๑๙

ละเมียดไม่ได้พบเขาอีกเลยตลอดวันนั้น จากนางสาวใช้ หล่อนได้รับรายงานว่าคุณผู้ชายไปขลุกอยู่ที่บ้านใหม่ ไม่มีใครทราบว่าเขาไปทำอะไรอยู่ที่นั่น เมื่ออีกทั้งคืนผ่านไปและเขายังไม่กลับบ้าน ความหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูกก็โจมเข้าจับหัวใจหล่อน ความคิดฟุ้งซ่านไปร้อยแปดพันประการ จนนอนอยู่กับที่ไม่ได้ หล่อนลุกขึ้นแต่งกายอย่างโผเผตั้งแต่เพิ่งแรกสว่าง แต่ยังไม่ทันพยายามจะออกจากบ้านไป เสถียรก็ก้าวเข้าประตูรั้วมา

ผมเผ้าที่ยุ่งเหยิง และหน้าตาที่ซีดเซียวของเขาแสดงอยู่ว่าไม่ได้หลับไม่ได้นอนมาทั้งคืน อาการเดินอย่างขยักขย่อนอ่อนเพลียก็เช่นเดียวกัน แม้กระนั้นนัยน์ตาทั้งคู่ของเขาก็แจ่มใส มีอะไรบางอย่างในดวงตาคู่นั้น ซึ่งบอกถึงการตกลงใจอย่างเด็ดขาด ละเมียดเสียวปลาบเข้าหัวใจ เมื่อเขาปราดเข้ามาที่หล่อน และประคองไว้เหมือนกลัวจะล้มลง

“ใครให้แม่เมียดลุกขึ้นมา ไม่ควรเลย บอกแล้วไม่ใช่หรือ ว่าขอให้พักอยู่เงียบ ๆ ในห้องก่อน” เสียงของเขาดุ ๆ แต่ระคนกังวานซึ่งเคยทำให้หล่อนหวาดกลัว

ละเมียดซบหน้าลงกับไหล่ของเขา แล้วก็ร้องไห้ –– ร้องอย่างปราศจากความอับอายว่าอยู่ต่อหน้านางสาวใช้และคนในบ้าน ซึ่งชำเลืองดูอย่างขลาด ๆ ก่อนที่จะเบือนหน้าหนีขณะที่สองผัวเมียประคองกันขึ้นไปชั้นบน

“ไม่ควรเลย” เขาบอกอีก ขณะที่อุ้มหล่อนวางลงบนเตียงเหมือนเด็ก ๆ และสอดหมอนให้หนุน “เป็นอะไรไปฉันจะไม่ยกโทษให้แม่เมียดเป็นอันขาด”

หล่อนจะบอกเขาได้อย่างไรถูก ถึงความหวาดกลัวนานัปการตลอดคืนกับวันที่ผ่านมา ? หล่อนจะอธิบายให้เขาเข้าใจได้อย่างไรถึงความทุกข์ทรมานใจที่ได้รับมาตลอดเวลาเหล่านั้น ? – – ทุกข์ทรมานเพราะรู้ว่าเขารู้ เพียงแต่ไม่พยายามแสดงออกมา ถึงความลับที่หล่อนปรารถนาและตั้งปณิธานไว้อย่างเด็ดขาดว่าจะพาติดตัวไปพร้อมด้วยความดับสูญของชีวิต

“บอกฉันหน่อย ว่าเสถียรไปทำอะไรอยู่ที่บ้านของเราตั้งคืนตั้งวัน ?” หล่อนพึมพำ เอื้อมมือออกไปวางไว้เหนือมืออันใหญ่และร้อนผ่าวของเขา “หายไปจนฉันอดคิดไม่ได้”

นัยน์ตาของเขาจ้องหล่อนเหมือนจะพยายามค้นหาสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งซ่อนอยู่เบื้องหลังใบหน้าอันซีด

“แม่เมียดคิดอะไร ?”

“คิด –– คิดไปร้อยแปด – –”

“ว่าฉันจะไประเบิดขมองตัวเอง ? ไปผูกคอตาย ? หรืออะไรทำนองนั้น ?” เสถียรหัวเราะอย่างแห้งแล้ง “ก็เกือบไปเหมือนกัน ถ้าฉันหลงผิดคิดสั้นไปนิดเดียว – –”

“เดี๋ยวนี้เล่า ?” หล่อนถามอย่างขลาด ๆ

สามีสั่นศีรษะกิริยาของเขาเปลี่ยนแปลงไปกลายเป็นตาแก่สักสองร้อยปี “คืนกับวันที่ฉันตกนรกอยู่ที่นั่นพอแล้วสำหรับการตกลงใจทั้งที่เกี่ยวกับการทำลายตัวเองและ –– และเรื่องอื่น ๆ”

หล่อนและเขาเงียบกันไปครู่ใหญ่ ๆ ไม่มีใครกล้าที่จะเอ่ยขึ้นก่อนเหมือนหวาดกลัวว่ากิริยาใดที่แสดงออก และวาจาใดที่กล่าวออกมา จะเปิดเผยให้อีกฝ่ายหนึ่งเห็นสิ่งที่ตนต้องการปกปิด แต่ในที่สุดละเมียดก็อดอยู่ไม่ได้

“พูดต่อไปเสถียร !” หล่อนพึมพำ “พูดต่อไปขอให้ฉันได้ยินเสียงเสถียรพูด แทนที่จะนั่งอมพะนำกันอยู่อย่างนี้ บอกเถอะ ว่าอะไรบ้างเกิดขึ้นในบ้านนั้น บอก ! ว่าเสถียรตกลงใจอะไรบ้างเกี่ยวกับฉัน”

สามีถอนใจ “ฉันยังไม่ได้หารือกับแม่เมียด แต่ก็คิดว่าคงจะเห็นสอดคล้องกับฉัน ว่าภายหลังที่เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างนั้นแล้ว อยากจะขายบ้านให้มันรู้แล้วรู้รอดไป – กิจการบริษัทส่วนที่เป็นของเราก็เช่นเดียวกัน–”

ละเมียดชันศอกเผยอกายขึ้นมองดูเขาเขม็ง เสียงที่เอ่ยตะกุกตะกัก

“นั่นหมายถึงอวสานของงานที่เสถียรพยายามก่อร่างสร้างตัวมาเกือบชั่วชีวิต !”

เขาหันมาสบตาหล่อนอย่างดุดัน “มันมีประโยชน์อะไรในเมื่อมีแต่ทุกข์ทรมาน พอกันทีสำหรับชีวิตอย่างนั้น ฟัง–– แม่เมียด ฉันได้รับบทเรียนมาพอแล้ว ว่าคนเราที่ปรารถนาจะไปให้ถึงที่หนึ่งที่ใดโดยทางลัด หลีกเลี่ยงไม่พ้นเลยต่อการเบียดเบียนผลประโยชน์ของคนอื่น เงินที่ได้มาง่ายและความร่ำรวยที่ถึงตัวเร็ว อาจจะเป็นความสุขของคนไม่กี่คน แต่ก็นำความขมขื่นปวดร้าวไปสู่คนอีกเป็นจำนวนมากที่เกี่ยวข้องอยู่ด้วย ถูกอย่างที่แม่เมียดเคยบอกฉัน คนที่น่าสงสารที่สุดในโลกนี้ไม่ใช่คนที่ยากจน ไม่ใช่คนขี้คุกขี้ตะราง หรือไพร่กระฎุมพี แต่คือคนอื่นที่ไม่มีใครรัก คนที่แพ้ใจของตัวเอง ตกเป็นทาสความปรารถนาของตัวเอง”

เขาหยุดถอนใจ นัยน์ตาจับอยู่ที่หล่อนอย่างเงียบ ๆ และเยือกเย็นปราศจากความปวดร้าว ปราศจากความแสลงใจใด ๆ อีกต่อไป

“ฉันบอกแม่เมียดไม่ถูกหรอกว่าตกลงไปในนรกขุมตลอดวันกับคืนนั้น ฉันบอกได้อย่างเดียวก็แต่ว่า เมื่อมันผ่านไปแล้วก็เหมือนคนเกิดใหม่ สมองที่มืดแจ่มใส นัยน์ตาที่บอดก็สว่าง บางทีมันอาจจะเป็นเพราะฉันรู้จักตัวของฉันดีขึ้น หรือบางทีก็อาจจะเป็นเพราะได้รับความขมขื่นสะเทือนใจจากชีวิตมาเสียเหลือพอ จนไม่มีความขมขื่น ความทุกข์ ความสะเทือนใจใดจะทำให้ประสาทที่มึนชาและความรู้สึกที่ตายด้านแล้วอ่อนไหวต่อการสัมผัสหรือกระทบกระทั่งจากมันอีกได้––”

เป็นที่น่าสมเพชเวทนาอะไรเช่นนั้น ในความทุกข์ทรมานที่เขาได้รับตลอดเวลา หล่อนพยายามจะหยั่งความคิดความรู้สึกจากส่วนลึกของหัวใจเขา และตลอดเวลาเสถียรก็พยายามหลีกเลี่ยงในการที่จะเผชิญกับมันตรง ๆ หล่อนพิจารณาดูทั่วใบหน้าเขา ไม่มีอะไรเลยจะเหลืออยู่เป็นอนุสาวรีย์ของเสถียรคนเก่า ผู้หล่อนแรกแต่งงานด้วยใหม่ ๆ ไม่มีอะไรเลยเหลืออยู่ในเสถียรผู้เคยปรารถนาอะไรจะต้องเอาให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยเล่ห์หรือด้วยกล ไม่ว่าจะโดยอะลุ้มอล่วยหรือหักโหม

“เสถียรไม่คิดบ้างหรือ ว่าบางทีมันก็อาจจะเป็นเพราะเสถียรให้อภัยต่อความขมขื่นใด ๆ ที่ได้รับมาแต่หนหลังแล้ว” หล่อนกระซิบ

สายตาเขาเงยขึ้นชำเลืองดูหล่อนทั่วใบหน้า ที่คิ้วซึ่งขมวด ที่ขนตาซึ่งหลุบ และริมฝีปากที่เม้นแน่น ครั้นแล้วก็ถอนหายใจ

“อาจจะเป็นได้ ถ้าการให้อภัยหมายถึงความพยายามที่จะลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมาแล้วแต่หนหลัง” เขาบอก

ลมหายใจละเมียดเข้าและออกเร็วขึ้นเหมือนคนกำลังสำลักน้ำ

“มันหมายอย่างนั้น และยิ่งกว่านั้น” เสียงของหล่อนเกือบไม่พ้นลำคอออกมาได้ “แต่บอกหน่อยได้ไหมเสถียร ว่าความพยายามของเธอสำเร็จแน่แล้วหรือ ในการลืมความหลังเหล่านั้น ? ฉันต้องการรู้ความจริงข้อนี้ ยังมีความแสลงใจจะเกิดจากความผิดของใครก็ตาม อะไรอีกบ้างที่เสถียรยังลืมไม่ได้ ? มีความผิดอะไรบ้างไหมที่คนเรายกโทษให้กันไม่ได้”

“มันแล้วแต่ความผิดสถานไหน ?” เสียงของเขาเนิบ ๆ แช่มช้า นัยน์ตาเป็นประกายแจ่มใส “ทางกายหรือทางใจ ? แม่เมียดรู้ดีว่าน้ำหนักระหว่างอย่างแรกกับอย่างหลังแตกต่างกันเพียงใด แม่เมียดรู้ดีว่าร่างกายมนุษย์เราเหมือนสร้างด้วยดินเหนียว อาจยุ่ยหรือหน่ายได้ง่าย เพราะความผิดพลาดพลั้งเผลอใด ๆ นิดเดียว ฉะนั้นจึงไม่เป็นการยากแก่การให้อภัย แต่ความผิดทางใจเป็นเรื่องเกี่ยวกับเจตนา นั่นเป็นปัญหาที่ต้องการเวลา และความพยายามอยู่สักหน่อย”

ละเมียดได้ฟังก็ผุดลุกขึ้นนั่งโงนเงนอยู่บนเตียงนอน เสียงของหล่อนแหบและเครือจนเกือบไม่ได้ยิน นอกจากความหมายที่อ่านจากริมฝีปากเท่านั้น

“ฉัน––ฉันหมายถึงความผิดระหว่างผู้หญิงกับผู้ชาย นัยน์ตาหล่อนเบิกโพลงร้อนผ่าวราวกับรุมรึงด้วยพิษไข้ “ความผิดในระหว่างผัวกับเมีย – – อย่างระหว่างเสถียรกับฉัน”

“จยุ้––จยุ้” เขายกมือขึ้นแตะปากหล่อนเบา ๆ สั่นศีรษะไปมาช้า ๆ “อย่าพยายามพูดอะไรต่อไปดีกว่า พยายามอยู่นิ่ง ๆ และพักผ่อนนั้นเป็นทั้งหมดที่แม่เมียดต้องการเวลานี้”

“ฉันนิ่งต่อไปอีกไม่ไหว!” เสียงที่กระซิบของหล่อนหลุดออกมาเต็มแรง เพราะอารมณ์ที่อัดอั้นอยู่ภายใน “นิ่งอยู่อย่างไรได้ ในเมื่อรู้อยู่ตลอดเวลาว่าเสถียรรู้ว่าเราต่างคนต่างไม่กล้าเผชิญกับความจริง ? นิ่งหมายถึงเล่นละครต่อไป ฉันยอมไม่ได้ มันจะทำให้ฉันเป็นบ้า เสถียรจะต้องรู้ว่ารื่น ลูกฉัน––”

เขาเขยิบตัวเข้าไปหาหล่อน ประคองร่างอันสั่นเทาเหมือนลูกนกเข้าไว้ในวงแขน ปลอบโยนเหมือนปลอบเด็ก ๆ ที่หลงทางกลับมาถึงบ้าน

“ฉันรู้! แม่เมียด––รู้ทุกอย่าง เพราะฉะนั้นอย่าพยายามพูดอะไรต่อไป”

นัยน์ตาหล่อนที่แลสบนัยน์ตาเขา เต็มไปด้วยความหวาดกลัว คลางแคลงไม่แน่ใจ

“รู้?” หล่อนพยายามที่จะผละออกมาให้พ้นจากอ้อมแขนนั้น แต่เสถียรคงกอดไว้ ไม่บังคับ ไม่หักโหม หรือใช้กำลังอะไร แต่หนักแน่นพอจะบอกให้หล่อนได้สำนึกว่า แขนคู่นั้นมีความหมายที่จะเป็นแหล่งหลบภัยสุดท้าย ซึ่งหล่อนจะหวังพึ่งได้

“รู้ทุกอย่าง” เขายืนยัน แววตาคู่นั้นเป็นประกาย ความขมขื่นปวดร้าวอาจจะทิ้งร่องรอยไว้ แต่สีหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความมั่นใจ ว่าวันหนึ่ง มันจะไม่เหลืออยู่อีก “รู้ตั้งแต่คืนนั้น แม่เมียดไม่รู้หรอกว่า ตลอดเวลาที่ฉันนั่งเฝ้าพยาบาล แม่เมียดละเมอเพ้อพกอะไรออกมาบ้าง ? พูดอะไรออกมาบ้าง ?” เขาพยักหน้าเนิบๆ ชั่วขณะหนึ่งนัยน์ตาคู่นั้นกลับดูเลื่อนลอยไป “ฉันพอจะเข้าใจว่า อะไรเป็นเหตุให้เรื่องมันเกิดขึ้นระหว่างแม่เมียดกับกำนันรื่น ฉะนั้นถึงจะขมขื่นปวดร้าวแสลงใจเพียงใด ยังพอจะทนได้ – – เขาก้าวเข้ามาในชีวิตของแม่เมียดก่อนฉัน เหตุการณ์ต่อมาล้วนแต่บังเอิญมากกว่าจะเป็นเจตนา แต่ – – แต่ – –” เขาหลับตากลืนน้ำลายด้วยความยากลำบากนิ่งไปครู่หนึ่ง เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง น้ำตาก็ออกมาคลอหน่วยทั้งคู่ “แต่เหตุไฉนจะต้องพยายามปิดบังว่า เด็กคนนั้น ไม่ใช่ลูกของฉัน ? มันเกือบสุดวิสัยที่จะทนได้ เกือบสุดวิสัยที่ฉันจะพยายามหักห้ามใจ ไม่ให้ยกปืนขึ้นจ่อที่ขมับแล้วก็ลั่นไก หรือสวมห่วงเชือกนั้นคล้องคอโดดลงมาจากขื่อ ตลอดคืนตลอดวันเต็มไปด้วยความคิดเหล่านั้น แต่ละความคิดไม่ต่างอะไรกับขุมนรก บอกไม่ถูกเลยว่าผ่านมาได้อย่างไร และอะไรอีกยังเป็นสายใยเส้นสุดท้ายของชีวิตฉัน แต่พร้อมกับแสงเงินแสงทองของวันใหม่ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ผ่านไปเหมือนภาพประดิษฐ์ของปีศาจร้ายในฝัน ฉัน –– ฉันมาได้คิด จะผิดหรือถูกก็ตาม ว่าสิ่งเหล่านั้นคงจะไม่ใช่อะไรอื่นไกลนอกจากกรรมเก่าที่ฉันทำไว้ และบาปใด ๆ ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องตามไปสนองในชาติหน้า สำหรับฉันมันสนองแล้วในชาตินี้”

เขาหยุดนิ่งไปอีก คราวนี้หยุดอยู่นาน ละเมียดรู้สึกเย็นวาบเข้าหัวใจ เมื่อรู้สึกว่าน้ำตาอุ่น ๆ หยาดหนึ่งหยดแหมะลงต้องแก้มหล่อน ความหวาดกลัวใดๆ เกี่ยวกับความคิดที่ว่าเขาจะทำลายตัวเอง หรือความรุนแรงที่เขาจะแสดงต่อหล่อนไม่เหลืออยู่อีก อย่างเดียวที่เสียวแสยงเหมือนปลายดาบอาบยาพิษ และเข็มสักร้อยเล่มพันเล่มทิ่มแทงอยู่ภายในดวงใจ เกิดจากความสมเพชเวทนาเขา และเกลียดชังตนเอง

“ฉันบอกแม่เมียดแล้วว่าฉันปลงตก” เสถียรพึมพำต่อไป เสียงของเขาแผ่วเบาลงทุกที “ไม่ใช่แต่ยกโทษให้แม่เมียด ไม่ใช่ยกโทษให้เขา หากตลอดถึงยอมรับเด็กคนนั้นเป็นลูกของฉันต่อไป เราตกลงกันเป็นการส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว ––”

“เรา ?” นัยน์ตาอันฝ้าฟางของละเมียดเกือบมองไม่เห็นหน้าเขา

“ฉันหมายถึงกำนันรื่นกับฉัน ทางโรงพักเขาปล่อยตัวกลับบ้านเมื่อเช้านี่เอง ด้วยคำสั่งของเจ้าเมืองท่าน เมื่อฉันสารภาพความจริงให้ฟังว่า หลวงราชนายอำเภอตายเพราะมือแม่เมียดในการป้องกันตัว คณะกรมการเขาคงจะมาไต่สวนสอบถามปากคำแม่เมียดอีกตอนบ่ายวันนี้ ตั้งแต่รู้จักท่านมา ฉันยังไม่เคยเห็นสีหน้าเจ้าคุณปั้นยากเหมือนอย่างเวลาท่านฟังฉันเล่า คำเดียวที่ท่านปริปากออกมาเวลาจบลงก็เพียง “คนชาติหมา !” ไม่ต้องสงสัยการตายของหลวงราชจะเปิดโอกาสให้เจ้าของป่ายางเข้าครอบครองกรรมสิทธิ์ของเขาได้ทันที คนใดที่หลวงราชยุยงส่งเสริมช่วยเหลือด้วยอำนาจหน้าที่ให้เข้าไปแย่งจับจองที่ดินเหล่านั้น ทับเจ้าของเก่าจะร้องทุกข์ขึ้นมาท่านจะรับพิจารณาเอง ––– ใส่ตะรางถ้าสืบได้ว่าบุกรุกโดยพลการ ! เรียกหลักฐานมาทำเรื่องเสนอเทศาขึ้นไป ถ้าได้ความว่าไม่มีส่วนร่วมรู้ในความคิดนั้นกับหลวงราชด้วย ลงเวลาท่านเอาจริงเอาจัง ใครบ้างจะกล้ายื่นคอมาขึ้นเขียง คอยดูกันต่อไปก็แล้วกัน แต่เราก็อาจจะอยู่ไม่ทันดูผลกรรมที่หลวงราชทำไว้ และ– –และอนาคตของกำนันรื่น!”

เสียงสะอื้นกระซิกดังมาจากศีรษะที่ซบอยู่กับซอกคอของเขา เสถียรยกมือขึ้นลูบผมอันละเอียดอ่อนไปมาเบา ๆ

“ร้องไห้ทำไม ?” เขาบอก นัยน์ตาจับอยู่กับท้องฟ้าและยอดไม้ภายนอกอย่างเหม่อลอย “ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามพรหมลิขิต วิถีชีวิตบังคับให้เป็นไปอย่างนั้น”

“เสถียรจะคิดถึงฉันอย่างที่เคยคิดมาแต่ก่อนได้สนิทต่อไปอย่างไร เมื่อเรื่องราวทั้งหลายแหล่เป็นอย่างนี้” ละเมียดพึมพำโดยไม่เงยหน้า

“นั่นยังไม่สำคัญเท่ากับว่า แม่เมียดจะคิดถึงฉันอย่างไรในเวลาต่อไป” เขาตอบ “แล้วก็ยังไม่สำคัญเท่ากับว่าเราจะพยายามลืมเรื่องนี้ได้สนิทแค่ไหน ? สำหรับฉันเองพยายามแล้วและจะพยายามต่อไปอย่างที่สุด แม่เมียด มันอาจจะไม่สำเร็จเด็ดขาดในเวลานี้ แต่อย่างไรเสียก็คงสำเร็จในวันหนึ่งข้างหน้า ขอเวลาฉันสักหน่อย ปล่อยฉันตามลำพัง อย่าเพิ่งเร่งรัดนัก ฉันแน่ใจว่าไม่มีอะไรเหลือความสามารถสำหรับคนเราที่มีความรัก – –”

ความรัก ! ฟังดูมันแปร่งหู ผิดทั้งสถานที่และกาลเวลาอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อกล่าวออกมาจากปากชายผู้รู้สึกตัวว่าถูกทรยศ แก่หญิงซึ่งปล้นชีวิตทั้งชีวิตไปจากเขา ทั้ง ๆ ที่เหตุการณ์เพิ่งผ่านไปใหม่ ๆ ละเมียดรู้ว่าวาจาเหล่านั้นออกมาจากส่วนลึกของความรู้สึกที่จริงใจ หล่อนรู้ว่าไม่มีความผิดใดทั้งที่ล่วงมาแล้ว หรือจะเกิดต่อไปในกาลข้างหน้า ที่เขาไม่สามารถให้อภัยหล่อนได้ และเพราะรู้ด้วยความมั่นใจในความจริงข้อนั้น หล่อนก็รู้ต่อไปด้วยว่าวิถีชีวิตของรื่นและหล่อนจะต้องแยกทางกันนับแต่นี้ไปชั่วกาลอวสาน หล่อนรู้ว่ามันจะเต็มไปด้วยความยากลำบากเพียงใด ในเมื่อเด็กคนนั้นทั้งคนยังเป็นพยานรักอยู่ แต่ชีวิตเกิดมาสำหรับต่อสู้ อย่างไรเสียมันก็คงจะสำเร็จในวันหนึ่งไม่เมื่อนี้ก็เมื่อหน้า

ขอให้ช่วยฉันพยายามลืมเราหน่อยเถอะรื่น หล่อนภาวนาท่ามกลางการสะอื้นซึ่งขึ้นมาตื้นตันคอหอย ซุกศีรษะเกลือกกลิ้งไปมาอยู่ในซอกอกของสามี ขอให้ช่วยฉันปะติดปะต่อชีวิตของเขาที่ฉันทำลายแหลกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปขึ้นมาใหม่ ขอให้ช่วยฉันเป็นเมียและแม่ที่ดีต่อไป ขอให้ช่วยฉันเป็นตัวของฉันเอง – – –

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ