๑๑

ละเมียดก้าวขึ้นสู่บันไดท่าน้ำหน้าบ้านรื่นเช้าวันนั้นด้วยขาค่อนข้างสั่น มิใช่เพราะหัวใจวาบหวิวด้วยความสูงของมัน หรือรำลึกเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านมาแล้วแต่หนหลังหากหวาดหวั่นตัวเอง เมื่อคิดว่าจะต้องเผชิญหน้ากับปัญหาซึ่งหล่อนและเขาต่างมีผลประโยชน์ผูกพันอยู่ด้วยกันทั้งคู่ หล่อนรู้ว่าการตกลงใจของท่านเจ้าคุณผู้ว่าราชการจังหวัดมิได้เหลืออะไรไว้ให้เป็นที่สงสัยอีกเลย เมื่อท่านบอกว่าชาวคลองสวนหมาก, มิใช่ท่าน, คือผู้ที่จะวินิจฉัยลงไปเกี่ยวกับสัมปทานป่าไม้โป่งน้ำร้อน หล่อนรู้ต่อไปอีกด้วยว่า ถ้าชาวปากคลองจะต้องเลือกในทางหนึ่งทางใดหรือไม่เลือกเลย ผู้จะมีเสียงสุดท้ายจะหนีไม่พ้นรื่น

ตลอดคืน หล่อนพยายามทบทวนถึงเหตุการณ์ภายหลังที่จะออกจากจวนท่านเจ้าคุณมาแล้ว ก่อนที่จะตัดสินใจข้ามมาที่นี่ เป็นครั้งแรกที่เสถียรสนับสนุนหล่อนอย่างเปิดเผยต่อหน้า หลวงราชบริการ ผู้คัดค้านตามเคยที่จะให้ติดต่อเจรจาปัญหาเรื่องนั้นกับรื่นโดยตรง

“ทำไมเราจะต้องไปพะวงถึงคนๆ เดียวนั้น ในเมื่อมันเป็นเรื่องสำหรับคนทั้งตำบลต้องตัดสิน ?” เขาว่า

“เพราะกำนันรื่นเป็นกำนัน” ละเมียดตอบเรียบ ๆ สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงเลย เพราะเขาเป็นหัวหน้าที่คนพวกนั้นนับถือเชื่อฟังมาแต่ไหนแต่ไร”

“แต่ผมเป็นนายอำเภอ” หลวงราชบริการแย้ง “โดยตำแหน่งและหน้าที่เป็นความรับผิดชอบของผมเหมือนกันที่จะให้คนพวกนั้นได้ตกลงใจของเขาเอง โดยปราศจากความเกรงใจ โดยปราศจากการชักจูงให้เขาไปจากทางที่ถูกที่ควร”

“ก็ใครล่ะคะจะเป็นผู้ชี้ขาดว่าอะไรถูกอะไรควร ?” ละเมียดถอนใจ “ไม่ใช่คุณหลวงหรือใครที่มีส่วนได้เสียอยู่กับบริษัทนี้แน่ แต่เอาเถอะค่ะ ตามความคิดของคุณหลวงจะทำอย่างไร ?”

นายอำเภอยกมือขึ้นเสยผมอันบาง สีหน้าท่าทางเหมือน กำลังใช้ความคิดหนัก

“ทุกคราวที่เกิดปัญหาสำหรับชาวบ้าน ไหนจะต้องคิดจะต้องตัดสินใจเกี่ยวกับอนาคตของเขา ผมเป็นคนตัดสินให้เองตลอดมา นั่นเป็นหน้าที่ของผู้ปกครองที่ดี ผมไม่ใช้วิธีตามบุญตามกรรมอย่างเจ้าคุณท่าน ชาวบ้านเหล่านี้มีปัญญาอะไรที่จะคิด เราจะต้องคิดแทนเขา วินิจฉัยแทนเขา ว่าอะไรดี อะไรเลว อะไรถูก อะไรผิด เมื่อมีเรื่องทำนองเดียวกันนี้ ผมมักจะเรียกประชุมลูกบ้าน ผู้ใหญ่บ้าน หรือกำนันบอกเขาว่าผมต้องการให้เขาทำอะไรในเรื่องนั้น ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างก็เรียบร้อย”

เสียงหัวเราะของละเมียด ทำให้เขาหยุดชะงักหันมามองด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน

“ดิฉันภาวนา ––– ดิฉันอยากจะเชื่อเหลือเกินว่า มันจะสำเร็จง่ายดายอย่างนั้น”

“อ๋อ มันจะต้องสำเร็จง่ายดายอย่างนั้น” หลวงราชบริการยืนยันตาลุกเป็นไฟ

“ดิฉันเกรงว่าคุณหลวงจะผิดหวังในครั้งนี้ เสถียรเขาจะบอกคุณหลวงได้ดีว่า ปัญหาสัมปทานป่าโป่งน้ำร้อนมีสภาพไม่ต่างอะไรกับรังแตน และรังแตนที่คิดได้เสียด้วย โดยไม่ต้องอาศัยใครคิดแทนเขา – –”

“ผมคิดว่าถูกของแม่เมียด” เสถียรซึ่งนั่งฟังอยู่ตลอดเวลาโดยมิได้ปริปากแต่อย่างใด เอ่ยขึ้นเป็นครั้งแรก “วิธีของคุณหลวงอาจจะใช้ได้ในเรื่องอื่น กับคนบ้านอื่น แต่ไม่ใช่ป่าโป่งน้ำร้อนสำหรับชาวปากคลอง ซึ่งยังมีกำนันรื่นเป็นกำนัน”

สีหน้าหลวงราชบริการแดงเรื่อขึ้นมาทันที เมื่อได้ฟังประโยคนั้น

“ตกลงคุณก็คิดอย่างเดียวกันกับคุณเมียดว่าคน ๆ นั้น เป็นใหญ่กว่าใคร ๆ ในเมืองนี้”

เสถียรสั่นศีรษะ “เปล่า ผมหมายเพียงว่าเขาเป็นใหญ่กว่าใคร ๆ ในปากคลอง และฟังตามเจ้าคุณท่านพูด เขาเป็นใหญ่กว่าใคร ๆ ในปัญหาสัมปทานป่าไม้โป่งน้ำร้อน”

นายอำเภอยกมือทั้งสองขึ้นเหมือนจะแสดงกิริยาคัดค้าน ครั้นแล้วก็ปล่อยให้มันตกลงข้างกาย พลางส่ายหน้า

“ก็ตามใจ ถ้ารักจะใช้วิธีคลานเข้าไปหาคนขอทานพรรณนั้น”

“เขาอาจจะเป็นขอทาน แต่เขาไม่ใช่ทาสที่เราจะใช้อำนาจบังคับได้” เสียงละเมียดกระด้างขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว “ดิฉัน คิดว่าถ้าคุณลุงท่านเห็นดี ในฐานะที่เป็นเจ้าเมืองท่านก็คงจะ ปฏิบัติอย่างคุณ หลวงบอกแล้ว

และทำนองเดียวกับทุกครั้งมา การปรึกษาหารือภายใน บริษัท ลงเอยด้วย ความ กระเทือนใจ ไม่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ตาม เคย ละเมียดไม่มีความสงสัยเลยว่าการปล่อยให้หลวงราช บริการดำเนินงานนั้นไปตามความคิดความเห็นชอบของเขา ผลจะไปลงเอยเช่นไร ท่วงที่ใหม่ของเสถียรซึ่งมีต่อกรณีเดียวกันนี้ เป็นกำลังใจหล่อนอย่างบอกไม่ถูก

“ทำไปเถอะตามที่แม่เมียดเห็นชอบ” เขาบอกหล่อนก่อนจะจากมา “อนาคตของเราเกี่ยวกับสัมปทานป่านี้อยู่กับคน ๆ นั้น เจ้าคุณท่านอาจจะพูดถึงพวกปากคลอง แต่ฉันรู้ว่า ท่านมองเห็นและหมายถึงใครในเวลาท่านพูด”

พวกปากคลองคือเขา หล่อนคิดแล้วคิดเล่า ชาวคลองสวนหมากคือรื่น ละเมียดตื้นตันใจเมื่อนึกขึ้นได้ว่า วาจานั้นมาจากเสถียรเอง ความเปลี่ยนแปลงแห่งทรรศนะของเขาในเรื่องนั้น ทำให้เป็นการง่ายเข้าสำหรับหล่อนจะพึงปฏิบัติอะไรลงไป เพื่อเห็นแก่ประโยชน์สุขของทุกฝ่ายร่วมกัน

หล่อนข้ามลูกกระไดขั้นสุดท้ายก้าวขึ้น ไปสู่ลานโล่งใต้ต้นมะม่วงสายทองต้นนั้น แล้วก็มองลอดรั้วโปร่งเข้าไปในบริเวณบ้าน ไก่สองสามตัวคุ้ยเขี่ยหาอาหารอยู่ที่ใต้ถุนครัว สุนัขอีกตัวหนึ่งถูกล่ามโซ่ขกนั่งเฝ้าอยู่ที่เชิงบันได แต่ก็ไม่แลเห็นใครที่บนเรือน จนกระทั่งเปิดประตรั้วเข้าไป ได้ยินเสียงสุนัขเห่ากระโชก รื่นจึงโผล่หน้าออกมาจากครัว

ชั่วขณะหนึ่งเขายืนนิ่งอยู่กับที่ ความตื่นเต้นยินดีและอัศจรรย์ใจ ปรากฏอยู่บนใบหน้าอันขมุกขมอมเหมือนเพิ่งกลับมาจากงานดินใหม่ ๆ ละเมียดก้าวเข้าไปใกล้สุนัขตัวนั้น เงยหน้าขึ้นถามเขา

“ดุมากนักหรือรื่น ?”

“ไม่กัดหรอกครับ ดีแต่เห่า” เขาได้สติยกผ้าขาวม้าขึ้นเช็ดหน้าก้าวออกมาที่นอกชาน “เมื่อวานกินไก่ไปสองตัว สุดใจเขาเลยล่ามโซ่ไว้ เชิญคุณเมียดข้างบนเถอะครับ”

ในเวลาเช้าเช่นนั้น ที่ระเบียงเรือนเย็นสบาย ละเมียดชำเลืองดูชายผู้นั่งอยู่ข้างหน้าแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่า นับแต่จากกันคืนนั้นเป็นต้นมา ดูเขาเกือบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนไปนอกจากแจ่มใสขึ้น อ้วนฉุ และกร้านแดดจนเกือบเป็นเกรียม

“ไปไหนกันหมดรื่น ?” หล่อนถาม ชำเลืองดูรอบ ๆ กาย รู้สึกได้รับความสงบ ในขณะเดียวกันก็อดตื่นเต้นไม่ได้ อย่างทุกคราวที่อยู่ใกล้เขา

“สุดใจพาพวกลูก ๆ ไปเยี่ยมพวกบ้านเหนือครับ” เขาบอก “ป้ากับจำปาไปไร่ ผมเองลงไปฟันดินทางหลังบ้านอยู่พัก เพิ่งกลับมากินข้าว”

“งั้นก็เท่ากับฉันมาขัดจังหวะ” ละเมียดหัวเราะ “กลับไปทำธุระเสียให้เสร็จดีกว่า เดี๋ยวจะหาว่าฉันมาทำให้ผอม”

“ผมจัดการเรียบร้อยแล้ว ขืนซ้ำอีกหน่อยก็คงลงพุงอ้วนเป็นพ้อม” เขาบอกยิ้มยิงฟันขาว “เต็มที่เหลือเกิน ตั้งแต่คุณเมียดกลับมากำแพง ผมไม่เคยได้ข้ามไปเยี่ยมเลย ธุระมันยังยุ่งๆ อยู่อีกหลายอย่าง ชวนสุดใจเขาไว้หลายครั้ง แล้วก็เหลวไป วันนี้มีอะไรหรือครับ คุณเมียดจึงมาถึงที่นี่ได้ ?”

เขาพูดราวกับว่าไม่เคยมีอะไรต่อกันมาเลยกับหล่อน เขาพูดอย่างกำนันรื่นชาวปากคลองและหล่อนเป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งที่ข้ามมาจากเมือง ละเมียดรู้ดีว่าเรื่องทั้งหลายแหล่จะพูดกันได้ง่ายเข้า ถ้าหล่อนและเขาอยู่ในฐานะนั้น ไม่เคยมีความสัมพันธ์ใด ๆ เป็นเครื่องผูกมัด นอกจากหล่อนในฐานะตัวแทนของบริษัท และเขาตัวแทนชาวปากคลองทั้งหลาย แทนที่จะเป็นหญิงและชายซึ่งหัวใจเต้นจังหวะเดียวกัน เป็นของกันและกัน ส่วนหนึ่งแห่งกันและกัน

“บางทีเราอาจจะต้องพูดกันนานสักหน่อย” หล่อนบอก “ฉันอยากให้ทุกคนอยู่พร้อมหน้ากันเหลือเกินเพื่อเป็นพยาน และช่วยกันวินิจฉัยว่าควรจะเป็นไปอย่างไร ?”

รื่นเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ แต่ทั้งหมดที่กระทำลงไปก็ได้แต่มองหน้าหล่อนเฉยอยู่

ฉันหมายถึงเรื่องเก่าแก่ ที่คาราคาซังกันมาหลายปีเต็มที” ละเมียดต่อ เรื่องที่รื่นจะช่วยได้มากที่เดียวถ้าเห็นชอบตามที่ฉันขอร้อง”

“คุณเมียดยังไม่ได้บอกผมว่าเรื่องอะไร ?”

เป็นการสุดวิสัยที่จะรีรอเหนี่ยวรั้งเรื่องนั้นไว้อีกต่อไป เมื่อไหน ๆ ช้าหรือเร็ว มันก็ต้องปรากฏออกมาในเวลาหนึ่ง

“อ๋อ เรื่องป่าโป่งน้ำร้อนที่พะโป้และบริษัทต่างขอสัมปทานไว้ซีรื่น”

อึดใจหนึ่งเต็ม ๆ เขานั่งนิ่งเหมือนรูปปั้น หรือศิลาสลัก อึดใจหนึ่งเต็ม ๆ ละเมียดไม่อยากจะมองดูหน้านั้น หน้าอันปราศจากความรู้สึกใด ๆ นัยน์ตาทั้งคู่ปราศจากแววเหมือนหาชีวิตไม่ แต่ในที่สุดเสียงถอนใจยาวดังมาจากเขา

“ผมเข้าใจ” เสียงของเขาราวกับแว่วมาจากคนละโลก “คุณเมียดจะให้ผมช่วยอะไร ?”

หล่อนกระเถิบเข้าไปหาเขา ครั้นแล้วก็คิดได้ และถอยกลับออกมานั่งอยู่ในท่าและที่เดิม

“ฟังก่อน รื่น” เสียงของหล่อนเต็มไปด้วยความร้อนรน “ก่อนอื่นรื่นจะต้องเข้าใจความจริงเสียก่อนว่าเรื่องมันไปอย่างไรมาอย่างไรกัน รื่นรู้อยู่แล้วว่าพะโป้และบริษัทฉันต่างคนต่างขอสัมปทานป่าโป่งน้ำร้อนไว้ด้วยกัน”

“ผมรู้จากเจ้าเมืองท่านแต่ว่า ป่าโป่งน้ำร้อนจะไม่อยู่ในสัมปทานของใคร ตราบใดที่ท่านยังเป็นเจ้าเมือง ผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นที่เข้าใจกันแจ่มแจ้งมาแล้ว หลังจากเกิดเรื่องครั้งนั้น”

ละเมียดประสานมือทั้งสองเข้าใต้เข่า สีหน้ากังวลหนักขึ้น

“รื่นยังไม่เข้าใจ ป่าทั้งหลายจะเป็นสาธารณะอยู่ได้ ก็ต่อเมื่อยังไม่มีใครจับจอง ไม่มีใครเข้าครอบครองหรือได้รับสัมปทาน ทันใดที่ป่านั้นได้รับอนุญาตผูกขาดเป็นทางการมันก็ไม่เป็นสาธารณะอีกต่อไป เรา – เสถียร – กะฉัน – พยายามวิ่งเต้นกันในเรื่องนี้ ก็เพื่อที่จะให้มันคงอยู่ในสภาพเดิมอย่างนั้น อย่างป่าวังพระธาตุ ลานดอกไม้ และแม่ระกาที่เราได้ทำมาแล้ว”

“แต่ป่าโป่งน้ำร้อนกับป่าเหล่านั้นไม่เหมือนกัน ป่าวังพระธาตุกับแม่ระกาเป็นแต่เพียงแขน เพียงขา หรือส่วนหนึ่งส่วนใดของชาวบ้าน เพราะอาชีพอื่นสำคัญกว่ายังมีอยู่ตามแต่ฤดูกาล แต่โป่งน้ำร้อนไม่อย่างนั้น มันเป็นชีวิตทั้งชีวิตของพวกเรา”

“ก็เพราะข้อนี้ซีรื่น คุณลุง – – เอ้อ – เจ้าเมืองท่านจึงไม่ยอมพิจารณาสัมปทานป่านี้ เมื่อเสนาบดีส่งเรื่องกลับคืนมาให้ท่านวินิจฉัย ทางกระทรวงถือรายงานท่านเป็นใหญ่ว่าควรจะได้แก่ใคร ท่านว่าการตกลงใจเด็ดขาดอยู่กับพวกปากคลองเอง”

“งั้นก็ให้พวกปากคลองเขาตัดสินกัน” เสียงของเขาห้วน นัยน์ตาของเขาแห้ง

“แต่รื่นเป็นกำนันบ้านนี้ เป็นหัวหน้าของเขา รื่นตกลงเอาอย่างไรทุกคนจะทำตามนั้น ฟังฉันหน่อยรื่น –” ละเมียดมองหน้าเขาอย่างวิงวอน “ฟังฉันก่อน รื่นควรจะรู้ว่าฉันปรารถนาดีต่อรื่นและพวกปากคลองเพียงใด รื่นยังจำได้หรือเปล่าถึงเรื่องที่เราคุยกันคืนนั้น ที่บ้านฉันในกรุงเทพฯ ความประสงค์ของฉันในการที่ยอมรับเป็นผู้จัดการบริษัทนี้ แต่ละผลประโยชน์ของบริษัทเป็นหน้าที่ของฉันจะต้องดูแล แต่เฉลี่ยประโยชน์สุขซึ่งกันและกัน ระหว่างผู้ร่วมงานทั้งหลายเป็นความปรารถนาชั่วชีวิตของฉัน สัมปทานป่าโป่งน้ำร้อนจะเปิดโอกาสให้ฉันได้เริ่มงานดังกล่าว เราจะไม่ทำตามแบบผู้ซื้อและผู้ขาย แล้วก็ไม่ใช่อย่างนายจ้างกับลูกจ้าง เราจะทำเหมือนงานในระหว่างครอบครัว ฝ่ายรื่นและคนบ้านนี้เป็นแรง ฝ่ายฉันเป็นทุนไม่เฉพาะแต่เรื่องไม้ ถึงสินค้าป่าทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน”

“เป็นการเสี่ยงอันตรายเหลือเกิน ระหว่างปัญหาของเงินกับงาน” เขาพึมพำ สายตาเหม่อข้ามราวลูกกรงนอกชานออกไปในแม่น้ำ

หล่อนได้ฟังก็หัวเราะเบา ๆ “รื่นหมายความถึงการผิดใจกันในภายหลัง รื่นมองฉันอย่างเจ้าของเงินทั่ว ๆ ไป”

“ผมมองคุณเมียดในฐานะตัวแทนของบริษัท ซึ่งทุก าททุกสตางค์ที่ลงไป จะต้องได้ผลประโยชน์ตอบแทนคุ้มค่าของมัน”

“แต่งานทุกอย่างต้องลงทุน ถึงแม้มันจะไม่ได้ผลอะไรตอบแทนในระยะแรก เราพูดกันในเรื่องนี้แล้ว – – หมายถึงเสถียรกับฉัน – – โป่งน้ำร้อนมิใช่ป่าที่จะทำกันหมดในวันสองวัน มันอาจจะกินเวลานานหลายสิบปี บางทีจะหลายชั่วอายุคน เรามองถึงผลที่จะได้รับในระยะนั้น – –”

รื่นหันมามองหล่อนนึ่งอยู่ครู่หนึ่งอย่างฉงนสนเท่ห์ ต่อมาก็สั่นศีรษะไปมาช้า ๆ

“ถ้าไม่รู้จักคุณเมียดมาก่อน รู้ใจคุณเมียดมาก่อน ผมอยากจะว่าคุณเมียดเจตนามาหว่านล้อมผมด้วยคำพูดเพราะ ๆ แล้วก็โครงการสวย ๆ เท่านั้น แต่ในฐานะที่รู้จักคุณเมียดดี ผมก็ได้แต่จะว่าคุณเมียดมีความฝันไกลเกินไป จนสุดวิสัยที่ใคร ๆ เขาจะคิดว่าจะเป็นไปได้”

“ฉันตั้งใจและคิดว่าสามารถทำตามนั้นได้จริง ๆ” หล่อนค้าน

เขาก้มศีรษะรับรองประโยคนั้นเนิบ ๆ “ผมเข้าใจคุณเมียดเป็นคนมีความปรารถนาดีที่สุดต่อพวกเรา – – ดีอย่างจะหาอีกไม่ได้ในโลก ฉะนั้นจึงยากที่ใครจะเข้าใจได้ง่าย ๆ ในการค้าขายคนเรารู้กันแต่ว่า ซื้อได้ถูกเท่าไร ขายได้แพงเท่าไรยิ่งดี คนบ้านนี้เคยโดนมาแต่อย่างนั้น เขาเข้าใจและเชื่อว่า บริษัทคุณเมียดก็เข้าใจและเชื่ออย่างเดียวกัน เพราะฉะนั้นก็คงจะระแวงเสียแต่ก่อนงานจะเริ่มต้น และคนระแวงร่วมงานกันไม่ได้”

“แต่รื่นเป็นคนที่เข้าใจ อธิบายให้เขาเชื่อ ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะเรียบร้อย”

“ผมไม่เคยทำให้คนเชื่อด้วยความฝืนใจ ศรัทธาเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในตัวของคนเราเอง ไม่ใช่ด้วยการชักจูง ไม่ใช่ด้วยการบังคับ”

ในที่สุดเรื่องก็มิได้ง่ายอย่างหล่อนเข้าใจ ละเมียดไม่สามารถจะบอกได้ว่าอะไรเป็นเหตุให้เขาเป็นปฏิปักษ์ต่อความคิดใด ๆ เกี่ยวกับสัมปทานป่าไม้โป่งน้ำร้อน นอกจากนิสัยและความเคยชินของชีวิตอิสระ ซึ่งสืบเนื่องกันมาแต่ดั้งเดิมอย่างชาวบ้านนั้นโดยทั่วไป พอใจในสิ่งที่มีอยู่แล้ว ปราศจากการดิ้นรนขวนขวายต่ออนาคต หล่อนรู้สึกไม่ต่างอะไรกับบุคคลแปลกหน้าที่ล่วงล้ำเข้าไปในเขตที่หวงห้าม พยายามจะทำลายสิ่งที่เขาเชิดชูบูชาและหวงแหน เพราะมันเป็นวิถีชีวิตที่เคยชินและรสนิยมที่เคยชอบ ความสำนึกนั้นเป็นเหตุให้ท้อแท้ ในที่สุดก็เริ่มกระสับกระส่าย ความมั่นใจใด ๆ ละลายหายสูญไปทีละน้อย

“รื่นไม่ได้ให้ความหวังอะไรแก่ฉันเลย ในการที่จะให้ฉันได้มีส่วนร่วมงาน ซึ่งรื่นพยายามสานมาแต่ไหนแต่ไร” ละเมียดถอนใจก้มลงมองดูมือซึ่งประสานกันไว้บนตักอย่างสิ้นศรัทธา “ฉันหมายถึงความพยายามที่จะให้คลองสวนหมากขยายตัวออกไปยิ่งกว่านี้ และชาวปากคลองจะได้อยู่ในฐานะดีกว่าที่เขาเป็นอยู่ในปัจจุบัน”

เขานิ่งอยู่นาน ก่อนเอ่ยตอบ และเมื่อเขาเอ่ยเสียงนั้นห้าว เบาและจริงจัง

“ผมพร้อมที่จะรับใช้คุณเมียดทุกอย่างด้วยความยินดี” เขาบอก “ในเรื่องอื่น ๆ ไม่ใช่เรื่องนี้ สัมปทานป่าโป่งน้ำร้อน เป็นเรื่องที่ชาวปากคลองทุกคนตัดสินใจ ไม่ใช่ผมแต่ลำพัง–”

“นั่นแสดงว่า รื่นยังไม่ไว้ใจพอ” หล่อนถอนใจขณะที่เงยหน้าขึ้น

“เปล่า มันไม่ได้เกี่ยวกับไว้ใจหรือไม่ไว้ใจ” เขาแย้ง “มันเกี่ยวกับว่าคนพวกนี้เขาจะเลือกใช้ชีวิตอย่างไหน ชีวิตเก่าที่เขาใช้อย่างที่ปู่ย่าตายายเคยใช้มาแล้วตามแต่ความพอใจ ตามแต่เขาจะรักจะใช้ด้วยความรับผิดชอบของเขาเอง หรือชีวิตใหม่ ภายใต้ข้อผูกพัน ภายใต้การตกลง เงื่อนไขซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของผู้อื่น––” เขามองหล่อนเต็มตาเหมือนพยายามจะค้นหาอะไรสักอย่างหนึ่ง แต่สิ่งเดียวที่พบก็เพียงเจตนาอันแรงกล้า ซึ่งเป็นประกายอยู่ในม่านตาทั้งคู่เท่านั้น “บอกผมหน่อยคุณเมียด ทำไมคุณเมียดถึงได้เจาะจงมาทดลองงานใหม่ของคุณเมียดที่นี่ ? ทำไมไม่เลือกที่อื่นซึ่งมีอยู่ถมไป ? ใคร ๆ เขาคงพร้อมที่จะรับความช่วยเหลือในเรื่องเงินของคุณเมียดทั้งนั้น”

หล่อนมิได้หลบตาเขาเลย ขณะที่ตอบอย่างแผ่วเบาเกือบเป็นกระซิบ

“เพราะคนที่ฉันรักอยู่ที่นี่ !”

ความหมายของประโยคนั้นแจ่มแจ้งเกินไปที่เขาจะได้แย้งอะไรต่อไปอีก รื่นก้มหน้าลงดูพื้นระเบียง เสียงใด ๆ ที่จะกล่าวออกมาหายกลับเข้าไปในลำคอ ขมับทั้งสองโปนไปด้วยเส้นโลหิตที่ฉีดแรง

“ผม– – ผมเสียใจจริง ๆ ที่ไม่มีทางจะทำอะไรให้คุณเมียดได้เกี่ยวกับเรื่องนี้”

เสียงเด็ก ๆ เกรียวมาจากทางเดินหน้าบ้าน ละเมียดหันไปทางเสียงนั้น มองเห็นสุดใจและลูก ๆ กำลังตรงมาที่ประตู หล่อนหันกลับมามองดูรื่น แล้วก็พูดเร็ว

“ฉันขอให้ช่วยฉันสักอย่างหนึ่งรื่น ราวมะรืนหรือมะเรื่องนี้แหละ คุณลุงคงจะนัดทุกฝ่ายไปพบพร้อมกันที่จวน–พะโป้ รื่น และบริษัทของฉัน เพื่อพูดจาหารือกันในเรื่องสัมปทานป่าโป่งน้ำร้อน อย่างไรเสียท่านก็คงจะขอฟังความเห็นของรื่น ขอให้ยืนยันอย่างที่บอกฉันมาแล้วว่าขอฟังความเห็นจากพวกลูกบ้านก่อน เวลานานเท่าไรยิ่งดี เพื่อที่ฉันจะได้มีเวลาพูดจากับคนบ้านนี้ต่อไป––”

เขาไม่ตอบว่ากระไร คงนั่งนิ่งเหมือนรูปสลักซึ่งปราศจากความรู้สึกและชีวิตอยู่ในท่าเดิม

“รับซีรื่น ว่าจะช่วยฉัน” ละเมียดคะยั้นคะยอ เมื่อเสียงหัวเราะของเด็ก ๆ และเสียงดุของสุดใจใกล้เข้ามา

“ครับ, ผมจะพยายาม” เขาตอบพลางถอนใจ

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ