บทที่ ๑๑

– ๑ –

จากประตูใหญ่ ริมคลองระหว่างรั้วซึ่งใช้ไม้สักทั้งต้นแทนเสา กระทู้ปักเรียงรายมิดชิด มั่นคง และแข็งแรงประดุจป้อมปราการของเจ้าของผู้ครองนครสมัยโบราณ บ้านสามชั้นหลังนั้นดูสูงตระหง่าน และมหึมาเหมือนปราสาทในเทพนิยาย รื่นไม่เคยคิดมาก่อนเลย จนกระทั่งก้าวเข้าไปในบริเวณนั้นแล้ว ว่าความกว้างขวางใหญ่โตของสถานที่ และผู้คนซึ่งพลุกพล่านอยู่ในบริเวณนั้น จะทำให้เขารู้สึกตัวเล็กลงไปเพียงใด ราวกับเด็กที่เดินอยู่ในดงเปลี่ยว ถึงกระนั้น เขาก็ไม่เคยเหลียวหน้าเหลียวหลัง นับแต่ย่างเข้าประตูนั้นไป เดินอยู่บนถนนปูกระเบื้อง ระหว่างกอเข็ม และพุดซ้อน ซึ่งเรียงรายอยู่ ๒ ฟากทาง กะเหรี่ยงหญิงชายหลายคนวางมือจากงานที่กลางสนาม และหน้าเรือนเล็กเลยเข้าไปเงยหน้าขึ้นภูเขาอย่างสงสัย หลายคนหันไปซุบซิบซึ่งกันและกัน เหมือนจะรู้ระแคะระคายอะไรล่วงหน้า กิริยาของผู้ใหญ่พูนเริ่มประดักประเดิดขึ้นมาอีก การเดินก็ชักจะตะกุกตะกัก แต่รื่นก็คงรุนหลังแกเรื่อยไป

“อย่างทำเหมือนคนที่เขากำลังพาตัวไปตะแลงแกงหน่อยเลย” เขากระซิบดุ ๆ “แล้วก็อย่าลืมว่าผู้ใหญ่เป็นคนพาฉันมานี่––”

“มัน–––มันรู้สึกใจคอไม่ดียังไงบอกไม่ถูก” สำเนียงชาวเวียงจันทร์ของผู้ใหญ่บ้านปรากฏออกมาจนฟังชัด อย่างที่มักจะปรากฏทุกครั้งที่แกไม่เป็นตัวของแกเอง

ทั้งสองคนผ่านจำปีต้นใหญ่ ซึ่งปลูกอยู่ที่เชิงบันได ล้างเท้าแล้วก็ก้าวขึ้นไปบนนอกชาน หญิงสาวคนหนึ่งซึ่งนั่งเจียนหมากอยู่ที่ระเบียงเงยหน้าขึ้น และจำผู้ใหญ่พูนได้ หล่อนวางมือจากงานลุกขึ้นทันที

“นายห้างสั่งไว้แล้ว ฉันจะไปบอกเดี๋ยวนี้แหละผู้ใหญ่ คอยประเดี๋ยวนะ” หล่อนบอกแล้วก็กลับเข้าไปข้างใน

นั่งลงที่ระเบียงอันร่มรื่น พื้นกระดานขัดเป็นมัน รื่นมองดูทั่วบริเวณนั้น แล้วก็พิศวงงงงวยไปด้วยความสะอาดสะอ้านและโอ่โถ่ของสถานที่ ตามผนังเหนือเฟี้ยมซึ่งเปิดโล่งเข้าไปข้างใน และเสาแต่ละต้นใหญ่ขนาดโอบไม่รอบ ติดเขาและศีรษะสัตว์ป่าซึ่งหายาก ภาพวาดของพระตะโก้ง และภูมิประเทศอันสวยงามต่าง ๆ ของพม่าประดับอยู่ที่ฝาชั้นในเข้าไป นอกจากนั้นก็เรียงรายไปด้วย หอก ดาบ ง้าว โล่ และอาวุธโบราณต่าง ๆ จนดูเกือบเป็นพิพิธภัณฑ์

“นั่นน่ะ หลานสาวนายห้าง” ผู้ใหญ่พูนกระซิบ รื่นมองเลยเข้าไปในห้องโถงชั้นใน

“ไหน ? รูปที่ใส่เสื้อเสียสุดแขนบนเสากลางน่ะรึ”

“ไม่ใช่ !” ผู้ใหญ่พูนบอก “คนที่ลุกเข้าไปเมื่อตะกี้ไงล่ะ”

“อ๋อ ! หน้าเหมือนคนไทย”

“ก็เหมือนซิ แม่เป็นไทย”

“แล้วไงมาเป็นหลานพะโป้”

“ก็แกเป็นลูกสาวพญาตะก่า”

รื่นส่ายหน้า สั่นศีรษะอย่างไม่เข้าใจ แต่ก่อนที่จะทันซักอะไรผู้ใหญ่พูนต่อไป หญิงสาวผู้นั้นก็กลับออกมาอีก ย่อตัวลงพูดอย่างสุภาพ น้ำเสียงไพเราะ

“นายห้างให้ผู้ใหญ่ขึ้นไปข้างบนจ้ะ––– กะ––– คนนั้นด้วย”

รื่นแลสบตาหล่อนอย่างจัง ก่อนที่หล่อนจะหันหลังกลับเดินนำผู้ใหญ่พูนและเขาขึ้นบันไดไปชั้นบน

“เหมือนใคร ?” เขาคิดอยู่ในใจขณะที่เดินตามหล่อนไป ทันใดนั้นเองก็นึกขึ้นได้ถึงหญิงอีกผู้หนึ่ง ซึ่งเขาเคยช่วยไว้ที่หน้าบ้านลานดอกไม้––– หญิงผู้ทำให้เขานึกถึงรูปนางกินรี ที่เจดีย์วังพระธาตุ ซึ่งคนธรรพ์พากันมาตายเสียมากต่อมาก––ละเมียดผู้เอวบางร่างเล็ก ผมดำ ตาดำ ปากค่อนข้างกว้าง และทรวงอกอวบผิดปกติ เพียงแต่ละเมียดบรรลุวัยสาวเต็มตัว ขณะที่ผู้หญิงนี้ยังเพิ่งสาวรุ่น และพร้อม ๆ กับที่นึกขึ้นได้ ก็รู้สึกประหลาดใจตนเอง ตลอดจนน้ำเสียงหล่อนยังแม่นยำอยู่ในความทรงจำ

“นายห้างนั่งอยู่นั่นแน่ะรื่น” ผู้ใหญ่พูน ซึ่งถึงชั้นบนก่อนกระซิบพลางนั่งลงยกมือไหว้

และนั่นเอง เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาได้แลเห็นพะโป้ด้วยสายตาของตนเอง

ภายในห้องนั้นกว้าง หน้าต่างทุกบานเปิดออกไปสู่ท้องฟ้าอันสว่างและทิวมะพร้าวที่แกว่งทางไสว ชายผู้หนึ่งขัดสมาธิอยู่บนพรมสีทับทิมเหนือระเบียงชั้นบน เบื้องหลังออกไปเป็นที่บูชาพระ ซึ่งควันธูปยังลอยกรุ่น แม้ความคิดของเขาจะกำลังงุนงงไปด้วยความระลึกถึงละเมียด ขณะเมื่อเปรียบเทียบกับหญิงสาวซึ่งเพิ่งจากไป รื่นก็อาจจะบอกได้ แม้ผู้ใหญ่พูนจะไม่กระซิบบอก นับแต่วินาทีแรกที่เหลือบไปเห็นว่าชายผู้นั้นเป็นใคร มิใช่รูปร่างซึ่งสมบูรณ์สมกับคนเจ้าเนื้อ หรือการแต่งกายตามประเพณี มากไปกว่าความเป็นสง่าราศีของใบหน้า ของนัยน์ตา และผิวพรรณ พะโป้ขณะนั้นล่วงเข้าวัยกลางคนแล้ว แต่สีหน้ายังเอิบอิ่มเหมือนคนหนุ่ม น้ำเสียงที่พูดก็แจ่มใสไพเราะเหมือนเสียงเด็ก

“คนนี้หรือ รื่น ที่เขาพูดกัน ? รื่นที่ทำให้พวกคนงานของฉันขอย้ายจากฝั่งใต้คลองสวนหมากไปประจำป่าฝั่งเหนือ ?”

“ครับ นายห้าง” เสียงของผู้ใหญ่พูนเริ่มสั่นขึ้นมาอีก

นัยน์ตาอันเล็ก แต่คมวาวเหมือนเปลวไฟ เหมือนประกายเหล็กกล้าของพะโป้จับอยู่ที่ใบหน้าของเขาไม่วางตา พูดต่อไปด้วยเสียงเดิม ปราศจากความรู้สึกใด ๆ โดยมิได้เอาใจใส่ต่อวาจาของผู้ใหญ่พูนเลย

“ฉันอยู่ปากคลองมานาน จนคนบ้านนี้ทั้งบ้าน เมืองนี้ทั้งเมือง ถือเหมือนฉันเป็นลูกกำแพงคนหนึ่ง ยังไม่เคยปรากฏว่ามีใครทำกะคนงานฉันได้อย่างนั้น........นอกจากเรา–– รื่น !”

เขายังคงนั่งพับเพียบอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว ไม่ได้ตอบประการใด แต่สายตาไม่ละจากใบหน้าของบุรุษเจ้าบ้าน เหมือนกันนัยน์ตานั่นบอกอะไรหลายอย่าง ซึ่งผู้ชายที่ผ่านชีวิตมาอย่างพะโป้เท่านั้นจะอ่านออก

“พอฉันกลับมาถึงบ้านเมื่อคืน ก็ได้รับรายงานทันที ว่ารื่นทำร้ายคนงานของฉัน แผลเป็นที่หน้าผากอ้ายชะนูยังเป็นประจักษ์พยานอยู่จนเดี๋ยวนี้” พะโป้พูดต่อไป “รื่นรู้หรือเปล่าว่า ถ้าฉันนำเรื่องขึ้นดำเนินคดีที่โรงศาล ผลจะเป็นอย่างไร ?”

เขาไม่ตอบ นัยน์ตาไม่กระพริบ ในห้องนั้นเงียบสงัด ได้ยินแต่เสียงถอนใจแรง

“นี่เราไม่มีอะไรจะพูดเลยหรือรื่น ?” เสียงของพะโป้บอกว่าพื้นขึ้นมาเป็นครั้งแรก

“มีประโยชน์อะไรครับนายห้าง ที่ผมจะพูด ?” เขาเอ่ย “ในเมื่อนายห้างถือตัวเป็นโจทก์ และผมเป็นจำเลยเสียแล้ว”

“ไม่ใช่ยังงั้น–– ฉันไม่ได้ตั้งข้อหาอะไรรื่น ฉันเพียงแต่เล่าถึงเรื่องราวที่นายเสถียร เขารายงานฉันเมื่อคืน และสมมุติถึงผลการดำเนินคดีให้ฟัง”

“ก็อย่างเดียวกัน ถ้านายห้างฟังรายงานนายเสถียร เรื่องทางผมก็ไม่จำเป็น”

บุรุษเจ้าบ้าน โน้มตัวลงมาข้างหน้าอย่างกระทันหัน มือที่ท้าวพรมกำแน่น แล้วก็คลายออกจากกัน ในที่สุดก็ถอนใจ

“อย่าให้ฉันโกรธ รื่น” แกพึมพำ “อย่ามาทำให้ฉันเป็นศัตรูเราไปอีกคน เล่าเรื่องของรื่นไป ฉันอยากจะฟัง––”

“ป่วยการเปล่า ๆ นายห้าง ฟังนายเสถียรดีกว่า” เขาขยับชันเข่าข้างหนึ่งตั้งท่าจะลุกขึ้น

“อย่า รื่น––อย่าเพิ่งไปเราจะเสียใจไปจนวันตาย”

“อ๋อ, ไม่มีวันเสียละ” กังวานกร้าวเหมือนเหล็กกล้ากระทบกันปรากฏออกมาจากเสียงนั้นเป็นครั้งแรก “ผมเข้ามาในบ้านนี้ ตามที่นายห้างให้ผู้ใหญ่ไปตามก็ด้วยความหวังว่าจะพบนายห้างอย่างกิตติศัพท์ที่คนเขาพูดกัน แต่ครั้นมาถึงเข้าจริง กลับพบอีกคนหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่นายห้างที่ผมตั้งใจจะมาพบ”

พะโป้เอนหลังกลับไปพิงหมอนขวานอย่างแช่มช้า นัยน์ตาทั้งคู่เป็นประกายอย่างขบขัน

“คนเขาพูดถึงฉันว่าอย่างไร รื่น”

“ปากคลองทั้งปากคลอง กำแพงทั้งกำแพง แม่ปิงทั้งแม่ปิงรู้กันแต่ว่านายห้างพะโป้ เป็นคนมีเมตตาอารีแก่คนยาก เขาว่านายห้างเป็นคนยุติธรรม ใจบุญ หนักแน่นไม่หูเบา––”

“เขาพูดของเขาถูก––”

“เปล่าเลย, ผิดทั้งเพ” รื่นขึ้นเสียงเกือบเป็นตะโกน “ถ้าเป็นคนอื่นเล่าให้ฟัง ผมจะไม่เชื่อ แต่นี่มาได้เข้ากับตัวเอง––ผมจะบอกให้นายห้างฟังว่า ใครข่มเหงใคร ไม่ใช่ผม ไม่ใช่พวกปากคลองก่อเหตุ นายห้างกะคนของนายห้างตังหาก ก่อเรื่องเกี่ยวกับสัมปทานป่าโป่งน้ำร้อน”

“ป่านั้นเป็นเขตสัมปทานของฉัน”

“งั้นทางกรมการจังหวัดก็ควรจะประกาศให้พวกเรารู้ ปากคลองอยู่กันมาก่อนที่นายห้าง หรือพญาตะก่าจะมาตั้งภูมิลำเนาลงที่นี่ ป่านั้นเป็นชีวิตของเขา เท่าๆ กับไร่เกาะ เท่าๆ กับแม่น้ำ หวงห้ามป่านั้นเมื่อไร ก็เท่ากับตัดอาชีพหนึ่งเขาออกไป”

“ไม่จริงเลย ปากคลองไม่มีอะไรนอกจากป่า และความตาย ก่อนที่ฉันและแซงพอพี่ชายฉันจะมาอยู่ที่นี่ไม่มีผู้มีคน จนกระทั่งฉันมาอยู่แล้วตั้งนาน ถ้าพวกปากคลองจะถืออะไรเป็นชีวิต สิ่งนั้นคือฉัน ทุกคนที่นี่ฟังฉัน ชาวบ้าน ผู้ใหญ่ กำนัน กรมการจังหวัด และอำเภอ––”

“งั้นก็ยังมีอีกคนหนึ่ง ที่จะไม่ฟังนายห้าง!” รื่นผลุดลุกขึ้นอย่างเสียกิริยา หน้าตาแดงก่ำไปหมด เขาไม่มองดูผู้ใหญ่พูน ไม่มองดูพะโป้ แม้กระทั่งหญิงสาวผู้โผล่ออกมาจากฉากชั้นใน ด้วยสีหน้าประหลาดใจ หันหลังได้ก็ก้าวลงบันได

เสียงหัวเราะก้องของพะโป้ เป็นเหตุให้เขาหยุดชะงัก เหลียวกลับไปอย่างโกรธจัด

“กลับมาก่อน ! เรียกแล้วบุรุษเจ้าของบ้านก็หัวเราะต่อไป หัวเราะจนน้ำตาไหล “กลับมาก่อน”

อย่างอัศจรรย์ และงงงันเหมือนคนถูกสะกดจิตเขาหันกลับไปที่ระเบียงใหม่

“นั่งลง” พะโป้นั่งตัวตรง คราบน้ำตายังเปรอะแก้ม ยิ้มอย่างกว้างจนเห็นฟันทอง “ฉันเข้าใจละว่าเพราะอะไรอ้ายชะนูกะคนงานของฉันมันถึงได้ขอร้องหนักหนาให้ย้ายมันไปประจำป่าอื่น ฉันเห็นแล้วรื่น ว่าเราเป็นคนดื้อถือทิฐิเพียงไร จะไปก็ไม่ลา เมื่อมาก็ไม่ไหว แต่ฉันไม่ถือโกรธ คนเราไม่มีความนับถือกันแล้วจะกราบไหว้ทำไม ฉันเองก็ใจอย่างนั้น ถึงครองตัวมาถึงเดี๋ยวนี้ได้”

แกมองหน้ารื่น ซึ่งยังไม่หายงง หัวเราะต่อไป แล้วจึงพูดต่อ

“กิตติศัพท์ที่เราได้ยินเกี่ยวกะฉันน่ะ ไม่ผิดหรอกรื่น ในทันทีที่กลับมาถึงบ้าน ฉันสั่งลงโทษอ้ายชะนูกะพวกคนงานเหล่านั้นทุกคน สำหรับนายเสถียรเองก็ไล่ออก–ส่งรายงานไปที่สำนักงานใหญ่ปากน้ำโพแล้ว”

“แต่นายห้างรู้ได้อย่างไร โดยยังมิได้ไต่สวนว่าคนพวกนั้นเป็นฝ่ายผิด ไม่ใช่ผมกะพวกปากคลอง?”

นัยน์ตาที่มองดูเขาเป็นประกายไปด้วยความขบขัน

“ไต่สวนทำไมกัน ในเมื่อฉันรู้แน่” แกตอบ หยุดนิ่งไปหน่อยหนึ่ง แล้วก็ถอนใจ “ฉันจำเป็นต้องรู้แน่ ก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไรลงไป ไม่งั้นก็ปกครองคนนับจำนวนพัน มานานนับสิบๆ ปีไม่ได้หรอกรื่น พูดสั้น ๆ ในคืนที่ฉันกลับมาถึงนั่นเอง รู้เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างรื่นกับคนของฉันมาก่อนแล้ว”

“นายห้างหมายความว่าคนทางบ้าน ล่วงหน้าไปบอกนายห้าง ?”

“เปล่า คนสนิทที่ฉันไว้วางใจรายงานไปที่ตะโก้งอยู่ตลอดเวลา”

เขามองหน้าบุรุษผู้นั่งหัวเราะต่อไปอยู่ต่อหน้าขณะนั้น ครั้นแล้วก็ได้คิดขึ้นมาด้วยความสะท้านสะเทือนใจว่านี่เอง พะโป้ผู้ยิ่งใหญ่ พะโป้ผู้มีคุณแก่ชาวกำแพงเพชรโดยทั่วไป และคลองสวนหมากโดยเฉพาะ พะโป้ผู้นำฉัตรทองแต่ตะโก้งมาประดิษฐาน ณ ยอดพระบรมธาตุเป็นสัญญลักษณ์ แห่งพระบวรพุทธศาสนา ซึ่งประชาชนทั้งเหนือและใต้ได้กราบไหว้กันต่อมา สำหรับจะอยู่คู่ฟ้าต่อไปในอนาคต รื่นรู้สึกตื้นตันคอหอย ไม่สามารถจะพูดอะไรออกมาได้ นอกจากก้มลงกราบชายผู้เมื่อไม่ถึงอึดใจมานี้เอง เกือบจะแยกทางกันไปชั่วชีวิต

“ได้พบรื่น และรู้จักรื่นแล้วอย่างนี้ ฉันรู้ดีว่าเพราะอะไร นายเสถียรจึงต้องยอมจำนน” พะโป้พูดต่อไป “ตั้งแต่อ้ายชะนูกะพวกคนงานของมันโดนรื่นเล่นงานคราวนั้นแล้ว ไม่มีคนงานคนไหนอีกเลย จะยอมเข้าไปในโป่งน้ำร้อน มันกลัวรื่นเสียยิ่งกว่าผีปู่ย่าตายายของมัน นอกจากนั้นเพิ่งจะมารู้กันเมื่อฉันมีคำสั่งมาจากตะโก้งว่า ไม่เคยหวงห้ามป่านั้น ถึงฉันจะได้เคยขอสัมปทานไว้จากเสนาบดีท่านทางวาจา ถามผู้ใหญ่เขาดู ถามคนรุ่นปู่ย่าตายายของคนบ้านนี้ดูว่า นับแต่พญาตะก่ากะพะโป้มาตั้งรกรากอยู่ที่นี่ เคยมีใครได้รับความเดือดร้อนเพราะเขาบ้าง เปล่าเลย ฉันอาจจะเคยใช้พระเดชกับพวกคนงานของฉัน แต่สำหรับเพื่อนบ้านทั่วไปฉันใช้แต่พระคุณ หรืออย่างไรผู้ใหญ่พูน?”

“จริงทีเดียวครับ นายห้าง!” ผู้ใหญ่บ้านปากคลองรีบรับคำ

พะโป้ยิ้มอย่างเข้าใจ “แกมันก็ดีแต่ประจบผู้ใหญ่ ค่อยยังชั่วหน่อยที่ไม่ถึงสอพลอ........เกิดเรื่องเดือดร้อนแก่ลูกบ้านถึงขั้นนั้นแล้ว ช่วยเหลืออะไรไม่ได้ ฉันเป็นแกขอลาออกแน่”

“ผม – – ผมก็กำลังจะคิดลานายอำเภอท่าน เพราะรู้สึกว่าสังขารร่วงโรยลงไปเต็มที”

“ดีทีเดียว รื่นเขาจะได้เป็นต่อไปฉันจะพูดกะเจ้าเมืองท่านเอง”

“แต่ผมไม่ต้องการจะเป็นผู้ใหญ่บ้าน” รื่นค้านมองหน้าพะโป้อย่างจริงใจ

“งั้นเราอยากจะเป็นอะไร ? ตำแหน่งหัวหน้าป่าไม้ภาคนี้ของฉัน เอาไหมล่ะ ?”

“ผมขอบใจนายห้าง” เขาตอบตะกุกตะกัก “แต่ผมไม่อยากเป็นเหมือนกัน”

“งั้นจะเป็นอะไร?”

“นายรื่น พ่อค้าไม้เล็กๆ อย่างที่เป็นอยู่ในเวลานี้แหละครับ นายห้าง”

พะโป้เอนหลังพิงร่างอันสมบูรณ์ของแกกับหมอนขวานใบนั้น หน้ากำมะหยี่สีเลือดหมูของมันพราวระยับไปด้วยดิ้นทอง ที่ปักเป็นรูปนกยูงแพนหาง มือข้างหนึ่งของแกยกขึ้นลูบคางอยู่ไปมา ขณะที่นัยน์ตาทั้งคู่ดูซึ่งไปด้วยความครุ่นคิด เมื่อเอ่ยขึ้นอีกครั้งเสียงของแกกึ่งคาดหวังกึ่งลังเล

“เท่านั้นเองหรือรื่น ที่เราอยากจะเป็น ?”

“ครับนายห้าง” เขาตอบเรียบๆ

“ฟังก่อนรื่น” พะโป้พูดต่อไปด้วยเสียงเล็กๆ ไพเราะและสม่ำเสมอ “เรากับฉันไม่เคยพบกัน รู้จักกันมาก่อนเลย ไม่เคยรู้ว่ารื่นมาจากไหน หรือมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ด้วยซ้ำไป แต่บอกตามตรงว่าในทันทีที่ได้เห็นรื่นฉันก็ชอบใจ ในลักษณะของเราบอกว่ารักที่จะเป็นใหญ่ต่อไปในกาลข้างหน้า นัยน์ตาของเราบอกว่าเป็นคนตรง และซื่อ กิริยาของเราเปิดเผยและไม่กลัวใคร ฉันอยากจะได้ไว้ร่วมงานด้วยกันจริงๆ เพราะแน่ใจว่าเราเป็นคนที่ฉันไว้วางใจได้ งานของฉันใหญ่รื่น, และฉันต้องการคนใหญ่สำหรับดูแล ฉันรับรองว่าจะอุปถัมภ์รื่นให้มีฐานะไม่แพ้ใคร มิใช่แต่ในกำแพงเท่านั้น หากตลอดทั้งสองแคว ฉันมีตำแหน่งหน้าที่สำหรับจะให้รื่นทำ นับแต่หัวหน้าป่าไม้ทุกภาค คนควบคุมแพตลอดจนกระทั่งผู้ดูแลป่าไม้ทั่วไป ตำแหน่งนั้นใหญ่ เป็นรองเฉพาะผู้จัดการใหญ่ของฉันเท่านั้น บอกมาเถอะรื่น ว่าเราต้องการอย่างไหน ?”

“ขอบพระเดชพระคุณครับ, นายห้าง” เขาตอบ “แต่ผมบอกนายห้างแล้วว่าผมต้องการอะไร ?”

“หมายความว่า เรายังอยากจะเป็นพ่อค้าไม้เล็ก ๆ อยู่อย่างนี้ ขณะที่โอกาสสำหรับจะร่ำรวยรอคอยอยู่ข้างหน้า?” พะโป้เลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ

“ผมอยากเป็นชาวบ้านปากคลองต่อไป ทุกข์ด้วยกัน สุขด้วยกัน ผ่านทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาจะต้องผ่าน”

“ข้อนั้นน่ะ ถึงเราทำงานกะฉันก็ยังจะเป็นได้อยู่”

“ทำงานกะนายห้าง ผมก็จะต้องทิ้งเขาไป อยู่ในคนละโลก ใช้ชีวิตคนละอย่างคบคนๆละชั้น” เขาไม่สามารถจะอธิบายออกไปให้ละเอียดถี่ถ้วนถึงความรู้สึกของเขาได้ ว่าชาวคลองใต้ทุกคนต้องการเขา สำหรับจะเผชิญกับอุปสรรคนานัปการไม่มีวันจะมาจากธรรมชาติหรือมนุษย์

ชั่วอึดใจหนึ่ง ความเย้ายวนของคำชักชวนของพะโป้ ทำให้เขามองเห็นตนเองในฐานะของนายเสถียร และใหญ่กว่านายเสถียร พร้อมด้วยอำนาจในการบังคับบัญชาคนงานนับร้อยนับพัน อยู่บ้านมุงกระเบื้องฝากระดาน พรั่งพร้อมไปด้วยบริวารสำหรับจะช่วงใช้ พรั่งพร้อมไปด้วยช้างสำหรับจะขี่ และเรือแพสำหรับจะเป็นพาหนะ พ่อค้าและข้าราชการจะยอมรับนับถือยกย่องเขาอยู่ในระดับเดียวกัน มันเป็นความเย้ายวนอย่างยากที่เขาจะสลัดทิ้งง่าย ๆ แต่ในชั่วอึดใจต่อมา เมื่อนึกถึงตัวเอง ในฐานที่เป็นรื่นลูกแม่ปิง เป็นคนหนึ่งและส่วนหนึ่งของชายหญิงที่เกิดมาและตายไปในลุ่มแม่น้ำนั้น มนต์อันเกิดจากวาจาพะโป้ก็คลาย

เขามองเห็นตนเองกับหญิงชายชาวปากคลอง บนไร่เกาะหน้าบ้านและในนาน้ำลาด ท่ามกลางกระแสลมที่พัดแรง และแสงแดดที่ส่องกล้า ทำงานตัวเป็นเกลียวเพื่ออนาคตอันไกล แต่เต็มไปด้วยความหวังว่าวันหนึ่งคลองสวนหมาก จะเป็นอาณาจักรที่ทุกคนจะอยู่ได้โดยสวัสดิภาพและความปลอดภัย เขามองเห็นตัวเองและสุดใจในท่ามกลางอาณาจักรนั้นในป่าสูง ซึ่งบางแห่งแสงเดือนและตะวันส่องไม่ถึง บางแห่งอื้ออึงไปด้วยศัพท์สำเนียงเสียงสัตว์จตุบาททวิบาท และบางแห่งก็เงียบสงัดแม้กระทั่งขนนกตกลงมาก็ได้ยิน สุดใจกับเขาในปางข้างกองไฟ สุดใจกับเขาบนล้อลากไม้...สุดใจกับเขา และน้าแดง ทิม มั่ง เรื่อง แววและพัน ในแพกลางแม่น้ำ........สุดใจกับเขาในที่ทุก ๆ แห่ง ซึ่งจะได้ร่วมกันสร้างโลก ชีวิตและอาณจักรนั้นขึ้นมา ต่อหน้าอุปสรรค ความทุกข์ยาก ตรากตรำนานาประการ มิใช่เพื่อหล่อน เพื่อเขา และลูกโดยเฉพาะเท่านั้น หากเพื่อชาวปากคลองทั้งตำบล–––

เป็นการสุดวิสัยที่เขาจะผละจากคนพวกนั้นไปได้ ในขณะที่ทุกคนต้องการเขาหนักหนา พะโป้อาจจะไม่เข้าใจความหมายของวาจาที่เขาอธิบายออกไป แต่นัยน์ตาคู่นั้นแจ่มใสชัดเจนพอที่จะบอกแกว่า ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะชักชวน หรือเหนี่ยวรั้งเขาให้เข้าไปร่วมงานด้วยได้ และอย่างชายผู้เคยแต่ชีวิตของกษัตริย์ ซึ่งความปรารถนาของแกไม่มีใครกล้าปฏิเสธ พะโป้รู้ดีว่าชายหนุ่มฉกรรจ์ผู้นั่งอยู่ต่อหน้าของแกในขณะนั้น ไม่มีวันที่จะยอมอยู่ในการบังคับปกครองของใครเป็นอันขาด นอกจากความปรารถนาและสติสัมปชัญญะของตัวเอง

“ฉันพยายามจะช่วยเรา อย่างที่ไม่เคยช่วยใครเลยนะรื่น” น้ำเสียงของแกบอกความเสียดาย “เพราะแน่ใจเหลือเกินว่า รื่นนี่แหละจะเป็นหลักสำหรับคนปากคลองจะได้ยึดเหนี่ยวเป็นที่พึ่งต่อไปได้ในกาลข้างหน้า แต่จนใจจริง รื่นไม่พยายามจะเข้าใจความปรารถนาดีของฉันสักอย่างเดียว”

“ผมเข้าใจตัวของผมดีครับนายห้าง ว่าจะเป็นประโยชน์แก่เพื่อนบ้านเหล่านี้ ด้วยการอยู่ร่วมกับเขา และทำงานร่วมกับเขา มากกว่าที่จะปลีกตัวออกไปแต่ลำพัง ขอให้ผมได้ทำงานของผมต่อไปตามที่ผมได้ปักใจไว้แล้วแต่ต้น” เขามองดูพะโป้อย่างเต็มหน้า “ผมเข้าใจในปรารถนาของนายห้าง แต่การอุปการะผมคนเดียว จะไม่เกิดประโยชน์อะไร นายห้างจะอุปการะทุกคนไปหรือก็ไม่ได้ ขอให้ผมกะพวกนั้นได้ช่วยตัวของตัวเองดีกว่า เพราะโดยวิธีนี้เท่านั้น ที่จะทำให้เราผ่านความเป็นอยู่ในปัจจุบันไปสู่ความเป็นอยู่ที่ดีกว่านี้ขึ้นไปได้ด้วยความภาคภูมิใจ––”

พะโป้ก้มศีรษะเนิบ ๆ อย่างเข้าใจ ยิ้มละไมปรากฏอยู่ที่เหนือริมฝีปาก สีหน้าและนัยน์ตาของแกแจ่มใส

“ฉันพอจะเข้าใจละทีนี้, รื่น....ฉันพอจะเข้าใจ” แกว่า “เราเป็นคนที่ไว้ตัวของเรา ไม่ต้องการอยู่ในบังคับบัญชาใคร ไม่ต้องการความช่วยเหลือจากใคร เราต้องการความเป็นไทแก่ตัวเอง ที่จะทำอะไรตามแต่ใจจะสั่ง....บ๊ะ !” แกหัวเราะเบา ๆ “ช่างเหมือนอะไรยังงั้น เหมือนแซงพอพี่ชายฉัน และตัวฉันเองเมื่อหนุ่ม ๆ ดีละ, ฉันเอาใจช่วยพวกเรา รื่น, แต่อย่าลืมว่าได้รับความเดือดร้อนในเรื่องทุนรอนหรือการกดขี่ข่มเหงจากใคร ขอให้คิดถึงฉันบ้าง....ขอให้ฉันได้มีโอกาสช่วยเหลือ”

“ขอบพระเดชพระคุณนายห้างที่ไม่ได้คิดรังเกียจเดียดฉัน ว่าพวกเราจะมาเป็นคู่แข่งแย่งอาชีพเดียวกัน”

“แย่งอาชีพของฉัน!” พะโป้หงายหลังพิงหมอนขวาน แหงนหน้าขึ้นหัวเราะงอหาย “คุณพระช่วย ! พวกเราชาวปากคลอง และกำแพงจะมาเป็นคู่แข่งของพะโป้ ในการค้าไม้.... โอย ! ฉันจะขันตาย ไม่มีใครในตอนนี้หรือแควไหน ไม่มีใครในเมืองไทย ที่ฉันคิดว่าพอจะเป็นคู่แข่งกะฉันได้ อย่า....รื่น, อย่าไปวิตกกังวลในเรื่องนั้น กว่าคนที่จะมาเกิด พอเป็นคู่แข่งขันกับฉันได้ยังอีกนานนัก” แกหยุดหัวเราะพลางมองหน้าชายหนุ่มอย่างปรานี “ถือฉันเหมือนเพื่อน หรือพี่น้องคนหนึ่งของเราและคนบ้านนี้, รื่น, อย่าไปถือฉัน เหมือนนายเสถียร เพราะว่าฉันไม่ใช่นายเสถียร และนายเสถียรไม่มีวันจะเป็นฉันได้”

พะโป้หยุดนิ่งไปหน่อยหนึ่ง ยกมือทั้งสองขึ้นถูกัน นัยน์ตาเป็นประกาย

“พูดถึงนายเสถียร ฉันคิดว่ารื่นคงจะเข้าใจว่าคนอย่างนั้นไม่ใช่คนที่จะละทิ้งความพยายามง่าย ๆ ฉันรู้ตั้งแต่แรกที่เขาขึ้นมาอยู่ที่นี่แล้ว ว่าเขาหมายจะสร้างเมืองลงที่นี่เหมือนกัน นายเสถียรมองการณ์ไกล เขาเห็นแม่วัง โป่งน้ำร้อน และเขาใหญ่เป็นขุมทรัพย์พระศุลีที่คนเราไม่มีวันจะขนหมด เขาไม่ได้คิดจะทำงานอยู่กับฉันหรือบริษัทนาน หากรอคอยคืนวันที่เขาจะปีกกล้าขาแข็งเพื่อปลีกตัวออกไปทำการค้าส่วนตัวของเขาเอง เคราะห์ร้ายที่นายเสถียรใจเร็ว และสำคัญคนบ้านนี้ผิด เพราะฉะนั้นโครงการของเขาจึงล้มเหลวลงไปชั่วคราว แต่ถ้าฉันดูคนไม่ผิด เขาจะกลับมาอีก น่ากลัวกว่าเก่า เป็นอันตรายกว่าเก่าเพราะจะไม่มีใครเป็นนายเขา ระวังคน ๆ นี้หน่อยรื่น”

“ขอบพระคุณ นายห้างครับ” เขาตอบเรียบ ๆ “นายห้างหมดธุระกะผมแล้วกระมัง ?”

พะโป้พยักหน้าช้า ๆ พลางถอนใจอีก “หมดแล้ว แต่ อ้อ, เรื่องนั้นเราจะว่าอย่างไร รื่น?”

ยกมือขึ้นไหว้ชายเจ้าของบ้านจะลุกขึ้นยืนอยู่รอมร่อแล้ว เขาก็ต้องกลับนั่งลงอีก

“เรื่องอะไรครับ นายห้าง ?”

“ตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านคลองใต้ที่จะว่างในปีหน้า” พะโป้หัวเราะตาจับอยู่กับผู้ใหญ่พูน ซึ่งไม่ยอมสบตาด้วย

“ผม........ผมบอกนายห้างแล้วว่าผมไม่สนใจ กับตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านกำนันอะไรที่ไหน”

“ถ้าพวกคลองใต้เขาต้องการรื่น?”

“ผมช่วยเหลือได้ ถึงจะไม่ต้องเป็นผู้ใหญ่บ้าน”

“มันไม่ใช่อย่างนั้น” พะโป้ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ “ในฐานะผู้ใหญ่บ้าน รื่นจะเป็นประโยชน์แก่ลูกบ้านได้เกินกว่าที่อื่นคิด....... เข้าใจไหมล่ะ ? ผู้ใหญ่บ้านที่เป็นผู้ใหญ่บ้านน่ะ ไม่ใช่ผู้ใหญ่บ้านที่เป็นควายใคร ๆ ก็สนตะพายได้ แต่ช่างเถอะ ยังมีเวลาพอ สำหรับรื่นจะตรึกตรองดูใหม่ ถ้าความต้องการของพวกคลองใต้ยังไม่ทำให้รื่นเปลี่ยนใจได้ เอาไว้ฟังเจ้าเมืองหรือนายอำเภอท่านดีกว่า–––”

– ๕ –

โชคชะตาของคนเรา เป็นของประหลาด รื่นไม่เคยคาดหมายเลยว่า ทั้งๆ ที่ราคาไม้ปีนั้นตกต่ำเพราะความต้องการของตลาดไม้ในกรุงเทพ ฯ และตามโรงเลื่อยต่าง ๆ บนสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาจะชะงักไปชั่วคราว เมื่อแพไม้ของเขาไปถึงปากน้ำโพ ต่วนด่ำก็คอยอยู่แล้ว และตกลงราคากันเกือบจะในทันใดที่เขาไปถึง

“ฉันจะไม่ตัดราคาของพ่อรื่นอย่างพ่อค้ารายอื่นเขาเกี่ยงงอนกัน” แกบอก ในวันที่ลงไปเยี่ยมเขาที่แพขณะจอดอยู่ใต้หน้าผา “ถ้าตามราคาปีกลายยังเป็นที่พอใจของพ่อรื่น ก็เป็นอันตกลง”

อ๋อ, แน่นอน รื่นยังพอใจในราคานั้น เพราะมันหมายความว่า ภายหลังที่คิดหักต้นทุนและค่าโสหุ้ยทั้งปวงแล้ว เขาจะยังเหลือกำไรอย่างงาม ความใจกว้างและเอื้ออารีของต่วนด่ำ ทำให้เขาประหลาดใจถึงกับอดถามขึ้นไม่ได้

“พูดกันง่าย ๆ และเปิดเผย, พ่อรื่น” แกตอบพลางหัวเราะพลาง “ฉันได้เปรียบพ่อค้าอื่น ที่กุมตลาดไม้ในกรุงเทพฯ ไว้ในกำมือเกือบทั้งหมดก็ว่าได้ นอกจากไม้ของบริษัทฝรั่งเขา เป็นธรรมดาอยู่เอง เมื่อพวกพ่อค้าเราเอาแต่ซื้อ......ซื้อเข้าไว้ไม่มีทางขาย ไม่มีทางออก ราคามันก็จะลด แต่ถ้าเราอดทนไปอีกหน่อยปล่อยให้ไม้มันแช่น้ำอยู่ในอู่........และฉันมีทุนรอนอยู่พอที่จะทำเช่นนั้น........เมื่อไม้ของพ่อค้าอื่นที่เขามีกันพอที่เข้าโรงเลื่อยหมดแล้ว ความต้องการเกิดใหม่ โรงเลื่อยทั้งหลายก็จะต้องซื้อตามราคาของฉัน”

“งั้นราคาไม้ปีหน้าก็คงจะดียิ่งขึ้นกว่าปีนี้ ?” รื่นจับความหมายได้

ต่วนยกมือตบเข่าตนเองอย่างชอบใจ “แน่นอน ใคร ๆ จะพากันเข็ด และขาดทุนขาดรอน ไม้จะเหลือน้อยลง พ่อค้าอื่น ๆ จะรามือกันไปชั่วคราว นั่นเป็นโอกาสของเราพ่อรื่น จนกว่าตลาดจะไหวตัว ฉันบอกกับพ่อรื่นอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ เพราะมีความรักน้ำใจ พูดอย่างง่าย คำไหนคำนั้น ให้ฉันบอกไหมล่ะ ว่าไม้ของพ่อรื่นปีกลายนะบอกว่ามีโพรง ๒ ต้นก็ ๒ ต้นจริงๆ”

“ปีนี้มีถึง ๑๐ เพราะมากต้นด้วยกัน” เขาบอก

“เรื่องนั้น พ่อรื่นบอกฉันแล้วและก็เชื่อว่าจะตรงตามนั้น ต่างกันกว่าคนอื่นที่ฉันเคยติดต่อมาก่อน บอกสองกลายเป็นสิบ ถ้าบอกสิบเห็นจะโพรงทั้งแพ ลำพังตาเท่านั้นดูกันทั่วถึงเมื่อไหร่ บางรายฉลาดในการเจาะจมูกผูกคาน หันไม้ด้านมีตำหนิจมน้ำเสีย ตรวจกันไปเถอะซี เคาะกันไปเถอะซี เว้นไว้แต่ที่โพรงเข้าไปตั้งครึ่งค่อนต้น คนไหนบ้างจะรู้นอกจากเจ้าของ เชื่อฉันเถอะพ่อรื่น คนเราที่คิดจะค้าขายต่อไปไม่มีอะไรจะประเสริฐเท่ากับยึดถือความซื่อตรงเข้าไว้ แล้วก็ให้ฉันบอกด้วยว่า ไม้ใหญ่ ๆ ปีหน้าราคาจะขึ้นกว่าปีนี้ มีพรรคพวกพี่น้องที่รักใคร่ชอบพอกันก็บอกต่อๆ ไป.......... ไม้ปีหน้าจะราคางาม เพราะว่านอกจากตลาดกรุงเทพ ฯ จะดีขึ้น เมืองนอกยังต้องการอีกมาก”

ข่าวนั้นทำให้โครงการใหม่ ๆ ผุดขึ้นมาในความคิดของเขา เพราะฉะนั้นในทันใดที่รับเงินเสร็จและมอบหมายแพกันเรียบร้อยแล้วนั่นเอง เขาก็พาสุดใจและลูก เดินทางกลับบ้านโดยเรือเมล์ ปล่อยให้เรือง แววและพันพร้อมด้วยตาแดง มั่งและทิมดูแลจัดการซื้อของใส่เรือเดินทางตามไปภายหลัง

ครั้งหนึ่ง เมื่อถึงบ้าน เขาก็ขยายโครงการที่คิดไว้ในใจ ให้ภรรยาและป้าแคล้วฟังทันที

“เฉพาะเงินทุนและกำไรที่เราได้ปีนี้ พอจะซื้อไม้ผูกได้สองแพพอสบาย ๆ” เขาบอก “ถ้าคิดค้างกันไว้ด้วย กำหนดชำระหมดต่อเมื่อขายไม้แล้วคงจะได้ถึงสาม แต่ความต้องการของฉันอยากได้ถึงห้า นี่แหละถึงได้รีบขึ้นมาปรึกษาป้าว่า จะมีทางกู้ยืมใครเขาได้บ้าง อีกสักสิบชั่งยี่สิบชั่ง ฉันแน่ใจเหลือเกินว่าถ้าเป็นอย่างต่วนด่ำแกบอกเรา เป็นฟื้นแน่ บ้านนี้จะกลายเป็นเรือนมุงกระเบื้องฝากระดาน เราจะทอดกฐินกันให้เป็นการเอิกเกริกสักครั้ง แล้วก็อยากจะสร้างศาลาที่วัดอีกสักหลัง....”

แม่เฒ่า นิ่งฟังเขาอยู่ตลอดเวลาด้วยความสนใจ ในทันใดที่เขาพูดจบลง แกก็เอ่ย

“ก็ถ้ามันไม่เป็นไปอย่างนายต่วนด่ำเขาว่าละรื่น ?”

“ต่วนด่ำเป็นคนดีนะป้า เขาบอกข่าวให้ก็เพราะเอ็นดูฉัน เขาไม่ใช่คนพูดพล่อยหรือกลับกลอก”

“เปล่า ข้าไม่ได้ว่ายังงั้น มันไม่ได้เกี่ยวกับต่วนด่ำ แต่เกี่ยวกับเอ็ง” ป้าแคล้วว่า นัยน์ตาของแกเต็มไปด้วยความครุ่นคิด “อ้ายเรื่องทุนรอนที่ยังขาดนะพอจะออกปากกะพ่อชื่นแม่ปรางเขาได้ แต่อย่าลืมว่าเอ็งเพิ่งล่องไม้มาสองน้ำเท่านั้น เพียงแพสองแพนะ พอจะหาคนที่ชำนาญแล้วก็ไว้วางใจได้ แต่ห้าแพมันจะเกินกำลังเอ็งไปละมั้ง รื่น ?”

เขาหยุดคิดอยู่หน่อยหนึ่ง เมื่อได้ฟังคำทักท้วงของหญิงชรา แต่สีหน้าเต็มไปด้วยความมั่นใจ

“เรื่องนี้ก่อนขึ้นมา ฉันปรึกษาน้าแดงดูแล้วละจ้ะ, ป้า คนน่ะแกรับว่าพอหาได้ แต่ฉันคิดว่าจะล่องทยอยกันลงไป หัวน้ำงวดหนึ่ง ท้ายน้ำงวดหนึ่ง จะสะดวกกว่า ส่วนเรื่องอื่น ๆ นะ มันแล้วแต่โชค”

ป้าแคล้วถอนใจ “งั้นก็แล้วแต่ใจเอ็ง รื่น ข้าไม่ขัดเอาเถอะ, เรื่องเงินทองจะเป็นธุระจัดการให้เอง”

รื่นมีเวลาพักผ่อนอยู่กับบ้านไม่ได้ถึงเดือนดี ขณะที่แพ ไม้ เสา และเรือโกลน ยังล่องผ่านหน้าบ้านไปไม่เว้นแต่ละวัน เพราะฤดูของการล่องแพยังไม่สิ้นลงนั่นเอง เขาก็ออกเดินทางไปติดต่อตกไม้กับบรรดาขาประจำเก่าๆ ทางเหนือ แล้วก็เลยลงไปทางใต้ โดยมิได้คิดเห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย จนกระทั่งฤดูหนาวผ่านไปอีกปีหนึ่ง การตระเตรียมต่างๆ จึงเสร็จสิ้นลง

เรือของเขาบรรทุกสินค้า เครื่องนุ่งห่มและของกินจากปากน้ำโพตามมาถึงทีหลัง พร้อมด้วยข่าวนายเสถียรเป็นครั้งแรก นับแต่รื่นได้พบกับพะโป้วันนั้น ตามรายงานของตาแดง เมื่อถูกส่งตัวกลับไปบริษัทใหญ่ที่เกาะยมแล้ว นายเสถียรลาออกจากงานลงไปอยู่บ้านเดิมที่กรุงเก่าชั่วคราว ครั้นแล้วก็กลับขึ้นมาปากน้ำโพอีก

“ฉันพบเขาที่ตลาด เมื่อรื่นขึ้นมาแล้ว” ตาแดงเล่า “เห็นเขาว่ามาตรวจลาดเลาของทำเล เพื่อตั้งสำนักงานหรือบริษัทค้าไม้ของเขาเองขึ้นที่นั่น รื่นคงยังไม่รู้ละมังว่าเขาได้สัมปทานป่าไม้ที่แม่ระกา วังพระธาตุ แล้วก็โป่งน้ำร้อน ?”

ข่าวนี้ถึงกับทำให้รื่นตะลึงไปเป็นครู่

“จะเป็นไปได้อย่างไร น้าแดง ?” เสียงของเขาบอก ความหลากใจสงสัย และลังเล “ทั้งหลวงทั้งราษฎร์รู้กันอยู่ทั่วไปแล้วไม่ใช่หรือว่า ชาวบ้านได้อาศัยทำมาหากินกันมาแต่ไหนแต่ไร หลวงท่านคงไม่ปล่อยให้เป็นไปอย่างว่าเป็นแน่ นอกจากนั้น พะโป้เองยังเคยบอกฉันว่า สำหรับป่าโป่งน้ำร้อน แกเคยทาบทามขอสัมปทานกับเสนาบดีท่านไว้แล้ว แต่พะโป้ก็ไม่เคยมีเจตนาที่จะหวงห้ามชาวบ้านตัดไม้ในป่านั้น นอกจากไม้สักของแก...”

ตาแดงยกมือขึ้นเกาศีรษะ

“นั่นแหละ รื่น ความจริงจะเป็นอย่างไร ฉันก็ไม่รู้ แต่เห็นนายเสถียรเขาบอกยังงั้นนี่ นอกจากนี้เขายังสั่งมาด้วย––”

“สั่งอะไร ?”

“สั่งว่าเขาฝากความคิดถึงมายังรื่น – – – บอกว่าถ้าไม่ตายปีหน้าฟ้าใหม่คงจะได้พบกันอีก เขาหมายความถึงอะไรนะรื่น ?”

“ฉันจะไปรู้ได้ยังไง แต่ความรักใคร่ระหว่างเขากะฉันน่ะไม่มีแน่” เขาหัวเราะ

รื่นรู้ดีทั้ง ๆ ที่ตอบออกไปเช่นนั้น ว่ามันหมายความถึงอะไร ข่าวใหม่ที่ได้รับทำให้อดรู้สึกไม่ได้ว่า วิถีชีวิตของเขากับนายเสถียรไม่มีทางจะหลีกกันพ้น จนกว่าจะได้เผชิญกันแล้วในกลางสนาม และฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดราข้อไปเอง เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไปก็ตาม เขารู้แน่แต่ว่าฝ่ายนั้นจะต้องไม่ใช่เขา

“จริงของพะโป้เหลือเกิน” เขาครุ่นคิดอยู่ในใจ นึกได้ถึงคำเตือนของราชาป่าไม้ผู้นั้น

ข้อเดียวที่รื่นไม่สามารถจะเข้าใจได้ก็คือ เหตุไฉนนายเสถียร จึงจำเพาะเจาะจงต้องการเข้าครอบครองป่าเหล่านั้นในขณะที่ป่าอื่น ๆ ยังมีอยู่ทั่วเมืองไทย ? เหตุไฉนนายเสถียรจึงมุ่งร้ายหมายขวัญถือเขาเป็นศัตรูแต่ผู้เดียว ในขณะที่ผลประโยชน์ของมันเกี่ยวกับทุกคนบนฝั่งแม่ปิง ?

“ฉันจะไม่ยอมอ่อนข้อให้เขาเลย จะเป็นเทวดามาแต่ไหนก็ตาม” รื่นคิดด้วยความขมขื่น อิดโรยและอ่อนใจ

ความตรากตรำงานโดยปราศจากการพักผ่อนอย่างเพียงพอ และความกังวลถึงงานใหญ่ที่รอคอยอยู่ข้างหน้า ทำให้เขาเปลี่ยนแปลงไปนับแต่กลับจากค้าไม้นั้นเป็นต้นมา หน้าตาที่เคยยิ้มแย้มแจ่มใส กลายเป็นหมกมุ่นครุ่นคิด การเล่นหัวและเสียงหัวเราะ ที่ทุกคนได้ยินอยู่เสมอก็เงียบหายจนกระทั่งสุดใจเองก็พลอยกระวนกระวายใจไปด้วย

“เป็นอะไรไปหรือพี่รื่น ?” หล่อนเคยถาม และแทนคำตอบ ทุกคราวเขาก็ได้แต่จะหันไปยิ้ม ยกมือขึ้นลูบหลัง ลูบไหล่หล่อน แล้วก็ถอนใจ

“ไม่มีอะไร สุดใจ” เขามักจะตอบ “ไม่มีอะไร ข้าเพียงแต่คิดถึงการค้าไม้ของเราในปีหน้าเท่านั้น”

วันหนึ่งเมื่อกลับจากฟังเทศน์มหาชาติที่วัดด้วยกันในปีนั้น เขาพาหล่อนหลบเข้าไปเดินเล่นอยู่ในลานพระบรมธาตุเป็นเวลานาน ความสงบเงียบของบริเวณนั้นตลอดจนกลิ่นจำปาที่เรียงรายอยู่รอบฐานองค์พระและบุนนากต้นใหญ่ที่โปรยเกสรลงมาตามลม หล่นอยู่เกลื่อนชานกำแพงชั้นในและใบเสมา ทำให้สีหน้าและนัยน์ตาอันร่วงโรยมีชีวิตขึ้น รื่นชวนหล่อนคุกเข่าลงนมัสการองค์พระนั่งอยู่นานเหมือนจะไม่มีเวลาลุกขึ้น

“อธิษฐานอะไรหรือ พี่รื่น ?” สุดใจหัวเราะเบา ๆ เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นในที่สุด

“ขอให้เองรักข้าตลอดไปทั้งชาตินี้และชาติหน้า” สามีหันมาหัวเราะตอบโดยไม่ต้องคิด และเมื่อเขาหัวเราะสีหน้านั้น ก็อ่อนโยนลงเหมือนเด็ก ๆ ไม่เดียงสา แต่ก็ชั่วเวลาเพียงครู่เดียวเท่านั้น ต่อมามันก็เปลี่ยนไปเป็นจริงจัง

“อยากรู้นักหรือสุดใจ ว่าข้าคิดถึงอะไร ? อธิษฐานว่าอะไร ?” ถามพลางถอนใจ “จะบอกให้ฟัง – –ปู่ย่าตายายเคยเล่าให้ข้ารู้ว่า แต่ก่อนที่นี่มีพระเจดีย์อยู่สามองค์ ไม่มีใครรู้ว่ามีมาแต่ครั้งไหน ไม่มีใครรู้ว่าใครมาสร้างไว้ ? นอกจากในเรื่องชาดกปรำปราหรือเทพนิยาย แต่ทุกคนรู้ว่าใครเป็นผู้มารวมพระเจดีย์สามองค์นั้นสร้างขึ้นเป็นองค์เดียวกัน ทุกคนรู้ว่าใครยกยอดฉัตรทอง แต่ก่อนมาข้ามอง ๆ ดูแล้วเคยคิดอัศจรรย์ใจว่า สุดวิสัยที่มนุษย์ธรรมดาสามัญสมัยนี้ จะทำอย่างนั้นได้! – – มาเมื่อกี้นี้เอง ทันใดที่ก้มลงกราบองค์พระ ข้าก็นึกถึงพะโป้ได้ สุดใจ ภายหลังที่ได้พบปะพูดจากับแกครั้งนั้นแล้ว ข้าคิดว่าข้าเข้าใจว่า ทำไมพระธาตุองค์นี้จึงเป็นเจดีย์มหึมาขึ้นได้ และทำไมการยกยอดฉัตรทองจึงสำเร็จ คนอย่างพญาตะก่าพี่ พะโป้น้อง หาอีกไม่ได้ในชาตินี้ แกไม่ใช่คนไทย แต่แกก็รักเมืองไทย รักคนไทย เพราะมันเป็นถิ่นฐานที่สร้างแกขึ้นมา และเป็นคนที่แกจะหาความสุข ความรักด้วยได้ เอ็งยังจำคืนแรกที่เราพบกันได้ไหมสุดใจ ? ยังจำที่ข้าพูดได้ไหมว่า พญาตะก่ากะพะโป้สร้างพระธาตุ แต่ข้ากะเอ็งจะสร้างปากคลองให้เป็นของพวกเราต่อไป”

เขาหยุดนิ่งไปนาน เมื่อเงยหน้าขึ้นชำเลืองดูเขา หล่อนรู้สึกอัศจรรย์ใจ ที่แลเห็นหน้านั้นและตานั้นแจ่มใสเสียนี่กระไร เหมือนชายที่มองเห็นความหวังและอนาคตที่ปรากฏอยู่ข้างหน้า

“นั่นเป็นความปรารถนาสูงสุดในชีวิตของข้าขณะนี้สุดใจ” เขาพูดต่อไป สายตาจับอยู่กับใบระกา ซึ่งกวัดไกวกรุ๋งกริ๋งอยู่บนยอดเจดีย์อันเป็นประกายวาววับ ขณะที่ต้องแสงแดดยามเย็น “ข้าต้องการจะเห็นทุกครอบครัวและทุกคนในคลองใต้ได้อยู่และกินกันอย่างคนควรจะอยู่ไม่ใช่อย่างวัวอย่างควาย เจ็บได้เจ็บไป ตายได้ตายไป ไม่มีการเยียวยา ไม่ได้รับการรักษาเพราะหาหมอไม่ได้ หาคนเหลียวแลไม่ได้ ในเมืองกับปากคลอง ห่างกันเพียงชั่วแม่น้ำคั่นเท่านั้น แต่เราก็อยู่กันเหมือนคนละโลก และเกิดมาคนละยุค ข้าอธิษฐาน, สุดใจ, ขอให้ข้ามีน้ำใจเข้มแข็งเหมือนพะโป้ เก่งกล้าเหมือนพะโป้ เพื่อจะได้พาพวกเราไปสู่คืนวันที่ดีกว่านี้ อย่างที่พะโป้พาไพร่กะเหรี่ยงของแกมาตั้งรากฐานลงที่คลองเหนือ”

“แต่พี่รื่นก็เป็นคนเข้มแข็งเสมอมา เก่งกล้าเสมอมา” ภรรยาพึมพำ

“เปล่า, สุดใจ ความแข็งแรงของร่างกายไม่ได้หมายความว่าคนเราจะเข้มแข็งเสมอไป ความเก่งความกล้ามีประโยชน์อะไร เมื่อหัวใจปวกเปียก” เขาค้าน “ไม่มีใครจะรู้ดีไปกว่าข้าในข้อนั้น หลายครั้งข้าเกิดความท้อแท้ เมื่อมองเห็นงานข้างหน้า หลายครั้งข้าอยากจะเลิกล้มความพยายามที่จะทำดี เมื่อคิดว่าไม่มีคนเห็น นั่นไม่ใช่ความเข้มแข็งแน่ สุดใจ ใคร ๆ เขาเห็นแต่ว่าข้าเป็นคนที่จะไม่ยอมให้ใคร ไม่ลงให้ใคร คนพวกนั้นเข้าใจผิดถนัด ยังมีอีกคนหนึ่งที่ข้ายังไม่สามารถจะเอาชนะได้”

“ใครกัน พี่รื่น ? ใครจ๊ะ”

“ตัวข้าเอง !” ตอบแล้วเขาก็นิ่งไปอีก สีหน้าและนัยน์ตามิได้เปลี่ยนแปลง “ไม่มีใครในบ้านนี้จะอ่อนแอเท่ากับข้าเลย สุดใจ, เหมือนขี้ผึ้งเมื่อถูกลนไฟ เมื่อใกล้คนที่ข้ารัก ข้าชอบ แล้วก็เหมือนเพชฌฆาตหรือเสือร้ายเมื่อใกล้คนที่ข้าเกลียด ข้าชัง ทำอะไรจะเอาให้ได้ยังใจ ทำยังไงเสียข้าก็ตัดนิสัยนี้ไม่ขาด ผู้ชายอย่างนั้นเป็นใหญ่ไม่ได้ สุดใจ และข้าก็ต้องการเป็นใหญ่อยู่ที่นี่ – –”

“พี่รื่นเป็นใหญ่กว่าใคร ๆ อยู่แล้วในคลองใต้” หล่อนบอก “พี่รื่นจะเป็นใหญ่ต่อไป – –”

รื่นมิได้ตอบประการใด นอกจากลุกขึ้นยืนหันหน้าเดินกลับออกมาจากลานพระบรมธาตุช้า ๆ สุดใจก็ตามไป หล่อนไม่สามารถจะบอกได้ว่า เขากำลังคิดอะไร และเมื่อเขาอยู่ในอารมณ์นั้น สุดใจก็ไม่พยายามที่จะเซ้าซี้ซักถาม

แต่ท่ามกลางความสงัดเงียบของลานพระบรมธาตุเบื้องหลัง เสียงใบระกาต้องลมดังอยู่เป็นจังหวะ ฟังเหมือนพรที่เทพยดาเบื้องบน กำลังประทานให้ตอบคำอธิษฐานของเขา

– ๖ –

อย่างไรก็ดี, เมื่อฤดูของการล่องไม้ครั้งใหญ่ในชีวิตของเขาเป็นครั้งแรกมาถึงเข้าจริง และทุกๆ อย่างเป็นไปตามความคาดหมาย ความยิ้มแย้มแจ่มใส ร่าเริงและเสียงหัวเราะ ก็กลับมาสู่รื่นอีกครั้งหนึ่ง

เขากลับจากปากน้ำโพ ปีนั้นพร้อมด้วยของทำบุญและเครื่องกฐินที่จะทอดในพรรษาต่อไป บรรดาเพื่อนบ้านทั้งหลายได้รับของฝากกันทั่วหน้า บ้างเป็นเสื้อผ้า บ้างเป็นของเล่น ของกินและของใช้ ตามแต่ความเหมาะสมของวัยและเพศ

โชคชะตาและวาสนา ซึ่งน้อยครั้งจะได้เคยปรากฏแก่น้อยคนมาถึงรื่น ราวกับคนที่ลืมตาตื่นขึ้นพบตนเองในเมืองลับแล หรือถ้ำขุมทรัพย์มหาศาลของปู่โสม กำไรจากการค้าไม้ในปีนั้น เป็นไปมิได้ผิดพลาดจากต่วนด่ำบอกเล่า และเขาคาดคะเนไว้ เพราะฉะนั้นจึงมากพอสำหรับยุคและสมัยที่เขาอยู่ จะบำเพ็ญตนเป็นเศรษฐีย่อย ๆ นอนกินไปจนตาย หรือเป็นพ่อค้าไม้รายใหญ่ขึ้นอีกคนหนึ่งแห่งลุ่มน้ำแม่ปิง แต่รื่นไม่ยอมเลือกสักอย่างเดียว เขาไม่เคยลืมวาจาที่เขาลั่นไว้ เขาจะปลูกเรือนใหม่ เขาจะสร้างศาลาวัด เขาจะทอดกฐิน และเขาก็ปรารถนาจะทำตามนั้น แม้มิใช่ด้วยเหตุอื่นใด ก็ด้วยความพอใจของเขาเอง

“เราจะสร้างศาลาวัดก่อนให้ทันรับและฉลองพร้อมกับกฐินปีนี้” เขาบอกสุดใจ “สำหรับปลูกเรือนใหม่ เอาไว้ทีหลังได้”

แต่ในขณะที่บอกบุญขอแรงชาวบ้านไปแล้ว และกำลังเตรียมการจะยกศาลาวัดอยู่นั่นเองข่าวใหม่ก็มาถึง ผู้ใหญ่พูนมาหาเขาที่บ้านในเย็นวันหนึ่ง ด้วยสีหน้าซึ่งยิ้มแย้มแจ่มใส ตามอารมณ์ดีของแก ขณะที่รื่นและครอบครัวอยู่พร้อมหน้ากัน

“ฉันเอาข่าวดีมาบอกรื่น” แกเอ่ยเกือบจะในทันใด ที่นั่งปุกลงบนระเบียงเรือน

“ข่าวอะไรกัน ผู้ใหญ่ ?” สีหน้าและเสียงของเขาแสดงความประหลาดใจ

“ฉันลาออกจากผู้ใหญ่บ้านแล้วละ”

“อ้าว, ลาออกทำไมกัน ?”

“ก็–––ก็” กิริยาของผู้ใหญ่พูนกลับอึดอัดขึ้นมาใหม่ “ก็รื่นจำที่นายห้างบอกครั้งนั้นไม่ได้หรือ ว่าฉันไม่เหมาะสำหรับจะเป็นผู้ใหญ่บ้าน ตั้งแต่นั้นมาฉันคิด ๆ ดูแล้วก็เห็นจริงอย่างแกว่า พยายามหาเหตุผลที่จะลาออกก็ไม่รู้จะไปอ้างกะนายอำเภอท่านว่ายังไง จึงได้รีรออยู่เรื่อยมา เคยปรึกษาใคร ๆ เขาว่าจะเขียนเป็นหนังสือไปดีหรือไม่ ใคร ๆ เขาก็ว่าไม่เหมาะ ครั้นจะไปพบนายอำเภอท่านเองก็ไม่กล้า มาจนเมื่อเช้านี้แหละ ฉันถูกเรียกตัวไปเมืองพบกับนายอำเภอ พอเห็นหน้าฉัน ท่านก็ว่าฉันพ้นตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านคลองสวนหมากใต้ จะตั้งรื่นเป็นแทนต่อไป ฉันดีใจจริง ๆ รื่น จึงได้รีบ มาหา–––”

“นั่นผู้ใหญ่ไม่ได้ลาออกนี้ นายอำเภอท่านปลดตังหาก ผู้ใหญ่มีความผิดอะไร ?”

“เปล่า ไม่เคยมี” ผู้ใหญ่พูนตีหน้าเซ่อ “เมื่อวานซืน นายอำเภอท่านไปเยี่ยมนายห้างที่คลองเหนือ แล้ววันนี้ฉันก็ถูกเรียกตัวไปเท่านั้นเอง ท่านให้ฉันบอกรื่นให้ไปเมืองวันพรุ่งนี้”

ในที่สุดพะโป้ก็มิได้ลืมวาจาที่แกลั่นไว้ ในที่สุดสิ่งที่เขาไม่ปรารถนาด้วยความจริงใจก็มาถึง รื่นนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ทุกคนแปลกใจที่เห็นใบหน้าของเขาเรื่อ มิใช่ด้วยความยินดี หากด้วยความเดือดดาลที่พลุ่งพล่านคุกกรุ่นอยู่ภายใน

“ผู้ใหญ่” ในที่สุดเขาจึงเอ่ย มองดูผู้ใหญ่พูนด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย จนแกเองต้องหลบตา “ผู้ใหญ่ยังจำได้ไหมว่า ฉันบอกพะโป้ไว้อย่างไร ?”

“จำได้ รื่น––จำได้” กิริยาผู้ใหญ่พูนอึดอัดยิ่งขึ้น “แต่ฉันดีใจจริง ๆ นะ ที่รื่นจะได้เป็นผู้ใหญ่บ้านต่อไป ฉันดีใจจริง ๆ เป็นความสัตย์”

“ฉันรู้ว่าผู้ใหญ่พูดด้วยน้ำใสใจจริง” เขาตอบขรึม ๆ

“งั้นยังมีอะไรอีกล่ะ ในเมื่อมันเป็นความปรารถนาของนายอำเภอ ท่านจะให้รื่นเป็นผู้ใหญ่บ้านแทนฉันต่อไป?”

“มันเป็นความปรารถนาของพะโป้ ที่นายอำเภอรับคำสั่งมาตังหาก” อารมณ์อันร้อนแรงของเขาอดปรากฏออกมาในกังวานเสียงไม่ได้ “ฉันไม่อยากจะให้คนบ้านนี้คาดหน้าตราชื่อฉันได้ ว่ามาแย่งตำแหน่งจากท่านผู้ใหญ่”

“ไม่มีใครเขาจะว่ายังงั้นหรอกรื่น”

“แล้วถึงจะรักนับถือแกสักเพียงใด ฉันก็ไม่ต้องการจะเป็นผู้ใหญ่บ้านที่พะโป้ตั้ง”

“รื่น!” แม่เฒ่าแคล้วซึ่งนั่งตำหมากอยู่ทางปลายระเบียงด้านหนึ่งข้างหลานสาว เอ่ยขึ้นเป็นครั้งแรก “เอาไว้ฟังจากนายอำเภอท่านให้มันเป็นการแน่นอนเสียก่อนไม่ดีรึ ข้าฟังเจ้าพูนพูดมานานแล้ว ยังไม่รู้เรื่องว่ามันพูดอะไรของมัน เดี๋ยวว่าลา เดี๋ยวว่าไล่ เดียวว่าดีใจ เดี๋ยวดูยังจะเสียดาย––”

“ฉันดีใจกะรื่นจริงๆ” ผู้ใหญ่พูนยืนยัน

ข้อนั้นรื่นเชื่อแกอย่างไม่มีที่สงสัย ถึงกระนั้นข่าวนี้ก็ไม่ทำให้เขายินดียินร้ายอะไรมากไปกว่าความอึดอัดใจที่ได้รับ

“พรุ่งนี้แหละป้า ฉันจะไปหานายอำเภอท่าน” เขาบอก “ฉันรู้ว่าพะโป้แกมีเจตนาดีต่อฉัน แต่ก็พูดกันไว้รู้เรื่องแล้วนี่ ว่าฉันไม่อยากจะเป็นผู้ใหญ่บ้าน ให้ฉันอยู่ของฉันอย่างนี้จะเป็นประโยชน์แก่พวกปากคลองมากกว่า––”

แต่เมื่อถึงเวลาไปพบกับนายอำเภอเมืองเข้าจริงในวันรุ่งขึ้น เกือบเป็นการสุดวิสัยที่รื่นจะหาเหตุผลอธิบายให้เข้าใจได้ ว่าอะไรเป็นสาเหตุให้เขาปฏิเสธตำแหน่งนั้น หลวงราชบริการมารับตำแหน่งนายอำเภอด้วยความโปรดปรานของเสนาบดีมหาดไทย มากกว่าจะด้วยความสามารถในการปกครอง และอย่างคนของเสนาบดี ไม่เคยมีอะไรที่แกปรารถนาแล้วจะไม่ได้ ไม่เคยมีใครที่แกสั่งแล้วจะไม่ปฏิบัติตาม จึงไม่ต้องสงสัยว่าความอิดเอื้อนของรื่น จะไม่ทำให้บรรยากาศในห้องทำงานเคร่งเครียดขึ้น ภายหลังที่การพบปะเจรจาดำเนินไปเพียงชั่วอึดใจเดียว

“แกเห็นจะลืมไปว่า แกกำลังพูดอยู่กับใคร” ใบหน้าของคุณหลวง ซึ่งตามปกติก็แดงเรื่ออยู่แล้ว ด้วยเลือดฝาดเพราะความสมบูรณ์ แดงจัดยิ่งขึ้นด้วยความไม่พอใจ “ทุกคนที่อยู่ในฐานะเดียวกันกับแก จะตรงเข้ามากราบตีนฉันทันทีที่รู้เรื่องนี้ มันเป็นโชคดีอย่างที่ในชีวิตแกจะไม่ได้พบอีก และฉันไม่เคยยกย่องใครโดยไม่ทันเห็นหน้าค่าตาอย่างแก ในชีวิตฉัน”

รื่นคิดว่า เสียงของเขาคงสั่นไปบ้าง เพราะควบคุมสติไว้โดยยากในขณะที่ตอบ

“กระผม–กระผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ใต้เท้าขัดเคืองเลยจนนิดเดียว เป็นความสัตย์ แต่อย่างที่ได้กราบเรียนมาแล้ว กระผมยังไม่อยากเป็นผู้ใหญ่บ้านคลองใต้”

“เพราะอะไร ?” เสียงหลวงราชบริการเยาะ ๆ ความอบอ้าวภายในห้องนั้น ทำให้ศีรษะของแกที่เถิกขึ้นไป แลดูเป็นมันไปด้วยเหงื่อ “เพราะมันยังเล็กไปสำหรับคนอย่างแก ? อย่ากลัว บ้านเรือนมากขึ้นอีกสักหน่อยในไม่กี่ปี ครองใต้ก็จะมีกำนัน หรือต้องการตำแหน่งใหญ่กว่านั้น ?”

เขานิ่งอยู่นาน เพราะเป็นการสุดวิสัยที่จะเอ่ยตอบออกมาในขณะนั้นได้ โดยไม่แสดงกิริยาอันใดออกไป ซึ่งจะเป็นภัยแก่ตัวเองต่อไปในภายหน้า

“ใต้เท้าครับ” เมื่อเอ่ยอีกครั้ง เสียงที่รื่นพยายามบังคับฟังดูแปร่งไป จนตนเองก็เกือบจะจำไม่ได้ “ขอให้กระผมเรียนถามสักหน่อยว่า ผู้ใหญ่พูนมีความผิดอะไร ถึงได้ถูกปลดออก”

“ไม่มี” คุณหลวงตอบอย่างง่ายที่สุด “ถามทำไม”

“งั้นทำไมไม่ให้แกเป็นต่อไป ?”

“นั่นมันเรื่องของฉัน ฉันไม่ต้องการผู้ใหญ่บ้านคลองสวนหมากอย่างผู้ใหญ่พูน ฉันต้องการคนอย่างแก”

“แต่กระผมเรียนให้ทราบแล้วว่า กระผมยังไม่อยากจะเป็น” รื่นอ่อนใจ “กระผมยังมีงานอีกหลายอย่างที่จะทำ ไหนจะค้าไม้ ไหนจะทำไร่ ไหนจะทำนา เวลาจะอยู่กับบ้านเกือบไม่มีเลย ผู้ใหญ่บ้านจะมีประโยชน์อะไร ถ้าไม่มีเวลาจะอยู่ดูแลลูกบ้านโดยใกล้ชิด”

“ก็ผู้ใหญ่พูนเขาเป็นผู้ใหญ่บ้านมาได้อย่างไร”

เขาไม่มีทางจะตอบได้เลยแก่กระทู้ถามข้อนั้น โดยปราศจากการวิพากษ์วิจารณ์ชายผู้เป็นคน หนึ่งในจำนวนเพื่อนที่ได้อ้าแขนออกต้อนรับเขา นับแต่วันแรกที่ได้มาตั้งรกรากลงที่นั่น

“ฟังฉันก่อน รื่น” คุณหลวงยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับเหงื่อที่ศีรษะ “ฉันเคยได้ยินแต่กิตติศัพท์ของแกจากชาวบ้าน จากนายเสถียร และจากนายห้าง เพิ่งจะได้เห็นหน้าเห็นตาก็วันนี้แหละ ถ้าฉันทายไม่ผิด แกก็คงไม่ใช่คนบ้านนี้ เพราะฉะนั้นจึงยังคงไม่รู้จักฉันดีพอ ในชีวิตแกคงจะได้ท่องเที่ยวมามาก รู้จักอะไรต่ออะไรดีกว่าหลายคนที่นี่ เพราะฉะนั้นแกถึงคิดว่าโตพอแล้ว สำหรับจะพูดกะฉันอย่างนั้น”

“มิได้ครับ ใต้เท้า” หน้าที่แดงของเขาซีดลงเพราะความเดือดดาลที่คุกรุ่นอยู่ภายใน เมื่อสำนึกถึงความคุกคามที่ปรากฏอยู่ในเสียงนั้น “ไม่มีอะไรที่กระผมจะได้ดีใจเท่ากับได้เป็นใหญ่บ้านคลองสวนหมากใต้ ไม่มีอะไรที่จะมาทำให้กระผมลืมพระเดชพระคุณที่ใต้เท้ามีต่อกระผมได้ แต่ยังไม่ใช่เวลานี้ ขอเวลาให้ผมอีกสัก 2–3 ปี กระผมยินดีสนองพระเดชพระคุณอย่างสุดความสามารถทีเดียว”

หลวงราชบริการลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างขัดใจ เดินไปหยุดอยู่ที่หน้าต่าง มองดูวัดชีนางเกา และวิหารร้างท่ามกลางแสงแดดที่แผดเปรี้ยงอยู่ข้างนอก เอ่ยขึ้นโดยมิได้หันมามองดูรื่นเลย

“ฉันรอไม่ได้ เมื่อแกไม่รับ ยังมีคนอีกถมไปที่จะแทนผู้ใหญ่พูน”

การสนทนายุติลงเพียงแค่นั้นเอง รื่นกราบลงกับพื้น ทางเบื้องหลังนายอำเภอด้วยความจำใจ มากกว่าจะด้วยความเคารพยำเกรง

ตลอดทางที่ลงจากที่ว่าการมาในท่ามกลางเวลากลางวัน ซึ่งลมตกและพื้นดินผะผ่าวไปด้วยไอแดด ความคิดของเขาเดือดพล่านไปด้วยเหตุการณ์ที่ประสบมาแล้ว

“ทำตัวยังกะเจ้าเมืองก็ไม่ปาน” อารมณ์ของรื่นพล่านต่อไป ไม่ได้เอาใจใส่ต่อตะวันที่แผดกล้าอยู่ในท้องฟ้าอันปราศจากเมฆ ไม่แยแสต่อพื้นดินและหาดทรายที่ร้อนราวกับจะเผาเท้าที่เปลือยเปล่าให้สุก จนกระทั่งถึงชายน้ำและเรือชะล่า ซึ่งจะพาข้ามฟากไปส่งที่ท่า หน้าป่าช้าท้ายวัดพระบรมธาตุ ขณะนั้นเองเขาจึงเหลือบไปเห็นควันกลุ่มนั้นเป็นครั้งแรก

มันลอยอยู่เหนือทิวไม้เบื้องหลังดงตาล และพระเจดีย์กลางทุ่งออกไป ในชั้นแรกก็เป็นสีเทาและจับกลุ่มเป็นก้อนอยู่เฉพาะตอนนั้น แต่ภายในชั่วอึดใจที่เขายืนดูอยู่เท่านั้น ลมก็เกิดและควันก็เปลี่ยนเป็นสีดำ ขยายอาณาบริเวณลามออกไปทั้งข้างซ้ายและข้างขวา จนกระทั่งท้องฟ้าของพระบรมธาตุเป็นพยับครึ้ม เหมือนเมฆมืดลอยลงมาปกคลุม

รื่นหันไปมองคนเรือทันที “เป็นมาตั้งแต่เมื่อไร ตาพุ่ม ?”

“ซักกะเดี๋ยวนี้เอง รื่น” เป็นคำตอบ

เวลายิ่งล่วงไป ควันไฟก็ยิ่งหนาแน่นขยายขึ้นไปทางเหนือเป็นลำดับ และลมซึ่งโหมแรงขึ้นทุกขณะ ก็พัดออกแม่น้ำ เหนือหัวรอขึ้นไปรื่นมองเห็นสีเหลืองของสะบงและอังสะพระกับเณร วิ่งขึ้นลงขวักไขว่อยู่ที่บันไดอันสูงของศาลาท่าวัด อีกพริบตาเดียวต่อมา ควันอีกกลุ่มหนึ่งดำมืดและมหึมาขนาด ภูเขาย่อม ๆ ก็ปรากฏขึ้นที่เหนือขอบฟ้าทางบ้านไร่

“เร็ว! ตานุ่ม นั่นมันไฟไหม้ป่าหรืออ้ายบ้าคนไหนไปจุด ให้มันลามเข้ามาในหมู่บ้าน” รื่นร้อง “ส่งถ่อมาให้ฉันเถอะ, เร็วเข้า – – ตาพุ่มคอยถือท้าย”

เขาคว้าถ่อที่คนเรือจ้างส่งให้มาถือไว้เกือบเป็นอาการกระชาก ผลักหัวเรือเบนออกจากชายหาดได้ ก็ค้ำเสียอย่างที่ไม่เคยค้ำในชีวิต ความคิดจดจ่ออยู่ที่บ้าน ที่ลูก และสุดใจ เหมือนไฟจุด

รื่นรู้ อย่างที่ชาวบ้านนั้นทุกคนควรจะรู้ว่า ในหน้าแล้งซึ่งดงหญ้าคาหลังบ้านออกไป แห้งเกราะ และลมไม่เปลี่ยนทิศเช่นนั้น เป็นการสุดวิสัยที่กำลังคนเพียงไม่กี่สิบหลังคาเรือน จะช่วยกันตัดต้นไฟไว้ได้ และลูกไฟลูกหนึ่งลูกใดที่หล่นลงบนหลังคาเรือนที่ล้วนแต่มุงแฝกและหญ้าคา ย่อมหมายถึงความวอดวายของหมู่บ้านนั้นทั้งหมู่บ้าน เว้นไว้แต่ปาฏิหาริย์จะเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นเองในทันทีที่หัวเรือพุ่งเข้าเกยตื้นที่ชายโคลนนอกหน้าท่าเขาก็เผ่นโครมท่องน้ำขึ้นตลิ่งไป

“คุณพระช่วย !, รื่นวิ่งพลางภาวนาอยู่ในใจ สายตาจับอยู่กับกลุ่มควัน ซึ่งลมพัดไล่หลังใกล้แม่น้ำเข้ามาทุกขณะ “ขอให้ไปถึงเสียก่อน – ขอให้ไปเห็นหน้าลูกหน้าสุดใจ !”

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ