บทที่ ๑๓

– ๑ –

พิธีทิ้งกระจาดของพวกจีนในตลาด เพิ่งจะผ่านไป แม้กระนั้น ปากน้ำโพก็ยังแน่นไปด้วยผู้คนซึ่งตกค้างอยู่ ภายหลังที่สุดของการค้าไม้เสร็จสิ้นลงแล้ว บ้างเพลินอยู่ด้วยการมหรสพ ขอเวลาแสวงหาความรื่นรมย์ซึ่งในชีวิตเกือบไม่เคยพบ หลังจากตรากตรำการงานมามาก และบ้างก็ยังติดพันอยู่ด้วยการเงินการทอง เกี่ยวกับการซื้อขายหรือซื้อของ หลายคนมาจากเหนือ และหลายคนก็มาจากใต้ แควใหญ่ และปากน้ำโพ ซึ่งสลบซบเซามาตลอดฤดูแล้ง มีชีวิตกระปรี้กระเปร่าขึ้นในระยะนั้น

จากโต๊ะอาหารชั้นล่างของเหลา ๔ ชั้นหน้าวัดโพธิ์ รื่นมองดูบรรดาผู้คนที่ผ่านไปในท้องถนน แล้วก็อดคิดอย่างที่เคยคิดทุกครั้งไม่ได้ว่า เขาอาจจะบอกจากสีหน้าและเครื่องแต่งกาย แม้ไม่ทันฟังสำเนียงว่า คนไหนมาจากภาคไหน และน้อยรายที่เขาจะทายผิด

“หน้าตากับเครื่องแต่งตัวของคนเราเป็นของประหลาด มันจะบอกทุกสิ่งทุกอย่างที่เอ็งอยากรู้” ขณะนั้นเขากำลังพูดกับพัน “ผู้หญิงที่อุ้มลูกกะเตงหาซื้อผ้าอยู่หน้าร้านนั่นนะ เอ็งบอกได้ไหมล่ะ ว่ามาจากไหน ? เปล่า ไม่ใช่คนแควเรา การแต่งตัวอย่างนั้นควรจะเป็นพวกแควใหญ่ ถ้าข้าจำไม่ผิด ก็เห็นจะมาจากพิจิตร อย่างไกลก็พิษณุโลก”

“พี่รื่นเป็นคนเที่ยวไกล” พันพึมพำตามนิสัยคนพูดน้อยของเขา พลางหยิบกับใส่ปากแกล้มเอ้หมึง ซึ่งตั้งอยู่ตรงหน้าต่อไป

“เฮ่ย เที่ยวมากเที่ยวไกลเฉย ๆ ไม่ใช้ความสังเกตก็เท่านั้นแหละวะ” ตาแดงซึ่งหน้าที่กร้าวแดดอยู่แล้ว แดงเป็นผลตำลึงสุกยิ่งขึ้น ถอนใจ “ดูแต่เอ็งกะอ้ายแววไปบางกอกมาสี่ครั้ง เพียงแต่หน้าโรงหวยไปสะพานหันยังหลงได้––”

“เจ้าทิดที่ถือขวดเซแซด ๆ อยู่หน้าตลาดน่ะ ลักษณะกับการแต่งตัวบอกว่าเป็นคนใต้ แต่ก็คงแค่อุทัยหรืออ่างทอง ไม่ถึงกรุงเก่า” รื่นพูดต่อไป สายตายังจับอยู่กับกระแสธารของผู้คนที่ผ่านไปมา

“พี่รื่นเที่ยวมาแต่หนุ่ม ๆ” พันหยิบกับแกล้มอีกโดยไม่เงยหน้า

ตาแดงหันไปดูมันแล้วก็ส่ายหน้า “มึงทำได้สองอย่างเท่านั้นเอง อ้ายพัน พูดคำกินคำ”

รื่นหัวเราะ “ปล่อยมันตามสบายเถอะน้าแดง” เขาบอก “แต่อ้ายสองคนนั้น ทำไมโอ้เอ้เต็มที ป่านนี้ควรจะมาแล้ว” เขาชะเง้อดูผู้คนในถนนหน้าร้านต่อไป

“ยังขนของลงเรือไม่หมดละมั้ง?” พันให้ความเห็น ยกแก้วเอ้หมึงขึ้นจิบ

“งั้นเอ็งก็ควรจะกลับไปช่วยมัน ก่อนที่เอ้หมึงนั่นจะหมดไปเป็นขวดที่สอง” ตาแดงประชด

“โธ่ อาก้อ นานทีปีหน ฉันทนมาได้ตลอดทางตั้งเจ็ดคืนเจ็ดวัน” พันออด หันไปมองหน้าอื่นขอความเห็นอกเห็นใจ

แต่ในขณะนั้น สายตาของรื่นกำลังเพ่งออกไปข้างหน้า ทั้งพันและตาแดงรู้สึกว่า กิริยาของเขาเคร่งเครียดขึ้นโดยกระทันหัน

“อะไรกันพี่รื่น ?”

ชั่วอึดใจหนึ่งเต็ม ๆ เขาไม่ตอบว่ากระไร ครั้นแล้วจึงได้หันกลับมายกมือชี้ไปที่กลุ่มคนหน้าร้านอาหารคนละฟากถนนตรงกันข้าม

“มองดูทีหรือวะพัน ตาข้าฝาดไป หรือว่ามันเป็นจริง?”

“อะไรกันรื่น ?” ตาแดงยกมือป้อง มองตามมือเขาชี้ ตาที่ชราของแกหยีเพราะประกายยิบของแสงแดดกล้า ขณะนั้นเองก็พอดีคนหนึ่งในกลุ่มชายเหล่านั้นหันมาแลสบตาแกเข้าพอดี รื่นเห็นสีหน้าของเขาเปลี่ยน ได้ยินเสียงร้องทักมาจากฟากโน้นแล้วก็ปลีกตัวจากคนอื่นเข้ามาหา

“นั่น – นั่นมันนายเสถียรนี่” ตาแดงว่า

ก่อนที่รื่นจะตอบประการใด ร่างสูงของชายชราผู้นั้นก็ก้าวเข้ามาในร้าน

“ใครจะคิดจะฝันว่าจะได้พบลุงแดงอีกที่นี่” เสียงของเขาแจ่มใส นัยน์ตาของเขาบอกความยินดี “ไหนว่าจะลงไปเยี่ยมฉันที่บ้านสักที คอยแล้วคอยเล่าเหลวทุกครั้ง คราวนี้เป็นไม่ยอมเด็ดขาด แต่อ้อ–” เขาเหลียวไปหารื่น ราวกับเพิ่งแลเห็นเป็นครั้งแรก “ลุงไม่ได้มาคนเดียว ก็ดีเหมือนกัน ฉันขอเชิญทั้งสองคนเลย เวลานี้ย้ายขึ้นมาอยู่ที่นี่แล้วละ”

สีหน้าและกิริยาที่เปิดเผยของเขา ราวกับว่าพบเพื่อนสนิท ซึ่งจากกันมานาน มันทำให้รื่นอีดอัดใจกับพูดไม่ออกอยู่เป็นครู่ จึงเอ่ยขึ้นได้

“ขอบใจนายเสถียรละครับ” เขาบอก “แต่น้าแดงกับผมจะต้องรีบกลับไปดูจัดข้าวของลงเรือ –– เราจะออกเดินทางพรุ่งนี้”

“อ๋อ ยังมีเวลาถมไป ผู้ใหญ่ ?” นายเสถียรเน้น เสียงหนักที่ “ผู้ใหญ่” แม้กระนั้นทั้งสีหน้า และกิริยาอันร่าเริงของเขาก็มิได้เปลี่ยนแปลงไป “อย่าแปลกใจที่ฉันรู้ความเป็นไปของเพื่อนฝูงที่กำแพงอยู่ทุกระยะ ถึงจะจากมาสี่ห้าปีแล้ว เชิญเถอะ ไปด้วยกันเดี๋ยวนี้ทีเดียว”

“ผมจะต้องไปดูให้จัดข้าวของลงเรือกันให้เรียบร้อย” รื่นยังยืนยันประโยคเดิม

ได้ยินดังนั้นนายเสถียรก็ก้าวเข้าไปหาอีกก้าวหนึ่ง มือทั้งสองซุกอยู่ในกระเป๋าเสื้อกุยเฮงของเขา ในขณะเดียวกันรื่นก็ลุกขึ้นยืน ทุกคนสำนึกถึงความเคร่งเครียดของสีหน้าและบรรยากาศรอบกายของชายทั้งสอง แต่เพียงครู่เดียวเท่านั้นมันก็ผ่านไป

“ฉันคิดว่าฉันพอจะรู้สาเหตุ ที่ทำให้ผู้ใหญ่ปฏิเสธคำเชิญของฉัน” นายเสถียรหัวเราะ และเมื่อหัวเราะทั้งหน้าและเสียงนั้นก็กลับร่าเริงแจ่มใส “อย่าไปคิดถึงมันผู้ใหญ่..........อย่าไปคิดถึงเรื่องครั้งนั้น มันแล้วไปแล้วฉันไม่เคยเอาใจใส่ ผู้ใหญ่อาจจะถูก และฉันอาจจะผิด แต่อย่าไปคิดถึงมัน เท่ากับไปรื้อฟื้นให้เป็นเรื่องร้าวรานใจเปล่า ๆ – ขอให้เราพบ และคบกันใหม่เถอะนะ ผู้ใหญ่........คบอย่างเพื่อน อย่างลูกผู้ชายต่อลูกผู้ชาย !”

รื่นมิได้เอ่ยตอบอะไรเลยจนคำเดียว เพราะไม่รู้ว่าจะตอบประการใด........สายตาที่เพ่งจับอยู่กับใบหน้าของนายเสถียร เหมือนจะพยายามค้นหาความจริงที่แอบแฝงอยู่เบื้องหลังความแจ่มใสและความร่าเริงเหล่านั้น แต่ก็ไม่สามารถจะอ่านออก ตลอดเวลา ๔–๕ ปีที่จากกันมา นอกจากสีหน้าที่รู้จักยิ้มแย้ม นอกจากผิวพรรณที่ดูเปล่งปลั่งแจ่มใส และกิริยาที่เป็นไปอย่างกระปรี้กระเปร่าแล้ว นายเสถียรดูจะไม่มีอะไรผิดแปลกไปกว่าเก่า ทุกอาการชำเลืองของเขา ยังเต็มไปด้วยความลึกลับ และทุกวาจาก็เต็มไปด้วยความหมาย

ตาแดง ซึ่งนั่งพิจารณาชายทั้งสองอยู่ทุกอิริยาบถด้วยความกระสับกระส่าย เอ่ยขึ้นว่า

“แวะไปเยี่ยมเสียหน่อย ก็ดีเหมือนกันรื่น” แกบอก แล้วหันไปหานายเสถียร “อยู่ไม่ไกลไม่ใช่รีครับ ?”

“เหนือสะพานดำแค่นี้เอง ลุงแดง” เป็นคำตอบ

“ก็ตามใจ” รื่นหันไปหาตาแดง “แต่อย่าลืมว่าเราอยู่ช้าไม่ได้ พัน, เอ็งไปช่วยอ้ายสองคนนั่น เสร็จแล้วให้ถอยเรือไปจอดใต้หน้าผาที่เก่า”

โดยรถม้าซึ่งมีให้เช่าอยู่เกลื่อนกลาดทั่วทั้งตลาดปากน้ำโพ รื่นและตาแดงไปถึงบ้านนายเสถียรในครึ่งชั่วโมงต่อมา

เพียงพิจารณาจากความกว้างใหญ่ไพศาลของบริเวณ และความโอ่โถงของตัวบ้าน ซึ่งเป็นสำนักงานอยู่ในตัวเท่านั้น รื่นก็บอกได้ด้วยสัญชาตญาณถึงฐานะของนายเสถียรในปัจจุบัน ตลอดจนกิจการที่เขากำลังสนใจแม้จะไม่ต้องอธิบาย

“หลายปีมาแล้วฉันเป็นแต่เพียงลูกจ้าง และคนงานของบริษัทฝรั่ง” เขาชี้แจง ขณะที่พารื่นและตาแดงผ่านห้องทำการแผนกต่าง ๆ ซึ่งอยู่ชั้นล่าง “ผลที่ได้รับมีอะไร ? อย่างดีก็เพียงพอกินพอใช้ อย่างเลวก็ถูกเขาเคี่ยวเข็ญบังคับ และสบประมาทจนทนอยู่ด้วยไม่ได้ต้องย้ายที่ทำงานเรื่อยไป” เขาหยุดอยู่ที่เชิงบันใดหน้าบ้าน ยกมือไปยังท้ายเกาะยม ซึ่งเป็นอวสานของแม่น้ำใหญ่ ๒ สาย ก่อนที่มันจะกลายมาเป็นเบื้องต้นของแม่น้ำเจ้าพระยา “นั่นแหละให้ความคิดฉันเป็นครั้งแรกในการที่ลาออก แยกมาตั้งเป็นบริษัทค้าไม้ขึ้นที่นี่ ถ้าแม่น้ำเจ้าพระยา ยังเป็นแม่น้ำเจ้าพระยาอยู่อย่างนี้ แหล่งที่ทำมาหากินโดยไม่ต้องแย่งกันหายใจ ก็ยังมีอยู่ถมไป และถ้าพวกฝรั่งเขาอยู่ถึงไหน ๆ ยังเข้ามากอบโกยไปได้ปีละหมื่น ปีละแสน ทำไมเราผู้เป็นคนไทยเจ้าของถิ่นจะมายอมงอมืองอเท้า เป็นแต่ลูกจ้างหรือคนงาน ให้เขาใช้เหมือนทาส ฉันอาจจะไม่ใช่คนมั่งมีสีสุขอะไรอย่างที่ใคร ๆ เข้าใจและคิด แต่ต้นตระกูลของฉันเป็นตระกูลใหญ่ ความช่วยเหลือเกื้อหนุนเล่า ก็หาได้ไม่ยากนัก เพราะฉะนั้นแหละบริษัทนี้จึงตั้งขึ้นได้” เขาหันมายิ้มกับรื่น “เราคงจะได้ติดต่อกันต่อไปในวันข้างหน้า, ผู้ใหญ่”

อีกครั้งหนึ่ง คำนั้นปลาบเข้าหัวใจ โดยไม่สามารถจะอธิบายได้ว่าเกิดจากอะไร เขาพยายามสะกดใจระงับความรู้สึกให้เป็นปกติก่อนที่จะตอบ

“ครับ เราคงได้ติดต่อกันต่อไป”

นายเสถียรนำเขาและตาแดงผ่านหน้ามุขอันกว้างเข้าไปในห้องนั่งเล่น ซึ่งด้านหนึ่งเปิดออกไปสู่สนามหญ้าที่เขียวขจี อีกด้านหนึ่งเห็นแม่น้ำเป็นประกายวับอยู่ในกรอบหน้าต่างอันสูง สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ เมื่อสังเกตเห็นความตื่นเต้นปรากฏอยู่ในสีหน้าของรื่นและตาแดง

“เป็นบ้านเก่าที่เราซื้อได้ด้วยราคาค่อนข้างถูก เพราะฝรั่งเจ้าของเดิมรีบร้อนขายเพื่อเดินทางไปรับตำแหน่งใหม่อย่างกระทันหัน เขาอธิบาย “เราตกแต่งเสียใหม่อีกนิดหน่อย ก็ใช้เป็นทั้งบ้านและสำนักงานได้ทีเดียว––เราตั้งมาได้สามปีแล้ว”

เขาพูดถึงแผนงานและความหวังที่จะแข่งขันกับบริษัทป่าไม้ฝรั่งต่อไปในอนาคต โดยทุนรอนอาจจะสู้ไม่ได้ แต่เพราะว่ามีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ และเจ้านายสนับสนุนอยู่ เกี่ยวกับสิทธิพิเศษ และสัมปทานป่าไม้ ฉะนั้นสิ่งใดที่เป็นความเสียเปรียบเขาก็อาจจะชดเชยได้ด้วยอีกสิ่งหนึ่ง

“เพราะเหตุนี้แหละ ฉันจึงหวังพึ่งเพื่อนฝูงเก่า ๆ ทั้งสองฝั่งแม่ปิง” นายเสถียรอธิบาย “ผู้ใหญ่กับลุงแดงเข้าใจไม่ใช่หรือว่า ฉันหมายถึงอะไร? ฉันต้องการรับเหมาแพไม้ทั้งหมดที่จะสามารถล่องลงมาได้ บริษัทฝรั่งผูกขาดตัดตอนไม้สักได้ ให้เขาผูกขาดไป แต่ฉันไม่ต้องการจะให้ไม้เบญจพรรณ กระยาเลย เสาและเรือโกลนกระเด็นไปถึงพวกนั้นจนชิ้นเดียว”

“แต่หลายคนเคยมีพ่อค้าจากล่างติดต่ออยู่ก่อน” รื่นบอก “นายเสถียรจะไปหวังให้เขาถอนตัว เลิกค้าขายกับพากนั้นอย่างกระทันหันได้อย่างไร ?”

สีหน้าของชายเจ้าของบ้านเต็มไปด้วยความครุ่นคิด “การติดต่อกับพ่อค้าเหล่านั้นไม่เคยมีข้อผูกพันสัญญาอะไรสักอย่างเดียว” เขาแก้ “ทำไมจะต้องไปกังวล รายไหนเขาให้ราคาดีกว่าก็ควรจะขายรายนั้น สำหรับฉัน ฉันรับรองได้ว่าเรื่องราคาไม่ต้องพูดกัน ฉันจะต้องให้สูงกว่าเสมอไป”

แต่ไมตรีจิตมิตรภาพเป็นของมีค่าสูงกว่าเงินตราเป็นไหน ๆ และวาจาของคนเร ก็เป็นสิ่งที่ควรถนอมยิ่งกว่าคำมั่นสัญญาหรือข้อผูกพันใด ๆ รื่นคิดถึงต่วนด่ำผู้เอื้ออารี แล้วก็ถอนใจ ไม่มีอำนาจเงินหรือความเย้ายวนใด ๆ เลย จะสามารถทำให้เขาเปลี่ยนการติดต่อซื้อขายกับพ่อค้าอื่นได้ ตราบใดที่พ่อค้าใหญ่แห่งบางอ้อคนนี้ยังมีชีวิตอยู่

“ผมดีใจด้วย ที่นายเสถียรมีเจตนาดีต่อพวกเราพ่อค้าไม้กระจอกงอกง่อยทั้งหลาย” เขาพยายามที่จะเน้นน้ำหนักและความหมายลงไปในวาจาเหล่านั้น แต่ก็รู้สึกว่าเป็นการสุดวิสัย สำเนียงที่กล่าวออกไปจึงฟังปร่าและเลื่อนลอยเต็มทน “เอาเถอะครับ ผมจะพยายามบอกพวกเราทางโน้นทุกคนที่ผมพบ––”

นัยน์ตาของนายเสถียร เป็นประกายด้วยความตื่นเต้น จนบังคับไว้ไม่ได้

“ฉันขอขอบใจรื่นเป็นอย่างยิ่ง” เสียงนั้นบอกความยินดีอย่างจริงจัง มิได้เรียกว่าผู้ใหญ่อีกต่อไป “นึกแล้วว่ารื่นเป็นผู้ชายอย่างนั้น ฉันเคยนึกเสมอว่าเราควรจะรักใคร่ชอบพอกันได้ แทนที่จะเป็นไม้เบื่อไม้เมาอย่างครั้งนั้น––นั่น––นั่นอะไร ?”

สายตาของรื่นมองเลยไปจากเขา ขณะที่เสียงฝีเท้าเบา ๆ ปรากฏขึ้นที่ประตู นายเสถียรหันหลังไปดู ครั้นแล้วก็หัวเราะ เมื่อเห็นผู้ซึ่งย่างเข้ามาอย่างเนิบ ๆ แช่มช้า ที่สุดก็นั่งอยู่กับที่ สีหน้าเผือดลงนิดหน่อย แต่ต่อมาก็แดงเรื่อขึ้นเมื่อแลเห็นรื่นนั่งอยู่ตรงหน้า

“ละเมียด–เมียของฉันเอง, รื่น” นายเสถียรบอกเสียงและสีหน้าแสดงความภาคภูมิใจเต็มที่ เหมือนจะว่า นี่แหละ ราชินีแห่งราชินี หรือนางพญาแห่งหญิงทั้งหลาย !

– ๒ –

ชั่วอึดใจหนึ่งเต็ม ๆ รื่นมองหล่อนอย่างที่จะพึงมองดู ความฝันอันปรากฏขึ้นมาอย่างกระทันหัน –มองโดยไม่ได้คิดว่าจะเป็นการเสียกิริยา หรือน่าเกลียดประการใด และหล่อนก็จ้องตอบด้วยนัยน์ตาที่ดำสนิทคมวาว และเบิกกว้างคู่นั้น อย่างเปิดเผยอัศจรรย์ใจ จนเขาเองกลับกระดากหลบลงมองต่ำ ก็เป็นการประหลาด ที่ก่อนอื่นมโนภาพของเขาจะหวนกลับไปหารูปนางกินรีที่เจดีย์วังพระธาตุ เป็นความคิดแรก แทนที่จะระลึกถึงหล่อนอย่างหญิงผู้เขาได้พบเหนือหมู่บ้านลานดอกไม้ในคืนอันเต็มไปด้วยเหตุการณ์ครั้งกระโน้น ตลอด ๔–๕ ปีที่ไม่ได้พบกัน ละเมียดจะได้ผ่านชีวิตอะไรมาบ้างก็ตาม ความซูบซีดของสีหน้าและทรวดทรงของหล่อน ซึ่งแน่งน้อยอยู่แล้ว แล่นสะท้านเข้าไปในความรู้สึกของเขาอย่างบอกไม่ถูก แม้กระนั้นความงามอันเกิดจากความลึกลับของเพศ ซึ่งเป็นเสน่ห์ที่เขาไม่สามารถจะอธิบายได้ก็ยังอยู่ที่นั่น บนดวงหน้าซึ่งเต็มไปด้วยความรู้สึก แต่เหมือนปราศจากความรู้สึก ที่นัยน์ตาอันแข็งกร้าว แต่บางคราวก็อ่อนโยน ตลอดจนอิริยาบถที่อาจดูกระด้างทั้ง ๆ ที่เต็มไปด้วยความละมุนละไม – – เป็นความงามของกินรีนางนั้น ซึ่งบรรดาคนธรรพ์พากันมาเพื่อตายเสียมากต่อมาก ในการรบราฆ่าฟันเพื่อช่วงชิงหล่อนไปเป็นคู่ครอง

สายตาของหล่อน ยังคงจับอยู่ที่หน้าของเขา ขณะที่ก้าวเข้ามา และสามีลุกขึ้นยืนเลื่อนเก้าอี้ให้

“รื่นเป็นเพื่อนเก่าของฉัน ตอนขึ้นไปทำงานอยู่กับพะโป้ที่กำแพง” เขาบอก “นั่นลุงแดง ที่ฉันพูดถึงเสมอ ว่าจะลงมาเยี่ยมเราสักวันหนึ่ง”

“ฉันยินดีที่จะได้รู้จักกับเพื่อนของเสถียรเขาทุกคน” ละเมียดนั่งลงบนเก้าอี้ตัวนั้นอย่างแช่มช้า สีหน้ากลับเป็นปกติ นัยน์ตาทั้งคู่ที่มองดูชายทั้งสองเป็นประกาย “แต่ฉันคิดว่าฉันยังจำนายรื่นได้ – –”

“ขอบพระคุณ คุณนายครับ” เขาตอบเรียบ ๆ สงบนิ่งอยู่ในท่าเดิม

นายเสถียรหันมามองดูภรรยาอย่างประหลาดใจ “ไม่ยักรู้เรื่องว่าละเมียดเคยรู้จักกับรื่นเขามาก่อน รู้จักกันเมื่อไหร่ ? ที่ไหน ?”

“ผู้ชายคนที่ช่วยฉันกะคุณพ่อไว้จากพวกปล้น ที่บ้านลานดอกไม้คราวนั้นไงละ เสถียรรู้เรื่องแล้วนี่ ” ภรรยาหัวเราะ

“แต่ไม่ยักรู้ว่าเป็นรื่น” เขาหันกลับมา ความยินดีอย่างเปิดเผยปรากฏอยู่บนใบหน้า “ดีละ คนเก่าคนแก่มาเจอะกัน นานทีมีครั้ง วันนี้ต้องรั้งตัวเอาไว้กินข้าวเย็นด้วยกันที่นี่ให้ได้ นอกจากนั้น ฉันยังอยากจะขอแรงให้ลุงแดงช่วยดูพระที่ได้มาใหม่สักหน่อย นับแต่เจอะกันคราวนั้น ฉันได้มาอีกหลายร้อยองค์ ที่จำได้ก็มี ที่ยังหาคนดูให้แน่ไม่ได้ก็อีกแยะ ต้องขอตาลุงแดงหน่อย – –”

“ตาผมมันไม่ถึงท่านนักเลงเก่าๆ ในบางกอกหรอกครับ” ตาแดงออกตัว “สะสมไว้บ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ในฐานที่เคารพบูชา”

“ถ้างั้นก็ขอทางพระสมัยเชียงแสนกะสุโขทัย” นายเสถียรคะยั้นคะยอ “ข้อนี้ลุงแดงปฏิเสธไม่ได้แน่ ตั้งแต่ดูพระสัมฤทธิ์องค์นั้นให้ฉันแล้ว ไม่เคยเชื่อตาใครอีกเลยเกี่ยวกับพระสองแบบสองสมัยนั้น ลุงแดงรู้ไหมว่า เวลานี้ห้องพระของฉันที่นี่น่ะ จะเรียกว่ากรุ หรือพิพิธภัณฑ์ก็ได้”

“ผมกะน้าแดงยังเตรียมของลงเรือไม่เสร็จเลยครับ” รื่นเอ่ยเรียบๆ “พรุ่งนี้ เราก็จะต้องออกเรือแต่เช้า นอกจากนั้น เรามารบกวนนายเสถียรกะคุณนายอยู่ที่นี่นานแล้ว”

ชายเจ้าของบ้านได้ฟังก็เลิกคิ้ว “เหลวไหลนะรื่น! รบกวนอะไรกัน ฉันเองยังไม่ได้ขอบใจแทนละเมียดเขาเลย”

“ก็ไม่จำเป็นอะไร เรื่องนิดเดียวเท่านั้น”

“ถ้างั้นฉันก็ต้องขอรั้งตัวไว้ให้ได้ หรือละเมียดว่ายังไร ?”

“นั่นมันแล้วแต่ใจของนายรื่นกะลุงแดงนี่เสถียรก้อ”

หล่อนมองดูเขาอย่างท้าทาย “เรื่องใจไปบังคับกันได้เมื่อไหร่”

สามียกมือขึ้นเกาคางอย่างลังเลใจและตรึกตรอง

“ขอร้องสักครั้งไม่ได้รึ ลุงแดง ?”

“ต้อง...ต้องแล้วแต่รื่นเขาครับ”

“เอางี้ดีกว่า ถ้าไม่อยากอยู่ถึงเย็นจริง ๆ ฉันขอเวลาลุงแดงขึ้นไปห้องพระด้วยกันสักครู่ เดี๋ยวเดียวแหละรื่นคงจะไม่ขัดข้องอะไรไม่ใช่รึ ?”

เปล่า, เขาไม่ขัดข้อง ถ้ามันเพียงเท่านั้น –––

“ละเมียดรับแขกแทนฉันก่อน” นายเสถียรลุกขึ้นจากเก้าอี้ นำหน้าตาแดงขึ้นบันไดไป “แต่อันที่จริงก็แขกเหรื่อที่ไหน กันเองทั้งนั้น....”

เกือบจะในทันทีทันใด ที่ชายทั้งสองลับกายขึ้นไปชั้นบน รื่นจึงหันกลับมาพิจารณาดูหล่อนได้อย่างเต็มตาอีกครั้งละเมียดคงนั่งอยู่ในอิริยาบถเดิม มือทั้งสองประสานกันอยู่บนตักอย่างสงบเสงี่ยม หน้าผากและแก้มซึ่งค่อนข้างซีดเผือดเรื่อขึ้นนิด ๆ อีกครั้งหนึ่ง เขาคิดถึงรูปนางกินรีคนนั้น คิดถึงหลานสาวพะโป้ และทุกสิ่งทุกอย่างที่หญิงเอวบางร่างน้อยผู้นั่งอยู่ต่อหน้า ณ บัดนี้เป็นตัวแทน

“ผมไม่คิดเลยว่า จะได้มาพบกับคุณละเมียดที่นี่” เขาเอ่ยขึ้นด้วยเสียงอึดอัด

“เพราะฉะนั้นกระมัง รื่นจึงมองดูฉันอย่างประหลาดเหลือเกิน ยังกะมองคนแปลกหน้า ไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันมาก่อน” หล่อนหัวเราะเบาๆ พื้นซึ่งขาวสะอาดปราศจากคราบหมากและปูนเกาะ ตามความนิยมของหญิงทั่วไปในสมัยนั้น

“ตลอดเวลาตั้งแต่จากกันมา สี่หรือห้าปีแล้วก็ตาม ผมยังคิดแต่ว่าคุณละเมียดยังอยู่เมืองตากกะคุณหลวงท่าน”

ความหม่นหมอง แวบเข้ามาในตาคู่นั้นหน่อยหนึ่ง ละเมียดขยับตัวอยู่บนเก้าอี้อย่างเศร้า ๆ แล้วก็ถอนใจ

“คุณพ่อเสีย ๆ แต่ในปีนั้น ภายหลังที่เราขึ้นไปอยู่ตากได้ไม่ถึงปี” หล่อนชี้แจง “ฉันกลับลงมาอยู่ที่บางปะอินกะคุณป้าเรื่อยมา จนแต่งงานกะคุณเสถียรเขาเมื่อปีกลาย....”

“ผมเสียใจด้วยครับ” รื่นพึมพำสายตาอันกล้าพิจารณาทั่วร่างของหล่อน

“เสียใจ ?”

“ผมหมายถึงข่าวคุณหลวง ไม่ใช่ข่าวนายเสถียร” เขาแก้ สายตามิได้ละจากดวงหน้าของหล่อนเลย “คุณละเมียดสบายดีหรอกครับ ?”

“ถ้ารื่นหมายถึงการแต่งงานของฉันก็อยากจะว่าเรื่อย ๆ” หล่อนตอบเรียบ ๆ “เป็นเรื่องระหว่างผู้ใหญ่กับผู้ใหญ่จัดการกันเอง เรา, ฉันกับเสถียรเขา เป็นญาติกันห่างๆ.... แต่....” หล่อนถอนใจอีก มองสบตาของเขาอย่างเต็มไปด้วยความครุ่นคิด แล้วหน้าซึ่งซีดลงหน่อยหนึ่งขณะที่เอ่ยถึงเรื่องบิดา ก็กลับแดงขึ้นอีก “ขอให้ฉันได้ฟังเรื่องทางรื่นบ้างดีกว่า คิดบ้างหรือเปล่าว่าตลอดเวลาเหล่านั้น ฉันไม่เคยลืมบุญคุณของรื่น และคืนที่ลานดอกไม้เลย”

ชีวิตของคนบ้านนอก อย่างเขาแม้จะเป็นพ่อค้าไม้ก็รายย่อยกะจิดริด จะมีอะไรนอกจากงานหนักตรากตรำประจำวัน งาน....งาน....งาน.... แล้วก็งาน ไม่ว่าฝนจะตกหรือแดดจะออกร้อนหรือหนาว ฐานะของเขาอาจจะดีขึ้น ครอบครัวเป็นปึกแผ่นและปกติสุข แต่ทุกวันนี้เขาก็ยังหนีงานไม่พ้น คนอย่างเขาต้องตกเป็นทาสของงานตลอดไป จนกว่าจะถึงวันสุดท้ายของชีวิต

“ลูกหัวปีของผม ที่คุณเคยอุ้มเคยกอด เดี๋ยวนี้โตแล้ว ซนเป็นกรด แต่ก็ฉลาดพอใช้” เขาเล่าให้หล่อนฟังในตอนหนึ่ง เมื่อละเมียดถามถึงชีวิตในครอบครัว “สุดใจเขาไม่ได้ลงมาด้วยคราวนี้ ก็เพราะกำลังตั้งท้องลูกคนที่สี่ จวนคลอดเต็มที – –”

“เกือบปีละคนทีเดียวหรือรื่น ?” ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงของละเมียดบอกความตื่นเต้นอย่างจริงใจ

“ก็....ก็ไปแท้งเสียคนหนึ่งครับ ท้องที่สาม” รื่นหลบตา เลือดแล่นขึ้นสู่หน้าแดงก่ำ

ละเมียดเอนกายพิงพนักเก้าอี้อันใหญ่ สายตาของหล่อนมองข้ามศีรษะเขาออกไปยังทิวเขา ซึ่งปรากฏอยู่ในกรอบหน้าต่างข้างนอก อย่างเลื่อนลอย

“เป็นชีวิตที่น่าภาคภูมิใจอะไรเช่นนั้น” หล่อนพึมพำ “ตรงกันข้ามกับรื่น ฉันกลับเห็นว่า คืนวันที่เต็มไปด้วยความลำบากตรากตรำนั่นแหละ เป็นคืนวันของความสุข เพราะมันหมายถึงชีวิตอิสระ........ ชีวิตของความเป็นไท ไม่ต้องอยู่ใต้อำนาจใคร ไม่ต้องถูกผูกพันด้วยขนบประเพณีที่ไม่จำเป็น ชั่วชีวิตของฉัน ไม่มีครั้งไหนเลยจะได้รับความสุข เท่ากับตามคุณพ่อขึ้นไปเมืองตากครั้งนั้น....”

“ทั้ง ๆ ที่คุณละเมียดเกือบจะเอาชีวิตไปทิ้งเสียที่ลานดอกไม้ เพราะอ้ายพวกปล้น ?” รื่นมองหล่อนอย่างอัศจรรย์ใจ

“จ้ะ, ทั้ง ๆ ที่ฉันเกือบเอาชีวิตไปทิ้งเสียที่ลานดอกไม้เพราะพวกปล้น” หล่อนทวนคำ “ชีวิตมีค่าอะไร ถ้ามันจะราบรื่นไปเสียทุกอย่าง ปราศจากอุปสรรคที่จะดิ้นรน ปราศจากอันตรายที่จะต่อสู้ และปราศจากผู้ที่จะร่วมรับความสุข ความภาคภูมิใจ เพราะชัยชนะที่เราได้รับมา เมียของรื่น, ผู้หญิงคนนั้นเป็นผู้หญิงที่น่าอิจฉาที่สุดในโลกนี้”

“ถ้าเขารู้เข้า สุดใจก็คงจะพูดถึงคุณละเมียดอย่างเดียวกัน”

“ฉัน?” หล่อนกลับนั่งตัวตรงอีก เลิกคิ้วอย่างอัศจรรย์ใจ ครั้นแล้วก็ยิ้มละไม “งั้นเขาก็เข้าใจผิดถนัดรื่น, ไม่มีอะไรเลยที่จะน่าภาคภูมิใจในชีวิตอย่างฉัน ไม่มีอะไรเลยจะน่าอิจฉาในชีวิตของผู้หญิงที่เกิดมาอยู่ในกรอบของขนบประเพณีที่บังคับให้ผู้หญิงเราเป็นแต่ช้างเท้าหลังอยู่เพื่อตัวของเขา และผัวแล้วต่อไป ก็อาจจะลูกโดยเฉพาะเท่านั้น ต่างกว่าชีวิตของรื่นและเขา อย่างที่ฉันรู้....”

“คุณละเมียดรู้อะไร ?” สายตาของรื่นเลื่อนขึ้นไปจับอยู่ที่ใบหน้าของหล่อนอีก ยิ้มอย่างท้าทายปรากฏอยู่เหนือริมฝีปาก

“รู้มากพอเท่าๆ กับที่นายเสถียรเขารู้” หล่อนตอบอย่างฉาดฉาน “รู้แหละ จนกระทั่งว่ารื่นเคยเป็นศัตรูคนหนึ่งที่เขากลัว ระหว่างขึ้นไปทำงานอยู่ที่โน่น........”

รื่นหัวเราะเบา ๆ “งั้นทั้งนายเสถียร กะคุณละเมียดก็รู้มากเกินไป แม้กระทั่งในสิ่งที่ผมไม่เคยรู้–”

หล่อนจ้องเขาอย่างจริงจัง “เป็นอันว่ารื่นไม่ยอมรับงั้นรี ว่าเรื่องเหล่านั้นได้เกิดขึ้น ? การต่อสู้ระหว่างรื่นและพวกปากคลองกับเขา และคนงานของเขาเกี่ยวกับป่าไม้โป่งน้ำร้อน” หล่อนโน้มกายยกมือขึ้นเท้าโต๊ะชะโงกหน้าใกล้เข้ามา “รื่นอย่าลืมว่า ปากน้ำโพเป็นหัวใจของตลาดไม้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นที่ไหนในโลกนั้น ทุกคนที่นี่ที่สนใจจะต้องรู้ ฉันเองเป็นคนหนึ่งในจำนวนนั้น เพราะฉันเป็นเมียของเขา นี่แหละ ถึงได้ประหลาดใจ ที่จู่ ๆ ก็มาเจอะรื่นเข้าที่นี่ ชั้นแรกก็เห็นรื่นนั่งอยู่ที่เก้าอี้ยังไม่แน่ใจแม้ได้ยินเขาเรียกว่าเป็นเพื่อนเก่า และฉันทักทายด้วยก็ยังไม่แน่ จนกระทั่งได้ยินเรื่องของรื่นเอง ––”

“ศัตรูเป็นคำแรก สำหรับใช้กับเรื่องของเรา” ยิ้มของเขามิได้ละไปจากดวงหน้าอันท้าทาย “จริงอย่างคุณละเมียดว่า นายเสถียรกับผมเคยมีเรื่องผิดใจกันมานิดหน่อย เกี่ยวกับปัญหาป่าไม้โป่งน้ำร้อน แต่มันก็เสร็จเรื่องเสร็จราวไปแล้ว ผมรักษาผลประโยชน์ของผม นายเสถียรรักษาผลประโยชน์ของเขา เราอาจจะเป็นศัตรูกันตามสายตา และความรู้สึกของคนอื่น แต่ผมไม่เคยคิดอย่างนั้น ถึงเขาก็จะดูเหมือนกัน มิฉนั้นผมคงจะไม่ได้มาอยู่ที่นี่ครับ, ผมยอมรับรองข่าวที่คุณละเมียดได้ฟังจากปากตลาดไม่ได้ ถ้ารับก็หมายความว่าผมจะได้คุณละเมียดเป็นศัตรูอีกคนหนึ่ง.... ศัตรซึ่งผมไม่มีทาง จะต่อสู้เลย––”

ลมเย็นจากแม่น้ำ พัดเข้ามาในห้องนั้นวูบหนึ่ง อากาศและอารมณ์ซึ่งร้อนอ้าวอยู่ก็ค่อยบรรเทาเบาบางลง แม้กระนั้น สีหน้าอันเคร่งเครียดของละเมียดก็มิได้เปลี่ยนแปลงไป

“รื่น” หล่อนเรียกเบา ๆ

“ครับ”

“เขาพูดกับรื่นว่าอย่างไรบ้าง ? ก่อนหน้าที่ฉันจะเข้ามาในห้องนี้น่ะ”

“นายเสถียรขอให้พวกเรา–– ผมกับพ่อค้าไม้ชาวเมืองตากและกำแพงขายไม้ให้บริษัทเขาทั้งหมด”

“แล้วรื่นตอบว่าอย่างไร”

“ผม–– ผมบอกว่าจะพยายามบอกพวกพ่อค้าอื่น แต่สำหรับผมยังไม่แน่ เวลายังมีอีกถมไป สำหรับการตกลงใจ”

สายตาของละเมียดกลับเลื่อนลอยไปจับอยู่ที่ทิวเขาระหว่างกรอบหน้าต่างอีก

“ก่อนที่บริษัทนี้จะตั้งขึ้นมา การค้าไม้ในลำแม่ปิงก็ดำเนินไปได้ไม่ใช่หรือรื่น ?” เสียงของหล่อนเบาเหมือนกับปรารภกับตนเองมากกว่าจะเจตนาพูดกับเขา

ฝ่ายชายพยักหน้า พิศวงงงงันไปด้วยวาจาของหล่อน จนกระทั่งไม่รู้ว่าจะตอบกระไร จะซักอะไร

“ก็อาจจะฟังดูเป็นของประหลาด ที่ฉันจะพูดเรื่องนี้กับรื่น” ละเมียดพูดต่อไปในเรื่องเดิม “แต่ก็อดไว้ไม่ได้ ไม่มีเมียคนไหนที่เขาจะกล้าแสดงออกนอกหน้าให้คนอื่นรู้ว่าผัวเป็นคนชนิดไหน ฉันไม่ต้องการให้รื่นบอกใคร และไม่ต้องการบอกอะไรรื่นเกินไปกว่านี้ นอกจากว่าขอให้คิดกันให้ดี ระหว่างการค้าที่เป็นเสรีกับการค้าที่ถูกผูกมัด อย่างไหนจะให้ประโยชน์แก่รื่นมากกว่ากัน ฉันถือรื่นเหมือนเพื่อนสนิท เหมือนมิตรผู้เคยมีอุปการะต่อฉัน ฉะนั้นจึงทนดูไม่ได้ ถ้าจะมีอะไรมาเปลี่ยนฐานะของรื่น จากกษัตริย์ในกระท่อม มาเป็นทาสในวัง รื่นจะตกอยู่ในฐานะนั้น ในทันทีที่ทำสัญญาผูกมัดจะซื้อขายไม้กับบริษัทของเสถียรเขาโดยเฉพาะ....”

เขามองดูหล่อนอย่างอัศจรรย์ใจเกือบไม่รู้เลยว่าหล่อนกำลังพูดถึงใคร และหมายถึงใคร

“ทำไมคุณละเมียด ถึงบอกให้ผมรู้ในข้อนี้” รู้ดีเสียงที่ถามออกไปแหบห้าว แทบจำเสียงของเขาเองไม่ได้ “ทำไม ทำไมคุณละเมียดถึงแต่งงานกับเขา ถ้ารู้ว่านายเสถียรเป็นผู้ชายอย่างนั้น ?”

“รื่นเป็นเพื่อนฉัน––ถึงจะรู้จักกันชั่วเวลาเล็กน้อยเพียงใด ก็เป็นเพื่อนที่ฉันคิดว่าไว้วางใจได้ในขณะที่เขาเป็นผัว ซึ่งฉันไม่เคยรู้จักตัวจริงเลย–” หล่อนส่ายหน้าไปมาอย่างอ่อนใจ “บางเวลาดีเหมือนพระ บางเวลาร้ายเหมือนมาร ฉันจะไปรู้ได้อย่างไร ว่าแต่งงานกับใคร แต่พูดทำไมในเรื่องนั้น ถึงอย่างไร เขาก็ได้ชื่อว่าผัว อย่างเดียวที่ฉันรู้แน่ ตั้งแต่มาอยู่ใต้ชายคาบ้านนี้ก็คือ บริษัทที่เขาตั้งขึ้น มิได้เป็นหลักฐาน หรือมั่นคง อย่างที่คนภายนอกเข้าใจ”

“งั้นคุณละเมียดก็ไม่ได้รับความสุขสบาย อย่างที่พยายามจะแสดงให้ใคร ๆ เห็น ?”

“ก็อะไรล่ะ ความสุข ความสบายอย่างที่รื่นเข้าใจ " หล่อนยิ้มละไม

เขาพยายามจะตอบตามความรู้สึกของเขา แต่ก็ไม่สามารถจะลั่นวาจาออกมาได้ สายตาทั้งสองคู่แลสบกันอย่างจัง หมดความกร้าว หมดความกระด้าง หรือท้าทายอีกต่อไป ในท่ามกลางความเงียบของห้อง ซึ่งลมเย็นโชยพัดเข้ามาอ่อน ๆ นั้น ต่างคนต่างพยายามจะอ่านหัวใจของแต่ละฝ่าย สำหรับรื่น หล่อนมิได้เป็นละเมียดหญิงประหลาด มีอำนาจเสน่ห์ลึกลับ ซึ่งเขาพบที่ลานดอกไม้คืนนั้นอีกต่อไป หากเป็นรูปนางกินรี ณ เชิงเจดีย์วังพระธาตุนางนั้น แปรสภาพจากศิลาสลักกลายมาเป็นนางกินรี ผู้มีลมหายใจ เลือดเนื้อ และความปรารถนา ซึ่งบรรดาคนธรรพ์และมนุษย์เดินดินอย่างเขา พร้อมที่จะเสียสละชีวิตเพื่อหล่อนได้ทุกเมื่อ

“ผม––” เขาเอ่ยแทบกลั้นหายใจ “ผม––”

ในทันใดนั้นเอง เสียงฝีเท้าและเสียงสนทนาก็ปรากฏลงมา ตามบันไดจากชั้นบน

“ผมอยากจะว่า เขาเป็นคนที่เคราะห์ดีที่สุด” รื่นพูดต่ออย่างเร่งรีบ “แต่เคราะห์ดีหรือเคราะห์ร้าย เขาก็ควรจะตายเสียดีกว่า ถ้าทำให้คุณละเมียดไม่สบายใจหรือเป็นอะไรไปสักนิดเดียว”

ก่อนที่หล่อนจะทันตอบอะไรต่อไป นายเสถียรและตาแดงก็เข้ามาในห้อง

“นี่แหละ ที่เขาเรียกว่าผ้าขี้ริ้วห่อทอง” ชายเจ้าของบ้านตบแขนชายชราเบา ๆ หน้าตาแดงก่ำไปด้วยความตื่นเต้น “รู้หรือเปล่าละเมียด พระที่ฉันได้มาจากไชยาคราวนั้นน่ะ ใคร ๆ ว่าสมัยศรีวิชัย ลุงแดงคนเดียวเท่านั้น ว่าสมัยเชียงแสน ตรงกับข้อสันนิษฐานของในกรมท่าน พูดตามหลักฐานที่ลุงแดงให้ ก็ไม่มีข้อโต้เถียงได้เลย

ภรรยาเงยหน้าขึ้นชำเลืองดูสามี จากสีหน้าซึ่งพยายามยิ้มอย่างอิดโรยนั้น รื่นได้สำนึกเป็นครั้งแรกว่าหญิงชายคู่นี้จะไม่มีวันรู้รัก และเข้าใจตัวจริงของกันและกันได้ตราบเท่าวันตาย

“ฉันนัดกับลุงแดงแล้วละผู้ใหญ่” เขาเรียกตำแหน่งของรื่นอีก ขณะที่หันหน้ามาหา “ว่าฉันจะขึ้นไปกำแพงในแล้งหน้า ถ้าเป็นไปได้ก็แล้งนี้ บางที – บางทีถ้าข่าวที่ฉันได้รับไปจากคุณหลวงแกว่า ทางบ้านเมืองจะยกคลองใต้เป็นตำบล ฉันก็คงจะเจอะผู้ใหญ่บ้านในฐานะกำนัน เห็นว่าเจ้าเมืองท่านกำลังโปรดปรานรื่นเหลือเกินนี่”

รื่นได้ฟังก็หัวเราะ

“ฟังตามนายเสถียรว่า ถ้าผมยังไม่ตาย นานไปอีก หน่อยคงได้เป็นนายอำเภอ”

ทุกคนพากันหัวเราะตาม แต่ท่ามกลางเสียงหัวเราะนั้นเอง ละเมียดอดคิดไม่ได้ว่า เหมือนมีกังวานของเหล็กกล้าระคนอยู่ หล่อนหันไปชำเลืองดู ก็เจอะสายตาอันกร้าวของรื่น กำลังเพ่งเขม็งอยู่ที่นายเสถียร ซึ่งเพลินอยู่กับการยกยอปอปั้นตาแดงอย่างน่ากลัว !

– ๓ –

ปีนั้นชาวเมืองกำแพงเพชรและราษฎรตลอดสองฝั่งแม่น้ำปิง ได้รับความตื่นเต้นขนานใหญ่ เมื่อเรือกำปั่นท้องแบนระหัดข้าง จักรท้าย ลำแรกของบริษัทป่าไม้ฝรั่งแล่นจากพระนครขึ้นไปถึงเมืองตาก มันเป็นพฤติการณ์ที่โจษขานกันติดปากอยู่ช้านาน แม้จะผ่านวัน สัปดาห์และเดือน หรือตำบลหนึ่งตำบลใดไปแล้ว ในความมหัศจรรย์ของยุคแห่งจักรยนต์กลไก และไอน้ำที่เริ่มศักราชใหม่ในเมืองไทย ซึ่งในชั่วชีวิตของชาวบ้านชาวเมือง ตามลุ่มแม่น้ำนั้นยังไม่เคยมีใครเห็น

ยืนอยู่คู่กับสุดใจ ห่างไกลออกมาจากคนทั้งหลายในวันที่เรือมหัศจรรย์ลำนั้นผ่านคลองสวนหมากไป เสียงระหัดวิดน้ำสนั่นหวั่นไหวไปหลายท้องคุ้ง มองดูฟองน้ำที่แตกกระจาย และธงแถบลายประดับดาวดารดาษสะบัดชายอยู่บนยอดเสาแล้ว รื่นก็ถอนใจ

“ดูไว้ สุดใจ” เขาบอก “ยุคของการเดินทางวันละร้อยโยชน์พันโยชน์ อย่างในชาดกท่านว่ากำลังจะมาถึง”

นัยน์ตาของหล่อนบอกความตะลึง ตื่นเต้นต่อภาพที่เห็น แทบไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้

“เรือของใครพี่รื่น ?” หล่อนพึมพำ “ไม่ต้องใช้ถ่อ ไม่ต้องใช้ใบ ฉันไม่เคยได้ยินจากใคร นอกจากในเรื่องพระอภัย”

“กำปั่นในพระอภัยกำลังจะกลายมาเป็นความจริง” เขาตอบ “นั่น, เห็นเขาว่าเป็นกำปั่นของห้างมิสหลุยส์–สมัยเรือถ่อจะถอยหลัง เรือไฟจะแทนที่ เวลานี้ในบางกอกเป็นของธรรมดา อีกหน่อยมันจะมาถึงเมืองเรา คนเดินทางจากปากน้ำโพถึงที่นี่โดยเรือเมล์ไปรษณีย์ถ่อที่ว่าเร็วอยู่แล้วจะล้าสมัย เรือไฟใช้ฟืนจะมาแทนต่อไป ข้าเคยได้ยินข่าวมานาน แต่ไม่เคยคิดว่ามันจะมาถึงเร็วถึงเพียงนี้”

กำปั่นลำนั้น เป็นแต่เพียงส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงไปในคลองสวนหมากใต้ นับแต่เขากลับจากปากน้ำโพครั้งสุดท้าย ไม่มีอะไรเลยจะอยู่คงที่ของมัน ผู้คนหลายครอบครัวจากหลายบ้านหลายตำบลและเมือง โยกย้ายมาตั้งภูมิลำเนาลงที่นั่น ภัยธรรมชาติและโรคระบาดที่หายไป นาน ทำให้ปากคลองเป็นแหล่งเงินแหล่งทองที่เรียกร้องความกระตือรือร้นของคนที่ปรารถนาจะวางรากฐานการทำมาหากินลงไปเป็นปึกแผ่น บ้านไร่ซึ่งร้างไปชั่วคราว เพราะไฟป่าเผาผลาญกลับแน่นยิ่งกว่าเก่า ข่าวลือเรื่องบ้านเมืองจะยกฐานะคลองสวนหมากขึ้นเป็นตำบลหนาหู และพร้อมกับข่าวนั้น เป็นธรรมดาอยู่เองที่ข่าวเลื่อนรื่นจากผู้ใหญ่บ้าน ขึ้นเป็นกำนัน จะติดตามมาด้วย แต่ทุกครั้งที่ได้ฟังเล่าจากชาวบ้านหรือมิตรสหายคนใดที่ไปธุระในเมืองมา รื่นก็ได้แต่เพียงหัวเราะ

“ตามแต่วาสนาจะเป็นไป” เขาบอก “หมู่บ้านหรือตำบลมีความหมายอะไรนักหนา เมื่อคนที่อยู่และชีวิตที่ครองยังคงเดิม ผู้ใหญ่บ้านหรือกำนันมีความหมายอะไรสำหรับฉัน ในเมื่อเดี๋ยวนี้ทั้งเลือดในกายและใจกลายเป็นคนปากคลองไปแล้ว – –” รื่นถอนใจ “พูดถึงเรื่องนี้ทีไร อดคิดถึงผู้ใหญ่พูนแกไม่ได้ ถ้าแกยังมีชีวิตอยู่ และได้เป็นกำนันจะมีความสุขอีกสักเพียงไร”

แต่ไม่มีอะไรเหลือไว้เป็นอนุสาวรีย์แก่คนเคราะห์ร้ายผู้นั้นอีกต่อไป นอกจากหลุมศพในป่าพุทราฟากโน้นและความทรงจำถึงแกซึ่งฝังแน่นอยู่ในใจของเขา ริ้วและโรยมีผัวไปแล้วทั้งสองคน ฝ่ายแรกลงมาอยู่ที่ปากอ่าง ฝ่ายหลังขึ้นไปอยู่ท่าไม้แดง ยายอ่อนจันทร์ภรรยาของแกตามผู้ใหญ่พูนไปด้วย ไข้ป่าในปีต่อมา ที่ทางบ้านช่องกลายเป็นของคนอื่น รื่นรู้ว่าครั้งหนึ่งลงยอมรับตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดถึงกับเรียกตัว ภายหลังที่ความพยายามของนายอำเภอล้มเหลว เขาจะถูกผูกมัดอยู่กับความรับผิดชอบนั้นต่อไป เพื่อสวัสดิภาพ เพื่อความเป็นปึกแผ่นของชาวคลองสวนหมากใต้เท่า ๆ กับเพื่อความทรงจำรำลึกถึงชายชาวเวียงจันทน์ผู้น่าสงสาร

นายเสถียรกับละเมียดขึ้นไปกำแพงแล้งนั้นตามที่เขากำหนดไว้ รื่นไม่รู้ข่าวอิโหน่อิเหนล่วงหน้าเลย จนกระทั่งสองผัวเมีย พร้อมด้วยหลวงราชบริการเข้ามาหาเขาที่บ้านในเย็นวันหนึ่ง

“เราตั้งใจจะเลยขึ้นไปให้ถึงคลองเจ้า” นายเสถียรบอก “นอกจากติดต่อกับพวกเจ้าของไม้ต่าง ๆ อย่างที่เคยบอกรื่นแล้ว มีเวลาอยากจะขึ้นป่าแม่ระกากับคุณหลวงเขาสักพัก ถ้าหากมีเวลาขากลับจะแวะที่นี่อีก ต่อไปก็วังพระธาตุ ––”

วาจาเหล่านั้นนำคืนวันเก่ากลับมาสู่ความทรงจำของรื่นอีกครั้งหนึ่ง – – นายเสถียรที่ลานบ้าน พร้อมด้วยคำคาดคั้นขู่เข็ญก่อนที่เขาจะเดินทางเข้าไปในป่าโป่งน้ำร้อน ซึ่งถูกหวงห้าม และถ้อยคำของตาแดง ขณะที่แกกลับจากปากน้ำโพปีนั้น พร้อมด้วยเรือบรรทุกสินค้าของเขา

“งั้นข่าวที่เราได้ยินว่านายเสถียรได้สัมปทานป่าไม้ที่แม่ระกา, โป่งน้ำร้อนแล้วก็วังพระธาตุก็เป็นความจริง” เขาพึมพำ

นายเสถียรเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ

“ใครเป็นคนบอกรื่น ?”

“หรือ ไม่จริง ?” เขาพยายามเลี่ยงกระทู้ถามข้อนั้น

“มันอาจจะเป็นจริงไปได้ แต่ในขณะเดียวกันมันอาจจะเหลวแล้วแต่เสนาบดีท่าน” นายเสถียรหัวเราะ “ระหว่างนี้อยู่ในขั้นทาบทามเท่านั้น เสนาบดีท่านว่าถ้าชาวบ้านไม่คัดค้านก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าขัดข้องก็เป็นธรรมดาอยู่เอง ที่ท่านจะอนุญาตไม่ได้ พวกชาวบ้านเขาว่าอย่างไร คุณหลวง ?” เขา หันไปหานายอำเภอ

หลวงราชบริการ ภูมิฐานควรแก่ลักษณะของเทศา มองหน้าผู้พูดนิดหนึ่งก่อนที่จะตอบสนอง

“ก็ไม่เห็นมีอะไร พวกนั้นควรจะดีใจด้วยซ้ำไปที่จะได้ทำงานกับนายเสถียร แทนที่จะดิ้นกระแด่วไปแต่ลำพังตัวเองด้วยการที่ใครตัดไม้ได้ก็ตัดไป ไม่รู้ว่าจะขายให้ใครได้ราคาดีหรือไม่ได้

รื่นก้มหน้าตาจับอยู่กับยาเส้นที่เขากำลังมวนใบตองสูบ

“แต่เขาทำกันมาอย่างนั้นชั่วชีวิตปู่ย่าตายาย” เขาพึมพำ “หลายคนสมัครที่จะเป็นนายของตัวเองมากกว่าที่จะไปเป็นลูกจ้างคนอื่น”

“ผู้ใหญ่รื่นว่าอย่างไรฉันไม่เข้าใจ ?” เสียงของนายอำเภอผู้ภูมิฐาน ควรแก่ลักษณะของเทศาชักเปลี่ยนไป

“ผมว่าป่าเหล่านั้นตกไปเป็นสัมปทานของผู้หนึ่งผู้ใดโดยเฉพาะจะทำให้ชาวบ้านท้องถิ่นเดือดร้อน” “รื่นตอบเรียบๆ และเปิดเผย โดยไม่เงยหน้า

“ฉันคิดว่า ผู้ใหญ่รื่นเอาธุระแต่ในท้องที่ของตัวดีกว่า ไม่มีใครจะรู้ความเป็นอยู่หรือเป็นไปของผู้คนในท้องที่เหล่านั้นดีไปกว่าฉัน”

“ครับ, ผมไม่เคยไปเกี่ยวข้องกับเรื่องของท้องที่ไหน แต่บังเอิญโป่งน้ำร้อนเป็นหัวใจของคนบ้านนี้ นายเสถียรก็เคยรู้ดี ผมถึงได้เรียนให้คุณหลวงทราบ – –”

ละเมียดซึ่งสนทนาอยู่กับสุดใจ ไต่ถามทุกข์สุขของหล่อนและลูกอยู่ทางหนึ่งหันมาหัวเราะว่า

“อย่าเพิ่งไปพูดกันเรื่องนั้นดีกว่ารื่น เป็นเหตุการณ์ภายหน้า ยังมีเวลาปรึกษาหารือกันได้ถมไป”

สามีได้ฟังก็ถอนใจ “จริงของละเมียดเขา เปล่า, คุณหลวงท่านช่วยเป็นธุระ ก็เพื่อความเจริญก้าวหน้าของราษฎรในตำบลนั้นๆ ด้วย ไม่ใช่ประโยชน์ของฉันข้างเดียว รื่น ฉันจะไม่ทำอะไรโดยฝืนใจอีกต่อไป อย่าได้กลัวฉันในข้อนั้น เหตุการณ์อย่างคราวก่อนจะไม่เกิดขึ้นอีก––”

ฟังดูก็เหมือนนายเสถียรคนใหม่ มิใช่ชายผู้เผชิญหน้ากับเขาอย่างเสือร้าย และนักเลงที่ลานบ้านวันนั้น รื่นเงยหน้าขึ้นช้า ๆ จุดยามวนสูบ ชำเลืองดูละเมียดแล้วก็อดสะท้านปลาบเข้าที่หัวใจไม่ได้

ใบหน้าของหล่อนระรื่นไปด้วยอาการหัวเราะ ขณะที่สัพยอกหยอกล้อลูกคนเล็กของเขา ถึงกระนั้นรื่นก็อดสังเกตเห็นนัยน์ตาอันเศร้า และกังวลของหล่อนไม่ได้ การขัดจังหวะของหล่อน อาจทำให้ความคร่ำเครียดของสีหน้า และน้ำเสียงหลวงราชบริการคลายลงไป ทุกคนกลับหัวเราะกันได้อย่างเก่า แต่รื่นรู้อย่างที่ทุกคนรู้ ว่าซึ้งลงไปในใจความคุกกรุ่นของอารมณ์ซึ่งเกิดจากความขัดแย้งกันมิได้หายไปไหน

เมื่อสองผัวเมีย และนายอำเภอเมืองลาลงเรือแม่ปะเดินทางต่อไป สุดใจเอ่ยขึ้นกับเขา ขณะที่ยืนอยู่บบตลิ่งหน้าท่า สายตาจับอยู่กับภาพเรือซึ่งกำลังจะลับท้ายเกาะหน้าบ้านไปสู่คุ้งธารทองแดงฟากโน้นว่า

“แปลกแท้ ๆพี่รื่น ทำไมผู้หญิงอย่างคุณนายละเมียดถึงไปได้กับผู้ชายอย่างนายเสถียร ?”

“แปลกยังไง สุดใจ ?” เขาหันมาหาภรรยาอย่างอัศจรรย์ใจ

“คุณนายละเมียดนะ เอวบางร่างน้อย ยังกะนางฟ้า กิริยาวาจาสุภาพอ่อนโยน ส่วนนายเสถียรยังกะยักษ์ กิริยาวาจาโฮกฮากเหมือนมหาโจร”

รื่นได้ฟังก็หัวเราะขรึม ๆ อยู่ในลำคอ “อ้ายมหาโจรมีเมียยังกะนางฟ้าถมไป อย่างโจรใหญ่ในจันทโครบของจำปามัน กับนางโมรา อย่างเจ้าโปร่งกับจำปา หรืออย่างข้ากะเอ็ง”

สุดใจซัดเผียะเข้าไปที่ต้นแขนของเขาอย่างกระฟัดกระเฟียด

“พี่รื่นไม่ใช่มหาโจร, แล้วข้าก็ไม่ใช่นางฟ้า”

“แต่จำปามันเป็น” สามียืนยัน “ตั้งแต่เราแรกเจอะกันยังจำได้ไหมล่ะ ?”

“เขาพูดถึงคุณนายละเมียดตังหาก เถลไถลไปถึงเรื่องนั้นอีกแล้ว” หล่อนบอก หยุดคิดอย่างตรึกตรอง “มอง ๆ ดูแกแล้ว รู้สึกยังไงไม่รู้ พี่รื่น”

“รู้สึกยังไง?”

“รู้สึกเหมือนกะแกจำใจแต่งงานกับนายเสถียรนั้นแหละ”

“เอ็งเข้าใจผิดหมด สุดใจ” เขาหัวเราะ “จริงอยู่ ผู้ใหญ่อาจจะเป็นฝ่ายจัดการให้ได้กัน แต่คุณละเมียดก็ไม่เคยคัดค้านนี่ ความจริงน่ะ เขาเป็นพี่น้องกันด้วยซ้ำไป”

หล่อนเงยหน้าขึ้นดูเขาอย่างสงสัย

“ทำไมพี่รื่นถึงได้รู้ ?”

“แก–– แกเล่าให้ฟังเอง เมื่อเจอะกันที่ปากน้ำโพ”

สุดใจมิได้ตอบประการใด สายตาของหล่อนหันกลับไปจับอยู่กับเรือแม่ปะลำนั้นอีกครั้ง ขณะที่มันวกไปวกมาระหว่างรั้วจิบ ซึ่งกันร่องน้ำจากชายฝั่งตะวันออกไปจดตลิ่ง ประกายอันเกิดจากน้ำติดปลายถ่อกระทบกับแสงแดดวาววับอยู่ทุกระยะที่คนถ่อเดินสับเปลี่ยนกันจากหัวเรือลงมากลางลำ จน กระทั่งที่สุดมันก็ลับคุ้งไป

“พี่รื่น” สุดใจเอ่ยขึ้นอีก มือของหล่อนเกาะแขนเขาไว้แน่น

“ทำไม ?” เขาก้มมองดูหล่อนอย่างแปลกใจ

“พี่รื่นสังเกตเห็นหรือเปล่าว่า ตลอดเวลาที่พี่รื่นคุยกะนายอำเภอ กะนายเสถียร คุณนายละเมียดคอยมองดูไม่วางตาเลย”

“เปล่า, ไม่ได้สังเกต”

“มองอย่างชอบกล เหมือนกะคนที่หวาดกลัวอะไรอยู่ คุณนายละเมียดเป็นอย่างนั้นเมื่อไหร่ ตอนที่เราเจอะแกที่ลานดอกไม้ กล้าหรือยังกะอะไร ดูเหมือนว่าในโลกนี้ ไม่มีอะไรที่แกจะกลัว”

สามีหัวเราะอีก “เอ็งจะคิดมากไปกะมัง สุดใจ ข้าไม่เห็นอะไรแปลก ไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยน แต่ก่อนคุณนายละเมียดเป็นอยู่อย่างไร เดี๋ยวนี้ก็อย่างนั้น––”

“บางทีฉันจะคิดมากไปเองอย่างที่พี่รื่นว่า” หล่อนถอนใจ “บางทีฉันจะเห็นในสิ่งที่ไม่มีใครเห็น แต่ก็อดคิดไม่ได้จริงๆ พี่รื่น––อดคิดไม่ได้ว่า คุณนายละเมียดแกเสียใจที่เป็นเมียนายเสถียร––”

– ๔ –

ฤดูน้ำมาถึงอีกครั้งหนึ่งอย่างที่มันเคยมาถึงทุกปีมา ต่างแต่คราวนี้รื่นรู้สึกว่าอุปสรรคคอยต้อนรับเขาทุกฝีก้าว จำนวนไม้ที่ตกเงินและปากคำกันไว้กับผู้ลากเข็นจากคลองเจ้าเกาะฤษี คลองเมือง ลงมาถึงลานดอกไม้ไม่ได้ครบตามจำนวนที่กำหนดไว้ บางรายคืนเงินให้เพราะว่าลากมาถึงตีนท่าไม่ทัน และบางรายก็เกี่ยงงอนในเรื่องราคา และเพราะว่าเกือบทุกรายถือวาจาเป็นใหญ่กว่าสัญญา ซึ่งทำกันเป็นลายลักษณ์อักษร หรือมิฉะนั้นก็เลิกแล้วต่อกันไป เมื่อน้ำเหนือเริ่มขึ้น และฤดูล่องแพใกล้เข้ามา อย่างมากที่จะสามารถรวบรวมได้ก็เพียง ๓ แพเท่านั้น – – เป็น ๓ แพที่คละเคล้ากันทั้งไม้ดีและเลว ถัวแล้วไม่ถึง ๘ กำ

มันเป็นการผิดหวังครั้งแรกในชีวิตการค้าไม้ของเขา มิใช่เกี่ยวกับการขาดทุนหรือได้กำไร หากวาจาที่ให้ไว้แก่ต่วนด่ำ ซึ่งมุ่งจำนวนและคุณภาพของไม้จากเขาไว้เป็นมั่นเหมาะในปีนั้น

“ฉันจะดูหน้าแกอย่างไรได้ น้าแดง” รื่นปรารภอย่างข้องใจในวันนั้น ระหว่างคัดไม้ลงน้ำเป็นงวดสุดท้าย “ต่วนด่ำต้องการไม้กว้าวตะแบก กะอินทนิลจากฉัน ๕ แพด้วยกัน คิดถัว ๑๐ กำ เพราะรับปากกับโรงเลื่อยหรือบริษัทไม้ในบางกอกไว้ก็ไม่รู้ได้ เรื่องจำนวนน่ะยังพอแก้ไข แต่ขนาดของไม้แล้ว ก็ไม่มีโอกาสดัดได้เสียด้วย” เขาส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ – “ไม่รู้เลยว่าพวกนั้นเป็นอะไรกันไป มันไม่ควรจะรับคำฉัน ถ้าไม่แน่นอน แต่ก่อน ๆ มาเคยเป็นอย่างนี้เมื่อไหร่”

ตาแดงซึ่งวุ่นอยู่กับการสั่งผูกไม้ที่ลงน้ำแล้ว หาได้ตอบเขาทันทีทันใดไม่ แกนิ่งอยู่นาน นัยน์ตาอันชราเต็มไปด้วยการตรึกตรอง ในที่สุดจึงได้เอ่ยขึ้น

“รื่นอยากรู้รึ ว่าคนพวกนั้นมันเป็นอะไรไป ? อ้ายริด อ้ายสุก ผู้ใหญ่แหว่ว ตลอดจนกระทั่งทิดบุญ” แกทิ้งระยะเหมือนจะพยายามให้น้ำเสียงที่พูดคลายความขุ่นมัว “อยากรู้ไหมล่ะ ? มันจะอะไรกัน นอกจากเงิน”

“ฉันไม่เคยติดค้างเขาจนสตางค์แดงเดียว ฉันให้ความพอใจเสมอในเรื่องราคา”

“รื่นเอาอะไรวัด ในเรื่องความพอใจของคนเรา ?” ตาแดงยกมือขึ้นเกาคางอย่างครุ่นคิด “ลงเงินเข้าตาแล้ว อย่าว่าแต่อ้ายริด อ้ายสุก ผู้ใหญ่แหว่ว หรือทิดบุญเลย อีกหน่อยคนที่เคยติดต่อกับรื่นมาแต่แรกก็คงไปอย่างเดียวกัน ฉันเตือนรื่นแล้วไหมล่ะ นับแต่เห็นพวกคลองเหนือ กับในเมืองขึ้นไปคลุกคลีกับพวกนั้นจนเป็นที่ผิดสังเกต ฉันเตือนแล้ว ว่าคนพวกนั้นกำลังขึ้นราคาไม้กันใหญ่ เขาให้เกินกว่ารื่นให้ตั้งครึ่งค่อน – – – ฉันอ้อนวอนให้รื่นทำสัญญาผูกมัดกับพวกอ้ายห่านั่นเสีย แต่รื่นก็ใจเย็น – –”

“เพราะว่าฉันไม่คิดว่าจะเป็นกันไปได้เช่นนั้น” เสียงของเขาบอกความแสลงใจ “แต่ไหนแต่ไรมาเราตกลงอะไรกันด้วยวาจาทั้งสิ้น ใครเขาจะคิดว่าจู่ ๆ มันจะมากลับตาลปัตร สำหรับเรื่องราคาน่ะ ถ้าฉันยอมไปแข่งกับพวกนั้นด้วยก็ชิบหายอย่างไม่ต้องสงสัย อย่าว่าแต่เรื่องกำไร เพียงจะเอาทุนขึ้นก็ทั้งยาก ฉันไม่เข้าใจจริง ๆ น้าแดง ว่าพ่อค้าใหม่ของกำแพงเหล่านั้น เขาต้องการอะไร ?”

“ถามนายเสถียรกับนายอำเภอ” ตาแดงหัวเราะอย่างขุ่น ๆ อยู่ในลำคอ

เวลายิ่งนานไป ความตื่นตัวของราคาไม้กระยาเลยและเบญจพรรณในย่านจังหวัดกำแพงเพชรก็ยิ่งปรากฏแจ้งชัดยิ่งขึ้น ยิ่งนานวันนามของนายเสถียรในฐานะพ่อค้าไม้ใหญ่ของปากน้ำโพ ซึ่งเป็นสถานีปลายทางของบรรดาไม้เหล่านั้นก็ยิ่งหนาหู หลายคนบอกว่าเขายินดีสู้ราคาด้วยไม่ว่าจะกับพ่อค้าเก่า หรือพ่อค้าใหม่ และหลายคนที่เป็นพ่อค้าย่อยอยู่ในลำแม่ปิง ห่างไกลจากความเคลื่อนไหวของตลาดข้างล่าง ต่างก็บ่ายหน้าไปหาเขา

รื่นต้อนรับข่าวเหล่านี้ด้วยสีหน้าและกิริยาอันสงบ

“เราเคยค้าขายกับต่วนด่ำมาแต่ต้น” เขาบอกสุดใจวันหนึ่ง ขณะที่ผูกไม้เข้าแพอยู่ที่หน้าบ้าน “เราจะค้าขายกับแกต่อไป ถึงนายเสถียรจะใช้คนออกกว้านซื้อไม้ทั่วทั้งแม่ปิงเราก็จะพยายามทำไม้เอง ล่องจนได้ ถึงนายเสถียรจะให้ราคาแก่พ่อค้าไม้อื่น ๆ ดีอย่างไร ใครเขาจะขายก็ขายไป สำหรับเราไม่มีจะเปลี่ยน”

“อย่าลืมนะพี่รื่น นายเสถียรเขามีนายอำเภอหนุนหลังอยู่ทั้งคน” สุดใจให้สติ “ครั้งหนึ่ง เขาใช้อำนาจเพราะคิดว่าอาจจะทำให้เราแหลกไปได้ แต่พี่รื่นอยู่ยงคงทนเกินไปเขาก็มาไม้ใหม่ คราวนี้เอาน้ำเย็นเข้าลูบก็ด้วยหวังอยากจะได้เป็นพรรคพวก ถ้าพี่รื่นยังยืนกรานต่อไป แข็งกระด้างกะเขาต่อไป ฉันเห็นว่าลงท้ายเราคนเดียวจะตกที่นั่งลำบาก”

เขาวางมือจากหวาย เงยหน้าขึ้นดูหล่อนนิ่งอยู่หน่อยหนึ่ง ในที่สุดก็ลุกขึ้นยืนยิ้มอย่างปลอบใจ

“อย่าวิตกไปหน่อยเลย สุดใจ” เขาบอก “เราตกที่นั่งลำบากมามากพอแล้ว จนไม่มีอะไรที่จะทำให้เราลำบากไปกว่านั้นได้ ไม่ว่าจะไปหานายเสถียรหรือนายอำเภอ คอยดูต่อไปดีกว่าว่าการค้าไม้ของนายเสถียรอย่างนี้จะไปลงเอยวิธีไหน อีกหน่อยเถอะพวกพ่อค้าไม้เหล่านั้นจะไปรู้สึกเสียใจและเราจะเป็นฝ่ายหัวเราะภายหลัง”

ภรรยาถอนใจ “ได้ฟังพี่รื่นทีไรฉันก็เบาใจ แต่ไป ๆ มันก็อดกังวลขึ้นมาอีกไม่ได้” หล่อนว่า “พยายามระมัดระวังหน่อยพี่รื่น––ระมัดระวังหน่อย”

“เออน่ะ ปล่อยไว้เป็นธุระของข้าดีกว่า” เขาหัวเราะ

ต่อมาอีก ๕ วัน แพทั้ง ๓ ก็เคลื่อนออกจากคลองสวนหมากใต้

– ๕ –

รื่นได้รับความผิดหวังอีกครั้งหนึ่ง เมื่อไปถึงปากน้ำโพ และปรากฏว่าต่วนด่ำ ต้องรีบกลับไปล่างด้วยธุระสำคัญก่อนหน้าเขาไปถึงเพียง ๓ วัน ตัวแทนที่อยู่ทำการติดต่อ และตกลงในการซื้อขายเล่า ก็พิถีพิถันและเกี่ยงงอนไม่เป็นอันตกลงกันได้

“ไม้พูดกันไว้น่ะห้าแพ เฉลี่ยแพละร้อยยี่สิบห้าต้น ถัวสิบกำ แต่เอาเถอะถึงจำนวนจะไม่ครบก็ไม่เป็นไร แต่นี่ทั้งขนาดและลักษณะไม้ผิดไปจากที่ผู้ใหญ่รับปากไว้ทุกอย่าง จะให้ฉันทำยังไง ?”

เขาเป็นชายหนุ่มที่ต่วนด่ำอาจจะไว้วางใจใช้สอยเพราะเป็นคนคล่องแคล่วและละเอียดละออ แต่ก็เพราะความไว้วางใจที่ได้รับจากพ่อค้าใหญ่ผู้เป็นนายจ้างนั่นเอง เป็นเหตุให้ระมัดระวังตัวแจเกินไป ในการรักษาผลประโยชน์ของฝ่ายตน จนเกือบจะดูเป็นการเอารัดเอาเปรียบไป

รื่นอธิบายถึงอุปสรรคที่เขาได้รับ และความจำเป็นนานัปการ ที่ทำให้เขาไม่สามารถจะหาให้ตามขนาด ชนิด และคุณภาพที่ตกลงกันไว้ให้ครบตามจำนวนภายในน้ำนั้น

“แต่ผมไม่ขัดข้องเลยในการที่ฝ่ายนายห้าง จะตีราคาต่ำไปกว่าที่ตกลงกันไว้” เขาบอกตอนสุดท้าย

“เรื่องราคาไม่สำคัญ” ชายหนุ่มผู้เป็นตัวแทนของต่วนด่ำ ตอบอย่างอ่อนใจ “นายห้างมอบให้ฉันวินิจฉัยได้โดยสิทธิ์ขาด แต่เรื่องไม้ผิดขนาด โพรง แล้วก็คด ๆ งอ ๆ จะให้รับไว้ยังไง ผิดสัญญาที่เราทำไว้กับโรงเลื่อยในบางกอก นอกจากจะขาดทุน ไหนยังจะเสียชื่อ”

การขอร้องของเขาเพื่อให้รับซื้อไว้ และขอโอกาสแก้ตัวใหม่ในน้ำหน้า ไม่เป็นผลสำเร็จ ชายหนุ่มตัวแทนต่วนด่ำ ให้เหตุผลถึงความเสียหายทางฝ่ายเขาอย่างน่าฟัง แต่ในขณะเดียวกัน มันก็ทำให้รื่นอดสะเทือนใจไม่ได้

“ฉันเสียใจจริง ๆ ผู้ใหญ่” เขาอธิบายอย่างเห็นอกเห็นใจ “สัญญาที่ให้ไว้กับโรงเลื่อย ในบางกอกระบุรายการละเอียด ผูกมัดไว้ทุกอย่าง ไม่เหมือนกับการตกลงปากเปล่า จะได้ว่าหลงลืมไป”

“แต่ผมไม่เคยหลงลืม นับแต่ค้าขายกับนายห้างมา” เสียงของรื่นบอกความแสลงใจ “ผมไม่เคยผิดถ้อยคำที่ให้ไว้ ไม้ดีบอกดี ไม้เลวบอกเลว ผมไม่เคยย้อมแมวขาย นายห้างต่วนด่ำรู้ดี”

“ฉันเข้าใจ ผู้ใหญ่––เข้าใจ แต่ก็ช่วยเหลืออะไรไม่ได้จริง ๆ เพราะผิดสัญญาที่ทำไว้กับโรงเลื่อย” ตัวแทนต่วนด่ำยืนยันประโยคเดิมก่อนที่จะจากไป

เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่รื่นเริ่มสำนึกถึงความแตกต่างระหว่างคุณค่าของวาจา และสัญญาที่ทำกันไว้เป็นลายลักษณ์อักษรในการค้า เจ้าของไม้และบรรดาพวกลากเข็น บิดพลิ้วจนกระทั่งเขาต้องผิดพลาดไป ก็เพราะความเชื่อใจและวาจาที่ให้ต่อกันไว้ ความผิดหวังที่เขาได้รับเมื่อแพตกถึงปากน้ำโพแล้วก็เช่นเดียวกัน

ทุก ๆ วันปากน้ำโพตั้งแต่วัดไทยลงมาถึงหน้าผา เพิ่มขึ้นด้วยแพไม้เกือบทุกราย ติดธงเครื่องหมายของนายเสถียรแทบทุกรายล้วนแต่ไม้ที่ได้ขนาดและงามกว่าของเขาทั้งสิ้น ประเดี๋ยวแพหนึ่งล่องใต้ ประเดี๋ยวแพใหม่ลงมาแทนที่ ไม่ว่าจะแลไปทางไหน จะพบแต่ธงสีไพรวงดำของนายเสถียรทั้งสิ้น

ทุก ๆ วันพ่อค้าจากล่างขึ้นลงแพเหล่านั้นไม่ว่างเว้นในขณะที่ ๓ แพของเขาเงียบเหงา ไม่มีใครติดต่อ ไม่มีใครเหลียวแล เมื่อเดือนหนึ่งผ่านไปโดยไม่มีข่าวจากต่วนด่ำ และความหวังจากพ่อค้าอื่น ความขมขื่น กระสับกระส่ายของรื่นก็ยิ่งแสดงออกจนปรากฎนอกหน้า

“ฉันควรจะเชื่อน้าแดงในเรื่องทำสัญญาผูกมัดกันไม่ว่าในการซื้อหรือขาย” เขาปรารภในเย็นวันหนึ่งขณะที่นั่งกินข้าวอยู่พร้อมกันในทับ “นับวัน นับแต่วาจาสัตย์ของคนเราจะเสื่อมค่าลง––”

ความขมขื่นเหล่านั้น ยิ่งนานวันก็ยิ่งทำให้เขาเงียบขรึม และเก็บตัวอยู่แต่ในทับแพ ระหว่างที่คนอื่น ๆ ขึ้นไปแสวงหาความสนุกสนานในตลาด การดื่มซึ่งห่างไปนานก็จัดขึ้น การพูดจาเล่นหัวน้อยลง

ท่ามกลางภาวะและบรรยากาศเช่นนี้เอง ที่เย็นวันหนึ่งนายเสถียรลงไปพบเขาที่แพแต่ลำพัง

กิริยาท่าทางอันกระปรี้กระเปร่า และความร่าเริงจากเสียงหัวเราะร่วนของเขาขณะที่ร้องทักรื่น บอกถึงความยินดีอย่างจริงใจ ถึงกระนั้น ชายผู้อ่อนอาวุโสกว่าก็อดเสียวแปลบเข้าไปในทรวงอกไม่ได้ เพราะความริษยา

“ฉันเพิ่งมาจากกรุงเก่ากับละเมียดเขา เมื่อเช้านี้เองรื่น” นายเสถียรบอกนั่งลงที่ประตูทับ “รู้ข่าวจากลุงแดงกับพวกนั้นที่ตลาดว่า รื่นอยู่ที่นี่ถึงได้เลยมาเยี่ยม ละเมียดเขาจะมาด้วยแล้ว บังเอิญมีคนลงมาจากเมืองตากด้วยเรื่องที่ทางบ้านช่องอะไรของเขาทางโน้นก็ไม่รู้ ต้องอยู่รับรองพูดเรื่องธุระกัน สั่งฉันให้บอกรื่นว่าฝากความคิดถึงมาด้วย”

“ขอบพระคุณนายเสถียรกับคุณนายละเมียดละครับ” เขาตอบ นัยน์ตายังแดงก่ำ เพราะฤทธิ์สุราซึ่งร่ำมาแต่ตอนบ่าย

นายเสถียรพิจารณาดูเขาอย่างหลากใจ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดจึงเอ่ยขึ้นอีก

“เป็นไงไปรื่น ฉันรู้จากลงแดงว่า ต่วนด่ำเขาไม่ยอมรับไม้ของรื่นหรือ ?”

“น้าแดงเข้าใจผิด”

“คือยังไงกัน รื่น?”

“ต่วนด่ำไปบางกอก ให้แต่คนอื่นไว้ติดต่อแทนเขาเป็นคนไม่ยอมรับซื้อไม้ผม”

นายเสถียรถอนใจ “มันมีความหมายอย่างเดียวกัน...”

“มันไม่เหมือนกัน––” เขายืนยัน “ต่วนด่ำจะเป็นคนที่เข้าใจผมดีกว่าใคร ๆ ที่แกตั้งไว้เป็นตัวแทน”

“ตกลงนี่รื่นก็ยังคงคิดว่า ถ้าได้พบต่วนด่ำ จะทำให้ เรื่องต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงไปได้” เขาส่ายหน้าไปมาช้า ๆ “ขอให้ฉันบอกหน่อยได้ไหมรื่น ว่าผู้แทนคนนั้นแหละตกลงซื้อไม้ของฉันไปแล้วทั้งห้าแพ––”

ภายในทับนั้นเงียบเหมือนกับป่าช้า นัยน์ตาอันแดงของรื่น มองดูหน้าของคู่สนทนาอย่างไม่เชื่อหูตนเอง ต่อมาก็ก้มลงจับนิ่งอยู่กับแก้วเหล้าในมือ

“เขาเซ็นสัญญาซื้อขายกับฉันเมื่อตะกี้นี้เอง” นายเสถียรควักกระดาษม้วนหนึ่ง คลี่ออกต่อหน้าเขา รื่นมิได้พยายามแม้แต่จะเหลียวไปดูข้อความ ในหนังสือสัญญานั้นเขายกแก้วเหล้าขึ้นกรอกใส่ปากช้า ๆ พิจารณาดูมันนิ่งอยู่อีกครู่หนึ่ง ก็โยนทั้งแก้วและขวดออกไปนอกทับ

“ผมดีใจด้วยกับนายเสถียร––” เสียงของเขาแหบห้าวจนเกือบฟังไม่รู้เรื่อง “เงินของนายเสถียรชนะ และความปรารถนาดีของผมแพ้......”

“แต่นี่มันการค้าขาย รื่น” สีหน้านายเสถียรประหลาดใจ “ค้าขายกันอย่างตรงไปตรงมา”

“ครับ, เพราะฉะนั้นบรรดาพวกเจ้าของไม้ กับพวกลากเข็นถึงได้ผิดคำมั่นสัญญาที่รับไว้กับผม เฮโลกันไปขายให้แก่ตัวแทนของนายเสถียรกะหลวงราชบริการ เพราะฉะนั้น ไม้ไล่ที่ผมได้มาจึงได้ผิดพลาดไปจากที่ผมให้คำมั่นสัญญากับต่วนด่ำไว้ เพราะฉะนั้นตัวแทนของต่วนด่ำ จึงไม่ยอมพิจารณาหรือให้โอกาสผมแก้ตัวเลย – – ครับ, มันเป็นการค้าขายกันอย่างตรงไปตรงมา สีหน้าของเขาเป็นมันไปด้วยเหงื่อซึ่งซึมออกมาเกาะอยู่เต็มหน้าผาก น้ำเสียงของเขาห้าวและกร้าวยิ่งขึ้น แต่นายเสถียรอย่าเข้าใจผิด ว่าผมจะยอมแพ้ง่าย ๆ ผมจะยอมขาดทุน ให้ไม้เหล่านี้มันจมอยู่ตลอดไป ขาดทุนย่อยยับยังไงก็ช่างมัน น้ำหน้าผมจะแก้ตัวใหม่ – –”

“รื่น !” เสียงตาแดงเรียกมาจากตีนท่า เขาหยุดนิ่งอยู่หน่อยหนึ่งจนกระทั่งแกเข้ามาถึงหน้าทับ “ฉันพบนายชื่นเขาที่หน้าตลาด บอกว่าสุดใจสั่งมาว่าเจ้าแดงลูกคนโตของรื่นป่วยหนัก ขอให้รีบขึ้นไปโดยเร็ว – –”

หน้าอันแดงเป็นมันของเขามิได้เปลี่ยนไป นัยน์ตาอันช้ำของเขามิได้แสดงว่า เข้าใจความหมายของวาจาเหล่านั้นชั่วขณะหนึ่งเขามองดูตาแดงอย่างมิได้เอาใจใส่ ครั้นแล้วชั่วขณะต่อไปก็เต็มไปด้วยความพิศวงงงงันพึมพำอยู่ในลำคอเหมือนคนละเมอเพ้อพก ครึ่งหลับครึ่งตื่น

“ได้ยินลุงแดงไม่ใช่หรือรื่น ?” เสียงของนายเสถียรแหลมเข้าไปในความสำนึกของเขา “ลูกคนโตของรื่นเจ็บหนัก สุดใจสั่งมา ขอให้รีบขึ้นไปโดยเร็ว – –”

“ครับได้ยิน” ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงของเขายังเลื่อนลอย “เจ้าแดงของผมเจ็บหนัก สุดใจเขาให้รีบขึ้นไปโดยเร็วแต่ไปยังไง?”

“มะรืนนี้ กำหนดเรือเมล์ไปรษณีย์ขึ้น” ตาแดงว่า “อย่างช้าสามวันรื่นก็จะถึงกำแพง แทนที่จะเป็นหกเจ็ดวันอย่างเรืออื่น”

“แต่หน้าน้ำอย่างนี้ บางทีก็จะช้ากว่านั้น” นายเสถียรบอก ในทันใดนั้นเอง สีหน้าของเขาก็แจ่มใสขึ้นเหมือนนึกอะไรได้ “รื่น, พรุ่งนี้จะมีเรือเมล์ของบริษัทฝรั่ง ขึ้นไปเมืองตากเป็นครั้งแรก – – เรือไฟ ไม่ใช่เรือถ่อหรือเรือจักรข้าง เขายังไม่รับผู้โดยสาร เพียงแต่เป็นการทดลองเท่านั้น ถ้าเรียบร้อยก็จะรับผู้โดยสารเดินประจำต่อไป ฉันรู้จักกับผู้จัดการใหญ่ของเขาประจำที่นี่ดี ไปเรือลำนี้เถอะรื่น ฉันจะพูดกับเขาให้เอง–

แม้ว่าจะเป็นการทดลองเดินทางครั้งแรก เรือไฟลำนั้นก็เต็มไปด้วยผู้โดยสาร ซึ่งส่วนใหญ่เป็นครอบครัวมิตรสหายหรือคนรู้จักกันกับผู้จัดการและพนักงานประจำเรือที่นั่น

ในทันใดที่ก้าวลงไปที่โป๊ะท่าน้ำ ท่ามกลางหมอกตอนเช้าตรู่ ท่ามกลางเสียงผู้คนที่จอแจ และเครื่องยนต์ซึ่งดังอยู่เป็นระยะ ๆ รื่นต้องหยุดชะงักอยู่กับที่ชั่วครู่ใหญ่ ๆ เมื่อได้ยินเสียงทุ้ม ๆ ซึ่งถึงจะอยู่ที่ไหนก็จำได้วันยังค่ำ ทักขึ้นมาจากในเรือซึ่งยังจุดไฟสลัวว่า

“ลงมาทางนี้รื่น ฉันจัดที่ไว้ให้แล้ว”

ละเมียด ! รื่นนึกอยู่ในใจ อึดอัดและลังเลอย่างบอกไม่ถูกว่าอะไรทำให้เขาอึดอัดและลังเลไป เพราะพบหล่อนที่นั่น–โดยไม่ได้คาดฝัน และในขณะที่ลืมมาได้เป็นเวลาช้านานแล้วว่ามีหล่อนร่วมอยู่ด้วยในโลกนี้

“ผม––ผมไม่ยักนึกว่าจะเจอะคุณละเมียดที่นี่” เขาเอ่ยตะกุกตะกัก เมื่อก้าวขึ้นไปบนเรือและนั่งลงตรงที่ว่า ซึ่งหล่อนเลื่อนกระเป๋าเดินทางและชะลอมของฝากให้

ในแสงสลัวของตะเกียงรั้ว และควันไฟ ที่แผ่ซ่านออกมาจากห้องเครื่องข้างหลัง ใบหน้าของหล่อนแลดูรางเลือน เหมือนภาพที่ปรากฏขึ้นในความฝัน หัวใจที่สงบมานานก็สั่นขึ้นมาอีกอย่างช่วยไม่ได้

“ฉันเพิ่งตกลงใจเมื่อคืนนี้เอง ว่าจะขึ้นไปเมืองตากกับเรือเย็นเที่ยวนี้” หล่อนบอก “มีธุระเรื่องที่ทางซึ่งคุณพ่อซื้อไว้จะต้องจัดการให้เรียบร้อยไปที่โน่นสักสองสามวัน ฉันไม่รู้หรอกว่า รื่นจะไปเรือลำนี้ด้วย จนกระทั่งเสถียรเขาบอกเมื่อจวนจะออกจากบ้าน” หล่อนหยุดไปชั่วขณะหนึ่ง มองดูหน้าเขานั่งอยู่นาน “ฉันเสียใจด้วย รื่น ที่รู้ว่าลูกของรื่นเจ็บมากแล้ว––แล้วก็เรื่องแพไม้ของรื่น–”

ความขมขื่นเก่า ๆ คุกรุ่นขึ้นมาในใจของเขาอีก แต่ก็พยายามข่มสติไว้ได้

“ขอบพระคุณคุณนายละครับ” เขาพยายามจะหัวเราะ “มันเป็นคราวเคราะห์ของผมเอง”

ละเมียดโบกมืออย่างอ่อนใจ

“ขอเสียทีเถอะรื่น อย่าได้เรียกฉันเป็นคุณหญิงคุณนายหน่อยเลย ไม่ใช่เมียขุนน้ำขุนนางที่ไหน นอกจากนั้น ฉันกับรื่นเหมือนจะไม่ใช่คนอื่นไกลอีกต่อไป ชอบกันนับถือกันฐานเพื่อนหรือญาติดีกว่า”

เพื่อนหรือญาติ....! ในขณะที่หล่อนเป็นภรรยาของชายผู้ครั้งหนึ่งเป็นศัตรูคู่แข่งขันตัวฉกาจของเขา รื่นอยากจะหัวเราะออกมาเสียให้ได้ ถึงกระนั้นในขณะเดียวกัน เขาก็รู้ว่าไม่มีอะไร จะคล้ายคลึงกันระหว่างหญิงชายคู่นี้ ไม่มีอะไรจะเหมือนกันเลยทั้งอุปนิสัยใจคอรสนิยม และหลักในการครองชีวิต....

– ๖ –

หมอกที่ปกคลุมมืดมิดอยู่เหนือท้องน้ำมาตั้งแต่รุ่งสว่างค่อยจางลงไปเป็นลำดับ ขณะที่เวลายิ่งสายและเรือไฟผ่านเกาะตาเทพ หาดทรายงามและเขาดินราวน้อง ๆ เพล เมื่อพ้นหัวคุ้งเก้าเลี้ยวเข้าสู่ท้ายหมู่บ้านหูกวาง แสงแดดก็ส่องลงมาสว่างไสวไปทั่วทุกหนทุกแห่ง

ทุกคนถอนหายใจด้วยความโล่งอก หมดวิตกต่ออันตรายจากการชนกับซุงและสวะในการเดินเรือ ท่ามกลางภาวะของดินฟ้าอากาศเช่นนั้น

“มันเหมือนกับปิดตาเดินดง ไม่รู้ว่าเราจะไปโดนอะไรเข้าเมื่อไร” ผู้จัดการใหญ่บอกละเมียด “ต่างแต่ว่าคนเราชนตอ หรือต้นไม้หัวแตกคนเดียว แต่เรือชนสวะหรือซุงล่มหมายถึงชีวิตคนทั้งลำ”

เขาเป็นคนชาวกรุงเทพฯ ที่บริษัทส่งมาประจำอยู่ที่ปากน้ำโพ เพื่อดูแลการเดินเรือในลำแม่น้ำปิงต่อไป ยังหนุ่มใจดี แต่ก็มีความชำนาญมามาก และเด็ดขาดเมื่อถึงคราวจำเป็น ความเอาใจใส่ของเขาที่มีต่อละเมียด นับแต่ออกเรือเป็นต้นมาเป็นที่น่าสนใจ ไม่ว่าหล่อนจะลุกจะนั่งหรือต้องการอะไร เป็นได้รับการดูแลอย่างกระปรี้กกระเปร่าจากเขาเสมอ จนกระทั่งรื่นเองอดเอ่ยขึ้นไม่ได้เมื่ออยู่ด้วยกันแต่ลำพัง

ผมเกรงใจเหลือเกินที่ต้องมาเป็นภาระแก่คุณละเมียดพลอยให้ผู้จัดการใหญ่แกต้องวุ่นวายไปด้วย

หล่อนได้ฟังก็หัวเราะ

“เหลวไหลไปเปล่า ๆ รื่น นายปรีชาเขาคุ้นเคยกับนายเสถียรมานานแล้ว ก่อนหน้าที่เราจะแต่งงานกันด้วยซ้ำไป ตั้งแต่ย้ายขึ้นมาอยู่ปากน้ำโพไม่เคยขาดที่บ้านได้ เป็นคนสุภาพ แล้วก็เอาใจใส่ต่อผู้หญิงเช่นนั้นเอง ไม่เฉพาะฉัน........”

ซึ่งก็เป็นความจริง นอกจากละเมียด บรรดาผู้หญิงอื่น ๆ ไม่ว่าแก่เฒ่าหรือสาวรุ่นอีก ๓–๔ คน ในเรือลำนั้น ได้รับการดูแลและความสะดวกจากเขาโดยทั่วถึง

ราวเที่ยงวัน ขณะที่นั่งกินอาหารซึ่งลูกเรือยกมาเลี้ยงอยู่ด้วยกันหล่อนบอกว่า

“เห็นนายท้ายเขาว่า ถ้าเดินเรือสะดวกอย่างนี้บางทีไม่ทันค่ำก็คงถึงขาณุ”

ในอัตราความเร็วเช่นนั้น ไม่ทันค่ำของเย็นวันรุ่งขึ้น เขาก็คงจะถึงกำแพงเพชรและบ้าน แต่เวลาดูจะหาความหมายสำคัญอะไรสำหรับรื่นไม่ได้ ความร้อนใจในข่าวเจ็บไข้ได้ป่วยของลูกหัวปีอาจจะมีอยู่ แต่ความกังวลถึงภาวะที่จากมา ก็มีอยู่มากกว่า ช้าหรือเร็วของเวลามีความหมายอะไร ในเมื่อไม้ทั้ง ๓ แพนั้น จะเป็นปัญหาที่หนักอกเขาอยู่ตลอดไป ไม่ว่าจะยังอยู่ที่ปากน้ำโพหรือถึงกำแพงแล้ว ด้วยความประหลาดใจของตนเอง รื่นรู้สึกด้วยความสะท้านใจ แต่ก็ไม่สามารถจะหนีพ้นความจริงได้ว่า น้ำหนักของปัญหาไม้ ๓ แพนั้น เหนือกว่าอาการเจ็บไข้ของลูกเขา เพราะมันหมายถึงอนาคตของเขา ของสุดใจ ของลูก และทุกคนซึ่งวิถีชีวิตของเขาสัมพันธ์อยู่ ไม่ทางหนึ่งก็ทางใด

อย่างไรก็ดี, ความคาดหมายของนายท้ายเรือและผู้จัดการใหญ่ที่ว่าจะไปถึงขาณุ ซึ่งเป็นกึ่งทางระหว่างปากน้ำโพกับกำแพงเพชรก่อนค่ำวันนั้นเป็นอันล้มเหลว เมื่อเรือซึ่งเดินสะดวกเรียบร้อยมาตลอดครึ่งวันแรก เริ่มทำพิษเพราะเครื่องขลุกขลัก ประเดี๋ยวเร็ว ประเดี๋ยวช้า ประเดี๋ยวต้องหยุดแก้ ออกแล่นไปไม่ได้กี่คุ้ง ก็ต้องลอยลำอีกจนกระทั่งเพลาเย็น และตะวันรอนใกล้เพลาเข้าไต้เข้าไฟ เรือลำนั้นก็ยังคงแล่นตะกุกตะกัก อยู่ระหว่างบ้านไร่ กับบางแก้วเท่านั้น ขณะเดียวกันหมอกก็เริ่มลงปกคลุมพื้นน้ำ ชั้นแรกบาง ๆ ก่อน ครั้นแล้วเมื่อเวลาล่วงไปก็ยิ่งหนาขึ้นทุกที

“น่าเจ็บใจ อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะถึงอยู่แล้ว” ผู้จัดการใหญ่บนด้วยความหัวเสีย เขาเดินกลับไปกลับมาอยู่ระหว่างอินยิเนียร์ ซึ่งหน้าดำคร่ำเครียดอยู่กับการแก้เครื่อง และนายท้ายเรือผู้ไม่สามารถจะช่วยเหลืออะไรได้ “ปรับเครื่องมาหรือไม่รู้ว่ากี่วันต่อกี่วัน ครั้นเอาจริงเอาจังเข้า กลับเหลวบรมไม่เป็นรส ลงเล่นยักกระบวนอยู่ยังงี้ละก้อ อีกกี่ทุ่มกี่ยามถึงจะถึงขาณุ”

รื่นเงยหน้าขึ้นมองดูท้องฟ้าที่สงบและหมอกซึ่งเริ่มแผ่กระจายขึ้นจากพื้นน้ำ แล้วก็ยื่นมือออกไปสัมผัสกับอากาศนอกเรือ ในที่สุดก็โคลงศีรษะ

“อะไรกันรึ รื่น ?” ละเมียดซึ่งมองดูกิริยาของเขาอยู่ด้วยความสนใจเอ่ยขึ้น

“น่ากลัวจะเกิดพายุ” เขาบอก

“ทำไมถึงรู้” ผู้จัดการหันมาตั้งกระทู้ด้วยเสียงขุ่น ๆ

“บอกไม่ได้ครับ.........มันอดคิด”

“งั้นก็อย่าคิด” ผู้จัดการใหญ่เดินต่อไปที่นายท้ายอย่างหงุดหงิดบ่นพึมพำตลอดทาง “พายุหน้าหนาว !”

“อย่าไปถือเขาเลยรื่น กำลังพื้นเสีย เพราะเป็นห่วงแทนพวกเราทุกคน” ละเมียดบอกเอาใจ

เขาได้ฟังก็หัวเราะ “ครับ, ผมรู้ แต่ก็แน่ใจเหลือเกินว่าเกิดพายุแน่ ท้องฟ้าโปร่งแต่ลมอับเหลือเกินแล้วก็อบอ้าว ทั้ง ๆ ที่เป็นหน้าหนาว ทุกคราวที่ผมล่องแพ วันไหนเป็นอย่างนี้ วันนั้นเป็นหนีพายุไม่พ้น”

เมื่อเลยบ้านไร่ ความมืดของเพลาเข้าไต้เข้าไฟและหมอกที่ลงจัดทุกที เป็นเหตุให้เรือต้องแล่นเลียบฝั่งอาศัยเกาะแนวตลิ่งแจ แม้กระนั้น ก็ไม่วายที่จะถูกกระแสน้ำพัดออกไปจากวิถี ทุกคราวที่เลี้ยวกุ้ง แสงไฟฉายที่พุ่งจากหัวเรือไม่สามารถจะผ่านทะลุกลุ่มหมอกข้างหน้าไปไกลกว่าสองสามวา ได้ ในขณะเดียวกัน อากาศที่อบอ้าวอยู่เมื่อสักครู่ก็เริ่มเปลี่ยนไปเป็นเย็น และเย็นขึ้นทุกที อีกไม่กี่อึดใจต่อมาลมก็เริ่มพัด

“ถ้าผมเป็นนายท้ายเรือหรือผู้จัดการใหญ่ ผมจะแวะจอดนอนที่นี่เสียสักคืนดีกว่า” รื่นเอ่ยขึ้นอีก

“แต่นี่เป็นการแล่นทดลอง กำหนดเวลาเดินเรือของบริษัทต่อไปนี่รื่น” ละเมียดบอก “นายปรีชาเขาบอกฉันอย่างนั้น มันจะเป็นการชี้ขาดว่าบริษัทจะตั้งที่พักค้างคืนไปกำแพงไว้ที่ขาณุหรือบางแก้ว”

“เท่าที่เขาแล่นทดลองมาตลอดวัน ก็พอจะกำหนดได้แล้ว” เขาว่า “ขืนฝ่าความมืดกับพายุไปอย่างนี้........” เขาหยุดทันที เมื่อเห็นผู้จัดการใหญ่ เดินกลับมาที่ห้องเครื่องอีก พร้อมด้วยเสียงสบถพึมอยู่ในคอ และเมื่อสบถเขาอาจรุนแรงได้ พอ ๆ กับที่เคยสุภาพ

“รื่น........เอ้อ........ฉันคิดว่าพายุคงมาแน่ นายปรีชา” ละเมียดบอกเขา

ชายหนุ่มหยุดยืนอยู่กับที่ มือหนึ่งเกาะราวลูกกรงบนดาดฟ้า อีกมือหนึ่งเกาคาง

“ครับ, ถูกของนายคนนั้น น่ากลัวจะเกิดพายุ” เขาสารภาพโดยชื่นตา “แต่ถึงอย่างไรก็ต้องไปให้ถึงขาณุ จะดึกดื่นค่ำคืนอย่างไรก็ต้องไปให้ถึง........เป็นคำสั่งนายห้าง”

หล่อนรู้ดีว่าในฐานะผู้อาศัยและผู้โดยสาร หล่อนไม่มีทางจะทัดทาน หรือตัดสินใจแทนเขาได้เลย เพราะฉะนั้น หนทางที่ดีจึงได้แต่นิ่ง ขณะที่เรือแล่นตะกุกตะกักต่อไป และลมเริ่มพัดแรงขึ้นไปเป็นลำดับ เสียงไม้ไล่หักโผงผางดังมาจากป่าบนฝั่งได้ยินชัด หลายครั้งเรือลำนั้นเอียงกะเท่เร่ไป เมื่อกระทบสายน้ำพุ่งปะทะหัวและลมกระแทกส่ง หลายครั้งถูกโยนขึ้นลงเพราะกำลังคลื่น แต่ความสามารถของนายท้ายผู้ชำนาญในการเดินเรือมาแล้วจากล่าง ก็คงฝืนลำไว้ได้ทุกคราว

“ใจดี ๆ ไว้ไม่เป็นไร....ใจดีๆ ไว้” เสียงผู้จัดการใหญ่ร้องบอกมาจากหัวเรือ “จวนเข้าท้ายบางแก้วแล้ว บางทีเราจะจอดพักที่นั่นชั่วคราว จนกว่าพายุจะหาย”

ผู้โดยสารทุกคนถอนใจยาวด้วยโล่งอกได้อีกครั้งหนึ่ง เมื่อปรากฏว่าเครื่องเริ่มเดินสะดวก และเรือแล่นได้เร็วขึ้น หมอกในท้องน้ำก็อันตรธานไปด้วยแรงพายุ แต่ในขณะเดียวกันทั้งคลื่นและลมต่างก็โหมหนักมือขึ้นทุกที

“เคราะห์ดีที่ไม่มีฝน” รื่นพึมพำตาเพ่งมองออกไปยังท้องน้ำที่เป็นบ้าอยู่ภายนอก “เหลืออีกคุ้งเดียวเท่านั้นก็จะเข้าบางแก้ว”

“งั้นก็คงจะไม่เป็นไร” ละเมียดว่า

“ครับ, คงจะไม่เป็นไร” เขาตอบ

แต่ท่ามกลางความราบรื่น ของระยะทางช่วงสุดท้าย ทั้ง ๆ ที่แลเห็นแสงไฟจากหมู่บ้านบางแก้ววอมแวมอยู่ข้างหน้านั้นเอง เหตุการณ์ซึ่งไม่น่าจะเกิดก็เกิดขึ้น ไม่มีใครบอกได้แม้จะเป็นเวลาหลายปีและหลายสิบปีต่อมาภายหลัง ว่าเกิดจากความชะล่าใจของนายท้ายผู้หลับตามองเห็นธงแดงของร้านเหล้าและการพักผ่อนหย่อนใจรอคอยอยู่ข้างหน้า หรืออุบัติเหตุอันเกิดจากเครื่องยนต์หรือความตื่นตระหนกตกใจของคนโดยสารทั้งปวง แต่ครั้งหนึ่งเมื่อมันก็เกิดขึ้นอย่างกระทันหัน แทบไม่มีเวลาที่ใครจะทันรู้สึกตัว ชั้นแรกก็เพียงแต่กระแสน้ำอันเชี่ยวกราก ที่หัวคุ้งสุดท้ายใต้บางแก้ว พุ่งเข้าใส่กลางลำเรือเมล์ ซึ่งเหหัวเรือออกกลางแม่น้ำ แทนที่จะแล่นเกาะฝั่งเข้าไว้อย่างที่ปฏิบัติตลอดมา น้ำไหลซู่เข้ากราบซ้ายซึ่งเอียงกะเท่เร่ กำลังที่นายท้ายเรือผู้เสียหลักพยายามฝืนเรือจะให้ตรง ผู้โดยสารที่ขวัญอ่อน และเปียกปอนไปตาม ๆ กันก็เฮมาที่กราบขวา ถูกคลื่นอีกก้อนหนึ่งกระแทกโครมเข้ามา ก็เฮกลับมากราบซ้าย เสียงร้องกรีด เซ็งแซ่ฟังไม่ได้ศัพท์ ก้องไปในกลางเสียงคลื่นเสียงลม และเสียงร้องห้ามของผู้จัดการ

“อยู่นิ่งๆ ใจดี ๆ ไว้....นิ่งๆ!” เขาร้องจนเสียงหลง แต่ก็สายเสียแล้วเพราะน้ำที่ท่วมอยู่เกือบครึ่งลำ ทำให้เป็นการสุดวิสัยที่ผู้โดยสารคนใดจะมองเห็นสวัสดิภาพของตนบนเรือลำนั้นได้อีกต่อไป หลายคนตะเกียกตะกายกลับมาทางกราบตรงกันข้าม และเกือบทุกคนก็ติดตามไปเป็นครั้งสุดท้าย ทันใดนั้นเองเรือทั้งลำก็จมวูบลงท่ามกลางเสียงกระแสคลื่น และความมืดอันดำเหมือนสีหมึก !

– ๗ –

ละเมียดไม่รู้เลยว่า หล่อนหลุดออกมาจากเรือลำนั้นได้อย่างไร ตลอดเวลาเพียงอึดใจเดียวที่เหตุร้ายเกิดขึ้น หล่อนไม่รู้ตัวว่าได้ทำอะไรลงไปบ้าง จนกระทั่งวินาทีสุดท้ายมาถึง และถูกความดูดของเรือที่จมลง ดึงดิ่งลงไปใต้พื้นน้ำ หล่อนพยายามตะเกียกตะกายดิ้นรนหลุดออกมาจากวังวนของมัน ซึ่งแวดล้อมอยู่โดยรอบ เหมือนปลอกเหล็ก หรือหนวดปลาหมึกยักษ์

“ฉันกำลังจะตาย” หล่อนคิดท่ามกลางการสำลักน้ำ สองมือขวักไขว่เพื่อหาสิ่งใดสำหรับเกาะทั้ง ๆ ที่รู้ว่าจะไม่มีอยู่ที่นั่น

มันไม่มีอะไรทั้งนั้น นอกจากคลื่นที่เย็นเฉียบ ลมที่พัดแรง และความมืดเหมือนอยู่ในถ้ำ หล่อนมองไม่เห็นอีกต่อไป ว่าเรือลำนั้นจมลงที่ตรงไหน เบื้องบนขึ้นไปดาวหลายร้อยดวงส่องระยิบระยับ

“ฉันคงจะได้เห็นมันเป็นครั้งสุดท้าย” หล่อนคิดอีกครั้นแล้วหัวใจก็วาบหวามไปเมื่อนึกขึ้นได้ว่า ใต้ท้องน้ำต่างถิ่นนี้ จะเป็นหลุมฝังศพและที่พักแหล่งสุดท้ายในชีวิตหล่อนห่างไกลจากญาติสนิทและมิตรที่รักทั้งปวง

“คุณละเมียด !” เสียงหนึ่งดังขึ้นเหนือคลื่นที่เย็นเฉียบ เหนือเสียงลมที่พัดแรง และความมืดอันทะมึน แขนทั้งสองของหล่อนยังขวักไขว่พยุงตัวและศีรษะไว้เหนือพื้นน้ำ เพื่อหายใจและฟัง ครั้งแรกคิดว่ามาจากข้างหน้า ต่อมาคิดว่าข้างหลัง มิฉะนั้นก็จากกลุ่มดาวเบื้องบน

“ฉันอยู่ที่นี่” หล่อนพยายามตะโกนตอบ แต่อย่างมากที่เสียงนั้นจะเปล่งออกไปได้ ก็เหมือนบุคคลผู้จวนจะสิ้นใจไปเพราะความเหนื่อยอ่อนและอิดโรย

นัยน์ตาของหล่อนพร่า แขนและขาที่กระทุ่มน้ำเหมือนจะหมดความรู้สึก หล่อนนึกถึงคุณพ่อ ต่อมาก็คุณแม่ และในที่สุดก็เขา ก่อนที่คลื่นก้อนใหญ่จะกลิ้งเข้ามาท่วมทับหล่อนดิ่งลงไปข้างล่าง ท่ามกลางเสียงอื้อของพายุ ความกระแทกกระทั้นของกระแสน้ำ และกังวานแหลมของเสียงนั้น เมื่อเรียกนามของหล่อน

รู้สึกเหมือนสิ่งหนึ่ง ดึงผมของหล่อนไว้ ต่อไปแขนที่แข็งแรงก็สอดเข้าใต้แขนอันหมดกำลังทั้งสองข้างของหล่อน เมื่อลืมตาอีกครั้ง กลุ่มดาวเหล่านั้นยังส่องแสงอยู่ในท้องฟ้า และสิ่งที่หล่อนหายใจเข้าไป เป็นอากาศที่เย็นยะเยือก มิใช่น้ำอีกต่อไป

“อยู่เฉย ๆ ไม่ต้องดิ้น ไม่ต้องทำอะไร” เสียงนั้นกรอกหูหล่อนและอย่างเหนื่อยอ่อน หมดเรี่ยวแรงแม้แต่จะอยากหายใจ หล่อนก็นอนหงาย หลับตา และปฏิบัติตาม

“นี่ฉันไม่ตายจริง ๆ หรือว่าเพียงแต่ฝันไป, รื่น” หล่อนพึมพำอีกอึดใจใหญ่ ๆ ต่อมา ขณะที่รู้สึกพาตัวตีกรรเชียงฝ่าไปในกลางกระแสคลื่นและลม

“คุณละเมียดยังไม่ตาย คุณละเมียดจะต้องไม่ตาย ตราบใดที่ผมยังมีชีวิตอยู่” เสียงนั้นตอบ

หล่อนหลับตา ปล่อยให้เขาพาร่างอันหมดเรี่ยวแรงของหล่อนแหวกว่ายต่อไปใหม่ ภายในอุ้งมือและอ้อมแขนของเขา วาจาเหล่านั้นมีความหมายยิ่งขึ้น เพิ่มน้ำหนักยิ่งขึ้น ละเมียดหมดความหวาดหวั่นพรั่นพรึงต่อความสยดสยองของคืนนั้นอีกต่อไป หล่อนหมดความกลัวแม้กระทั่งต่อความตาย ตราบใดที่อ้อมแขนข้างนั้นยังโอบอยู่รอบกายหล่อน

อีกครึ่งชั่วโมงต่อมา ละเมียดรู้สึกว่าเขาหยุดว่ายแขนขวากลับมาประคองหล่อนช่วยแขนซ้าย แล้วร่างอันเปียกโชกของหล่อนก็ถูกอุ้มขึ้นพ้นจากผิวน้ำ

“ถึงไหนจ๊ะรื่น ?” หล่อนลืมตาขึ้นช้า ๆ เหลียวดูรอบกาย แลไม่เห็นอะไรเลยนอกจากความมืด และมืดทั่วไป “ถึงไหน ?”

“ถ้าผมจำไม่ผิด ก็คงจะเป็นเกาะหน้าบ้านไร่” เขาบอก “แต่ถึงจะเป็นที่ไหน เราก็รอดตายแล้ว”

หล่อนรู้สึกว่าสูงพ้นน้ำยิ่งขึ้น เมื่อเขาผ่านจากชานเกาะที่ตื้นขึ้นไปถึงตลิ่ง ใบอ้อหรือพงที่คมและคายปัดป่ายใบหน้าและแขนขาที่เปลือยเปล่าของหล่อน ขณะที่เขาบุกลึกเข้าไปในไม่ช้าป่านั้นก็บางเข้า จนกระทั่งออกที่โล่ง เหมือนเป็นไร่ซากเก่า ๆ เงาของต้นไม้ใหญ่สองสามต้นดำทะมึนอยู่ข้างหน้า ขณะนั้นเองที่รื่นมองไปเห็นไฟกองนั้น

มันปราศจากทั้งเปลว และปราศจากทั้งควัน เพียงแต่ถ่านสองสามก้อนยังลุกแดงอยู่ ระหว่างไม้ขอนที่ถูกพรากออกจากกันที่โคนต้นไม้ต้นหนึ่งข้างซ้ายมือ

“คงจะเป็นบ้านคน” ละเมียดพึมพำ มิได้พยายามหรือแสดงกิริยากระดากกระเดื่องแต่อย่างใดที่จะให้เขาวางหล่อนลง “ไม่งั้นคงไม่มีไฟ”

รื่นสั่นศีรษะอย่างไม่แน่ใจ

“ผมผ่านไปผ่านมาทุกปี ไม่เคยปรากฏว่ามีบ้านคน ถึงเมื่อต้นน้ำนี้ก็เหมือนกัน” เขาบอก “คงจะเป็นชาวบ้านมาลงเบ็ดราว เมื่อตอนเย็นก่อไฟผิงทิ้งไว้แล้วก็กลับไป”

เมื่อถึงกองไฟเห็นก้นยาเส้นมวนใบตอง และกระป๋องใส่ลูกปลาสำหรับเป็นเหยื่อกลิ้งอยู่เรี่ยราด รื่นก็ยิ่งแน่ใจว่าความคาดหมายของเขาเป็นความจริง เขายืนนิ่งอยู่กับที่ แลกวาดดูรอบบริเวณอันว่างเปล่าเหมือนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป จนกระทั่งได้ยินเสียงหล่อน

“วางฉันเสียทีเห็นจะได้ละกระมังรื่น ? ยืนอยู่อย่างนี้ ไหนรื่นจะเมื่อย ไหนฉันยังจะหนาว”

เขาวางหล่อนลงช้า ๆ ชั่วขณะหนึ่ง ละเมียดรู้สึกเหมือนจะล้มเพราะขาชาไปหมดทั้งคู่ ครั้นแล้วก็ค่อย ๆ หย่อนตัวลงบนขอนไม้และถอนใจยาว

“คุณละเมียดคงจะหนาวเหลือเกิน” รื่นก้มลงหยิบกิ่งไม้แห้งทิ้งลงไปบนถ่าน พลางคุกเข่าลงเป่าไฟจนลุกโพลงขึ้น

“ถึงจะหนาวอยู่บนเกาะก็ยังจะดีกว่าลงไปหนาวอยู่ใต้พื้นน้ำ” หล่อนหัวเราะขากรรไกรกระทบกัน เพราะลมที่ยังพัดโหมอยู่ไม่ขาดสาย

รื่นถอดเสื้อออกบิด แล้วก็กางออกองไฟ “ประเดี๋ยวคุณละเมียดก็ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า ใส่เปียก ๆ อยู่อย่างนั้น เดี๋ยวเปลี่ยวดำจับตาย” เขาบอก

ใบหน้าที่ซีดของหล่อนแดงเรื่อขึ้นในกลางแสงไฟ

“เปลี่ยนยังไง ?” หล่อนพยายามหัวเราะ “ใส่เสื้อตัวนั้นของรื่นน่ะรึ ? เทวดาท่านจะได้หัวเราะตาย”

“ให้เทวดาท่านหัวเราะ ดีกว่าคุณละเมียดเปลี่ยวดำจับตาย” เขายืนยัน ก้มหน้าง่วนอยู่กับการอังเสื้อตัวนั้นกับแสงไฟ ในที่สุดก็ลุกขึ้นยืนส่งเสื้อที่เพียงแต่แห้งหมาด ๆ ให้หล่อน

“เปลี่ยนเสียชั่วคราวก่อน จนกว่าคุณละเมียดจะตากเสื้อผ้าแห้ง” เขาบอก “ผมจะออกไปหาฟืนทางโน้น เสร็จเมื่อไรร้องเรียกผมก็แล้วกัน”

หล่อนรับเสื้ออันใหญ่โตโคร่งคร่างตัวนั้นไว้ ยังไม่ทันที่จะทักท้วงหรือตกลงใจอย่างไร ร่างอันสูงของเขาก็หันหลัง เดินดุ่ม ๆ หายไปในความมืดของบริเวณป่าโดยรอบ

ชั่วชีวิตหล่อนไม่เคยคิดเลยว่าจะมาตกอยู่ในภาวะและสิ่งแวดล้อมเช่นนี้ มันเป็นครั้งแรกที่จะได้เคยมีผู้ชายคนหนึ่งพูดอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมาอย่างรื่น ความรู้สึกนั้นทำให้ละเมียดหน้าแดงเรื่ออยู่ตลอดเวลา ขณะที่ย่างเสื้อผ้าของหล่อนอยู่แต่ลำพัง จนกระทั่งแห้งสนิทและนุ่งห่มเสียใหม่

ความแรงของลม ที่พัดกระหน่ำค่อยคลายลงไปเป็นลำดับ เมื่อเวลาล่วงนานไป แต่ในขณะเดียวกัน หมอกซึ่งอันตรธานไปชั่วคราวก็เริ่มลงอีก อากาศเย็นจัดขึ้น เสียงฟืนที่ปะทุอยู่ในกองไฟ และเสียงปลาลิ้นหมา ซึ่งอยู่ตามชายเกาะ ทำให้บริเวณวังเวงอย่างน่าสะท้านสะเทือนใจ หล่อนร้องเรียกเขาเบา ๆ ตามที่บอกไว้เมื่อครู่ใหญ่ ๆ ผ่านไป และรื่นก็ไม่ปรากฏหรือขานตอบ อารมณ์หญิงก็เริ่มอ่อนไหว ต่างว่ารื่นเป็นอะไรไป ? ต่างว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นแก่เขา และหล่อนถูกทอดทิ้งอยู่บนเกาะนี้แต่ลำพัง ท่ามกลางความเงียบ ท่ามกลางน้ำล้อมรอบ วันแล้ววันเล่า คืนแล้วคืนเล่าโดยไม่มีใครจะมาพบเห็น ?

เสียงแกรกกรากของนาก ซึ่งขึ้นมาจากชายน้ำหรือสัตว์เลื้อยคลานอย่างหนึ่งอย่างใด ปรากฏออกมาจากใต้พุ่มไม้ที่มืดข้างหน้า ละเมียดผวาลุกขึ้นยืน ตัวสั่นด้วยความตระหนกตกใจถึงขนาด ร้องเสียสุดเสียงว่า

“รื่น – – ช่วยฉันด้วย !”

– ๘ –

เกือบไม่ทันที่เสียงของหล่อนจะสิ้นสุดลงเขาก็ปราดถึง ละเมียดรู้สึกว่าแขนอันกำยำล่ำสันข้างหนึ่งโอบไหล่หล่อนไว้ ก่อนที่จะเซถลาไปข้างหลังหรือเสียหลักล้มลง เสียงห้าว ๆ เยือกเย็นและปลอบโยน เอ่ยขึ้นข้าง ๆ หูว่า

“อะไรกัน, คุณละเมียด ? เป็นอะไรไป ?”

“ฉัน – – ฉัน” หล่อนซุกศีรษะลงกับไหล่อันกว้างและเปลือยเปล่าของเขา เนื้อตัวยังสั่นเทาไปด้วยลมที่ยังพัดยะเยือก และความหวาดหวั่นที่ยังไม่หายไปไหน “ฉันคิดว่าฉันเห็นเสือ !”

เสียงของเขาก้องไปในอากาศอันว่างเปล่า

“เสือ ! บนเกาะนี้ ? เหลวไหล, แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยได้ยินว่าบนเกาะนี้มีเสือ มันจะอยู่ได้อย่างไร ไม่มีอะไรจะเป็นอาหารสักอย่าง นอกจากหญ้า เสือไม่เคยกินหญ้า”

“งั้น – – งั้นอะไรกันล่ะ รื่น ?” หล่อนถอนใจยาวยังซบศีรษะอยู่กับไหล่ของเขาเหมือนเป็นแหล่งหลบภัยแห่งเดียวที่จะแสวงหาได้ในขณะนั้น

“ยังไงก็ไม่ทราบครับ บางทีจะเป็นนากกินปลา บางทีจะเป็นตะกวด บางทีจะเป็นเต่า แต่ก็อาจจะเป็นผมเที่ยวควานหาเบ็ดราวตามชายเกาะว่าจะมีปลาติดอยู่บ้างหรือไม่”

“รื่นกำลังหัวเราะเยาะฉัน”

“เปล่าเลยครับ มันเป็นความจริง ผมได้ปลากดตัวโต” เขายกปลาตัวนั้นขึ้นชูกลางแสงไฟให้หล่อนดู นิ่งอยู่สักครูก็โยนลงไปดิ้นไปดิ้นมาอยู่บนพื้นดิน “อาหารเช้าของเรา – – –” เขาบอก “หลุดไปเสียตัว เมื่อผมได้ยินเสียงคุณร้อง” แล้วก็ยกมือข้างนั้นขึ้นเช็ดขากางเกงพลางหัวเราะร่วน

ละเมียดรู้ ว่าเขากำลังหัวเราะในความอ่อนแอของหล่อน และความอ่อนแอเป็นอย่างหนึ่งซึ่งหล่อนไม่ต้องการแสดงให้ใครเห็น ถึงกระนั้นแทนที่จะโกรธเขา หล่อนกลับพลอยหัวเราะไปด้วย

“รื่นคงเห็นฉันเป็นคนขี้ขลาดหรือโฉดเขลาสิ้นดี” หล่อนว่า เงยหน้าขึ้นมองดูฟันขาว ๆ และเคราเขียว ๆ ของเขาจากดวงหน้าซึ่งก้มอยู่เหนือหล่อน “ขี้ขลาดเหมือนเด็ก ๆ ที่กลัวความมืด

“คุณละเมียดไม่ใช่เด็ก แล้วก็ไม่ใช่คนขี้ขลาด” เขาบอก “คุณละเมียดเป็นคนที่กล้า แล้วก็ฉลาดยิ่งกว่าผู้หญิงคนไหน ที่ผมเคยรู้จักมาแล้ว”

“รื่นกำลังจะพูดเอาใจฉันเท่านั้นเอง”

“ผมกำลังพูดความจริง”

หล่อนนิ่ง ไม่ได้ตอบประการใดอีกต่อไป สายตาสอดส่ายเหมือนจะหาความหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง จากสายตาที่เป็นประกายของเขา และทั้ง ๆ ที่แลสบตากันอยู่เช่นนั้น หล่อนก็รู้ว่าแขนอันกำยำที่โอบไหล่ของหล่อนอยู่ รัดแน่นเข้า และนัยน์ตาอันคมวาวก้มลงมาหา หล่อนมิได้เปลี่ยนอิริยาบถที่จะแสดงว่าพยายามดิ้นรนผละห่างเขาออกไป หรือหลับตา จนกระทั่งหน้านั้นก้มลงซบนิ่งอยู่กับศีรษะหล่อน ลมหายใจอันร้อนผ่าวของเขาต้องแก้มและใบหูในการจูบอย่างเกรงใจ และจนกระทั่งเขาเงยหน้าขึ้นยิ้ม ตัวตรงอย่างขลาด ๆ และหวาดเกรงแล้ว ละเมียดก็ยังคงยืนแข็งทื่ออยู่ในอากัปกิริยาเดิม

“เป็นอย่างไร” ริมฝีปากอันกว้างของหล่อนเผยอจากกันนิด ๆ และเสียงที่ถามสงบเป็นปกติ เพียงแต่อาการหายใจเท่านั้น ที่จะแสดงถึงความรู้สึกใด ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป

แขนของรื่นคลายจากไหล่หล่อนทันที สีหน้าที่เคร่งเครียดเปลี่ยนเป็นอัศจรรย์ และหลากใจขณะที่ผงะไปข้างหลัง

“เป็นยังไง ?” เขาทวนคำ “ผมคิดว่าคุณละเมียดจะทุบตี หรือตบหน้าผม มิฉะนั้นก็จูบตอบ แต่....แต่....เป็นยังไง? ผม...ผม”

นัยน์ตาของหล่อน แห้งแล้งและปราศจากความรู้สึกใดๆ จับอยู่ที่ใบหน้าของเขา

“มันเป็นสิ่งที่เรา – – รื่นและฉัน – – ควรจะรู้ตัวล่วงหน้าดีอยู่ด้วยกันแล้ว ไม่ใช่หรือรื่น ว่าจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างไรเสียมันก็คงจะเกิดขึ้น ต่างแต่จะช้าหรือเร็ว ไม่วันนี้ก็วันหน้า ไม่ที่นี้ก็ที่อื่น เว้นไว้แต่รื่นกะฉันจะไม่มีเวลาพบกัน”

เขาก้าวกลับไปหาหล่อนอีก มืออันใหญ่ทั้งคู่จับต้นแขนหล่อนไว้ ละเมียดได้กลิ่นคาวปลาที่เขายังเช็ดไม่หมดจากมือข้างนั้น คิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน งงงันต่อความหมายในวาจาของหล่อน นอกจากประโยคท้ายประโยคเดียว

“ผมไม่เคยรู้อะไรทั้งนั้น” เสียงที่ห้าวอยู่แล้วถึงกับแหบ จนฟังเกือบไม่รู้เรื่อง “นอกจากว่าตั้งแต่พบคุณละเมียดที่ลานดอกไม้ ได้เห็นหน้าได้ยินเสียงพูด ผมไม่มีวันจะลืมคุณละเมียดได้ ผมไม่กล้าถึงจะไปหวังอะไรจากคุณละเมียด รู้ดีว่าอยู่คนละโลก เกิดมาคนละชั้น ถึงงั้นผมก็อดใจไม่ได้ ได้อยู่ใกล้ชิดเข้าอย่างนี้ก็ลืมตัวไป ผม....ผมอยากให้คุณละเมียดตบหน้า หรือด่าทอผม ยังดีเสียกว่าที่จะถามว่า ‘เป็นยังไง ?’”

“เพราะอะไรรึรื่น?” นัยน์ตาของหล่อนที่มองเขา อาจจะเต็มไปด้วยการท้าทาย แต่น้ำเสียงที่พูดก็ปรกติ

“เพราะมันทำให้ผมรู้สึกเหมือนเป็นกิ้งกือหรือไส้เดือน ที่ไม่มีความหมายอะไรแก่คุณละเมียดเลย”

“ก็แล้วรื่นเป็นอะไร ?” คราวนี้ถึงจะอยู่ในบังคับหรือสะกดกลั้นไว้ไม่ได้ก็ตาม น้ำเสียงนั้นบอกอาการเยาะเต็มที่

มันเหมือนกับจะไปจี้จุดอ่อนของรื่น จนเขาไม่สามารถจะบังคับยับยั้งไว้ได้ ชั่วขณะหนึ่งหน้าของเขาซีด เหมือนจะไม่มีเลือดเหลืออยู่สักหยดเดียว ครั้นแล้วชั่วขณะต่อไป หน้านั้นก็กลับเรื่อขึ้นมาจนแดงก่ำอยู่กลางแสงไฟที่วอมแวม ความกระดากหลากใจและหวั่นเกรงมิได้เหลืออยู่อีกบนใบหน้านั้น ละเมียดได้ยินเสียงลมหายใจเขาขัดๆ เหมือนสำลักน้ำ ภายในพริบตาเดียวต่อมาก่อนที่หล่อนจะทันรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น เท้าทั้งสองก็หลุดจากพื้นดิน เมื่อถูกอุ้มขึ้นไปอยู่ในอ้อมแขน ซึ่งแข็งแรงเหมือนปลอกเหล็ก แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่น

“ผมเป็นอะไร ?” เสียงของเขาขุ่น ๆ แผ่วเบาห้าวและเครือ “คุณละเมียดคิดถูก ที่บอกผมเมื่อตะกว่าเห็นเสือ ผมนี่แหละ อ้ายสัตว์ตัวนั้น––”

เขาก้มลงจูบหล่อนอย่างดุดัน โดยไม่เลือกที่––จูบ จนกระทั่งอิริยาบถที่เฉื่อยเฉยของละเมียด เปลี่ยนเป็นแข็งกระด้างด้วยการดิ้นรน......จูบจนกระทั่งนัยน์ตาที่เบิกกว้างหรี่หลับ ริมฝีปากที่เผยอก็เม้มแน่น ในที่สุดนิ้วของมือทั้งสองของหล่อน ซึ่งจิกอยู่กับต้นแขนของเขาด้วยความพยามที่จะผลักให้พ้นออกมาก็หยุดนิ่ง

ทุกสิ่งทุกอย่างเลือนหายไปจากความทรงจำของหล่อนชั่วคราว ลมหนาวที่พัดยะเยือก ไม่มีความหมายอีกต่อไป เคราที่ระคายผิวเนื้ออันละเอียดอ่อนของหล่อนไม่มีความหมายอีกต่อไป หล่อนยังได้กลิ่นเหงื่อและคาวปลาจากมืออันใหญ่ของเขา พร้อมด้วยเสียงพึมพำอย่างไม่มีความหมาย ความกระด้างของพื้นดินและใบไม้ เปลวไฟ และดวงดาว ที่ดารดาษอยู่บนท้องฟ้า หาความหมายอะไรไม่ได้ทั้งนั้น ในโลกนี้ไม่มีอะไรจะสำคัญอีก นอกจากหล่อนกับเขา นั่นเป็นความรู้สึกแรก และความรู้สึกเดียวที่หล่อนจำได้ภายหลังที่ลืมตาขึ้นช้าๆ แลเห็นฟันขาว ๆ และเคราเขียว ๆ จากดวงหน้าที่ก้มอยู่เหนือหล่อน

“เป็นยังไง?”

เปล่า ไม่มีกังวานเยาะ หรือวี่แววอันใด ที่จะแสดงว่าเขาต้องการแก้แค้นตอบแทนหล่อน ไม่มีระแคะระคายอันใดทั้งสิ้น ที่จะส่อไปในทางนั้น นอกจากความรู้สึกอันท่วมท้นหัวใจ จนเจ้าตัวเองไม่สามารถจะกลั่นออกมาเป็นวาจาได้

ละเมียด ประสานมือทั้งสองของหล่อน เข้าใต้ศีรษะและผมอันสยายยุ่ง เปลวไฟในกองซึ่งกลับลุกโพลงขึ้นมาอีกด้วยการเป่าของเขา ส่องให้เห็นปลายจมูกน้อย ๆ ที่เป็นมัน แก้มซึ่งแดงเรื่อเป็นจุดๆ นัยน์ตาที่เชื่อมและริมฝีปากที่เผยอจากกันอย่างอ่อนโยน

“คนอะไร!” หล่อนพึมพำเบาๆ ปราศจากความยินดียินร้ายใดๆ ทั้งสิ้น “รื่นเป็นผู้ชายที่เห็นแก่ตัวที่สุดที่ฉันเคยรู้จักมา ถ้าเป็นเสือเข้าป่าไหน เนื้อก็จะหมดป่านั้น”

เขาเท้าศอกข้างๆ หล่อน ก้มลงจูบต้นแขนอันเปลือยเปล่า แล้วก็ยิงฟันขาว

“เปล่าเลย ผมเป็นเพียงผู้ชายที่บูชาผู้หญิงที่เขารัก อย่างมอบกายถวายชีวิตเท่านั้นเอง”

ละเมียดได้ฟังก็ถอนใจ

“รื่นพูดถึงความรัก ในขณะเดียวกัน ก็ปฏิบัติกับฉันเหมือนกะนางเชลย ชอบใจจะทำอย่างไรก็ตามใจ”

“ก็คุณละเมียดรึ เฉยยังกะอะไรดีจนผมไม่รู้ว่าจะทำยังไง ?”

“เพราะฉะนั้น รื่นจึงได้ทำอย่างที่ทำไปแล้ว ไม่ว่ามันจะเป็นการหักหาญ ปวดร้าวแสลงใจแก่ใครหรือไม่”

“ผม–––––ผมไม่ได้ตั้งใจจะให้เป็นการข่มเหงใจอย่างนั้น” ครั้งหนึ่งเมื่อสติสัมปชัญญะเหตุผลคืนที่ รื่นก็กลับตะกุกตะกักไปอีก “แต่เห็นคุณละเมียดนิ่งเหลือเกิน แล้วก็ไม่ด่าทอทุบตีผมแต่อย่างไร ได้แต่เงียบท่าเดียว”

“ผู้หญิงเล็ก ๆ อย่างฉัน จะไปขัดขืนทัดทานอะไรผู้ชายอย่างรื่นได้บนเกาะเปลี่ยวอย่างนี้”

ชั่วขณะหนึ่ง ต่างนิ่งเงียบไปทั้งสองคน จนกระทั่งฝ่ายชายต้องชะโงกหน้าเข้าไปใกล้ เพื่อจะดูว่าหล่อนยังตื่นอยู่หรือหลับแล้ว แต่ละเมียดยังลืมตาโพลง มองดูกิ่งไม้ที่ร่มครึ้ม และดวงดาวเบื้องบนขึ้นไป

“คุณละเมียด” เขาเรียกเบา ๆ

“ทำไมรึรื่น ?” หล่อนตอบนัยน์ตายังคงเพ่งจับอยู่กับกิ่งไม้ และท้องฟ้า

“คุณละเมียดคงโกรธผม เกลียดผมไปจนตาย”

เงียบกันไปอีกอึดใจเต็ม ๆ ฝ่ายชายกระสับกระส่ายยิ่งขึ้น เขาพยายามเขยิบเข้าไปอีกจนใกล้

“ใช่ไหมครับ คุณละเมียด ?”

“ใช่อะไรกันรื่น ?”

“คุณละเมียดจะโกรธจะเกลียดผมไปจนตาย”

“ความโกรธ ความเกลียด ของฉันสำคัญอะไรแก่รื่นด้วย ในเมื่อรื่นก็ได้สิ่งที่ต้องการจากฉันสมประสงค์แล้ว”

“ผม – – ผมไม่อยากได้อย่างนั้น” เสียงที่ห้าวของเขาสั่น มือข้างหนึ่งกำแน่นยกกำปั้นทุบดินอยู่เป็นระยะ ๆ “ผมอยากได้สิ่งที่คุณละเมียดสมัครใจยินดีจะให้ผมเอง ไม่ใช่ได้มาด้วยการหักโหมเอาด้วยกำลัง”

“ก็รื่นยังอยากได้อะไรจากฉันอีก ?”

“ความรักของคุณละเมียด”

นัยน์ตาอันเชื่อมคู่นั้น หันจากกิ่งไม้ และท้องฟ้าเบื้องบนไปหาเขา เพ่งอยู่ที่ดวงหน้าอันร้อนรนกระวนกระวายของชายร่างใหญ่ แล้วขนตาก็เริ่มกระพริบถี่

“รื่นเข้าใจว่าอย่างไร ในเมื่อพูดถึงความรัก”

“คุณ – – – คุณละเมียดอยากรู้นักหรือครับ ?” ความกระสับกระส่ายเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ

“จ้ะ, รื่น เพราะตามความเข้าใจของฉัน ผู้ชายอย่างรื่นและผู้หญิงของรื่น ควรจะคิดว่ามันเป็นอย่างเดียวกันกับความต้องการทางกาย”

เขาส่ายหน้าไปมาช้า ๆ อย่างตรึกตรอง เหมือนพยายามจะสรรหาคำพูดที่เหมาะเจาะให้สมใจ

“เปล่าครับคุณละเมียด ผู้ชายอย่างผม และผู้หญิงของผม อาจมีความรู้สึกได้อย่างคุณละเมียด” เสียงของเขาเศร้า ๆ และจริงจังจนหล่อนรู้สึกประหลาดใจ “ความอยากได้ของทางกายเป็น แต่ความรู้สึกชั่วแล่น แล้วแต่อารมณ์จะบังคับ แต่เมื่อพูดถึงความรัก ผมหมายถึงสิ่งที่จะยืดเยื้อจีรังไปชั่วกาลอวสาน ผม – – – ผมภาวนาอยากให้เทวดาท่านดลบันดาลให้คุณละเมียดเข้าใจคำพูดของผมเหลือเกิน ว่าเมื่อผมพูดว่ารักคุณละเมียด ผมหมายความว่าผมบูชาคุณละเมียดไว้เหนือสิ่งหนึ่งซึ่งชีวิตผมจะขาดมิได้ คุณละเมียดเป็นยิ่งเสียกว่าส่วนหนึ่งของร่างกายและหัวใจของผม ––– โธ่, ทำอย่างไรจะให้คุณละเมียดเข้าใจได้ดีกว่านี้”

กิริยาที่งกเงิ่นเหมือนเด็กโค่งซึ่งจนปัญญาต่อสูตรเลขยาก เรียกยิ้มขึ้นมาสู่ริมฝีปากอันกว้างของหล่อน นัยน์ตาที่เชื่อมเต็มไปด้วยประกายของความขบขัน หล่อนชักแขนข้างหนึ่งซึ่งหนุนศีรษะอยู่ออกมา เอื้อมมือขึ้นไปโอบท้ายทอยเขา โน้มลงไปหา พลางส่ายหน้า

“ฉันเข้าใจดี ว่ารื่นหมายถึงอะไร โดยไม่ต้องบนบานศาลกล่าวเทวดาท่าน” หล่อนบอก “ฉันรู้หรอกรื่นว่าผู้หญิงอื่น ๆ –– ผู้หญิงทุกคน –– ไม่ว่าจะอยู่ในป่าหรือกรุง พยายามจะแยกความรักกับความปรารถนาออกจากกัน แต่สำหรับฉัน” หล่อนเผยอศีรษะขึ้นนิดๆ ยกมืออีกข้างหนึ่งไปประสานไว้กับมือแรกแล้วก็จูบที่แก้มซึ่งเป็นมันและเย็นชืดของเขาเบา ๆ “สำหรับฉัน – – – มันเป็นอย่างเดียวกัน เพราะฉะนั้นสิ่งใดที่รื่นต้องการจากฉัน รื่นได้ไปหมดแล้วทั้งกายและใจ”

ลมหายใจ อันร้อนผ่าวของเขาต้องซอกคอ และทรวงอกของหล่อนขณะที่เขาอู้อี้ พยายามจะพูดอะไรออกมา

“อย่าพูด –– อย่าอธิบายอะไรอีกดีกว่า รื่น” ละเมียดกระซิบอีก คลายแขนทั้งสองออกจากลำคอของเขาแล้วก็เอนตัวลงนอน ประสานกับศีรษะอย่างเก่า “อย่านึกอะไร อย่านึกถึงใคร นอกจากรื่นและฉันเหมือนเวลานี้มีแต่เราสองคนเท่านั้นที่เหลืออยู่ในโลก”

เขามองดูทรวงอกอันอวบของหล่อน ซึ่งสะท้อนขึ้นลงอยู่ตรงหน้าของลูกนัยน์ตาที่แจ่มประดุจดวงดาวแล้วก็ลุกขึ้นนั่งกอดเข่า ตาจับอยู่กับไฟที่แตกปะทุอยู่ในกองและนิ่งอยู่นานในท่านั้น

“รื่น !” หล่อนเรียกเบาๆ

“ครับ, คุณละเมียด !” เขามิได้หันหน้ามาหาหล่อนเลย

“ผมคิดถึงกาลข้างหน้าของเรา คิดถึงสุดใจเขา แล้วก็คิดถึงนายเสถียร – –”

หล่อนชักแขนข้างหนึ่งออกจากใต้ศีรษะอีก เอื้อมไปจับข้อมือเขาไว้

“คิดทำไม ? ฉันบอกแล้วว่าอย่าคิดถึงใคร นอกจากเราสองคน”

“มันอดไม่ได้จริงๆ ครับ คุณละเมียด” เสียงของเขาสั่นเครือไปด้วยความรู้สึก “แต่ก่อนมาผมไม่เคยรู้ตัวเลย จนกระทั่งคืนนี้ และเดี๋ยวนี้ว่าคุณละเมียดสำคัญแก่ชีวิตของผมเพียงไร ต่อจากนี้เป็นต้นไป อย่างไร ๆ เสียผมก็ขาดคุณละเมียดไม่ได้ ห่างคุณละเมียดไม่ได้”

นัยน์ตาของหล่อนที่มองเขากระพริบถี่ขึ้น

“อย่าเอ่ยถึงเขา อย่าเอ่ยถึงสุดใจอีกรื่น” หล่อนพึมพำ “ขอให้คืนนี้เป็นคนของเราโดยเฉพาะ ขอให้เกาะนี้เป็นสวรรค์ของเราแต่ลำพัง นอนลงข้าง ๆ ฉันนี่แน่ะรื่นจะพูดให้ฟัง – –”

อย่างเด็กที่ว่าง่าย แทนที่จะเป็นชายร่างยักษ์ปักหลั่นปราศจากความหวั่นหวาดต่อภัยธรรมชาติ และมนุษย์เดินดินไม่ว่าหน้าไหน รื่นผวากลับไปหาหล่อนซบหน้าลงนิ่งอยู่กับทรวงอกอันอบอุ่นเป็นครู่ใหญ่ ๆ

“ฉันเคยคิดแต่ว่า รื่นเป็นผู้ชายที่ใจแข็ง เหี้ยมเกรียม จนบางครั้งเกือบจะเป็นทารุณ” ละเมียดพึมพำต่อไป “ไม่เคยคิดว่าจะใจอ่อนจนเกือบดูเป็นเด็ก ๆ อย่างนี้”

“ผมรู้สึกเหมือนเป็นเด็กไปทันทีทุกครั้งที่อยู่ใกล้หรือต่อหน้าคุณละเมียด” เขาบ่นอู้อี้ฟังเกือบไม่ได้ความ

“นอนลงดี ๆ เถอะรื่น” หล่อนปลอบ “แล้วก็ขอแขนให้ฉันหนุนสักข้าง”

เขาปฏิบัติตามหล่อนแต่โดยดี รู้สึกศีรษะของหล่อนเบาเหมือนขนนกอยู่บนแขนอันกำยำข้างนั้น ฟันซี่เล็ก ๆ และขาวสะอาดเป็นประกาย ในเมื่อหล่อนเผยอปากพูด

“อย่างนี้สบายขึ้นเป็นกอง” หล่อนหัวเราะ มือข้างหนึ่งยื่นไปลูบแก้มและคางที่ระคายไปด้วยเคราซึ่งแรกขึ้นของเขา “คืนของเรา สวรรค์ของเรา เมื่อความมืดหายไปแสงสว่างวันใหม่มาถึง เราก็พากันหันหลังให้กับสิ่งเหล่านี้ – –”

“แต่สำหรับผม มันจะอยู่ที่นี่” เขาบอกด้วยเสียงซึ่งค่อนข้างดุ พลางจับมือหล่อน ทาบไว้ที่ทรวงอกเบื้องซ้าย “ในหัวใจซึ่งไม่เคยลืมอะไรง่าย ๆ”

“ในหัวใจฉันก็เหมือนกัน” หล่อนบอก “มันจะเป็นรอยจารึกถึงความสุขครั้งเดียวที่ฉันได้รับในชีวิตตลอดไป––”

“ผมคงจะขาดใจตาย ถ้าไม่ได้พบคุณละเมียดอย่างคืนนี้อีก” รื่นวิงวอน

“เราจะต้องไม่พยายามพบกันอย่างคืนนี้อีกต่อไป เว้นไว้แต่จะช่วยไม่ได้”

“งั้น คุณละเมียดก็ไม่ได้รักผมมากพอ อย่างที่ผมรักคุณละเมียดเลย”

“ฉันรักรื่นมากเกินไป ถึงได้ขอร้องเช่นนี้” หล่อนกระซิบ “ที่อยู่ของรื่นคือระหว่างคนพวกนั้น ที่อยู่ของฉัน–แต่ช่างเถอะ ที่อยู่ของฉันจะที่ไหน ไม่สำคัญรู้ไว้อย่างเดียวก็แล้วกันว่าถึงจะอยู่ที่ไหน ฉันจะไม่ลืมคิดถึงรื่น รักรื่นอย่างผู้ชายคนเดียวที่ฉันเคยรักในชีวิต การกระทำของเราอาจจะผิด ไม่ยุติธรรมต่อคนพวกนั้น แต่ฉันบอกแล้วว่า รู้ตัวมาล่วงหน้าว่ามันเป็นสิ่งหลีกเลี่ยงไม่พ้น ฉันรู้ว่าฉันและรื่นเกิดมาเพื่อกันและกัน เพียงแต่ไม่สามารถจะให้เป็นไปได้อย่างคู่ผัวตัวเมียธรรมดาสามัญทั้งหลาย ขอให้เผชิญต่อไปเถอะรื่นกับอุปสรรคที่จะมีมาข้างหน้า ชีวิตของฉันเป็นเพียงสนามหญ้าธรรมดา แต่ชีวิตของรื่นเป็นทุ่งใหญ่–ทุ่งมหาราช ซึ่งใครต่อใครต้องพึ่งเพื่อดำรงชีวิตอยู่ด้วยกัน ถ้าฉันยอมตามใจฉัน และรื่นยอมให้ฉันตามใจรื่น ลักพากันหนีไป สำหรับฉันอาจจะกลายเป็นคนชั่วเพราะทรยศต่อผู้ชายคนเดียวที่ได้ชื่อว่าผัว แต่รื่น จะเป็นคนทรยศต่อคนพวกนั้น – – เป็นการทรยศ ซึ่งฉันจะไม่ให้อภัยรื่นหรือให้อภัยตัวเองเป็นอันขาด”

นัยน์ตาของเขาหรี่หลับตลอดเวลาที่หล่อนพูด มืออันใหญ่และหยาบกระด้างข้างที่กุมมือหล่อนอยู่ ก็หยุดนิ่งจนกระทั่งละเมียดต้องชำเลืองขึ้นดูหน้าเขา

“รื่นเข้าใจที่ฉันพูดไม่ใช่หรือ?”

“ครับ, ผมเข้าใจ” เขาบอก นัยน์ตาคู่นั้นกลับลืมขึ้นใหม่ พลิกศีรษะหันไป จนจมูกจดอยู่กับหน้าผากอันเกลี้ยงเกลาของหล่อน “เป็นการยากเหลือเกินที่ผมจะทำตามคุณละเมียดได้”

“แต่รื่นก็ทำมาแล้ว ตั้งแต่ต้น” หล่อนค้าน

“มันเป็นเวลาก่อนที่ผมจะพบคุณละเมียด ได้คุณละเมียดอย่างคืนนี้”

“งั้นการพบของเรา ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ความรักที่ฉันได้มอบให้แก่รื่นโดยสิ้นเชิงก็ไม่มีประโยชน์อะไร ถ้ามันมีแต่จะนำความผิดหวังปวดร้าว แสลงใจ มาให้คนอีกเป็นอันมาก”

มือของหล่อนเย็นชืดอยู่ในมือของเขา หน้าผากที่จมูกสัมผัสอยู่ก็เช่นเดียวกัน ศีรษะและไหล่บนท่อนแขนอันล่ำสันข้างนั้นก็เคร่งเครียดขึ้นมาทันที

เขาเผยอหน้าขึ้น พิจารณาดูนัยน์ตาอันเยือกเย็นของหล่อนที่จ้องเขม็ง ครั้นแล้วก็ผวากลับลงไปหาหล่อนใหม่

“ผม––ผมจะจำคำคุณละเมียดไว้” เขาซุกศีรษะกับซอกคอหล่อนพึมพำเกือบไม่เป็นศัพท์

“แล้วต้องทำตามที่ฉันพูดได้ด้วย”

“ครับ, ผมจะทำตามที่คุณละเมียดบอกด้วย”

ยิ้มอย่างเป็นสุขปรากฏขึ้นเหนือริมฝีปาก และนัยน์ตาของหญิงผู้แหงนหน้าขึ้นสู่เงาสลัวของกิ่งไม้และท้องฟ้าเบื้องบน แสงไฟจากกองข้างล่างสว่างวอบแวบอยู่หน่อยหนึ่งที่กิ่งไม้นั้น ก่อนที่มันจะปะทุเป็นครั้งสุดท้ายแล้วก็ดับวูบลง เหลือแต่เถ้าถ่านที่ลุกแดง และความมืดปกคลุมอยู่ทั่วบริเวณ

ท่ามกลางความมืดนั้น เสียงปลาฮุบโผงมาจากกอพงชายตลิ่ง กระแสน้ำที่เงียบไหลผ่านไปมาไม่ขาดสาย ไม่มีใครรู้ว่ากี่ชีวิตได้เสียไปในกระแสน้ำนั้นจนในกาลต่อมา ไม่มีใครเลยจะรู้ว่าเหตุการณ์อะไรบ้างเกิดขึ้นบนเกาะน้อยหน้าบ้านไร่ พายุที่กระหน่ำมาแต่เย็นตลอดหัวค่ำซาลงแล้ว แต่ลมหนาวยังคงพัดต่อไป ประกายไฟลุกขึ้นอีกแวบหนึ่ง ในกลางดึกสงัดแล้วก็มืดต่อไป

จากโคนต้นไม้ ซึ่งกิ่งก้านอันร่มครึ้มของมันพอกำบังน้ำค้างจากเบื้องบน และข้างกองไฟซึ่งให้ความอบอุ่นได้พอสมควร เสียงทุ้ม ๆ ของฝ่ายหญิงซึ่งหยุดนิ่งมานานพึมพำว่า

“กำลังคิดอะไร ? คิดถึงใคร ?”

และเสียงซึ่งง่วงงัวเงียของฝ่ายชายก็ตอบเหมือนคนที่อยู่ในละเมอยามเพ้อฝันว่า

คืนของเรา สวรรค์ของเรา !

– ๙ –

เรือหมูของชาวบ้านที่มาลงเบ็ดราวไว้ รับหล่อนและเขาจากเกาะข้ามไปฝั่งบ้านไร่ในเช้าวันรุ่งขึ้น และเรือเมล์ไปรษณีย์จากล่างรับโดยสารต่อไปยังกำแพงในอีก ๒ วันต่อมา

กว่า ๒๐ ชีวิตวางวายไปในการอับปางของเรือไฟลำนั้นพร้อมด้วยผู้จัดการใหญ่ นายท้ายและช่างเครื่องลูกเรือเพียง ๓ คนว่ายน้ำขึ้นฝั่งตะวันตกได้ หลายศพเกยอยู่ที่หัวเกาะ ซึ่งละเมียดและรื่นขึ้นพักแรมและหลายศพก็หายไป ไม่มีใครรู้ว่าจะขึ้นเมื่อไร และลอยไปติดอยู่ที่ไหนบ้าง

ทุก ๆ วันระหว่างที่หล่อนและเขาพักอยู่ด้วยกันบนบ้านไร่มีแต่ข่าวร้าย และทุก ๆ ข่าว มีแต่จะทำให้รื่นและละเมียดได้คิดยิ่งขึ้นว่า ชีวิตหล่อนและเขารอดมาได้อย่างปาฏิหาริย์ ความสำนึกนั้นเหมือนกันยิ่งเพิ่มความสัมพันธ์และความรู้สึกถึงกรรมสิทธิ์ในกันและกัน ทั้งกายและใจอย่างแยกไม่ออก

“ผมคิดว่า พอรู้ข่าวเรือแตกเข้า นายเสถียรก็คงจะรีบขึ้นมา” รื่นบอกหล่อนวันหนึ่ง “บางทีอาจจะพรุ่งนี้ บางทีอาจจะมะรืน แล้วคุณละเมียดก็คงจะต้องกลับไปปากน้ำโพ”

หล่อนได้ฟังก็สั่นศีรษะ นัยน์ตาที่เพ่งไปข้างหน้าเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นเพราะการตัดสินใจอย่างเด็ดขาด

“เขาจะต้องลงไปกรุงเก่า กว่าจะได้รับข่าวจากสำนักงานใหญ่ ก็คงหลายวัน นอกจากนั้น........” หล่อนหันกลับมามองดูเขาเต็มตา “นอกจากนั้น ฉันตั้งใจจะเดินทางต่อไปเมืองตาก”

รื่นรู้ ว่าโดยการตัดสินใจนั้น จะทำให้หล่อนและเขามีเวลาอยู่ร่วมกันและใกล้ชิดกันอีกหลายวัน จนกว่าเรือจะผ่านกำแพงเพชรแล้ว

ตลอด ๓ วันเต็ม ๆ บนบ้านไร่ หล่อนและเขาเกือบไม่ได้คิดอะไรเลยถึงกาลข้างหน้า หรือเวลาที่ผ่านมาแล้วแต่อดีต ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นความหวังความสุข และความปรารถนาชั่วชีวิต เหมือนจะรวมอยู่ในคืนวันเหล่านั้นทั้งสิ้น ชาวบ้านไร่ ซึ่งมีอยู่ไม่กี่หลังคาเรือน และเหมือนอยู่คนละโลก ออกมาต้อนรับหล่อนและเขาอย่างสองผัวเมีย ซึ่งเคราะห์ดีที่รอดชีวิตมาได้จากเรือแตก และอย่างสองผัวเมียหล่อนและเขาก็แสดงต่อกัน ด้วยความอ่อนหวานและอ่อนโยน ราวกับบุคคลที่ตายแล้วเกิดใหม่ ความสำนึกผิดหรือคิดอดสูใจใด ๆ ในพฤติการณ์ที่ผ่านมาแล้วและกำลังเป็นอยู่ ปลาสนาการไปได้ก็โดยความคิดนั้น พันธะใด ๆ ที่ต่างฝ่ายต่างมีต่อใครอื่นมาแต่เดิม ควรจะสูญสิ้นไปพร้อมกับความตายและชีวิตใหม่เป็นของหล่อนและเขาโดยเฉพาะแต่ลำพัง

อย่างไรก็ดี เมื่อเรือเมล์ไปรษณีย์มาถึง และใกล้จุดหมายปลายทางที่หล่อนและเขาจะต้องแยกทางกันต่อไป ความกระวนกระวายของรื่นยิ่งเพิ่มภาระในการปลอบโยนเขาให้แก่ละเมียดยิ่งขึ้น

“อย่าลืมนะรื่นว่า เวลานี้เราควรรู้จักกันและกันยิ่งกว่าหญิงชายคู่ใด จะได้เรียนรู้จากกันในชั่วชีวิต” หล่อนบอกเขา ขณะเมื่อเรือจอดพักนอน หน้าวังพระธาตุเป็นคืนสุดท้าย “ถึงผัวเมียคู่ไหนก็คงจะไม่รู้จักกันอย่างที่ฉันรู้จักรื่น และรื่นรู้จักฉันชั่วเวลาไม่กี่วันที่แล้วมา เพราะฉะนั้นรื่นควรจะรู้ว่า ถึงจะอยู่ห่างไกลกันเพียงไร ใจของเราก็คงจะอยู่ใกล้ชิดเหมือนดาวบนฟ้าคู่นั้น––”

“แต่ผมก็คงจะอดใจได้ยากเหลือเกิน เมื่อคิดว่าตลอดเวลาที่เราอยู่ห่างกัน คุณละเมียดจะต้องอยู่ในบ้านนั้น ในมือของเขา ในอ้อมแขนของเขา บนที่นอนเดียวกับเขา” รื่นพึมพำเหมือนเด็ก ๆ

มืออันเย็นชืดของหล่อนลูบไล้ไปมา ตามใบหน้าอันร้อนผ่าว และแก้มที่เคราขึ้นเขียว

“จะแปลกอะไร ในเมื่อฉันไม่เคยรู้สึกเป็นของเขาเลยจนนิดเดียว” หล่อนตอบเบา ๆ

“แต่คุณละเมียดก็เป็นเมียของเขา โปรด–อย่าลืมข้อนั้น”

หล่อนได้ฟังก็ถอนใจ

“ฉันไม่เคยบอกรื่นดอกหรือว่า การแต่งงานของเราเกือบไม่มีอะไรเป็นที่หมาย เขาอยากได้ฉัน เพราะว่าต้องการจะมีเมียสักคน และฉันยอมแต่งงานกับเขา ก็เพราะว่าผู้ใหญ่เห็นอายุสมควรแล้วที่จะมีเรือน โดยความรู้สึกเราควรจะมีความสัมพันธ์กันบ้าง ในฐานะเพื่อน ก่อนที่ความรักจะเกิดขึ้นภายหลัง แต่คืนแรกเท่านั้น เขาก็ทำลายความรู้สึกและความหวังของฉันข้อนี้โดยสิ้นเชิง เราไม่มีวันจะเป็นอะไรต่อกันได้ นอกจากผัวเมียตามกฎหมาย และบ่าวกับนายตามความเป็นจริง เขาในฐานะเจ้าของทาส และฉันในฐานะเป็นความปรารถนา ที่เขาจะปราศจากเสียมิได้ ความรักของเขาหมายถึงสิ่งเดียวนั่น เท่านั้น––”

“มันคงจะเป็นความทรมานใจคุณละเมียดสิ้นดี” รื่นครางอยู่ในลำคอ

“ทรมาน แต่ฉันก็ทนรับมาแล้วและคิดว่าจะทนรับได้ต่อไป” ละเมียดถอนใจ “จริงอยู่ บางครั้งเขาดีต่อฉันใจหาย ดีจนคิดว่าพอจะกลับรักเขาได้ แต่แล้วครั้งต่อไปก็กลับไปสู่ชีวิตเดิมอีก นี่แหละเป็นความลำบากยากใจอย่างที่สุด สำหรับฉัน มันเป็นความทรมานที่บางครั้งฉันต้องทนรับ และบางครั้งก็ด้วยความยินดี รื่นจะช่วยให้ฉันทนรับได้ดียิ่งขึ้น ถ้าจะพยายามทำใจให้เข้มแข็งกว่านี้––ความอ่อนแอของรื่น มีแต่จะทำให้ฉันลำบากใจพลอยอ่อนแอไปด้วย”

“เพราะความรักคุณละเมียดถึงได้ทำให้ผมเป็นคนอ่อนแอ”

หล่อนได้ฟังก็หัวเราะ

“เปล่าเลยรื่น ความรักไม่เคยทำให้คนเราอ่อนแอ เว้นไว้แต่คนเราจะมีความเห็นแก่ตัว เมื่อคนเราเห็นแก่ตัวมันก็ไม่ใช่ความรัก หากเป็นความปรารถนา ที่จะเป็นเจ้าของ ที่จะครอบครอง และที่จะทำลายอย่างเสถียรเขาเป็นอยู่ในเวลานี้”

เมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย เขาก็นิ่งไป มือที่ปัดป่ายเปะปะไปทั่วร่างอันอบอุ่นละมุนมือก็หยุดนิ่งไปด้วย

“บางทีมันก็จะจริงของคุณ” เขาพึมพำ พลางถอนใจ “แต่ผมก็ยังอยากที่จะได้อยู่กับคุณละเมียดตลอดไป ไม่มีใครมาเป็นเจ้าของ ไม่มีใครมาครอบครองนั่นเอง”

“ฉันเข้าใจรื่น, ฉันพอจะเข้าใจ” หล่อนบอก “แต่ต่อไปรื่นจะรู้ได้เองว่า นอกจากมันจะเป็นไปไม่ได้ ฉันในฐานะที่เป็นเมียเขา จะเป็นประโยชน์แก่รื่น และคนทั้งปวงที่หวังพึ่งพาอาศัยรื่นยิ่งกว่าในฐานะอื่นเป็นไหน ๆ”

หล่อนทำให้เขานิ่งไปด้วยการยอมจำนนต่อเหตุผล และเหนือสิ่งอื่นใด หล่อนทำให้เขารู้สึกเหมือนกลายเป็นเด็กไปด้วยทรรศนะในความรัก รื่นไม่เคยรู้จักจนกระทั่งบัดนั้น ว่าผู้หญิงที่มีความรักจริง จะทำอะไรได้บ้างระหว่างฐานะ เกียรติยศ และชื่อเสียง กับความหวังและความปรารถนาส่วนตัว เขาไม่เคยรู้จักว่าความรักอย่างหล่อนร้อนแรง และอ่อนโยนในเวลาเดียวกัน จะสามารถทำให้ชายฉกรรจ์อย่างเขาอ่อนไหว กลายเป็นคนโง่เขลาลงหรือฉลาดขึ้นได้เพียงใด

ภายในความมืดของประทุนเรือน้อยนั้น ร่างอันอรชรอ้อนแอ้นของละเมียดสั่นเทิ้มไปหน่อยหนึ่ง เมื่อสำนึกถึงความอุ่นของหยาดน้ำตาของเขาที่หยดเผาะลงต้องซอกคอหล่อน

“รื่นร้องไห้ !” หล่อนกระซิบที่หูเขาเบา ๆ ใจของหญิงแม้จะหนักแน่นปานใดก็อดหวั่นไหววาบหวามไปไม่ได้

“ครับ!” เขาสารภาพด้วยเสียงเครือ “เป็นครั้งแรกในชีวิต เมื่อมาคิดว่าคืนนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้อยู่ด้วยกันอย่างนี้ แต่คุณละเมียดอย่ากลัว ผมจะพยายามทำตัวทำใจให้เข้มแข็งที่สุดและดีที่สุด เพื่อให้สมกับความรัก ความหวังดี ของคุณละเมียดต่อไป––”

เสียงใบระกาจากเจดีย์ใหม่หน้าวัดบนฝั่ง ทำให้วาจาของเขาขาดห้วนหายไปเพียงนั้น ร่างอันละมุนของละเอียดเคร่งเครียดขึ้นจากเสียงของมัน ขณะเดียวกันความคิดของรื่นก็หวนกลับไปสู่รูปของนางกินรีบนเจดีย์ร้างข้างใน เข้าไป–ภายในบริเวณซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ตั้งของเมืองไตรตรึงษ์อีก บอกไม่ถูกเหมือนกัน ว่าอะไรทำให้คิดถึงรูปสลักรูปนั้นขึ้นมาอีก ครั้นแล้วลมหายใจที่สัมผัสแก้ม และอาการเต้นอย่างไม่เป็นจังหวะจะโคนของทรวงอกเบื้องซ้าย ภายใต้มืออันใหญ่และหยาบของเขาก็บอกรื่นในทันที ว่าไม่มีวันที่เขาจะเลี่ยงพ้นจากความทรงจำรำลึกถึงหน้านางกินรี เจ้าของรูปศิลาสลักบนเจดีย์ร้างนั้นได้ ตราบใดที่หญิงผู้อยู่ในอ้อมแขนของเขาในปัจจุบัน ยังเป็นตัวแทนแห่งความทรงจำรำลึกนั้น

เขาคิดถึงละเมียดในคืนแรกที่พบกันเหนือลานดอกไม้ คิดถึงหล่อนในคืนซึ่งตื่นขึ้นในชีวิตใหม่ บนเกาะน้อยหน้าบ้านไร่ หลังจากที่เรือไฟอับปางลง พร้อมด้วยความสำนึกถึงร่างที่กำลังสัมผัส พร้อมด้วยความรู้สึกอึดอัด ถึงการเบียดเสียดกันอยู่บนเรือน้อยลำนั้น ครั้นแล้วรูปนางกินรีในความฝันบนเจดีย์ร้างวังพระธาตุก็อันตรธานไป กลายมาเป็นนางมนุษย์ผู้เต็มไปด้วยเลือดด้วยเนื้อ ด้วยความปรารถนา และความเสน่หาท่วมท้นหัวใจอยู่ข้างกายเขา และต่อหน้าเขา ท่ามกลางความเงียบ แม้เสียงหัวใจเต้นก็ได้ยินท่ามกลางความมืดของเที่ยงคืน ซึ่งคลื่นของอากาศฤดูเหมันต์ สะท้านเยือกในขณะและอารมณ์เช่นนั้นเอง ปัจจุบันก็หวนกลับไปสู่อดีต !

– ๑๐ –

ไม่มีใครทางบ้านคิดว่า จะได้พบหน้าเขาอีกโดยกระทันหัน หลังจากข่าวความอับปางของเรือกลไฟลำนั้นแพร่ไปโดยทางหนึ่งทางใดทั่วกำแพงเพชร เพราะฉะนั้นเองขณะชั่วระยะแรกที่รื่นก้าวขึ้นบันไดเรือนไป ใบหน้าของสุดใจป้าแคล้ว แวว พัน และจำปา ซึ่งกำลังอยู่พร้อมหน้ากัน จึงเต็มไปด้วยความตกตะลึงจังงัง เหมือนคนที่อยู่ในความฝัน

ไม่มีใครอีกเหมือนกัน จะเข้าใจในความเฉื่อยชาและเลื่อนลอยของเขา ขณะที่เขาไปคุกเข่าอยู่ข้างที่นอนของลูก ผู้นอนเจ็บอยู่ในห้อง นัยน์ตาของรื่น ที่จ้องดูลูกรักปราศจากความรู้สึกใด ๆ ไม่ว่าจะในทางเสียใจหรือยินดี ไม่มีใครเลยจะแปลความหมายออก เมื่อเขากลับมายืนอยู่ที่นอกชาน แลตามเรือเมล์ไปรษณีย์ลำนั้นไปจนลับตา

ละเมียดพยายามปฏิเสธ และหลีกเลี่ยงที่จะแวะขึ้นไปเยี่ยมภรรยาและบุตรของเขา

“ขอให้เราจากกันตรงนี้เถอะนะรื่น” หล่อนบอกขณะที่เขาก้าวขึ้นจากเรือ “เล่าเถอะ เล่าให้สุดใจฟังเท่าที่มันจะไม่ทำให้เขาคิดมาก หรือกระทบกระเทือนใจ ขอให้เหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้ว ระหว่างเราในคืนนั้นและคืนต่อๆ มา บนเกาะบ้านไร่ และในเรือลำนี้เป็นอนุสาวรีย์อยู่เฉพาะเราสองคน

การพยักหน้าเป็นอย่างเดียวที่เขาจะแสดงได้ ความตื้นตันใจทำให้เขาพูดไม่ออก

ฉันจะบอกสุดใจเขาอย่างไร, รื่นคิดด้วยความวุ่นวายเมื่อก้าวพ้นประตูรั้ว แต่ผู้หญิงที่ซื่อถือสัตย์ยึดมั่นอยู่ในกรอบประเพณีเก่าอย่างสุดใจ ไม่มีอะไรสงสัย ไม่มีอะไรจะระแวงเลย ต่อเหตุการณ์เหล่านั้น การรอดชีวิตกลับมาของรื่นเป็นอย่างเดียวที่หล่อนสนใจ จะด้วยใคร หรือกับใคร มีความหมายสำหรับหล่อนอย่างเดียวกัน

แก่เพื่อนบ้านที่มาเยี่ยมเยียนถามข่าว เขาไม่พูดอะไรมากนัก นอกจากเรื่องย่อๆ ของเหตุร้ายที่เกิดขึ้นและความเสียหายที่บริษัทเรือไฟได้รับ ตลอดจนชีวิตที่รอดพ้นมา

“ถ้าฉันไม่ส่งข่าวลูกไปบอก พี่รื่นก็คงจะไม่ต้องรับเคราะห์อย่างนี้เลย” สุดใจตีโพยตีพาย อาการของลูกที่ทุเลาขึ้นเป็นลำดับ ทำให้หล่อนมองดูเหตุร้ายครั้งนั้นเหมือนมันจะอยู่ในความรับผิดชอบของหล่อนยิ่งขึ้น

และรื่น, ด้วยยิ้มที่ยังเลื่อนลอยและวาจาปลอบโยนซึ่งหาน้ำหนักอะไรไม่ได้ ก็เพียงแต่จะโอบไหล่หล่อนด้วยมือและแขนอันอ่อนเปียกบอกว่า

“เรื่องเคราะห์ คนเราหนีพ้นเมื่อไร”

เขาพูดออกไปอย่างนั้น แต่ใจนึกไปอีกอย่างหนึ่งถึงชั่วขณะที่เขาไม่สามารถจะลืมได้ ท่ามกลางกระแสลมและคลื่นในคืนที่หนาวเย็น มองไม่เห็นอะไร ท่ามกลางความว่างเปล่าบนเกาะ ข้างกองไฟ ซึ่งชีวิตของเขาเริ่มต้นขึ้นอย่างจริงจัง ท่ามกลางสายตาอันซื่อแสนซื่อ เต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจสมเพชเวทนาของชาวบ้านไร่ และในระหว่างความเพ้อฝันกับความจริงบนเรือน้อย ขณะที่จอดอยู่หน้าวังพระธาตุ

ข่าวที่ได้รับจากตาแดง ในปลายเดือนเดียวกันว่าต่วนด่ำกลับขึ้นมาปากน้ำโพและรับซื้อแพทั้ง ๓ ไป มิได้ทำสีหน้าและอิริยาบถของเขาเปลี่ยนไปเป็นอื่น สุดใจรับจดหมายที่เขาส่งให้อ่านจบ แล้วก็มองหน้า

“พี่รื่นไม่ดีใจหรอกหรือ ที่เรื่องมันเรียบร้อยไปเสียที” หล่อนถามด้วยความแปลกใจ

“ทำไมข้าจะไม่ดีใจ สุดใจ” เขาบอก “เพราะถึงมันจะไม่มีกำไร อย่างน้อยที่สุดเราก็จะไม่ขาดทุนยุบยับอย่างที่ข้าคิดไว้”

ภรรยามิได้ซักไซ้ไต่ถามอะไรอีกต่อไป ความกระทบกระเทือนทั่วทั้งทางร่างกายและจิตใจที่เขาได้รับจากการอับปางของเรือลำนั้น พร้อมด้วยความอับโชคในการค้าและข่าวเจ็บของลูก คงจะเป็นสาเหตุแห่งความเปลี่ยนแปลงของเขา, หล่อนคิด แล้วพูดออกมาตามนั้น ในการตอบกระทู้ถามของคนอื่น ๆ ซึ่งสังเกตเห็นความผิดแปลกเปลี่ยนไปของรื่นเช่นเดียวกัน

“อีกไม่นานหรอกป้า พอเขามีเวลาพักผ่อนสักหน่อย พี่รื่นก็คงจะกลับเหมือนเก่า” หล่อนอธิบายแก่แม่เฒ่าแคล้ว

“แต่อย่างอ้ายทิด มันไม่น่าจะตกอกตกใจอะไรมากมายถึงเพียงนั้น น่ากลัวตายร้ายกว่านี้ยังเคยผ่านมาแล้ว” แกส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ และเพราะว่าไม่มีอะไรที่ใครจะช่วยเขาได้ ทุกคนก็ได้แต่จะปล่อยให้อยู่แต่ตามลำพังพยายามเลี่ยงออกห่างเมื่อเห็นอารมณ์เริ่มหงุดหงิดหรือนั่งอย่างครุ่นคิด อยู่ที่ท่าน้ำในยามเย็นสงัด

จนกระทั่งความเย็นของอากาศในเหมันต์ เปลี่ยนเป็นอบอุ่นเมื่อต้นฤดูร้อนมาถึง และเผชิญกับภาระประจำวัน ซึ่งชาวบ้านทุกคนจะต้องเผชิญ ไม่ว่าจะมั่งมีดีจนประการใด ความเครียดของอารมณ์ของรื่น จึงค่อยคลาย นัยน์ตาที่เลื่อนลอยก็ค่อยมีประกายและชีวิตขึ้น ถึงกระนั้น รื่น, ยิ่งกว่าใครๆ ก็รู้จักใจของเขาดีว่า ชีวิตนี้ทั้งชีวิตไม่มีทางที่จะกลับไปเป็นอย่างเก่าอีกได้ ละเมียดและความรักที่หล่อนมอบให้ ได้ยกความคิดจิตใจและชีวิตที่เขาอยู่ขึ้นไปจากระดับที่เคยมี สุดใจ จำปาและบรรดาผู้หญิงที่เขารักอยู่ร่วมด้วย แม้จะพยายามแสนพยายามเพียงใด ที่เขาจะหวนกลับไปสู่ชีวิตนั้น อย่างที่เขาเคยผ่านมาแล้วกับสุดใจพร้อมด้วยลูก ๆ อันเป็นพยานรัก อย่างที่ผ่านมากับจำปา พร้อมด้วยความทรงจำถึงความปรารถนา ซึ่งแม้สุดใจก็สามารถที่จะให้ได้ ลงท้ายก็เพียงแต่จะพบตัวอยู่ในตรอกอันจนปัญญา จนความคิดที่จะพยายามอีกต่อไป

“คุณละเมียดไม่รู้หรอกว่ากรีดแผลไว้ในหัวใจผมลึกเพียงใด” เขาเคยคิดแล้วคิดอีก วันแล้ววันเล่าเดือนแล้วเดือนเล่า ไม่ว่าจะทอดแหอยู่กลางแม่น้ำ ทำนาทำไร่ ตัดไม้หรือล่าสัตว์อยู่ในป่า

กาลเวลาอาจจะเป็นโอสถขนานเอกสำหรับสมานแผลหัวใจ แต่สำหรับรื่น ทุกวินาทีที่ผ่านไป หมายถึงความรุนแรงของความรักและความปรารถนาที่เขามีอยู่ต่อหล่อนอย่างไม่มีอะไรจะทดแทนกันได้ ไม่ว่าจะเป็นความรักที่มีต่อสุดใจ และของสุดใจ, ลูก ๆ หรือจำปา !

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ