๑๕
น้ำยังลดต่อไป ด้วยความรวดเร็วในอัตราเดียวกันกับเมื่อมันขึ้น เพียง ๕ คืนและ ๖ วัน ระดับของมันก็ลงไปอยู่แค่ตลิ่ง ทิ้งพื้นดินอันเละเป็นเลนและโคลนตมไว้ทั่วทุกหนทุกแห่ง นาทุกแปลงตลอดสองฝั่งแม่น้ำปิงล่มพินาศ ไร่และสวนผลไม้ล้มลุกเกือบไม่มีอะไรเหลือจากเหนือจดใต้ จากพรานกระต่ายซึ่งเป็นอู่ข้าวของทุกจังหวัดบนฝั่งแม่ปิง จนจดตะวันตกมีแต่ความว่างเปล่า พวกผู้เฒ่าผู้แก่ที่ยังจำเหตุการณ์เมื่อ ๒๕ ปีก่อนได้เริ่มกระสับกระส่ายเมื่อคิดถึงความอดอยากยากแค้น หลังน้ำท่วมใหญ่คราวก่อนได้
“ถึงงั้น ครั้งกระโน้นมันก็ไม่ร้ายแรงอย่างนี้” มีผู้ที่ความจำดีอธิบาย “เพียงครึ่งเสาเรือนเท่านั้น ไม่ปริ่มพื้นนอกชานอย่างที่โดน แล้วเป็นอย่างไรบ้างล่ะ ? ตั้งแต่ลานดอกไม้พรานกระต่าย บ้านโคน ลงไปถึงคลองขลุงกะวังแขม ยังต้องเล่นข้าวปนกลอยไปตาม ๆ กัน ข้าคิดว่าคราวนี้มันจะร้ายกว่านั้น”
รีนคาดไม่ถึงเลยว่าความรุนแรงของทุพภิกขภัยจะกระทบกระเทือนถึงความเป็นอยู่ของชาวจังหวัดต่าง ๆ บนฝั่งแม่ปิงและจังหวัดใกล้เคียงร้ายกาจเพียงไหน จนกระทั่งกลับจากขายไม้ ภายหลังที่ทำบุญให้แม่เฒ่าแคล้วและน้ำลดลงพอจะล่องแพได้แล้ว ผ่านขึ้นไปตามตำบลต่าง ๆ หมู่บ้านร้างที่เก้าเลี้ยวเป็นแห่งแรกที่ทำให้เขาได้สำนึกถึงผลต่อเนื่องจากอุทกภัยครั้งนั้น บ้านใหม่ หาดชะอม เกาะหมู แม่ลาดเป็นตำบลต่อไป แต่ละแห่งมีแต่เรือนที่ปราศจากคน พ้อมที่ปราศจากข้าว เล้าที่ปราศจากเป็ดและไก่ คอกที่ปราศจากควายและหมู ดูๆ ก็เหมือนโรคระบาดลงกินหมู่บ้านและตำบลเหล่านั้น คำบอกเล่าจากชาวบ้านเดิมที่อพยพไปอยู่ตามตำบลใกล้เคียงอย่างเดียวที่อธิบายภาพอันโหดร้ายทารุณของความทุกข์ทรมานที่บรรดาพวกเขาได้รับจากความอดอยากยากแค้นตลอดเวลา ๔–๕ เดือนที่แล้ว ว่าเต็มไปด้วยความเศร้าสลดสยองเพียงใด
เมื่อไร่และนาอันเป็นที่มาของอาหารประจำวันพินาศไปด้วยอุทกภัยครั้งนั้น อาหารที่เหลืออยู่ก็เพียงแต่ข้าวเปลือก ข้าวโพด ข้าวฝ้างและลูกเดือย ซึ่งเก็บไว้เฉพาะจะยังชีพไปพอชนกับฤดูเก็บเกี่ยวใหญ่ ทุก ๆ วันเสบียงสำรองเหล่านี้หมดไป ความแล้งอย่างทารุณของปีนั้น ทำให้ไม่สามารถจะลงพืชอะไรอีกได้ ในที่สุด เมื่อไม่มีพืชจะเก็บจากไร่ ไม่มีข้าวใหม่จะเกี่ยวจากนา และเข้าตาจน ทุกคนก็หันเข้าป่าพึ่งธรรมชาติ บรรดาเผือกมัน และกลอย ถูกขุดมาฝานตากแห้งสำหรับหุงปนกับข้าวตามวิธีและความเคยชินที่ปู่ย่าตายายของพวกเขาปฏิบัติกันมาแต่ไหนแต่ไร แต่พืชพันธุ์ธัญญาหารซึ่งเกิดด้วยน้ำมือธรรมชาติมิใช่จะมีปริมาณไม่จำกัด หรือมีทุกหนทุกแห่งไป ด้วยประการฉะนี้เอง แต่ละหมู่บ้านและแต่ละครอบครัวจึงต้องใช้ชีวิตของพระธุดงค์ ตั้งชุมนุมลงที่หนึ่งชั่วคราว พยายามอยู่และกินอย่างดีที่สุด และนานที่สุดที่เขาจะสามารถพยายามได้ เมื่อป่าไม่มีอะไรให้ต่อไป การอพยพไปสู่ภูมิประเทศและตำบลใหม่ก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่พ้น ผู้คนล้มตายเพราะความเจ็บไข้ หลายครัวตายเพราะความอดยาก และหลายสิบครัวก็เพราะเมากลอย ซึ่งเป็นสารทำนองเดียวกับผักหวานและทำนองเดียวกับมันบางชนิด
ความคิดถึงภาพอันน่าสมเพชเวทนาเหล่านั้น ทำให้รื่นอดใจสั่นไม่ได้ ทุพภิกขภัยครั้งแรกมาถึงลุ่มน้ำแม่ปิงขณะที่เขายังท่องเที่ยวอยู่ในภาคอื่น ฉะนั้นจึงพ้นจากความทุกข์ทรมานอันขื่นขม และภาพของเหตุการณ์อันเต็มไปด้วยความสะเทือนใจเหล่านั้นได้
“คราวนั้น ฉันกำลังอยู่ที่เชียงใหม่” เขาเล่าให้สุดใจฟัง “และเชียงใหม่เป็นเมืองที่ไม่เคยมีใครอดตายเว้นเสียแต่คนเราจะขี้เกียจ – –”
ข่าวที่เขาได้รับจากตำบลและอำเภอต่าง ๆ ระหว่างขึ้นไปอยู่บ้าน ล้วนแล้วแต่แสดงถึงความทุกข์ทรมานที่ผู้คนได้รับกันอย่างแสนสาหัสทั้งนั้น นอกเหนือไปจากทุพภิกขภัย บรรดาโจรผู้ร้ายต่างเกิดขึ้นทุกหัวระแหงราวกับดอกเห็ด กำแพงเพชรซึ่งสงบสุขมาชั่วระยะหนึ่ง เดือดร้อนไปทั่วทุกหย่อมหญ้า จนกระทั่งแม้กำลังปราบปรามทางฝ่ายบ้านเมือง ก็ไม่สามารถจะควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ พวกที่มีวัวมีควายต่างต้อนเข้าบ้าน ชีวิตของการเที่ยวเตร่หยุดชะงักลงทุกครอบครัวก็ได้แต่จะดับไฟปิดประตูนอน ทั้งข่าวจริงและข่าวลือกระฉ่อนไปว่าผู้ร้ายจะยกเข้าโจมตีหมู่บ้านโน้น จะยกเข้าปล้นหมู่บ้านนี้ บางทีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงโดยไม่มีใครหรืออะไรจะช่วยไว้ได้ และบางทีก็เหลวเป็นข่าวโคมลอย
คลองสวนหมากเป็นตำบลเดียวที่รอดพ้นจากชะตากรรมของท้องที่อื่นในเขตอำเภอเมืองและอำเภออื่นมาได้ ข้าวเก่าซึ่งแต่ละครัวเรือนมีอยู่เต็ม พ้อมและฉางเป็นหลักประกันประการต้นสำหรับผจญกับทุพภิกขภัย รั้วรอบขอบชิดของเหย้าเรือนที่อยู่กันเป็นปึกแผ่นเป็นประการต่อไป สำหรับเผชิญกับพวกปล้นคณะใดที่ใจเด็ดเดี่ยวพอและกล้าเสี่ยงพอที่จะทดลอง หลายครั้งควายที่เด็กชาวบ้านพาออกไปเลี้ยงกลางทุ่งถูกต้อนไปต่อหน้าต่อตา แต่ทุกครั้งรื่นพร้อมด้วยลูกบ้านก็ออกติดตามได้ตัวกลับมาทั้งควายและคนร้าย หากเคราะห์ดี ยังมีชีวิตอยู่จากการต่อสู้กับเจ้าทรัพย์ ความเข้มแข็งของเขาในการควบคุมผู้คนและปราบโจรผู้ร้ายทั้งนี้ ในที่สุดก็อดล่วงรู้ไปถึงหูท่านเจ้าคุณผู้ว่าราชการจังหวัดไม่ได้ ทั้งๆ ที่รายงานตกอยู่แค่นายอำเภอเท่านั้น
“ถ้าได้ผู้ใหญ่บ้านและกำนันอย่างอื่นทุกตำบลกำแพง ก็คงจะไม่เต็มไปด้วยพวกปล้น โจรผู้ร้ายอย่างนี้” ครั้งหนึ่งท่านบอกหลวงราชบริการที่ศาลากลางจังหวัด “นี่ก็ใกล้ฤดูทำนาเข้ามาอีกแล้ว ถ้าเรากำจัดเจ้าพวกนั้นให้เบาบางลงไม่ได้ ปีต่อไปจะเข้าตาร้ายยิ่งขึ้น ใครจะกล้าออกไปทำนา ในเมื่อตาของพวกอ้ายโจรคอยจับอยู่ที่ควาย ? พรานกระต่ายตกที่นั่งลำบากยิ่งกว่าที่อื่น เมื่อวานนายอำเภอเขาขอกำลังตำรวจเมืองไปเพิ่ม ทั้ง ๆ ที่ทางเมืองก็ร่อยหรอ ถ้าเหตุการณ์ยังเข้าที่คับขันอย่างนี้บางทีเห็นจะต้องขอกำลังไปทางมณฑล หรือไม่ก็เกณฑ์คนเหมือนคราวศึกฮ่อกันอีกที – –”
แต่ก่อนที่ปีนั้นจะทันสิ้นลง และก่อนที่สงกรานต์ปีใหม่จะมาถึง ตำบลหนึ่งแล้วก็อีกตำบลหนึ่งก็ค่อยสงบจากการรบกวนของโจรผู้ร้าย บ้างว่าเพราะชาวบ้านไม่มีอะไรเหลือจะให้ปล้นสดมภ์อีกต่อไป และบ้างก็ว่าโจรผู้ร้ายเหล่านั้นย้ายไปหากินในท้องที่อื่น อย่างไรก็ดี เมื่อวันคืนล่วงไป และฤดูฝนเริ่มต้น ทุกบ้านและทุกตำบลในเขตจังหวัดกำแพงเพชร นอกจากพรานกระต่ายต่างก็ออกจากบ้านไปทำไร่ไถนากันได้อีกครั้ง พื้นแผ่นดินที่แล้งแห้งเกราะมาเป็นเวลาช้านานกลับชุ่มชื่น ความชื่นบานที่หายไป ค่อยปรากฏขึ้นบนทุกใบหน้า ในอากาศกลับก้องไปด้วยเสียงร้องเพลงพื้นเมือง และเสียงหัวเราะอันแจ่มใสไปด้วยความหวัง และอย่างภัยธรรมชาติอันร้ายกาจทุกคราวมา อุทกภัยและทุพภิกขภัยครั้งนั้นอาจจะคร่าห์ชีวิตมนุษย์บนสองฝั่งแม่ปิงไปเป็นจำนวนร้อย ทำลายทรัพย์สินสูญเสียไปประมาณไม่ถ้วน ทิ้งริ้วรอยแห่งความทุกข์ทรมานจากภัยพิบัติไว้อย่างยากที่จะอธิบายถูก ถึงกระนั้นครั้งหนึ่งมันผ่านไป ทุกคนก็รู้สึกเหมือนเกิดใหม่ พร้อมด้วยกำลังใจและเจตนาที่แกร่งกล้าเป็นทวีคูณ การทดลองขั้นอุกฤษฏ์เพิ่มอำนาจในการต่อสู้ดิ้นรนให้แก่มนุษย์ มิฉะนั้นก็ทำลาย
คราวใดที่ทบทวนความทรงจำกับสุดใจไปถึงเหตุการณ์ครั้งนั้น รื่นเป็นอดคิดไม่ได้ถึงวาจาของแม่เฒ่า ซึ่งกล่าวแก่หล่อนก่อนที่วิญญาณอันเหนื่อยอ่อนของแกจะคลายออกจากร่าง
“–– แต่นี้ไปปากคลองจะอยู่เย็นเป็นสุข” แกว่าอย่างนั้น “ถึงปีหน้าทุกหนทุกแห่งจะต้องรับทุกข์ ข้าวจะยาก หมากจะแพง ปากคลองก็ไม่เป็นไร !”
อำนาจอันใดดลใจแม่เฒ่าให้เข้าถึงความจริงข้อนี้ ? ไม่มีใครสามารถอธิบายได้ว่า อะไรเป็นเหตุให้แกพยากรณ์อนาคตของคลองสวนหมากถูก เหมือนมองเห็นกาลข้างหน้าปรากฏชัดอยู่ในกระจก ? แต่จะเป็นด้วยอำนาจหรือสัญชาตญาณอะไรเตือนบอกแกก็ตาม คำพยากรณ์นั้นเป็นความจริงทุกประการ ไม่มีความทุกข์ยากซึ่งเหลือวิสัย หรือภัยที่รุนแรงใดๆ จะกล้ำกรายเข้ามาในท้องที่ตำบลนั้น สำคัญพอที่จะกำหนดจดจำอยู่ในความคิดของชาวปากคลองได้ อดีตซึ่งโหดร้ายทารุณนานัปการ ทำให้ภาวะของผลต่อเนื่องจากอุทกภัยและทุพภิกขภัยในปัจจุบันของคลองสวนหมากปราศจากความหมายไป
รื่นเชื่ออย่างที่แม่เฒ่าปรารภกับสุดใจ ว่าเสนียดจัญไรจะถูกชำระล้างสูญสิ้นไปเสียที่จากพื้นปถพีอันเก่าคร่ำของปากคลอง เขาอธิษฐานและภาวนาว่าอนาคตของตำบลนี้จะอยู่ในสภาพนั้นต่อไป
“ขอให้จบกันเพียงแค่นี้ ฝีดาษ ไข้ป้าง ไฟป่า โรคห่า น้ำท่วมและอดข้าว ขอให้ข้าพเจ้าได้ตั้งตัวติดสักทีจะได้เป็นที่พึ่งของพวกบ้านนี้ต่อไป” เขาพร่ำแล้วพร่ำเล่าทุกคราวที่สวดมนต์ไหว้พระก่อนจะเข้านอน
เสียงถอนใจเบา ๆ อยู่ข้างกายเขาในที่มืดของห้องบอกรื่นดีว่าสายตาและความสนใจของภรรยาจ้องจับอยู่ที่การกระทำของเขาตลอดเวลา
“อย่าลืมสวดมนต์อย่างข้า สุดใจ” เขามักจะบอกขณะที่เสร็จพิธีและล้มตัวลงนอน พลางถอนใจ “มันจะทำให้เอ็งคลาดแคล้วจากโรคภัยไข้เจ็บและศัตรูทั้งหลาย อย่างน้อยมันก็จะทำให้เอ็งหลับสบาย เพราะเทพยดาท่านรักษาอยู่เบื้องบน”
ทุกคราวหล่อนก็มักจะตอบว่า “ฉันสวดและอธิษฐานเหมือนกัน พี่รื่น แต่สวดอยู่ในใจ ในเวลาที่พี่รื่นหลับแล้ว”
“เอ็งอธิษฐานว่าอย่างไร ?”
“ขอให้วิญญาณอ้ายหนู กะป้าไปสู่สุคติ แล้วก็ขอให้พี่รื่นกะคนอื่น ๆ เป็นสุขสบาย”
“ก็แล้วเอ็งล่ะ ?” เสียงของเขาบอกความประหลาดใจ
“พี่รื่นเป็นสุขสบาย ฉันก็พลอยสบายด้วย”
อายุที่ล่วงไป และวัยที่ร่วงโรยเป็นเหตุให้หล่อนได้สำนึกถึงค่าของความสันโดษ ความทุกข์ยากตรากตรำ และความเศร้าสลดของเหตุการณ์ที่หล่อนผ่านมาแล้วแต่หนหลังนับครั้งไม่ถ้วน เป็นเหตุให้มองเห็นความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่พ้น ความสุขใดที่ได้มาจะมีค่าเหมือนสุขจากเห็นผู้อื่นเป็นสุข เพราะการเสียสละของตนจะมากน้อยเพียงใดก็ตามเป็นไม่มี ความสัมพันธ์ระหว่างหล่อนและรื่นซึ่งแต่แรกหนักไปในทางความยึดเหนี่ยวทางกายนับวันนับแต่จะเปลี่ยนแปลงไปเป็นทางใจ มันมิใช่เพราะว่าสังขารของคนที่วัยร่วงโรยมีความปรารถนาในรสสัมผัสน้อยกว่าคนที่อยู่ในวัยฉกรรจ์ มากไปกว่าความจัดเจนจากชีวิตอันเต็มไปด้วยริ้วรอยของหล่อน สอนให้รู้สำนึกถึงค่าของความสุขอันบริสุทธิ์โดยแท้จริง หล่อนรู้ว่าสังขารของรื่นยังเต็มไปด้วยความกระปรี้กระเปร่าและปรารถนาอย่างหรือยิ่งกว่าวัยหนุ่มที่เขาผ่านมาแล้ว ความแก่เฒ่าของคนเรามิได้อยู่ที่อายุ มิได้อยู่ที่วัย มิได้อยู่ที่สังขาร หากที่ใจและความรู้สึกอันยังอ่อนไหวต่อสัมผัสทั้งห้า ต่อความงามของท้องฟ้าเมื่อเวลาพระอาทิตย์แรกขึ้น และเริ่มจะตกดิน ต่อเสียงร้องไพเราะของนกที่บินผ่านไปในอากาศ ต่อแสงสี และกลิ่นของธรรมชาติซึ่งไม่เคยซ้ำ สมัยหนึ่งความกระปรี้กระเปร่าของเขาเคยทำให้หล่อนริษยาเมื่อคิดว่า นับวันนับแต่หล่อนเองจะเฉื่อยชา และเนิบนาบไปเพราะความร่วงโรย สมัยหนึ่งเสียงหัวเราะที่แจ่มใส และประกายวาวจากนัยน์ตาของเขา ทำให้หล่อนเป็นทุกข์เพราะความหวาดหวั่นว่า หล่อนจะไม่เป็นสุดใจคนเก่าที่เขารัก เขาบูชา ในสายตาของเขาอีกต่อไป หล่อนหวาดเกรงไปถึงรักใหม่ผู้หญิงใหม่ของรื่นว่า ในที่สุดจะทำให้หล่อนไม่มีที่อยู่ในชีวิตของเขา แต่ครั้งหนึ่งที่คนเราเสียสละได้ ความทุกข์ทรมานเพราะความหวั่นเกรงเหล่านั้นก็อันตรธานไป หมดความแสลงใจเมือเห็นเขาหยอกล้อเล่นหัวกับสาว ๆ ชาวบ้าน หมดความครุ่นคิดถึงเรื่องเก่า ๆ ที่ผ่านมาแล้วระหว่างเขากับจำปา กับใคร ๆ ตลอดผู้หญิงซึ่งสวนกับหล่อนที่บันไดที่พักแรม หน้าโรงหวยในกรุงเทพฯ ครั้งกระโน้น สิ่งเดียวที่แน่นแฟ้นอยู่ในดวงใจของหล่อนขณะนี้ มีเพียงแต่ปรารถนาจะได้เห็นเขาเป็นสุขอย่างเดียว แม้มันจะหมายถึงรื่นต้องไปซ้ำพฤติการณ์เก่าเหล่านั้นอีก
ฉันจะไม่ว่าเขาเลย หล่อนเคยรำพึง ลืมตาโพลงอยู่ในที่มืดของราตรีไม่ว่าจะมีเขาอยู่ข้างกายหรือไม่มี ชีวิตมีค่าอะไรในเมื่อคนเราไม่รู้จักค่าของการเสียสละ ถูกของพระท่าน รักคือทุกข์ ความสุขจะไม่เกิดแก่คนผู้หนาแน่นไปด้วยความหวงแหนและอิจฉาริษยา– ฉันจะไม่ว่าเขาจริง ๆ หล่อนมักจะคิดเป็นครั้งสุดท้าย และหมายความตามนั้น ก่อนที่หนังตาอันหนักไปด้วยความอิดโรย เพราะการอดนอน จะหรี่ปิด และหลับไปท่ามกลางเสียงหายใจแรงของเขาและแสงเดือนหรือแสงดาวส่องมัว ๆ อยู่ในห้อง––
จดหมายของต่วนด่ำในท้ายฤดูนั้น เหมือนพรอันประเสริฐซึ่งตอบคำอธิษฐานของรื่น และรื้อฟื้นความฝันตลอดจนโครงงานที่เขาวางไว้แต่เดิมขึ้นมาอีกครั้ง มันเหมือนแสงสว่างใหม่ที่ส่องลงมาในชีวิต และเปิดยุคทองของตลาดไม้ที่เขาพยายามตั้งใจคอยมาเป็นเวลานาน
“––กำนันคงจะยังจำที่เราพูดกันครั้งนั้นได้ ว่าวันหนึ่งมันจะเป็นวันของไม้ยาง” เป็นตอนหนึ่งซึ่งต่วนด่ำเขียนมาในจดหมายฉบับนั้น “ฉันเองเชื่อแน่อย่างที่เคยบอกกำนันไว้แล้ว เพียงแต่ไม่คิดว่ามันจะมาถึงเร็วอย่างนี้ และถึงเอาโดยไม่รู้ตัว แต่ก็เป็นธรรมดา เพราะว่าความเสียหายที่บรรดาเจ้าของไม้ได้รับจากน้ำท่วมใหญ่ ที่ผูกเป็นแพไว้แตกกระจัดกระจาย ที่ตัดโค่นไว้ในป่า หรือลากมากองไว้ที่ตลิ่งสูญหายไปนับไม่ถ้วนจากการจมน้ำและไหลเข้าป่าเข้าดงไป ทำให้ไม้ขาดตลาด โรงเลื่อยหลายโรงต้องปิดทำงาน อู่หลายอู่ว่างไม้ที่ได้กันไปเมื่อปีกลายป้อนไม่เพียงพอกับความต้องการ เพราะฉะนั้น ปีนี้อย่างไรเสีย ราคาไม้คงจะขึ้นใหญ่ และเท่าที่สำรวจตลาดดูแล้ว ปรากฏว่าพ่อค้าและโรงเลื่อยรายใหญ่ต้องการไม้เบญจพรรณทุกชนิด โดยเฉพาะไม้กว้าวและตะแบกซึ่งนับวันแต่จะหายาก ถัดไปก็ไม้ยางซึ่งกำลังได้รับความนิยมยิ่งขึ้นทุกที เชื่อฉันเถอะ, กำนัน, หันจากเสา เรือโกลน และไม้อื่นมาเพ่งเล็งทางไม้ยางให้มาก เพราะหาไม่ยาก ใกล้ฝั่ง แล้วก็ขนาดงาม ขอให้ลงมือเตรียมตัวเสียแต่ปีนี้ ก่อนที่จะตื่นตัวกันทั่วไป ในเรื่องจำนวนน่ะไม่อั้น การลงทุนทดลองก่อนก็เหมือนกัน สำหรับกำนันเองฉันเชื่อใจ ติดขัดอะไรในเรื่องทุนรอนขอให้บอกมาได้ทุกเมื่อ––”