รื่น, ผ่าฟืนอยู่ที่โคนต้นซ่านกลางลานระหว่างเรือนและกระท่อมที่พัก ซึ่งเรียงรายอยู่เหนือลำห้วยวังกระทะ ได้ยินเสียงนั้นและแลเห็นขบวนของผู้ว่าราชการจังหวัด นับแต่วินาทีแรกที่เกวียนคัน หน้าเลี้ยวข้ามสันเนินมาหยุดอยู่ที่ใต้ซุ้มไผ่หน้าประตูรั้ว ซึ่งสะด้วยเรียวไผ่ แล้วใครต่อใครก็ตะเกียกตะกายลงมา

เครื่องแต่งกายซึ่งเป็นที่สะดุดตาในภูมิประเทศบ้านป่าเช่นนั้น มากกว่าบรรดาผู้สวมเอง เรียกร้องความสนใจของเขา และทุกคนก้มหน้าทำธุระอยู่กับงานของตนเช้าวันนั้น ให้เงยหน้าขึ้นหันไปจับตาดูอยู่เป็นเป้าเดียวกัน แม้กระนั้น ร่างเล็ก ๆ ของหล่อนพร้อมด้วยใบหน้าอันเกลี้ยงเกลา และนัยน์ตาที่เป็นประกายวาวเพราะความตื่นเต้น ก็เป็นภาพแรกที่สะดุดสายตาเขา ในขณะที่คนอื่น ๆ บ้างยืนบ้างยังนั่ง ด้วยกิริยาท่าทางอันตื่นตะลึงต่าง ๆ กัน เมื่อปรากฏว่า ร่างของชายชราในชุดกางเกงขาสั้นสวมถุงน่องรองเท้า หมวกกันแดดและเสื้อราชปแตนต์ คนนำหน้าคือท่านเจ้าคุณกำแพง ผู้ว่าราชการจังหวัด พร้อมด้วยหลวงราชบริการนายอำเภอ ขุนปราบริปู หัวหน้าตำรวจภูธร และเสมียนหรือพนักงานอีกคนหนึ่ง ถัดกันเป็นลำดับไป

“เจ้าเมืองกะพวกนั้นมาทำไมกันถึงที่นี่ พี่รื่น ?” สุดใจซึ่งเขาไม่ทราบว่าลงจากเรือนมาอยู่ข้างหลังแต่เมื่อไร ถามด้วยเสียงตื่น ๆ หล่อนเคยเห็นท่านเจ้าคุณมาแล้วหลายครั้ง ทั้งในงานเฉลิมพระชนมพรรษาซึ่งคนเรามีโอกาสจะได้พบหน้าค่าตาเจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมืองมาชุมนุมกันที่สนามหน้าศาลากลางมากกว่าในวาระและสถานที่อื่นใด และทั้งในเวลาหาบของข้ามไปขายในเมืองแต่ก่อนมาขณะที่ผ่านหน้าจวน ซึ่งมีความศักดิ์สิทธิ์เท่ากับรั้ววังสำหรับความรู้สึกของชาวบ้านทั่วไป “นายอำเภอ กะนายตำรวจก็มา”

สามีสั่นศีรษะ ยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อจากหน้าผาก ซึ่งอันที่จริงก็ลูบหนังตาเพื่อจะให้แน่ใจว่า หญิงร่างเล็กในชุดผ้านุ่งสีหมากสุก เสื้อมัสลินขาวนั้น คือหล่อนแน่

“ใครจะไปรู้!” เขาพึมพำ

ในขณะนั้นเอง สุดใจก็แลเห็นละเมียดเป็นครั้งแรก

“คุณนายคนนั้นก็มาด้วย” หล่อนยกมือข้างหนึ่งเกาะแขนสามีไว้แน่น

ตกมาถึงเวลานั้น ขบวนของท่านผู้ว่าราชการผ่านประตูรั้ว และลานกว้างเข้ามา ท่ามกลางสายตาทุกคู่ที่ยังเพ่งจับอยู่ด้วยความฉงนสนเท่ห์ ท่ามกลางเสียงสุนัขที่เห่าเกรียว แต่รื่นก็ยังมิได้เปลี่ยนอิริยาบถแต่อย่างใด สายตาของเขามิได้หันไปทางอื่นจนกระทั่งท่านเจ้าคุณมายืนอยู่ตรงหน้า ปักไม้เท้าหัวเลี่ยมเงินลงยันพักร่างซึ่งยังไม่หายปวดเมื่อยของท่าน

“เป็นอย่างไรบ้าง ฮึผู้ใหญ่?” เสียงของท่านที่ถาม ไพเราะ สุภาพ อ่อนโยน และบอกความเห็นอกเห็นใจ “ตั้งแต่ครั้งนั้น แล้วไม่ได้พบกันอีกเลย” ท่านหมายถึงคราวที่เรียกเขาไปแต่งตั้งขึ้นเป็นผู้ใหญ่บ้าน

ในขณะนั้นเอง รื่นจึงได้ตื่นจากภวังค์ เขานั่งลงกระทำความเคารพท่าน และยังคงอยู่ในท่านั้นขณะที่ตอบ สุดใจปฏิบัติตาม

“สบายดี ครับผม”

สบายดี! ทั้งๆ ที่ต่างพากันพลัดที่นาคาที่อยู่มาเป็นเวลากว่าปีเศษ คิ้วของท่านเจ้าคุณเลิกขึ้นนิดหนึ่ง ริมฝีปากเม้มเข้าหากัน แก้มของท่านเต้นเป็นริ้วรอย ด้วยความรู้สึกที่ขึ้นมาจุกอยู่ในลำคอ สายตาอันเชื่อมของท่านแลกวาดไปที่ตัวเรือน ซึ่งพอจะเรียกได้ว่าเป็นเรือน ๒ หลัง และกระท่อมเล็กกระท่อมน้อยอันเรียงรายอยู่ติดๆ กันไป ๗–๘ กระท่อมแล้วก็ถอนใจ

“อยู่ด้วยกันเท่าไหร่ ?” ท่านถาม “เหลือมากี่ครัวเรือน ?”

“ทีแรกก็สิบสองครอบครัวครับผม มาตายที่นี่อีกสามคน ย้ายไปอยู่ที่นาน้ำลาดเมื่อกลางปีเสียสองครัวเรือน เหลืออยู่เท่าที่ใต้เท้าแลเห็น”

อเนจอนาถอะไรเช่นนั้น สำหรับหมู่บ้านใหญ่ซึ่งกำลังจะกลายเป็นตำบลที่รุ่งเรืองที่สุดตำบลหนึ่งบนฝั่งแม่ปิงอยู่แล้ว ท่านผู้ว่าราชการถอดหมวกกันแดดออกโบกลม หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับเหงื่อที่หน้า

“เกลี้ยงเลยเทียวหรือนี่ ” ท่านพึมพำ “คนเก่าแก่ที่เคยรู้จักกันมาแต่ก่อน ๆ เกือบมองไม่เห็นหน้า นอกจากครัวผู้ใหญ่....”

“ใต้เท้า คงจะไปตรวจราชการที่ไหนมา ? เชิญขึ้นไปพักบนเรือนก่อนครับผม รับประทานอาหารกลางวันเสียก่อนถึงค่อยไป” รื่นกุลีกุจอขึ้นไปจัดเสื่อสาดปูที่ระเบียงเรือนร้องสั่งภรรยาหาน้ำท่ามารับรอง และเร่งให้เข้าครัว

ท่านเจ้าคุณนำคณะของท่านตามขึ้นไป สายตาของท่านสอดส่ายดูสภาพอันซอมซ่อของเคหสถานบ้านช่อง และเครื่องอุปโภคบริโภคทั้งหลาย ขณะที่นั่งอยู่ใต้ชายคาซึ่งร่มรื่นแล้วก็ถอนใจ

ขนบประเพณีพื้นเมืองของชาวบ้านนี้ เป็นที่น่าชื่นใจ ไมตรีจิตมิตรภาพในการต้อนรับ ก็เต็มไปด้วยความอบอุ่น ท่านรู้ว่า ไม่ว่าท่านจะเป็นเจ้าคุณกำแพงผู้ว่าราชการจังหวัดหรือขอทานมา และไม่ว่าเขาจะอยู่ในสภาพมั่งคั่งร่ำรวย หรือยากจนค่นแค้นแทบไม่มีอะไรจะกิน ย่อมจะได้รับการต้อนรับขับสู้อย่างเดียวกัน

“อย่าไปลำบากลำบนอะไรเลยผู้ใหญ่” ท่านบอก “ฉันมาพักกินกลางวันกันที่ท้ายดงเศรษฐี เมื่อกี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว แม่เมียดเขาเป็นธุระเสร็จ มานั่งที่นี่ดีกว่า ฉันออกมานี่ก็เพราะอยากพบผู้ใหญ่เท่านั้นไม่ได้ไปตรวจงานการที่ไหน”

ความประหลาดใจปรากฏอยู่ที่เหนือคิ้วและนัยน์ตาของรื่นชำเลืองดูละเมียด หล่อนก็กำลังซุบซิบซักถามสุดใจด้วยเรื่องหนึ่งเรื่องใดอยู่ห่างออกไปทางปลายระเบียง มองดูนายอำเภอและขุนปราบริปูก็ดูเต็มไปด้วยปริศนาอย่างเดียวกัน

“ฉันกลับมาจากล่างเมื่อวานซืนได้ข่าวแล้วก็เสียใจด้วยผู้ ใหญ่” ท่านพูดต่อไปเรียบ ๆ สม่ำเสมอ และเต็มไปด้วยความปรานี “เสียใจแทนพวกเราทุกคน ที่เคราะห์ร้ายเสียใจเพียงใด ผู้ใหญ่คงจะเข้าใจ เพราะหลายคนฉันเคยรู้จักใช้สอยมาเก่าแก่ดึกดำบรรพ์ หลายคนรู้สึกเหมือนจะเป็นญาติกัน ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่ญาติและหลายคนก็เกี่ยวพันกันเพราะย้ายมาจากเมือง มันเป็นเรื่องของเคราะห์กรรมและโชคชะตาที่เราช่วยไม่ได้ ฉันมาพบผู้ใหญ่ครั้งนี้นอกจากเพื่อเยี่ยมเยียนถามข่าวคราวทุกข์สุขแล้ว ก็อยากจะรู้ว่าจะทำอย่างไรกันต่อไป?”

สายตาของรื่นก้มลงมองมืออันใหญ่และหยาบซึ่งแบอยู่บนพื้นกระดานตรงหน้า ถึงกระนั้นหูของเขาก็สดับวาจาของท่านทุกประโยค และเข้าใจความหมาย อันเต็มไปด้วยความจริงใจทุกประการ

“ทุกครัวที่นี่ ที่นาน้ำลาด กะท่าขี้เหล็ก ยังไม่มีใครกล้ากลับเข้าไปอยู่บ้านเก่า ครับผม” เขาเรียนท่าน

“ก็สำหรับผู้ใหญ่ล่ะ ?”

“สำหรับกระผม พวกนั้นอยู่ที่ไหน กระผมอยู่ที่นั่น–”

“งั้นคลองเหนือ บ้านไร่ คลองใต้ ตลอดจนหัวยาง ก็จะคงกลายเป็นหมู่บ้านร้างต่อไป เหย้าเรือนที่เหลือไม่มีใครอยู่อาศัย ไร่และสวนที่เคยทำมาหากินถูกปล่อยให้เปล่าประโยชน์”

“พวกเราทุกคน ต่างหักร้างถางพงกันใหม่ จนวังกระทะ นาน้ำลาดและท่าขี้เหล็ก กลายเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ไป เดี๋ยวนี้กล้วยอ้อยในไร่และข้าวในนามีพอที่จะเลี้ยงปากเลี้ยงท้องกันทั่วถึง–”

“แต่มันก็จะไม่มีวันกลายเป็นหมู่บ้านใหญ่ หรือกลายเป็นตำบลไปได้อย่างบ้านเก่า เพราะไกลเมือง ไกลแม่น้ำ ไกลตลาดค้าขาย”

“กระผมเข้าใจครับผม แต่จะทำอย่างไรได้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราก่อเราสร้างมาเกือบชั่วชีวิต แหลกลาญไปหมดแล้ว ศรัทธาของทุกคนไม่มีเหลือ เมื่อจะอยู่ในบ้านไม่ได้ ก็เป็นธรรมดาอยู่เองที่เขาจะจำใจอยู่ในป่า”

ท่านเจ้าคุณส่ายหน้าอันเป็นมันของท่านน้อย ๆ พลางถอนใจ

“เมื่อวานนี้เอง ฉันข้ามฟากมาพบท่านพระครูที่วัด” ท่านบอก “จากท่านฉันรู้ว่าทุกคนไม่กล้ากลับเข้าไปอยู่บ้านเดิม ก็เพราะยังหวาดเกรงทั้งฝีดาษและภูตผีปีศาจอะไรกันอยู่ ฉันรู้ต่อไปด้วยว่าทั้งท่านพระครูและผู้ใหญ่ พยายามจะชักนำให้คนพวกนั้นกลับไปแต่เห็นไม่สำเร็จ ผู้ใหญ่ก็จำต้องอยู่กับพวกเขา นั่นเป็นการตัดสินใจที่ถูกสำหรับคนเราที่จะเป็นหัวหน้าคน แต่ในฐานะหัวหน้าคน ฉันคิดว่าผู้ใหญ่ยังยึดถือศรัทธาของชาวบ้านไว้มากพอที่จะชักจูงให้เขากลับมาได้ ถ้าผู้ใหญ่พยายามพอ ใช้เหตุผลพอ–”

“กระผมพยายามมาแล้ว แต่ก็ไม่สำเร็จ ความกลัวของคนเราอยู่เหนือเหตุผล กระผมไม่สามารถจะบังคับเขาได้”

“ฉันไม่ต้องการให้บังคับ” ท่านเจ้าคุณเน้นประโยคนั้น “แต่ต้องการให้ทุกคนกลับไปอยู่บ้านเก่าด้วยความสมัครใจ ฉันรู้ว่าผู้ใหญ่รู้ว่าคลองเหนือ บ้านไร่ คลองใต้ปลอดภัยพอแล้วที่จะกลับเข้าอยู่อาศัยได้อีก ผู้ใหญ่ทำถูกที่สั่งให้รื้อถอนหรือเผาเหย้าเรือนที่ตายกันทั้งครอบครัวเสียก่อนที่จะอพยพออกมา ผู้ใหญ่ทำถูกที่พยายามทำความสะอาดราดด้วยน้ำปูนขาว และรมบ้านช่องด้วยควันกำมะถัน นั้นคงจะรู้มาจากพวกหมอฝรั่ง––”

“กระผมรู้มาจากหนังสือที่ซื้อมาจากในกรุง”

“ดีละ ผลก็อย่างเดียวกัน ฟังฉันให้ดี, ผู้ใหญ่” ท่านมองหน้าอื่น ซึ่งเงยขึ้นอย่างพินิจพิเคราะห์ และเต็มไปด้วยความหวัง “ลงไปรักษาตัวในกรุงคราวนี้ ฉันมีข่าวกลับมาบอกพวกเราที่นี่หลายเรื่องด้วยกัน บางทีมันอาจจะเป็นการตั้งต้นใหม่ของคลองสวนหมากที่วอดวายไปแล้ว และมันก็อาจจะเป็นการตั้งต้นชีวิตใหม่ของพวกเราที่ยังเหลืออยู่ด้วย ข้อแรก เสด็จเสนาบดี ทรงเห็นด้วยที่ฉันขอให้ยกฐานะ คลองสวนหมากขึ้นเป็นตำบล เพราะฉะนั้นคลองสวนหมากจึงจำเป็นต้องมีผู้คนอยู่อาศัย คลองสวนหมากที่ร้างจะเป็นตำบลขึ้นมาอย่างไรได้ นี่แหละ ฉันจึงขอมอบความไว้วางใจสำหรับผู้ใหญ่จะจัด การเป็นธุระต่อไป จริง, ความกลัวของคนเราโดยเฉพาะชาวบ้านนี้ ในเรื่องโชคลางสังหรณ์และผีเหย้าผีเรือน อยู่เหนือเหตุผลเหมือนกับชาวบ้านอื่นทั่วๆ ไป แต่ผู้ใหญ่รู้ไหมล่ะว่า คลองสวนหมากก่อนหน้าผู้ใหญ่เกิด ก่อนหน้าผู้ใหญ่จะมาอยู่เป็นอย่างไร ต้นตระกูลของฉันมาเป็นเจ้าเมืองอยู่ที่นี่นาน ท่านผู้ใหญ่เก่า ๆ เล่าให้ฟังเป็นเสียงเดียวกันทั้งนั้นว่า คราวไหนที่คลองสวนหมากร้าง จะกินเวลาช้านานเพียงใดก็ตาม ในที่สุดมันก็ต้องกลับเป็นบ้านมีคนอยู่อีกทุกครั้งไป ในชั้นแรกก็ครัวเดียวสองครัวก่อน มาตั้งรกรากอยู่ จนกระทั่งคนอื่น ๆ เห็นว่าปลอดภัย ไม่มีอะไรเกิดขึ้น คนอื่น ๆ ก็อพยพตามไปอยู่ จนกระทั่งหมู่บ้านใหญ่ขึ้นมา ผู้ใหญ่เข้าใจความหมายของฉันไหมล่ะ – – ความกลัวของคนเรา แก้กันไม่ได้ด้วยเหตุผล ความกลัวของคน ต้องแก้กันด้วยตัวอย่าง และฉันต้องการ – ฉัน – ฉันขอร้องให้ผู้ใหญ่เป็นตัวอย่างนั้น ฉันรู้ว่าผู้ใหญ่ทำได้ ฉันรู้ว่าในเมืองนี้บ้านนี้ ไม่มีใครที่ชาวบ้านจะเชื่อถือเท่ากับผู้ใหญ่ เชื่อฉันเถอะผู้ใหญ่ เชื่อฉันเถอะ ผู้ใหญ่ย้ายเข้าไปเมื่อใดคนที่นี่ที่นาน้ำลาดและท่าขี้เหล็กอีกหลายสิบครัวเรือน ก็จะย้ายตามเข้าไป”

นัยน์ตาอันเต็มไปด้วยความรู้สึกของเขา มองดูนัยน์ตาอันเต็มไปด้วยอานุภาพแห่งความหวัง และความปรานีของท่านมีอานุภาพเหนือสิ่งอื่นใด ก็เพราะมันเป็นนัยน์ตาซึ่งบอกถึงศรัทธาที่เจ้าคุณผู้ว่าราชการจังหวัดมีอยู่ต่อเขา รื่นหลบนัยน์ตาคู่นั้นหันไปสบตาละเมียดผู้กำลังตรับฟังคำตอบของเขาอยู่เหมือนกันอย่างเคร่งเครียด ครั้นแล้วก็ถอนใจ

“ถ้ากระผมย้ายเข้าคลองสวนหมากก่อน ก็เหมือนหนีเขาไป” เสียงของเขาเหน็ดเหนื่อยและอิดโรย “นั่นเป็นตัวอย่างที่กระผมทำไม่ได้ เราทุกข์ยากตรากตรำมาด้วยกันนาน พอที่จะแยกไม่ออก พวกนี้อยู่กระผมอยู่ พวกนี้ยอมไปกระผมไป ในเวลานี้ทุกคนยังไม่มีใครพร้อมเลยที่จะเข้าไป–”

“แต่ฉันไม่ได้หมายอย่างนั้นผู้ใหญ่รื่น” ท่านเจ้าคุณรู้สึกอึดอัดเมื่อรู้สึกว่าไม่สามารถจะทำให้เขาเข้าใจอย่างที่ท่านเข้าใจได้ “ฉันหมายความว่าต้องการให้ผู้ใหญ่เป็นผู้ชักจูงลูกบ้านเหล่านี้ มิใช่เพื่อตัวผู้ใหญ่เอง มิใช่เพื่อฉัน มิใช่เพื่อบ้านเมือง แต่เพื่อความเจริญ ความรุ่งเรืองในอนาคตของเขา ของตำบลที่เขาเกิด เขาอยู่และทำมาหากิน – – ทุกคนควรจะเข้าใจ”

“ครับผม ทุกคนควรจะเข้าใจ” รื่นทวนประโยคของท่านอย่างเลื่อนลอย “แต่เขาก็ต้องการเวลา ขณะนี้ยังไม่มีใครกล้าพอแม้เพียงจะย่างกรายผ่านคลองสวนหมากไปไหน”

“ปีเศษยังไม่เป็นการเพียงพออีกหรือรื่น ที่คนเราจะพยายามเอาชนะความกลัว ?” ละเมียดเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา

“มันแล้วแต่ใจเขาครับคุณละเมียด” เขามองดูหล่อนอย่างครุ่นคิด “แล้วแต่ใจเป็นคน ๆ ไป – บางปัญหา และบางราย ชั่วชีวิตคนเราก็ไม่อาจลืม...เอ้อ....ไม่อาจจะเอาชนะได้”

“ฉันเคยคิดแต่ว่ารื่นใหญ่พอ เข้มแข็งพอ ที่จะตัดสินใจแทน พวกเพื่อนบ้านได้” ความผิดหวังระคนอยู่ในกังวานเสียงของหล่อนอ่อน ๆ แต่ก็รุนแรงพอที่จะทำให้สีหน้าของผู้ฟังเปลี่ยนสีไป “ฉันเคยคิดแต่ว่ารื่นเป็นคนไม่กลัวอะไร ในเมื่อรู้ว่าตัวทำถูก – –”

“คุณละเมียดจะให้ผมทำอย่างไร ?” สายตาของเขายังจับอยู่ที่ใบหน้าหล่อน มือของเขากำแน่นแล้วก็คลายออกอยู่ตรงหน้า

“รื่นได้ฟังคุณลุงท่านว่าแล้วนี่ อนาคตของคนบ้านนี้อยู่ในกำมือของรื่นแล้วแต่จะชักนำไป กลับเข้าบ้าน รื่นก็จะชักนำเขาไปสู่ชีวิตใหม่ ขืนอยู่ที่นี่ นานวันนับแต่จะตายด้าน ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่คนพวกนั้น หากอยู่ที่รื่นคนเดียว แล้วแต่รื่นจะเลือก –”

ศีรษะอันยุ่งของเขาส่ายไปมาช้า ๆ ครั้นแล้วก็ก้มหน้าลงมองดูมือทั้งคู่

“คุณละเมียดยังไม่รู้ว่ากลับเข้าไป ทุกคนจะเจออะไร เพราะไม่มีใครได้เคยเจอะชีวิตอย่างเรา” เขาพึมพำ

“ฉันเข้าใจดีรื่น – เข้าใจ” หล่อนตอบเสียงอ่อน “แต่ความปวดร้าวขมขื่น ทนทุกข์ทรมานให้คุณอะไรแก่คนเราบ้าง ตราบใดที่ลืมมันไม่ได้ ฉันรู้ว่ารื่นและสุดใจต้องโศกเศร้าเสียใจเพียงใด ในการที่ต้องสูญเสียลูกคนหัวปีไป ฉันรู้ว่าทุกคนได้รับความทุกข์เพียงไหนด้วยการพลัดพรากจากผู้ที่ตนรักและทรัพย์สมบัติใดๆ ที่อุตส่าห์สะสมมาชั่วอายุ รื่นเองผ่านชีวิตมามาก ท่องเที่ยวมาไกล เข้าใจอะไรได้ดีกว่าใคร ๆ สมัยปู่ย่าตายายเราขึ้นไป ห่าลงกินคนตายทั้งเมือง ท่านยังสร้างใหม่ได้ สำมะหาอะไรกับหมู่บ้าน สำมะหาอะไรกับตำบล–”

ทุกคนไม่สามารถจะเข้าใจได้ว่าอะไรทำให้เขานิ่งงันไป รื่นได้แต่ก้มหน้า สายตาทั้งคู่จับอยู่กับมือทั้งสอง ไหล่อันกว้างยกขึ้นลงด้วยการถอนใจแรง ท่านเจ้าคุณกำแพงชำเลืองดูละเมียด ชำเลืองดูสุดใจ ในที่สุดท่านก็เอ่ยขึ้นอีก

“ข่าวดี – – บางทีมันจะช่วยให้ผู้ใหญ่เห็นแก่ฉันและคนบ้านนี้ขึ้นอีก ก็คือ ในหลวงจะเสด็จประพาสที่นี่ไม่ปลายปีนี้ก็ คงในราวปีหน้า – –”

สายตาทุกคู่หันไปมองท่านเป็นตาเดียวกัน นอกจากรื่นซึ่งยังคงอยู่ในอาการเดิม

“คุณลุงคะ” ละเมียดเอ่ยอย่างงงงัน “คุณลุงไม่เคยแพร่งพรายให้ดิฉันหรือใคร ๆ รู้เรื่องเลย”

“เพราะลุงเองก็ยังไม่แน่ใจว่า ควรจะเปิดเผยหรือไม่ บางเสียงว่า ท่านจะเสด็จแต่ปีกลาย บังเอิญเคราะห์ร้ายลุงยังเจ็บอยู่ที่โน่น แล้วฝีดาษเกิดระบาดขึ้นที่นี่ บางเสียงว่าท่านจะเสด็จปีนี้ ยังเอาแน่ไม่ได้ จนกระทั่งก่อนหน้าจะขึ้นมากำแพง เข้าเฝ้าเสด็จเสนาบดีอีกที ถึงได้แน่ใจว่าเสด็จประพาสแน่ แต่จะเสด็จประพาสต้นไม่เป็นทางการ” ท่านหันกลับไปหารื่นอีก “คราวนี้ผู้ใหญ่เข้าใจหรือยังว่า จำเป็นเพียงไรที่เราจะต้องช่วยกัน ทำให้คลองสวนหมากเป็นหมู่บ้านหรือตำบลที่มีคนอยู่ แทนที่จะเป็นหมู่บ้านหรือตำบลที่ร้าง ?”

แต่รื่นยังคงนั่งนิ่ง อยู่ในอิริยาบถเดิมอีกนาน เหมือนไม่ได้ยินท่านพูดทั้ง ๆ ที่ได้ยิน และเข้าใจทุกถ้อยคำ ในที่สุดจึงเงยหน้าขึ้น

“กระผมจะลองพูดจากับคนบ้านนี้ดูอีกที” เขาตอบด้วยเสียงแหบ ๆ “กระผมจะพยายาม––”

และนั่นเป็นคำตอบอย่างมากที่สุดที่ท่านเจ้าคุณกำแพงจะได้รับจากรื่น ในการอุตส่าห์เดินทางออกไปหาเขาถึงวังกระทะแทนที่จะเรียกตัวไปในเมืองอย่างครั้งนั้น การกระทำของท่าน และผลที่ได้รับจากรื่น ก่อความข่มขื่นให้แก่นายอำเภอ ผู้ถือหลักการปกครองคนละตำราเพียงใด จะเห็นได้จากสีหน้าที่เคร่งเครียด และริมฝีปากที่เผยอเยาะ ขณะที่ลงบันไดเรือนตามหลังเจ้าคุณ โดยมิได้ร่ำลา หรือตอบรับการคารวะของสองผัวเมียผู้เป็นเจ้าบ้าน

“ขันไหมล่ะ ท่านขุน ?” หลวงราชบริการ กระซิบกระซาบกับหัวหน้าตำรวจภูธร ระหว่างนั่งเกวียนมาด้วยกัน

“ขันอะไรคุณหลวง ?” ขุนปราบริปูหันมาเลิกคิ้วอย่างฉงน

“คนชั้นเจ้าเมือง อุตส่าห์ถ่อกายออกมากราบกรานวานไหว้ ไพร่สารเลวให้มันช่วยเหลือ แทนที่จะสั่งการตามอำนาจที่มีอยู่ อย่างนี้เป็นเจ้าคุณปู่ของผมละก้อ หลังอ้ายรื่นลายแล้ว ––”

ขุนปราบริปู เคยรู้จักเจ้าคุณปู่ของหลวงราชบริการว่า เป็นผู้ว่าราชการจังหวัด ที่เคร่งครัดต่อหน้าที่และผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา จนบางเวลา และบางกรณีเกือบกลายเป็นโหดร้ายทารุณ ในขณะที่ท่านเจ้าคุณกำแพงปกครองคนด้วยความปรานี เพราะฉะนั้นถึงจะมีความเห็นใจกับหลวงราชบริการเพียงใด ก็ยากที่จะเห็นสอดคล้องต้องด้วยได้ในหลักการปกครองเจ้าคุณปู่หลวงราชบริการและหลวงราชบริการเอง ตกลงอย่างดีที่สุดที่ท่านขุนจะทำได้ในกรณีเช่นนั้นก็เพียงแต่ยิ้ม

“ผมเกรงว่าต่อไป ใครในคณะกรมการจังหวัดขี้เยี่ยวไม่ออก เห็นจะหนีเจ้ารื่นไม่พ้น” หลวงราชปรารภต่อ

แก่คำปรารภข้อนี้อีกเหมือนกัน ท่านขุนได้แต่ยิ้มอยู่ในหน้า โดยมิได้ตอบว่าประการใด เพราะไม่จำเป็นต้องตอบ และไม่มีอะไรจะตอบ ขณะเดียวกันท่านเจ้าคุณซึ่งนั่งไปในเกวียนเล่มหน้ากับละเมียด มิได้ปริปากอะไรเลย จนกระทั่งย่างเข้าท้ายดงเศรษฐี

“บางทีจะถูกของแม่เมียด ที่ยกตัวอย่างเมืองร้างขึ้นมาเปรียบเทียบกับคลองสวนหมากในเวลานี้ให้นายรื่นเขาฟัง” ท่านเอ่ยขึ้นทั้ง ๆ ที่มิได้หันหลังกลับมา สายตาจับอยู่กับใบเสมา ซึ่งหักพังอยู่บนกำแพงหินแลงอันยั้วเยี่ยไปด้วยรากไทร และยอดเจดีย์ที่ปกคลุมไปด้วยเถาวัลย์หนาแน่น “สงครามและโรคภัยอาจจะทำให้เมืองหนึ่งนครใดย่อยยับไป แต่แล้วมันก็จะต้องเกิดขึ้นใหม่ ตราบใดที่มนุษย์เราจำเป็นจะต้องอยู่ ดูนายรื่น เขาจะสนใจในคำพูดของแม่เมียด มากกว่าการชักแม่น้ำทั้งห้าของลุง นั่นมันอย่างไรกัน ? บอกหน่อยได้ไหมว่าแม่เมียด รู้จักกะเขามาแต่เมื่อไหร่ ?”

“ก่อนหน้าดิฉันจะได้กะเสถียรเขาค่ะ” ละเมียดตอบ “นายรื่นเคยช่วยดิฉันกะคุณพ่อไว้ เมื่อคราวเราถูกโจรปล้นที่หน้าบ้านลานดอกไม้ ตอนคุณพ่อถูกย้ายไปเมืองตาก”

“อ้อ” ท่านเจ้าคุณพึมพำ สายตากวาดดูภูมิประเทศของดงเศรษฐีขณะที่เกวียนเลียบชายเนินเหนือคูเมืองเก่าต่อไป “อยากให้หมอรับปากจริงๆ ว่าจะทำตามที่ลุงขอร้อง คน ๆ นั้นพูดอะไรเป็นนั่น ตั้งแต่เป็นผู้ใหญ่บ้านมายังไม่เคยผิดคำมั่นสัญญา”

“แต่เขาก็บอกแล้วนี่คะ ว่าจะพยายาม ดิฉันคิดว่า อย่างไรเสียคงสำเร็จ”

“เพราะอะไร ?”

“เพราะ –” ละเมียดหยุดนิ่งไปครู่ใหญ่ เคราะห์ดีที่ท่านเจ้าคุณมิได้หันหลังกลับมาเห็นสีหน้าอันแดงเรื่อของหล่อน ฉะนั้นจึงสามมารถกล่าวต่อไปได้ โดยปราศจากความตะกุกตะกัก “เพราะอย่างที่คุณลุงพูดมาแล้ว นายรื่นเป็นคนที่จะไม่ยอมรับคำในเรื่องอะไรเป็นอันขาดเว้นไว้แต่เขาจะแน่ใจว่า จะไม่ไปเกิดผิดพลาดขึ้นภายหลัง แต่สำหรับเรื่องนี้ดิฉัน – – ดิฉันเชื่อเหลือเกินว่า เขาจงพยายามอย่างที่สุดที่จะให้พวกลูกบ้านของเขากลับไปตั้งภูมิลำเนาในที่เดิม ชีวิตคนเราเหมือนกับต้นไม้ ครั้งหนึ่งลงได้ตั้งรกรากอยู่ที่ไหนนาน ๆ รากแก้วของชีวิตก็ฝังลึกลงที่นั่นอย่างถอนไม่ขึ้น เพราะความเคยชิน การอพยพโยกย้ายไป มีแต่จะทำให้ชีวิตเฉา อย่างไรเสียเขาก็จะหาหนทางกลับไปอยู่ที่บ้านเก่าที่คลองสวนมากจนได้ – –”

“แม่เมียด แน่ใจนักหนาทีเดียวหรือในข้อนี้ ?” เสียงท่านเจ้าคุณที่แว่วมาจากข้างหน้า นัยน์ตาค่อยแจ่มใสขึ้น

“ค่ะ, ดิฉันแน่ใจ” หญิงสาวตอบ

เกวียนทั้งสองเล่มเดินทางต่อไปตามทางที่สูง ๆ ต่ำๆ ประเดี๋ยวออกท้องทุ่งที่แดดจ้า บางขณะขึ้นไปอยู่บนเนินสูง ซึ่งมองลงไปเห็นท้องทุ่งที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นชานเมืองอันไพศาล เพียงแต่กาลเวลาและธรรมชาติเท่านั้น ที่แปรสภาพไปเป็นละเมาะไม้ใหญ่น้อย และบางขณะก็ลงไปสู่ลำห้วย ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นคูเมือง เขลอะไปด้วยใบไม้เน่าทับถมกันสูงแค่เข่า

นกเปล้าฝูงหนึ่งแตกฮือจากยอดมะค่า ขณะที่เกวียนเล่มหน้าข้ามพ้นสันกำแพงร้าง ละเมียดซึ่งนั่งอยู่หลังท่านเจ้าคุณบนเกวียนเล่มนั้นแหงนหน้าขึ้นดูหน่อยหนึ่ง แล้วนัยน์ตาและความคิดก็เลือนลอยไป ป่าขมุ ชะอม และก้างปลา สองฟากทางเกวียนกลายเป็นป่าไผ่, ไร่กล้วย และเหย้าเรือนที่วังกระทะขึ้นมาในมโนคติของหล่อน!

คำพยากรณ์ของละเมียด, ถ้าหล่อนหมายจะให้เป็นคำพยากรณ์ ที่ลั่นไว้กับเจ้าคุณกำแพงคราวนั้น ปรากฏเป็นความจริงทุกประการ เพราะอีก ๓ เดือนต่อมาขณะที่ลมเหนือเริ่มพัดและใบไม้เริ่มเหลืองร่วงหล่นเกลื่อนพื้นดิน รื่นก็อพยพครอบครัวของเขาออกจากวังกระทะ กลับเข้าคลองสวนหมาก พร้อมด้วยครอบครัวของเพื่อนบ้านทั้งปวง ภายหลังที่ได้ปรึกษาหารือกันอยู่เป็นเวลาช้านาน หลายคนคัดค้านความคิดนั้น เพราะความสยดสยองของเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้วแต่หนหลัง ยัง ใหม่ต่อความทรงจำเกินไป ทารุณโหดร้ายต่อความรู้สึกเกินไปที่จะต้องเผชิญหน้า แต่หลายคนก็ปลงตกว่า เรื่องโชคชะตาของคนเราถึงจะอยู่ที่ไหน ๆ ก็หนีไม่พ้น อย่างไรก็ดี ทุกคนไม่อาจฝืนคำชักชวนของรื่นได้ และซึ้งลงไปในใจของทุกคน ไม่มีใครจะสามารถขัดแย้ง หรือหักล้างเหตุผลที่เขายกขึ้นอ้างได้ คลองสวนหมากเป็นบ้านที่เขาเกิด เพราะฉะนั้นมันก็ควรจะเป็นเรือนตาย

ถูกอย่างละเมียดว่า รากแก้วของชีวิตเขาและคนพวกนั้นฝั่งลึกเสียแล้วในคลองสวนหมาก ขนบประเพณี ไร่ นา ป่า เขา ตลอดจนอากาศที่หายใจเข้าไป ผูกมัดรัดรึงใจเกินที่เขาจะปลีกตัวออกพ้น เกินกว่าเขาจะตัดขาด มันอาจจะเลือนหายหรือคลายความรบเร้าลงไปในครู่หนึ่งคราวใด แต่ในที่สุดมันก็จะอยู่ที่นั่นไม่ไปไหนเหมือนรากแก้วของต้นไม้ที่ฝังลึกลงไปในพื้นดิน ไม่มีผู้ใดรู้ ไม่มีผู้ใดเห็นว่าลึกแค่ไหน

“ถ้ามันถึงคราวตาย เราก็คงจะตายไปกะพวกนั้นแต่ครั้งนั้นแล้ว” รื่นบอกกับทุกคน “แต่จนเดี๋ยวนี้เราก็อยู่กันมาได้ จะลำบากตรากตรำเจ็บไข้ได้ป่วย อดอยากกันเพียงใด ก็ยังมีชีวิตอยู่ นอกจากนั้นอย่าลืมนึกถึงท่านพระครู ว่าระหว่างที่พวกเราหนีออกป่าเสียทั้งปี ท่านไม่เคยได้หนีไปไหน เพราะอะไร ? เพราะ ‘ที่นี่เป็นเรือนตายของฉัน ผู้ใหญ่’ อย่างท่านว่า ‘ปลงข้อนั้นตกแล้วนี่ ก่อนที่จะสละเพศฆราวาสเข้ามาพึ่งใบบุญของพระศาสนา ถ้ามันเป็นความประสงค์ของเทพยดาฟ้าดิน ที่จะให้ฉันได้รับใช้พระศาสนาต่อไป ก็คงรอด มิฉะนั้นก็ตาย และท่านก็ยังอยู่ ไม่ตาย น่าละอายอะไรเช่นนั้น ที่พวกเราปล่อยให้ท่านอด ๆ อยาก ๆ อยู่แต่ลำพังเสียนาน เพราะหวาดกลัวความตาย ในเวลามั่งมีศรีสุขสะดวกสบาย ทุกคนพากันทำบุญตักบาตร์เกร่อ จนเหลือพระฉันพระใช้ ในเวลาตก ยากสิ ต่างคนต่างดิ้นรนเอาตัวหนี ถึงข้าเองก็ยังละอายใจอยู่ จนเดี๋ยวนี้ ”

ความซื่อสัตย์ที่ปรากฏออกมาจากนัยน์ตา และวาจา ซึ่งเต็มไปด้วยความหนักแน่น จริงจังของเขามากกว่าวิธีพูด เรียกร้องศรัทธาของคนพวกนั้น เหนือสิ่งอื่นใด ความทนทุกข์ทรมานที่ผ่านร่วมกันมา ยืนยันดีกว่าข้อพิสูจน์ใด ๆ ถึงน้ำใจและความปรารถนาดีที่รื่นมีต่อพวกเขา เพราะฉะนั้นเอง ราวอีกเดือนเศษ หลังจากพวกคลองใต้อพยพกลับเข้าสู่ถิ่นเดิม พวกบ้านไร่และคลองเหนือก็เริ่มอพยพกลับจากท่าขี้เหล็ก และนาน้ำลาด ชั้นแรกอย่างขลาดๆ และขยักขย่อน ค่ำลงก็ดับไฟนอน ไม่มีเสียงสรวลเสเฮฮา ไม่มีแม้แต่เสียงหมาเห่า แต่เมื่อนานเข้าและค่อยเคยชิน ชีวิตก็เริ่มเข้าสู่ร่องรอยเดิม หัวเราะ และร้องเพลงกันต่อไปได้

รื่นลงมือรื้อหลังคาเรือนของเขา ซึ่งเหลือจากไฟไหม้ จัดแจงมุงด้วยแฝกที่กรองใหม่ แล้วก็ตักน้ำล้างทำความสะอาดเป็นการใหญ่ ก่อนที่จะพาสุดใจและลูกๆ เข้าอยู่เรือน ป้าแคล้วและจำปา ซึ่งถัดไปก็เช่นเดียวกัน ถึงกระนั้นนับแต่วันแรกที่เขาย่างขึ้นสู่เรือน ก็ดูเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างจะผิดแปลกไป มิใช่เกิดจากความระคาย และความแห้งแล้งของกลิ่นแฝก หรือความเงียบเหงาเพราะลูก และเพื่อนบ้านอันเป็นที่รักใคร่คุ้นเคยหลายคนพลัดพรากจากไป หากเป็นความผิดแปลกของคนหน้าใหม่และรุ่นใหม่ผู้ย่างเข้าสู่อาณาจักรเก่า ซึ่งไม่มีอะไรเหลือทิ้งไว้ นอกจากอดีตที่เต็มไปด้วยความหายนะ มันเป็นความรู้สึกทำนองเดียวกันกับชั่วขณะที่เขาเคยผ่านเข้าไปสู่บริเวณกำแพงเมืองเก่าของสุโขทัย ของกำแพงเพชร ของวังพระธาตุ และดงเศรษฐี เขารู้ดีเท่า ๆ กับสายตา เห็นว่าภายในบริเวณรอบกายปราศจากผู้คนแต่ก็อดขนลุกเกรียว และเหลียวหน้าเหลียวหลังไม่ได้ ทุกคราวที่ย่างออกจากเงามืดเข้าสู่แสงสว่าง อดรู้สึกไม่ได้เหมือนเสียงฝีเท้าใคร หรือคนกระซิบกระซาบอยู่ข้างหลัง ขณะที่เดินอยู่ในบริเวณแต่ลำพังคนเดียว และทุกเสียงสุนัขที่เห่าเกรียวในเวลาค่ำคืนมืดดึกดื่น คอยแต่จะปลุกให้เขาตื่น ลุกขึ้นมาสดับตรับฟังด้วยความวังเวงใจ

เขารู้ดีว่า คลองสวนหมากใหญ่เกินไปสำหรับเขาและชาวบ้านเหล่านั้น แต่ในขณะเดียวกันเขาก็รู้ว่าจะต้องพยายามเอาชนะมันให้ได้ ถ้าเขามุ่งหมายที่จะยึดเอาเป็นบ้านอยู่เรือนตายต่อไป

“ฉันเคยคิดว่ารื่นใหญ่พอ แข็งแรงพอที่จะตัดสินใจแทนเพื่อนบ้านได้” วาจาของละเมียดประโยคนั้นผุดขึ้นซ้ำๆ ซากๆ ในความคิดของเขา “ฉันเคยคิดแต่ว่ารื่นเป็นคนไม่กลัวอะไร”

และทุกคราวที่ระลึกขึ้นได้ หัวใจก็อบอุ่น เพราะโลหิตที่ฉีดแรงรู้สึกตัวโตขึ้นหลายเท่า คลองสวนหมากเล็กไปสำหรับเขา กำแพงเพชรเล็กไปสำหรับเขา โลกนี้เล็กไปสำหรับเขา “ฉันจะทำให้ปากคลองกลับเป็นบ้าน” เขาคิดทุกคราวที่อยู่ในอารมณ์นั้น “ฉันจะสร้างให้มันเป็นเมือง”

ความคิดเช่นนั้น สุดวิสัยที่เขาจะแบ่งให้ใครร่วมรับรู้ได้อีกต่อไป มันมิใช่เกี่ยวกับที่มาของความรบเร้าเย้ายวนใจอันเกิดจากละเมียดเป็นผู้เสริมใส่ให้ ในความทะเยอทะยานอยากของเขาอย่างเดียว หากนับวันนับแต่ภาระและทรรศนะในชีวิตของแต่ละคน ดูจะแตกต่างห่างกันไกลออกไปในความสำนึกของเขา สุดใจซึ่งเคยสาวและสดใส ดูเหมือนจะไม่มีอะไรเหลืออยู่อีก สำหรับจะเป็นความปรารถนาที่หล่อนและเขาเคยร่วมรู้สึก และร่วมรับด้วยกันมา นอกจากภาระในการดูแลลูก ๆ และความสำนึกในกรรมสิทธิ์ที่หล่อนมีต่อเขาอย่างแรงกล้ายิ่งขึ้น ป้าแคล้วซึ่งแต่ไหนแต่ไรมา วัยชราไม่เคยปรากฏชัดเท่ากับในปีนั้น ตั้งหน้าเข้าวัดเข้าวา ราวกับว่าอนาคตของลูก ๆ หลาน ไม่มีความหมายสำหรับแกอีกต่อไป จำปาเล่า นับแต่สูญเสียลูกชายคนเดียวของหล่อน อันเกิดจากสามีลิเกคนแรกไปแล้ว ก็สิ้นความสนใจต่อชีวิตใหม่ ซึ่งหล่อนร่วมรับมากับเรืองด้วยดี เป็นเวลาหลายปี ชีวิตวันหนึ่ง ๆ ของหล่อน อยู่ไปปราศจากจุดมุ่งหมาย การตายของอุ่นเรือนก็ส่งผลสะท้อนมาถึงแววเช่นเดียวกัน เขาไม่อาจบอกได้ถึงการใช้ชีวิตของพัน ผู้ไม่เคยรู้สึกถึงความรับผิดชอบใดๆ ไม่ว่าจะเป็นการงานหรือการส่วนตัว

ทุกคนที่ผ่านความทนทุกข์ทรมานอย่างโหดร้ายทารุณของปีนั้นมา มิได้อยู่ในภาวะและสภาพเดิมอีกต่อไป ทั้งร่างกายและจิตใจ ไมใครก็ใครจะต้องมีอะไรผิดแปลกกว่าปกติไปสักอย่างหนึ่ง รื่นรู้ว่าถึงเขาเองก็ไม่มีข้อยกเว้น เรือนร้างทุกแห่งที่เขาเห็น มีแต่จะเร่งเร้าให้คิดวาดแผนการอนาคตของมันใหม่ เรือกสวนไร่นาทุกแห่งที่เขาพบ มีแต่จะจี้จุดหัวใจให้คิดรื้อฟื้น ทุกวันคืนรื่นไม่เคยอยู่เปล่า ว่างงานลงเมื่อไร ไม่ข้ามไปในเมือง ก็เข้าไปขลุกอยู่กับท่านพระครูที่วัด ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครสนใจว่าเขาไปทำอะไรที่นั่น นอกจาก “คุยกัน” อย่างที่เขาเคยบอกกับสุดใจ

อย่างไรก็ดี ก่อนที่ฤดูหนาวจะสิ้นสุดลง ปรากฏว่าพระหลายองค์จากวัดต่าง ๆ ในอำเภอพรานกระต่ายเดินทางมาจำพรรษาที่นั่น และท้ายแล้งนั้น ภายหลังที่ช่วยสุดใจถางไร่และเผาป่าเสร็จเรียบร้อย รื่นก็ล่องลงไปเยี่ยมบ้านเก่าของเขาที่วงแขม กลับมาได้ไม่ถึงเดือน ชาวคลองสวนหมากก็ได้เพื่อนบ้านใหม่เพิ่มขึ้นกว่า ๑๐ ครอบครัว ล้วนแล้วแต่เป็นพวกลาวพวน ที่ซัดเซพเนจรมาตั้งภูมิลำเนาอยู่ที่เกาะหมู วังคนธี และแม่ลาด ไม่มีใครรู้จนกระทั่งพวกนั้นตั้งปางพักลงที่สวนตลาดท้ายวัด และพ่อเฒ่าผู้เป็นหัวหน้าพาครอบครัวมาเยี่ยมรื่นที่บ้าน ว่าอะไรเป็นสาเหตุและชนวนที่ชักชวนให้เขาพากันอพยพมาแสวงหาภูมิลำเนาถาวร และถิ่นทำมาหากินถึงตำบลอันร้ายกาจที่สุด ตามคำเล่าลือของคนสมัยนั้น

“ท่านผู้ใหญ่อยู่ถึงวังแขม ยังขึ้นมาอยู่ได้ พวกเราจะกลัวอะไร” พ่อเฒ่าให้คำตอบแก่ชาวบ้านที่ซักถามด้วยความสนใจ “เห็นแล้วว่าที่ทำกินที่นี่มีหลายอย่าง ผู้ใหญ่ว่า น้ำท่าก็อุดมสมบูรณ์ เราจะอยู่ที่นี่ต่อไป”

บางครัวเข้าอาศัยทับที่เก่า ซึ่งบัดนี้ปราศจากเจ้าของ บางครัวสมัครใจที่จะออกไปตั้งชุมนุมอยู่ชายป่า เพราะใกล้ที่นากว่า แต่แม้จำนวนเรือนและผู้คนจะเพิ่มขึ้นมากน้อยเพียงใด คลองสวนหมากก็ดูค่อยแจ่มใส มีชีวิตและชีวาขึ้น

เมื่อขึ้นไปนมัสการท่านพระครูที่วัด ท่านพระครูอดถามด้วยความสงสัยไม่ได้

“ทำยังไงผู้ใหญ่ ถึงชักจูงให้พวกนี้มาได้”

สำคัญอยู่ที่พ่อเฒ่านั่นคนเดียวครับ” รื่นหัวเราะ “แกเป็นคนเก่าแก่ของแม่ผม ได้ช่วยเหลืออุปการะแกมานานตั้งแต่แรกอพยพครอบครัวมาตั้งรากฐานลงที่แม่ลาดใหม่ ๆ พวกที่มาด้วยกันเจ็บไข้ตายไปไม่รู้ว่ากี่ครัวต่อกี่ครัว แกไม่ยอมถอนเสาเรือน ผมลงไปชวนคำเดียวว่าขึ้นมาหากินที่นี่ดีกว่า แกก็มาเพราะเชื่อมั่นใจกัน บริวารนอกนั้นก็ฮือตามเท่านั้นเอง”

“ก็ดีแล้ว ที่เขามากันด้วยความสมัครใจของเขา” ท่านพระครูว่า “ดีกว่าวิธีเกณฑ์คน อย่างที่นายอำเภอแนะนำเจ้าเมือง”

“คน ๆ นั้นรู้อยู่อย่างเดียวแต่ในเรื่องจะบังคับให้คนไปตาย” รื่นพูดขรึม ๆ “คลองสวนหมากเป็นที่สำหรับคนสมัครใจ ใครขวัญเสียคนนั้นเป็นจอด กระผมได้ข่าวว่าท่านพระครูจะขึ้นไปสู่สุโขทัยอีก”

ท่านพระครูพยักหน้า “เป็นความจริง ฉันมีพระที่เป็นลูกศิษย์ลูกหาอยู่ที่นั่นอีกหลายคน ตั้งใจจะชวนมาอยู่ที่นี่ด้วยกัน”

รื่นรู้อย่างที่ท่านพระครูรู้ ตั้งแต่แรกปรึกษาหารือกัน เกี่ยวกับอนาคตของหมู่บ้านนั้น ว่าพระเป็นเครื่องหมายของความอุ่นใจแก่ชาวบ้าน และวัดพระบรมธาตุมีพระจำพรรษามากขึ้นเพียงใด ย่อมหมายถึงคลองสวนหมากจะเป็นที่น่าอยู่อาศัยสำหรับคนต่างถิ่นมากขึ้นเพียงนั้น

“เจ้าคุณกำแพงท่านก็ว่า เขียนหนังสือไปชวนพระที่เป็นญาติของท่านในกรุงเทพ ฯ ให้ขึ้นมาจำพรรษาที่นี่เหมือนกัน แต่ฉันยังสงสัยในความสำเร็จ” ท่านพระครูเล่าต่อไป “แต่พระที่วัดคูยาง วัดเสด็จ วัดเจ๊ก ในเมืองเองแท้ๆ ลองทาบทามจะให้ไปเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าหมันคลองเหนือ รายไหนรายนั้นยังสั่นศีรษะ แต่จะเอาอะไรกับพระหนุ่ม ๆ ––”

เมื่อสงกรานต์มาถึงในปีนั้น เสียงเพลงแม่ศรี พวงมาลัย และเสียงหัวเราะอันชื่นบานด้วยความบริสุทธิ์ ซึ่งเงียบหายไปนานนับแต่ปีกลาย ก็กลับมาสู่ชาวบ้านอีกครั้งหนึ่ง และรื่น ยืนมองดูเด็ก ๆ และหนุ่มสาว ทั้งชาวปากคลองและลาวพวนสรวลเสเฮฮากันอยู่ ณ วงแม่ศรี ช่วงชัย หรือรอบองค์พระทรายที่หน้าวัดคราวใด คราวนั้นก็อดคิดขึ้นมาไม่ได้ด้วยความรู้สึกอันตื้นตัน

ฉันเคยเห็นวันดีคืนดีของคลองสวนหมากยิ่งกว่านี้ ความรู้สึกนั้นสะอื้นออกมาจากภายใน ครั้นแล้วก็ประหลาดใจตนเอง ที่ได้คิดว่าเขารักตำบลนี้ยิ่งเสียกว่าวังแขมที่เขาเกิด ยิ่งเสียกว่าผู้หญิงทุกคนที่เขารัก และลูกทุกคนที่เขาให้กำเนิด มันมิใช่ความรักอันเกิดขึ้นชั่วแล่นด้วยอารมณ์หรือดำกฤษณา ผู้หญิงบางคนทำให้เขาหน้ามืด และบางคนทำให้เขาสว่าง แต่คลองสวนหมากพร้อมด้วยความอุดมสมบูรณ์ และความอดอยากพร้อมด้วยความสงบสุขและทุกข์ทรมาน พร้อมด้วยมรณะและปฏิสนธิของมัน–– ไม่ใช่อย่างนั้น ความรักของมันที่มีต่อเขา และเขาต่อมัน เหมือนจะไหลรินเข้าไปสู่เส้นเลือดและหัวใจซึ่งกันและกันตามขุมขน ที่สัมผัสกับอากาศทุกหยดตามพื้นดิน ทุกฝีเท้าที่เหยียบ จากความเงียบและเสียงลมพัด จากความมืดและความสว่าง แม้กระทั่งจากแสงเดือนและแสงตะวัน ล้วนแต่เป็นที่มาของมัน ความรักในผืนแผ่นดินถิ่นที่อยู่ ซึ่งรุมล้อมเข้ามาและแทรกซึมลงไปถึงส่วนลึกของหัวใจ จนรู้สึกเหมือนคลองสวนหมากเป็นส่วนหนึ่งของเขา และเขาเป็นส่วนหนึ่งของมัน อย่างแยกกันไม่ออก แม้กระทั่งชีวิต แม้กระทั่งความตาย !

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ