๙
ที่ขอบเตียงนอนของหล่อน ซึ่งตั้งอยู่ติดฝาผนังตรงกันข้าม สามีของหล่อนนั่งอยู่ นัยน์ตาทั้งคู่เงยขึ้นชำเลืองดูอย่างเหม่อ ๆ และเลื่อนลอยจากใต้คิ้วอันดกดำ นัยน์ตาทั้งคู่นั้นแดงเหมือนอดนอนมาหลายคืนหรือกำลังพิษไข้ขึ้นสูง แต่ละเมียดรู้ได้ว่ามันไม่ใช่ จากกลิ่นที่ฟุ้งอยู่ในห้องนั้น จากขวดเปล่าที่กลิ้งอยู่บนพรมน้ำมันและแก้วอันตั้งอยู่บนโต๊ะเล็กหน้าเตียง อึดใจหนึ่งเต็ม ๆ เขาคงมองดูหล่อนอยู่เช่นนั้น ครั้นแล้วคางสี่เหลี่ยมก็ยื่นออก ขากรรไกรทั้งคู่ขบกันแน่น ยกมือข้างหนึ่งขึ้นลูบหนวดซึ่งเริ่มหงอกประปราย
“อ้อ กลับแล้ว !” เสียงของเขาห้าวและปร่าเหมือนพูดมาจากคนละโลก
“ฉัน – – – ฉันคิดว่าเสถียร – –“ ละเมียดก้าวเข้าไป หายตะลึง เอื้อมมือกลับมาปิดประตูเสีย สีหน้าหล่อนสงบ แต่เสียงยังอดสั่นไม่ได้ “ยังอยู่เหนือ”
“เปล่า ลงมาธุระที่กรุงเก่า แล้วก็ต่อเรือมาถึงที่นี่ เมื่อยามกว่า ๆ” นัยน์ตาอันแดงก่ำของเขาชำเลืองดูหล่อนจากศีรษะถึงเท้า ริมฝีปากอันหนาของเขาเผยอจากกันนิด ๆ “เพิ่งรู้ว่าเจ้าคุณแพทย์ยังรักษาละเมียดอยู่ – – รักษากันถึงหกทุ่มสองยาม”
ความระแวงเต็มตัวปรากฏอยู่ในเสียงของเขา การตอบอะไรออกไปโดยมิได้ระมัดระวังอย่างกระทันหัน มีแต่จะเร่งเร้าความสงสัยยิ่งขึ้น หล่อนหัวเราะเบา ๆ เดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้งหัวเตียง แล้วก็เปลื้องแพรเพลาะออกจากศีรษะใส่ไว้ในลิ้นชัก
“เสถียร จะให้ฉันสั่งตาโต๊ะกะยายชื่นแกว่าอย่างไรเมื่อมีใครมาหา ?” หล่อนมิได้หันหน้ามาเผชิญเขา แต่กระจกเงาตรงหน้าบอกปฏิกิริยาจากเขาอยู่ทุกอิริยาบถ “เล่นไพ่อยู่ที่วังเจ้านายองค์หนึ่งองค์ใดงั้นรึ? ฉันคิดว่านานทีปีหนเสถียรคงจะไม่ขัดข้อง หรือสำคัญผิดคิดเห็นฉันเป็นนักเลงพนันไป”
“ฉันไม่เคยตั้งข้อรังเกียจ หรือหวงห้ามในเรื่องนั้นการเล่นไพ่เพื่อการสมาคมกับการพนันต่างกัน แต่ทำไมมันจะต้องเป็นกลางคืน ? ทำไมจะต้องหกทุ่มสองยาม ? แล้วก็ทำยังกะเป็นเรื่องลับซับซ้อนเสียเต็มประดา รถม้ามีไม่ขี่ กลับสมัครเดิน ไปไหนมาไหนทุกคราวเคยเอาตาโต๊ะหรือยายชื่นติดตัวไปรับใช้ คราวนี้ยังไงกลับไปคนเดียว ?”
ละเมียดหันกลับมาช้าๆ ความอิดโรยปรากฏอยู่บนสีหน้า ความอ่อนใจปรากฏอยู่ในน้ำเสียง
“เสถียร จะให้ฉันเป็นคนพิการไม่ได้เดินเหินเสียบ้างอย่างไร เสถียรจะให้ฉันเอาตาโต๊ะหรือยายชื่นไปทรมานนั่งหลับสัปหงกอยู่ในที่ยังงั้นทำไมกัน ในเมื่อบ้านทั้งบ้านไม่มีใครอยู่ งานที่จะทำหรือออกแยะไป ?”
นัยน์ตาของเขาลดลงต่ำ ขากรรไกรทั้งคู่คลายออก แล้วก็ถอนใจ ละเมียดรู้อย่างผู้หญิงที่ฉลาดทั่วไปรู้ว่าความอ่อนแอของคู่ต่อสู้ตนอยู่ที่ไหน หล่อนรู้ว่าชั่วขณะหนึ่งภัยซึ่งหล่อนหวาดกลัวหนักหนาผ่านไปแล้ว และถ้าหล่อนเดินแต้มให้ดีชีวิตนี้ยังจะเป็นที่อภิรมย์ชมชื่นไปอีกนาน หล่อนเดินเข้าไปหาเขาช้า ๆ ก้มลงหยิบขวดเหล้าซึ่งกลิ้งอยู่กับพื้นตรงหน้าตั้งไว้บนโต๊ะ แล้วก็นั่งลงบนเตียงข้าง ๆ เขา ยกมือขึ้นแตะที่หน้าผากอันร้อนผ่าวแล้วก็เลื่อนลงมากุมมืออันเย็นชืดไว้ ความเคลื่อนไหวเหล่านั้น ทำให้เสถียรเงยหน้าขึ้นดูอย่างอัศจรรย์ใจ
“เท่านั้นเองหรือที่ทำให้เสถียรกลุ้ม ทำให้เสถียรต้องกินเหล้าคอยตัดพ้อต่อว่าฉันไม่เป็นอันหลับอันนอน” เสียงของหล่อนทุ้ม ๆ นุ่มนวลและปลอบโยน ขณะที่ช่วยเขาเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว “แต่ไหนแต่ไรมา ฉันเคยคิดแต่ว่าเสถียรเป็นผัวที่ไว้วางใจเมียของตน”
“ถึงเดี๋ยวนี้ฉันก็เป็นคนอย่างนั้น” เขาคัดค้านเสียงอ่อนลง ปล่อยตัวให้อยู่ในเงื้อมมือหล่อนเหมือนเด็กว่านอนสอนง่าย ไม่ว่าจะเปลี่ยนเครื่องแต่กายหรือเช็ดหน้าตาเนื้อตัวต่อมา “เพราะฉันเป็นคนรักเมีย เธอไม่รู้หรอกละเมียดว่าฉันรักเธอเพียงไร” เขาเอนกายลงพิงหมอน ซึ่งภรรยาสอดให้ตาจับอยู่กับใบหน้าของหล่อนตลอดเวลา “ไม่มีผู้ชายคนไหนเลยจะกล้ามอบชีวิตทั้งชีวิตไว้ในมือเมียของตัว อย่างที่ฉันได้มอบให้กับเธอ งานเหล่านั้นเป็นชีวิตของฉัน บริษัทนั้นเป็นหัวใจของฉัน ถึงกระนั้นก็ยังไม่สำคัญเท่ากับความรักที่ฉันมีต่อเธอ”
“ฉันเข้าใจเสถียร” หล่อนพึมพำหลบตาลงต่ำ
“เปล่า เธอไม่เข้าใจอย่างนั้น ละเมียดเคยเข้าใจแต่ว่า ผู้ชายอย่างฉันไม่เคยรู้จักว่า ความรัก คืออะไร นอกจากใบหน้าที่สะสวย เนื้อตัวที่เต่งตั่ง ตามแต่อารมณ์ และความปรารถนา จะคุโพลงขึ้นมาเมื่อไหร่” มือของเขาลูบไล้ไปมาตามหน้าตา และเนื้อตัวหล่อน ประกอบกับคำอธิบายละมุนละไม อ่อนโยน และเยือกเย็นอย่างที่ไม่เคยปรากฏแต่ก่อนมา “ละเมียดเคยเข้าใจแต่ว่า เวลารักขึ้นมาทีไร ฉันจะกลายเป็นสัตว์ไปทันที ละเมียดไม่มีวันจะรู้ว่า ฉันต้องรับทุกข์ทรมานต่อมาเพียงใด เสียน้ำตาไปเพียงใดเพราะความเสียใจจากการกระทำของฉันเหล่านั้น แต่เล็กมาละเมียดรู้จักฉันแต่ว่าเป็นคนที่ต้องการอะไรจะเอาให้ได้ ฉันปรารถนาที่จะเป็นใหญ่กว่าใครในสนามของฉัน เพราะฉะนั้นอำนาจจึงเป็นสิ่งแรกที่ฉันต้องการ เงินไม่สำคัญอะไร ในที่สุดมันต้องตามมาเอง มันเป็นความจริง เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นความจริง แต่เหนือสิ่งเหล่านั้นฉันก็ต้องการความรักด้วย––ความรักที่ละเมียดไม่เคยให้ฉันได้ ปราศจากความรักเสียแล้วอำนาจมีประโยชน์อะไร ? เงินมีประโยชน์อะไร ? ชีวิตนี้มีประโยชน์อะไร ?”
ก็เป็นการประหลาดที่หล่อนจะได้ยินวาจาเหล่านั้นจากปากผู้ชายอย่างเสถียร เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เคยรู้จักและอยู่กินด้วยกันมา ละเมียดมิได้สงสัยเลยในความหมายอันสุจริตของวาจาเหล่านั้น เขาอาจจะเคยเป็นอันธพาลในบางขณะเหี้ยมเกรียมในบางเวลา แต่วาจาสัตย์มิใช่ความบกพร่องของชายผู้นี้ แม้กระนั้นหล่อนก็ไม่เคยคิดว่าความละเอียดอ่อนประณีตจะมีอยู่ในหัวใจของเขาโดยทั่วไป และในความรักโดยเฉพาะ พร้อม ๆ กับความสำนึกนั้น ความหวาดหวั่นก็หวิววาบเข้าสู่หัวใจอีก มิใช่เกิดจากความกลัวเขาหรือใคร หากหัวใจของตนเอง
“ฉัน––ฉันพยายามเป็นเมียที่ดีของเสถียรตลอดมา” หล่อนตะกุกตะกัก พยายามจะลุกมาเสียจากเตียง แต่สามีคงยึดแขนไว้
“อย่าเพิ่งไป ผ้าผ่อนเดี๋ยวค่อยผลัดก็ได้” เขาบอก “เท่านั้นเองที่ละเมียดเคยให้แก่ฉัน ––– พยายามเป็นเมียที่ดีที่สุดตลอดมา” นัยน์ตาอันแดงก่ำของเขาอิดโรย “พยายามมอบเนื้อตัวให้แก่ฉันตามแต่จะต้องการ ตามแต่จะปรารถนา ไม่ว่าจะเต็มใจหรือฝืนใจ ฉันไม่ใช่เจ้าผัวที่มืดมัวเกินไปถึงกับจะไม่รู้ข้อนั้น ละเมียด เนื้อตัวเธอเย็นชืดไปทุกคราวที่ฉันกอด กิริยาบอกความขยะแขยงไปทุกคราวที่ฉันจูบ, จริง, มันไม่แจ้งชัดออกมา แต่ฉันรู้ดีจากอาการเหล่านั้น ว่าตลอดเวลาที่เธอเป็นของฉัน เป็นเมียฉัน หัวใจเธอเป็นของคนอื่น ใคร ละเมียด ?” เขาผุดลุกขึ้นนั่งอย่างอย่างกระทันหัน มือทั้งสองจับไหล่หล่อนไว้ จ้องหน้าเขม็ง ตาอันแดงก่ำเป็นประกาย “ใคร ?”
หล่อนเงยหน้าอันสงบขึ้นสบตาเขาอย่างเสงี่ยม มิได้อุทธรณ์อะไรจากความเจ็บที่ไหล่ มิได้แสดงความสะทกสะท้านต่อกิริยาหุนหันพลันแล่นของเขา
“เสถียรเมา เหล้าพูด !” หล่อนพึมพำ
“เปล่า ฉันไม่เมา เหล้าเพียงเท่านี้ไม่ทำให้ฉันเสียสติไปได้” เขาคำรามอยู่ในคอ “เหล้าทำให้ความคิดฉันคม หูตาก็สว่างขึ้น มันบอกฉันว่า ละเมียดตื่นเต้นเพราะได้รับความสุขอะไรมา มันบอกฉันว่าคืนนี้ละเมียดสวยขึ้นกว่าเมื่อยังเป็นสาวอยู่เป็นไหน ๆ ละเมียดไม่ใช่คนเจ็บไข้ได้ป่วยอีกต่อไปไม่มีผู้หญิงคนไหนที่ระรื่นชื่นบานอย่างนี้จะเจ็บไข้”
“เสถียรอิจฉาจนกระทั่งความสุขที่ฉันจะได้รับเล็ก ๆ น้อย ๆ หลังจากล้มเจ็บมาเป็นเวลานาน”
“ฉันอิจฉาทั้งนั้นที่อยู่ในตัวของละเมียด” เขาดึงหล่อนเข้าไปกอดไว้กับทรวงอก ด้วยกิริยาอันดุดันก้มลงจูบทั่วดวงหน้า อันแหงนหงายของหล่อนโดยแรง แล้วจาระไนเป็นอย่าง ๆ ไป “ผมนี่ของฉัน หน้าผากนี้ของฉัน แก้มก็ของฉัน ใบหูนี่ก็เหมือนกัน แล้วก็คอนั่น แล้วก็ไหล่ ฉันอิจฉาแม้จนกระทั่งลมหายใจ แม้จนกระทั่งรอยเท้าที่ละเมียดเหยียบ – – ไม่ต้องการให้อ้ายคนไหนมาซ้ำ!”
ต่อหน้าอารมณ์อันพลุ่งพล่าน และวาจาที่พล่ามของเขา ละเมียดมิได้ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวไปทางหนึ่งทางใดที่จะแสดงว่าขัดขืนหรือโอนอ่อนผ่อนตาม หล่อนคงนอนนิ่งอยู่ในอ้อมแขนของเขาเช่นนั้นอย่างทุกคราวมา ตาทั้งคู่มิได้กระพริบ สีหน้าก็มิได้เปลี่ยน แม้นกระทั่งเสื้อมัสลิน และต่อมาผ้าลายจะถูกกระชากออกจากร่างโยนไปติดอยู่ที่พนักเตียง และเขาจะโยนหล่อนลงบนที่นอนอย่างค่อนข้างแรง ก่อนกระโดดลุกลงจากเตียงไปเพื่อดับไฟ
ทันใดนั้นเอง เสถียรก็หยุดเหมือนถูกยึดมือไว้ เขาหันกลับมาช้าๆ สีหน้าที่เคร่งเครียดคลายลง เดินตรงกลับมาที่เตียงด้วยกิริยาของคนที่อยู่ในความฝัน มองดูร่างซึ่งขาวโพลนอยู่ท่ามกลางที่นอนนั้น แล้วก็ถอนใจก้มลงหยิบผ้าลายและเสื้อมัสลินตัวนั้นโยนให้หล่อน แล้วก็นั่งลงหันหลังให้
“ใส่เสีย !” เสียงของเขากร้าว “ฉันจะไม่รบกวนละเมียดอีกต่อไป ฉันจะไม่เป็นสัตว์ที่ละเมียดรังเกียจและขยะแขยงนับแต่นี้”
และในใจเขาก็คิด เหมือนผีตาย – – เหมือนไม้ท่อนหาชีวิตและความรู้สึกไม่ได้ จนกระทั่งนัยน์ตาก็ไม่เคยกระพริบ เมื่อฉันทำอะไรต่อ เสถียรรู้อยู่แก่ใจว่านัยน์ตานั้นบอกอะไรเขาบ้าง มันเหมือนกำแพงด่านที่สกัดกั้นเขาไว้ระหว่างหล่อนและเขา เต็มไปด้วยความปวดร้าว เต็มไปด้วยความผิดหวัง และขมขื่น และอย่างบุคคลที่ตื่นจากการหลับเพราะหลงงมงายในการเลือกทางเดินมาตลอดชีวิต เขาคิดว่านี่เป็นคืนสุดท้ายที่เขาจะกลับไปสู่ชีวิตเก่าๆ เหล่านั้น ความรักของละเมียดเป็นสิ่งที่เขาต้องการยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดในโลก เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยสามารถจะเอาชนะได้ และรู้ด้วยว่า มันมิใช่สิ่งที่เขาจะได้มาด้วยอำนาจใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นเงินทอง ยศฐาบรรดาศักดิ์ ความสุขสบาย หรือการใช้กำลังบังคับ การได้หล่อนมาง่ายเกินไปตามขนบประเพณี อย่างทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเคยได้ ทำให้เสถียรไม่เคยนึกถึงหล่อนในฐานะอื่นใด นอกจากสมบัติหรือเครื่องเล่นชิ้นหนึ่ง ซึ่งสุดแต่เขาจะทำอะไรตามใจชอบ จนกระทั่งอย่างแช่มช้าแต่แน่นอน มันก็ผุดขึ้นในความสำนึกของเขา อย่างที่มันจะต้องผุดแก่ความสำนึกของมนุษย์ทั่วไปว่า การเล้าโลมอันมิได้รับการตอบแทนหมายถึงอะไร มันอาจจะ เป็นเวลานานหนักหนาที่เขาจะได้คิดว่า ความรักมิใช่หมายถึงเพียงสมปรารถนาของอารมณ์ที่มีต่อร่างอันอรชรอ่อนช้อยในอ้อมแขนอันร้อนผ่าว มิใช่หมายเพียงอากัปกิริยาใด ๆ ที่คนเราแสดงต่อกัน ความรักหมายความยิ่งกว่านั้น ดูดดื่มซึมซาบยิ่งกว่านั้น ลึกซึ้งและสูงส่งยิ่งกว่านั้น และคนเราอาจจะรักกันได้ แม้มิต้องประกอบไปด้วยพฤติการณ์อันน่าเกลียดที่ทำให้เขากลายเป็นสัตว์ไปตามสายตาและความรู้สึกของหล่อน
เขาถอนใจอีก แล้วก็ลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะ จัดแจงเปลี่ยนเครื่องแต่งกายอย่างแช่มช้า นาฬิกาแมงดาจากฝาผนังตี ๓ ครั้ง อีก ๓ ชั่วโมงก็จะสว่าง ไม่มีอะไรที่เขาจะต้องเร่งรีบ เวลาไม่มีความหมายสำหรับเขาอีกต่อไป เมื่อครั้งหนึ่งตกลงใจเด็ดขาดแน่นอน จากกระจกบานใหญ่เขาชำเลืองเห็นหล่อน ซึ่งบัดนี้สวมเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ยืนเกาะเสาเตียงนิ่งอยู่ มองดูเขาอย่างพิศวง
“เสถียรจะไปไหน ?” เสียงของหล่อนเกือบเป็นกระซิบ แต่ท่ามกลางอากาศชื้นของยามดึกดื่นภายนอก และความเงียบที่ปกคลุมอยู่ภายใน เขารู้สึกเหมือนเสียงฟ้าร้องสะดุ้งขึ้นทั้งตัว
“ที่หนึ่งที่ใดที่ฉันจะซุกหัวนอนได้ด้วยความเป็นตัวของฉันเอง” เขาบอกโดยมิได้หันหน้าไป
“ทำไมไม่นอนเสียที่นี่ ? ดึกดื่นป่านนี้แล้ว” หล่อนว่า “อย่าทำให้ตาโต๊ะกะยายชื่น และเพื่อนบ้านอื่น ๆ มีเรื่องที่จะพูดถึงกันมากมายไปหน่อยเลย”
เขามิได้ตอบประการใด หยิบหมวกบ๊อสซาลิโนซึ่งแขวนไว้ที่ขอข้างฝา แล้วก็เดินไปหยิบกระเป๋าเดินทางที่ข้างประตู ขณะนั้นเองละเมียดก็ปราดไปขวางหน้าเขาไว้
“ก้าวแรกที่เสถียรล่วงพ้นจากธรณีประตูนี้ออกไป ฉันจะไม่ยกโทษให้เลยเป็นอันขาด”
กิริยาอันองอาจของหล่อน และน้ำเสียงที่ดุดัน ทำให้เขางงงันอยู่กับที่ ไม่สามารถจะตัดสินใจอย่างหนึ่งอย่างใดลงไปได้
“ฉันไม่มีสิทธิ์อะไรในบ้านนี้ นี่เป็นบ้านของละเมียด” เขาตะกุกตะกัก
“แต่ฉันเป็นเมียของเสถียร ถ้าที่ไหนจะเป็นที่นอนของเธอ ทุกคนเขาจะต้องสมมติเป็นที่นี่ – –”
“ก็ให้เขาสมมติกันไป ฉันไม่ใช่เด็กอมมือ หรือผู้ชายที่บัดซบพอสำหรับจะเป็นหุ่นให้ละเมียดเชิดเล่น” เขาก้าวเข้ามาหาหล่อนอีก “หลีกทาง ฉันจะออกไป!”
ชั่วอึดใจหนึ่งเต็ม ๆ หล่อนและเขามองหน้ากัน ฝ่ายหนึ่งอย่างปราศจากสะทกสะท้านและมั่นใจ อีกฝ่ายหนึ่งอย่างลังเล ครั้นแล้วละเมียดก็หัวเราะเบา ๆ ก้าวหลีกออกไปยืนกอดอกอยู่ทางหนึ่ง
“ตามใจ ถ้าเสถียรโง่พอที่จะทำในสิ่งที่คนโง่ทำ” หล่อนบอก
“หมายความว่ากระไร ?” เขาเสยหมวกใบนั้นขึ้นไปเอียงอยู่กลางศีรษะที่เถิก
“หมายความว่า ถ้าเพียงความวุ่นวายชั่วขณะของอารมณ์เสถียรจะทำให้เราต้องเลิกกัน อย่างที่ฉันเข้าใจในเจตนาของเสถียรที่รั้นจะออกไปจากบ้านในอารมณ์นั้นให้ได้ พวกที่กรุงเก่าจะว่าอย่างไร ? เจ้านายที่นี่จะว่าอย่างไร ? บริษัทพร้อมด้วยงานชั่วชีวิตของเสถียร ที่เราได้ช่วยกันสร้างมาเป็นเวลาหลายปีจะแหลกสลาย อะไรทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นความหวังของเสถียรจะอันตรธาน ความพยายามใด ๆ ที่ฉันจะช่วยให้เสถียรบรรลุถึงความหวังนั้นจะไม่มีเหลือ แม้แต่จะให้อภัย”
เขาก้าวเข้าไปหาหล่อนอีก เหงื่ออันเย็นเฉียบซึม ออกมาเกาะอยู่ที่หน้าผากอันกว้าง ร่างที่สูงของเขาคุ้มนิด ๆ เมื่อก้มลงพินิจพิจารณาใบหน้าหล่อน เหมือนจะพยายามค้นหาความจริง
“เธอหมายอย่างนั้นจริง ๆ หรือละเมียด ?” เสียงของเขาตื่นเต้นเหมือนกับเป็นเด็กอีกครั้งหนึ่ง “เธอหมายความว่าหลังจากความรักอย่างสัตว์ป่า ไพร่สถุลที่ฉันแสดงต่อเธอตลอดมา เวลานี้โอกาสที่จะได้รับอภัยยังมีอยู่ ? เธอจะให้ฉันได้แก้ตัวใหม่ ? เธอจะให้เวลาฉันได้เรียนในการที่จะเป็นคนหนึ่งคนใดที่เธอพอจะรักได้ ฉันหมายถึงรักที่เธออาจจะมีต่อใครคนนั้น เธอจะให้โอกาสฉันได้พยายามอย่างดีที่สุดของมัน–”
ความกระตือรือร้นอย่างนั้น ตื้นตันขึ้นมาในคอหอยโดยไม่รู้เหตุผล ละเมียดยืนนิ่งอยู่กับที่เหมือนถูกมนต์สะกด พูดไม่ออก ได้แต่ก้มศีรษะ ต่อมาเมื่อเขาโยนหมวกกลับไปที่ขอ วางกระเป๋าลง และก้าวเข้ามาคู้เข่าลงต่อหน้า ยกแขนทั้งคู่ขึ้นโอบสะเอวหล่อนไว้ หล่อนก็หลับตาปล่อยแขนทั้งสองลงมาทอดนิ่งอยู่กับบ่าของเขา
“เธอคนเดียวเท่านั้นละเมียด ที่จะทำให้ฉันขึ้นสวรรค์หรือลงนรกได้” เสถียรพึมพำ “บอกฉันหน่อยว่าเธอยกโทษ ให้ฉันแล้ว และอย่างน้อยที่สุดเธอจะพยายามรักฉันสักนิด”
“ไม่มีอะไรที่ฉันจะยกโทษให้เสถียรไม่ได้” หล่อนพึมพำ หล่อนมิได้ให้คำมั่นสัญญาหรือรับปากเขาว่าหล่อนจะพยายาม เพราะความรักที่มอบให้แก่รื่นไม่มีทางจะแบ่งแยกหรือชดเชยกันได้ แต่จะให้สัญญาหรือไม่ให้ หล่อนรู้ นับแต่วาระนั้นเป็นต้นไปว่า หล่อนจะต้องพยายามตามสัญชาตญาณแห่งมารดา ซึ่งมีอยู่ในผู้หญิงทุกคน หล่อนรู้นับแต่เห็นเขาคู้เข่าลงตรงหน้าเหมือนทารกผู้ขาดที่พึ่งในพริบตาแรกว่าหล่อนจะต้องรับภาระใหม่ โดยไม่มีทางสลัดปฏิเสธได้ – – ภาระในการให้ความสว่างของทางรักแก่ชายผู้นี้ หล่อนรู้ว่า ชั่วหรือดีก็ตาม โชคชะตาจะบังคับให้หล่อนตกอยู่ในภาวะของผู้หญิงสองรักสองใจต่อไปตลอดกาล
แม้ระหว่างที่นอนฟังเขาพรรณนาถึงอนาคตของชีวิตและการงานต่อมาจนเวลาเกือบใกล้สว่างของคืนนั้น ความคิดของละเมียดก็ไม่พ้นจากปัญหาข้างต้นไปได้ สัมปทานป่าไม้ใหญ่ ๆ อยู่ในกำมือแล้ว ป่ายางตามสองฝั่งแม่ปิงกำลังอยู่ในความคิดของเขาต่อไป อีกไม่กี่ปีข้างหน้าเมื่อใครพูดถึงพ่อค้าไม้ใหญ่ในแควนั้น นอกจากพะโป้แล้ว มันจะต้องเป็นเขา
“ฉันรู้ว่าละเมียดไม่ชอบชีวิตในกรุงเทพฯ กรุงเก่าหรือปากน้ำโพ” เขาบอกหล่อนในตอนหนึ่ง “เราจะหาที่เหมาะ ๆ สักแปลง ปลูกบ้านขนาดใหญ่ขึ้นสักหลัง บนฝั่งแม่ปิงตามเชิงเขาหรือชายป่าแห่งใด แล้วแต่ใจละเมียดจะชอบ แล้ววันหนึ่งเราก็คงจะมีลูกด้วยกัน”
มันมิใช่ครั้งแรกที่เขาปรารภถึงเรื่องลูก ซึ่งผูกจิตผูกใจเขามาแต่ไหนแต่ไร และผิดหวังตลอดมา ถึงกระนั้นละเมียดก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าเป็นของแปลก ที่เขาจะมาเอ่ยขึ้นในยามเช่นนั้น หล่อนไม่เคยเอ่ยคัดค้านหรือสอดคล้อง จนกระทั่งบางคราว เขาต้องเอ่ยถามหรือเอื้อมมือมาสะกิดเตือนด้วยอยาก จะรู้ว่าหลับหรือยัง”
“ถ้าเบื่อฟังก็บอกนะเมียด” เขามักจะหัวเราะเบา ๆ “ฉันจะได้หยุดพูด”
“ต่อไปเถอะ เสถียร ฉันกำลังนั่งอยู่” หล่อนมักจะตอบ นัยน์ตาที่ปรือจับอยู่กับช่องหน้าต่าง ซึ่งสว่างขึ้นทุกขณะ เพราะแสงเงินแสงทองเรืองเรื่อขึ้นสู่ขอบฟ้าภายนอกและบอกออกไปทุกคราว ความรู้สึกก็อดเสียวปลาบขึ้นมาไม่ได้เหมือนพรายกระซิบอยู่ที่หูว่า ผู้หญิงสองใจ – – ผู้หญิงทรยศ! พูดอย่างหนึ่ง ในขณะที่หมายถึงอีกอย่างหนึ่ง – –
ต่อมา ขณะที่ท้องฟ้ายิ่งสางภายในห้องอันมืดสลัวสว่างขึ้นเป็นลำดับ และกลิ่นจำปีภายนอกโชยตามลมเข้ามาไม่วาย เสียงของเสถียรจึงเริ่มเครือแผ่วหายไปในลำคอ ละเมียดรอฟังอยู่ จนแน่ใจว่าเขาหลับสนิท จึงลุกขึ้นค่อย ๆ คลี่ผ้าห่มออกคลุมอกให้ เสียงหายใจของเขาสม่ำเสมอ ยิ้มอย่างบริสุทธิ์และเป็นสุขปรากฏอยู่เหนือริมฝีปากทั้งสองข้างอย่างที่หล่อนไม่เคยเห็นแต่ก่อนมา หน้าอันเคยมีแต่ความปรารถนาและเคร่งเครียด อ่อนโยนราวกับเด็ก ๆ ที่รู้ตัวว่าอยู่ในความปลอดภัย
เหตุไฉนหล่อนจะพยายามรักเขาไม่ได้ อย่างน้อยที่สุดก็ในฐานผู้หญิงสองใจ และเมียผู้ทรยศ ? หล่อนพยายามจะปลดเปลื้องความคิดนั้นออกไปในขณะที่ล้มตัวลงนอนใหม่ หนังตาทั้งคู่หรี่หลับ แต่ใจคิดต่อไป หล่อนพยายามจะแยกระหว่างหน้าที่ของภรรยา และฐานะของผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งมีความรัก ครั้นแล้วก็ได้สำนึกแน่แก่ใจในวินาทีสุดท้าย ก่อนเข้าสู่ภวังค์ว่า ขณะที่ความสงสารอาจเผื่อแผ่กันได้ จนกระทั่งในการเสียสละ ไม่มีใครเลยจะครอบครองความรักของหล่อนได้ –– นอกจากรื่น !