๑๘

เสียงแมลงที่ร้องเพรียกอยู่ตามต้นไม้ในสนามต้อนรับละเมียด ขณะที่ออกจากห้องน้ำ หล่อนมองออกไปในความมืดนอกเฉลียงชั้นบนอยู่ครู่หนึ่ง ยังร่มไทรซึ่งครึ้มกระหึ่มที่สามแพร่งปากทางเข้าเมืองเก่าและพรานกระต่าย ยังกลุ่มดาวที่ปรากฎระยิบระยับอยู่เหนือยอดไทรนั้น ตามนิสัยอันเคยชินมากกว่าความสนใจ ก่อนที่จะเข้าห้องแต่งตัวและให้นมลูกกิน แล้วก็คอยเวลาที่รื่นจะมาต่อไป

นาฬิกาแมงดาที่ข้างฝาบอกเวลาอีก ๓๐ นาทีจะทุ่มตรง บ้านทั้งบ้านเงียบสงัดเหมือนตั้งอยู่ในป่าชัฏ เพราะแวดล้อมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ ใกล้ที่สุดของที่พักอาศัยซึ่งมีมนุษย์อยู่ได้แก่โรงพักตำรวจภูธร ซึ่งห่างลงมาทางใต้ไม่ต่ำกว่า ๕ เส้น กระท่อมของจีนเจ้าของไร่ซึ่งเพิ่งมาหักร้างถางพงลงใหม่ ๆ ริมฝั่งแม่น้ำเป็นที่สองรองลงไป นอกจากยายแม่ครัวผู้กำลังขลุกอยู่กับการทำความสะอาดกับถ้วยชามอยู่คนเดียวที่หลังบ้าน เวลานั้นไม่มีใคร เด็กคนใช้เข้ามาที่ตลาดหน้าวัดบาง คนสวนก็ยังไม่กลับจากงานทำบุญที่บ้านญาติ อีกสองคนตามนายเสถียรขึ้นไปที่คลองเมือง ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามชีวิตประจำวันธรรมดา ไม่ได้ตระเตรียม ไม่มีวางแผนการอะไรทั้งนั้น

ต่างกว่าการพบปะกับรื่นทุกคราวมา ละเมียดรู้สึกว่าเต็มไปด้วยความมั่นใจในเรื่องที่จะพูด และการบังคับความรู้สึกขณะที่จะพบ หล่อนไม่เคยได้คิดจนกระทั่งกำเนิดเด็กคนนั้น ว่าการคบกันอย่างญาติสนิทและมิตรที่รักอาจเป็นไปได้ ระหว่างหญิงชายผู้ซื่อสัตย์ต่อตัวของตัว และสุจริตต่อการเสียสละเพื่อหน้าที่ใด ๆ ความรู้สึกตามสัญชาตญาณมารดา ซึ่งมีทั้งต่อสามีผู้พยายามกลับตัว และต่อทารกผู้เกิดใหม่เปลี่ยนเพลิงเสน่หาซึ่งคุกรุ่นรุนแรงอยู่ในทรวงอกมาแต่ไหนแต่ไร ให้แปรลักษณะไปเป็นความรักอันบริสุทธิ์ผุดผ่องที่หล่อนมีต่อรื่น––ความรักซึ่งทำให้คืนวันครั้งกระโน้นเป็นแต่เพียงอนุสาวรีย์แห่งความหลัง ปราศจากความรุ่มร้อนของกามารมณ์และความปรารถนา กาลเวลาที่ล่วงไป วัยที่จัดเจนขึ้น สอนให้หล่อนรู้จักค่าของการเสียสละ และความสุข ซึ่งได้รับจากความรู้สึกนั้น หล่อนคอยการพบปะครั้งนี้อย่างมิตรที่คอยมิตรผู้จะปรับความเข้าใจกันได้ ไม่มีอะไรปกปิด ไม่มีอะไรเป็นที่ซ่อนเร้น มิไยใครจะเห็น มิไยใครจะซุบซิบนินทา ไม่เคยอยู่ในความสนใจ

“เขากับฉันจะเป็นเพื่อนกันต่อไป” หล่อนคิดแล้วคิดเล่าด้วยความปลอดโปร่งใจขณะที่วางลูกลงเปลกล่อมให้นอน

ท่ามกลางความคิดและอารมณ์เช่นนั้นเอง ที่เสียงระฆังประตูรั้วชั้นนอกดังขึ้น

รื่น ! หล่อนคิดด้วยความแน่ใจ ค่อย ๆ ชักผ้าห่มคลุมอกทารกผู้กำลังหลับพริ้มอยู่ในเปล แล้วย่องกริบออกไปข้างนอก

ครั้งหนึ่งเมื่อถึงชั้นล่าง หล่อนหยุดฟังเสียงพึมพำของยายแม่ครัวอยู่หน่อยหนึ่ง เห็นได้ว่าความสนใจของแกหมกมุ่นอยู่กับงานในมือจนไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งนั้น ครั้นแล้วก็เดินลงไป ผ่านสนามที่สลัวด้วยแสงไฟจากโคมตั้งในห้องรับแขกชั้นล่าง แล้วก็เปิดประตูออก

“รื่น !” หล่อนทักเบา ๆ พลางหลีกทางให้เขา

แต่ทันใดที่ร่างนั้นก้าวจากความมืดของนอกถนนเข้ามาข้างใน เห็นใบหน้าที่แดงก่ำ เห็นนัยน์ตาที่เป็นประกาย พร้อมด้วยริมฝีปากหนาและศีรษะที่เถิก ละเมียดก็ยกมือขึ้นกุมทรวงสะอดกลั้นวาจาที่จะกล่าวต่อไปไว้ทันท่วงที

“คุณเมียดคงประหลาดใจที่กลายเป็นผม แทนที่จะเป็นกำนันรื่น ?” เสียงต่ำ ๆ เอ่ยขึ้น หล่อนคิดไม่ได้ว่ากังวานหัวเราะระคนอยู่ในเสียงนั้น มันอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศที่เย็นในกลิ่นเหล้าที่คลุ้ง ขณะที่เขาเดินต่อไป โดยมิได้พยายามแม้แต่จะมองดูหน้าหล่อน จนถึงบันไดเรือนและในที่สุดก็ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งในห้องรับแขก

ละเมียดเดินตามเขาไปโดยรวดเร็ว

“อิฉันนัดกำนันรื่นมาที่นี่ เพื่อที่จะปรับความเข้าใจกันในเรื่องนั้นเท่านั้น โปรดอย่าสำคัญผิด” หล่อนบอก สีหน้าที่ซีดเพราะความกระทันหันจากการที่เขาไปปรากฏขึ้นกลับเป็นปรกติ เสียงที่พูดก็อย่างเดียวกัน

หลวงราชบริการเอนศีรษะพิงพนักเก้าอี้ หรี่ตาลงข้างหนึ่งเคืองแสงโคมที่ตั้งอยู่ตรงหน้า ละเมียดไม่เคยคิดเลยว่าลักษณะกิริยาท่าทีของคนเราในเวลาเมาอาจเต็มไปด้วยความน่าเกลียดสพึงชังได้เพียงใด

“เปล๊า !” เขาหัวเราะ “ผมไปว่าอะไร ผมแวะเข้ามาที่นี่อย่างที่ผมเคยไปเคยมาต่างหาก นอกจากนั้นคิดว่าคุณเถียรคงกลับแล้ว”

“กำหนดเขากลับคืนนี้ แต่บางทีก็อาจจะเลื่อนไป” ละเมียดมิได้แสดงความยินดียินร้ายอะไรต่อวาจาเหล่านั้น ถ้าคุณหลวงอยากพบเสถียรเขา อิฉันคิดว่าพรุ่งนี้จะดีกว่า––”

นายอำเภอหรี่ตาอีกข้างหนึ่ง ปากของเขายื่น จมูกของเขาบาน “แต่ไม่เป็นไร ในเรื่องคุณเสถียรรอได้” เขาพึมพำ “ขอให้ผมพูดกับคุณเมียดสักหน่อยก่อนที่จะจากไป––”

“รอไว้พรุ่งนี้ไม่ดีกว่าคะ คุณหลวง ?” หล่อนพยายามบังคับใจ บังคับเสียงอย่างหนัก “ถ้าไม่ใช่เรื่องด่วนนัก รอไว้พูดพร้อมกันกับเสถียรเขาดีกว่า”

หลวงราชบริการยกมือขึ้นป้องปากเสียงสะอึกล่วงพ้นออกมา

“เห็นจะเป็นการกีดหน้าขวางตาคุณเมียด ที่ผมจะอยู่ต่อไป” นัยน์ตาอันแดงของเขาจับอยู่ที่ใบหน้าของหล่อนเขม็ง “หรือเกรงว่า––”

ความเหนี่ยวรั้งชั่งใจอันตรธานไปจากการควบคุมของละเมียด

“อิฉันไม่เกรงอะไรทั้งนั้น นอกจากเห็นว่าจะพูดจากันไม่รู้เรื่อง !” หล่อนตอบอย่างรุนแรง หันหลังให้แล้วก็ขึ้นบันไดไปชั้นบน เมื่อได้ยินเสียงร้องจ้าของทารกดังลงมาจากห้องนอน

หล่อนอุ้มลูกขึ้นมาให้กินนมด้วยอารมณ์อันหงุดหงิด เห่กล่อมแกจนหลับไปกับอก กำลังวางลงในเปลจะเห่กล่อมต่อไป ก็พอได้ยินเสียงพื้นกระดานลั่นขึ้นข้างหลัง ละเมียดหันกลับไปดูทั้งที่มือยังไม่วางจากสายเชือก ต่อมาก็รีบดึงเสื้อวินาทีแรก มือทั้งสองยกขึ้นเกาะกรอบประตู นัยน์ตาอันแดงทั้งคู่ หรี่ ริมฝีปากอันหนาเผยอหน้าผากอันกว้างของเขาต้องแสงไฟเป็นมัน

“คุณเมียดคิดหรือว่าจะทำอย่างนั้นได้กับหลวงราชบริการ นายอำเภอ อย่างที่ทำกับผู้ชายตาบอดหูหนวกอย่างคุณเถียร – –”

“อิฉันไม่รู้ว่าคุณหลวงหมายถึงอะไร ?” นัยน์ตาของละเมียดลุกแดง ความชิงชังใด ๆ ที่เคยสะกดกลั้นไว้ได้เกี่ยวกับชายผู้นี้ปรากฏออกมาโดยสิ้นเชิง

“คุณเมียดคงจะไม่สะบัดหน้าหนี คงจะมีเวลาพูดกับผม และพูดได้เพราะ ๆ กว่านั้น ถ้ารู้ว่าผมหมายความว่ากระไร” เขาส่ายหน้าไปมาช้า ๆ อย่างเวทนาปรานี อย่างอสรพิษที่พยายามจะสะกดจิตนางนกซึ่งเกาะอยู่เหนือซุ้มไม้ให้ตกลงมา “คุณเมียดคงจะไม่พยายามขัดขวางทำลายงานที่ผมสร้างมาเกือบชั่วชีวิตตลอดเวลา ถ้ารู้ว่าผมรู้อย่างที่คุณเถียรไม่มีวันจะรู้ เอาเนื้อผัวไปใส่เนื้อชู้สอดแนมตลอดมา หาหนทางบั่นทอนความเจริญของบริษัทตลอดมา ผมจะไม่พยายามเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเลย ถ้าไม่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องด้วย เนื้อไม่ได้กินหนังไม่ได้รองนั่ง แต่นี่ทุกบาททุกสตางค์ของผมอยู่ในบริษัทนี้ มันเป็นชีวิตของผม ความหวังของผม อนาคตของผม จะให้เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ได้อย่างไร ผมจะไม่ยอมให้ใครฆ่าผมอย่างเลือดเย็น –– ” เขาก้าวเข้ามาจนกระทั่งเผชิญหน้าหล่อนในระยะชิด ยกมือทั้งสองขึ้นจับไหล่หล่อนไว้อย่างค่อนข้างแรง ละเมียดมิได้ถอยหลังจนก้าวเดียว ความเกรี้ยวกราดของหล่อมมิได้น้อยไปกว่าเขา

“ปล่อยอิฉัน – –!” เสียงของหล่อนขู่ฟ่ออย่างน่ากลัว จนกระทั่งเขาต้องวางมืออย่างน่าประหลาดใจ แต่ในพริบตาเดียวต่อมามืออันใหญ่เทอะทะคู่นั้นก็ยกขึ้นอีก คราวนี้รวบไว้รอบลำคอพลางลูบคลำอยู่ไปมา

“น่าขันอะไรเช่นนั้น ว่าเสียงของผู้หญิงอาจมีอำนาจเหนือการตัดสินของผู้ชายเราเพียงใด” เขาหัวเราะร่วนอยู่ในลำคอ ขมขื่นและเคียดแค้น “คอนี่ก็เหมือนกัน คออันสวยงามนุ่มนิ่มน่ารัก จะเป็นที่น่าสังเวชสักเพียงใด ถ้าจะมาหักเสียเพราะมือของผม หลายคนคงจะร้องไห้ หลายคนคงจะคร่ำครวญถึง เจ้าผัวที่โง่เง่าเต่าตุ่นเป็นคนหนึ่ง เจ้าชายชู้ผู้เป็นคนป่าคนดงคงจะเป็นคนต่อไป – –” นัยน์ตาอันหรี่ปรือของเขากลับเหลือกถลนขึ้นฉับพลันทันใดเหมือนเพิ่งได้สำนึกจากการสัมผัสนั้น ครั้นแล้วสีหน้าก็เปลี่ยน “รู้เดี๋ยวนี้เองว่าอะไรทำให้คนพวกนั้นกลายเป็นแมวไปได้ต่อหน้าคุณเมียด รู้เดี๋ยวนี้เองว่าอะไรทำให้คนเราเดี๋ยวเกลียดเดี๋ยวรัก เดี๋ยวเปลี่ยนใจ เดี๋ยวไม่เป็นตัวของตัว – –”

นัยน์ตาที่ลืมอยู่ตลอดเวลาของละเมียด มองเห็นความเกลียดจากแววตาอันน่ากลัวของเขาเปลี่ยนไปเป็นอื่น ซึ่งน่าเกลียดน่ากลัวยิ่งขึ้น หล่อนพยายามแผดเสียสุดเสียงว่า “ช่วยด้วย !” แล้วยกมือขึ้นผลักเขาเต็มแรง ผลที่ได้รับก็เพียงแต่เสียงหัวเราะของชายผู้ยื่นมือหนึ่ง ซึ่งหลุดจากคอเอื้อมไปโอบสะเอวหล่อนไว้ ในพริบตาต่อมาฝ่ามืออีกข้างหนึ่งก็ซัดฉาดเข้าเต็มหน้า จนหล่อนเซถลา ศีรษะหมุนคว้างเหมือนจะเป็นลม หล่อนพยายามจะเรียกให้คนช่วย ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่มีใครจะสามารถช่วยหล่อนได้นอกจากในเปลทารกและแม่ครัวผู้อยู่ไกลเกินไป และสนใจเกินไปในงานของแก อีกฉาดหนึ่งที่ขากรรไกร เข่าทั้งคู่ของหล่อนก็อ่อนปวกเปียกลงไป นัยน์ตาทั้งสองพร่า หล่อนแลเห็นนัยน์ตาเหมือนอสรพิษก้มลงมาใกล้ หล่อนได้กลิ่นลมหายใจที่คลุ้งไปด้วยเหล้า รู้สึกตัวเบาเมื่อเท้าหลุดจากพื้นขึ้นไปอยู่ในอ้อมแขน รู้สึกจมูกอันบานและริมฝีปากอันหนาของเขาจูบไซ้ไปตามหัวไหล่ ซอกคอ และทรวงอก โดยมิเอาใจใส่ต่อเสียงทารกที่ร้องจ้า มิได้เอาใจใส่ต่อเสียงระฆังที่ดังมาจากประตูรั้ว

ละเมียดรู้ตัวดีว่าสติสัมปชัญญะที่ยังเหลือติดตัวอยู่จะอันตรธานไปในพริบตาใดก็ได้ หล่อนพยายามควบคุมความคิดเป็นครั้งสุดท้าย และพร้อม ๆ กับหลังสัมผัสที่นอน พร้อม ๆ กับเสื้อชั้นในของหล่อนถูกกระชากอย่างไม่ปรานีปราศรัย หล่อนก็นึกขึ้นได้ถึงปืนกระบอกนั้น แขนขวาอันเป็นอิสระของหล่อน ค่อย ๆ สอดเข้าไปลูบคลำมันโดยมิได้ลืมตา หรือแสดงกิริยาขัดขืนแต่ประการใด

“ที่นี้ละ ทุกสิ่งทุกอย่างจะไปกันได้” เสียงซึ่งไม่เป็นเสียงของนายอำเภอพึมพำไม่เป็นศัพท์ “ไม่มีการคัดค้าน ไม่มีการขัดแย้งในเรื่องการงาน เพราะมันจะผลประโยชน์ของผัวอีกคนหนึ่งของคุณเมียดต่อไป––”

หล่อนลืมตาขึ้นนิดเดียวเท่านั้นเพื่อให้มั่นใจ ทันพอที่จะเห็นอากัปกิริยาและใบหน้าซึ่งนานทีปีหนจะได้เคยเห็นในฝันร้าย พร้อมกับการโถมเข้าใส่ของหลวงราชบริการ ปืนกระบอกนั้นก็ลั่นเปรี้ยงออกไป ขาดใจตายโดยมิได้ร้องสักอิเดียว ก่อนที่ร่างอันเทอะทะของเขาจะสัมผัสที่นอน

หล่อนเกือบไม่รู้ตัวเลยว่าลงมายืนอยู่ข้างเตียงได้อย่างไร เหตุการณ์ต่อไปนั้นสับสนอลหม่านจนไม่สามารถจะลำดับให้เข้าที่ได้ ในความทรงจำอันรางเลือนของหล่อน ละเมียดรู้สึกแต่ว่า อาวุธที่ยังอยู่ในมือถูกแย่งไปโดยใครคนหนึ่ง ซึ่งเหมือนจะแห่กันเข้ามาเต็มห้อง เสียงใครคนหนึ่งร้องออกมาเสียงแหลมด้วยความตกใจ และเสียงใครอีกคนหนึ่ง ซึ่งเจนแก่ความทรงจำกระซิบที่หูเบา ๆ ว่า “ไม่เป็นไร แม่เมียด ปลอดภัยแล้ว ใจดีๆ ไว้ –– ใจดีไว้” ต่อมาก็สิ้นสติไปในอ้อมแขนของเขา

ตลอด ๓ วัน ๓ คืนเต็ม ๆ หล่อนอยู่ในอาการละเมอเพ้อพกเพราะพิษไข้ ตลอด ๓ วัน ๓ คืนเต็ม ๆ หล่อนไม่สามารถที่จะคิด จะพูด หรือรู้สึกอะไรได้ ภาพต่าง ๆ บ้างรางเลือน บ้างไขว้เขว และสับสนลอยวนเวียนอยู่ตรงหน้า บางภาพลอยผ่านมาแล้วก็ผ่านไป บางภาพยังคงอ้อยอิ่งอยู่ใน ห้องนั้นเหมือนฝันร้าย ดวงหน้าอันเต็มไปด้วยความน่าเกลียดสพึงกลัวของหลวงราชบริการก่อนจะพบอวสาน ความประหลาดใจที่ปรากฏอยู่บนใบหน้านั้น ขณะที่เขาสิ้นใจ ใบหน้าของเสถียร ของรื่น ของคุณพ่อ และของใครต่อใคร จนกว่าพิษไข้ค่อยเริ่มลด ความร้อนค่อยปรกติ และหล่อนหลับได้สนิทเป็นครั้งแรก

เสถียรนั่งอยู่ที่นั่น เมื่อหล่อนลืมตาขึ้นในเช้าวันที่สี่ ด้วยความรู้สึกซึ่งค่อยแจ่มใส นอกหน้าต่างออกไปสว่างไสวไปด้วยแสงแดดต้นฤดูหนาว ความอิดโรยที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขา บอกถึงความอดตาหลับขับตานอนในการนั่งเฝ้าพยาบาลหล่อนมาตลอดเวลา

“อิฉันนอนเจ็บมานานทีเดียวหรือคะ เสถียร ?” เสียงหล่อนเกือบไม่ล่วงพ้นลำคอออกไปได้

“นี่เป็นวันที่สี่” สามีตอบก้มลงจับมือหล่อนไปลูบเบา ๆ ด้วยความรัก “ไม่มีอะไรมากนอกจากตกใจเกินไป หมอว่าแต่นี้ไปแม่เมียดจะหายวันคืน”

นัยน์ตาหล่อนชำเลืองกวาดดูรอบ ๆ กาย

“นี่ไม่ใช่ห้องนอนของเรา” คิ้วหล่อนขมวด “เปลตาหนูไปไหน ?”

“อยู่ข้างล่าง” เขาตอบเสียงประเล้าประโลม “ถูกแล้ว นี่ไม่ใช่บ้านของเรา ฉันย้ายแม่เมียดมาอยู่จวนเก่าตั้งแต่คืนนั้น”

หล่อนหลับตาถอนใจแรง เลือดที่แดงเรื่ออยู่ตามหน้าผากและแก้มทั้งสองเมื่อสักครู่กลับซีดไปอีก

“คืนนั้น –– คืนนั้น –– อิฉัน – –” หล่อนกำมือทั้งสองแน่น

“นิ่ง ๆ เถอะ แม่เมียด มันผ่านไปแล้ว อย่านึกถึงอะไรอีก อย่าถามอะไรอีก – –”

“แต่เขาจะทำอย่างไรกับอิฉันในฐานฆ่าคนตาย” หล่อนร้อง กลับลืมตาโพลง “นายอำเภอเสียด้วย”

“คนระยำ ?” เสถียรขบกรามชั่วขณะหนึ่ง เขากลับไปเป็นเสถียรคนเก่า ซึ่งไม่มีใครหรืออะไรจะควบคุมและบังคับได้ แต่ภายในครู่เดียวก็ถอนใจ ยิ้มอย่างเศร้า ๆ ปรากฏขึ้นแทนความเคร่งเครียด “แม่เมียดไม่มีความผิดอะไร กำนันรื่นเขายอมรับว่าเป็นคนยิงนายอำเภอเอง”

“ไม่จริ๊ง––ไม่จริง อิฉันต่างหากเป็นคนยิงเขา ?” หล่อนร้องสุดเสียงพยายามดิ้นเร่าจากมือสามีที่ยึดไว้จะลุกขึ้นมาให้ได้ ในเวลานั้น รื่นไม่ได้อยู่ที่นั่นด้วยซ้ำไป”

เสถียรถอนใจ “ฉันรู้ แม่เมียดรู้ดี” เขาบอก “เพราะขณะที่ฉันถึงประตูรั้ว กำนันรื่นเพิ่งถึงเชิงบันไดเสียงปืนก็ลั่นมาจากข้างบน”

“ถ้างั้นทำไมเสถียรปล่อยให้คนไม่มีความผิดไปรับเคราะห์แทนฉัน” ยิ่งพูดก็ยิ่งหอบ “มันไม่เป็นการยุติธรรม––”

“ฉันรู้ !” เขาพึมพำอย่างเลื่อนลอย “แต่เมื่อเขารับสารภาพ ทางตำรวจก็ต้องจับตัวไว้ ตามคำให้การของเขาก็ดูจะไม่มีอะไร”

สีหน้าและน้ำเสียงของหล่อนเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกตกใจ

“เขาให้การว่าอย่างไร ?”

เสถียรยกมือขึ้นลูบหน้าเหมือนจะปัดฝ้าที่บังอยู่ระหว่างหล่อนและเขาออกไปให้พ้น เสียงตอบของเขาเหมือนคนที่เดินทางเหน็ดเหนื่อยมาแต่ไกล

“เขาว่าแม่เมียดนัดให้เขามาเพื่อพูดจาเรื่องการงาน เขาว่าเมื่อมาถึงบ้านเราไม่เห็นใคร เขาว่าได้ยินเสียงแม่เมียดร้องให้ช่วยก็รีบขึ้นไป เห็นอ้ายหลวงบ้านั่นกำลังทำร้ายแม่เมียดอยู่จึงยิง เท่านั้นเอง”

“นั่นเป็นความจริงทุกอย่าง นอกจากเขาเป็นคนฆ่านายอำเภอ”

“กำนันรื่นเองเป็นคนให้การอย่างนั้น”

“แล้วตำรวจก็เชื่อ” หล่อนร้องไห้ “ทั้ง ๆ ที่ปืนกระบอกนั้นเป็นของอิฉัน – –?”

“ตำรวจยอมเชื่อทั้งนั้น ในสิ่งที่ฉันต้องการให้เขาเชื่อ” เสียงของเสถียรดุดัน

“หมายความว่า เสถียร – –” สายตาของเขาบังคับให้ละเมียดยุติลงเพียงแค่นั้น ซบหน้าลงกับหมอนแล้วก็ร้องไห้

“พยายามอยู่นิ่ง ๆ ดีกว่า แม่เมียด” เขาปลอบด้วยเสียงอ่อนอกอ่อนใจ “พักผ่อนต่อไปให้แม่เมียดมีแรงกว่านี้ค่อยพูดกันใหม่ ฉันจะยังไม่ยอมให้ตำรวจสอบสวนปากคำใด ๆ จากแม่เมียด จนกว่าเราจะได้พูดกันอีกครั้ง” ครั้นแล้วเขาก็ออกไป

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ