เจริญกรุง–– ถนนใหม่–– ภายใต้ท้องฟ้าโปร่งของราตรีที่อบอุ่นดูผิดแปลกไปจากครั้งสุดท้าย ที่เขาลงมาเที่ยวหลายอนที่เคยเปลี่ยวและมืด กลายเป็นห้องแถวและตึกรามสามยอด สะพานเหล็ก สว่างไสวไปด้วยไฟฟ้า แม้หลายระยะจะยังตามไฟโคมน้ำมันอยู่ แถวต้นหูกวางบน ๒ ฝั่งจากเชิงสะพานมอญ ถึงสามแยกต้นประดู่เติบโตขึ้นอย่างผิดตา กิ่งก้านของมันแผ่สาขาครึ้ม ทำให้รู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่ในป่าแห่งชีวิตของพระมหานครอันโอ่อ่า

หยุดยืนอยู่ครู่หนึ่งที่เชิงสะพานเหล็ก ท่ามกลางเสียงอื้ออึงซึ่งดังมาจากบ่อนโป และผู้คนที่ผ่านไปมาไม่ขาดสาย รื่นอดรู้สึกไม่ได้ว่ากรุงเทพพระมหานครไม่อยู่ในสภาพเดิมอีกต่อไป กรุงเทพ ฯ กำลังขยายตัว มิใช่เพราะอำนาจของหวย ของถั่วและโป ซึ่งกำลังเจริญอยู่อย่างสุดเหวี่ยงเรียกร้อง หากทำนองเดียวกับชีวิตมนุษย์ ซึ่งไม่เคยหยุดนิ่ง มันจะต้องก้าวไปข้างหน้า มิฉะนั้นก็ถอยกลับไปสู่อดีต มันจะต้องขยับขยายเพื่อแสวงหาเนื้อที่หายใจ มิฉะนั้นก็เหี่ยวแห้งยุบแฟบลงไป แต่กรุงเทพฯ มิได้มีความหมายเช่นนั้น กรุงเทพฯ พร้อมด้วยป้อมปราการบนกำแพงเมือง อันเป็นอนุสาวรีย์แห่งความหลัง พร้อมด้วยบริษัทห้างร้านของฝรั่งที่เกิดขึ้นใหม่ ๆ พร้อมด้วยการค้า ซึ่งขยายวงกว้างออกไปโดยไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีหยุดยั้ง เขาไม่สามารถบอกได้ว่าอะไรทำให้เชื่อมั่นมากมายถึงเพียงนั้น มันอาจจะเกิดจากมโนภาพอันเป็นพรประจำตัวของมนุษย์ และมันก็อาจเกิดจากศรัทธาต่อแผ่นดินถิ่นที่อยู่ของคนเรา –– ศรัทธาเดียวกันอย่างที่เขามีต่อคลองสวนหมาก แม้โดยความหมายและขนาดจะห่างไกลจากกันราวฟ้าและดิน มันก็แยกจากกันไม่พ้น ในฐานที่อยู่บนผืนแผ่นดินเดียวกัน

ชายชราคนหนึ่งหน้าเป็นมันไปด้วยเหงื่อ เสื้อกุยเฮงชุ่ม เดินผ่านออกมาจากบ่อนโปแล้วก็ผ่านเขาไปด้วยกิริยาแช่มช้าและเลื่อนลอย ไม่มีใครบอกได้ว่าจำนวนเงินที่แกทิ้งไว้เบื้องล่างกี่ตำลึง กี่ชั่ง และกี่ร้อยล้วนแต่ผลจากน้ำพักน้ำแรง หลังขดหลังแข็งอยู่กับงานไร่ งานนา หรืองานสวน ไม่มีใครบอกได้อีกเหมือนกันว่าอวสานของแกจะไปลงเอยที่ไหน ตั้งต้นชีวิตใหม่ด้วยการซ้ำรอยงานเก่าที่แกจากมา แน่นอนกว่า มั่นคงกว่าต่อไป หรือสิ้นอาลัยตายอยากในชีวิต คิดสั้นทำลายตนเอง ดังที่หลายคนเคยปฏิบัติมาแล้วแต่หนหลังอย่างน่าเศร้า

เขาออกเดินต่อไป ผ่านหญิงชายชาวกรุงกลุ่มหนึ่งซึ่งหัวเราะริกกระซิกกระซี้เหมือนขบขันอะไรมาใหม่ ๆ อ๋อ, ส่วนใหญ่ของชาวกรุงอยู่ในชีวิตชาวสวรรค์เช่นนี้เอง รื่นคิดถึงสุดใจ ถึงจำปา และเรืองผู้คงจะกำลังอยู่ในที่หนึ่งที่ใด ในลานพระปฐมเจดีย์ ขณะที่เขามีธุระการงานติดพันอยู่กับต่วนด่ำที่นี่ พระปฐมเจดีย์เป็นปูชนียสถานแห่งหนึ่ง ซึ่งหล่อนร่ำร้องมาช้านานว่าจะขอไปนมัสการสักครั้ง พระพุทธบาทท่าเรือเป็นแห่งต่อไป เขาตั้งใจหนักหนาว่า ถ้าเวลาให้และโอกาสอำนวยถึงพระแท่นศิลาอาสน์ และพระแท่นดงรังก็คงจะพาหล่อนไปให้ถึงจนได้

สุดใจเป็นผู้หญิงที่แปลก, รื่นคิด, ชีวิตในกรุงเทพฯ เป็นสิ่งที่หล่อนปรารถนาจะได้พบเห็นมานานแล้ว แต่เพียงคืนแรกเท่านั้น หล่อนก็สั่นหน้าเวียนศีรษะและนอนไม่หลับเพราะเสียงที่เซ็งแซ่ โหวกเหวกมาจากโรงหวยหลังที่พัก และจากเพื่อนร่วมโรงแรมทั่วไป

“ขืนอยู่ถึงเจ็ดวัน ฉันตายแน่พี่รื่น” หล่อนบอกเขา

วันรุ่งขึ้นหล่อนตื่นแต่เช้า ให้เขาพาเข้าสำเพ็ง จัดแจงซื้อขันลงหินตลับหมาก และของฝากพวกทางบ้านแล้วก็เตรียมการเดินทางไปนมัสการพระปฐมกับจำปาและเรืองในวันต่อมา

“อธิษฐานแทนข้าด้วยสุดใจ” รื่นบอกเมื่อไปส่งหล่อนที่สถานีรถไฟ “ถึงเอ็งก็เหมือนกันจำปา”

“พี่รื่นจะให้ข้าอธิษฐานอย่างไร ?”

“ชาติหน้าขอให้ได้เป็นจันทโครบตัวจริง แทนพระเอกยี่เกของเอ็ง” รื่นหัวเราะ

แม้โดยเจตนาและความหมายจะเป็นการสัพยอกหยอกล้อเท่านั้น จำปาก็อดหน้าตาแดงก่ำขึ้นมาไม่ได้ ความรู้สึกใด ๆ ที่เคยมีต่อเขามาแต่ก่อน อาจจะผ่อนคลายความรุนแรงลงไป แต่มันก็ยังไม่ไปไหน คงอยู่ในอนุสติสำหรับจะคุโพลงขึ้นมา เหมือนถ่านไฟที่กรุ่นอยู่ถูกลมเป่า เปล่า, เรืองไม่เคยเฉลียวใจอะไรจนนิดเดียวถึงความสัมพันธ์อันแท้จริง ซึ่งเป็นมาระหว่างชายหญิงคู่นั้นในกาลก่อน เขาได้แต่มองดูหน้าหล่อนหัวเราะหึ ๆ ด้วยอารมณ์ดีตามเคย แล้วก็เสริมต่อด้วยเห็นขันว่า

“งั้นข้าจะขอเป็นนายโจรใหญ่ !”

และสุดใจชำเลืองสบตาของสามีแล้วก็ได้แต่จะถอนใจหันหน้ากลับไป

เขาคงจะพยายามซ่อนความรู้สึกที่ปรากฏอยู่ในตาคู่นั้นจากฉัน รื่นคิด ออกเดินต่อไปช้าๆ และปราศจากความมุ่งหมาย สุดใจไม่เคยลืมเรื่องเก่าระหว่างเขากับจำปาได้ ภาพบนทับร้างกลางไร่เก่า อาจจะรางเลือนไปจากความทรงจำของหล่อนเพราะกาลเวลา แม้กระนั้นรื่นก็รู้ว่าจำปายิ่งกว่าละเมียด ที่สุดใจนึกถึงในฐานะของผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่อยู่ในชีวิตของเขา แต่เพราะว่ารู้จักสุดใจ เขารู้ด้วยว่าแม่เพื่อนสาวคนนั้นเป็นคนหนึ่งและคนเดียวที่หล่อนพร้อมจะให้อภัย แม้มันจะหมายถึงการเป็นเจ้าของครอบครองของรักที่สุดสิ่งเดียวกันในชีวิต

ด้วยความคิดที่กำลังเพลินอยู่กับความทรงจำในอดีต และชีวิตต่าง ๆ ซึ่งแวดล้อมอยู่รอบกายเช่นนั้นเองรื่นก้าวข้ามถนน ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าม้า เสียงระฆังสัญญาณและเสียงคนขับร้องเตือน จนกระทั่งรถม้าคันนั้นใกล้เกินไปเสียแล้ว เขารู้สึกเหมือนถูกกระแทกด้วยท่อนซุง ซึ่งคัดกลิ้งลงมาจากตลิ่ง เมื่อไหล่ขวาสัมผัสกับอกม้าที่กำลังวิ่ง กระเด็นกลิ้งออกไปหลายวา แล้วม้าเทศซึ่งคงจะตกใจเหมือนกันก็ผงะยกสองเท้าหน้าผกกลับนั่นเอง ที่ทำให้ร่างของรื่นพ้นจากถูกลูกล้อทับไปนิดเดียว และนั่นเองที่ช่วยชีวิต อย่างน้อยที่สุดก็แข้งขาแขนแมนของเขาไว้ได้จากพิการหรือบาดเจ็บสาหัสต่อไป

ชั่วขณะหนึ่งเขานอนนิ่งจนคนบนรถตกใจ ต่อมาก็พลิกตัวลุกขึ้นนั่งชันเข่า สลัดศีรษะซึ่งมึนไปเพราะความกระเทือนจากการล้ม สุดท้ายจึงได้เงยหน้ากวาดสายตาดูผู้คนที่นั่งและยืนก้มดูเขาอยู่โดยรอบด้วยนัยน์ตาอันพร่า

“ต๊าย รื่น” หูที่อื้อของเขาได้ยินเสียงนั้นแว่วมาแต่ไกล

อย่างเดียวที่เขาจะตอบได้ก็เพียงสั่นศีรษะ พยายามตะเกียกตะกายจะลุกขึ้นยืน รื่นรู้สึกว่ามือหลายมือยื่นออกมาช่วย จับแขน และประคองเขา ครั้นแล้วจึงได้แลเห็นหน้านั้นเป็นครั้งแรก นัยน์ตาที่ยังพร่า และศีรษะที่ยังมึนทำให้เขาคิดเห็นเป็นของแปลกที่จะเป็นไปได้ จนกระทั่งได้ยินเสียงหล่อนอีกครั้ง จึงได้แน่ใจว่ามิใช่เกิดจากภาพเพ้อหรือความฝัน

“เป็นอะไรบ้างหรือเปล่า รื่น?” เสียงนั้นเอ่ยขึ้นอีก เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น เต็มไปด้วยความวิตกกังวล

“เปล่า ขัดยอกไปนิดหน่อยเท่านั้นครับ คุณเมียด เขาหัวเราะ แล้วก็ทรุดลงไปนั่งอยู่กับพื้นถนนอีก

“โธ่ นั่นรื่นเจ็บนี่ ช่วยฉันถี่ตาโต๊ะ” หล่อนหันไปบอกชายชราผู้ยืนอยู่ข้าง ๆ ทั้งสองคนบ่าวนายช่วยกันพยุงเขาลุกขึ้นอีกครั้ง และพร้อมด้วยความช่วยเหลือจากผู้คนที่สนใจทุกอย่างในความพินาศของมนุษย์มุงล้อมอยู่รอบข้าง ในที่สุดรื่นก็ขึ้นไปนั่งอยู่บนรถคันนั้นได้ ทันใดนั้นเองพลตระเวนคนหนึ่งก็ปราดมาถึง

“เกิดอะไรกันขึ้น รถชนใคร ?” เขาร้องถาม

“เปล่า ผมชนรถ” รื่นตอบ ต่อมารถม้าก็เคลื่อนที่

“เจ็บตรงไหนรื่น” ละเมียดถามด้วยความร้อนใจ “มากไหม ?”

“ไม่เป็นอะไรจริงๆ คุณละเมียด ขามันยังชาอยู่เท่านั้น เดี๋ยวก็คงหาย” เขามองดูถนนที่รถกำลังบ่ายหน้าไป “นี่คุณละเมียดจะพาผมไปไหน ?”

“บ้านฉัน ทำปฐมพยาบาลเสียก่อน แล้วจะได้บอกฉันว่าไปยังไงมายังไง ถึงได้มาเดินเก้ ๆ กัง อยู่แถวสะพานเหล็กให้รถชน”

“แต่ผมไม่เป็นอะไรนี่ ที่มาสะพานเหล็กก็ไม่ใช่เข้าบ่อนถั่วโรงโป แต่เพราะมันอยู่ใกล้ ๆ กับที่พักของผม”

“รื่นพักที่ไหน ?”

“หน้าโรงหวยนั่นไงครับ”

“กับใคร ?”

“สุดใจ จำปา และก็เรือง แต่เวลานี้เขาลงไปนมัสการพระปฐมเจดีย์กันเมื่อเช้า ผมติดธุระกับต่วนด่ำทางนี้เพิ่งกลับจากบางอ้อ รู้สึกเหงาก็ออกมาเดินเล่นเท่านั้นเอง” พูดแล้วก็ก้มลงลูบคลำที่เข่าอีก “ขัดยอกนิดเดียวเท่านั้น”

“ดีละ ฉันจะได้ทาน้ำมันให้”

“โธ่, ผมไม่ใช่คนเจ็บคนไข้สักหน่อยเดียว”

“แต่ฉันเป็นคนทำให้รื่นเจ็บ ไปเถอะจะได้คุยกันด้วย ฉันอยากรู้เรื่องทางกำแพงเหลือทน หนังสือของเสถียรแต่ละฉบับไม่เห็นมีอะไร นอกจากเรื่องไม้––ไม้ แล้วก็ไม้ มีทุกข์สุขของใครต่อใครที่ฉันต้องการรู้กลับไม่เอ่ยถึง”

อีกครู่หนึ่งต่อมา รถม้าคันนั้นก็เลี้ยวขึ้นสะพานผ่านฟ้า และต่อมาไม่ถึงอึดใจก็หยุดอยู่ที่หน้าประตูบ้านสองชั้นหลังใหญ่ข้างวัดปรินายก

“ถึงแล้ว” ละเมียดหันไปบอกเขา “นี่แหละบ้านฉัน”

หล่อนก้าวลงไปก่อน เปิดประตูเล็กแล้วก็หันกลับมาสั่งคนรถ

“จอดคอยอยู่ที่นี่แหละตาโต๊ะ ประเดี๋ยวจะได้ไปส่งนายรื่น”

บริเวณบ้านอันกว้างดูเงียบเชียบและค่อนข้างมืด นอกจากแสงไฟที่หน้ามุขดวงหนึ่ง และบุคคลเดียวที่เขาเห็นก็ได้แก่หญิงชราซึ่งออกมาเปิดประตูห้องรับแขก และเปิดไฟขึ้น

“คอยฉันประเดี๋ยวนะรื่น” หล่อนชี้ให้เขานั่งที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง แล้วก็หายไปข้างใน

สายตาของเขากวาดไปทั่วบริเวณห้อง ที่โล่และหอกดาบ ซึ่งไขว้ประดับไว้เหนือผนังด้านหนึ่ง ต่อไปจึงจับอยู่ที่รูปหมู่ประจำตระกูล แล้วก็ภาพขนาดครึ่งตัวของคุณพ่อหล่อน ซึ่งถ่ายในวัยหนุ่มแต่ก็ยังทิ้งเค้าไว้ให้เขาจำได้ดีว่า เป็นคนเดียวกับชายชราที่เขาช่วยชีวิตไว้จากพวกปล้น เหนือตำบลลาน ดอกไม้ในคืนนั้น–––คืนที่ละเมียดก้าวเข้ามาสู่ชีวิตของเขาเป็นครั้งแรก

เสียงฝีเท้าเบา ๆ ของหล่อนเข้าประตูมา ทำให้เขาหันกลับไปดู ครั้นแล้วก็เสียวปลาบเข้าหัวใจไปด้วยความรู้สึกเก่า ๆ เมื่อสังเกตเห็นถนัดถึงความสดใสของใบหน้า และความเปล่งปลั่งของผิวพรรณ แตกต่างกันกว่าครั้งหลังที่สุด ที่เขาพบหล่อน ก่อนละเมียดจะลงมารักษาตัว ชั่วเวลาที่ลับกายเข้าไปข้างในไม่กี่นาที ละเมียดเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวใหม่ หล่อนนุ่งผ้าลายสีหมากสุก และสวมเสื้อมัสลินขาวอย่างเรียบ ๆ รื่นอดสังเกตต่อไปไม่ได้ว่าแป้งที่ผัดหน้ายังติดใบหูอยู่นิดหนึ่งด้วยความหลงหูหลงตา ไม่มีปัญหาเลยว่าหล่อนยินดีเพียงใดในการที่ได้พบเขา เท่า ๆ กับที่รื่นลิงโลดนับแต่เงยหน้า จากท่านั่งอยู่กลางถนนขึ้นไปแลเห็นหล่อน

“เลิกขาข้างนั้นขึ้นดูทีหรือ รื่น ?” ละเมียดนั่งลงตรงหน้าเก้าอี้ที่เขานั่งพร้อมด้วยขวดน้ำมันในมือ แสร้งทำไม่สนใจต่อสายตาของเขาที่แลจับดวงหน้าหล่อนอยู่ตลอดเวลา

“บอกคุณละเมียดแล้วว่าไม่เป็นอะไรสักนิดเดียว” เขาค้านทั้ง ๆ ที่ตายังจับอยู่กับสีชมพูอ่อนของแก้มหล่อนซึ่งอยู่ใต้จอนผมอันดำสนิท

“โธ่ อย่าดื้อไปหน่อยเลย รื่น” หล่อนดุ “ทำยังกะเป็นคนอื่นคนไกล”

ทั้งๆ ที่ต่อหน้าการคัดค้านด้วยความไม่เต็มใจของเขาละเมียดก็พยายามเลิกขากางเกงทาน้ำมันทั่วถึงเข่าจนได้

“เห็นไหมว่าฟกช้ำดำเขียวไปทั้งขา” หล่อนบอก “เข่าก็ถลอกปอกเปิก กำลังคิดอะไรอยู่นะรื่น จึงไม่ได้ยินเสียงร้องเตือนของฉัน ?”

“นาน ๆ เข้ากรุงที บ้านนอกก็เป็นบ้านนอกงั้นเอง” เขาหัวเราะ

“เคราะห์ดีที่ตาโต๊ะรั้งบังเหียนเบี่ยงเสียทัน ไม่งั้น––ไม่งั้น”

“คุณละเมียดก็ได้เสียเงินทำศพผมเท่านั้นเอง”

“เหลวไหล ! รอไว้พรุ่งนี้เถอะรื่นจะไม่พูดเล่นเห็นขันตลกคะนองได้อย่างนี้หรอก ฉันคิดว่าจะลุกไปไหนมาไหนไม่ได้ด้วยซ้ำไป––”

“งั้นผมก็คงอดตายเพราะพวกนั้น จะยังไม่กลับจากพระปฐมจนกว่าจะถึงมะรืน” เขาพึมพำดึงขากางเกงลงเสียอย่างเก่า “ไม่คิดเลยว่าจู่ ๆ จะมาเจอะคุณเมียดโดยวิธีนั้น คุณเมียดลงมาเสียนาน โดยไม่บอกไม่เล่าไม่เคยส่งข่าวให้รู้บ้าง– ยังกะจะไม่มีโอกาสเจอะกันอีก”

“เราเกือบจะไม่พบกันอีกรื่น ถ้าไม่ได้เจ้าคุณแพทย์ท่านช่วยไว้” หล่อนบอก สีกุหลาบซึ่งเรื่ออยู่ที่แก้มหายไปชั่วขณะหนึ่ง

“คุณเมียดเป็นโรคอะไร ?” นัยน์ตาของเขาสอดส่ายไปทั่วใบหน้าหล่อน

“ท่านบอกแต่ว่าโรคภายใน หัวใจอ่อน เลือดจาง รักษาทุกอย่างตามที่สมุฏฐานชวนให้สงสัย ประเดี๋ยวซีดลงไป เกือบไม่มีอะไรนอกจากหนังหุ้มกระดูก ประเดี๋ยวค่อยดีขึ้น ครั้งหนึ่งจวนอยู่จวนไป ไข้สูงเพ้อไม่ได้สติจะเป็นเพราะไข้ป่ากำเริบอีกหรืออย่างไรไม่ทราบได้ แต่ก็เกือบไม่มีใครคิดว่าฉันจะมีชีวิตอยู่ต่อมา ครั้นแล้วมันก็กลับทุเลาหายวันหายคืน กลับสมบูรณ์ไปด้วยเลือดฝาดและเนื้อหนังอย่างที่รื่นเห็นอยู่นี่แหละ เจ้าคุณท่านว่ามันอาจจะหายขาด แต่มันก็อาจจะกลับมาอีก แล้วแต่บุญวาสนา––” หล่อนถอนใจแล้วก็หัวเราะน้อย ๆ “ไปนึกถึงมันทำไมรื่น ใครบ้างที่ชีวิตจีรังยั่งยืนค้ำฟ้า”

อึดใจหนึ่งเต็ม ๆ รื่นพูดไม่ออกด้วยตื้นตันใจ นัยน์ตาทั้งคู่พร่าไปหมด เพราะฝ้าน้ำตาที่จะซึมออกมาเสียให้ได้ แต่ ในที่สุดก็พยายามบังคับความรู้สึกไว้อยู่

“ตลอดเวลาเหล่านั้น คุณเมียดอยู่ในบ้านนี้แต่ลำพังคนเดียวเท่านั้นเอง” เขาพึมพำ

“เปล่ารื่น ฉันมีตาโต๊ะกับยายชื่นสองคนอยู่เป็นเพื่อนด้วย” หล่อนอธิบาย “ช้า ๆ นาน ๆ เขาว่างงานก็ลงมาแวะเยี่ยมเสียที แต่บ้านนี้บ้านเก่าแก่ของฉัน เราอยู่กันไม่กี่คนมานานแล้ว ตั้งแต่ครั้งคุณพ่อคุณแม่ยังมีชีวิตอยู่จนเคยชิน เมื่อสิ้นบุญคุณพ่อคุณแม่ ฉันแต่งกับเสถียรเขาไป สองคนตายายก็ดูแลบ้านนี้แทนต่อมา ฉันคิดว่าถึงเขาจะหาที่อยู่ใหม่ให้ฉัน ก็คงไม่สมัครใจแน่....”

“แต่ดูมันเงียบเหลือเกิน แล้วก็เปลี่ยว”

“ฉันชอบเงียบ ๆ และอยู่แต่ลำพังคนเดียว” หล่อนว่า “มันทำให้คนเรามีเวลาคิดถึงตัวเองและคนอื่น ๆ”

รื่นได้แต่จ้องหน้าหล่อนอยู่เฉย ๆ ไม่กล้าที่จะเอ่ยปากถามออกไป ฉะนั้นก็ได้แต่จะภาวนาอยู่ในใจว่าในบรรดาผู้ที่หล่อนคิดถึงจะมีเขารวมอยู่ด้วย เขาพยายามนึกวาดภาพละเมียดยามเจ็บหนัก ปราศจากคนรัก ปราศจากสามีและผู้ใดจะเฝ้าพิทักษ์รักษา นอกจากสองตายายข้าเก่าผู้ภักดีเท่านั้นจะอดตาหลับขับตานอนคอยดูแลอยู่ใกล้ ๆ ช่างเป็นชีวิตที่แห้งแล้งอะไรเช่นนั้น สำหรับฐานะภรรยาของพ่อค้าใหญ่ ซึ่งตามสายตาของคนหัวเมืองทั่วไป มองเห็นแต่ในด้านที่เป็นสุขและหรูหรา

อาการนิ่งของเขา ทำให้หล่อนเงยหน้าหันมาชำเลืองดูอย่างประหลาดใจ

“คิดถึงอะไรหรือรื่น ?”

“ครับ ละเมียด”

“อะไร ? ใคร ?”

“คุณเมียด”

หล่อนหัวเราะเบา ๆ สีเรื่อของกลีบกุหลาบกลับมาสู่แก้มทั้งสองอีก ท่ามกลางแสงไฟที่สว่างอยู่กลางเพดาน

“คิดถึงฉัน ?” หล่อนทวนคำ เดือนจะทายออกว่าเขาจะพูดอะไรต่อไป

“คิดถึงคุณเมียดในบ้านนี้ ไม่มีใครนอกจากสองตายายนั่นจะเป็นเพื่อน คิดถึงคุณเมียดในบ้านใหม่ไม่มีใครนอกจากเขาเอาใจ ใช้แต่งานไม่มีการพักผ่อน ไม่มีโอกาสจะเป็นสุข ไม่มีแม้แต่ลูกจะอุ้มชูชมเชย – –” ใบหน้าของรื่นหมองคล้ำลงไป นัยน์ตาทั้งคู่ตกต่ำ “คุณเมียดจะทำอย่างไรกับชีวิตข้างหน้าของคุณเมียดต่อไป”

“อ๋อ ไม่ใช่มีลูกกับเขาแน่ แต่กลับไปปากน้ำโพหรือกำแพง ตามแต่งานจะบังคับ” สีหน้าของหล่อนรื่น น้ำเสียงของหล่อนใส”

เขาได้ฟังก็ลุกขึ้นทันที ยืนหันหลังให้หล่อน เหมือนจะเตรียมตัวจากไป

“ปากน้ำโพ ! กำแพง !” เขาพึมพำ “กลับไปหาชีวิตเก่าที่จะทำให้คุณเมียดกลับมาเจ็บต่อไปมีประโยชน์อะไรกัน ? เปล่าเลยจนอย่างเดียว”

“แต่ชีวิตเหล่านั้นเป็นชีวิตที่ฉันปรารถนา เพราะว่าไม่ใช่ลูกของเขา ไม่ใช่ความร่ำรวย หรูหรา ไม่ใช่หน้าตาอะไรหรอกรื่นที่เป็นความสุขของฉัน มันยิ่งกว่านั้น มันงานอย่างเดียวกับที่ทำให้รื่นเป็นความสุขเหมือนกัน เพียงแต่งานของขึ้นอยู่ที่คลองสวนหมาก เขตกำแพง ส่วนของฉันตลอดลำน้ำแม่ปิง เท่าที่กิจการของเขาจะไปถึง”

เขาหันกลับมาช้า ๆ อย่างงงงันอัศจรรย์ใจ

“ผม – – ผมไม่เข้าใจ”

“แล้วต่อไป รื่นจะเข้าใจ ในวันหนึ่งข้างหน้า” ขณะนั้นละเมียดลุกขึ้นเดินไปยืนอยู่ข้าง ๆ เขา “บอกได้แต่ว่าพร้อมด้วยกัน บริษัทนั้นจะเป็นประโยชน์แก่อนาคตของชาวบ้านบนลำน้ำปิงทั่วไป ปราศจากฉันมันจะกลายเป็นศัตรูของทุกคน รวมทั้งรื่นเอง”

เขานิ่งอยู่นาน คิ้วทั้งสองขมวดเข้าหากันอย่างเต็มไปด้วยความครุ่นคิด ครั้นแล้วมันก็คลายออก

“ผมคิดว่าพอจะเข้าใจ คุณเมียดปรารภมาหลายหนแล้วในเรื่องนี้ พร้อมทั้งมีงานเป็นข้อพิสูจน์อีกด้วย” เขาบอก เพ่งสายตาข้ามศีรษะหล่อนไปจับอยู่ที่ภาพหมู่ขนาดใหญ่ข้างฝาผนัง “ก็เป็นการประหลาดที่เรามาอยู่ที่นี่ ต่อหน้าเขาแล้วก็พูดถึงงานที่คุณเมียดจะทำต่อไป ตรงข้ามกับความตั้งใจของเขา”

ละเมียดหันไปมองตาม พลางถอนใจ

“ถูกแล้ว นั่นคือเสถียร ครอบครัวของเราถ่ายร่วมกันเมื่อยังอยู่อยุธยา” หล่อนอธิบาย “แต่ใจฉันไม่รู้สึกแสลงอย่างที่รื่นเข้าใจดอก ที่ทำงานให้เขาเช่นนั้น อย่างที่ฉันเคยบอกแล้ว เขาต้องการอำนาจมากกว่าสิ่งใด เงินเป็นเพียงปัญหาที่สองและความรักเป็นเรื่องสุดท้าย ตราบใดที่ฉันหา อำนาจให้เขาได้ เรื่องอื่นยังไม่ต้องกังวลถึง”

“แต่วันหนึ่งเมื่อมันถึงที่สุด และรู้สึกว่าอำนาจที่คุณเมียดหาป้อนเขาได้ เป็นแต่เพียงเครื่องล่อใจแลกเปลี่ยนเพื่อผลประโยชน์ของคนอื่น ไม่ใช่เพื่อเขา และไม่สมปรารถนาในความร่ำรวย ซึ่งเป็นบั้นปลายของผู้ใช้อำนาจทุกคน คุณเมียดจะเป็นอย่างไร ?”

หล่อนถอนใจอีก พลางหันกลับมาเงยหน้าขึ้นมองดูเขา แล้วก็ยิ้มอย่างเศร้าๆ

“ฉันเองก็สงสัยอยู่เหมือนกัน แต่เวลานั้นมาถึงเมื่อไร ฉันก็พร้อมแล้วจะเผชิญด้วยความสุขใจว่าได้ทำตนให้เป็นประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ที่ฉันมีโอกาสคลุกคลี ใช้ชีวิตร่วมด้วยมาเป็นเวลานาน นอกจากนั้นมันมิใช่การทรยศต่อนายเสถียรเขา เพียงแต่วิธีดำเนินงานของเราต่างกัน เขาต้องการรวยเร็วและคนเดียว ฉะนั้นจึงไม่ยอมให้อะไรมาขวางหน้า ฉันต้องการเฉลี่ยความร่ำรวยนั้นให้แก่ทุกคนที่เกี่ยวข้องด้วย ฉะนั้นจึงต้องการเวลา และความร่วมมือจากทุกฝ่ายด้วยความสมัครใจยินดี ตราบใดที่ฉันยังได้รับความไว้วางใจจากบริษัทให้ดำเนินงานนั้น ฉันจะดำเนินตามวิธีของฉัน––”

“เป็นอันว่าในที่สุด คุณเมียดก็ตกลงใจแน่ที่จะกลับไปสู่ชีวิตเก่าเหล่านั้นอีก” เขาพึมพำ

“เพราะมันหนีไม่พ้นรื่น อยู่ในเลือดเสียแล้ว” ละเมียดมองหน้าเขาตาไม่กระพริบ “อยู่ในเลือดเสียแล้ว”

มือทั้งสองของเขาเอื้อมออกไปกุมมือทั้งสองของหล่อนไว้บีบเบาๆ

“คุณเมียดเป็นผู้หญิงที่หาจากไหนอีกไม่ได้ในโลกนี้ – ไม่มีผู้หญิงคนไหนอีกเหมือนคุณเมียด”

แต่เมื่อรู้สึกว่าศีรษะเขาก้มลงมาทำท่าเหมือนจะจูบผมหล่อน ละเมียดก็ขยับตัวถอยห่างออกไปก้าวหนึ่ง

“อย่ารื่น!”

เขาได้ฟังก็ถอนใจยาว ปล่อยมือทั้งสองทันทีสีหน้าสลดลง

“ผมเห็นแล้วว่าขณะที่ผมหรือคิดถึงคุณเมียดอยู่ตลอดเวลา รักคุณเมียดอย่างไม่มีจืดจาง คุณเมียดกลับลืมเรื่องราวเหล่านั้นได้จริงๆ”

“ไม่มีผู้หญิงคนไหนจะลืมผู้ชายคนแรกที่เขามอบตัวให้ด้วยความสมัครใจได้ ––”

“งั้นคุณเมียด ––” รื่นขยับตัวจะก้าวตามไปอีก

แต่หล่อนโบกมือห้ามไว้ เอียงศีรษะไปทางประตูหน้ามุข

“ต้องไม่ใช่ที่นี่” หล่อนกระซิบ “ถึงจะมีแต่ตาโต๊ะกับยายชื่น ซึ่งฉันจะเชื่อถือได้ ฉันก็ไม่ต้องการให้แกคิดหรือมองฉันผิดแปลกไปกว่าฉันคนเก่า แกไม่มีวันจะเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างรื่นกะฉันเลย”

“งั้นที่ไหน ?”

“รื่นว่าสุดใจกับพวกนั้นจะไม่กลับจากนครปฐมจนกว่าจะถึงมะรืน ?”

“ครับ”

“คืนพรุ่งนี้ รื่นติดธุระหรือนัดหมายกับใครไว้หรือเปล่า ?”

“เปล่าเลย”

“คอยฉันอยู่ที่ ๆ พัก สามทุ่มจะไปหา”

“ครับ”

“เราจะได้มีโอกาสคุยกันนาน ๆ ระวังแต่อาการระบมของรื่นเถอะจะแย่”

“อ๋อ ข้อนั้นผมรับรอง” รื่นยืนยันเสียงห้าว “ไม่มีวันเสียละ ถึงจะต้องตัดขาทิ้งทั้งสองข้าง”

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ