บทที่ ๒

ในตอนบ่ายวันสุดท้ายของสงกรานต์สุดใจ –– ยังสวมกำไลข้อเท้า ๑๖ ปีแต่เปล่งปลั่งเหมือนสาวใหญ่ –– เปียกปอนไปทั้งตัวด้วยเล่นสาดน้ำกัน หน้าตายังขมุกขมอมเพราะดินหม้อจากการมอมตะลุมบอน ฉวยขันลงหินและสบู่ลงไปที่ตีนท่าหน้าบ้าน เร่งรีบจะอาบน้ำชำระกาย เพื่อกลับขึ้นมาแต่งตัวใหม่ ให้ทันไปเข้าวงช่วงชัยในตอนเย็น แต่แล้วก็ชะงักอยู่ที่ตีนบันใด เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะ ดังมาจากซุ้มผักบุ้งฝรั่งทางขวามือ และมองเห็นหน้าเป็นที่สุดหน้าหนึ่ง แดงและเป็นมันเพราะความร้อนและฤทธิ์สุราโรง โผล่ออกมาจากประทุนเรือชะล่าซึ่งจอดหลบแดดอยู่ในซุ้มนั้น

ชั่วขณะหนึ่ง หญิงสาวหันรีหันขวางทำท่าเหมือนจะกลับขึ้นไป เมื่อปรากฏว่าเจ้าของหน้า มิใช่คนบ้านนั้น ครั้นแล้วก็ก้าวออกไปที่หัวซุงนั่งปุกหันหลังให้ อย่างไม่เอาใจใส่ ที่นี่เป็นท่าน้ำของหล่อนเคยอาบเคยเล่นมาแต่น้อยคุ้มใหญ่ เหตุไฉนจะต้องหนีไป เพราะมีคนแปลกหน้ามาอาศัย ความจริงนั้นหล่อนไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่า เขาหัวเราะอะไรหรือกับใคร จนกระทั่งตักน้ำอาบไปไม่ได้กี่ขัน ได้ยินเสียงหัวเราะนั้นดังลั่นมาอีก จึงเหลียวกลับมาดู

“บ้า! ขันอะไรนักหนาเทียว” เสียงของหล่อนเหมือนบ่นพึมพำด้วยความรำคาญ มากกว่าจะตั้งกระทู้ถามเขาโดยตรง

“ไปเล่นปลาย่างใครเขามาล่ะ หน้ามันถึงได้เป็นอย่างนั้น ?” ขณะนี้เขาคลานออกมาพ้นประทุน นั่งขัดสมาธิอยู่ที่หัวเรือ แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาหัวเราะเอาๆ

ฟันขาว ๆ และเคราเขียวๆ ของเขา ทำให้หน้านั้นทะเล้นอย่างน่าตบ แต่ทั้งหมดที่สุดใจจะตอบได้ ก็เพียงสะบัดหน้ากลับอย่างกระฟัดกระเฟียด

“ช่างเขา!” หล่อนบอก “อวดเก่ง ทำไมไม่ขึ้นไปข้างบนบ้างล่ะ หน้าไม่มอมยิ่งกว่าลูกแมวก็ลองดู

เจ้าของฟันขาวๆและเคราเขียว ๆ เลิกคิ้ว

“เอ๊ะ เอากันไม่เลือกทีเดียวรึ ว่าคนบ้านนี้ หรือบ้านไหน ?”

“ไม่เลือก สงกรานต์นี่”

“เหมือนอย่างเอ็งทั้งนั้น ผู้หญิงปากคลองน่ะ?”

“ทำไม ?”

“อ้าว ! ถ้าเหมือนเอ็ง อย่าว่าแต่สาดน้ำ มอมหน้า ถึงจะตอนให้หน้าเขียว อย่างข้าโดนเข้าที่ลานดอกไม้เมื่อวานก็ยอม”

“บ้า!” มือที่ถือขัน จ้วงตักน้ำรดตัวเร็วขึ้น

“แต่ยักษ์ขมูขีทั้งนั้นแหละ พวกที่ลานดอกไม้น่ะ” เขาพูดต่อไปอย่างไม่เอาใจใส่ “เพราะฉะนั้น ถึงไม่ได้กินค่าไถ่จากข้า”

หล่อนถูสบู่ซันไลท์ กิริยาแสดงว่าไม่เอาใจใส่ แต่ก็อดรู้สึกไม่ได้ถึงความใกล้ชิดของเขา และสายตาที่เพ่งดูหล่อนอยู่ตลอดเวลา

“รูปร่างอย่าง........อย่างนี้” หล่อนพึมพำ “โดนมือพี่ดำ ป้าแมว กะยายคล้อย หมับเดียว หลุดไปได้ค่อยว่า..”

เจ้าของฟันขาวๆ เคราเขียวๆ เลิกคิ้วแล้วยักไหล่ หน้าทะเล้นไปด้วยการหัวเราะนั้น เหมือนขบขันอะไรอยู่ในใจไม่สร่าง

“ฮึ?” เสียงของเขาท้าทาย “ใครล่ะพี่ดำ ป้าแมว กะยายคล้อยของเอ็ง?”

“หัวหน้าพวกตอน” หล่อนบอก “แต่ละคนยังกาพ้อม เมื่อเย็นวาน นายอำเภอเสียค่าไถไปเกือบเทถึงได้โซเซหน้าเมื่อยกลับไปได้”

เสียงหัวเราะของเขาก้องไปในอากาศ

“แต่อย่างข้าไม่มีวันได้กินแน่” เขาบอก “คนจะจับข้าให้อยู่มือได้ ต้องไม่ใช่ยักษ์ขมูขี หรือนางผีเสื้อสมุทร มันต้องคนเอวบางร่างเล็กเปล่งปลั่ง ยังสาวยังแส้แล้ว... แล้ว ก็ใส่กำไลอย่างเอ็ง”

“บ้า!” สุดใจไม่ทันเช็ดหน้า ฉวยขันฉวยสบู่ได้ก็ลุกขึ้นยืน

ฝ่ายชายหัวเราะดัง โน้มตัวลงนอนพังพาบกับหัวเรือชะล่า เชยคางไว้กับฝ่ามือทั้งสอง นัยน์ตาที่แดงก่ำจับดูหล่อนเขม็ง

“หมดเสียเมื่อไหร่ล่ะ ?”

“อาไร ?”

“ก็ดินหม้อน่าซี ยังติดอยู่ที่ปลายจมูก ที่กกหู แล้วก็ข้างคอ”

“ช่างเขา” หญิงสาวกระแทกเสียง กลับนั่งลงอีก ลงมือถูสบู่ใหม่

“ดินหม้อกับน้ำมันมะพร้าวหรือน้ำมันหมู ––– มันต้องทราย” เขาแนะ

“ไม่ใช่ควายนี่” เสียงอู้อี้ดังออกมาจากฝ่ามือที่กำลังเต็มไปด้วยฟองสบู่

นิ่งกันอยู่สักครู่ เสียงถอนใจก็ดังมาจากชายต่างถิ่น

“ลูกเต้าเหล่าใครน้อ ถ่อเรือขึ้นล่องผ่านปากคลองมาหลายปีแล้ว ก็เพิ่งเคยพบนี่แหละ – –อยากรู้จริงๆ ว่าเคยมีใครเคยบอกเอ็งบ้างหรือเปล่า”

สุดใจยกขันล้างหน้า ถามทั้ง ๆ ที่ไม่ลืมตา “บอกอะไร”

“ว่าผู้หญิงปากคลองน่ะ สวยกว่าผู้หญิงไหน ๆ บนฝั่งแม่น้ำปิง ?”

หล่อนนิ่งไม่ตอบ สลัดผมและเช็ดหน้าต่อไป

“คนทางใต้ได้ยินชื่อปากคลองเข้าขนหัวลุก” เขาพูดต่อไป “คนทางเหนือล่องเรือผ่านมา ยังต้องหันหน้ามองแต่ฝั่งตะวันออก แต่ถ้ารู้อย่างข้า ––รู้ว่าปากคลองมีคนอย่างเอ็ง อีกหน่อยก็แห่กันมาเสียอีก”

สุดใจคงก้มหน้าก้มตาถูเนื้อถูตัวต่อไป สายตาของฝ่ายชายจับอยู่ที่ใบหน้าซึ่งหมดจด ไหล่ที่เต็มและทรวงอกอันไหวสะเทือนของหล่อนไม่วางตา

“รู้หรือเปล่าว่า ข้าน่ะไม่เคยคิดอยากตั้งถิ่นฐานบ้านช่องภูมิลำเนาลงที่ไหน จนกระทั่งวันนี้”

“อ้อ” หล่อนเงยขึ้นดูเขาแวบหนึ่ง........แวบเดียวเท่านั้น พอเจอะนัยน์ตาซึ่งแดงก่ำเป็นมันทั้งคู่ก็หลบไม่หันไปดูอีกเลย

“เพราะอะไรรู้ไหมล่ะ ?”

หล่อนสั่นศีรษะ

“เอ็ง!” เขาหัวเราะอีก

“บ้า!”

“หมายความว่ากระไร ? ชอบใจหรือโกรธ ?”

“บ้า!”

“คนบ้านนี้ชอบกล พูดได้คำเดียว” เขาถอนใจ “ข้าไม่เคยบอกใครอย่างบอกกะเอ็งจริงๆ เพราะชักจะชอบปากคลอง........ที่มีเอ็ง” นิ่งพิจารณาดูร่างที่อวบอัดอยู่ในเสื้อผ้าที่เปียก ผมที่ยาวสยายประบ่า แล้วก็พยักหน้า “ข้าเคยรู้กิตติศัพท์เหมือนกันว่า ปากคลองเป็นบ้านร้าย หลายปีมาแล้วห่าลงกินตายไปเกือบหมดบ้าน ห้าสิบปีมันจะต้องมาเยี่ยมเสียที่หนึ่ง ถึงงั้นที่นี่.............ที่นี่ก็ดีทุกอย่างสำหรับจะอยู่ จะกินและตาย....” เงยหน้าขึ้นเชยคาง ซึ่งเขียวไปด้วยเคราไว้กับท่อนแขน........ “ผู้หญิงสวยอย่างเอ็ง ผู้ชายเปิดเผยอย่างข้า ข้าวปลาอาหารบริบูรณ์ เสียอย่างเดียวแต่ขาดหัวหน้า ข้านี่แหละเทวดาส่งมาสำหรับเป็นนาย”

สุดใจฉวยขันและสบู่ผุดลุกยืน หันหลังจะก้าวขึ้นบันไดไป

“อ้าว จะไปเสียแล้ว” เสียงของเขาแสดงความเสียดาย... “กำลังคุยกันสนุกทีเดียว นอกจากนั้นยิ่งนานข้ายิ่งชอบเอ็งขึ้นทุกที”

หล่อนหันหน้ามองข้ามไหล่ ไปยังเขาอย่างหมั่นไส้ “ยิ่งนานข้าก็ยิ่งเกลียดหน้าแก”

“แฮะ................แอ้!” เขาทำเสียงล้อเลียนหล่อน “ไม่จริงละมั้ง?”

“บ้า!”

และนั่นเป็นวาจาคำสุดท้ายที่สุดใจ.....................ยังสวมกำไลข้อเท้า ๑๖ ปี แต่เปล่งปลั่งเหมือนสาวใหญ่................อุทานอย่างกระฟัดกระเฟียด ก่อนที่จะวิ่งขึ้นบันไดตีนท่าไปท่ามกลางเสียงหัวเราะชอบใจดังลั่น ของชายแปลกหน้า

อะไรทำให้ฉันรุนแรงกับเขาออกไปอย่างนั้น ? แม่เฒ่าเอนกายพิงหมอนขวาน ความรู้สึกของวัยสาว ซึ่งล่วงพ้นไปนานแสนนานเหมือนหนึ่งจะไหลหลั่งถึงมาอีกแทบท่วมท้นหัวใจ คำทักทายเมื่อแรกพบกันที่ “บ้า!” ขณะเมื่อจากกันก็ “บ้า!” ราวกับว่า คู่อริเก่ามาเจอกันเข้า ฉันแน่ใจเหลือเกินว่า ไม่ได้สนใจอะไรเขามากไปกว่าคนต่างถิ่นที่หยาบคายคนหนึ่ง อย่างผู้ชายอีกหลายคนซึ่งเคยพบมาแล้วและผ่านไป โดยมิได้อยู่ในความสนใจหรือกลับมาพบหน้าค่าตากันอีก เพียงแต่ผู้ชายคนนี้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่พ้น.....หลีกเลี่ยงไม่พ้น!

ในคืนนั้นเอง สุดใจก็พบเขาอีกขณะที่เข้าทรงแม่ศรีอยู่ที่ลานบ้านผู้ใหญ่พูน ท่ามกลางเสียงตีเกราะเคาะไม้ ท่ามกลางแสงได้ที่สว่างเรือง และเสียงกระทุ้งของพวกลูกคู่ ทั้งหนุ่มสาว แก่เฒ่าและเด็ก ซึ่งตะเบ็งกึกก้องเกรียวกราวออกไปในราตรีที่มืดสนิท

นัยน์ตาของหล่อนอาจจะหรี่ปิด ตามธรรมเนียมของการเข้าทรงมากกว่าจะเป็นจริง กิริยาของหล่อนอาจสงบนิ่ง แม้เท้าทั้งสองจะเหยียบอยู่บนฝากะลา และมือทั้งคู่แตะอยู่กับพื้นดิน หมิ่นเหม่ต่อการคว่ำมาข้างหน้าหรือหงายไปข้างหลัง ขณะที่นั่งหมุนไปรอบๆ กาย สุดใจก็ยังสังเกตเห็นเขาได้ หล่อนไม่รู้ว่าเขาเข้ามาร่วมวง กับบรรดาหนุ่มชาวบ้าน ซึ่งยืนดูอยู่รอบนอกตั้งแต่เมื่อไหร่ หล่อนรู้แต่ว่าการแต่งกายของเขาสะอาดหมดจดขึ้น สวมกางเกงแพรสีเม็ดมะปรางและเสื้อกุยเฮงขาว ผมเผ้าหวีเรียบร้อย แต่เคราเขียวๆ ก็ยังคงอยู่ที่นั้น นัยน์ตาที่แดงก่ำอยู่เมื่อกลางวันหายไป หน้าทะเล้นเพราะการหัวเราะนั้นหายไป เพียงแต่ยิ้มนิดๆ ขณะปรบมือในจังหวะร่วมกับคนทั้งปวง หล่อนพยายามที่จะไม่เอาใจใส่ ในหูกึกก้องไปด้วยเสียง “แม่ศรีเอย แม่ศรีสาวสะ ยกมือไหว้พระยว่าจะมีคนชม ขนคิ้วเจ้าก็ต่อ คอเจ้าก็กลม ชักผ้าปิดนมชมแม่ศรีเอย”

ซ้ำๆ ซากๆ ไม่รู้จักจบรู้จักสิ้น ในใจของหล่อนเต้นเร่าไปด้วยฝูงผีเสื้อสีต่าง ๆ ที่กระพือปีกเหมือนจะพาบินขึ้นไปสู่ท้องฟ้าเบื้องบน ถึงกระนั้นความสำนึกถึงความใกล้ชิดของเขาอย่างเมื่อกลางวันก็ไม่หายไปไหน

ฉันจะไม่พูดกับเขาอีก สุดใจคิดด้วยความขุ่นเคือง ขณะแรกที่เหลือบไปเห็นหน้านั้น จากใต้หนังตาอันหรี่ปรือ แต่คนเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หญิงสาวที่กำลังแรกรุ่น และในวันสงกรานต์เสียด้วย จะไปมัวถือโทษโกรธจึงใครอยู่ได้นาน เมื่อเสียงเพลงเหล่านั้น ได้เรียกร้องวิญญาณของขนบประเพณีอันเก่าแสนเก่าของไทย เมื่อเสียงหัวร่อต่อกระซิกกังวาลอยู่ในอากาศ กลุ่มดาวประดับอยู่เต็มท้องฟ้า และผีเสื้อฝูงใหญ่ขยับปีกกระพือวุ่นอยู่ในหัวใจ

หล่อนไม่รู้ว่ากะลาที่นั่งหยุดหมุนแต่เมื่อไร แน่แก่ใจว่าขณะที่ลุกขึ้นยืน ตื่นอยู่ทั้งกายและใจ นัยน์ตาทั้งคู่หรี่ปรือแต่ก็ยังแลเห็นได้ ในหูสำเหนียกเพลงชัด

เจ้าพวงมาลัย ควรหรือจะไปจากห้อง เจ้าลอยละล่อง เข้าในห้องในเอย”

แล้วหล่อนก็รำเนิบ ๆ และแช่มช้า สำนึกดีถึงนัยน์ตาคู่หนึ่ง ซึ่งจ้องจับอยู่ที่ทรวดทรงอันอ้อนแอ้นของหล่อน ที่แขนทั้งคู่อันอ่อนช้อย ที่ไหล่และอกซึ่งกระเพื่อมถี่ ขณะที่ไหวโอนไปตามจังหวะเกราะ เคาะไม้ กลอง และทำนองเพลง

อ้อ คนที่ทรงแม่ศรีเข้านี่เป็นอย่างนี้เอง ! สุดใจรู้สึกตัวว่ายิ้มนิด ๆ หล่อนอยากจะหัวเราะ อยากจะกางแขนออกถลาแล่นบินขึ้นไปสู่ท้องฟ้า ผ่านทางมะพร้าวที่ร่มครึ้ม ผ่านอากาศที่โปร่งบริสุทธิ์ ไปสู่ดวงดาวที่ส่องแสงระยิบระยับ

เจ้าพวงมาลัย ควรหรือจะไปจากห้อง เจ้าลอยละล่องเข้าในห้องในเอย”

หล่อนรำ........รำ........และรำเรื่อยไป เหมือนจะไม่รู้จักเหน็ดรู้จักเหนื่อย โดยปราศจากการเข้าใจในความหมาย รู้สึกแต่ว่ากังวาลของมัน นำไปสู่ความสำนึกมากมายหลายอย่าง ที่วัยสาวยังไม่เคยผ่านพบ และกำลังอยู่คนละโลกกับผู้คนที่ชุมนุมอยู่ในลานบ้านนั้น ก็พอดีวิมานทลายครืนลง เมื่อมือคู่หนึ่งเข้ามาจับไหล่ และเสียงกะตู้วู้ก้องเข้าไปในแก้วหู หยุดรำ ยืนงงเป็นครู่ แล้วก็ลืมตาดูอย่างคนที่แม่ศรีออก แล้วก็ยิ้ม เมื่อเห็นเป็นจำปาแม่เพื่อนสาวของตน

“แหม ร้อนจัง” สุดใจบอก ใช้มือโบกลมไปมา

“ก็ร้อนซี ไม่มีได้หยุดนี่” จำปาก้มศีรษะจะเข้ามากระซิบ “อะไรจนเขาหยุดร้องแล้วยังรำ ทำให้อีตานั่นหัวเราะน้อยหัวเราะใหญ่”

“ใคร ?” สุดใจเดินออกไปนอกวง รู้ดีตั้งแต่ก่อนจำปาตอบว่าหมายถึงใคร

“ท่าทางเหมือนโจรใหญ่ ดู ๆ ไปเหมือนจันทโครบ หรือบางทีจะเป็นลักษณาวงศ์” แม่เพื่อนสาว ซึ่งเพิ่งหอบลูกเต้าจากนายโรงเอกยี่เกกลับมาอยู่บ้านเดิมได้ไม่ถึงปี บุ้ยปากไปยังร่างสูง ๆ ซึ่งยิงฟันขาวอยู่ในเงามืดข้างหลังเด็กคนละฟากลานบ้าน

“อ๋อ ตานั้น” สุดใจยังไม่หายยิ้ม

“รู้จักกัน ?”

“เปล่า”

“งั้นทำไมถึงตานั่นล่ะ ยังกะเป็นญาติผู้ใหญ่........ยังกะเจอะกันมาจากไหน”

“ใช่คนบ้านเราเมื่อไร”

“ก็ไม่ใช่นะซีถึงได้ถาม ตายละ” จำปาทำท่าตกใจ “นั่น นั่นเขากำลังเดินมาทางเรานี่ !”

“ช่างปะไร” สุดใจมิได้เหลียวไปดูเลย

“ช่างอะไรได้” จำปาว่า “เมื่อตะกี้กวนฉันยังกะอะไรดี”

“เขาทำอะไรเอ็ง ?” สุดใจหายยิ้ม หยุดโบกมือ

“ยัง – ยังไม่ถึงกระทำ” จำปาจับตาอยู่กับร่างซึ่งใกล้เข้ามาทุกขณะ

“แต่เซ้าซื้อย่างร้ายเลย– ”

“เรื่องอะไรล่ะ ?”

“เอ็ง !”

“บ้า!”

“บ้าหรือดีไม่รู้ละ เขาอยากรู้ว่านุชน้องชื่ออะไร ? อายุเท่าไหร่ ? ลูกเต้าเหล่าใคร ? และ – และบ้านอยู่ถึงไหน ? เหมือนอย่างพี่โปร่งเขาเคยถามข้า”

“แล้วเอ็งก็บอกเขาซี ?”

“ธุระอะไรจะไปหยาบคายกะคนที่เราไม่รู้จัก เขาถามมันก็ต้องตอบ”

“แหม ! จำปานี่ – – สุดใจยกมือที่โบกลมตีแปะลงไปที่หลังแม่เพื่อนสาว

“เบา ๆ หน่อย อย่าให้ถึงกินเลือดแรด” จำปากระสับกระส่าย “ต๊าย มาอยู่นี่แล้ว”

“ใคร ?”

“นายโจรใหญ่” จำปากระซิบ “จันทโครบหรือท้าวพรหมทัต แล้วแต่เอ็งจะเลือก”

มือหญิงสาวที่ยกขึ้นโบกลมโบกเร็วขึ้น หล่อนมิได้หันหน้าไปดูตามที่จำปาบุ้ยใบ้ ถึงกระนั้นก็รู้ได้จากเงา ซึ่งแสงได้สาดมาว่าเขากำลังเข้ามาอยู่ที่นั่น ความใกล้ชิดของเขา อย่างที่รู้สึกเมื่อกลางวันไหลมาเทมาสู่ความสำนึกอีก ทำให้ใจสั่นนิด ๆ แต่ก็ไม่คิดจะหนี

“รำสวยจังเลย–” เสียงห้าว ๆ ลึก ระคนด้วยกังวานของความขบขัน เสียงนั้นเอ่ยขึ้นข้างหลัง “สวยเหมือนกินรีลงเล่นน้ำในสระอโนดาต”

จำปาเขยิบเข้ามาจนชิด

“เขาหมายถึงมุจลินทร์” หล่อนกระซิบ “หมายถึงเอ็ง–”

“บ้า !” สุดใจเผลอดุออกไปไม่ดังอะไรหนักหนา แต่ก็ดังพอที่เขาจะได้ยิน

“ที่นี้รู้ละ ว่านั่นเป็นคำทักทายของคนปากคลอง” เขาบอก “บ้า–– เมื่อเจอะหน้าครั้งแรก บ้า–– เมื่อเจอะหน้ากันครั้งที่สอง––”

จำปาหันมามองแม่เพื่อนสาวเขม็ง กระซิบอีก “ไหน–– ไหนว่าไม่เคยรู้จัก ?”

“เจอะกันที่ตีนท่าเมื่อกลางวันหน่อยเดียวแหละ –” สุดใจตอบอ้อมแอ้ม

“หน่อยเดียว – –” จำปาหัวเราะคิก

“โธ่ จำปานี่ยังไง”

“แม่ศรีเอย แม่ศรีสาวสะยกมือไหว้พระเอ๊ยว่าจะมีคนชม –” จำปาร้องขัดจังหวะ เมื่อคนทรงใหม่เข้าแทนที่และสายตาหลายคู่ กำลังหันมาดูทางหล่อน “ดูซิ – ดูเอ็งใหญ่เทียวสุดใจ !” หล่อนบุ้ยปากไปข้างหลัง หมายถึงฟันขาว ๆ เคราเขียว ๆ ซึ่งกำลังแหกปากตะเบ็งเสียงและปรบมือให้จังหวะตามหล่อนไป ผิด ๆ ถูก ๆ โดยไม่เอาใจใส่

“ไปกันเถอะ จำปา” สุดใจกระซิบ ไม่กล้าหันหน้าไปดูเขาได้

“ไปไหน ?”

“บ้าน”

“แล้วกัน ไหนว่าจะเลยไปดูเขาบ้านไร่ ?”

“ม่ายละ ฉันเหนื่อย ง่วงนอน แล้วก็เตรียมของทำบุญพรุ่งนี้ ยังไม่เสร็จ เดี๋ยวป้าด่าตาย”

หล่อนออกเดินช้า ๆ รู้สึกขาสั่นใจสั่นขณะที่ผ่านหน้าเขา และจำปาซึ่งบ่นอู้อี้ก็ตามไป จนกระทั่งถึงประตูรั้วบ้านผู้ใหญ่พูน จึงได้กลับมาดู

“ต๊าย !”

“อะไรอีกล่ะ ?”

สุดใจดุ

“นายคงเคราตามมาอีกแล้ว – –” เสียงของจำปาแสดงความตกใจเกินความจำเป็น “สูบยาแดงโร่เชียว”

“ช่างเขาปะไร ทางเดินปากคลองไม่มีเจ้าของนี่”

“มันไม่ใช่เรื่องทางซีสุดใจ มันเรื่องคน”

ระยะทางจากบ้านผู้ใหญ่พูน ไปบ้านหล่อนไม่กี่เส้น สองฟากเป็นสวนมะม่วง ขนุนและไร่กล้วย พร้อมด้วยเหย้าเรือน ที่ยังตามไฟอยู่เป็นหย่อม ๆ หญิงสาวทั้งสองรู้ดีว่า ตราบใดที่ยังอยู่บนทางเส้นนั้น หล่อนก็ปลอดภัย แต่ทันใดที่ถึงต้นกระท้อนใหญ่ปากทางแพร่งสายหนึ่งตรงไปยังสะพานสูงข้างทางเกวียน และท่าควายอีกสายหนึ่งแยกลงแม่น้ำ จำปาก็เกิดความคิด

“ลองลงทางหาดดีกว่า” หล่อนว่า “เดี๋ยวเถอะได้รู้กันหรือกว่าตามเราหรือไม่ตาม”

“ช่างเขาปะไรนะ” สุดใจบอก “กลัวอะไรกะบ้านของเรา แต่เกิดมายังไม่เคยได้ยินว่าคนบ้านนี้ ถูกโจรใหญ่นายคงเครา หรือจันทโครบของเอ็งจับกิน” ปากหล่อนพูดเช่นนั้น แต่เท้าก็เดินตามจำปาลงไปตามทางแยก

ในทันใดที่ถึงชายหาด หันกลับมาดู ไฟบุหรี่วูบวาบ และร่างในเสื้อกุยเฮงขาวก็ปรากฏขึ้นที่ปากทางตีนท่าเหมือนกัน

“จริงอย่างกันว่าไหมล่ะ” จำปาบอก “ตามมาจริง ๆ แหละ”

“แล้ว – แล้วจะทำอย่างไรต่อไป”

“เฉย ๆ ไว้ เป็นธุระของกันเอง” วาจาของหล่อนบอกว่าเก่ง แต่กิริยาก็กระสับกระส่าย “เดินต่อไปทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ทำเหมือนไม่มีเขาอยู่ด้วย ดูทีรึ จะทำอย่างไร ?”

เปล่า เขาไม่ทำอะไร นอกจากสาวเท้าก้าวตามหล่อน ด้วยขาอันยาวมาช้า ๆ ไม่เร่งร้อนไม่ทักทายหรือกระแอมไอให้เสียงอะไรอย่างที่ผู้ชายโดยมากมักเป็นเมื่อเห็นผู้หญิง หญิงทั้งสองได้ยินเขาร้องเพลงงึมงำหงิง ๆ เสียงเพียนและผิดทำนองอย่างน่าเวียนหัว จับใจความได้แต่ว่า “เจ้าแก้วเอยสาวรัก !” แล้วก็มุบมิบเงียบไป เพราะลงเอยไม่ได้

ผ่านดงตะไคร้น้ำ ผักเสี้ยนผีมาตามหาดทราย ที่เดี๋ยวเป็นกรวดหยาบเปียกชื้น เดี๋ยวขึ้นหาดสูงทรายขาวละเอียดอ่อนและแห้งผาก ลาดลงไปสู่กระแสแม่ปิงที่ตื้นเขิน และเยือกเย็น ในที่สุดจำปาก็เริ่มหยุดยึดมือสุดใจไว้

“มองไปทางแม่น้ำ” หล่อนกระซิบ “ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้”

แต่คราวนี้ ทันทีที่หญิงสาวทั้งสองหยุด เขาก็ก้าวถึง

“เดินกันยังกะตามควาย” เขาหัวเราะ “เดินยังกะหนีผู้ร้าย – –”

จำปาได้ยินเสียงตนเอง ซึ่งเข้าใจว่าปั้นปึ้งเสียเต็มประดา ปร่าและปวกเปียกจนเป็นที่แปลกใจ

“ธุระอะไรของพี่ทิดด้วยล่ะ ?” หล่อนว่า หันหน้าไปเจอะฟันขาว ๆ เคราเขียว ๆ ชะโงกอยู่เหนือศีรษะก็ใจหาย

“อ๊าว ไม่ให้เป็นธุระยังไง มากันสองคนค่ำมืดอย่างนี้ ไม่กลัวผีรึ ?”

“กลัวทำไมกันผี” หล่อนหันไปดูสุดใจ ซึ่งไม่ยอมหันกลับมาจากท่าที่ได้รับคำสั่งแต่แรก “กลัวแต่คน”

“หมายถึงข้าละซี” เขายกมือทั้งสองขึ้นท้าวสะเอวยืดอก “ดูเสียใหม่ให้ดี–ดู!” เอ็งกลัวคนอย่างนี้แล้วจะไปรักคนอย่างไหน ?”

แก่กระทู้คำถามนั้น จำปาหาคำตอบไม่ได้ หล่อนมองดูเขา แล้วหันไปหาสุดใจอีก

“ว่าอย่างไรล่ะ ? พูดไปบ้างซิ !” หล่อนกระซิบ “แหม !”

แต่โดยมิได้ตอบจนคำเดียว สุดใจก้มหน้า เอามือจุกปาก หันกลับได้ ก็วิ่งแน่วไปยังขอนไม้ท่อนหนึ่ง ซึ่งปรากฏรำไรอยู่ในระหว่างป่าตะไคร้น้ำชายหาดข้างหน้า แล้วก็นั่งลง

“นั่น–นั่นเป็นอะไรไป? ร้องไห้? หัวเราะ ? หรืออะไรแน่ ?” ชายแปลกหน้ายกมือขึ้นเกาศีรษะ

จำปา มองตามแม่เพื่อนสาว หันกลับมาหาเขาใหม่ แล้วก็ถอนใจ สิ้นสงสัยกันทีสำหรับความรู้สึกก้ำกึ่งลังเลมาแต่แรก

“พี่ทิดอยากรู้ไปทำไม?” นัยน์ตาของหล่อนจับใบหน้าเขาเขม็ง

“เพราะข้าจะเสียใจไปจนตาย ถ้ารู้ว่าเขาเกิดมาร้องให้เพราะข้า” เขาว่า “รู้หรือเปล่าล่ะ ว่าเมื่อกลางวันเรามีเรื่องขัดใจกัน– –

“ขัดใจกัน ? ทั้งๆ ที่พี่ทิดเพิ่งมาถึงปากคลองวันนี้ รู้จักเขาวันนี้” สีหน้าจำปาอัศจรรย์อย่างจริงใจ “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

“นิดหน่อยเท่านั้น” ฝ่ายชายหัวเราะอีก “เขาชวนข้าเล่นสงกรานต์ ข้าชวนเขาถอดกำไล––”

“บ้า!”

“แหม ! ช่างติดปากกันเสียจริงๆ อ้ายคำนี้ คนไหนคนนั้น–ถึงงั้น ข้าก็ยังชอบปากคลองอยู่ดีแหละ”

หล่อนเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างสนใจ

“มาจากขอบฟ้าป่าหิมพานต์ไหนล่ะ พี่ทิดน่ะ?”

“ทุกหนทุกแห่งที่ข้าไป ตั้งแต่เชียงใหม่ถึงปากน้ำโพ พิจิตรถึงพิษณุโลก สุโขทัยถึงบางกอก–”

“อ้อ เห็นจะเป็นคนแควโน้น ?”

“เปล่า ข้าเป็นคนแควนี้ รู้จักทิดรื่นคนวังแขมไหม นี่แหละ พระองค์ละ พวกพ่อค้าไม้ พ่อค้าไต้ เรือเมล์ ยี่เก รู้จักข้าดีทั้งนั้น––”

“เป็นยี่เก–” จำปาอุทาน ยกมือทั้งสองขึ้นกุมทรวงอกไว้ก้าวเข้าไปใกล้ “นึกได้ละ–ยังงี้นี่เล่า ถึงได้คลับคล้ายคลับคลายังกะพี่โปร่ง”

“ใครกันที่โปร่ง”

“พระเอกยี่เกมีชื่อแห่งปากน้ำโพ –– ผัวของข้า”

“คุณพระช่วย !”

“ไม่มีใครช่วยได้ ปีเดียวเท่านั้น ข้าต้องหอบลูกกลับบ้าน”

“อนิจจา ! ข้าเป็นแต่คนค้าขาย ไม่ใช่พระเอกยี่กงยี่เกที่ไหน ไม้ ไม้ สีเสียด ยาสูบเป็นอาชีพของข้า ไม่ใช่เต้นกินรำกิน”

“ถึงงั้นก็ไม่เป็นไร เรื่องพอไปกันได้”

“เรื่องอะไร ?”

“อ้าว ก็เรื่องระหว่างพี่ทิดกับมุจลินทร์ – เอ้อ – สุดใจน่ะซี”

“อ้อ ว่าต่อไปเถอะ ว่าต่อไป”

“เมื่อกี้พี่ทิดอยากรู้ใช่ไหมล่ะ เขาเอามือจุกปาก วิ่งปรู๊ดไปนั่งเป๋ออยู่โน่นทำไม?”

ฝ่ายชายพยักหน้า

“ดีละ เข้าไปดูให้เห็นแก่ตาด้วยพระองค์เอง แต่ข้าคิดว่า ตัวนางเห็นจะไม่ร้องไห้ ไม่เคยเห็นมีเยี่ยงอย่างที่ไหน จะเข้าบทมุจลินทร์อายเสียแหละมากกว่า–”

“ทำไมเขาจะต้องอายข้า?”

“แล้วกัน ก็สมมุติพี่ทิดเป็นจันทโครบไงล่ะ ไม่งั้นก็นายโจรใหญ่–”

“แต่ข้าเป็นคนค้าขาย” เขาอุทธรณ์อีก “ค้าไต้ ค้าสีเสียด ยาสูบ น้ำผึ้ง ขี้ผึ้ง–”

“ไม่เป็นไร– ไม่เป็นไร ลืมพ่อค้าเสียชั่วคราว เวลานี้พี่ทิดเป็นจันทโครบ นึกออกละ จับตอนต่อจากนางโมราส่งพระขรรค์ให้นายโจรใหญ่–จันทโครบตาย จันทโครบฟื้น จันทโครบเดินทางต่อไป จันทโครบเจอะมุจลินทร์ เห็นไหมล่ะ ข้ายังจำได้แม่นยำ โมรากับนายโจรใหญ่ มุจลินทร์กับจันทโครบ “จันโครบกับนางโมรา ข้าจำได้ขึ้นใจ ไม่ว่าจะในหนังสือหรือยี่เก ไม่มีใครจะลืมพี่โปร่งได้ เมื่อเขาเล่นเป็นนางโจรใหญ่...เอ๊ย จันทโครบ–”

“เอ็งเห็นจะเป็นโมรา?” ชายแปลกหน้าพึมพำ

“จะ โมรา แล้วบางทีก็มุจลินทร์ แต่ช่างเถอะ ตัวไหนไม่สำคัญ ข้าตั้งใจจะบอกพี่ทิดแต่ว่า เวลาตัวนางอาย ตัวนายโรงเขาก็–ก็ต้องโลม”

“โลม ?”

“ฮื่อ โลม! เข้าใจไหมล่ะโลมน่ะ ? ให้ตัวนางหายกระดากกระเดื่องเรื่องจะได้ลงเอย”

“ลงเอย”

“ฮื่อ ลงเอย”

“ตายโหง ยี่เกยังไม่ทันโหมโรง ข้าเองยังไม่ทันรู้ว่าจะเป็นตัวอะไร – ข้าไม่ใช่พระเอกยี่เก”

“เลือกเอา – เลือกเอา จะเป็นนายโจรใหญ่ หรือจันทโครบก็เลือกเสีย เดี๋ยวชวด เบื่อแท้ ๆ ไม่ทันอกทันใจเสียเลย ไม่เหมือนพี่โปร่งข้า”

“เร็วมากนักหรือ พี่โปร่งของเอ็งน่ะ ?”

“ชั่วโมงเดียวสำหรับเกี้ยวข้าเป็นเมีย อึดใจเดียวสำหรับถีบหัวส่ง”

เสียงหัวเราะของเขาปรากฏออกมาระหว่างฟันขาว ๆ เหนือเคราเขียว ๆ – หัวเราะเสียจนจำปาต้องหันมามองอย่างโกรธๆ

“ขันอะไรนักหนาเชียว ?”

“เอ็งไม่คิดบ้างหรือว่า ข้าอาจจะเร็วกว่านั้น เร็วอย่างไม่ทันออกแขก ๑๒ ภาษา”

จำปาสั่นศีรษะ “ไม่มีวันเสียละ พระเอกยี่เกคนเดียวพอแล้ว สำหรับข้าจะดูคนผิด ผู้ชายอย่างพี่ทิดไม่มีลักษณะว่าจะเป็นคนอย่างพี่โปร่งได้ มันก็ประหลาด ข้ากะพี่ทิดเหมือนอยู่คนละฟากฟ้าป่าหิมพานต์ ยังไงเจอะหน้ากันนิดเดียว เกือบไม่ถึงอึดใจ เหมือนจะรู้จักกันมานานหนักหนา เหมือนข้าจะ เคยเห็นพี่ทิดมาก่อน รู้จักมาก่อน”

ความเปิดเผยของหล่อน ราวกับเด็กที่ไม่เดียงสา ทำให้เขารู้สึกตอบเช่นกัน ขณะนั้นดูจำปาเต็มไปด้วยความร้อนรน หล่อนกำลังพูดต่อไป “ข้าไม่รู้ว่าเมื่อตอนกลางวันเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่อย่างไรก็ตามมีอะไรอยู่ต่อกันละ ท่าทางมันถึงได้เหมือนจันทโครบกับมุจลินทร์ ถามจริงๆ เถอะ พี่ทิด ต้องการอะไรกับเขา ?”

“อยากจะทำความเข้าใจกันนิดเดียว”

จำปาทำท่าคิด “นิดเดียว ?” หล่อนลูบคาง “นิดเดียว งั้นก็ผิดบทจันทโครบกะมุจลินทร์ เอาตามใจข้าอนุญาต”

หล่อนพูดราวกับว่าเป็นญาติคนสนิท หรือผู้ปกครองสุดใจ ทั้งๆ ที่อายุแก่กว่ากัน ๒–๓ ปี “อนุญาต แต่อย่าให้นานนัก – อย่าให้มันถึงบทอัศจรรย์ ป้าแคล้วแกดุเหมือนเสือ”

“ใคร ?”

“ป้าของสุดใจ”

“ดุเหมือนเสือ”

“ฮื่อ แต่ก็เสือจำศีลหรอกนะพี่ทิด เข้าช่องให้ดีก็ขี่หลังได้ รุ่มร่ามเข้าไปแม่ขบหัวเลย” หล่อนมองหน้าเขาอีกครั้งพลางถอนใจ “ดูๆ ไปก็คล้ายพี่โปร่ง–คล้ายจันทโครบ เพียงแต่เป็นผู้ชายมากกว่า ยังงี่นี่เล่าถึงได้คลับคล้ายคลับคลา ไม่ใช่นะ เหมือนนายโจรใหญ่ ช่างเถอะไม่เป็นไร โจรดีมีศีลธรรม โจรใจพระอย่างองคุลิมาลมีถมไป”

“นึกถึงบ้างหรือเปล่าว่า ข้าอาจเหมาะสำหรับเป็นพี่โปร่งคนใหม่ของเอ็ง ?”

“บ้า พูดเป็นเล่นไปได้” จำปาดุ

“ผู้หญิงบ้านนี้ปากติดบ้า แก้ไม่หาย” ฟันขาว ๆ ปรากฏขึ้นเหนือเคราเขียวๆ อีก

“แต่ผู้หญิงปากคลองยังไม่เคยฆ่าใคร” จำปาแก้ “พี่ทิดจำข้อนี้ไว้ให้ดี ในโลกนี้ไม่มีใครจะเหมือนพี่โปร่ง ไม่มีใครจะเหมือนพี่ทิด”

“อย่าเพิ่งดูคนเร็วนัก” เขาเตือน

“เอาเถอะ ข้าเชื่อว่าดูคนไม่ผิด” หล่อนหยุดพิจารณาใบหน้าและทรวดทรงเขาจนทั่ว “ไม่ผิดแน่ !”

ชายต่างถิ่นเขยิบเข้าไปใกล้ มือข้างหนึ่งยื่นออก “บอกหน่อยเถอะว่า เอ็งกะข้ารู้จักกันไม่ทันข้ามคืนอะไรทำให้ดูเอาใจช่วยข้านักหนา

“เพราะว่า–” จำปาขยับออกห่างเหมือนรู้ที “เพราะว่า–บอกพี่ทิดตามตรง ข้าอยากได้พี่ทิดไว้เป็นคนบ้านนี้เสียแล้วละ”

“ข้าก็เหมือนกัน” เขาขยับเข้าไปอีก “แต่ทำอย่างไร มันถึงจะสำเร็จได้”

“ถามมุจลินทร์ อึ๊ย! ไวเป็นปรอทยังไปเสียกว่าพี่โปร่ง – ถามมุจลินทร์ –– อย่าเล่นนะ ถามเขาเถอะ อย่างที่พี่โปร่งเคยถามข้า!” จำปาหัวเราะเป็นครั้งสุดท้าย แล้วหล่อนก็เบี่ยงกายหลบ วิ่งปรู๊ดขึ้นตลิ่งไปก่อนที่มือซึ่งยื่นออกไขว่คว้าจะทันถึง

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ