ธุระของละเมียดที่บ้านผู้ใหญ่บ้านแม้น เกี่ยวกับสัมปทานป่าไม้วังพระธาตุสำเร็จเสร็จสิ้นลงในวันรุ่งขึ้นด้วยความประหลาดใจของรื่น เรื่องที่เขาคิดว่าคงจะเสียเวลานาน และการเจรจาคงจะตกลงกันได้ด้วยความลำบากยากเย็นกลับเป็นไปด้วยความราบรื่นเรียบร้อย โดยเขาเกือบไม่ต้องทำหน้าที่ของทูตด้วยซ้ำไป เสน่ห์อันจงใจจากกิริยาวาจาของหล่อนเป็นประการต้น ความอ่อนโยนอะลุ้มอล่วยเมื่อเข้าสู่กรณีประณีตละเมียดละไมเป็นประการต่อไป และประการสุดท้ายแต่ไม่ที่สุด ความเข้าใจในชีวิตและธรรมชาติของมนุษย์ทุกชุมนุมที่หล่อนมีโอกาสอยู่ร่วมด้วย เป็นเหตุให้อุปสรรคทั้งหลายแหล่ผ่านพ้นไปโดยง่าย

ผู้ใหญ่แม้นซึ่งขึ้นชื่อลือชากันมาช้านานทั้งกำแพงว่าหัวแข็ง พูดจาเข้าใจกันยากที่สุดคนหนึ่งในบรรดาพ่อค้าไม้ด้วยกันสมัยนั้น งงงันไปหมดเมื่ออยู่ต่อหน้าหล่อน คำชี้แจงที่อ่อนหวานและจะแจ้งด้วยเหตุผลของละเมียด ทำให้แกไม่มีทางที่จะตอบโต้ได้ ข้อซักถามความข้องใจใด ๆ หรือการต่อรองก็เพียงแต่อุปมาเหมือนราชเสาวนีย์ของนางพญาที่แกและพวกลูกบ้านจะพึงปฏิบัติตามเท่านั้น

“อย่างคุณนายว่า สัมปทานป่านี้ก็เหมือนไม่มี ใครอยากตัด–ตัด เพียงแต่ให้ได้ขนาดที่คุณนายระบุไว้และไม้นั้นต้องขายคุณนาย นอกจากจะเอาใช้ในการปลูกสร้างบ้านเรือนของตนเอง” แกพึมพำตอนหนึ่งเมื่อการเจรจาใกล้จะถึงอวสาน

ละเมียดฉวยโอกาสนั้นทันที

“ค่ะ ถูกของท่านผู้ใหญ่ ป่าไม้นี้เหมือนเรามีผลประโยชน์ร่วมกัน เพียงแต่ฉันทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลแทนเท่านั้น นอกจากนี้ถ้าเห็นว่าจะขายให้ฉันได้ราคาไม่จุใจ จะเลือกขายกับใครที่ได้ราคาดีกว่าก็ไม่ว่า ปัญหาอย่างเดียวอยู่ที่ขอให้ตัดไม้ตามชนิดและขนาดที่เราจะได้ตกลงระบุไว้เป็นปีๆ ––”

“ทีแรกนายเสถียรจะให้มีหัวหน้ามาควบคุมดูแล” ผู้ใหญ่แม้นพึม

“เปล่า แต่นี้ต่อไป ท่านผู้ใหญ่นั่นแหละจะเป็นผู้ควบคุมดูแล เพราะมันเป็นผลประโยชน์ของท่านผู้ใหญ่เองและพวกลูกบ้าน”

“แล้วเรื่องสัญญา?”

“วาจาของท่านผู้ใหญ่กะฉันนั่นแหละสัญญา” ละเมียดยืนยัน “การปฏิบัติต่อไป จะพิสูจน์ให้เราเห็นได้เองว่า มันมั่นคงพอหรือไม่ นอกจากนี้สัญญามีประโยชน์อะไร ในระหว่างคนที่ทำงานด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจกันเหมือนญาติ”

เท่านั้นเองการเจรจาก็ยุติ และปัญหาที่นายเสถียรประสบความล้มเหลวมาเป็นเวลาแรมปีก็อวสาน ผู้ใหญ่แม้นหน้าบานด้วยความภาคภูมิ บรรดาพวกลูกบ้านที่มาประชุมพร้อมหน้ากันพึมพำด้วยความพอใจ

เมื่ออำลาจากกันในตอนบ่าย และออกเรือพ้นหมู่บ้านมาได้ไม่ช้าไม่นาน ละเมียดก็หันไปหารื่นซึ่งนั่งกอดเข่านั่งเงียบ อยู่ตอนท้ายตั้งแต่ออกจากหน้าท่า ถามว่า

“ฉันทำผิดหรือถูกจ๊ะ รื่น?”

เขาหันมามองหล่อนด้วยกิริยาสงบเสงี่ยม “ที่ไม่ทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรกับพวกนั้น? หรือการยกเว้นต่างๆ ระหว่างเจ้าของสัมปทานกับผู้เข้าทำครับ คุณละเมียด?”

“ทุกสิ่งทุกอย่าง ตลอดทั้งเรื่องสิ้นทั้งหมดแหละ”

“อ๋อ เก่งอย่างไม่มีใครเท่าเลย” เขาหัวเราะ “มันเรียบร้อยเสียจนกระทั่งผมอดคิดไม่ได้ว่า ผู้ใหญ่แม้นถูกมนตร์คุณเมียดไปอีกคนหนึ่ง ถึงจะรู้อยู่ว่าคุณเมียดไม่เคยได้พยายามใช้อุปเท่เล่ห์กลอะไร นอกจากความมีใจนักเลง เปิดเผยและโอบอ้อมอารี อย่าหาว่าผมแกล้งยอหรือประจบ ถึงพะโป้เองก็ยังเอาชนะใจผู้ใหญ่แม้นไม่ได้ ทีนี้ว่ากันในทางการงาน โดยข้อตกลงนั้น คุณละเมียดเท่ากับยิงนกทีเดียวสองตัว ผู้ใหญ่แม้นกะพวกท่าขี้เหล็กรู้สึกเหมือนเขาเป็นเจ้าของป่านั้นแทนคุณเมียด และคุณเมียดก็ได้ทั้งคนงานและหัวหน้าควบคุมโดยไม่ต้องจ้าง – –”

แม้จะเป็นวาจาที่รื่นกล่าวออกมาด้วยความจริงใจ ความหมายของมันก็เป็นอภินันทนาการอันมีค่ายิ่งใหญ่สำหรับหล่อน ละเมียดนิ่งอยู่นาน มองดูทิวไม้และชายหาดสองฟากที่เรือผ่านไป ในที่สุดจึงเอ่ยขึ้นอีก

“ฉันพยายามจะทำหน้าที่ของฉันอย่างดีที่สุดที่จะดีได้เท่านั้นเองรื่น” หล่อนบอก “หน้าที่ของเมียตามขนบประเพณี และหน้าที่ตามความรู้สึกรับผิดชอบในชีวิตเรียกร้อง – –” นิ้วของมือหล่อนข้างหนึ่งราน้ำขณะที่เรือชะล่าแล่นไป นัยน์ตาทั้งคู่ของหล่อนจับอยู่ ณ ที่หนึ่งที่ใด เหนือทิวไม้แลลิบๆ เหมือนกำลังระลึกถึงความหลัง “หน้าที่ทั้งสองเป็นคนละอย่างต่างกัน แต่การที่ทำให้ทั้งเสถียรเขาและชาวบ้านเกาะขี้เหล็ก ต่างฝ่ายต่างได้รับความพอใจนี่แหละเป็นความสุขของฉัน เสถียรเขาเคยบอกว่ามันเป็นงานของผู้ชาย แต่ฉันเองคิดว่าพอจะทำได้ เดี๋ยวนี้ก็ได้รับคำตอบแล้ว” หล่อนถอนใจอีก “ฉันคงจะเป็นประโยชน์แก่ทุกๆฝ่ายได้มากกว่านี้ ถ้าชีวิตยังไม่สิ้นสูญและกิจการของเรารุ่งเรืองต่อไป – – แต่อะไรก็ไม่รู้ ทำให้อดสังหรณ์ใจไม่ได้ว่า เวลาของฉันคงจะมาถึงในอีกไม่ช้าไม่นาน”

“อะไรทำให้คุณเมียดคิดอย่างนั้น ?” เขาชำเลืองดูหน้าหล่อน ความอ่อนระโหยโรยแรงซึ่งปรากฏขึ้นในน้ำเสียงอย่างกระทันหันทำให้เขาตื้นตันใจ สีหน้าที่บอกความสิ้นอาลัยตายอยากทำให้หวาดสะดุ้ง “คุณเมียดเป็นผู้หญิงแข็งแรงและทรหดอดทนที่สุดคนหนึ่ง ที่ผมได้เคยเห็น”

“สายตาของเราอาจหลอกตัวเองได้ง่ายนะรื่น” หล่อนพยายามหัวเราะ “ฉันบอกไม่ถูกจริง ๆ ว่าอะไรทำให้ฉันอดสังหรณ์อย่างนั้นไม่ได้ ทั้งที่ไม่เป็นโรคเป็นภัยอะไรนอกจาก –”

หล่อนหยุดนิ่งไปเฉย ๆ จนกระทั่งเขาต้องเงยหน้าจากกระแสน้ำที่ผ่านเรือชะล่าไปด้วยอัศจรรย์ใจ

“อะไรครับ คุณเมียด ?” เขากระซิบถามเบา ๆ จ้อง ดูหล่อนเขม็ง

“เปล่าจะ รื่น เป็นความคิดเหลวไหลแบบผู้หญิงทั่วๆ ไปของฉันเท่านั้นเอง คุยกันเรื่องอื่นดีกว่า พูดถึงเรื่องล้มตายทำให้ไม่สบายใจเปล่าๆ ว่าแต่รื่นเถอะ ปีนี้จะค้าไม้อะไรกันแน่ กี่แพ?”

“ยังไม่แน่ครับ จนกว่าจะหลังจากการรับเสด็จแล้วและรู้กำลังทุนรอนเสียก่อน”

เขารู้ดีว่า แม้จะพยายามเปลี่ยนเรื่องสนทนาไปละเมียดก็ไม่เคยลืมความรู้สึกข้อนั้นได้ จนกระทั่งหลายวันต่อมาเมื่ออยู่ระหว่างบรรดามิตรสหาย และการว้าวุ่นในการเตรียมรับเสด็จตามข่าวที่หนาหูขึ้นทุกวันนั่นเอง อาการวิปริตผิดสังเกตที่ปรากฏอยู่บนสีหน้า ในแววตาและน้ำเสียงของหล่อนจึงอันตรธานไป

รื่นรู้อีกด้วยว่า ความสัมพันธ์อันใกล้ชิดของเขากับละเมียดมิได้เป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์ของนายเสถียร ซึ่งยังไม่เลิกพากเพียรที่จะชักชวนให้เขาร่วมกิจการบริษัทค้าไม้ที่นั่นด้วย แต่ไม่เคยมีจนครั้งเดียวที่หล่อนได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ เพราะรู้ดีอย่างที่เขารู้ว่าไม่มีทางจะเป็นไปได้ ความเข้าใจเขาและความเข้าใจชาวบ้านทุกคนที่หล่อนติดต่อด้วยเช่นนี้เอง นอกจากจะเพิ่มความรัก ความยำเกรงและบูชาในน้ำใจของหล่อนยิ่งขึ้นแล้ว ยังทำให้การพบปะติดต่อ ระหว่างเขากับหล่อนและพวกลูกหลานของพวกที่จวนเก่าเป็นไปโดยปราศจากความอึดอัดอีกด้วย

กรกฎาคมทั้งเดือนเต็มไปด้วยข่าวเสด็จ กำแพงเพชรทั้งเมืองตื่นตัวเหมือนปาฏิหาริย์เกิดขึ้น แต่ทำนองเดียวกับครั้งก่อน ๆ เมื่อนานไปและปราศจากการยืนยันจากแหล่งหนึ่งแหล่งใดให้เป็นการแน่นอน ทุกคนก็ได้แต่ถอนใจใหญ่หันกลับไปสู่ชีวิตประจำวันดังที่ได้บำเพ็ญกันแต่ไหนแต่ไรมา ครั้นแล้วจู่ ๆ วันหนึ่งปลายเดือนนั้นเอง หลวงราชบริการนายอำเภอก็กลับจากนครสวรรค์พร้อมด้วยคำสั่งของเทศา เย็นวันนั้นรื่นกลับมาจากเมืองด้วยความตื่นเต้นอย่างที่สุดใจไม่เคยเห็นนับแต่อยู่กินด้วยกันมา

“แน่แล้วละ สุดใจคราวนี้” เขาร้องบอกหล่อนตั้งแต่ก่อนที่จะก้าวพ้นธรณีประตูรั้วบ้านเข้าไป

ภรรยาซึ่งอยู่กับกระเดื่องใต้ถุนเรือน หยุดตำข้าวทันที หันมามองดูเขาด้วยความประหลาดใจ

“แน่อะไรกันพี่รื่น ?”

“พระพุทธเจ้าหลวงเสด็จแล้วละ!” เขาปราดเข้าไปคว้าข้อมือทั้งสองของหล่อนมารวบไว้เหมือนเด็ก ๆ ที่ดีใจได้ของเล่นมาใหม่ ๆ นัยน์ตาทั้งคู่เป็นประกาย

เสียงของเขาเรียกป้าแคล้ว จำปาและเรื่องลงมาจากเรือนพร้อมกัน เพียงครู่เดียวรอบตัวรื่นก็แวดล้อมไปด้วยเด็กและผู้ใหญ่ ซักไซ้กันแซ่ดไปหมดจนฟังไม่ได้ศัพท์

“เสด็จแล้วจริง ๆ !” เขาหันไปบอกทุก ๆ คน “วันนี้ข้าข้ามไปซื้อของในเมือง ผ่านศาลากลางเห็นคนมุงกันแน่นอยู่ แวะเข้าไปดูก็เจอะนายอำเภอกะเจ้าเมืองท่านพอดี ท่านว่าพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จจากบางกอกแล้ว กำหนดถึงนครสวรรค์ราว ๆ ต้นเดือนหน้า ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงราว ๆ ปลายเดือนก็คงถึงกำแพง”

ก่อนที่คืนนั้นจะผ่านไป ทั้งบ้านไร่และคลองเหนือก็รู้กันทั่ว เพราะการบอกเล่ากล่าวขานกันเป็นทอด ๆ ไป รื่นเรียกประชุมพวกลูกบ้านทันทีในวันรุ่งขึ้น เพื่อวางกำหนดหน้าที่ในการสร้างพลับพลารับเสด็จตามคำสั่งที่เขาได้รับมา

“เรายังมีเวลาเหลือเฟือสำหรับไม่ให้ขายหน้าทางเมืองเขาได้” เขาบอกลูกบ้านทั้งหลาย “เจ้าเมืองท่านให้นายอำเภอใช้แรงนักโทษ กำหนดปลูกที่หน้าวัดชีนางเกา แต่สำหรับเราจะลงมือกันเอง ท่านกะขนาดและที่ ๆ จะปลูกให้แล้วที่ลานพระธาตุชั้นในใต้ต้นบุนนาค ใครขาดเครื่องมือมาเอาที่ข้า ข้าวปลาอาหารสำหรับออกป่าไม่พอเบิกได้ วัวควายหรือล้อสำหรับลากไม้ก็เหมือนกัน”

ภายใน ๗ วัน พลับพลาพื้นฟากมุงแฝกหลังนั้นก็สำเร็จเรียบร้อยเหมือนเนรมิต ประดับไปด้วยประตูป่าเฟื่องระย้าห้อยทั้ง ๔ ทิศแข็งแรงและกว้างขวางพอที่จะใช้เป็นท้องพระโรง สำหรับให้ชาวบ้านชาวเมืองเฝ้าได้ทั่วถึง ทั้ง ๆ ที่ตามหมายกำหนดการท่านเจ้าคุณเองก็ยังไม่แน่ว่าจะเสด็จประทับช้านานสักเพียงใด

ยืนพิจารณาดูพลับพลาหลังนั้น ๓ วันต่อมา ขณะที่ท่านข้ามไปตรวจราชการในเย็นวันหนึ่ง ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดถึงกับอดยิ้มไม่ได้ ถอนใจใหญ่ หันไปหารื่นซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ แล้วว่า

“ถูกของแม่เมียดเขา คนอย่างผู้ใหญ่ให้ได้แต่ของดีที่สุด ผู้ใหญ่เกิดมาสำหรับจะเป็นหัวหน้าคน – – สำหรับจะปกครองตำบลนี้”

เป็นครั้งแรกที่ท่านเอ่ยถึงคลองสวนหมากในฐานะตำบล เพราะฉะนั้นจึงเป็นธรรมดาอยู่เองที่ทุกคนซึ่งชุมนุมอยู่ด้วยที่นั่น จะพากันคิดและซุบซิบต่อ ๆ ไปว่า เมื่อใดคลองสวนหมากถูกยกฐานะขึ้นเป็นตำบลตามทางการ เมื่อนั้นตำแหน่งกำนันจะไม่พ้นรื่น

อีก ๒ สัปดาห์ต่อมา ก่อนหน้าที่ขบวนเสด็จจะถึงกำแพงเพชรเพียงวันเดียว ความคาดคะเนของบรรดาบุคคลเหล่านั้นก็ได้รับการยืนยันจากละเมียด เมื่อหล่อนกระซิบบอกรื่นขณะเขาข้ามไปเยี่ยมที่ในเมือง

“คลองสวนหมากเป็นตำบลแน่รื่น หลังจากเสด็จกลับแล้ว คุณหลวงบอกฉันว่า คุณลุงรายงานลงไปที่เทศาเมื่อวานนี้เอง”

หล่อนมิได้เอ่ยปากกับเขาถึงตำแหน่งหน้าที่กำนันว่าจะได้กับใคร แต่ก็ไม่มีความจำเป็น เมื่อเกือบจะเป็นที่รู้อยู่ในใจด้วยกันทุกฝ่าย

เขาจากหล่อนมาด้วยสีหน้าสงบเป็นปรกติ แต่หัวใจเต้นเป็นตีกลอง คลองสวนหมากเป็นตำบล – – คลองสวนหมากเป็นตำบล ! ก้องอยู่ในหู รื่นรู้สึกเหมือนโลกที่เขาอยู่ขยายปริมณฑลกว้างขวางออกไปทั้ง ๆ ที่อะไรทุกสิ่งทุกอย่างยังอยู่ในสภาพเดิมของมัน หมู่บ้านที่เรียงรายอยู่ภายใต้ดงมะพร้าว ไร่เกาะ หัวรอ และวัดพระบรมธาตุ พร้อมด้วยฉัตรใบระกาที่กรุ๋งกริ๋ง จำปาที่เหลืองจ๋อยอยู่ตามกิ่ง บุนนาคที่โปรยเกสรหอมกรุ่นลงมาเกลื่อนกลาดอยู่บนลานวัด พร้อมด้วยกระแสน้ำในแม่ปิงไหลรินเซาะตลิ่งและหาดทรายที่ยังไม่ถูกน้ำลบอยู่ไม่ขาดสาย เขาหยุดอยู่ครู่หนึ่งที่หาดทรายก่อนลงเรือข้ามฟากมาขณะนั้นเอง คลองสวนหมากที่ปรากฏแก่สายตาก็เปลี่ยนสภาพไปในจินตนาการ พร้อมด้วยหมู่บ้านที่เบียดเสียดเยียดยัด พร้อมด้วยผู้คนที่แน่นขนัด เสียงหัวเราะที่แจ่มใส เกราะและกระดิ่งที่คอควายแว่วมาในอากาศขณะเมื่อถูกต้อนลงมายังท่าน้ำเมื่อเวลาใกล้ค่ำ

ฉันคงจะมีชีวิตอยู่ได้ดูยุคนั้น ความคิดของเขาพล่านอยู่ในใจ ถึงจะช้านานสักเพียงใด ชั่วแสนกัลปกัปป์อนันตชาติก็จะขออยู่ให้จงได้ เพราะมันเป็นบ้านของฉัน งานของฉัน และพร้อมด้วยความคิดนั้นซ่านไปตามสายโลหิต รื่นก็ก้าวลงสู่เรือชะล่ารับจ้าง นั่งนิ่งเหมือนรูปสลัก ไม่ได้ยินเสียงทักจากคนถ่อ ไม่ได้สำนึกจากหยาดน้ำที่กระเซ็นมาต้องกาย – –

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ