นอกจากนั้น ย่อมเป็นที่ทราบกันดีว่าการกินอยู่และการเดินทางในสมัยเมื่อสงครามเสร็จใหม่ ๆ นั้นเป็นประการใด อย่างไรก็ดี การเจรจาที่เมืองแคนดีนี้หาได้บรรลุผลแต่ประการใดไม่ จึงได้เสด็จกลับกรุงเทพ ฯ แต่ก็ต้องเสด็จไปเจรจาต่อที่เมืองสิงคโปร์เป็นเวลาอีกสามสัปดาห์กว่า คือตั้งแต่วันที่ ๙ ธันวาคม ๒๔๘๘ จนกระทั่งทำความตกลงสมบูรณ์แบบกันได้เมื่อวันที่ ๑ มกราคม ๒๔๘๙ ในระหว่างการเจรจากันครั้งหลังนี้ต้องเสด็จมากรุงเทพฯถึงสองครั้ง เพื่อปรึกษาหารือกับรัฐบาล โดยทางการอังกฤษได้จัดเครื่องบินแบบ Mosquito ถวาย ต้องประทับคุดคู้อยู่บนกองร่มชูชีพข้างคนขับ เพราะเป็นเครื่องบินขับไล่จึงไม่มีเก้าอี้สำหรับผู้โดยสาร
หลังจากการเซ็นสัญญาสงบศึกเพียงเล็กน้อย ก็ได้เสด็จไปประเทศอังกฤษและสหรัฐอเมริกา เพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่การคลังและการธนาคารของประเทศทั้งสองขึ้นใหม่ ซึ่งเป็นผลดีแก่ประเทศในกาลต่อไป
000
สถานการณ์เมื่อเสร็จสงครามใหม่ๆไม่มีอะไรแน่นอน นอกจากประเทศไทยจะต้องรับผิดชอบปฏิบัติกิจการหลายประการแก่พันธมิตรตามความในข้อตกลงสมบูรณ์แบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งข้าว ๑,๒๐๐,๐๐๐ ตัน และการชดใช้หนี้สินและค่าเสียหายอันได้เกิดขึ้นแก่ทรัพย์สินและสิทธิของชนชาติพันธมิตรที่อยู่ในประเทศไทยเนื่องจากการสงครามนั้นแล้ว ก็ยังจำต้องมีการใช้จ่ายในการเลี้ยงดูและร่วมมือกับทหารสหประชาชาติซึ่งเข้ามาประจำอยู่ในประเทศไทยเพื่อทำการปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นอีกด้วย ในขณะเดียวกัน ประเทศไทยก็จำต้องได้มาซึ่งวัตถุที่ขาดแคลนที่จำเป็นแก่การครองชีพและฟื้นฟูความเสียหายแก่การคมนาคมและการขนส่ง จะต้องปรับปรุงแก้ไขเงินเฟ้อ การคลังสาธารณะและระบบเงินตราให้กลับสู่เสถียรภาพ ทั้งนี้เพื่อจัดให้เศรษฐกิจของชาติกลับเข้าสู่สภาพปกติต่อไป
ความตกลงสมบูรณ์แบบนี้มีผลสถาปนาการค้ากับต่างประเทศ ทำให้การค้าซึ่งระหว่างสงครามทำแต่เฉพาะกับญี่ปุ่นได้ขยายไปถึงประเทศต่าง ๆ ด้วย เพื่อให้การค้ากับต่างประเทศได้ดำเนินไปได้โดยรวดเร็ว กระทรวงการคลังจึงได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ ๑๑ มกราคม ๒๔๘๙ ตรึงค่าปริวรรตของบาทไว้ให้ยืนที่ โดยเทียบค่าเป็นทองคำอนุโลมตามหลักแห่งหนังสือสัญญาว่าด้วยการเงินที่ลงนามณเบรตตันวู้ดส์ ในอัตราทองคำบริสุทธิ์น้ำหนัก ๐.๐๖๐๑๙ กรัม อัตราแลกเปลี่ยนปานกลางระหว่างบาทกับสเตอร์ลิงก์เท่ากับปอนด์ละ ๖๐ บาท หรือ ๑๐๐ บาทต่อ ๖.๗๒ เหรียญอเมริกัน ครั้นต่อมาเมื่อ ๑ พฤษภาคม ๒๔๘๙ ได้เปลี่ยนค่าของบาทเป็น ๐.๐๙๐๒๙ กรัมบริสุทธิ์ อัตราแลกเปลี่ยนเป็นปอนด์ละ ๔๐ บาท หรือ ๑๐๐ บาทต่อ ๑๐.๐๗ ๑/๒ เหรียญอเมริกัน ตามกฎกระทรวงการคลังออกตามความใน พ.ร.บ. ระบบเงินตราชั่วคราว พ.ศ. ๒๔๘๙
000
ขณะที่สงครามสิ้นสุดลงนั้น กล่าวได้ว่าแทบจะไม่มีเงินตราต่างประเทศสำหรับซื้อเครื่องอุปโภคที่จำเป็นสำหรับนำ มาใช้ในการบูรณะประเทศเลย รัฐบาลจึงได้กู้เงินจากสหรัฐอเมริกาเป็นจำนวน ๑๐ ล้านดอลลาร์ เพื่อใช้ซื้อของเหลือสงครามเมื่อเดือนพฤษภาคม ๒๔๘๙ อย่างไรก็ดี ในเดือนมิถุนายน ๒๔๘๙ สหราชอาณาจักรได้ปลดปล่อยเงินปอนด์ที่ถูกกักกันอยู่เป็นจำนวนหนึ่งล้านปอนด์ แต่เงินจำนวนนี้และอีก ๘,๙๗๗,๔๘๕ ดอลลาร์ซึ่งได้รับจากการขายทองคำส่วนหนึ่งของทุนสำรองเงินตราจำนวน ๗,๙๙๘,๐๓๐ กรัมบริสุทธิ์ที่มีอยู่ในสหรัฐ ฯ ตามพระราชบัญญัติจัดสรรทุนสำรองเงินตราเพื่อบูรณะประเทศ พ.ศ. ๒๔๘๙ รวมกับเงินที่มีอยู่แล้วก็ยังไม่เพียงพอกับความต้องการของประเทศ ฉะนั้นเมื่อเดือนสิงหาคม ๒๔๘๙ จึงได้กู้เงินจากรัฐบาลอินเดียเป็นจำนวน ๕๐ ล้านรูปี เพื่อใช้ซื้อของจากประเทศนั้น
เพื่อให้การเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่จะต้องได้มาซึ่งสิ่งของต่าง ๆ จากต่างประเทศเพื่อบำบัดความขาดแคลน จึงจำเป็นต้องควบคุมเงินปริวรรตต่างประเทศ คือจัดให้นำเข้าและจ่ายออกจากแหล่งกลาง ทั้งนี้ก็เพื่อประหยัดการใช้เงินตราต่างประเทศเท่าที่มีอยู่และที่จะได้มา สำหรับใช้จ่ายเฉพาะในสิ่งที่จำเป็นจริง ๆ โดยจำกัดให้นำสินค้าเข้าเฉพาะวัตถุที่ขาดแคลนและจำเป็น แต่การควบคุมการปริวรรตนี้ไม่ได้รับผลสำเร็จตามที่คาดไว้ โดยเฉพาะเพราะข้าวในตลาดต่างประเทศที่ใกล้เคียงมีราคาสูงกว่าราคาส่งออกที่รัฐบาลตกลงไว้ตามสัญญาไตรภาคีกับสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกาหลายเท่า ทำให้มีการลักลอบส่งข้าวออกเป็นปริมาณมาก นอกจากนี้ผู้ส่งสินค้าออกต้องส่งมอบเงินตราต่างประเทศที่ได้รับเป็นค่าสินค้านั้นตามอัตราทางการ ฉะนั้นรายได้เป็นจำนวนเงินบาทที่ได้รับจริงจากการส่งสินค้าออกจึงอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับระดับราคาทั่วไปภายใน ไม่เป็นการจูงใจให้พ่อค้าส่งสินค้าออก ฉะนั้น ในปี ๒๔๙๐ จึงได้เปลี่ยนแปลงนโยบายมุ่งหมายไปในทางที่จะให้การค้าต่างประเทศดำเนินไปโดยเสรีเร็วที่สุด โดยได้วางระเบียบปฏิบัติใหม่หลายประการเพื่อผ่อนคลายการควบคุมการค้าและการแลกเปลี่ยนเงิน เป็นผลให้ปริมาณสินค้าส่งออกทั่วไปเพิ่มมากขึ้น และสินค้าขาเข้าก็เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว นับได้ว่าตั้งแต่ปี ๒๔๙๑ สถานะการเศรษฐกิจได้เริ่มดีขึ้นเป็นลำดับ ทั้งนี้ ประจวบกับเป็นระยะที่ตลาดโลกในขณะนั้นต้องการสินค้าซึ่งประเทศไทยสามารถผลิตได้เป็นจำนวนมาก คือ ข้าว ยาง ดีบุก และไม้สัก
000
ปัญหาสำคัญหลังสงครามที่พระองค์ท่านทรงย้ำอยู่เสมอก็คือ การเตรียมทางที่จะนำมาซึ่งเสถียรภาพแห่งค่าของเงินตรา โดยจัดให้งบประมาณแผ่นดินเข้าสู่ดุลยภาพอย่างแท้จริงเป็นเบื้องแรก หลังจากได้เสด็จมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในเดือนพฤศจิกายน ๒๔๙๑ ปรากฏว่าตลอดระยะเวลา ๑๒ ปีที่ล่วงมา พ.ศ. ๒๔๙๑ เป็นปีแรกที่รายได้ของรัฐบาลเกินรายจ่าย สมดังที่ได้เคยตั้งเจตจำนงไว้
000
เมื่อพระองค์ท่านเสด็จไปวอชิงตันในปี ๒๔๘๙ หลังจากสงครามเลิกใหม่ ๆ กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาได้แนะนำว่า ประเทศไทยควรรีบยื่นคำขอเข้าเป็นภาคีแห่งสัญญาสองฉบับที่ทำขึ้นที่เมือง Bretton Woods ในสหรัฐ ฯ เมื่อปี ๒๔๘๗ ทั้งนี้เพื่อจะได้เป็นสมาชิกแห่งกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund) และธนาคารโลก (International Bank for Reconstruction and Development) กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริการับรองว่า ถ้าประเทศไทยยื่นคำขอเข้าเป็นสมาชิกเมื่อใด รัฐบาลสหรัฐอเมริกาก็จะสนับสนุนคำขอนั้น ส่วนประเทศอังกฤษก็พร้อมที่จะสนับสนุนเช่นเดียวกัน นับว่าพระนามของพระองค์ท่านเริ่มเป็นที่รู้จักในวงการเงินของโลกตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
การเข้าเป็นสมาชิกแห่งองค์การทั้งสองนี้จะเป็นได้ก็ต่อเมื่อประเทศนั้นได้รับคะแนนเสียงข้างมากจากประเทศที่เป็นสมาชิกอยู่แล้ว และไม่มีประเทศใดใช้สิทธิยับยั้ง โดยที่ขณะนั้นสหรัฐ ฯ และอังกฤษมีคะแนนเสียงอยู่ร้อยละ ๓๐ และ ๑๕ ตามลำดับ ฉะนั้นเพียงแต่สองประเทศนี้รับรองให้เข้าได้ก็เกือบเป็นการเพียงพอแล้ว ประเทศไทยได้เข้าเป็นสมาชิกขององค์การทั้งสองนี้เมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๔๙๒
กล่าวโดยสรุป วัตถุประสงค์ขององค์การทั้งสองก็ได้แก่การร่วมมือกันระหว่างประเทศต่าง ๆ ในด้านการเงินและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ไม่ใช่ต่างฝ่ายต่างทำอะไรตามใจตน วัตถุประสงค์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศก็คือ การส่งเสริมให้สมาชิกใช้ระบบการแลกเปลี่ยนเงินอย่างเสรีและเป็นระเบียบ ประเทศที่เป็นสมาชิกผูกพันจะต้องปฏิบัติตามระเบียบในเรื่องการกำหนดและเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยนเงิน และจะต้องลดหรือเลิกการกำกัดการแลกเปลี่ยนเงินในเมื่อสามารถจะปฏิบัติได้ สมาชิกที่ประสบกับปัญหาดุลย์การชำระเงินเป็นการชั่วคราวอาจขอใช้ทรัพยากรจากกองทุน ฯ ได้ ส่วนธนาคารโลกนั้นมีวัตถุประสงค์ที่จะช่วยอำนวยเงินทุนให้สมาชิกกู้ไปเพื่อฟื้นฟูและพัฒนาเศรษฐกิจ ตามโครงการที่ธนาคารโลกได้พิจารณาเห็นว่าจะช่วยเพิ่มพูนปริมาณผลิตผล ทั้งนี้ก็เพื่อให้ประเทศต่าง ๆ มีสินค้าแลกเปลี่ยนกันมากยิ่ง ๆ ขึ้นไป แต่สมาชิกจะต้องแสดงให้เป็นที่พอใจว่าจะสามารถชำระเงินกู้คืนพร้อมกับดอกเบี้ยได้ ประเทศที่สมัครเข้าเป็นสมาชิกขององค์การทั้งสองนี้จะต้องชำระเงินจำนวนหนึ่งซึ่งมีลักษณะคล้ายกับการซื้อหุ้นในบริษัท แต่จำนวนที่จะต้องชำระของสมาชิกหนึ่ง ๆ มากน้อยตามฐานะเศรษฐกิจของประเทศนั้น ๆ
เมื่อประเทศไทยได้เข้าเป็นสมาชิกแห่งองค์การทั้งสองนี้แล้ว รัฐบาลได้แต่งตั้งให้พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิวัฒนไชย เป็นผู้ว่าการแทนประเทศไทยในสภาผู้ว่าการขององค์การทั้งสอง และได้เสด็จไปประชุมเป็นครั้งแรกในเดือนกันยายนของปีนั้น นอกจากนี้รัฐบาลยังได้มอบให้พระองค์ท่านทาบทามธนาคารโลกขอกู้เงินเพื่อการบูรณะและวิวัฒนาการเศรษฐกิจของประเทศด้วย ซึ่งธนาคารโลกก็ได้ให้กู้ต่อมาในปี ๒๔๙๓ เป็นจำนวนทั้งสิ้น ๒๕.๔ ล้านดอลลาร์ เพื่อบูรณะการรถไฟ การชลประทาน และการท่าเรือ
นอกจากองค์การ “ แม่” ทั้งสองนี้แล้ว ยังมีอีก ๒ องค์การที่อยู่ในเครือเดียวกัน คือ บรรษัทเงินทุนระหว่างประเทศ (International Finance Corporation) ตั้งเมื่อปี ๒๔๙๙ และสมาคมพัฒนาการระหว่างประเทศ (international Development Association) ตั้งเมื่อปี ๒๕๐๓ ซึ่งประเทศไทยเป็นสมาชิกมาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งทั้งสององค์การ วัตถุประสงค์ก็มีอย่างเดียวกัน คือ ให้กู้เงินเพื่อส่งเสริมพัฒนาการเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกที่ด้อยความเจริญ ต่างกันแต่เพียงว่า บรรษัท ฯ ให้กู้เงินเฉพาะแก่บริษัทเอกชนเท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับรัฐบาล ส่วนสมาคมฯ นั้นให้รัฐบาลกู้ยืมเพื่อพัฒนาโครงการต่างๆ ในเงื่อนไขซึ่งเบาบางกว่าการให้กู้ยืมของธนาคารโลก
การเป็นสมาชิกขององค์การทั้งสองนี้ เปรียบได้กับซื้อหุ้นในบริษัทใดบริษัทหนึ่ง แต่ละปีก็ย่อมจะมีการประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้น โดยที่พระองค์ท่านทรงเป็นผู้แทนของคนไทยทั้งปวงที่ถือหุ้นอยู่ในบริษัทนั้น จึงได้เสด็จไปในการประชุมประจำปีทุกปี ถึง ๑๑ ครั้งติดๆ กัน นับตั้งแต่ประเทศไทยเริ่มเข้าเป็นสมาชิกเมื่อปี ๒๔๙๒ จนกระทั่งปี ๒๕๐๒ ตลอดระยะเวลานั้นได้ทรงวางพระองค์ให้เป็นที่นับถือในนานาสันนิบาต ด้วยพระอัธยาศัยอันสุภาพอย่างยิ่ง
ต่อไปนี้เป็นสุนทรพจน์ของนาย Masamichi Yamagiwa ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่น ตอนปิดสมัยประชุมประจำปี ๒๕๐๓ ที่กรุงวอชิงตัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพระองค์ท่านทรงเป็นที่เคารพและรักใคร่ของชาวต่างประเทศที่รู้จักพระองค์เพียงใด
“I am very pleased indeed, as I am sure we all are, that the beautiful and world-renowned city of Vienna will be the scene of our Sixteenth Annual Meeting. I am equally happy that, a leading nation of Asia and one of our closest friends, Thailand, has been elected to take the Chair of that Meeting. Thailand is an old associate of the Fund and Bank and has been actively participating in their activities, so that I believe it is most fitting that she should now be given the honour to be in the Chair.
My greatest regret, and I am sure those of us who knew him will share my sentiment, is the absence at this present Meeting of our gracious and distinguished friend and colleague, Prince Viwat, who passed away only a few weeks ago. We wish to extend to Thailand and the Thai Delegation our deepest sympathy and condolence for the loss of a great man for whom all of us have the highest affection and respect.”
ดังได้กล่าวมาแล้วแต่ต้น สุนทรพจน์ของพระองค์ท่านนั้นมีรสชาติเป็นที่นิยมนัก เวลาเสด็จไปประชุมองค์การทั้งสองนี้ ได้รับสั่งท่ามกลางที่ประชุมใหญ่ทุกคราว จนเป็นที่เลืองลือกันทั่วไปว่าพระดำรัสของ “ปริ๊นซ์ วิวัฒน์ ออฟไทยแลนด์” ช่างจับใจจริง ๆ ทั้งนี้ก็เพราะสุนทรพจน์ของผู้แทนเกือบทั้งหมดนั้น นอกจากจะยืดยาวแล้วยังหนักไปในทางวิชาการ ไม่ผิดกับนั่งฟังคำบรรยายวิชาเศรษฐศาสตร์ในมหาวิทยาลัย ส่วนพระดำรัสซึ่งทรงร่างด้วยพระองค์เองล่วงหน้าเพียงไม่กี่ชั่วโมงนั่น นอกจากจะสั้นแล้ว ยังพร้อมไปด้วยอรรถรส แทรกด้วยคำคมและแง่ขัน แล้วก็ได้ผลตามที่ต้องพระประสงค์อีกด้วย ดังตัวอย่างพระดำรัสในการประชุมประจำปีครั้งที่ ๗ ที่นครเม็กซิโกซิตี้ เมื่อปี ๒๔๙๕ ดังต่อไปนี้
Statement by H.H. Prince Viwat, Governor of tha Fund for Thailand, at the Discussion of the Funds Report, Seventh Annual Meeting,
Mexico City 1952 (2495)
Mr. Chairman,
With your kind permission, I should like to endorse the remarks of other Governors regarding the high quality of the Annual Report of the Fund.
I should also like to raise one question regarding the use of the Funds resources.
Sir, in the Chairman’s address yesterday, reference was made to the growing world population and the importance of the question of feeding that population.
My country, Sir, is a large exporter of rice, and normally she has little by way of a balance of payments problem. But as you are well aware, the successful production of rice depends upon the quantity of rainfall. To put it very briefly, our position can be expressed in only four words — no rain, no rice.
Sir, you are also well aware that the monsoon is a capricious lady and is liable suddenly to withhold her favours. If in any year she takes it into her mind to do so, Thailand will be faced with a balance of payments problem. But the difficulty will be temporary and can be said to be self-correcting because if the monsoon is capricious, she is also kind-hearted, If she fails in one year, she is usually plentiful in the next. A two-year failure is a rare phenomenon.
Now, Sir, this brings me to my question. Should a country which is credit worthy and has a good record as a debtor, if this country is faced with a temporary and self-correcting balance of payments difficulty, should she be barred from using the Funds resources simply because she has not been able to declare par value ?
There, Sir, is the question.
Thank you.
000
Address by H.H. Prince Viwat, Governor of the Fund for Thailand,
to the Boards of Governors,
at the Closing Joint Session of the Seventh Annual Meeting,
Mexico City 1952 (2495)
Mr. Chairman,
I thank you for giving me an opportunity to join my fellow Governors in expressing sincere gratitude for the kindly hospitality offered by the Government and people of this country.
Before we depart on our separate ways, laden with our loot of Mexican silver and bits and pieces of pseudo-Aztec remains, I should like to say, Sir, how charmed my Delegation has been to find a country rich in ancient civilization and imbued with the spirit of modern progress.
As Mexico is a Latin American country, I am severely tempted, Sir, to misquote a famous Latin message which, translated into American, becomes: I came, I saw, I was conquered.
May I also express to the Managing-Director of the Fund, Mr. Rooth, my sincere appreciation of the kind co-operation afforded to my Government during the recent discussions relative to exchange restrictions. It was through the Funds sympathy and understanding that those discussions were quickly brought to a satisfactory conclusion.
I am also grateful to Mr. Rooth for his encouraging reply to the question I raised last week. I assure him that I pray that any necessity for a search for his practical solutions will be washed away by plenty of rain.
I would also thank the President of the Bank, Mr. Black, for his kindly interest in Thailand that prompted him to pay his recent visit to Bangkok.
Sir, the Bank has already given my country three loans; and I can assure everyone present that I have satisfied myself, beyond any possible doubt, that my country particularly enjoys Mr. Black’s special brand of interference. And I venture to express the hope that Thailand may again and again, be the happy victim of the Bank’s pecuniary activities.
Thank you.
000
เมื่อองค์การสหประชาชาติได้ขอให้ท่านเป็นที่ปรึกษาการคลังและเศรษฐกิจของรัฐบาลเกาหลิใต้ เมื่อปี ๒๔๙๔ นั้น ท่านได้ทรงทำรายงานเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังประเทศเกาหลีเป็นการส่วนตัว ตามที่ได้คัดมาตอนหนึ่งดังต่อไปนี้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงนิยมในหลักอันเป็นธรรมดาสามัญสำหรับประเทศเล็ก ๆ ที่มีพื้นฐานเป็นกสิกรรมโดยทั่วไป มิได้ทรงเพ้อฝันสำคัญผิดจะเนรมิตรให้ประเทศล้าหลังเป็นประเทศอุตสาหกรรมในชั่วพริบตาเดียว
“Peoples of the East have often been given sermons about the glories and benefits of democracy; although to most of them democracy and free elections are meaningless and government is represented only by the tax collector. When a constitution was demanded for the first time by a small group of Persians, the majority of their own countrymen thought it meant bread. In the economic field, it would, I suppose, be most gratifying to certain minds if spectacular developmental projects—hydro-electric power stations and heavy industries—could be undertaken at once. But in a poor and under-developed country, where the larger part of the population is agricultural, the most necessary forerunner of development is domestic action which costs hardly any money at all. In Korea the system of national finance needs overhauling, the tax system needs reform so that all may bear their proper share of the burden and the monetary system needs control to provide a sound and stable currency.”
000
นอกจากสหประชาชาติจะได้ขอให้ท่านเสด็จไปสำรวจภาวะเศรษฐกิจและการคลังของประเทศเกาหลิใต้ดังกล่าวข้างต้นแล้ว เมื่อปี ๒๔๙๕ เลขาธิการสหประชาชาติยังได้ทูลเชิญพระองค์ให้ทรงเป็นกรรมการร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒิอื่น ๆ อีก ๒ ท่าน สำหรับให้คำปรึกษาแก่เลขาธิการ ฯ ว่าด้วยเรื่องรายงานเศรษฐกิจของโลก ซึ่งเป็นเอกสารอันสำคัญยิ่งอันหนึ่งของสหประชาชาติ การทูลเชิญทั้งสองครั้งนี้ย่อมเป็นประจักษ์พยานอันหนึ่งที่ชี้ให้เห็นว่าโลกได้ยกย่องความรู้ความสามารถของพระองค์ในด้านเศรษฐกิจและการคลังเพียงไร ซึ่งนับว่าเป็นเกียรติแก่ประเทศไทยอย่างยิ่ง
ตำแหน่งหน้าที่การงานยิ่งสูงเด่นขึ้น ก็ยิ่งส่อบุคลิกลักษณะของผู้ครองตำแหน่งนั้นได้ดีว่าเป็นผู้ที่มีคุณลักษณะของผู้ใหญ่แท้จริงเพียงใด พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิวัฒนไชย ได้ทรงไต่บันไดงานของกระทรวงการคลังขึ้นมาจนกระทั่งได้ทรงดำรงตำแหน่งสูงสุดในอาชีพการเงินของพระองค์ท่าน คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และผู้ว่าการแทนประเทศไทยในสภาผู้ว่าการกองทุนการเงินระหว่างประเทศและธนาคารโลก แต่ในพระทัยแท้ก็ยังทรงเป็น “ลูกคลัง” อยู่นั่นเอง มิได้ทรงเห่อเหิมในตำแหน่งอันสูงเด่น ทรงวางพระองค์เป็นกันเองกับบุคคลทุกชั้นตลอดจนนักการ ไม่โปรดเล่นการเมือง และก็ไม่โปรดให้การเมืองมาเล่นกับท่าน โปรดแต่เพียงว่า ทำไฉนจึงจะให้เงินบาทของไทยเรานี้ได้มีค่าและเสถียรภาพอันมั่นคงเป็นที่นิยมนับถือทั่วไปเท่านั้น
เป็นที่ทราบกันดีว่า ในระหว่างสงครามมหาอาเซียบูรพา พระองค์ท่านทรงมีความรับผิดชอบในด้านการเงินของบ้านเมือง ซึ่งนับว่าหนักยิ่งในพระชนม์ชีพ แต่งานที่ทรงกระทำไปนั้นมิได้ทรงถือว่าเป็นงานพิเศษหรือเป็นผลสำเร็จอันสูงส่งของพระองค์ท่านแต่ประการใด คงถือว่าเป็นงานธรรมดาสามัญที่ข้าราชการประจำพึงทำไปวันหนึ่ง ๆ เท่านั้น ประหนึ่งว่าทั้งหมดเป็นเรื่องของกระทรวงการคลัง ซึ่งพระองค์เองเป็นแต่เพียงตัวจักรชิ้นหนึ่งเท่านั้น ดังตัวอย่างบันทึกส่วนพระองค์ที่ทรงไว้เมื่อเดือนกรกฎาคม ๒๔๘๗ ดังต่อไปนี้
“To put in a nut-shell, the problem before the Treasury was to prevent the use by the Japanese of their own military scrips and to maintain the Baht as the sole currency of the country. This object could only be achieved by providing the Japanese with Baht funds. As the Treasury was already unable to make both ends meet, it had no choice other than to issue new notes and face the danger of an inflation, which it hoped to minimize by endeavouring to restrict as much as possible the extent of Japanese expenditure. The Treasury further attempted to safeguard the future of the currency, in so far as lay in its power, by insisting upon gold in return for the notes.”
000
ในระหว่างที่พระองค์ทรงรับราชการอยู่นั้น แม้ว่าจะมีงานเต็มพระหัตถ์อยู่แล้วก็ดี ก็ยังทรงหาเวลาเสด็จไปบรรยายวิชากฎหมายการคลังที่มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองได้ถึงสามปีติด ๆ กัน และได้ทรงนิพนธ์ตำราว่าด้วยกฎหมายการคลังขึ้นรวมสามเล่มในปี ๒๔๘๓, ๒๔๘๔ และ ๒๔๘๕ ซึ่งปรากฏว่าเป็นที่นิยมของนักศึกษาทั่วไปเป็นอันมาก ทั้งนี้ก็เพราะพระปัญญาสามารถของพระองค์ท่านในการทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่ายได้อย่างมหัศจรรย์ โดยเฉพาะด้วยวิธีชักตัวอย่างพื้น ๆ ให้คนที่ไม่รู้เรื่องการเงินให้เข้าใจได้ คุณลักษณะประการนี้ของพระองค์ท่านเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ทั้งผู้บังคับบัญชาและผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของพระองค์ยกย่องนับถือพระองค์ท่านว่านอกจากจะทรงเป็นเอตทัคคะในด้านวิชาชีพของพระองค์เองแล้ว ยังทรงเป็นอาจารย์ที่ดีอีกด้วย
เมื่อทรงพ้นจากหน้าที่ราชการโดยตรงไปแล้ว เรื่องการเงินของแผ่นดินก็หาได้พ้นจากอกของพระองค์ไปไม่ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๖ ได้ทรงดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการร่วมมือการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจและวิชาการกับสหรัฐ ฯ (ก.ศ.ว.) เมื่อต้นปี ๒๔๙๙ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ขอให้พระองค์ท่านทรงยกรางพระราชบัญญัติเงินตราขึ้นใหม่เพื่อใช้แทนฉบับ พ.ศ. ๒๕๐๑ ซึ่งล้าสมัยแล้ว ผลก็คือพระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. ๒๕๐๑ ที่ใช้เป็นแม่บทการเงินตราของประเทศไทยอยู่ในขณะนี้ ครั้นเมื่อธนาคารอุตสาหกรรมเกิดมีอันเป็นไปขึ้นในปี ๒๔๙๙ กระทรวงการคลังก็ได้ขอให้พระองค์ท่านดำเนินการเลิกกิจการแล้วจัดตั้งสถาบันขึ้นใหม่ ผลก็คือการจัดตั้งบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยในเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๒ ซึ่งพระองค์ท่านทรงเป็นประธานกรรมการอยู่จนสิ้นพระชนม์ ใน พ.ศ. ๒๕๐๓ ได้ทรงเป็นที่ปรึกษาของคณะกรรมการปรับปรุงและสังคายนาประมวลรัษฎากร นอกจากนี้ยังได้ทรงเป็นกรรมการและเหรัญญิกสภากาชาดติดต่อกันมาเป็นเวลาหลายปี
000
สรุปแล้ว พระกรณียกิจของพระองค์ท่านตลอดพระชนม์ชีพ ก็สมแล้วกับที่ท่านผู้ใหญ่หลายท่านได้กล่าวไว้ว่า “อะไรที่เกี่ยวกับเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ แล้ว เอาท่านโพล้งไว้ใช้แหละเป็นดี”
ในด้านราชการส่วนองค์พระมหากษัตริย์นั้นเล่า ในฐานะที่ทรงเป็นองคมนตรีมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๕ ก็ได้รับราชการสนองพระเดชพระคุณเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยจนถึงที่สุดแห่งพระชนม์ชีพเช่นเดียวกัน นอกจากงานในหน้าที่ขององคมนตรีโดยตรงแล้ว ยังได้สนองพระคุณในด้านภาษาอังกฤษโดยทั่วไปอีกด้วย เช่นการร่างพระราชประวัติ ร่างกระแสพระราชดำรัส และข้อความที่จะจารึกลงบนสิ่งของที่จะพระราชทานเนื่องในการเสด็จเยือนสหรัฐฯ และยุโรปเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๓ ซึ่งทรงถือว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้า ฯ เช่นเดียวกับที่พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นมหิศรราชหฤทัย พระบิดา ได้เคยใกล้ชิดพระยุคลบาทในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมาแล้ว ดังปรากฏในหนังสือบันทึกความทรงจำบางเรื่องของหม่อมเจ้าหญิงประสงค์สม บริพัตร พระเชษฐ์ภคินี มีความตอนหนึ่งว่า “นอกจากงานกระทรวง ยังมีราชการพิเศษที่ต้องทรงปฏิบัติอยู่อย่างหนึ่งเสมอ คือทรงเป็นผู้กำกับพระโอสถถวายสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเวลาทรงพระประชวร สมัยนั้นยังไม่ไว้ใจที่จะใช้พระโอสถแผนฝรั่งอย่างเดียว ต้องเสวยพระโอสถไทยกำกับไปด้วย หมอฝรั่งกับหมอไทยพูดกันเองไม่ค่อยเข้าใจกัน จึงต้องมีเสด็จพ่อเป็นคนกลางสำหรับอธิบายให้หมอเข้าใจกันทั้งสองฝ่าย เพราะฉะนั้น เวลาพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จประเทศแห่งใด จึงต้องตามเสด็จด้วยทุกครั้ง”
เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถเสด็จเยือนประเทศพม่าในปี ๒๕๐๓ ก็ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิวัฒนไชย ตามเสด็จไปด้วยในฐานะที่ทรงเป็นองคมนตรี
พระเกียรติคุณเท่าที่ได้พรรณนามาแต่เพียงสังเขปนี้ จะจารึกอยู่ในประวัติศาสตร์การคลังและการเงินของประเทศไทยชั่วกัลปาวสาน สมกับที่ทรงเป็นกุลทายาทของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นมหิศรราชหฤทัย พระบิดา ผู้ริเริ่มวางระเบียบแบบแผนสมัยใหม่ทางการคลังของประเทศไทย
ในอวสานแห่งบท “สดุดีพระเกิยรติ” นี้ ขอนำสุนทรพจน์ตอนหนึ่งของ Mr. Oliver P. Wheeler ที่ปรึกษาของบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งแสดงแก่สมาชิกสมาคมอเมริกันที่โรงแรมโอเรียนเตลเมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๐๓ หลังจากที่พระองค์ท่านได้สิ้นพระชนม์แล้วสองเดือน มาลงไว้ดังต่อไปนี้ ซึ่งเป็นคำสดุดีอันควรกับพระกรณียกิจที่ได้ทรงบำเพ็ญไว้ทุกประการ
“It has somehow fallen my lot to present to this distinguished audience the story of the Industrial Finance Corporation of Thailand. How this comes about I hardly know, but I am positive that Prince Viwat, were he living to-day, could tell the story much more ably and more interestingly than I. He was the father of the Industrial Finance Corporation of Thailand, and we, the men and women of that organization, will never outlive our debt to him for the foresight, wisdom, and integrity with which he sought to endow our institution. We only hope that we can live up to the ideals and traditions to which he, as our first Chairman, gave the breath of life. I should like to pay tribute to a man who was known throughout the important financial centres of the world as a thoroughly capable financier and a wise counsellor and practitioner of economic statesmanship. His influence for monetary stability, economic diversification, and, shall I say, social justice in Thailand will long be a factor in the life and development of this country.”