๒๑๑ ต้นประกาศพระราชทานแลกเปลี่ยนที่วิสุงคามสีมาเมืองลพบุรี

ณวันพุธ เดือน ๑๒ แรม ๑๓ ค่ำ ปีจอจัตวาศก

มีพระบรมราชโองการ มารพระบัณฑูรสุรสิงหนาท ในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเปนพระเจ้าแผ่นดินที่ ๔ ในพระบรมราชวงศ์นี้ ให้ทำคำประกาศไว้ให้พระสงฆ์สามเณรแลคฤหัสถ์ใครๆ ผู้ใดซึ่งได้อ่านแลฟังให้ทราบทั่วกันว่า พระราชวังเก่าเมืองลพบุรีพระบาทสมเด็จพระนารายน์มหาราชได้ทรงสถาปนาขึ้น หรือปฏิสังขรณ์ซ่อมแซมของเก่าที่มีมาแต่เดิมขึ้นไว้ให้บริบูรณ์ เปนที่ประทับเสด็จอยู่ในระดูแล้งหลายปีในเวลารัชกาลอันนั้น ขอบเขตรกำแพงรอบคอบ แลทรากเศษของพระที่นั่งมีชื่อต่างๆ ก็ยังเหลือปรากฎอยู่จนทุกวันนี้ แลมีความในหนังสือพระราชพงศาวดารโบราณแต่งสืบมากล่าวว่า เมื่อเวลาพระบาทสมเด็จพระนารายน์มหาราชทรงพระประชวรหนักใกล้เสด็จสวรรคต มีข้าราชการข้าหลวงเดิมบางนาย มีความจงรักภักดีกตัญญูกตเวทีต่อพระเดชพระคุณมาก ไม่อยากจะเปนข้าท่านผู้อื่นต่อไป เมื่อเห็นทรงพระประชวรหนักแล้วก็มีใจอุสาหะจะใคร่ได้บรรพชาอุปสมบทในพระพุทธสาสนา ประพฤติพรหมจรรย์อุทิศถวายส่วนพระราชกุศลฉลองพระเดชพระคุณต่อไป จึ่งได้กราบทูลถวายบังคมลา ก็ทรงพระราชศรัทธาทรงพระอนุญาตแล้วพระราชทานผ้าไตรจีวรบาตรบริขารพร้อม แล้วมีพระราชประสงค์จะให้พระสงฆ์ทำสังฆกรรม ให้สำเร็จบรรพชาอุปสมบทแก่พวกนั้น ในพระราชวังนั้น ไม่ให้ไปทำในที่อื่นห่างพระเนตรพระกรรณไป ครั้งนั้นพระสงฆ์ทั้งปวงปฤกษาพร้อมกันถวายพระพรว่า จะทำอุปสัมปทกรรมในพระราชวัง ตามพระราชประสงค์นั้นยังไม่ได้ ต่อถ้าทรงกำหนดเขตรรอบคอบสถานที่จะให้ทำอุปสัมปทกรรมนั้นเปนวิสุงคามสีมา ยกเปนแขวงหนึ่งต่างหากจากพระราชอาณาเขตรแล้ว จึงจะทำอุปสัมปทกรรมในที่นั้นได้ จึงพระบาทสมเด็จพระนารายน์มหาราชทรงกำหนดเขตรอบขอบกำแพงพระราชวัง เอากำแพงเปนสำคัญทุกทิศ แล้วก็ทรงพระราชอุทิศถวายเปนวิสุงคามสีมา แต่พระสงฆ์อันจะมาแต่จาตุทิศทั้งสี่ จะได้อาศรัยทำสังฆกรรมมีอุโบสถกรรมเปนต้นโดยง่าย แลว่าครั้งนั้นพระสงฆ์ได้รับที่วิสุงคามสีมา ซึ่งทรงพระราชอุทิศถวายนั้นแล้วไปชุมนุมกันที่ท้องพระโรง เนื่องกับมุขเด็จพระที่นั่งดุสิตสวรรค์ธัญมหาปราสาท แล้วทำสังฆกรรมให้สำเร็จอุปสมบทแก่ข้าราชการพวกข้าหลวงเดิมเหล่านั้น ตามพระราชประสงค์เสร็จแล้ว ก็ถวายพระพรลาพากันกลับไปยังพระอาราม มีความในพระราชพงศาวดารดังนี้ ก็การเปนจริงดังว่านี้ หรือจะไม่จริงประการใดก็ยังสงสัยอยู่ ก็ตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระนารายน์มหาราชเสด็จสวรรคตมาแล้วจนบัดนี้ กาลก็ล่วงไปใกล้ ๒๐๐ ปี ในเวลารัชกาลพระเจ้าแผ่นดินพระองค์อื่น ต่อแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนารายน์มหาราชเจ้านั้นมา ก็ไม่ได้ยินว่าพระองค์ใดไปทรงซ่อมแซมปฏิสังขรณ์ ยกพระราชวังนั้นเปนพระอารามให้สมกับการที่ว่าเปนวิสุงคามสีมา พระบาทสมเด็จพระนารายน์มหาราชได้ทรงพระอุทิศถวายไว้เปนของสงฆ์ แลจะได้มีปรากฎว่าพระสงฆ์ไปครอบครองเปนเจ้าของที่นั้น คือจะเอาเปนพระอารามที่อยู่ก็ดี จะให้ผู้ใดเช่าเปนที่อยู่ที่ทำสวนเก็บเอาค่าเช่า เปนตัตรุปบาตบริโภคแก่สงฆ์ก็ดี ก็ไม่มีที่ได้เห็นได้ยินเลย ชนทั้งปวงก็ยังเรียกที่นั้นอยู่ว่าพระราชวังคุ้มบัดนี้ ก็ถ้าจะเห็นไปว่าที่นั้นหาเปนของสงฆ์ไม่ ก็ยังมีความสงสัยอยู่ ว่าพระเจ้าแผ่นดินพระองค์อื่นๆ ซึ่งได้เสวยราชสมบัติภายหลัง แต่พระบาทสมเด็จพระนารายน์มหาราชเจ้านั้นมา ไม่มีพระองค์ใดพระองค์หนึ่งไปสถาปนาซ่อมแซมขึ้นเปนพระราชวังแล้ว เสด็จไปประทับสำราญพระราชหฤทัย บริโภคพระราชวังนั้นดังพระบาทสมเด็จพระนารายน์มหาราชเจ้านั้นเลย วิสัยท่านโบราณก่อนๆ ที่ใดสิ่งใดมีกำแพงล้อมแน่นหนา ถ้าไม่ได้บริโภคแล้วก็ย่อมรื้อแร่งทำลายล้างเสีย ด้วยเข้าใจว่าข้าศึกศัตรูจะเข้าอาศรัย แลพระราชวังนี้ก็ไม่มีพระเจ้าแผ่นดินแต่ก่อนพระองค์ใดพระองค์หนึ่งรื้อแร่งแย่งทำลายล้างลงเลย เปนแต่ของชำรุดซุดโทรมหักพังไปเอง บางพวกราษฎรเห็นว่ารกร้างว่างเปล่าอยู่ ก็เข้าไปอาศรัยทำสวนน้อยหน่า เมื่อเห็นตึกร้างบางอันกีดขวางที่จะทำสวนอยู่ก็รื้อเสียบ้าง แลพระที่นั่งสุทธาสวรรค์นั้นมีผนังก่อด้วยศิลาแลง เมื่อครั้งแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชประสงค์ศิลาแลงมาก่อพระเจดีย์ที่วัดสเกษ มีพระบรมราชโองการดำรัสให้ข้าราชการไปเที่ยวหาศิลาแลงในเมืองร้างเก่าๆ มา ครั้งนั้นผู้รับสั่งไปเที่ยวรื้อศิลาแลงที่เปนผนังตึกแลกำแพงของวัดของบ้านแลตพานช้างในกรุงเก่าไปทูลเกล้าฯ ถวายเปนอันมาก ครั้งนั้นจึงพวกหนึ่งมารื้อพระที่นั่งสุทธาสวรรค์ขนเอาศิลาแลงไปเสียด้วย การที่พระที่นั่งสุทธาสวรรค์ต้องรื้อดังนี้ ก็มีเพียงใน ๒๐ ปีลงมา ก่อนนั้นขึ้นไปไม่มีใครรื้ออะไร แลได้ทอดพระเนตรทรงพิเคราะห์ทั่วไปเห็นแปลกประหลาด น่าที่จะเปนที่สำคัญอยู่สองสิ่ง คือในชั้นต่ำใต้พระที่นั่งดุสิตสวรรค์ธัญมหาปราสาทมีพระพุทธรูปศิลาหักๆ ทิ้งเกลื่อนกลาดอยู่สองสามพระองค์แห่งหนึ่ง คือที่ตึกพระเจ้าเหาข้างท้ายข้างหนึ่งมีแท่นชั้นชุกชี ดูเหมือนจะเปนที่ตั้งพระพุทธรูปแห่งหนึ่งด้วยเหตุนี้เปนที่สงสัย ว่าชรอยพระเจ้าแผ่นดินภายหลัง แต่พระบาทสมเด็จพระนารายน์มหาราชเจ้านั้นมา จะทรงเห็นว่าที่นั้นเปนที่วิสุงคามสีมาของสงฆ์แล้วกระมัง จึงไม่ไปทรงซ่อมแซมขึ้นบริโภคเปนพระราชวังสืบไป แลไม่รื้อแร่งทำลายเสีย งดไว้เหมือนพระอารามที่ร้างพระสงฆ์หรือชนต่างๆ เก่าๆ บางพวกเห็นจะสำคัญรู้ว่าที่นั้นเปนของสงฆ์ จึงเชิญพระพุทธรูปบางพระองค์ไปไว้บนพระมหาปราสาท ครั้นเมื่อพื้นผุพังทำลายลงจึงแตกหักตกทิ้งเกลื่อนกลาดอยู่ดังนี้กระมัง ที่ตึกพระเจ้าเหา จะมีผู้ทำแท่นขึ้นตั้งพระพุทธรูปไว้กระมังยังสงสัยอยู่

แลในรัชกาลประจุบันนี้ เมื่อปีมะโรงนักษัตรอัฐศกจุลศักราช ๑๒๑๘ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงสังเกต จนเหตุทั้งปวงนี้ได้ทราบพระราชหฤทัยแล้ว จึงทรงปฤกษาด้วยพระราชาคณะนักปราชญ์ในพระพุทธสาสนาแลท่านเสนาบดีที่มีสติปัญญา มีความคำนึงรู้รอบคอบในการแผ่นดิน ว่าสถานถิ่นที่เปนพระราชวัง ในเมืองลพบุรีนั้นอำปลังอยู่ จะว่าเปนของวัดก็ใช่ของบ้านก็ใช่ แลบัดนี้ราษฎรก็ไปหวงเอาเปนส่วนๆ ปลูกน้อยหน่า ถือว่าส่วนๆ นั้นเปนที่ดินของตัว ซื้อขายให้ปันแก่กันไปก็มี จะทำอย่างไรดีจึงจะสมควร ถ้าจะนิ่งไว้ชนมีทรัพย์ต่างประเทศที่เข้ามาใหม่ๆ ตื่นหาที่อยู่ที่ทำกิน จะเห็นว่าที่นั้นมีผนังตึกรามมาก มีกำแพงล้อมอยู่รอบคอบ ควรจะสร้างซ่อมแซมขึ้นเปนตึกกว้านบ้านเรือนที่อยู่ได้ ก็จะพากันไปซื้อที่สวนน้อยหน่าของราษฎรเหล่านั้นได้แล้วจะรื้อกำแพงหรือผนังบางอันมาประสมบางแห่ง ก่อขึ้นเปนตึกกว้านบ้านเรือนของเขาได้ ก็จะเปนที่เสียพระเกียรติยศแผ่นดินไปว่า พระราชวังโบราณกลับกลายไปเปนบ้านชนนอกประเทศ เมื่อเวลาเขาไปจับเข้าแล้วจะไปห้ามไว้ก็ใช่ที่ เพราะของนั้นเปนของร้างไม่มีใครบริโภค เขาจะไปทำให้ดีขึ้นก็จะต้องยอม ถ้าแม้นฝ่ายเราจะชิงไปรื้อเอาอิฐเอาปูนมาเสียให้หมด แล้วเอาไปก่อสร้าง หรือซ่อมแซมพระเจดีย์วิหารอารามน้อยใหญ่ แรงรื้อแรงขนนั้นก็จะต้องเสียค่าจ้างค่าแรงคนมากไปยิ่งกว่าจะเสียเงินซื้ออิฐซื้อปูนใหม่ทำอะไรๆ นั้นอีก ของฝีมือท่านแต่ก่อนเปนของโบราณท่านทำไว้ จะรื้อทำลายล้างให้สาบสูญเสียก็เสียดาย ผู้ที่รื้อทำลายของโบราณใหญ่ๆ นั้นก็เห็นไม่ใคร่จะสบายนัก วุ่นวายมีเหตุต่างๆ ถ้าจะไปทำลายล้างลงมีเหตุอะไรขึ้นก็จะเปนที่เสียใจ ก็ถ้าจะไปซ่อมแซมสร้างขึ้นให้เปนวัดใหญ่ เช่นวัดเฉลิมพระเกียรติเมืองนนทบุรีแล้วยกถวายเปนของสงฆ์ ก็ในเมืองลพบุรีจะมีพระสงฆ์กี่รูปกี่องค์ แลทายกสัปรุษคฤหัสถ์กี่คน จะสามารถอาจทำนุบำรุงรักษาครอบครองพระอารามนี้ให้เปนอารามสืบไปได้ ครั้นกาลนานไปก็คงจะตกลงเปนอย่างเก่า เมื่อเราจะรู้แลถือว่าที่นั้นเปนของสงฆ์ บัดนี้สงฆ์ก็ไม่ได้บริโภคอะไร จะให้ยกสมพัดสรอากรผลไม้ในวังนั้นถวายสงฆ์ก็ดีอยู่ แต่จะคุ้มไม่ให้มีผู้ไปซื้อที่นั้นทำตึกทำบ้านก็ไม่ได้ จึงได้ทรงพระราชดำริห์เห็นความตามลักษณในพระวินัย โดยเค้าบาลีในคัมภีร์บริวารกล่าวในเสทโมจนคาถา ว่าของใดเปนครุภัณฑ์ของสงฆ์ที่พระผู้มีพระภาคย์พระพุทธเจ้าบัญญัติห้ามว่าไม่ให้แจกกันแลไม่ให้สละให้ใครเสีย ของนั้นเมื่อภิกษุจะเอามาแจกกันเสียก็ดี สละให้ใครเสียก็ดีด้วยอุบายอย่างหนึ่งไม่เปนอาบัตินั้นมีอยู่ ปัญหานี้นักปราชญ์คิดแล้วก็ความแก้ปัญหานี้ พระอรรถกถาจาริย์เจ้าท่านว่า คือถ้ามีผู้เอาของอื่นเปลี่ยนให้เปนของสงฆ์แล้ว ของเดิมก็พ้นจากเปนของสงฆ์ จะเอามาแจกก็ดีมาสละเสียก็ดีก็ได้ คือใครได้เสียของเปลี่ยนของสงฆ์แทนแล้วของสงฆ์เดิมก็เปนของผู้นั้น ในพระอรรถกถาจูฬวรรคก็กล่าวว่า ของสงฆ์ที่เปนครุภัณฑ์ที่พระพุทธบัญญัติห้ามไม่ให้แจกไม่ให้สละนั้น ถ้าผู้ใดมีประสงค์จะเปลี่ยนเอาก็ได้ แต่ให้เอาของครุภัณฑ์เปลี่ยนกับของครุภัณฑ์ จะเอาลหุภัณฑ์มาเปลี่ยนไม่ควร อนึ่งให้เปลี่ยนของถาวรด้วยของถาวร จะเอาของไม่ถาวรมาเปลี่ยนของถาวรไม่ควร แลของที่เปลี่ยนกันนั้น มากน้อยใหญ่เล็กกว่ากันประการใด ถ้าไม่เสื่อมประโยชน์สงฆ์ไปแล้วก็ควร แล้วท่านสำแดงในที่เปลี่ยนที่อารามที่วิหารที่สวนที่นา ใหญ่เล็กใกล้ไกล แลเปลี่ยนกุฎีวิหารที่อยู่อาศรัย กล่าวไว้พิสดารมาก ผู้มีประโยชน์ค้นพระคัมภีร์ดูจะรู้ได้ถ้วนถี่ ก็ด้วยเหตุดังนี้ ลักษณวินัยได้ทราบพระราชหฤทัยแล้วทุกประการ

จึงมีพระบรมราชโองการดำรัสให้เจ้าพนักงาน กรมพระเกษตราธิบดี จัดซื้อที่นาตำบลหนึ่งใหญ่กว่าที่พระราชวังนั้น แลใหญ่กว่าที่บ้านเจ้าพระยาวิชเยนท์ด้วย เพราะได้เห็นว่าที่บ้านเจ้าพระยาวิชเยนท์นั้น พระสงฆ์ได้เข้าไปอยู่ครอบครองเอาเปนที่วัดในคราวหนึ่ง แล้วละทิ้งร้างเสียจะรักษาให้เปนวัดต่อไปไม่ได้ ที่นาที่จัดซื้อนั้น จึงทรงพระราชอุทิศถวายในพระพุทธจักรเปนของจาตุทิศสงฆ์แลกเปลี่ยนที่พระราชวัง แลที่บ้านเจ้าพระยาวิชเยนท์ คืนมาเปนของในพระราชอาณาจักร ที่นาซึ่งทรงพระราชอุทิศถวายแลกเปลี่ยนที่พระราชวัง แลที่บ้านเจ้าพระยาวิชเยนท์นั้น บัดนี้ก็เปนของสงฆ์มีผู้เช่าทำนาทุกปี ได้ยินว่าค่าเช่าได้ปีละ ๑๐ ตำลึงสองบาทสองสลึง พระสงฆ์ในเมืองลพบุรีได้เก็บเปนตัตรุปบาตบริโภคอยู่ทุกปี ตั้งแต่ปีมะเสงนพศกมา ค่านาก็ไม่ได้เก็บเปนหลวง ที่ซึ่งทรงพระราชอุทิศถวายเปลี่ยนนั้นไม่สักแต่ว่าเปนที่พระกัลปนาสัดพระสัดสงฆ์ตามธรรมเนียม ทรงพระราชอุทิศยกเปนที่ของสงฆ์ขาด ให้สงฆ์เปนเจ้าของด้วย ให้บริโภคค่านาเปนพระกัลปนาด้วย เหมือนหนึ่งราษฎรเช่านาท่านผู้อื่นทำ ต้องเสียค่าเช่าให้เจ้าของนาด้วย ต้องเสียค่านาแทนเจ้าของนาด้วยฉันใด ผู้ที่เข้าไปทำนาในที่ของสงฆ์อันนั้น ต้องเสียค่าเช่าส่วนหนึ่ง ค่านาส่วนหนึ่ง เปนของสงฆ์ทั้งสองส่วน ตามอย่างราคาที่ราษฎรเช่านากันเท่าไรแล้วเสียค่านาแทนกันไร่ละสลึงนั้น ตามธรรมเนียมนาคู่โค หรือจะอย่างไรก็สุดแต่กัปปิยการกผู้รับบังคับสงฆ์ ถ้ากัปปิยการกผู้รับบังคับสงฆ์ จะทำนาเอาเข้าส่งสงฆ์หรือขายเอาเงินใช้ก็ตาม แต่ค่านาต้องเสียให้สงฆ์เปนพระกัลปนาด้วย ว่าด้วยค่านาในที่นานี้ อย่าให้กำนันแลเสนาข้าหลวงเข้าไปล่วงว่าล่วงกล่าวเรียกร้อง อย่างที่กัลปนาสัดพระสัดสงฆ์ที่อื่นนั้นเลย การทั้งปวงจงเสร็จสุดอยู่แก่พระสงฆ์ทั้งปวงในแขวงเมืองลพบุรี ก็ถ้ามีความขัดข้องประการใดด้วยที่นั้นไปภายหน้า ขอให้พระสงฆ์ในเมืองลพบุรีพร้อมกันแต่งผู้อาสาสงฆ์ฟ้องต่อกรมธรรมการในกรุงเทพมหานคร หรือธรรมการในหัวเมืองเถิด ในรัชกาลประจุบันนี้ก็จะสั่งให้ชำระให้ หรือถ้าขัดข้องจะบังเกิดมีในอนาคตเวลาไกล ก็ขอให้ท่านผู้เปนใหญ่ในแผ่นดิน ถ้านับถือพระพุทธสาสนา ก็จงเห็นแก่พระพุทธสาสนา ถ้านับถือแต่ยุติธรรมก็จงเห็นแก่ยุติธรรม ช่วยชำระให้ถูกต้องตามคำประกาศนี้เทอญ เพราะที่นานั้นได้เอาเงินหลวงจัดซื้อของราษฎรแล้วโดยดี ไม่ได้แย่งชิงของผู้ใดมาถวายดอก ควรเห็นว่าเปนของสงฆ์แท้ขาดทีเดียว ให้ท่านทั้งปวงรู้ดังนี้ทั่วๆ กันสืบไป

ก็วัดถุสถาน คือพระที่นั่งมีชื่อน้อยใหญ่ แลตึกศาลากำแพงรอบกำแพงชั้นนอกชั้นในนั้น ก็ไม่มีว่าในพระราชพงศาวดารดอก ว่าทรงพระราชอุทิศถวายเปนของสงฆ์ด้วย มีว่าแต่ถวายแต่ที่เปนวิสุงคามสีมา แต่พระวาจาที่พระบาทมหาราชตรัสนั้น จะอย่างไรก็ไม่รู้เปนแน่ เมื่อทรงพิเคราะห์ตามลักษณพระวินัยก็ดี ตามกฎหมายบ้านเมืองก็ดี เห็นความว่า ถ้าผู้ใดว่าแก่ผู้อื่นว่าที่บ้านของข้านี้ข้าให้แก่ท่าน จงเปนที่ของท่าน เมื่อว่าแต่เท่านี้ที่ดินเปนของผู้ได้ เย่าเรือนรั้วกำแพงยังเปนของเจ้าของเดิมๆ แลผู้ใดได้มรดกเจ้าของเดิม จะรื้อเอาไปอื่นก็ได้จะขายเสียก็ได้ ถ้าว่าผู้ให้กล่าวแก่ผู้อื่นว่าเรือนโรงรั้วกำแพงเหล่านี้ข้าให้แก่ท่าน จงเปนของท่าน แต่ที่ไม่ได้ว่า เมื่อเปนดังนี้ที่ก็เปนของเจ้าของเดิม ถ้าผู้ใดได้รับเย่าเรือนรั้วกำแพงที่มีผู้ให้ดังนี้ จะอยู่ในที่นั้นก็ชื่อว่าอาศรัยที่เจ้าของเดิมอยู่ ถ้าเจ้าของเดิมแลผู้รับมรดกเจ้าของเดิมไม่ให้อยู่ เย่าเรือนรั้วกำแพงเหล่านั้นผู้ที่เปนเจ้าของใหม่ก็จะต้องรื้อเอาไป หรือบอกขายแก่ผู้อื่นเสียก็ได้ แต่จะทึกเอาที่ไม่ได้ ก็ในกฎหมายบ้านเมืองว่า เจ้าของบ้านยอมให้ผู้อาศรัยปลูกเรือนเสาไม้จริง หรือก่อตึกลงในที่ของตัวแล้ว ล่วงไป ๓ ปีแล้วจะไล่ไม่ได้ ต้องตัดสินที่ที่เรือนปลูกอยู่ที่ตึกตั้งอยู่ ให้เปนของเจ้าของตึกเจ้าของเรือน ซึ่งว่าดังนี้ก็ตามปัญญาผู้ตั้งกฎหมายคำนึงเห็นไป ว่าเจ้าของที่ยอมให้ผู้อาศรัยทำของถาวรลงในที่ของตัวแล้ว ก็เหมือนกับยอมให้ที่ดินที่ของถาวรนั้นตั้งอยู่ ก็ซึ่งวางระยะสามปีนั้น คือจะกันไม่ให้ถ้อยความเกิดแต่ผู้ซึ่งจะรับมรดก เจ้าของที่เกลือกจะมาไล่ให้รื้อให้ถอนของที่จะรื้อจะถอนยากนั้นไป เปนความลำบากแก่ผู้อาศรัย จึงตั้งกฎหมายไว้เปนแยบคายดังนี้ ถ้าเจ้าของเดิมว่าแก่ผู้อื่นว่า ที่นี้ของข้าขอให้แก่ท่านทั้งเย่าทั้งเรือนรั้วกำแพงก็ดี หรือว่าบ้านเรือนของข้านี้ทั้งที่ทั้งเรือน ข้าขอยกให้แก่ท่านก็ดี บ้านเรือนที่ดินอันนั้นเปนของๆ ผู้ได้นั้นทั้งหมด ถึงเจ้าของเดิมทั้งบุตรภรรยาจะอยู่ไปในที่นั้นด้วยก็ชื่อว่าอาศรัยอยู่ ถ้าเจ้าของใหม่หรือผู้รับมรดกเจ้าของใหม่จะไม่ให้อยู่ไล่เสียก็ต้องไป หรือจะเรียกเอาค่าเช่าค่าไถ่ก็ต้องให้ตามใจเจ้าของใหม่ทั้งนั้น ก็เมื่อเวลาพระบาทสมเด็จพระนารายน์มหาราชเจ้า มีพระราชโองการดำรัสถวายที่พระราชวังนั้น จะว่าอย่างไรก็ไม่ทราบเลย แต่โดยการที่เห็นว่าพระเจ้าแผ่นดินสืบๆ มา ไม่ไปรื้อไปแร่งแย่งเอาอิฐเอาปูนไปใช้ราชการอื่นเลยนั้น เปนที่เห็นว่าพระเจ้าแผ่นดินทั้งปวงนั้นจะทรงแคลง ว่าตึกแลกำแพงในวังนั้นเปนของสงฆ์หมดกระมัง เมื่อแคลงว่าจะเปนเช่นในที่กล่าวทีหลังในสามอย่างนั้น ถือว่าอย่างนี้ก็ดีอยู่เปนครุกะเจตนา แต่บัดนี้ตึกเรือนวัดถุสถานในวังนั้นก็ไม่มีหลังคา หักซุดโทรมไปแล้วโดยมาก ถ้าโดยว่าสงฆ์จะได้เปนเจ้าของที่นั้น คิดจะซ่อมแซมขึ้นให้เปนที่อยู่ให้ได้ เมื่อไม่มีทุนรอนอื่นเพิ่มเติมเข้าเลย ก็คงจะต้องรื้อเอาอิฐผนังหลังอื่นมาก่อผสมหลังอื่น ก่อรอบเข้าเปนหลังคาให้อาศรัยได้ จะต้องรื้อกำแพงเอาอิฐเก่าปูนเก่าขายเขาจ้างคนใช้ทำการ ก็เมื่อทำดังนี้เครื่องอิฐปูนที่เหลืออยู่ในวังนั้นก็คงหมดไป ด้วยลักษณวินัยที่ว่าเมื่อไม่มีสิ่งไรแล้วก็ให้สละเสนาสนลามกบางอัน มาบริโภครักษาเสนาสนแลถิ่นที่ซึ่งเปนสำคัญไม่ให้ขาดมูลสูญไปนั้น ด้วยเหตุนี้กำแพงแลตึกร้าง ที่อยู่ในวังเหลืออยู่นั้น ก็เหมือนกันกับเปนแต่กองอิฐกองปูนของสงฆ์ เมื่อไม่มีทุนอื่นจะจับจ่ายแต่อิฐปูนในกองนั้น ก็จะได้เปนเสนาสนมากมายโตใหญ่ขึ้นเท่าไร จะทิ้งร้างก็ไม่เปนประโยชน์ จะคอยใครที่มีศรัทธามาสร้างวังนั้นให้เปนวัดอยู่เล่า พระสงฆ์เหล่าไรจะไปอยู่ ที่เมืองลพบุรีบัดนี้เปนเมืองแห้งแล้งกันดาร ถ้าแม้นจะมีผู้มีบุญในอนาคตจะมีศรัทธาสร้างวัดใหญ่ เห็นเขาจะสร้างวัดพรหมสุรินทร์ที่ต่อออกไปเรียกว่าวัดปรินายกที่ค้างโรเรนั้นเสียก่อน ด้วยเปนวัดอยู่ใกล้บ้านใกล้เมือง ที่วังลพบุรีไม่เห็นว่าจะมีใครมีอุส่าห์ไปสร้างเปนวัดเลย ถึงจะสร้างขึ้นก็ไม่มีพระสงฆ์จะอยู่ให้สมควรจะรักษาวัดได้

จึงมีพระบรมราชโองการดำรัสสั่งให้ผู้ที่เคยซื้ออิฐซื้อปูนตีราคาของร้างในวังนั้นว่า จะเปนราคาสักเท่าไร ผู้รับสั่งเปนอันมากปฤกษาพร้อมกันตีราคาว่า ประมาณ ๕๐๐ ชั่งขึ้นไป ๖๐๐ชั่งลงมา

จึงมีพระบรมราชโองการดำรัสว่า จะขอปฏิสังขรณ์ซ่อมแซมสร้างอารามอื่นถวายสงฆ์ให้หลายตำบลจงได้ ทรงบริจาคพระราชทรัพย์ถึง ๖๐๐ ชั่ง ๗๐๐ ชั่งขึ้นไป ใช้แทนราคาอิฐปูนของร้างที่มีในพระราชวังนั้น จึงได้ทรงบริจาคพระราชทรัพย์ให้ไปปฏิสังขรณ์ซ่อมแซมวัดชุมพลนิกายาราม ในเกาะบางปอินแขวงกรุงศรีอยุธยาเก่าพระอารามหนึ่ง สิ้นพระราชทรัพย์ไปแล้ว ๒๐๐ ชั่งเศษ ด้วยทรงพระราชดำริห์เห็นว่าพระอารามนั้น เปนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ซึ่งเปนพระชนกนาถของพระบาทสมเด็จพระนารายน์มหาราชนั้น ได้ทรงสถาปนาสร้างไว้แต่เมื่อจุลศักราชใกล้ครบ ๒๐๐๐ ปี แล้วได้ทรงบริจาคพระราชทรัพย์ให้ปฏิสังขรณ์วัดเสนาสนาราม ริมวังจันทรเกษมกรุงศรีอยุธยาเก่าอิกพระอารามหนึ่ง สิ้นพระราชทรัพย์ไปแล้ว ๓๐๐ ชั่งเศษ ด้วยทรงพระราชดำริห์เห็นว่า วัดเสนาสนารามมีวัดถุสถานใหญ่ เห็นจะเปนพระอารามหลวงอยู่ใกล้พระบวรราชวัง คือวังจันทรเกษม ซึ่งเปนวังที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระนารายน์มหาราช แต่เมื่อยังไม่ได้เสด็จเถลิงถวัลยราชราชาภิเษกมาจนได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติราชาภิเษกแล้วก็ยังเสด็จประทับอยู่ในวังนั้นหลายปี แลในเมืองลพบุรีนั้น ทรงพระราชดำริห์จะให้ปฏิสังขรณ์พระอาราม ใช้แทนค่าอิฐปูนในพระราชวัง ได้ทรงพินิจพิจารณาเลือกหลายอารามแล้ว วัดพระมหาธาตุอยู่ใกล้พระราชวัง ควรจะปฏิสังขรณ์ขึ้น แต่เห็นว่าวัดถุสถานในที่นั้นก็มากมายหลายสิ่งจะให้สำเร็จแล้วไปก็ได้เปนอันยาก เพราะปูนหาได้ไม่ใคร่จะทันมือ อนึ่งถ้าจะสร้างขึ้นเปนวัดใหญ่ก็อยู่ห่างแม่น้ำลำคลอง พระสงฆ์ผู้จะอยู่ปฏิบัติอารามก็ไม่ใคร่มี ทอดพระเนตรเห็นวัดขวิด มีพระอุโบสถน้อยหลังหนึ่ง มีกำแพงล้อมรอบอยู่ใกล้ชิดเนื่องกับพระราชวัง จึงได้มีพระบรมราชโองการดำรัสสั่ง พระนครพรามปลัดเมืองลพบุรี เปนแม่การปฏิสังขรณ์ซ่อมแซมขึ้นใหม่ แล้วได้พระราชทานพระราชทรัพย์จัดซื้อที่สวนน้อยหน่าของราษฎรต่อออกอิกวงหนึ่งเปนที่กุฏิพระสงฆ์ กุฎีศาลาก็ได้สร้างขึ้นบ้างแล้ว พระราชทรัพย์ที่ได้ทรงบริจาคปฏิสังขรณ์วัดขวิดนั้นสิ้นไปแล้ว ๖๐ ชั่งเศษ ยังจะให้ทำต่อไปกว่าจะสำเร็จ พระราชทรัพย์ที่ทรงพระราชอุทิศบริจาคไปแล้ว แลจะบริจาคต่อไปเท่าไรก็ดี เปนค่าถาวรวัดถุครุภัณฑ์แลแรงคนทำในการปฏิสังขรณ์พระอารามทั้งสามที่ออกนามมานี้ ให้ท่านทั้งปวงพึงรู้ว่าเปนปฏิการ ใช้แทนค่าอิฐปูนของร้างที่ตกค้างเหลืออยู่ในพระราชวัง ซึ่งเปนที่สงสัยอยู่ว่าเปนที่ของสงฆ์นั้นเทอญ

บัดนี้พระอุโบสถวัดขวิดซึ่งปฏิสังขรณ์ใหม่ ได้มีพระบรมราชโองการ ให้ต่อมุขเด็จด้านหน้าออกไปครอบทับกรวมสวมนิมิตรสีมาไชยอยู่ไม่สู้งามดี จึงได้ทรงอาราธนาพระสงฆ์ มีพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นบวรรังษีสุริยพันธุ์เปนประธาน ขึ้นไปชุมนุมสวดถอนพัทธสิมาเก่า แล้วผูกพัทธสีมาใหม่ขยายออกไปให้ได้อุปจารรอบงามดี ก็ที่พระอุโบสถวัดขวิดนั้นมีวิสุงคามสีมาซึ่งพระเจ้าแผ่นดินสยามแต่ก่อนพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง ทรงกำหนดไว้แล้วเพียงเท่าไรยกเปนส่วนหนึ่งต่างหาก จากพระราชอาณาเขตร เปนแขวงวิเศษสำหรับสังฆกรรม ที่อันนั้นก็เปนอันคเนรู้ว่าจะมีอยู่ แต่เพียงที่ใกล้กับบริเฉทสีมาที่ปรากฎอยู่แล้วนั้น ครั้งนี้เมื่อสีมาที่สงฆ์ผูกสงฆ์ถอนแล้ว วิสุงคามสีมานั้นก็คงเปนของสงฆ์อยู่ตามเดิม บัดนี้ทรงพระราชศรัทธา จะใคร่เพิ่มวิสุงคามสีมานั้นให้ใหญ่ บริเฉทอันใดที่พระเจ้าแผ่นดินสยามโบราณได้ทรงกำหนดถวายไว้แต่น้อยนั้น ขอลบเลิกเสียแล้ว บัดนี้มีพระบรมราชโองการให้กำหนดที่วิสุงคามสีมาใหม่เพิ่มเติมเข้าโดยรอบ คือที่วัดขวิดเก่าแลที่ต่อออกไปใหม่ วงด้วยกำแพงรอบนอกทั้งสองวงนั้นเปนอันเดียว ต่อกันกับเขตรเก่าของสงฆ์ เปนแขวงเดียวไม่แยกต่างกำหนดที่โดยยาวด้านตวันออก ๒ เส้น ๕ วา ด้านตวันตก๒ เส้น ๘ วา โดยกว้างด้านเหนือ ๑๓ วา ๒ ศอก ด้านใต้เส้น ๗ วา ๒ ศอก ทรงพระราชอุทิศกำหนดถวายเปนวิสุงคามสีมาแขวงหนึ่งต่างหากจากพระราชอาณาเขตร เปนแขวงวิเศษสำหรับพระสงฆ์สามัคคีต้องตามลัทธิในคัมภีร์พระอรรถกถาฎีกา เปนที่ของสงฆ์ใช้แทนที่พระราชวัง ที่ว่าพระบาทสมเด็จพระนารายน์มหาราชทรงถวายไว้เปนของสงฆ์ก็ดี แทนค่าอิฐค่าปูนที่ตกค้างเหลืออยู่ในพระราชวังนั้นก็ดี อีกส่วนหนึ่ง ขอพระสงฆ์สามเณร แลคฤหัสถ์ผู้นับถือพระพุทธสาสนาทั้งปวง จงได้รู้ความตามประกาศมานี้ทุกประการเทอญ

วัดขวิดนั้น นามว่าขวิดนั้นไม่สู้เพราะ พระราชทานนามเปลี่ยนว่าวัดกรวิศยาราม ทรงพระราชอุทิศถวายที่วิสุงคามสีมานั้น แลพระราชทานนามนี้แก่พระอารามนั้น

ประกาศมาณวันพุธ เดือน ๑๒ แรม ๑๓ ค่ำ ปีจอจัตวาศก พุทธสาสนกาล ๒๔๐๕ เปนวันที่ ๔๒๐๗ ในรัชกาลประจุบันนี้

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ