๑๓
ป่าโป่งน้ำร้อน พร้อมด้วยความอุดมสมบูรณ์ของมัน พร้อมด้วยธรรมชาติอันสวยสดงดงาม ความไข้และอำนาจอันเร้นลับซับซ้อน ซึ่งเป็นสัญญลักษณ์ของดงทึบทั้งหลายยังคงอยู่ในสภาพเดิมต่อไป ท้าทายความพยายามใดๆ ของน้ำมือมนุษย์ที่จะเอาชนะมัน ท่านเจ้าคุณผู้ว่าราชการจังหวัดรู้อย่างผู้ที่มองการณ์ไกลทั้งหลายจะพึงรู้ว่า โดยการปฏิเสธสัมปทานป่าไม้แห่งนั้น ชาวบ้านปากคลองเท่ากับปฏิเสธอนาคตที่สดใส ปลอดภัย และสถาพรของเขาต่อไปอีกหลายปี บางทีอาจจะชั่วอายุคน แต่ประเพณีเป็นของตายยาก ศรัทธา และความเป็นไทก็เช่นเดียวกัน การฝืนความประสงค์ของชาวพื้นเมืองเหล่านั้น ด้วยการให้สัมปทานแก่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด หมายถึงการหมดสิทธิ์อิสระของเขาที่จะอยู่อย่างเคยอยู่ กินอย่างที่เคยกินมาชั่วชีวิตชั่วยุคของปู่ย่าตายาย ความปลอดภัยมีประโยชน์อะไรสำหรับชีวิตที่แห้งแล้ง ? สถาพรภาพมีประโยชน์อะไรสำหรับบุคคลที่ถูกขีดวงให้อยู่ในกรอบอันจำกัด ? ธรรมชาติเป็นเครื่องทดลองชั้นอุกฤษฎ์ สำหรับความแข็งแกร่งของมนุษย์ และธรรมชาติไม่อาจแยกออกจากชีวิตของชาวปากคลองได้ เลือดในกายทุกหยดของเขาเต็มไปด้วยมัน ทุกลมหายใจเข้าออกของเขาเต็มไปด้วยมัน การเผชิญกับธรรมชาติแต่ละครั้งหมายถึงการอยู่หรือไป มันอาจเต็มไปด้วยความน่าอเนจอนาถใจจริงอย่างละเมียดอธิบาย แต่มันก็เป็นสิ่งที่ช่วยไม่ได้ ตราบใดที่คนเรายังยอมรับนับถือบูชาคุณค่าของประเพณี ศรัทธาและความเป็นไทของมนุษย์
“คนได้รับการเล่าเรียนมาอย่างแม่เมียดควรจะรู้ว่าการทำป่าและดงให้เป็นบ้านเป็นเมือง ไม่ใช่ของเหลือวิสัยอะไร” ท่านพร่ำแล้วพร่ำเล่าทุกคราวที่ได้ฟังหลานสาวปรารภ ด้วยความขมขื่นในความล้มเหลวของหล่อนครั้งนั้น “ปู่ย่าตายายของเราแต่เก่าก่อนเคยพิสูจน์มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ขอให้ดูสุโขทัย ขอให้ดูเมืองเก่า ขอให้ดูดงเศรษฐี อยุธยา แล้วก็วังพระธาตุ ป่าดงหรือบ้านเมืองไม่สำคัญ ปัญหามันอยู่ที่คนที่จะอยู่อาศัยต่างหาก บ้านเมืองสวยงาม สุขสบายราวกะสวรรค์ แต่ถ้าคนอยู่ไปกันไม่ได้ ให้แปลกถิ่นแปลกที่เหมือนกับชีวิตใหม่ตามกันไม่ทัน มันจะมีประโยชน์อะไร คนเราพอใจที่จะใช้ชีวิตตามความเคยชินของเขา เราจะกลายเป็นมารร้ายไปในการที่จะขัดขวาง ชาวปากคลองเขาเคยอยู่ของเขามาอย่างนั้น ท่ามกลางโรคภัยไข้เจ็บ หรือร้อยแปดอันตรายหรือรอบข้าง บางครั้งวอดวายไปเกือบ ๆ ทั้งหมู่บ้าน แต่เขาก็อยู่กันมาได้ ไม่มีใครย่อท้อ ไม่มีใครถอยหนี รอดชีวิตมาคราวไรมีแต่แกร่งขึ้น ทรหดอดทนขึ้น ในที่สุดก็รู้สึกเหมือนจะไม่มีวันตาย นั่นเพราะอะไร? ความมั่นใจจากชัยชนะที่เขาได้รับในการเผชิญกรรมกับธรรมชาติละ – –”
และทุกคราวที่ได้ฟังท่านอธิบาย ละเมียดก็ได้แต่จะส่ายหน้า
“คุณลุงไม่นึกบ้างหรือคะว่า มันจะเป็นการทุ่นชีวิตคนพวกนั้นขึ้นอีกมากมายเพียงใด ถ้าเราจะได้มีโอกาสช่วยเหลือเขาบ้าง ?” หล่อนตั้งกระทู้
“ในการได้รับสัมปทานโป่งน้ำร้อน แล้วก็ทำลายป่านั้นลงไปงั้นรี ?” ท่านเลิกคิ้ว “อ๋อ, เปล่าเลย แม่เบียดเข้าใจผิด การทำชีวิตที่ยากให้ง่าย มิได้หมายถึงการช่วยเหลือเสมอไป มันอาจจะหมายถึงการทำให้คนที่เข้มแข็งแกร่งกล้า อ่อนแอปวกเปียกลงก็ได้ ลุงรู้ว่าลุงพูดถึงอะไร เป็นเจ้าเมืองนี้มานาน เข้าใจชาวปากคลองพอ พร้อมด้วยชีวิตที่เคยชินเหล่านั้น เขาก็จะไปกันได้ ทำอะไรให้ผิดแปลกแตกต่างออกไป เขาก็จะเหมือนเด็กที่หลงทาง ประเพณีและนิสัยเปลี่ยนกันไม่ได้ในวันสองวันดอกแม่เมียด มันต้องค่อยเป็นค่อยไป เราจะช่วยเขาได้มากทีเดียว ในการเปิดโอกาสให้เขาได้ช่วยตัวของเขาเองต่อไป โดยปราศจากการขัดขวาง ลุงมีความเชื่อแน่นแฟ้นเหลือเกินว่าเป็นไปได้อย่างนั้น วันหนึ่งเจตนาดีที่แม่เมียดมีต่อคนพวกโน้นจะเป็นผลสำเร็จ
“กว่าจะถึงวันนั้น ดิฉันคิดว่าชาวปากคลองมิหมดบ้านละกระมัง ?” หล่อนประชด
ท่านเจ้าคุณได้ฟังก็หัวเราะดัง พลางสั่นศีรษะ
“ปากคลองไม่มีวันจะหมดคน” ท่านยืนยันเสียงหนักแน่น “พวกปล้น โรคภัย ไฟป่า น้ำท่วม ฝนแล้ง หรืออดข้าว ไม่สามารถจะทำให้เขาทิ้งมันไปได้ ความกระทบกระเทือนจากมันบางคราว อาจจะทำให้แตกกระจัดพลัดพรายไปเหมือนผึ้งแตกรัง แต่ลงท้ายทุกคนก็จะต้องกลับมา ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่ และชาวปากคลองตายยากเหลือเกิน บ้านและเมืองมีวิญญาณเหมือนคนเราเหมือนกัน วิญญาณของคลองสวนหมากไม่มีวันตาย ลุงและคุณพ่อของลุงเป็นพยานมาหลายยุคหลายสมัยแล้ว ไม่เคยมีอำนาจอะไรเอาชนะมันได้ ไม่ว่าจะเป็นอำนาจของธรรมชาติหรือมนุษย์”
การสนทนามักจะสิ้นสุดลงแค่นั้น และอย่างนั้น มันอาจจะไม่เกิดประโยชน์แก่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดในการหวนกลับไปรื้อฟื้นพฤติการณ์เก่าซึ่งผ่านไปแล้วขึ้นมาอีก แม้กระนั้นได้ฟังท่านเจ้าคุณพูดอย่างนี้ทีไร ละเมียดก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าความคิด จิตใจของหล่อนใกล้ชิดกับชาวบ้านฝั่งโน้นยิ่งขึ้น รื่นอาจจะเป็นมูลเหตุสำคัญ แต่สัญญลักษณ์ของชาวปากคลองที่เขาเป็นตัวแทนอยู่สำคัญยิ่งกว่า ความขมขื่นที่หล่อนได้รับจากความผิดหวังในการเจรจาครั้งนั้นอาจจะยังไม่หายไปไหน แต่ในขณะเดียวกัน หล่อนก็รู้ว่าไม่มีใครควรแก่การตำหนิโทษ ความพยายามใดๆ ของหลวงราชบริการเป็นไปเพื่อประโยชน์ของบริษัท รื่นเพื่อลูกบ้านของเขา ท่านเจ้าคุณผู้ว่าราชการจังหวัดและพะโป้ก็เช่นเดียวกัน
“ฉันจะไม่เกี่ยวข้องกับเขาอีกต่อไป” หล่อนตกลงใจอยู่คนเดียว ทุกคราวที่ออกไปยืนอยู่ที่ระเบียงหลังบ้านพัก มองดูยอดพระบรมธาตุ ดงมะพร้าว ทิวเขาและก้อนเมฆเหนือขอบฟ้าฝั่งตรงกันข้าม พยายามสะกดใจที่จะไม่รำลึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้วสำหรับหล่อนและรื่น แต่ทุกคราวกลับปรากฏว่ามีแต่จะทำให้คิดถึงเขายิ่งขึ้น
หล่อนไม่ได้พบรื่นอีกเลยตลอดเดือนเต็มๆ นับแต่จากกันที่ศาลากลางจังหวัดวันนั้นเป็นต้นมา หน้าน้ำที่เริ่มต้น หมายถึงภาระและความกังวลเพิ่มขึ้น แม้กระนั้นรื่นก็ไม่เคยพ้นไปจากความคิดของหล่อนได้ ในที่สุดทั้งอาหารและการพักผ่อนที่มิได้เป็นไปตามปกติ ก็ทำให้สุขภาพของหล่อนกลับทรุดโทรมลงไปอีก จนสามีต้องคอยเตือนด้วยความเป็นห่วง
“จำเป็นอะไรแม่เมียด ที่จะต้องเคร่งเครียดเสียจนไม่เป็นอันกินอันนอนอย่างนั้น” เสถียรมักจะว่า “งานไหนแม่เมียดทำได้ ฉันทำได้ อย่างไหนมันหนักหนาเกินไป ปล่อยให้ฉันกะหลวงราชเขาเป็นธุระดีกว่า เดี๋ยวล้มเจ็บลงไปอีกจะลำบาก”
เปล่า, ไม่มีงานอะไรที่จะหนักแรง นอกจากการติดต่อกับพ่อค้าจากใต้ และเจ้าของไม้จากเหนือ หล่อนมีเวลาเหลือเฟือสำหรับจะเที่ยวเตร่และพักผ่อน แต่อย่างเดียวที่หล่อนกระทำก็เพียงขลุกอยู่แต่ในที่ทำการของบริษัทและบ้าน ซูบซีดและเวียนศีรษะซึ่งเป็นอาการของโรคเก่าเริ่มแสดงออกมา ถึงกระนั้น ละเมียด, ยิ่งกว่าใคร ๆ ก็รู้ดีว่ามันไม่ใช่ ชั้นแรกหล่อนก็ได้แต่เพียงระแวงอาการเหล่านั้น ประกอบกับความเปลี่ยนแปลงของร่างกายบางประการ จะเป็นสัญญาณถึงสิ่งหนึ่งซึ่งทำให้หล่อนเนื้อตัวสั่นเทา เพราะความตื้นตันขณะที่คิดถึงมัน เมื่อนานวันไปและความเปลี่ยนแปลงของร่างกายปรากฏชัดขึ้นทุกที หล่อนก็แน่ใจ พร้อม ๆ กับความแน่ใจ ความตื่นเต้นต่าง ๆ ก็เปลี่ยนเป็นความหวาดหวั่นพรั่นพรึงเพราะความจริงที่หล่อนรู้อยู่แต่ในใจผู้เดียว
เสถียรจะต้องไม่รู้ถึงเรื่องนี้ หล่อนพยายามอย่างยิ่งที่จะปิดข่าวนั้นไว้จากเขาให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ เพราะหวาดเกรงเกินไปต่อการทนทุกข์ทรมาน จากความรู้สึกผิดชอบที่จะได้รับในอนาคต แต่ได้ประโยชน์อะไรในการปิดบังระหว่างคนเราที่ต้องเห็นหน้ากันตลอดเช้าตลอดเย็น ต้องอยู่ใกล้กันแต่หัวค่ำตลอดรุ่ง ด้วยประการฉะนี้เอง เย็นวันหนึ่งความก็แตกออกมา เมื่อสามีเปิดประตูห้องห้องน้ำเข้าไป และละเมียดยังไม่ทันได้แต่งตัว
เสียงร้องกรีดจากหล่อน ก่อนที่จะซวนซบลงสิ้นสมปฤดี เป็นเหตุให้เสถียรยืนตะลึงเหมือนถูกตรึงอยู่กับที่ ชั่วครู่หนึ่งเต็ม ๆ ต่อมาเขาก็ถลาเข้าไปก้มลงช้อนร่างหล่อนขึ้นมาประคองไว้ในวงแขนคลุมด้วยผ้าเช็ดตัว แล้วพาเข้าไปในห้องนอน เขาวางหล่อนลงเบา ๆ ราวกับเด็กเล็ก ๆ นัยน์ตาทั้งคู่จับอยู่กับสีหน้าที่ซีดเผือดเหมือนถูกมนต์สะกด ละเมียดนอนแน่นิ่งราวกับหมดลมหายใจ นอกจากชีพจรที่เต้นตุบเท่านั้น บอกอาการว่าหล่อนยังมีชีวิตอยู่ แต่ภายหลังที่ยอดบรั่นดีเข้าไปในลำคอได้สองสามหยด หน้าผากและแก้มทั้งคู่ก็ค่อยแดงเรื่อขึ้น ริมฝีปากที่ซีดและเม้มสนิทค่อยเผยอออกจากกันช้า ๆ เสียงถอนใจยาว เสถียรเรียกนามหล่อนเบา ๆ ต่อมานัยน์ตาทั้งคู่ก็ลืมโพลงขึ้น ปราศจากความตื่นเต้น ปราศจากความรู้สึกใด ๆ นัยน์ตาทั้งคู่นั้นแลสบเขาอย่างเลื่อนลอยเหมือนจะจำไม่ได้ ในที่สุดก็กลับหรี่ปรือไปอีก
“บอกฉัน แม่เมียดเป็นอะไรไป ?” เสถียรละล่ำละลักราวกับเด็กที่รู้สึกผิด “ตกใจเพราะฉันพรวดพราดเข้าไปโดยไม่รู้ตัว หรือว่าเรื่องอื่น”
ศีรษะหล่อนโคลงไปมาน้อย ๆ อยู่บนหมอน พึมพำทั้ง ๆ ที่ตาไม่ลืม
“เป็นความผิดของฉันเอง ที่ตกอกตกใจมากเกินไป––” เสียงหล่อนบอกความอ่อนใจ “มันไม่ใช่ความผิดของเสถียรจนนิดเดียว ฉันควรจะใส่กลอนประตูอย่างที่เคยใส่” นัยน์ตาคู่นั้นลืมขึ้นอีก คราวนี้แจ่มใสเหมือนได้สติเต็มตัวว่ากำลังอยู่ที่ไหน และในอาการเช่นไร หล่อนดึงผ้าเช็ดตัวที่เขาคลุมให้ขึ้นไปจนชิดคาง เสียใจที่ฉันพลอยทำให้เสถียรลำบากไปด้วย”
สายตาของเขาคงสอดส่ายอยู่บนใบหน้านั้น เมื่อเอ่ยขึ้นอีกครั้งเสียงพูดที่สั่น หน้าแดงเรื่อไปด้วยความรู้สึก
“เธอไม่เคยบอกฉันเลย แม่เมียด ว่ากำลังมีท้อง” เขาตะกุกตะกัก “ฉันกำลังจะได้ลูก––คนแรกของเราเสียด้วย ช่างหูป่าตาเถื่อนโง่ดักดานอะไรเช่นนั้น ที่ฉันไม่ได้สังเกตสังกาเสียเลย”
ละเมียดคงนอนนิ่งเฉย นัยน์ตาจับอยู่กับเพดานเบื้องบนตลอดเวลาที่เขาพูดต่อไป
ฉันปล่อยให้แม่เมียดแบกงานแทนฉันมานานแล้ว” เสถียรพล่ามไม่หยุดปาก “จะลำบากตรากตรำอย่างไรไม่เคยได้ปริปากสักคำ แต่นี้ไปฉันจะไม่ให้ทำอะไรอีก นอกจากรับผิดชอบในเรื่องลูกของเรา”
ความกังวลและความเอาใจใส่ของเขาเป็นที่จับใจหล่อนอย่างที่ละเมียดไม่เคยรู้สึก
“วุ่นวายไปเปล่า ๆ เสถียร” หล่อนบอก เหยียดแขนออกมา วางฝ่ามือน้อย ๆ ลงบนหลังมืออันใหญ่ของเขา “ใคร ๆ รู้เรื่องเข้าคงจะพากันขันตาย ฉันจะไม่หยุดทำงาน จนกว่าจะไปไหนมาไหนไม่ไหว ไม่เห็นหรือคนเมืองนี้มีใครหยุดทำงานบ้าง นอกจากระหว่างอยู่ไฟไม่กี่วัน ?”
“จะเอาเธอไปเปรียบกับผู้หญิงบ้านนี้ เมืองนี้ได้อย่างไร ?” เขาค้าน “เกิดมาต่างกัน ใช้ชีวิตต่างกัน คนเคยทำงานแต่ในร่ม กับคนที่เคนทำงานกลางแจ้งมาตลอดชีวิตผิดกัน เชื่อฉันเถอะ แม่เมียดจะต้องอยู่เฉย ๆ แต่นี้ไป”
“ฉันก็คงเป็นง่อยตาย” หล่อนหันมาหาเขาด้วยนัยน์ตาวิงวอน “อย่าลืมว่า ฉันอยู่ในเมืองนี้มาจนรู้สึกเหมือนกับว่าเป็นบ้านของตนเองอีกแห่งหนึ่ง สิ่งไหนที่คนเมืองนี้เขาทำได้ ฉันทำได้ ขอให้ฉันได้อยู่เงียบ ๆ สักพักเดียว ประเดี๋ยวก็หาย นี่มันเป็นอาการธรรมดาของคนท้องทั่วไป ไม่ใช่โรคไข้ภัยอะไร”
ความรักนำไปสู่การตามใจ เสถียรเอียงแก้มข้างหนึ่งซบลงเหนือมือซึ่งเย็นเฉียบข้างนั้น ครั้นแล้วเขาก็ถูกขึ้น และกำชับก่อนที่จะออกจากห้องไป
“พยายามรักษาตัวดี ๆ หน่อย แม่เมียดเป็นอะไรไป ฉันจะเสียใจจนตาย ไม่เห็นแก่ใคร ก็ขอให้เห็นแก่ลูกของเรา”
ละเมียดได้ยินเสียงฝีเท้าเขาก้าวลงบันไดไปชั้นล่างอย่างรวดเร็ว เสียงสั่งสาวใช้ให้จัดอาหารขึ้นมาให้หล่อนแล้วก็เสียงร้องทักหลวงราชบริการ ซึ่งเพิ่งก้าวเข้ามาในบ้าน ความตื่นเต้นยินดีปรากฏอยู่ในกังวานเสียงเหล่านั้นอย่างแจ้งชัด ความรู้สึกเสียวปลาบก็แล่นเข้าสู่หัวใจ หล่อนนอนลืมตาโพลงจ้องดูประตูที่เขาผ่านออกไปราวกับได้สำนึกเป็นครั้งแรกว่า มันอยู่ที่นั่น ทั้ง ๆ ที่วันหนึ่ง ๆ เคยผ่านเข้าออกนับครั้งไม่ถ้วนอยู่ครู่หนึ่ง จึงลุกขึ้นนั่งที่ขอบเตียง ความรู้สึกของหล่อนยังปั่นป่วน ขมับทั้งสองข้างยังเต้นตุบๆ เพราะความสำนึกถึงความจริงเหล่านั้น มากกว่าความตกใจที่ได้รับอย่างกระทันหัน เมื่อเสถียรเปิดประตูพรวดพราดเข้าไป
หล่อนแน่ใจอย่างที่ไม่เคยมีครั้งใดเหมือน ว่าชีวิตจะไม่อยู่ในร่องรอยเดิมของมันอีกต่อไปเพราะเด็กคนนั้น ลูกเป็นความต้องการของเขามาแต่ไหนแต่ไร ลูกเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตที่เขาไม่เคยได้รับสมปรารถนา แต่ครั้งหนึ่งเมื่อได้มา สีหน้า กิริยา และน้ำเสียงอันเต็มไปด้วยความสุข ความตื่นเต้นอย่างไร้เดียงสาของเขานั่นเอง กลับเป็นความทุกข์ทรมานของหล่อนที่จะต้องทนรับบาปต่อไปชั่วอวสาน
หน้าต่างทุกบานของห้องนอนอันใหญ่เปิดอยู่ แต่ละเมียดรู้สึกมันอบอ้าวราวกับจะหายใจไม่ออก เพราะความคิดเหล่านั้น ฉันคงเป็นบ้าตายถ้าขืนอยู่ในนี้ หล่อนคิด ลุกขึ้นไปเปิดประตูออกช้า ๆ จากหน้าห้องนอนเฉลียงเล็กนำออกไปสู่นอกชานอันกว้างทางหลังบ้าน หล่อนเดินตรงไปที่นั้น ห้องนอนอาจจะเป็นแหล่งหลบภัยสำหรับคนเราทั้งหลายที่กำลังมีความทุกข์ แต่สำหรับหล่อนห้องนอนเป็นอนุสาวรีย์ของทุกสิ่งทุกอย่าง ที่หล่อนพยายามจะหลีกเลี่ยง ลูก, รื่น, เสถียร แม้กระทั่งตัวของหล่อนเอง
เสียงหัวเราะแว่วขึ้นมาตามทางลงของบันไดจากห้องรับแขกชั้นล่าง หล่อนจำได้ว่าเป็นเสียงหลวงราชบริการ ทำไมเสถียรปล่อยให้คน ๆ นั้นหัวเราะอยู่ได้ ในขณะที่หล่อนกำลังมีความทุกข์ และต้องการใช้ความคิด ? ประโยคหนึ่งจากเขา จะเมาและทีเล่นทีจริงเป็นเชิงสัพยอกเพียงไร ก็ทำให้หล่อนก้าวไม่ออกเหมือนถูกตรึงอยู่กับที่ “ไหนคุณเถียรบอกผมว่าเป็นหมัน ?”
ละเมียดรู้สึกเหมือนเข่าทั้งสองขณะนั้นกลายเป็นหิน และหัวใจหนักเหมือนตะกั่ว ด้วยความเงียบซึ่งปกคลุมอยู่ชั่วอึดใจหนึ่งเต็ม ๆ ครั้นแล้วเสถียรก็หัวเราะตอบ ตัวทั้งตัวก็กลายเป็นสำลีไป
“นั่นเป็นแต่เพียงความเข้าใจ คนเราที่คิดว่าเป็นหมัน อยู่กินกันมาตั้งหลายปี ไปมีลูกเอาทีหลังก็ถมไป”
“ผมดีใจด้วย” เสียงนายอำเภอบอก กังวานสัพยอกหายไปจากเสียงนั้น “ผมคิดว่าคุณเถียรคงต้องการลูกผู้ชาย ?”
“อ๋อ, นั่นเป็นความปรารถนาของพ่อทุกคน สำหรับลูกคนแรก แต่ผู้หญิงหรือผู้ชายไม่สำคัญ ผมต้องการทั้งนั้น – –”
หล่อนผ่านทางลงบันไดไปสู่นอกชาน ซึ่งกำลังสลัวด้วยเพลาเข้าไต้เข้าไฟ ดวงดาวดวงหนึ่งเป็นประกายยิบ ๆ อยู่เหนือขอบฟ้าฝั่งตรงกันข้าม ลมจากแม่น้ำพัดมาต้องหน้าหล่อนวูบหนึ่ง แล้วละเมียดก็คิด ฉันยอมตายเสียดีกว่าที่จะให้เขาได้รับความกระเทือนใจว่ามันไม่ใช่ลูกของเขา –––– ไม่ใช่ลูกของเขา !