บทที่ ๙

– ๑ –

ป่าไผ่สีสุกตามเนินสูงเหมือนขอบหนองนั้นทั้งป่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป นอนจากลานที่เคยเตียนโล่งข้างล่างรกไปด้วยหญ้า พลับพลึงป่า กระทือดง และใบไผ่ที่ร่วงหล่นลงมาปกคลุมไว้ จนเกือบจะแลไม่เห็นพื้นดิน ภูมิประเทศของหนองคล้า ป่าไผ่ ทุ่งหญ้าเลยไป และดงสูงซึ่งเริ่มแต่ชายทุ่งนั้นอยู่ในสภาพเดิมของมันทั้งสิ้น เหมือนเมื่อเขาจากไปเมื่อปีกลาย ถึงกระนั้น รื่นก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าบางสิ่งบางอย่าง หรือหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปในระหว่างที่เขาไม่อยู่ นับแต่ในอึดใจแรกที่ขบวนเกวียนไปถึง........

มันมิใช่ลมและฝนปีกลายจะไม่เหลืออะไรไว้ฉีกเลยในบริเวณปางเก่า นอกจากเสาตาหน้อที่โย้เย้ พื้นฟากที่ผุพัง ฝาและหลังคาใบพลวงซึ่งกระจัดกระจายไปทั่วทิศ มันมิใช่ซากกองไฟ และเพิงพักใหม่ ๆ ที่เหลืออยู่ใต้โคนไผ่บางกอซึ่งส่อแสดงว่ามีพวกอื่นมาพักแรมอยู่ก่อนในปีนั้น และมันมิใช่โครงกระดูกของสัตว์ ซึ่งอาจจะถูกพรานตำบลใกล้เคียงขึ้นมายิงเหลือทิ้งไว้ ป่าโป่งน้ำร้อนเป็นชุมทางร่วมของพวกหาเนื้อทั่วไป และเป็นธรรมดาเกินไปที่จะชวนให้เขาระแวงสงสัย

เปล่า, ความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น เหมือนจะอยู่ในไอดิน กลิ่นดอกไม้ และอากาศที่เขาหายใจเข้าไปตลอดจนกระแสลมที่สัมผัส และพื้นดินที่เหยียบ สังหรณ์เป็นสิ่งหนึ่งซึ่งสุดวิสัยและความสามารถที่คนเราจะอธิบายให้ใครเข้าใจได้ เรารู้แต่ว่าป่าโป่งน้ำร้อนจะไม่อยู่ในสภาพเดิมของมันอีกต่อไป นับวันนับแต่ภัยจากธรรมชาติจะกลายมาเป็นภัยจากมนุษย์ นับวันนับแต่ความบริสุทธิ์และความเป็นไท ซึ่งคนเราจะหาได้จากป่าใหญ่เช่นนั้นจะคลาย นับวันนับแต่มนต์แห่งความสงบของมันจะเสื่อม เมื่อมืออันโสมมและตะกละตะกลามของมนุษย์ยื่นถึง

ทุก ๆ วัน ขณะที่ยืนดูพวกชาวบ้านตั้งร่างร้านขึ้นหรือลงมือโค่นไม้ที่เขาทำเครื่องหมายกำหนดไว้ ใจเป็นอดคิดไม่ได้

“มันยังไม่ควรถูกทำลาย มันควรจะอยู่ต่อไปก่อน ป่าอื่นไกลและสะดวกแก่การลากกว่ายังมีถมไป–”

แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็รู้ว่าปล่อยป่านั้นไว้อีกปีเดียวโดยไม่แตะต้อง วาจาของนายเสถียรก็จะกลายเป็นกฎหมายไป ไม่มีใครเลยทั้งปากคลอง และบ้านไร่จะกล้าเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย รื่นรู้จนกระทั่งว่าแผลแรกซึ่งขวางโยนจ้วงลงไปที่โคนตะแบกต้นแรกนั่นเอง เป็นปฏิสนธิชีวิตใหม่ของชาวบ้านไร่และปากคลองทั้งหลาย แผลนั้นเหมือนกับเป็นการท้าทายเท่า ๆ กับสัญญาณซึ่งคนเหล่านั้นยอมรับเขาเป็นหัวหน้าสำหรับการต่อสู้ดิ้นรนกับปัญหาและอำนาจใดๆ ต่อไปในอนาคต

ตะแบกและกว้าวขนาดย่อมอย่างละ 10 ต้น เป็นทั้งหมดที่เขาต้องการจากพวกตัดไม้ที่รับเงินล่วงหน้าไปในคราวนั้น ทุกคนทำงานกันตามสบาย พวกครอบครัวชาวบ้านที่พลอยอาศัยไปด้วยจะตัดหวาย ตักยาง หรือตีผึ้ง ต่างก็ทำไปตามความพอใจของตนโดยปราศจากความกระตือรือร้น ปราศจากความเร่งร้อน เพราะฤดูฝนยังอยู่อีกไกล เดือนหนึ่งผ่านไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนกระทั่งที่สุดในก็อดคิดไม่ได้ว่า คำเตือนของนายเสถียรจะเป็นการคุกคามทำนองเขียนเสือให้วัวกลัวมากกว่าอื่น

หนองคล้าที่เปลี่ยวและเงียบ กลายเป็นนิคมที่ครึกครื้น ทุก ๆ คืนจะสว่างไปด้วยไต้และกองไฟ ทุก ๆ คืนจะเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ และเสียงเพลง หลังจากอาหารเย็น จนกว่าจะง่วงเหงาหาวนอนและหลับไปตามๆ กันด้วยความอ่อนเพลียมาจากงานกลางวัน

ทั้งๆ ที่ออกป่าครั้งนั้น จะเป็นที่ตกลงกันแล้วว่าจะไม่มีผู้หญิงร่วม เจ้าลีชาวบ้านไร่ก็อดพาสีดาผู้เป็นเมียและอุ่นเรือนน้องสาวไปไม่ได้

“หยอกเสียเมื่อไหร่ล่ะ อ้ายห่านั้น” เจ้าแอนสั่นหน้า ขณะที่รื่นปรารภขึ้นครั้งแรกเมื่อเกวียนไปสมทบกันที่นาน้ำลาดก่อนออกเดินทาง “อดเหล้าน่ะยอมได้ แต่ให้อดเมียมันบอกว่าเกิดเป็นหมาเสียดีกว่า”

ไม่มีใครได้คิดจนกระทั่งเวลาล่วงไป และสัญญาณเหตุร้ายซึ่งทุกคนคาดคะเนไว้แต่แรกไม่ปรากฏวี่แวว ว่าชีวิตป่าอาจกระปรี้กระเปร่า และสดชื่นขึ้นเพียงใดเมื่อมีผู้หญิง ทั้งสีดาและอุ่นเรือนอาจเป็นเพื่อนของทุกคนได้ดีเท่า ๆ กับชีวิตของปางทุกคนเรียกอุ่นเรือนว่าแม่ย่านางของหนองคล้า ในขณะที่เรียกสีดาเป็นแม่ของเจ้าลีเฉย ๆ และทุกคนก็พอใจรวมทั้งเจ้าลี และสีดา

นั่งดูสองหญิงนั้นสนทนาหรือสัพยอกหยอกล้อ อยู่กับเพื่อนร่วมปางในบางคืน รื่นมักจะอดรู้สึกว้าเหว่ขึ้นมาไม่ได้ หัวใจของเขาเรียกร้องถึงสุดใจ ร่างกายของเขาเรียกร้องหาจำปา ป่าสูงอย่างโป่งน้ำร้อน เป็นสถานที่หนึ่ง ซึ่งทำให้คนเราตกเป็นทาสของอารมณ์ได้ง่าย เขามักจะออกจากปางมานั่งพัก หรือเดินเล่นในคืนเดือนหงาย เพื่อระงับยับยั้งความคิดถึงลูกและสุดใจ เขามักจะนอนพลิกตัวกระสับกระส่ายอยู่ในความมืด ฟังเสียงนกระวังไพร สัตว์ป่า หรือบางทีเพลงพื้นเมืองซึ่งกังวานมาจากเพิงพักของอุ่นเรือน คนละฟากซุ้มไผ่ ออกไปเพื่อหักห้ามความปรารถนาถึงจำปา จนกระทั่งบางครั้งกลับคิดว่าเป็นความโง่เขลาอะไรเช่นนั้น ในการที่ไม่ยอมรับหล่อนมาด้วย

เพราะฉะนั้นเอง เมื่อเหลือไม้อีกเพียง ๕ ต้นสำหรับโค่น ริดกิ่ง เลื่อยและทอน ก่อนที่จะทิ้งไว้เพื่อให้มันแห้ง สำหรับลงมือลากในปีต่อไป รื่นก็ใช้เวลาทั้งปวงที่เหลืออยู่ออกท่องเที่ยว ยิงสัตว์และสำรวจป่า เพื่อฆ่าเวลาจนกว่าจะถึงกำหนดกลับ ทุก ๆ วันทันทีทันใดที่ได้ยินเสียงปืนลั่นก้องมาจากป่า พวกที่ปางก็เกือบจะทายได้ว่าไม่อะไรก็อะไรสักอย่างหนึ่ง จะตกเป็นอาหารของตนในเย็นวันนั้น ทุก ๆ วันเขาจะกลับมาพร้อมด้วยเก้ง กวาง หรือหมูป่า หน้าตาเต็มไปด้วยเหงื่อ กิริยาเต็มไปด้วยความอิดโรย แต่ก็เป็นสุขและผ่องใส

“เอาไว้แล้งไหนว่าง เราจะขึ้นมาหาเนื้อกันสักพัก–” เขาบอกแววและพัน “ป่าคลองเจ้ากะวังแขมว่าชุมพออยู่แล้ว สู้ที่นี่ไม่ได้ เอ็งต้องการอะไรล่ะ ? เก้ง ? มีเก้งให้ยิง กวาง ? กวางมีให้ยิง วัวกระทิง จิปาถะ แล้วแต่จะชอบ”

แต่สิ่งที่สองหนุ่มนั่นชอบ ตลอดเวลาเหล่านั้นดูจะหนีไม่พ้นอุ่นเรือน มีเวลาว่างตอนไหน ไม่ใครก็ใครคนหนึ่งจะต้องไปเป็นเพื่อนหล่อน ไม่ว่าจะเข้าป่าเก็บผัก ลงไปตักน้ำที่หนอง หรือหุงข้าวหาปลา โดยเจ้าลีพี่ชายมิได้หวงห้าม หรือตั้งข้อรังเกียจแต่ประการใด การชู้สาวสำหรับชาวบ้านไร่สมัยนั้น เป็นของธรรมดาสามัญเหลือเกิน เหมือนอย่างอาหารที่ท่านกินประจำวัน เหมือนอย่างการคบเพื่อน และขาดเพื่อน และอุ่นเรือนก็ปล่อยตัวไปตามชีวิต และประเพณีเช่นนั้น บางวันหล่อนหายเข้าไปในป่ากับแวว บางคืนหล่อนหายเข้าไปในความมืดกับพัน จนเป็นที่รู้และกล่าวขวัญสัพยอกหยอกล้อกันอยู่ทั่วทั้งปาง

ด้วยประการฉะนี้เอง เย็นวันหนึ่งเมื่อรื่นกลับจากป่า เห็นเจ้าลี สีดาและคนอื่น ๆ จับกลุ่มเอะอะกันอยู่ด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความวิตก สอบถามได้ความว่าอุ่นเรือนหายไป เขาจึงได้แต่หัวเราะ และบอกว่า

“เวรใครล่ะ วันนี้ อ้ายแววหรืออ้ายพัน ?”

“ฉันอยู่ที่นี่ทั้งสองจ้า” เสียงสั่น ๆ และหน้าซีด ๆ โผล่ออกมาจากหลังคนกลุ่มนั้น

“เรื่องมันยังไงกัน ?” รื่นลดปืนลงจากบ่า ยิ้มยังไม่หายไปจากใบหน้า หัวเราะยังไม่หายไปจากริมฝีปาก พันก้าวเข้ามาหาเขาด้วยกิริยาสะทกสะท้าน

“เมื่อกลางวัน เขากะฉันออกไปเก็บชะอมกันที่ชายป่าโน่น” เขาอธิบาย “เสร็จแล้วอุ่นเรือนให้ฉันเอาผักกลับมาก่อน เขาจะเลยไปต้อนควาย ที่ปล่อยให้กินหญ้าอยู่ทางทุ่งโน้นสักครู่จะตามมาทีหลัง ตั้งแต่นั้นก็ไม่เห็นหน้าเขาอีกเลย”

“แล้วเอ็งทำยังไง อ้ายลี ?”

เจ้าพี่ชายของอุ่นเรือนหันไปหาภรรยา “บอกซิ–บอกพี่รื่นที”

“เขาให้ฉันไปตามพี่แอนจ้ะ” สีดาตอบ “เวลานี้พี่แอนกับอ้ายสร้อย อ้ายเพชร กำลังติดตามอุ่นเรือนอยู่ยังไม่กลับ เสือกินเสียแล้วก็ไม่รู้” พูดแล้วหล่อนก็ร้องไห้

รื่นมองดูหล่อน มองดูลี สีหน้าเปลี่ยนไปทันที เขาหันไปหาพัน “เอ็งควรจะรู้ว่าในป่าอย่างนี้ไม่ควรจะปล่อยให้อุ่นเรือนมันอยู่คนเดียว”

“ฉัน––ฉันคิดว่าจะไม่มีอะไร ? ออกป่าอยู่ทุกวัน ไม่เห็นรอยเสือรอยสางที่ไหน ?”

“เอ็งบอกได้ยังไง ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้างเมื่ออยู่ในป่ายังงี้ ?” กังวานแกร่ง เหมือนเหล็กกล้ากระทบกัน เริ่มปรากฏขึ้นในเสียงนั้นจนกระทั่งพันต้องหลบตา ก้มหน้า และยั้งปากที่จะอธิบายต่อไป

“ทำยังไงกันล่ะ ทีนี้ ?” สายตาของรื่นกวาดไปทั่วสีหน้า

ไม่มีใครเลยจะหาคำตอบแก่กระทู้ถามข้อนั้นได้ ทุกคนยืนนิ่ง กระเทือนใจเกินไป ที่จะวาดภาพว่าเกิดอะไรขึ้นกับหญิงสาวผู้เคราะห์ร้าย รื่นเดินพล่านไปทั่วบริเวณปาง บ่นแล สบถไม่ขาดปาก อย่างมากที่เขาจะทำได้ ก็เพียงแต่รอฟังรายงานจากแอนผู้ชำนาญป่านั้น ยิ่งกว่าพรานและพวกตัดไม้คนหนึ่งคนใดในจังหวัดเดียวกัน

แต่เมื่อเจ้าแอนกับคนงานทั้งสองกลับมาถึงตอนพลบค่ำ พร้อมด้วยควายซึ่งปล่อยไว้กินหญ้า แต่ปราศจากอุ่นเรือน ความเคร่งเครียดของคนที่คอยอยู่ก็เกือบจะกลายเป็นทอดอาลัย ตามเรื่องที่แอนเล่า ทั้ง ๓ คนตรงไปยังที่เกิดเหตุ––ถ้าจะมีเหตุเกิดขึ้นกับหญิงสาวผู้หายไป – – ในทันทีทันใดที่ทราบข่าว แต่นอกจากรอยเท้าที่อุ่นเรือนและพันทำไว้ในบริเวณนั้นแล้ว ปราศจากรอยเท้าอื่นใดทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นรอยสัตว์ร้ายหรือมนุษย์

“ฉันตามรอยตีนอุ่นเรือนไปถึงที่เขาปล่อยควายไว้หลังจากทิดพันกลับแล้ว” แอนอธิบาย “ตรงนั้นมีรอยตีนควาย แล้วก็รอยตีนคน – – หลายคน – – รอยตีนผู้ชาย ใหญ่ก็มีเล็กก็มี ต่อไปอีกหน่อยหายหมด ทั้งรอยตีนอุ่นเรือนด้วย เหลือแต่รอยตีนควาย ฉันตามไปอีก จนถึงห้วยแห้งหลังเขาเขียว ก็พบอ้ายดำนี่แหละ ยืนกินหญ้าอยู่ตัวเดียวจึงจูงกลับ

“แล้วรอยตีนเหล่านั้นล่ะ รอยตีนหลายคนที่เองเห็นแต่แรก ?”

“หายไปหมดอย่างฉันบอก ถัดที่อุ่นเรือนปล่อยควายไว้นิดเดียว”

“เอ็งหมายว่าหายไปเฉย ๆ ไม่มีร่องรอยอะไรเลยว่าหายไปไหน ?” เสียงรื่นบอกถึงความอัศจรรย์ใจถึงขนาด

สีหน้าของแอนเต็มไปด้วยความพิศวงงงงวยและยุ่งยากใจ

“มันน่าประหลาดเหลือเกินพี่รื่น”

“ประหลาดอะไร ?”

“ฉันเที่ยวตรวจดูรอบบริเวณนั้นแล้ว ไม่เห็นร่องรอยจริงๆ ถึงดินจะแห้ง อย่างน้อยกิ่งไม้ ใบไม้ก็น่าจะเป็นพิรุธ แต่ไม่มีเลย มันหายไปเฉยๆ เหมือนเหาะได้ หรือแทรกลงไปในแผ่นดิน”

“เอ็งประมาณเจ้ารอยตีนนั้นสักกี่คน?”

“อย่างน้อยก็สอง นอกจากอุ่นเรือน”

เป็นการสุดวิสัยที่เจ้าของรอยเท้าเหล่านั้น จะไม่ทิ้งวี่แววอะไรไว้ โดยรอดพ้นจากสายตาของพรานอย่างเจ้าแอนไปได้ ฉะนั้นเองการยืนยันของพรานชำนาญป่าผู้นี้ จึงเป็นข้อที่อึดอัดใจรื่นอย่างยิ่ง ทุกคนที่ยืนและนั่งล้อมวงอยู่รอบตัวเขา นิ่งเหมือนคอยปาฏิหาริย์ สายตาทุกคู่จับอยู่ที่คิ้ว ซึ่งขมวดเข้า หากันและมือซึ่งลูบคางอยู่ไปมา

“รอยคนหายไป! รอยควายยังอยู่ !” เขาพึมพึา สายตาจับนิ่งอยู่กับกองไฟข้างหน้า ต่อมาสักครู่ประกายก็จุดขึ้นในตา เขาหันไปหาแอนไปช้าๆ “รอยควาย ! เอ็งได้ดูโดยถี่ถ้วนหรือเปล่า ว่ามันมีอะไรผิดสังเกตๆไปบ้าง ?”

“ก๊อรอยอ้ายดำตัวเดียว ไม่มีรอยควายอื่นอีก แต่........พี่รื่น” เจ้าพรานเก่าแห่งบ้านไร่ เงยหน้าขึ้นสบตาเขา ความตื่นเต้นปรากฏอยู่ชัด “ฉันเพิ่งนึกออก........ นึกได้เดี๋ยวนี้เอง ดูชอบกล”

“อะไร?”

“รอยอ้ายดำซิ มันไม่เท่ากัน ตอนที่ฉันเห็นในบริเวณทุ่งที่อุ่นเรือนมันปล่อยไว้ให้กินหญ้าอย่างหนึ่ง เลยนั้นไปอีกอย่างหนึ่ง ระยะแรกแผ่วอย่างรอยตีนธรรมดา แล้วต่อไปก็ลึกเหมือนหนักบรรทุก แน่แล้วพี่รื่น พวกนั้นกะอุ่นเรือนขี่หลังอ้ายดำไป มันน่าเขากบาลตัวเองเสียนี่กะไร ที่ไม่ได้คิดถึงข้อนี้เลย”

“แล้วที่ ๆ เอ็งเจอะอ้ายดำ ตอนจูงมันกลับ ?”

“ไม่พบรอยอะไร แต่ก็เป็นธรรมดา เพราะว่ามันเป็นเนินเขา มีแต่หิน เลยนั้นไปเป็นห้วยแห้งๆ มีแต่กรวดบัดซบอะไรยังงั้น ที่ฉันไม่ข้ามลำห้วยนั้น ไปตรวจดูตามด่านใกล้เคียงให้ทั่ว”

“โธ่ อุ่นเรือน” สีดาร้องไห้อีก

เจ้าลีนั่งเงียบกริบ สีหน้าซีดเป็นเทาเหมือนผีตาย

“เอ็งรู้จักทางย่านเขาเขียวดีหรือแอน?” รื่นถาม

“โอ๊ย หลับตาเดินเกือบได้ พี่รื่น” แอนตอบ “เลยห้วยนั้นออกไปมีด่านใหญ่ไปลงคลองสวนหมากทางหนึ่ง พรุ่งนี้เราจะออกแต่เช้า เราจะไปเริ่มต้นตัดรอยตรงฉันเจอะอ้ายดำ”

กรามของรื่นขบกันแน่น แสงไฟในกองส่องต้องหน้าเขาเป็นมัน

“กว่าจะถึงเวลานั้น อุ่นเรือนก็คงแหลก” เขาลุกขึ้นยืนด้วยร่างอันสูงของเขา ยกมือทั้งสองขึ้นท้าวสะเอว กวาดสายตาไปโดยรอบ “เราจะออกคืนนี้ อ้ายลี ทิดเป้ง อ้ายหืด กะลุงพิณ อยู่เฝ้าบางกะพวกหัวยาง นอกนั้นไปด้วยกัน ใครยังไม่ได้กินข้าวกินเสีย มื้อต่อไปหาเอาข้างหน้า หยุดร้องไห้เสียทีเถอะอีสีดา....เอ็งจะทำให้ทุกคนเป็นบ้าตาย”

ภายในเวลาชั่วเคี้ยวหมากแหลกต่อมา ชายฉกรรจ์ ๑๒ คน มีรื่นเป็นหัวหน้า มีแอนเป็นคนนำทางก็ออกจากปางไป ในท่ามกลางความเงียบสงัดของป่าเปลี่ยว และแสงสว่างวอมแวมของคบไต้ ความรู้สึกเก่าๆ พล่านอยู่ในความคิดของรื่น........ความรู้สึกซึ่งมักจะปรากฏขึ้นมาทุกครั้งเมื่ออยู่ในยาม คับขันหรือเข้าเขตอันตราย อ่อนไหวต่อเสียงทุกเสียงที่สัมผัส คมต่อภาพทุกภาพที่ผ่านหน้า ไม่ว่าจะเป็นเสียงหรืออิริยาบถของสัตว์ หรือความเคลื่อนไหวของป่าชัฏและธรรมชาติ เต็มไปด้วยความเร้นลับ เขาแวะสำรวจที่เกิดเหตุอีกครั้งเมื่อตอนจะผ่านไป ทุกสิ่งทุกอย่างมิได้ผิดจากที่แอนรายงาน จากแสงไต้ที่เขาก้มลงส่องโดยใกล้ชิด ความหมายที่ร่องรอยเหล่านั้นบอกไว้ไม่ผิดแน่ รื่นเร่งเจ้าคนนำทางรุดหน้าต่อไปโดยไม่มีหยุดไม่มียั้ง นิ่งฟังเมื่อแว่วเสียงอะไร กระโตกกระตากออกมาจากความมืดข้างหน้าและสองฟากทาง เดินเรียงหนึ่งกันต่อไปเมื่อแน่ใจว่า เป็นเสียงสัตว์วิ่งผ่านหน้าหรือนกร้อง ราวใกล้รุ่งและแสงเงินแสงทองรำไรขึ้นที่ขอบฟ้า แอนก็พาข้ามสันเขาถึงมอแห่งหนึ่ง ซึ่งตอนบนเป็นที่โล่งปกคลุมไปด้วยหญ้าเกรียนและกอรวก

“ตรงนี้แหละที่ฉันเจอะอ้ายดำ” เจ้าคนนำทางชี้ไปที่ก้อนหินใหญ่ข้างหน้า “กำลังแทะหญ้าอยู่ตรงนั้น ฉันตรวจดูทั่วทั้งมอเหมือนกัน มีแต่หินแลไม่เห็นอะไร ถัดจากนี่ลงไปตามเชิงเขาอีกสักครู่จะถึงห้วย ไม่มีน้ำ ไม่มีหนอง จนกว่าจะพ้นป่าไผ่ฟากโน้น”

แม้จะรู้อยู่ว่าการสำรวจบริเวณเหล่านั้นจะไม่พบอะไร นอกจากไม้รวกแห้งที่เกลื่อนกลาดและพื้นหินที่เย็นเฉียบ รื่นก็เสียเวลาอยู่จนลำแรกของแสงแดดผ่านหมอกบาง ๆ ลงมาถึง การเดินทางตรากตรำตลอดคืน ทำให้ทุกคนต้องการพักผ่อน และเขาก็ปล่อยให้ทุกคนพักผ่อนกัน ก่อนที่จะจัดการอย่างหนึ่งอย่างใดต่อไป จะด้วยสังหรณ์หรืออะไรดลใจก็ตาม เขาก็คิดไม่ได้ว่า จุดหมายปลายทางอยู่ไม่ห่างไกลออกไป เขาเขียวมิใช่เขาใหญ่หรือสลับซับซ้อนอะไรหนักหนา แต่มันก็อุดมไปด้วยหุบและห้วย ด้วยน้ำและหญ้า ผู้ใดก็ตามที่ต้องการจะหลบซ่อนเพื่อการสิ่งใดอยู่ในป่าโป่งน้ำร้อนเป็นเวลานาน ย่อมจะเลือกชัยภูมินั้น

เขาปีนขึ้นไปบนไหล่เขาตอนหนึ่ง ซึ่งชะโงกลงไปสู่ลำห้วยลึก แต่แห้งข้างล่าง หมอกบาง ๆ ตอนเช้ายังคงลอยผ่านไปตามกระแสลมไม่ขาดสาย รื่นมองข้ามยอดไผ่ ซึ่งเรียงรายอยู่เหนือฝั่งห้วยตรงกันข้าม ไปยังไหล่เขาอีกลูกหนึ่งตรงหน้า ขณะนั้นป่าทั้งป่าและเขาทั้งเขากำลังตื่นเต็มที่ แม้กระนั้นก็ดูเหมือนจะหาชีวิตไม่ได้ ไม่มีเสียงไก่ ไม่มีเสียงนก ไม่มีเสียงใด ๆ ทั้งสิ้น นอกจากลมที่พัดเย็นเยือก

เมื่อย้อนกลับลงมาข้างล่าง ทุกคนตื่นลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิและกอดเข่าล้อมวงคอยอยู่แล้ว แอน แววและพันเงยหน้าขึ้นมองดูเขาอย่างสงสัย

“ข้าขึ้นไปที่โน่น แต่ไม่เห็นอะไร” รื่นอธิบาย “มองไปทางไหนมีแต่หมอกจนแยกไม่ออกว่าอย่างไหนหมอก อย่างไหนควัน”

“ป่วยการพี่รื่น เขาเขียวเป็นอย่างนี้ตลอดปี ถ้าเราอยากจะรู้ว่ามีอะไรผิดสังเกต ต้องดูกันข้างล่างไม่ใช่จากข้างบน”

หัวใจที่เต็มไปด้วยความร้อนรน บังคับให้รื่นเร่งเจ้าคนนำทางต่อไป โดยตัวเองไม่ยอมพักผ่อน ผ่านห้วยซึ่งเวิ้งว้าง ขึ้นด่านช้าง ผ่านป่าไผ่อันสูงตระหง่าน จนกระทั่งถึงหนองเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ซึ่งยังมีน้ำพอที่จะกลั้วคอและล้างหน้า รื่นหันไปหาแอน

“ขึ้นไปอย่างนี้ เหมือนขี่ช้างจับตั๊กแตน” เขาบอก “คนอื่น ๆ คอยอยู่ที่นี่ดีกว่า เอ็งกับข้าไปด้วยกัน จนกว่าจะพบรอย”

เลยป่าไผ่ออกไป ชายทั้งสองข้ามปลายลำห้วยเดิม ซึ่งคดอ้อมไปตามเชิงเขา แม้เกือบจะ ๓ โมงเช้า พระอาทิตย์ก็ยังเป็นสีเทา อยู่หลังกลุ่มหมอก ซึ่งวกวนอยู่ในหุบเขาอันลึกและทึบ เกือบเป็นการสุดวิสัยที่จะสังเกตเห็นอะไรได้ นอกจากจะใช้ไต้และรื่นก็ไม่กล้าให้ใช้ไต้ จนกระทั่งขึ้นฝั่งห้วยอีกครั้ง ด่านช้างเลียบไปตามเชิงเขาสูงชัน จมูกอันไวของแอนก็ได้กลิ่นควันไฟ เหมือนสัตว์ในป่าสูงได้กลิ่นคน

“พี่รื่น” มันกระซิบ เอื้อมมือมาแตะแขนเขา “ยืนนิ่ง ๆ”

ต่างกว่าป่าไผ่ที่ผ่านมา ป่ายางตอนนั้นถึงจะสูงละลิ่ว แลคอตั้งบ่า ข้างล่างก็โล่งสุดสายตา เพียงแต่หมอกที่ลอยขึ้นมาจากพื้นดินเท่านั้นทำให้มองอะไรไม่เห็น ทั้งแอนและรื่นยืนนิ่ง จมูกสอดส่ายกลิ่นควันซึ่งจำไม่ผิดแน่ แต่มันมาจากทางไหน ? ทุกสิ่งทุกอย่างในบริเวณนั้นสงบและเงียบสงัด ลมไม่พัด ใบไม้ไม่ไหว แต่อย่างพรานผู้ชำนาญป่าทั่วไป ในอึดใจเดียวต่อมา แอนก็หาทิศของมันได้ จากอาการไหลเอื่อยของหมอกที่กดต่ำ และจากความแห้งซึ่งสัมผัสได้จากเปลือกต้นไม้ด้านนั้น

“ลมมาทางนี้” แอนกระซิบเบา ๆ ออกวิ่งเหย่าไปเหนือฝั่งห้วยที่ชื้นแฉะและลื่น ท่ามกลางใบไม้เน่าที่ทับถมกันเหยียบท่วมหลังเท้า ส่งกลิ่นอับๆ ขึ้นมาไม่ขาดระยะ

ต่อมาด่านก็เลี้ยวอ้อมเชิงเขา ซึ่งหักพับเป็นรูปข้อศอก แล้วมีทางแยกลาดลงไปสู่หุบเขาเบื้องล่าง กำลังตกลงใจว่าจะตามทางด่านเดิมต่อไป หรือแยกลงสู่หุบเขานั้น เสียงปืนก็ก้องสนั่นขึ้นนัดหนึ่ง กระสุนตัดกิ่งไม้เหนือศีรษะรื่นขาดสะบั้น ด้วยสัญชาตญาณซึ่งเตือนบอกถึงภัยอยู่ทุกชั่วลมหายใจ เขาพุ่งเข้ากอดบั้นเอวแอน ล้มกลิ้งตามกันลงไปถึงตะพักข้างล่าง การล้มครั้งนั้นเป็นเหตุให้ปืนคาบศิลาหลุดจากมือแอนกระเด็นไปทางหนึ่ง โดยไม่ทันรู้ตัว

“ทำไงล่ะ พี่รื่น?” แอนกระซิบมองดูปืน ซึ่งติดอยู่ระหว่างรากไม้เหนือศีรษะขึ้นไปไม่กี่ก้าว

“เฉย ๆ ไว้ เสียงมันใกล้เหลือเกิน คงอยู่แถวนี้แหละ อย่าขยับตัว เดี๋ยวได้ตายห่า !”

สิ้นเสียงปืนและเสียงกระท้อนซึ่งก้องกลับมา อยู่ระหว่างสองหน้าผา อันเผชิญกันอยู่คนละฝั่งห้วยแล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็กลับสงบเงียบไปอีก ขณะเดียวกันกลิ่นดินปืนและควันไฟชัดขึ้นเป็นลำดับ รื่นนอนหงายไม่กระดุกกระดิก มือกำปืนวินเชสเตอร์ .๔๔ ซึ่งไม่ยอมปล่อยไว้แน่น พยายามวาดภาพถึงที่ๆยืนอยู่เมื่อตะกี้ และทิศที่กระสุนปืนนัดนั้นผ่านอากาศหวือมา สายตาสอดส่ายไปทั่วบริเวณดังกล่าว แต่ก็ไม่ปรากฏวี่แววอะไร หมอกที่ลอยขึ้นมาจากพื้นดินค่อยจางหายไป เมื่อพระอาทิตย์ยิ่งสูงขึ้น อึดใจใหญ่ๆ ต่อมาจึงได้ยินเสียงก้อนหินเล็กๆ กลิ้งลงมาจากชะง่อนเขาเบื้องบน แล้วภาพตะคุ่มของคนก็โผล่ออกมาจากหลังก้อนหินใหญ่ตอนนั้น ชั้นแรกแค่ศีรษะก่อน ต่อมาก็ท่อนบน แล้วทั้งตัว แสงแดดที่ผ่านช่องเขาและกิ่งไม้ลงมา ในหว่างหุบเขาอันขมุกขมัวส่องกระทบต้นไม้ และหน้าผาเบื้องหลังสว่าง ทำให้ร่างเล็ก ๆ ร่างนั้นเป็นเป้าเด่นชัดอย่างไม่มีทางจะผิดได้ ในระยะเพียงไม่กี่สิบก้าว แต่เขา ก็ยังคงนอนนิ่งตลอดเวลาที่เจ้าของร่างนั้นไต่ลงมาหาอย่างแช่มช้าและระมัดระวัง มือขวากุมอยู่กับนกปืนแก็บที่ง้างด้วยความไม่ไว้ใจ

เหลือระยะอีกไม่ถึงสิบก้าว เสียงกลั้นใจก็ดังมาจากแอน ซึ่งนอนคว่ำหันหน้ามาหาเขา จากระหว่างหนังตาที่หรี่ปรือ รื่นรู้ดีว่าอาการของเขาจะลวงเจ้าคนร้ายต่อไปได้อีกไม่เท่าไหร่ นัยน์ตาอันเล็กของมันเป็นประกายแม้ในแสงสว่างสลัว หน้าของมันเต็มไปด้วยเหงื่อแม้อากาศจะเย็นชั่วขณะหนึ่ง เมื่อถึงโคนต้นตะเคียนเหนือตะพัก ที่ชายทั้งสองนอนนิ่งอยู่ มันหยุดยืนอย่างอัศจรรย์ใจต่อภาพอันไม่ไหวติงที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า ในพริบตาต่อมาก็ยกปืนประทับบ่าหมายศีรษะรื่นในระยะเผาขน และนั่นเองคือโอกาสที่เขาคอยอยู่ !

ด้วยความรวดเร็วของงูที่ฉกจวักและการกระโจนของเสือร้าย รื่นพลิกตัวออกไปจากวิถีของปืนนั้น ลุกขึ้นชันเข่าพร้อมกับเหวี่ยงพานท้ายโครมเข้าที่หน้าแข้งของเจ้าคนนั้น หุบเขาทั้งหุบก็ก้องสนั่นไปด้วยเสียงปืน และเสียงร้องของมัน จนฟังไม่เป็นศัพท์ – –

เขาและแอนโดดเข้าจับแขนมันไว้คนละข้าง ไม่ได้เอาใจใส่ต่อเสียงกระท้อน ที่ยังดังก้องกลับไปกลับมา เสียงกู่เรียก เสียงก้อนหินกลิ้ง และเสียงฝีเท้าวิ่งมาจากทุกหนทุกแห่ง

“มึงเป็นใคร ?” ปลายมีดซุยที่ขาวปลาบในมืออีกข้างหนึ่งของรื่นจ่ออยู่ที่คอหอยมัน

แอนได้ฟังก็หัวเราะลั่น

“ป่วยการถาม ! นี่แหละอ้ายกะเหรี่ยงที่ยึดควายอ้ายลีกับอีดาไว้เรียกค่าปรับให้นายเสถียรคราวนั้น มันชื่ออ้ายชะนู––”

“งั้นอุ่นเรือนก็ต้องอยู่แถวนี้ ?” รื่นสบถอยู่ในลำคอ “บอกมาถ้ามึงไม่อยากตาย”

นัยน์ตาของมันเต็มไปด้วยการท้าทาย ริมฝีปากของมันเม้มแน่น เหงื่อชุมหน้าผาก จากการสะกดกลั้นความเจ็บปวด ซึ่งได้รับที่ขาวาจาสักคำเดียวมิได้ล่วงออกมาจากลำคอของมัน

มือซ้ายของรื่นปล่อยจากแขนของมันข้างนั้น ยื่นออกไปรวบคอไว้ ปลายมีดซุยในมือขวาเป็นประกายแวบหนึ่ง เลือดก็หลั่งออกมาจากแผลยาวที่หน้าผากของมัน

“มึงยังไม่รู้จักกู อ้ายชะนู” เสียงของเขาขู่ฟ่ออยู่ในลำคอเหมือนอสรพิษ “ดูหน้ากูให้ดี – – ดูเสียให้พอก่อนที่มึงจะไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันอีกต่อไป”

แอนชำเลืองดูหน้านั้น แล้วก็อดใจสั่นแทนเจ้าคนเคราะห์ร้ายไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่รู้จักรื่นมานาน ไม่ว่าในยามอารมณ์ดีหรืออารมณ์ร้าย หน้านั้นมิใช่หน้ารื่นอีกต่อไป นัยน์ตาที่หาแววไม่ได้ และริมฝีปากซึ่งเขียวไปด้วยหนวดก็เช่นเดียวกัน มันเป็นหน้าของคนตาย หน้าของปีศาจ เพชฌฆาต และเสือร้ายรวมอยู่ในพิมพ์เดียวกัน กร้าว กร้าน และปราศจากความรู้สึกใด ๆ ทั้งสิ้น และชะนู แลดูหน้านั้นด้วยนัยน์ตาอันเหลือกลาน เกือบโปนถลนด้วยแรงมือบีบ ก็รู้และบอกได้ด้วยสัญชาตญาณป่าดงพงไพรของมันว่า ไม่มีทางจะหวังความปรานีแต่นิดหนึ่งประการใดเลยจากหน้า ๆ นั้น

“อย่า –– !” มันร้องออกมาได้คำเดียวก็สำลัก เมื่อประกายปลายมีดซุยที่เงือดเงื้อขึ้นอีกปลาบเข้าตา

“บอกมาว่าอีอุ่นเรือนอยู่ที่ไหน ? ถึงทำอะไรกับมันบ้าง ?”

“อุ่นเรือนยังอยู่..... ในถ้ำโน่น กับพวกข้าอีกห้าคน” เสียงเจ้ากะเหรี่ยงหอบหืดแทบไม่หายใจ ยังไม่มีใครทำอะไรมันได้ ข้าเองไม่รู้เรื่องด้วย ข้าเป็นหัวหน้าพวกนั้นไปเอาควาย แต่มันอยากได้เมีย พาเอาตัวมาแล้วก็ปล่อยควายไป อีนั่นไม่ยอมเป็นเมียใคร อย่าทำข้า.....ข้าจะพาตัวมันมาให้”

ชั่วอึดใจหนึ่งเต็ม ๆ รื่นพิจารณาดูหน้ามันอยู่เงียบ ๆ ครั้นแล้วก็ปล่อยมือและลุกขึ้นยืน

“หยิบปืนของเอ็ง แอน แล้วคอยพวกนั้นอยู่ที่นี่ ข้าได้ยินเสียงกู่เมื่อตะกี้ เดี๋ยวก็คงถึงหรอก” เขาหันไปหาอ้ายชะนู “กูจะไปกับมึงด้วย !”

“ระวังหน่อย พี่รื่น” แอนเตือน

แต่สีหน้า นัยน์ตา และกิริยาของเจ้ากะเหรี่ยงบอกรื่นดีว่า เขาไม่มีอะไรจะต้องเกรงมันอีกต่อไป

“ออกหน้า !” รื่นกระชากแขนมันลุกขึ้นยืนโซเซอยู่บนขาที่กะเผลก “ทำท่าพิรุธ หักหลังข้านิดเดียวตาย !”

หมอกซึ่งไหลรินขึ้นมาจากพื้นดิน ค่อยละลายหายไปเป็นลำดับ ในที่สุดก่อนที่รื่นและเจ้าชะนูจะถึงแอ่งน้ำซับข้างเชิงเขาตอนล่าง ซึ่งมันอธิบายว่าเป็นปากทางไปสู่ถ้ำที่พักหลังจากตามทางด่านเส้นเดิมไปเหนือฝั่งห้วยราวอึดใจเต็ม ๆ แสงแดดก็ส่องสว่างจ้าลงมาเหนือหุบเขาเบื้องล่างเป็นครั้งแรก

แสงนั้นทำให้ภูมิประเทศรอบกายดูแปลกไป รื่นรู้สึกเหมือนยืนอยู่เหนือทะเลของยอดไม้เขียวเป็นมันปลาบ ลึกลับและวังเวงชอบกล แต่ละต้นใหญ่ขนาดหลายคนโอบ แต่ละต้นสูงคอตั้งบ่า มันเป็นป่ายาง มะค่า ตะเคียนและเสลา ซึ่งเขายังไม่เคยสำรวจถึง ชั่วขณะหนึ่งเขาหยุดยืนอยู่กับที่ พิจารณาดูป่าในหุบเขาข้างล่าง แล้วก็หันมาดูบริเวณที่ยืนอยู่ในปัจจุบัน

น้ำซับนั้นใสแจ๋วอยู่ในแอ่งศิลา รูปเหมือนอ่างเล็ก ๆ ใต้ชะวากผาอันกว้าง เบื้องหลังเข้าไป ทางเดินเท้าลาดขึ้นไป สู่หลืบเขาอันลึก แลเห็นควันไฟลอยออกมาเป็นระยะ ๆ

“นั่นแหละที่อีอุ่นเรือนอยู่” ชะนูบอก ร้องตะโกนเรียกเป็นภาษาของมัน

เงียบอยู่นานจนกระทั่งทั้งรื่นและเจ้ากะเหรี่ยงก็ประหลาดใจ ต่อมาสักครู่ ร่างของคนที่อยู่ภายในจึงปรากฏขึ้นที่ปากคูหานั้น ชั้นแรกคนหนึ่งก่อน ต่อมาก็สอง สาม สี่ และห้า สายตาอันเร็วของรื่นกวาดดูทั่วปากคูหา ซึ่งมืดกระหึ่มอยู่หลังแสงแดดภายนอก

“ไม่มีอีอุ่นเรือน !” เสียงขู่ฟ่อเหมือนอสรพิษนั้นอีกแล้ว

ชะนูชำเลืองดูหน้านั้นนิดหนึ่งนิดเดียวเท่านั้น แล้วก็ตะเกียกตะกายด้วยขาอันกะเผลกของมันปืนขึ้นไปยืนอยู่บนก้อนหินข้างหน้า ส่งภาษากับเจ้าพวกข้างบนเร็วปรื๋อ รื่นแว่วเสียงตอบสองสามคำ ซึ่งเขาไม่เข้าใจ แต่มันก็มากพอที่จะทำให้เจ้าชะนูไต่กลับลงมาหา ด้วยสีหน้าซึ่งแสดงความโล่งอก

“อุ่นเรือนอยู่ข้างใน" เสียงมันสั่น ๆ “ช้าไปอีกนิดเดียว เป็นเมียอ้ายชะลอแล้ว – –”

รื่นมิได้ฟังอีกต่อไป เขาผลักเจ้ากะเหรี่ยงเล็กหลีกจากทาง พลางก้าวขึ้นไปบนเนินซึ่งนำไปสู่ปากถ้ำ ได้ยินเสียงเจ้าชะนูส่งภาษาตามมาข้างหลัง เสียงคนพูดดังมาจากข้างล่าง และเสียงพึมพำมาจากข้างใน ไม่มีใครเลยจะกีดขวางทางเขา เจ้ากะเหรี่ยงทั้ง ๕ คุ้มไหล่ หลบเข้าแฝงเงาจากแสงไฟ และแสงแดดที่เริ่มส่องเข้ามา รื่นรู้ตัวว่าในฐานะเช่นนั้นมีดซุยหรือหลาวไม้รวก อาจจะพุ่งออกมาปักหลังทะลุอกเขาเมื่อหนึ่งเมื่อใดก็ได้ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็รู้จากสีหน้า และจากกิริยาเจ้ากะเหรี่ยงเหล่านั้น เท่า ๆ กับสัญชาตญาณของเขาเองเตือนบอกว่าจะไม่มีใครกล้า ความจัดเจนที่เจ้าชะนูได้รับมาเมื่อตะกี้เป็นอย่างหนึ่ง เสียงพูดและเสียงทุ่มเถียงของแอน แวว และ พัน พร้อมด้วยพวกที่ปางที่มาจากข้างล่างเป็นอย่างต่อไป

ไฟกองหนึ่ง ลุกแดงอยู่กลางถ้ำ ความกระทันหันที่เขาเข้าไปสู่ที่นั้นทำให้นัยน์ตาพร่า ไม่สามารถจะมองอะไรโดยถนัดได้ นอกจากกระทอที่กระจัดกระจาย ใบไม้ที่เกลื่อนพื้น และฟืนยังกองอยู่ข้างๆ

“อุ่นเรือน !” เขาเรียกเบาๆ

กลิ่นอับ ๆ ของถ้ำ และลมเย็นจากค้างคาวที่กระพือปีกผ่านไปเป็นคำตอบที่ได้รับ รื่นก้าวเข้าไปอีก หูแว่วเหมือนได้ยินเสียงสะอื้นกระซิกท่ามกลางเสียงเอะอะของการทุ่มเถียง ซึ่งดังมาจากข้างนอก

“อุ่นเรือน !” เขาเรียกอีก

ขณะนั้นเองเขาก็ชำเลืองเห็นหล่อนเป็นครั้งแรก ตัวเปล่าและขาวโพลนอยู่ในเงามืดของก้นถ้ำ

“อุ่นเรือน” รื่นเรียกอีก “ข้าเอง เอ็งจำไม่ได้หรือ? รื่นน่ะ!”

หญิงสาวยังก้มหน้า หันเข้าหาผนังถ้ำ ไหล่และหลังอันเปล่าเปลือยของหล่อนสั่นเทิ้มด้วยอาการสะอื้น แม้กระทั่งรื่นปราดเข้าไปหา แม้กระทั่งแขนของเขาเอื้อมออกไปโอบหล่อนเข้ามาไว้กับทรวงอก ร่างของอุ่นเรือนก็ยังคงสั่นเหมือนลูกนก ความตกใจที่ได้รับมาอย่างถึงขนาดทำให้หล่อนพูดไม่ออก ความอบอุ่นที่ได้รับจากอ้อมแขนของเขา ทำให้หล่อนได้แต่ถอนใจ

“ไม่ต้องกลัวอะไรอีก” รื่นปลอบต่อไป “ข้าอยู่ที่นี่ ใคร ๆ ที่ปางก็มาอยู่ที่นี่ ใส่เสื้อเสียให้ดี เดี๋ยวพวกนั้นก็คงเข้ามา อย่าบอกอะไรข้า ไม่ต้องเล่าอะไรให้ใครฟัง”

อย่างเลื่อนลอย เหมือนคนที่ยังไม่ตื่นจากฝันร้าย อุ่นเรือนดึงเสื้อที่ขาดกระรุ่งกระริ่งลงมากรอมสะเอวอยู่ขึ้นสู่ไหล่ทั้งสองข้าง ริ้วรอยที่ยังแดงช้ำอยู่ ที่ต้นแขนและไหล่อันขาวผ่อง ที่ข้อมือซึ่งกร้านแดด และทรวงอกสล้างนั้น ล้วนแต่แสดงถึงความทุกข์ทรมานของนรกที่หล่อนได้ผ่านมา

ชำเลืองดูหญิงสาวผู้ไร้เดียงสาไปตามประเพณีธรรมชาติของหล่อน รื่นรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาอีกด้วยโทสะเพราะความสงสาร เขาหันกลับไปหาเจ้ากะเหรี่ยงทั้ง ๕ ซึ่งตลอดเวลายืนกระสับกระส่ายอยู่ในที่เดิม โดยไม่กล้าที่จะขยับเขยื้อนเคลื่อนที่แต่อย่างใด

“สัตว์นรก !” เขาคำราม ยกปืนขึ้นประทับอย่างกระทันหัน เพียงพลิกนิ้วนิดเดียวเท่านั้น ชีวิตหนึ่งก็จะสูญไปจากโลกนี้ แต่มีประโยชน์อะไร เมื่อเรื่องร้ายต่าง ๆ ผ่านไปแล้ว ไม่มีทางแก้ไข มองดูหน้าอันสกปรกของมัน มองดูขาที่สั่นของทุกคน ในที่สุดในก็ถอนใจลดปืนลงด– “ยิงหมาดีกว่า–––”

ฆ่าพวกนั้นก็ไม่ต่างอะไรเลยกับการฆ่าสัตว์ที่หาประโยชน์อะไรมิได้ ชีวิตเดียวหรือกี่ชีวิตกะเหรี่ยงพวกนี้ดับสูญไป จะไม่ทำให้บ้านปลอดภัยขึ้นแต่อย่างใด ตราบใดที่เจ้าตัวต้นความคิดยังมีชีวิตอยู่––

เจ้าชะนูเข้ามา แอน แววและพันพร้อมด้วยพวกที่ปางเข้ามา สีหน้าของคนงานแปลกใจ ที่แลเห็นเขาและอุ่นเรือนอยู่ในสภาพเช่นนั้น

“ไปหาอ้ายพัน” เขารุนหลังหญิงสาวออกไปข้างหน้า “หรืออ้ายแววแล้วแต่เอ็งจะตกลงใจ– –”

แต่อุ่นเรือนยังคงเกาะสะเอวเขาไว้ ไม่พูดไม่จา นัยน์ตาของหล่อนมองดูทุกคน เหมือนชายแปลกหน้า รื่นมิได้พยายามรบเร้าหล่อนอีกต่อไป

“อ้ายชะนู” เขามองดูเจ้าหัวหน้ากะเหรี่ยงเล็กจากส่วนสูงของเขา เสียงที่พูดเบา แต่กังวานมิได้ทั้งความสงสัยไว้เลยถึงอันตราย ซึ่งอยู่เบื้องหลังกังวานเสียงนั้น “กูไม่ควรจะไว้ชีวิตพวกมึงเลยจนคนเดียว แต่กูจะไม่ทำอะไร จะปล่อยมึงกลับแต่โดยดี กรู้ว่าลำพังพวกมึงไม่เคยมีสาเหตุผิดพ้องหมองใจอะไรกับพวกปากคลอง พญาตะก่าเองเคยรักเคยเมตตาคนบ้านนี้ เหมือนพี่เหมือนน้อง ถึงพะโป้ก็อย่างเดียวกัน แต่ไหนแต่ไรมาพวกเราไม่เคยได้รับการรังแกกดขี่ ป่านี้ไม่เคยมีใครกีดกันหวงห้าม ใครอยากทำอะไรเป็นทำ ใครอยากจะตัดอะไรตัด เพราะโป่งน้ำร้อนเป็นของแผ่นดิน จนกระทั่งนายเสถียร มาอยู่ มึงรู้ข้อนี้ดี–– กลับไปบอกเขาว่า พวกเราไม่ต้องการอะไรมาจากป่านี้ นอกจากที่ทำมาหากินอย่างที่เราเคยทำมาแล้ว ไม่มีอะไรจะมาห้ามพวกเราได้....กลับไปอ้ายชะนู และก็บอกพวกมึงให้รู้กันทั่วว่า พวกปากคลองเคยถือว่ากะเหรี่ยงเป็นลูกน้องพะโป้ ฉะนั้นจึงถือเป็นเพื่อน อย่าให้ต้องขัดใจกัน พวกเราเป็นศัตรูขึ้นมาเมื่อไรพวกมึงจะไม่มีที่อยู่ที่นี่ ไม่ว่าจะในบ้านในเมืองหรือป่าลึกเข้าไปเพียงไร ขวากหลาวหรือหน้าไม้ยางน่อง จะไม่ช่วยพวกมึงได้ พะโป้นายมึงกลับมาถึงเมื่อไร กูจะให้รู้เรื่อง พวกมึงจะถูกขับออกจากเมืองนี้ บางทีก็จะถูกเขาลงโทษ มึงรู้ดีแล้วว่าพะโป้เป็นคนอย่างไร––ไป อย่ากลับมาให้กูเห็นหน้าพวกมึงในป่านี้อีก –– ไป ปล่อยให้เรื่องของนายเสถียรกับพวกปากคลองเป็นเรื่องอยู่ในระหว่างกูกับเขา”

รื่นไม่แน่ใจนักว่ามันเข้าใจความหมายของเขาถี่ถ้วนตามที่ต้องการให้เข้าใจหรือไม่ แต่ทันใดที่เอ่ยนามของพะโป้ กิริยาใด ๆ ที่ยังอยู่ในความควบคุมก็อันตรธานไปสิ้น เหมือนสุนัขที่ถูกแส้ มันหันไปส่งภาษากับพรรคพวกทั้ง ๕ ด้วยสีหน้าซึ่งซีด และเสียงที่สั่น

เท่านั้นเองที่เขาต้องการ ! และถ้าความสันทัดจัดเจนที่เขาได้รับจากการคลุกคลีและคบค้าสมาคมกับชนชาตินี้มาแต่สมัยยังเที่ยวเตร่เร่ร่อนอยู่ บอกไม่ผิด ป่าโป่งน้ำร้อนก็คงจะปลอดภัยต่อไป จากลูกดอกอาบยาพิษ ขวาก หลาว จั่นห้าว และปืนไฟ อ้ายชะนูหัวหน้าควาญช้างและปางห้วยอีโก้งรู้จักเขาแล้ว ทั้งในฐานะศัตรูและมิตร –– ชาวป่าอย่างมันไม่มีวันจะดูคนผิด และอย่างบุคคลที่ควรกลัว นามของรื่นคงจะถูกบอกป่าวกล่าวขานต่อไปในระหว่างพวกกะเหรี่ยงด้วยกัน

“ทำไมปล่อยมันไป พี่รื่น ?” แอนถาม ขณะที่มองตามอ้ายชะนูพร้อมด้วยลูกน้องของมันทยอยกันออกไปจากถ้ำนั้นอย่างเงียบ ๆ ไม่ปริปาก หรือเหลียวหลังกลับมาอีกเลย “ทำไมไม่เอาตัวมันไปให้ผู้ใหญ่พูนส่งอำเภอ”

เขาสั่นศีรษะ “มีประโยชน์อะไร ในเมื่อนายเสถียรกับนายอำเภอเป็นเพื่อนกัน นอกจากนั้นพวกคนงานกะเหรี่ยงไม่ใช่มีแต่อ้ายชะนู เอาพวกนี้ขึ้นศาล พวกใหม่ยังมีอยู่ นายเสถียรเขาสั่งได้ ข้าต้องการเอาชนะอ้ายพวกนี้ทางใจ ไม่ใช่ทางกำลัง ไม่งั้นพวกเราไม่พ้นถูกรังควานต่อไป ถ้าข้าเข้าใจไม่ผิด นายเสถียรจะต้องหาลูกมือใหม่ สำหรับขับเคี่ยวกับเราต่อไป แต่ไม่ใช่พวกกะเหรี่ยงแน่ ตราบใดที่พะโป้ยังมีชีวิตอยู่ พะโป้จะยังเป็นเจ้าชีวิตที่อ้ายชะนูกับคนงานกะเหรี่ยงอื่น ๆ จะต้องกลัว–– ไม่ใช่นายเสถียร...”

“งั้นเอามันไว้ทำไม คนพรรค์นั้น” แววมองดูอุ่นเรือน ซึ่งยังเกาะแขนรื่นนิ่งอยู่เหมือนเด็กที่ยังไม่หายจากฝันร้าย แล้วก็ขบฟัน “หนักแผ่นดิน !”

“เองจะทำยังไง ?”

“คอยในเวลามันออกตรวจป่าหรือแอบเข้าไปหามันในคืนเดือนมืดสักวัน โป้งเดียวเท่านั้น....ก็สิ้นเรื่องสิ้นราว”

รื่นหัวเราะ “แล้วเอ็งก็จะกลับเข้าไปอยู่ที่เก่าของเอ็งอีก––ในตะราง ! หรือไม่นั้นก็เข้าบ้านเข้าช่องไม่ได้ นอนกลางดินกินกลางทราย ไม่มีแผ่นดินจะอยู่ จนกว่าเขาจะจับได้ อย่า อ้ายแวว––เอ็งพยายามกลับตัวเป็นคนดีมาได้นานแล้ว อย่าให้มันเสียไปอีกเพราะอารมณ์ชั่วแล่น เรื่องของนายเสถียร ไม่เกี่ยวกับเอ็ง หรือข้าคนเดียว มันเกี่ยวกับชาวกำแพงฝั่งนี้ทุกคน เรายังไม่จนปัญญาถึงกะจะต้องใช้วิธีนั้น เจ้าเมืองยังอยู่ พะโป้ยังอยู่ เราต้องพยายามต่อไป ว่าแต่ใครเอาอีอุ่นเรือนไปจากข้าเสียที––”

เจ้าพันซึ่งหนุ่มกว่าและถือว่ามีกรรมสิทธิ์ในตัวหญิงสาวเหมือนกันก้าวเข้าไปหาหล่อน แต่แววยื่นมือออกผลักมันหลีกทางไป

เขาบอก

“อย่าเสือก !” มันว่าพลางก้าวเข้ามา

รื่นเลิกคิ้ว มองดูหน้าเจ้าสองคนแล้วก็หัวเราะ เป็นครั้งแรกนับแต่ออกจากหนองคล้ามา – – – หัวเราะนั้น ทำให้บรรยากาศซึ่งตึงเครียด และทุกคนที่นิ่งเหมือนเป็นใบ้คลายอิริยาบถลงได้

“อย่าเสือก – –” เขาบอก หัวเราะอีก ยกมือกันแววไว้ “กูคิดว่าจะไม่มีใครต้องการมันเสียแล้ว” เขาบอก ปลดมืออุ่นเรือน แล้วก็ค่อย ๆ รุนหลังหล่อนออกไป “อย่าวุ่นวายกัน........ให้มันเลือกของมันเองว่าจะไปกับใคร”

สายตาทุกคู่ จับอยู่ที่หญิงสาว อุ่นเรือนนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ ๆ ทรวงอกซึ่งสล้าง กระท้อนขึ้นลงด้วยอาการถอนหายใจเข้าออก สีหน้าที่ซีดเผือดเรื่อขึ้นด้วยโลหิต นัยน์ตาอันเลื่อนลอยก็เป็นประกาย ต่อมาหล่อนก็ก้าวออกไป – – มิได้ตรงเข้าไปที่แววหรือพัน หากผ่านเจ้าสองคนนั้น และชาวบ้านอื่น ๆ ที่ยืนออกันอยู่ในถ้ำออกไปข้างนอก ท่ามกลางความอัศจรรย์ใจของทุกคน และเสียงหัวเราะก้องของรื่น....

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ