บทที่ ๗

– ๑ –

ลมเหนือยังโชยพัดกระหน่ำ ความเย็นยะเยือกของฤดูหนาวปีนั้นเป็นไปอย่างจับกระดูกดำ ทุกๆ เช้าท้องน้ำปกคลุมไปด้วยหมอกอันหนาทึบ ทุกๆ เย็นซากของนกนางแอ่นตายเกลื่อนอยู่ตามชายหาดซึ่งเพิ่งผุด น้ำในตุ่มเป็นฝา อาหารทุกชนิดเป็นไขและมันแข็ง ฝูงปลาสร้อยซึ่งขึ้นมาจากใต้ยังคงผ่านแม่ปิง ในท้องที่กำแพงเพชรไปไม่ขาดสาย ไม่มีใครรู้ว่ามันไปไหน นอกจากไป...ไป...และ ไป ทั้งกลางคืนกลางวันเป็นทิวแถวสุดสายตา สุ่มไม่รู้จักซา ทอดแหและลงม็องตาเล็กไม่รู้จักหมด จนกระทั่งเดือน ๓ ผ่านไป น้ำยิ่งลดและอากาศเริ่มอบอุ่น ขบวนสุดท้ายของมันจึงสุดสิ้นลง เหลือแต่ฝูงเล็กฝูงน้อยที่ยังกระเส็นกระสายตามมาข้างหลัง

หน้าหนาวเป็นหน้าปลา และพร้อมกับงานไร่ที่เกาะ ซึ่งเริ่มขึ้นแต่น้ำลด ทุก ๆ เช้าเรือหมู่หรือชะล่าจะนำปลากด ปลาแก้ ตะพาก ตะเพียน แม้กระทั่งสวายและกระโห้เต็มลำ จากร้านจิบหรือหาดชุมนุมเบ็ดราว ณ ที่หนึ่งที่ใดในบริเวณม่น้ำหน้าคลองสวนหมากกลับเข้ามาสู่บ้าน ในบรรดาชายฉกรรจ์เหล่านั้น รื่นจะรวมอยู่ด้วยคนหนึ่งเสมอไป ไม่ว่าเพื่อนบ้านจะทำมาหากินอะไรเขาเป็นต้องทำด้วย และทำได้ดีกว่าเกือบทุกกรณีไป ไม่ว่าจะเป็นการทำไร่หรือหาปลา ทำนาหรือตัดหวาย ทำไต้หรือตักน้ำมันยาง เขาไม่เคยอยู่ว่าง แม้เวลาว่างจะมีอยู่เหลือพอ สำหรับชนบทเล็ก ๆ ที่อุดมสมบูรณ์เช่นนั้น และในยุคอย่างนั้น ทุก ๆ วันหมายถึงงานสำหรับเขาและชีวิต หมายถึงความกระปรี้กระเปร่า ไร่ที่เกาะขยายเนื้อที่ออกไปอีกหลายไร่ จำนวนต้นยาเพิ่มขึ้นอีกหลายร้อย

“ถั่ว ข้าวโพด กะผัก ฟักแฟง แตง น้ำเต้า เป็นแต่เพียงอาหารไปวันหนึ่ง ๆ ซึ่งแลกกันได้ด้วยของอื่นจะซื้อขายกันก็ไม่ได้เท่าไร” เขาเคยบอกสุดใจ “ไม่เหมือนยาสูบซึ่งหมายถึงเงินก้อน ถ้าเราปลูกได้มากพอ และถ้ายาตั้งยังราคาดี ปีหน้าเราจะขยายเนื้อที่ออกไปอีก”

เกือบจะในทันทีที่ชีวิตครอบครัวของเขาเริ่มต้น เมื่อการแต่งงานผ่านพ้นไป ความคิดของรื่นก็จดจ่ออยู่แต่งานข้างหน้า สายตาของเขาเพ่งถึงแต่อนาคต แม้กระนั้นเขาก็มิได้ละเลยต่อบทบาทของคนรักที่มีต่อสุดใจแต่แรกมา บางขณะวาจาของเขาอาจจะมิได้เอ่ย แต่ความหมายที่ปรากฏออกมาจากนัยน์ตา กิริยาอ่อนโยนที่เขาแสดงต่อและอาการบีบเบาๆ จากมือที่ใหญ่ หยาบและแข็งแรงของเขาบอกสุดใจดีกว่าการโอ้โลมปฏิโลมใด ๆ ซึ่งชายจะพึงแสดงต่อหญิงคนรักของตนว่า หล่อนและเขาเป็นกรรมสิทธิ์ซึ่งกันและกันอย่างไม่มีวันจะแยกออก

นอกจากยาตั้ง น้ำมันยาง ไต้ สีเสียด และเปลือกขยัน ซึ่งเป็นสินค้าที่เขากว้านซื้อไว้สำหรับหน้าแล้ง เพื่อล่องลงมาใต้ ไม้กระยาเลย และเบญจพรรณก็อยู่ในความคิดของรื่นด้วย ทุก ๆ ปี ชาวบ้านนั้นจะเข้าป่า อย่างใกล้ดงเศรษฐีและวังกระทะ อย่างไกล นาบ่อคำ ท่าขี้เหล็ก และโป่งน้ำร้อน แล้วก็ลากไม้ซึ่งตัดทิ้งคาตอไว้แต่ปีก่อน ออกมากองไว้ริมตลิ่ง คนละต้นสองต้นแล้วแต่กำลังของตนจะทำได้ และทุกๆ ปี พ่อค้าไม้จากเหนือ จากใต้ จะลงมาหรือขึ้นไปรับซื้อผูกเป็นแพล่องมาขายตลาดปากน้ำโพ

“ธุระอะไรจะให้คนบ้านอื่นมาชุบมือเปิบ ? ทำไมเรา จึงไม่ล่องแพไปขายเสียเอง ?” เขาปรารภซ้ำๆ ซากๆ

แต่ทุนรอนเป็นของหายากสำหรับชนบทน้อย ๆ อย่างนั้น การล่องแพมิใช่แต่ต้องการไม้ที่จะล่องลงมาขาย มิใช่แต่ต้องการหวายสำหรับผูก หากต้องการทั้งนายท้ายผู้ชำนาญร่องน้ำและคนหลักที่สามารถ รื่นรอโอกาสของเขาต่อไป ใช้เวลาว่างในการสำรวจป่า สำรวจไม้ ตลอดฤดูแล้งต่อมา

ครั้งหนึ่ง ขณะที่ยืนอยู่บนซากกำแพงหินแลงของดงเศรษฐีกับสุดใจ พิจารณาดูป่าไม้ตะแบก และเสลาซึ่งปกคลุมนครร้างเก่าแก่ดึกดำบรรพ์แห่งนั้นไปสุดลูกหูลูกตา แล้วก็ถอนใจ

“เลือกเฉพาะต้นขนาด ๘ กำขึ้นไป จะได้แพหนึ่งพอดี ระยะทางหรือก็แค่นี้เอง –– แต่ทนดูอย่างไรไหว ? โค่นไม้เหล่านี้ลงเมื่อไร ซากเมืองทั้งเมืองจะยับ เจดีย์เก่าเหล่านั้นจะไม่มีเหลือ กำแพงแลงเหล่านี้จะทลาย เอ็งเข้าใจไม่ใช่หรือ สุดใจ นั่นคงเศรษฐี ไม่มีใครรู้ว่าสร้างมาแต่เมื่อไหร่ ร้างมาแต่เมื่อไหร่ แต่มันเป็นเครื่องหมายของปู่ย่าตายายก่อน ๆ เราขึ้นไป ก่อนปู่ย่าตาทวดของเราขึ้นไป เป็นมรดกที่ทิ้งไว้ให้พวกคนไทยรุ่นหลังได้ระลึก ใคร ๆ พากันออกมาทำไร่ ใครๆ เขาพยายามแผ้วถาง กำแพงพังช่างมัน เจดีย์ทลายช่างมัน ข้าทำไม่ได้ เราจะไม่ไปแตะต้องของศักดิ์สิทธิ์ควรอยู่คู่ฟ้าเช่นนั้น––”

โป่งน้ำร้อน เป็นป่าต่อไปที่รื่นใช้เวลาสำรวจโดยละเอียดเป็นเวลาแรมเดือน และหมายไว้สาหรับโครงการในอนาคตของเขา

“เฉพาะ ตะแบก เสลา กว้าว และพะยุง ชั่วชีวิตก็ทำไม่หมด” เขาอธิบายแก่สุดใจเมื่อกลับมาถึงบ้าน “นอกจากไม้หวายหรือเต็มป่า ทั้งหวายโป่ง หวายขม หวายตะคร้า ปีละกี่ร้อยคันล้อก็ได้ ถ้ามีกำลังตัด––” นัยน์ตาของเขาเลื่อนลอยไปชั่วขณะหนึ่ง แขนซึ่งโอบอยู่รอบเอวภรรยาสาวของเขา รัดแน่นเข้าแล้วก็คลาย พลางถอนใจยาว “แต่ยังไม่ถึงเวลาของข้า อีกสักปี เวลานี้เรายังต้องการล้ออีกหลายคัน ควายอีกหลายคู่ คนงานอีกหลายสิบ นอกจากนี้ งานไร่งานนายังเต็มมือ ยังก่อนสุดใจ ยังมีอีกหลายอย่างที่เราจะต้องเตรียมตัว ข้าจะบอกเอ็งว่า ข้าจะทำอย่างไรแล้งนี้ ขายของป่ากะยาตั้งที่กว้านซื้อไว้หมดแล้ว ข้าจะขายเรือเป็ดซื้อเรือชะล่ากาบแป้นขนาดกลางแทน ––”

“ไหนพี่รื่นบอกว่าตั้งใจจะใช้มันเป็นเรือส่ง ?” ภรรยาประหลาดใจ

“ข้าเปลี่ยนใจเสียแล้ว” รื่นตอบ “ชีวิตของข้าเหมือนเรือส่งตลอดมา รับสินค้าจากแห่งหนึ่งไปขายอีกแห่งหนึ่ง เร่ร่อนไป ท่องเที่ยวไปจนรู้สึกเหมือนคนจรจัด เมื่อมีเหย้าเรือนเป็นหลักฐาน และอยากจะเปลี่ยนอาชีพ เรือเป็ดก็ไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป ชะล่ากาบแป้นขนาดกลางเป็นอย่างมากที่ข้าต้องการ สำหรับขึ้นล่องในแม่น้ำนี้”

“แล้วพี่เรืองกับพี่แวว ?”

“มันจะอยู่กะเราต่อไป เจ้าสองคนนั่นกะข้าจากกันไม่ได้ มันไม่ใช่คนวังแขมเหมือนกันอย่างเดียว เป็นทั้งญาติห่างๆ และเพื่อนคู่ทุกข์คู่ยากมาแต่ไหนแต่ไรด้วย อันที่จริง อยากจะให้มันมีเหย้าเรือนเป็นฝั่งฝาอยู่เสียที่นี่เลยด้วยซ้ำไป”

“สำหรับพี่แวว ฉันไม่รู้ด้วย” สุดใจบอก ยิ้มอย่างเป็นนัย “แต่พี่เรืองนะ เห็นจะไม่ช้าหรอก”

รื่นก้มลงมองหน้าภรรยาอย่างฉงน

“ไม่เข้าใจ” เขาส่ายหน้า “บอกหน่อยได้ไหมว่า อะไรทำให้เอ็งคิดอย่างนั้น ?”

“คอยดูต่อไปดีกว่า –– คอยดูต่อไป” หล่อนตอบ

รื่นยิ้มละไม “ชอบทิ้งอะไรไว้เป็นปริศนาเสียจริงๆ” เขาว่า “ดีละ เราจะขายเรือเป็ด ซื้อเรือชะล่ากาบแป้นแทน เหลืออีกเท่าไรเราจะรวมทุนกับที่ขายของป่า กะยาตั้งได้ ตกหวายและไม้ไว้สำหรับปีหน้าสักแพ”

“ไม้ที่ไหน ?”

“ถมไปถ้าเรามีเงินตกมีเงินซื้อ ตั้งแต่ท่าไม้แดง เกาะสีเสียด คลองเมือง ลานดอกไม้ ปากอ่าง บ้านโคลน ลงไปจนถึงเกาะกำมะรง หรือคลองขลุง แม่วงเป็นป่าใหญ่เกินไปที่ไม้จะหมดในชั่วสองสามอายุคน”

ความกระตือรือร้นสนใจของเขาที่มีต่อการค้าไม้ เป็นที่ประหลาดใจแม้สำหรับป้าแคล้ว ซึ่งเคยมีความคิดเดียวกันมาแต่กาลก่อน

“คิดให้มันรอบคอบหน่อยรื่น” แกเคยให้สติ “แพแต่ละพื้นมันหลายสิบชั่งนัก กำไรน่ะงามดีร็อก แต่ได้คนหลักกะนายท้ายแพไม่ชำนาญพาไปแตกแต่ละที เอ็งจะไม่มีอะไรเหลือติดตัว”

หลานเขยได้ฟังก็หัวเราะเบา ๆ

“ถ้าพะโป้กะคนทางเหนือเขาทำได้ ทำไมเราจะมากลัวล่ะป้า ?” เขาตอบ “จริง เวลานี้เราหาคนหลักกะนายท้ายแพจากปากคลองไม่ได้เลย แต่ข้อนั้นไม่สำคัญ ขอให้ฉันได้ทดลองซักหนเดียว ต่อไปไม่ง้อคน”

“เอ็งหมายความว่า จะลองเองรึ รื่น ?” สีหน้าแม่เฒ่าแสดงความหนักใจ

“เปล่า ฉันจะหาจ้างคนลงหลักกะนายท้ายแพที่เก่งที่สุดที่จะหาได้ในลุ่มแม่น้ำปิงในปีแรก ค่าจ้างจะเสียเท่าไหร่เสียไป แต่ในปีที่สอง ––”

“เออ ปีที่สอง ?”

“ปีที่สองกะปีต่อๆ ไปฉันจะล่องเอง”

เจตนาอันเด็ดเดี่ยวของเขา เป็นสิ่งยากที่ใครจะทัดทานได้ การล่องแพในสมัยนั้น หมายถึงการเสี่ยงสารพัดตลอดระยะทาง ๕ คืน ๖ วันหรือน้อยและมากกว่านั้น แล้วแต่น้ำและอุปสรรคหรือความสะดวกในการเดินทาง จากกำแพงเพชรถึงปากน้ำโพ เขารู้ดีว่าในฐานที่เป็นคนแรกในบ้านคลองสวนหมากใต้ ที่จะริอ่านค้าไม้และล่องแพด้วยตนเองย่อมจะตกอยู่ในสายตาของคนทั่วไปอย่างคนที่ความคิดวิตถาร การค้าไม้เป็นของคนใหญ่คนโตทุนรอนนับเล่มเกวียนอย่างพะโป้ และบริษัทฝรั่ง ไม่ใช่คนอย่างเขา ซึ่งขาดเครื่องมือเกือบทุกสิ่งทุกอย่างนอกจากความทะเยอทะยาน ความฝันและกำลังใจอันแรงกล้า

รื่นรู้ดีว่า ด้วยความจัดเจนของผู้ที่ผ่านชีวิตมามาก ท่องเที่ยวมาไกล และวิญญาณของนักผจญภัย ที่ร้อนระอุอยู่ในเส้นเลือด ว่าคลองสวนหมากจะไม่อยู่ในสภาพเช่นนั้นต่อไปได้นาน หลายครัวเรือนที่โยกย้ายจากสุโขทัย และในเมืองข้ามมาตั้งภูมิลำเนาอยู่ที่นั่น และอีกหลายครัวเรือนที่อพยพจากเวียงจันทน์ ติดตามมิตรสหายและญาติพี่น้อง ก่อนหน้าขึ้นไปมาอยู่ที่บ้านไร่ หลังจากสงกรานต์ปีนั้นล้วนแต่เป็นสัญญาณของความเคลื่อนไหว และความคลี่คลายขยายตัวของคลองสวนหมากในอนาคตทั้งสิ้น

เขารู้ดี ด้วยสัญชาตญาณของผู้ที่เต็มไปด้วยความคิดฝัน และมีศรัทธาอย่างแรงกล้าในความฝันนั้น ๆ ว่าทำนองเดียวกับบุคคลที่เพิ่งรื้อฟื้นจากไข้ หรือทารกที่กำลังเจริญวัย คลองสวนหมากมีแต่จะเติบใหญ่ต่อไป โตวันโตคืนต่อไป หลายครั้งมาแล้วมันเคยพินาศด้วยไฟป่า หลายครั้งมาแล้วเหมือนกันมันเคยย่อยยับไปด้วยอุทกภัยและโรคระบาด แต่ทุกครั้ง ภัยธรรมชาติเหล่านั้นก็ไม่สามารถจะหยุดยั้งมันไว้ได้ ผู้ที่เหลืออยู่จะต่อสู้ดิ้นรนต่อไป ชีวิตใหม่ ๆ จะเกิดขึ้น ครอบครัวใหญ่ ๆ จะมาตั้งรกราก ผืนแผ่นดินใหม่ ๆ จะถูกหักโค่นโก่นร้าง ป่าแดงตั้งแต่พระเจดีย์กลางทุ่ง มาจนถึงวังกระทะและชานดงเศรษฐีกลายเป็นนา ป่ายางและเบญจพรรณระหว่างคลองเหนือคลองใต้ราบลงไปกลายเป็นบ้านไร่ หัวยางวังยางก็กลายเป็นสภาพจากชุมนุมขึ้นเป็นหมู่บ้านในเวลาใกล้เคียงกัน

ปลายแล้งนั้น สุขภาพของสุดใจเปลี่ยนแปลงไปอย่างกระทันหัน ขณะที่ฤดูนาใกล้จะเริ่มต้น ทำให้รื่นเป็นกังวลถึงงานที่เขากำหนดไว้ข้างหน้า อาการขั้นแรกของหล่อนก็เพียงแต่จะเบื่อข้าวปลาอาหารกินไม่ได้นอนไม่หลับ ร่างกายซูบซีดลงเป็นลำดับ แล้วต่อมาก็สามวันดีสี่วันไข้ เจ็บออดๆ แอดๆ ยาของใครว่าดีอุตส่าห์พยายามไปเจียดมาต้มกิน ก็ไม่เป็นผล จนกระทั่งทอดอาลัยว่า การทำนา และตกไม้ปีนั้นจะต้องเลิกล้ม แต่เมื่อบอกเจตนานแก่หล่อน สุดใจก็คัดค้านไว้

“ทำต่อไป พี่รื่น ไม่ต้องมาห่วงฉัน มันคงไม่กระไรนักหรอก อาการเจ็บไข้ได้ป่วยเหล่านี้น่ะ”

“ข้าวของเรายังเต็มยุ้ง ถึงการค้าไม้ของเราก็รอไปได้อีกปี” เขาตอบหล่อน “เงินทองเป็นของหาได้ถ้าร่างกายเราสมบูรณ์เป็นปรกติไม่เจ็บป่วย รักษาเนื้อรักษาตัวให้ดีเถอะสุดใจ”

แต่หล่อนไม่ฟังเสียงเขาท่าเดียว รบเร้าให้สามีดำเนินงานตามความคิดเห็นและตั้งใจของเขาต่อไป

“อย่าให้ชาวบ้านเขาว่าพี่รื่นได้ว่า เสียงานเพราะเมีย” หล่อนบอก “นอกจากนั้น ป้าแกดูอาการฉันมาเดือนกว่าแล้ว เห็นว่าท่า–ท่ามันจะแน่”

“อะไรแน่ ?”

“แพ้ท้อง ––” เสียงของสุดใจเบาหลบตาไม่กล้าดูหน้าเขา

“แพ้ท้อง! ตั้งสองสามเดือนไม่เคยพบเคยเห็น”

แต่เมื่อพบป้าแคล้ว ตั้งกระทู้ถามข้อเดียวกัน แกก็ยืนยัน

“อย่าว่าแต่เอ็ง ทิดรื่น ถึงข้าก็เหมือนกัน เพิ่งเห็นอาการอย่างเดียวกันนี่น่ะเป็นรายที่สองเท่านั้น คนแรกก็ไม่ใช่ใคร –– น้องสาวข้า –– แม่ของสุดใจมันเอง ––”

“ก็ชอบกล” หลานเขยถอนใจสีหน้าค่อยแจ่มใสขึ้น “ในชีวิตฉัน ผู้หญิงแพ้ท้อง เห็นแต่อยากกินนั่นกินนี่ ตกเช้าทีโอ้ก ตกค่ำทีโอ้ก รากแตกรากแตนไปเท่านั้นเอง แต่อาการสุดใจไม่มีเลยนี่”

“ไม่รู้ละ” ป้าแคล้วบอก “แต่อาการมันไม่ได้ต่างไปจากคราวจีบออกลูกคนแรกเลย...... หนเดียวเท่านั้น...... พอถึงท้องที่สองคือสุดใจ อาการก็ไม่ปรากฏอีก ถึงท้องคนที่สามที่มันแท้งก็เถอะ นอกจากนี้สุดใจหยุดมีประจำเดือนมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เอ็งรู้ไหม ?”

รื่นเกาศีรษะด้วยความพิศวง

“เซอะ! ตั้งสองเดือนแล้ว เอ็งน่ะรู้อะไรต่ออะไรสารพัด แต่ไม่ประสีประสาเสียเลยในเรื่องนี้”

เมื่อฝนเริ่มโชย และอาการของสุดใจค่อยกลับเป็นปรกติ ลักษณะที่เปลี่ยนแปลงไปในร่างกายของหล่อนก็ปรากฏเด่นชัดขึ้น จนรื่นและหล่อนเองหมดสงสัย ความสำนึกนั้นส่งความรู้สึกตื้นตันลงไปในหัวใจของชายหนุ่ม เขาพยายามทะนุถนอมหล่อน เหมือนเด็กอ่อนที่ต้องการพี่เลี้ยง ทุก ๆ วันที่เสร็จจากงานนากลับมาถึงบ้าน ยังไม่ทันอาบน้ำอาบท่าด้วยซ้ำไป จะปราดเข้าถึงหล่อนในครัวไฟช่วยหยิบโน่นหยิบนี้ ขณะใดที่เห็นหล่อนหาบน้ำ ตำข้าว หรือผ่าฟืน เป็นต้องแย่งมาทำ จนกระทั่งป้าแคล้ว และจำปาเอง ก็อดซ่อนยิ้มไม่ได้

“จะมีผัวกะเขาทั้งที่ให้มันได้ผู้ชายยังงั้น อีจำปา” แกเคยว่า “อย่าไปเลือกไอ้เนื้อเหลืองขี้ยา เหมือนเจ้าโปร่งอีกไม่เสียตัวเปล่า มันเสียของด้วย”

ทุกครั้งที่ได้ฟังแกว่า จำปาก็ได้แต่จะหลบตาลงต่ำหน้า ตาแดงก่ำเป็นผลตำลึงสุกไป ไม่เคยมีใครเคยทายความคิดของหล่อนออกแม้สุดใจหรือป้าแคล้ว ว่าจะมีเรือนอีกหรือไม่ โดยชีวิตส่วนตัวหล่อนอาจจะดูเป็นคนหัวเราะง่าย ร้องไห้ง่าย หายใจเป็นเทพนิยาย และเรื่องจักรๆ วงศ์ๆ แต่ในชีวิตการงาน วันหนึ่งๆ หล่อนเกือบไม่มีเวลาว่างวางลูกซึ่งเพิ่งอดนมได้ให้ป้าแคล้ว แล้วก็ออกจากบ้านไปทำงาน ช่วยรื่นและสุดใจ ไร่ในฤดูไร่ นาในฤดูนา สรวลเสเฮฮาเมื่ออยู่ในอารมณ์ระรื่น ขมขื่นและเงียบหงอยเมื่ออยู่แต่ลำพัง

เย็นวันหนึ่ง ขณะที่เสร็จจากการไถและคราดนาบิ้งสุดท้าย รื่นออกไปพบหล่อนนั่งอยู่ใต้ต้นหมันบนจอมปลวกหลังปางห่างไกลออกไปจากคนทั้งปวง จึงเดินเข้าไปหา

“กำลังคิดอะไรกัน จำปา?” เขาถาม “คิดถึงใคร?”

หญิงสาวสะดุ้งนิดๆ ขณะที่หันหน้ามา

“ไม่ใช่พี่รื่นแน่ละ” หล่อนหัวเราะ

“แล้วก็ไม่ใช่พี่โปร่งของเอ็งด้วยกระมัง ?”

“ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง”

“ให้ข้าบอกแถมไหมล่ะ ว่าเอ็งกำลังคิดถึงใคร”

รื่นมองดูหน้าหล่อน “เอ็งกำลังคิดถึงอ้ายดำ ลูกของเอ็ง เกรงว่ามันจะหิว กลัวว่ามันจะร้องไห้ ทุกวันเอ็งออกมาทุ่งนากะพวกเรา แต่ใจของเอ็งเป็นห่วงบ้าน เอ็งรู้ดีว่ามันจะไม่อนาทรร้อนใจเลย เมื่ออยู่กะป้าแคล้ว แต่เอ็งก็อดห่วงไม่ได้ ทำไมจึงไม่จัดการให้มันเรียบร้อยไปเสียที ฮึ จำปา ?”

นัยน์ตาหล่อนเพ่งจับอยู่ที่เขาเขม็งไม่เข้าใจ “จัดการอะไรกัน พี่รื่น?”

“ให้มันมีพ่อใหม่เสียที”

“พิลึกคนจริง ๆ พี่รื่นนี่”

หน้าตาของหล่อนแดงก่ำไปหมด มือทั้งสองกำแน่นจนขอบงอบที่ถืออยู่หัก

สายตาของรื่นมิได้ละจากหน้านั้น

“พูดจริงๆ จำปา” เขาบอก “ข้าพยายามสังเกตดูเอ็งมานานแล้ว รูปร่างหรือไม่ใช่จะขี้ริ้วขี้เหร่อะไร พูดกันไปจริงๆ สวยกว่านางโมราที่ข้าเห็นมา ไม่รู้ว่ากี่โมราต่อกี่โมรา งานการหรือก็เก่ง ทำไมเอ็งจะมาทรมานตัวอยู่คนเดียวทำไมไม่หาคู่คิด”

“ใครเขาจะมาเหลียวแลผู้หญิงลูกติด” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นเหม่อมองไปข้างหน้า จากนัยน์ตาคู่นั้นรื่นมองเห็นความขมขื่นปรากฏเป็นครั้งแรก “ลูกอ้ายพระเอกยี่เกขี้ยา”

จำปา!” เขาโน้มตัวเข้าไปใกล้ท้าวศอกลงบนเข่าข้างที่เหยียบตอไม้สายตาสอดส่ายพิจารณาดูหล่อนทั่วสรรพางค์ “ไม่เคยมีผู้ชายคนไหนบอกเอ็งบ้างดอกหรือว่าเอ็งน่ะ น่ารักเพียงไร สวยเพียงไร”

“ไม่เคยมีใคร นอกจากพระเอกยี่ขี้ยา”

“เอ็งจะว่าอย่างไร จำปา ถ้าข้าจะบอกว่า เวลานี้กำลังมีอยู่อีกคนหนึ่ง”

“ฉัน –– ฉันก็จะว่า พี่รื่นโกหก” กิริยาของหญิงสาวกระสับกระส่าย

“เอ็งเคยได้ยินใครเขาพูดกันบ้างว่า ผู้ชายอย่างข้าโกหกคน? เชื่อเถอะจำปา ข้ารักเอ็ง สงสารเอ็งจริงๆ”

“สุดใจเขาจะว่าอย่างไร ?”

“สุดใจเขาขอให้ข้ามาพูดกับเอ็งตั้งหลายครั้งหลายหนแล้วด้วยซ้ำไป”

“พี่รื่น!”

“อย่าตกใจ” สายตาของเขาจับเขม็งอยู่ที่หน้าหล่อน “เขาว่าไม่มีใครเหมาะเหมือนอย่างข้า เพราะว่ารู้จักนิสัยใจคอดีทั้งสองข้าง อ้ายเรืองอย่างน้องชาย และเอ็งอย่างน้องสาว”

มือที่กุมขอบงอบอยู่แน่น คลายออกช้าๆ หน้าตาที่แดงก่ำซีดเผือดลง ประกายซึ่งเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความคาดหมายหายไปจากนัยน์ตา ทั้งๆ ที่ยังเพ่งออกไปข้างหน้า หญิงสาวลุกขึ้นยืนนิ่งอยู่สักครู่ จึงหันหลังก้าวกลับลงไปจากจอมปลวก รื่นแลตามด้วยความประหลาดใจ

“เอ็ง –– เอ็งไม่เห็นด้วยหรอกหรือจำปา ?”

หล่อนหยุดอยู่หน่อยหนึ่ง โดยมิได้หันหน้ามา เสียงที่ตอบเนิบๆ ช้าๆ เหมือนเป็นจำปาอีกคนหนึ่งซึ่งเขาไม่เคยรู้จัก

“ฉันเห็นในเจตนาดีของพี่รื่น แต่ยังไม่คิดอยากจะมีลูกมีผัวอีก ในเวลานี้” ต่อจากนั้นก็ก้าวออกไปสู่แสงแดดในเวลาตะวันรอน อ่อนและเหลือง เหมือนผีตากผ้าอ้อมอยู่รอบท้องทุ่ง

ขี่ควายกลับจากนา มาด้วยกันเย็นวันนั้น สุดใจซึ่งนั่งมานานเกือบตลอดทางเอ่ยขึ้นว่า

“พี่รื่น!”

“ฮึ” สามีหยุดร้องเพลงเกี่ยวข้าวตะแคงหูเอียงเข้ามา แต่เท้าคงกระตุ้นควายฮึย –– ฮึย –– ต่อไป

“ใครไปทำอะไรจำปาเขาเข้าล่ะ ถึงตาแดงยังกะร้องไห้ ไม่สังเกตบ้างดอกรึ ?”

“เปล่าไม่รู้ไม่เห็น ถามทิดเรืองถามอ้ายควายทุยนั่น ข้าไม่รู้เรื่อง”

แต่อ้ายควายทุยนั่นจูงอ้ายกุดอยู่สุดท้ายปลายโด่ง ขณะที่จำปาโด่งไปหน้าเพื่อนและทิดแววตามหลัง

“ฉัน – – – ฉันสังเกตเห็นตั้งแต่เขากะพี่รื่นออกมาจากหลังปางแล้วละ ว่า – –ว่าเขาร้องไห้” สุดใจพูดต่อไป

รื่นหยุดกระตุ้นควายหันหน้ากลับมาหาหล่อน สีหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ

“ฉันแลเห็นด้วยว่า พี่รื่นอยู่กะจำปาที่ใต้ต้นหมันบนจอมปลวกหลังปางนั้น”

ในตอนนั้นเอง เขาจึงหัวเราะออกมาได้ กระตุ้นควาย ฮึย....ฮึยต่อไป

“เล่นเอาตกอกตกใจ ยังกะว่าข้าไปปลุกไปปล้ำทำมิดีมิร้ายมัน” เสียงหัวเราะยังร่วนอยู่ในลำคอ “อยากรู้ไหมล่ะว่าข้าไปทำอะไรที่นั่น จะบอกให้ ข้าไปบอกให้จำปามันมีผัว”

“พี่รื่น !”

“อย่าทำตกอกตกใจไปยังงั้นหน่อยเลย สุดใจเองไม่ใช่รึ ที่รบเร้าเจ้ากี้เจ้าการให้ข้าพูดกับจำปา เรื่องอ้ายควายทุยนั่น เรื่องเจ้าเรืองเท่านั้นที่ข้าพูดกับมัน”

“งั้นจำปาทำไมถึงต้องร้องไห้”

“ใครจะไปรู้มัน” รื่นหยุดหัวเราะทันที เสียงบอกหงุดหงิดใจ “ไปเอานิยมนิยายอะไรกะการหัวเราะร้องไห้ของจำปา บอกได้ว่ามันจะไม่ร้องไห้เพราะดีใจที่ข้าบอกว่า อยากให้มันได้อ้ายควายทุยนั่นเป็นผัว ?”

แต่เขาไม่มีโอกาสจะได้อยู่ใกล้ชิดกับจำปาแต่ลำพังอีกเลยตลอดฤดูกล้าและดำต่อมา จำปาพยายามอยู่ไม่ใกล้ใครก็ใครคนหนึ่งเสมอไป ในเวลาที่มีเขาอยู่ร่วมด้วย หล่อนดีต่อเรืองขึ้นมากกว่าแต่ก่อน อ่อนโยน และเอาใจใส่ราวกับว่าเป็นพี่เลี้ยงของหนุ่มร่างใหญ่ใจดีผู้นั้น จนกระทั่งรื่นและสุดใจคิดว่า วันหนึ่งคงจะตกลงกันได้ แต่จนกระทั่งฤดูฝนผ่านไป ข้าวสุก และลมเหนือเริ่มพัด หล่อนก็ยังไม่เคยให้คำมั่นสัญญาอะไรเป็นมั่นเป็นเหมาะลงไปแก่เรือง

“ถ้ามึงเป็นแม่หม้ายทรงเครื่อง ข้าก็พอจะเข้าใจอีจำปา” ป้าแคล้วปรารภแล้วปรารภเล่า ซ้ำๆ ซากๆ “แต่จนหรือแสนที่จะจน แถมลูกติดจากอ้ายขี้ยาอีกทั้งคน ไม่เลือกอย่างทิดเรือง มึงจะไปเลือกหมาที่ไหน ?”

ทุกครั้งที่ได้ฟัง จำปาก็ได้แต่จะก้มหน้าหมกมุ่นวุ่นอยู่กับงานในมือ แล้วก็รีบหลบออกไปเสียในทันทีที่โอกาสแรกมาถึง

ท้องซึ่งแก่ใกล้กำหนดคลอดเข้ามาเต็มที่ของสุดใจ ทำให้รื่นไม่มีเวลาพอที่จะไปเอาใจใส่กับชีวิตของคนอื่นได้ เขาวุ่นอยู่กับเรื่องฟืนอยู่ไฟ หมอตำแย และเครื่องอุปกรณ์ต่าง ๆ ซึ่งจำเป็นแก่การคลอดลูกในสมัยนั้น จนกระทั่งบางคราว แม่เฒ่าแคล้วเองถึงกับอดขันไม่ได้

“เอ็งควรจะเป็นแม่ของสุดใจมัน หรือป้ามากกว่าจะเป็นผัว อ้ายทิด” แกบอก “ในชีวิตข้าเคยเห็นคนตื่นลูกมาก็มากแล้ว ยังไม่เคยเห็นใครเหมือนเอ็ง”

ซึ่งก็เป็นความจริง สุดใจเคยปรารภว่า อยากจะได้ลูกหัวปีเป็นผู้หญิง ขณะที่เขาปรารถนาลูกผู้ชาย ในที่สุดก็ไปลงเอยกันได้ด้วยการวินิจฉัยของป้าแคล้ว

“ลูกทุกคนเหมือนกันทั้งนั้น ถ้าเลี้ยงมันให้เป็นคนผู้หญิงผู้ชายเลือกกันได้เมื่อไหร่ แล้วแต่เทวดาท่านจะโปรด”

กำหนดการคลอดของสุดใจเลื่อนต่อไป จนถึงฤดูเกี่ยวข้าว เขาเองปรารถนาที่จะได้อยู่ใกล้หล่อน แต่เมื่อยังไม่เป็นที่แน่นอนว่า จะคลอดเมื่อไหร่ ในขณะเดียวกัน งานของการลงแขกเกี่ยวข้าวเป็นปัญหาด่วนที่รออยู่ข้างหน้า รื่นก็จำเป็นต้องผละจากภรรยา มอบภาระไว้กับป้าแคล้ว แล้วก็ออกไปตั้งปางที่นาน้ำลาด

“ปวดท้องเมื่อไร ให้คนรีบไปตามข้า” เขากำชับภรรยาก่อนที่จะออกเดินทาง “กลางคืนหรือกลางวันต้องไปให้ได้ดึกดื่นเพียงไรข้าจะมา”

ชีวิตของเขาขณะที่ออกมาอยู่นา เกือบไม่เปิดโอกาสให้มีเวลาครุ่นคิดถึงอะไรได้ เกี่ยว....เกี่ยว และเกี่ยวเรื่อยไป แต่เช้าตรู่ แดดกล้ากลับมากินข้าวกลางวัน แล้วก็เกี่ยวต่อไป จนใกล้จะพลบค่ำ แม้กระนั้น ๑ วันของการลงแขกก็ยังไม่เสร็จสิ้นลงได้ นาบางบิ้งยังไม่สุกพอต้องข้ามไปเกี่ยวบิ้งต่อไป ตลอดเวลาเหล่านั้น การคลอดบุตรของสุดใจ เป็นปัญหาที่ว้าวุ่นอยู่ในความคิดของเขา แต่ข่าวการคลอดของหล่อนก็ไม่เคยไปถึง

“ขอให้เป็นผู้ชาย” รื่นคุกเข่าภาวนาอธิษฐานทุกคืนที่เข้านอน ท่ามกลางความหนาวเหน็บของอากาศที่เย็นยะเยียบและเปลวไฟจากกองที่สุมไว้หน้าเพิง

ทุก ๆ เย็น เมื่อเสร็จจากงานประจำวัน และอาหารประจำมื้อ เขาจะปลีกตัวออกไปยืนหรือนั่งอยู่ห่างไกลจากคนทั้งปวง มิได้เอาใจใส่กับใครหรืออะไร นอกจากขอบฟ้าและยอดไม้ทางทิศที่คลองสวนหมากตั้งอยู่ จนกว่าพระอาทิตย์จะลับขอบฟ้า ความมืดและหมอกอันหนาทึบของฤดูเหมันต์ จะหว่านลงมาปกคลุมภูมิภาคเหล่านั้นไม่สามารถจะแลเห็นได้อีกต่อไป เขาไม่พูดจา หรือแสดงว่าสนใจไยดีกับใคร ไม่ว่าจะเป็นจำปา ซึ่งในบรรดาคนเกี่ยวข้าวทั้งชาวบ้านไร่ และปากคลองที่มาช่วย จะเกี่ยวสู้หล่อนได้ เรือง และแวว ซึ่งเป็นมิตรสนิทมาแต่ไหนแต่ไร หรือแขกเหล่านั้น ยิ่งนานวัน รื่นก็ยิ่งกลายเป็นคนเงียบหนักขึ้น ดื่มจัด และหงุดหงิดจนเกือบจะไม่มีใครรอหน้าติดหรืออยู่ใกล้

“แต่ไหนแต่ไรไม่เคยเห็นเป็นเช่นนี้” แววเคยปรารภ “บางทีเขาจะรังเกียจเราขึ้นมากระมัง ?”

“เหลวไหล เรืองหัวเราะแหยตามนิสัยคนอารมณ์ดีของเขา “พี่รื่นคิดถึงเมียน่ะ เอ็งอย่าอึงไป”

ไม่มีใครในจำนวนนั้น จะจับตาคอยสังเกตดูเขาอยู่ด้วยความสนใจตลอดมาเท่ากับจำปา

“ไม่นึกเลยว่าเขาจะรักกันถึงเพียงนี้” หล่อนคิดทุกครั้งที่ละเห็นรื่นยืนอยู่โดดเดี่ยว ท่ามกลางท้องนาอันเวิ้งว้าง ท่ามกลางควันไฟที่ลอยจากกองฟาง หรือซังข้าวขึ้นไปอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ “ไม่นึกจริงๆ – – –”

อย่างหญิงผู้ในหัวใจเต็มไปด้วยเทพนิยายและความฝัน ความสงสารเป็นความอ่อนแอของหล่อน ทุก ๆ คืนที่เข้านอน หล่อนจะสวดมนต์ภาวนา มิใช่เพื่อรื่นคนเดียวหากสุดใจซึ่งเป็นภรรยาที่ทำให้เขาเปลี่ยนแปลงไป ทุก ๆ คืนหล่อนจะลืมตาโพลงอยู่ในเพิงอันมืด ฟังเสียงใด ๆ ซึ่งอาจจะมาจากเพิงของเขาซึ่งอยู่ถัดไป จนกว่าความง่วงจะมาปิดหนังตาอันเหนื่อยอ่อน จากงานกลางวันให้หลับไหลและจนกว่าความเงียบจะเข้ามาปกคลุมชุมนุมนั้น

ท่ามกลางบรรยากาศ อันเต็มไปด้วยความอึดอัดสำหรับทุกคน เช่นนี้เอง จำปาก็ตกลงใจ หล่อนตามเขาออกไปในค่ำวันหนึ่ง ขณะที่พระจันทร์วันเพ็ญกำลังส่องหล้า ขณะที่ทุกคนซึ่งไม่มีกะจิตกะใจที่จะสรวลเสเฮฮา เพราะความเกรงใจรื่น ต่างพากันเข้านอน และขณะที่หล่อนยังอยู่ในอารมณ์ที่จะเผชิญหน้ากับเขาได้

แต่ทันใดที่ทันเขา แลเห็นร่างซึ่งนั่งซบหน้าอยู่กับเข่าที่ข้างกองฟาง ความเดือดดาลและวาจาต่างๆ ที่ตั้งใจจะมาตัดพ้อต่อว่าก็อันตรธานไป

“พี่รื่น!” เป็นทั้งหมดที่หล่อนจะกล่าวออกมาได้

“จำปา !” เขาเงยหน้าดูหล่อนโดยเร็ว กระโดดลุกขึ้นยืนอย่างกระทันหัน

“ฉัน – ฉันอยากจะพูดกับพี่รื่นมาตั้งแต่เย็น อยากพบมาหลายวันแล้ว” หญิงสาวตะกุกตะกัก “อยากจะบอกว่าพวกเราที่นี่ทุกคนแหละ ทนดูพี่รื่นต่อไปอีกไม่ไหว”

“ข้าไปทำอะไรใคร ?” เสียงของเขาเกือบเป็นกระชาก กิริยาเต็มไปด้วยความดุดัน ทั้ง ๆ ที่อากาศกำลังเย็นยะเยือกไปทั่วท้องทุ่งเช่นนั้น เหงื่อเม็ดโป้ง ๆ ไหลซึมออกมาเกาะอยู่ที่เหนือหน้าผาก อันเป็นมันของเขา

จำปามองดูเขานิ่งอยู่หน่อยหนึ่ง แล้วก็ทรุดตัวลงนั่งอย่างร้อนใจ “เปล่า พี่รื่นไม่ได้ทำอะไรใคร” เสียงของหล่อนแหบและเครือ “แต่หน้าที่บื้งอยู่ตลอดเวลาทุกเมื่อเชื่อวัน ตั้งแต่ออกมาอยู่นี่ อารมณ์หงุดหงิดเดียวโกรธคนโน้น ไม่พูดไม่จากับคนนี้ เหลือที่ใครเขาจะทนทานได้ แต่ไหนแต่ไรมา พี่รื่นเคยเป็นอย่างนี้เมื่อไหร่ เพราะอะไรกัน พี่รื่น? เป็นอะไรไป?”

ร่างซึ่งสูงของเขาโอนเอนอยู่บนเท้าทั้งสอง เหมือนกิ่งไม้อ่อนที่กระทบลมเหนือนิ่งอยู่ชั่วครู่ใหญ่ ๆ จึงได้ทิ้งตัวลงข้างๆ หล่อน เอนหลังพิงกองฟางพลางถอนใจ

“ไม่รู้เหมือนกันว่า ข้าเป็นอะไรไป” เสียงนั้นเต็มไปด้วยความอ่อนอกอ่อนใจ

“คิดถึงสุดใจใช่ไหมล่ะ? กลัวว่าจะเป็นอะไรไป ถ้างั้นก็กลับเถอะ จะมาทรมานตัว ทรมานใจอยู่ทำไม กลับไปหาเขา พวกเราจะเป็นธุระทางนี้ให้เสร็จเอง เหลือข้าวอีกไม่กี่บิ้งแล้ว อย่างช้ามะรืนหรือมะเรื่องก็เสร็จ”

รื่นนิ่งไปอีกนาน สายตาเหม่อข้ามท้องทุ่งที่เวิ้งว้างออกไปข้างหน้า ยังชายป่าที่เป็นทิวทึบอยู่รำไร ในกลางกลุ่มหมอกและแสงจันทร์ เมื่อเขาเอ่ยขึ้นอีกครั้ง เสียงนั้นค่อนข้างเป็นปรกติขึ้น เหมือนรู้สึกตัวเป็นครั้งแรกว่า กำลังอยู่กับใครและที่ไหน

“ข้าไม่รู้เลย ว่าข้าเปลี่ยนแปลงไปเพียงไร จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ บางที่ก็จะจริงของเอ็ง จำปา ข้าคิดถึงสุดใจ เป็นห่วงสุดใจ” นัยน์ตาคู่นั้นหรี่หลับอยู่หน่อยหนึ่ง จึงลืมขึ้นอีก “แต่ยิ่งคิดถึงเขามากเพียงใด ก็ยิ่งคิดถึงเอ็งมากขึ้นเพียงนั้น–”

“ฉัน ?” เสียงหญิงสาวสะอึกเหมือนมีการสะอื้นขึ้นมาติดอยู่ที่คอหอย “ฉันไปเกี่ยวอะไรด้วย – –”

เขาผุดลุกขึ้นนั่งตัวตรงก่อนที่จะหันไปหาหล่อนอย่างดุดัน

“เกี่ยวอะไรด้วย !” หัวเราะอย่างน่ากลัว กลิ่นเหล้าฟุ้งมาตามลม “เอ็งเกี่ยวตลอดมา จำปา ข้าคิคถึงเอ็งเหมือนคนบ้า ข้าพูดถึงเอ็งอยู่ในหัวใจ เหมือนคนเมาที่ไม่มีเวลาสร่าง แม้กระทั่งเวลาหลับ หรือเวลาฝันข้าก็พล่าม ข้าก็พูด ตั้งแต่รู้จากสุดใจเขาวันนั้น ว่าเอ็งร้องไห้––ร้องทำไม จำปา เมื่อข้าบอกว่าอยากจะให้ได้กะทิดเรืองมัน?”

“ฉัน––ฉัน” หญิงสาวซบหน้าลงกับเข่า สะกดกลั้นอาการสะอื้นไว้ต่อไปไม่ไหว

“ไม่ใช่เพราะเอ็งยังคิดถึงอ้ายโปร่ง หรือเกลียดชังทิดเรือง เรื่องเพียงเท่านั้น คงไม่ถึงกับทำให้เอ็งร้องไห้––ร้องทำไม?”

“ทำไมพี่รื่นจะต้องถาม ?”

“เพราะข้าต้องการความแน่ใจ ข้าอยากจะได้ฟังจากปากเอ็งว่า ลืมข้าไม่ได้”

“พี่รื่น––” พูดได้เท่านั้นอาการสะอื้นก็กลบวาจาใดๆ ต่อไปสิ้น

“จำปา !” เขาผวาเข้าไปหาหล่อน รวบร่างซึ่งสั่นระริกเพราะความรู้สึกมากกว่าอากาศหนาวเหน็บเข้ามาไว้ในอ้อมแขน “เอ็งเป็นผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ซึ่งอาจารย์บอกไว้ว่าชีวิตข้าจะต้องผ่าน ถึงจะหักห้ามใจสักเพียงไรก็หนีไม่พ้น” เขาก้มลงจูบหล่อนที่หน้า ที่นัยน์ตา ที่ไหล่ และทรวงอก

แขนทั้งสองของหล่อนตกอยู่ข้างกาย ปราศจากเรี่ยวแรงใด ๆ ที่จะยกขึ้น ที่จะออกปาก ที่จะแสดงกิริยาตอบรับหรือปฏิเสธเขา เสียงของรื่นคงพึมพำต่อไป

“ข้าอาจจะรักสุดใจ – จำปา – รักอย่างที่ไม่เคยรักผู้หญิงคนไหนในชีวิตของข้า รู้สึกว่ายอมตายเสียดีกว่าที่จะทำอะไรให้เขากระทบกระเทือนใจ แต่ข้าอยากได้เอ็ง อยากได้ตั้งแต่เจอหน้ากันที่วงแม่ศรีบ้านผู้ใหญ่พูนคืนนั้นแล้ว – อยากได้ตลอดมา”

อากาศที่เย็นยะเยือก และหมอกที่เริ่มลงจัดสัมผัสร่างอันเปล่าเปลือยของหล่อน เมื่อรู้สึกว่าเสื้อห้าตะเข็บตัวนั้นถูกกระชากออกไป แต่ดินฟ้าอากาศมีความหมายอะไร ? ความระคายของฟางแห้งหยุ่นแต่หยาดมีความหมายอะไร เมื่อหัวใจของเขาเต้นตอบหัวใจหล่อนอยู่อย่างไม่เป็นจังหวะจะโคน ? มันมีความหมายอะไร เมื่อมืออันใหญ่ หยาบ และกระด้างของเขาป่ายเปะปะไปทั่วร่าง ทรวงอกที่กว้างและอุ่น บังทั้งหมอกทั้งน้ำค้าง และท้องฟ้า จนลับหายไปจากสายตาและความรู้สึกสมปฤดีอันมืดมิด

ข้างกองฟางอันกรุ่นไปด้วยกลิ่นแห้ง ๆ ระคนกับกลิ่นไอดินแตกระแหงใหม่ สดสะอาด และบริสุทธิ์เหมือนวิญญาณของเจ้าแม่โพสพ ท่ามกลางท้องนาที่อ้างว้างเกลื่อนไปด้วยกองฟาง ฟอนข้าว และตอซัง แสงไฟ ปรากฏริบหรี่อยู่ตามปางข้างหน้า ข้างขวา และข้างซ้าย ดอกทองกวาวสีแดงเมื่อตอนเย็นแลไม่เห็นอีกต่อไป เพราะถูกกลืนอยู่ในความมืดของราตรี ของกลุ่มหมอกสีเทาที่ปกปิดหมู่ดาวและท้องฟ้าสีครามเบื้องบน ร่างของหล่อนไหวสะท้านแลสลัวสั่นระริก แล้วก็แน่นิ่งไม่ไหวติง ไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว แต่ไอตัวยังอบอุ่นทั่วสรรพางค์ ยังละมุนมือและเต็มไปด้วยความรู้สึก

“ข้าต้องการเอ็งเสมอ จำปา – – – อยากได้เองตลอดมา” รื่นกระซิบบอก หลายชั่วเคี้ยวหมากแหลกภายหลัง “แต่ข้ารักสุดใจ – – ข้าจะรักเขาตลอดไป !”

– ๒ –

อีก ๗ วันต่อมาสุดใจก็คลอดลูกเป็นชาย ภายหลังที่เจ็บท้องอยู่เกือบค่อนคืน

ความตื่นเต้นของรื่นที่มีต่อทารกคนนั้น เป็นที่น่าอัศจรรย์ ในทันใดที่ได้ยินเสียงแว้แรกออกมาจากห้องที่หมอตำแย ป้าแคล้วและจำปาซึ่งมาอยู่เป็นเพื่อนแต่หัวค่ำกำลังช่วยกันทำธุระเท่านั้น เขาก็ผุดลุกขึ้นจากระเบียงเรือนข้างหน้า หายงัวเงียจากการนอนอันเต็มไปด้วยความเหนื่อยอ่อนมาจากงานกลางวัน ปราดถึงประตูทันที มือสั่น ขาสั่น ริมฝีปากสั่น

“ผู้หญิงหรือผู้ชาย ?” เป็นประโยคแรกที่เขาถาม จำปาหันมา สีหน้าหล่อนแดงก่ำ เพราะความตื่นเต้นเช่นเดียวกัน

“ผู้ชาย” หล่อนกระซิบโบกมือให้เขากลับออกไป

แต่ไม่มีอะไรจะมาห้ามความตื่นเต้นยินดีของเขาขณะนั้นไว้ได้ รื่นก้าวเข้าไปช้า ๆ มองดูหน้า ซึ่งยังชุ่มไปด้วยเหงื่อของภรรยา และทารกที่กำลังแผดเสียงจ้าอยู่ในมือของหมอตำแย จากร่างอันสูงของเขางงงันจนไม่รู้ว่าจะพูดอะไร และจะทำอะไรต่อไป

“ออกไปก่อน อ้ายทิด” ป้าแคล้วเอี้ยวหน้าหันมาดุ “ออกไปก่อน น่าเกลียด”

อีกครึ่งชั่วโมงต่อมา เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าสุดใจให้อยู่ไฟ และอาบน้ำชำระล้างทารกเสร็จสิ้นแล้ว เขาจึงได้รับอนุญาตเข้าไปหาลูกและเมียแต่ลำพังได้ สุดใจลืมตาขึ้นช้า ๆ มองดูหน้าซึ่งเต็มไปด้วยความร้อนรนของเขา แล้วก็ชำเลืองไปยังทารก ผู้กำลังหลับสนิทอยู่ในกระด้งข้าง ๆ ยิ้มน้อย ๆ ปรากฏขึ้นที่เหนือริมฝีปาก ซึ่งยังซีดของหล่อน

“ผู้ชายอย่างที่พี่รื่นอยากได้” หล่อนกระซิบ

เขารู้สึกคอหอยตีบตันไป เพราะความตื่นเต้นยินดีจนพูดไม่ออกอยู่เป็นนาน ได้แต่ก้มลงพิจารณาดูทารกนั้นอย่างใกล้ชิด เดี๋ยวก็เงยหน้าขึ้นพิจารณาดูหน้าภรรยายิ้มอย่างเด็ก ๆ แล้วก็ถอนใจ

“ไม่เห็นเหมือนใคร” เขาหัวเราะ “อ้วนจ้ำม่ำ หน้าแดง หลับตาปี๋ เหมือนลูกหมา เห็น....เห็นจะเหมือนข้า เมื่อยังกะเปี๊ยกเท่านี้” เขาก้มลงพิจารณาดูทารกน้อยอีก “เหมือนข้าจริง ๆ แหละ– – ลูกผู้หญิงคนต่อไปคงจะเหมือนเอ็ง

สุดใจมิได้กล่าวตอบแต่อย่างใด นอกจากเอื้อมมือข้างที่อยู่ใกล้ไปวางไว้เหนือมืออันใหญ่ของเขา

“ลูกของเรา” รื่นพึมพำต่อไป เอนกายลงข้างที่นอนภรรยา ศีรษะหนุนแขนหงายหน้าขึ้นมองดูอกไก่ ซึ่งสว่างวอมแวมอยู่ด้วยแสงไฟจากเตาข้างล่าง “ลูกผู้ชาย – ข้าปรารถนาสิ่งไรดูมันสำเร็จทั้งนั้น มันจะต้องโตขึ้นเหมือนข้า เป็นทายาทรับช่วงงานใด ๆ ที่ข้าเหลือค้างไว้ต่อไป จนกว่าจะบรรลุผลสำเร็จ..........”

หล่อนฟังเขาพรรณาถึงโครงการและความฝันในอนาคตต่อไป ทำนองเดียวกับที่เคยฟังเขาที่เหนือขอนไม้ชายหาดหน้าท่า ขณะที่แรกพบและก่อนจะจากกันไปในคืนสุดท้าย จนกระทั่งเสียงของรื่นแผ่วลง และเงียบหายกลายเป็นเสียงกรน เพราะความอ่อนเพลีย

ในลักษณะและภาวะเช่นนั้นเอง ที่จำปาซึ่งตื่นขึ้นมาในตอนดึกเพราะเสียงเด็กร้อง โผล่หน้าเข้าไปในห้องและแลเห็น

“เย็นรึยังกะอะไรดี” หล่อนพึมพำภายหลังที่หยอดน้ำให้ทารกแล้ว หันไปซนไฟในเตาที่จวนจะดับมอดให้คุขึ้นอีก

สุดใจซึ่งนอนหลับ ๆ ตื่น ๆ ลืมตาขึ้น แต่วินาทีแรกที่แม่เพื่อนสาวก้าวเข้าไปในห้องนั้น

“ช่วยเอาผ้านวมของกันอีกผืนห่มให้พี่รื่นทีเถอะจำปา หล่อนกระซิบบอกเบา ๆ เหมือนกลัวเขาจะตื่น

ขณะนั้นศีรษะของรื่นตกจากแขนที่หนุน เปลี่ยนมาเป็นกอดอกและคู้เข่างอก่อเหมือนกุ้ง เพราะความหนาวของอากาศคืนนั้น แต่ทันทีที่จำปาได้คลี่ผ้านวมออกคลุมให้ เขาก็ถอนใจ หนังตาอันหนักลืมขึ้นปรืออยู่หน่อยหนึ่งจึงยิ้มออกมาได้อย่างเคลิ้ม ๆ

“ข้าอยากได้เอ็งมานาน––– ต้องการเอ็งนักหนา” เขาพึมพำ “แต่ข้ารักสุดใจ” แล้วนัยน์ตาคู่นั้นก็หรี่ปิดกลับหลับต่อไปใหม่

สุดใจแว่วได้ยิน หล่อนหันหน้าจากทารกกลับมาถาม “พี่รื่นเขาว่ากะไร ?”

“เขา––– เขารักเอ็ง” จำปาหัวเราะเบา ๆ หน้าเผือดลงไปถนัด ต่อมาก็แดงก่ำไปตลอดใบหู “หลับแล้วยังอุตส่าห์ละเมอ”

“แต่ไหนแต่ไรมา ไม่เคยเห็นละเมอ”

“ไหนจะเหนื่อยมาทั้งวัน ไหนจะดีใจที่ได้ลูก ไหนจะเป็นห่วงเอ็ง” จำปาหันกลับไปที่เตาไฟ เกลี่ยถ่านที่คุโชนให้เสมอ เปลวไฟที่สว่างโพลงอยู่ก็วูบสลัวลง “นอนเสียเถอะสุดใจ คืนนี้กันจะเฝ้าไฟให้เอ็ง”

ภายหลังที่ทุกคนหลับแล้ว จำปาก็ยังคงนั่งอยู่ที่นั่น หันหลังให้ ๓ พ่อแม่ลูก ฟังเสียงกรนของรื่นซึ่งหล่อนจำได้จนขึ้นใจ เสียงถอนใจเบา ๆ ของแม่เพื่อนหญิง และเสียงซึ่งมาจากทารก หล่อนรู้ดีว่าชีวิตของหล่อนจะไม่อยู่ในสภาพเดิมอีกต่อไป หล่อนรู้ด้วยว่ารื่นหมายความตามนั้น เมื่อเขาบอกว่าเขาต้องการหล่อน แต่ขณะเดียวกันเขารักสุดใจ เปล่า หล่อนมิได้เศร้าโศก เสียใจ หรือขมขื่นต่อความจริงข้อนี้ หล่อนมิได้ปรารถนาถึงกับว่าจะครอบงำความรักของเขาไว้โดยสิ้นเชิง อย่างมากที่หล่อนต้องการ ก็เพียงส่วนหนึ่งส่วนใดในหัวใจของเขาขอให้พอมีที่สำหรับหล่อนจะได้อยู่ร่วมด้วยความสุข อย่างเดียวที่หล่อนต้องการ ก็เพียงแต่ให้ได้อยู่ใกล้ ๆ เขา ชีวิตที่ว้าเหว่ ว่างเปล่า และเลื่อนลอยของหล่อนกลับอบอุ่น เต็มและมีความหมายขึ้นนับแต่คืนนั้นเป็นต้นมา เมื่อรู้สึกอย่างน้อยที่สุด ชีวิตหล่อนก็ยังมีค่าแก่ใครคนหนึ่งในโลกนี้ ซึ่งมิใช่เทพบุตรในความฝัน หรือท้าวพระยามหากษัตริย์ในเรื่องจักรๆ วงศ์ ๆ หากชายฉกรรจ์ผู้ความใกล้ชิดของเขาส่งความรู้สึก ซึ่งตื่นเต้นเร่งเร้าไปทั่วสรรพางค์ และความสัมพันธ์ระหว่างหล่อนกับเขาเหมือนชุบชีวิตขึ้นมาใหม่ เต็มไปด้วยความปลุกปลอบใจ ความสุข ความรัก และความหวัง

“ฉันจะเป็นของเขาตลอดไป” หล่อนซบศีรษะลงกับหัวเข่า ครุ่นคิดอยู่ด้วยดวงหน้าอันร้อนผ่าวในความมืด “ตราบใดที่เขายังอยากได้ฉัน !”

– ๓ –

เมื่อฤดูหนาวผ่านไป และงานเก็บใบยาที่ไร่เกาะค่อยบรรเทาเบาบางลง รื่นก็เตรียมเสบียงลงเรือ เพื่อขึ้นไปตรวจดูไม้ ซึ่งซื้อและตกไว้ตั้งแต่ลานดอกไม้ขึ้นไปจนถึงคลองเมืองกับเรืองและแวว สุดใจเต็มไปด้วยความตื่นเต้นเมื่อได้ทราบข่าวนี้ ในชีวิตหล่อนเกือบไม่เคยก้าวออกจากบ้านไปไหน อย่างไกลแค่ในเมือง และหนองปิงบนฝั่งตะวันออก วังยาง และปากคลองสวนหมากเหนือบนฝั่งตะวันตก แม่น้ำปิงและตำบลอื่น ๆ บนสองฝั่งของมัน ไกลจากนั้นออกไป เปรียบเหมือนอยู่คนละโลก เพราะฉะนั้นในทันทีที่เรือชะล่ากาบแบนซื้อใหม่ลำนั้น ลงจากคาน งานเตรียมเสบียงเริ่มต้นหล่อนก็แสดงความปรารถนาทันทีว่า จะขอไปด้วย

“เอ็งอยู่บ้านเถอะ สุดใจ” รื่นสั่นศีรษะอย่างขบขัน “อ้ายหนูยังอ่อนอยู่สำหรับการเดินทาง นอกจากนั้น ยังจะได้ช่วยป้ากะจำปาหั่นและตากยาตั้งด้วย”

“อ้ายหนูแข็งแรงพอที่จะเดินทาง” หล่อนตอบนัยน์ตาแสดงเจตนาเด็ดเดี่ยว “ใบยาสำหรับจะหั่นกะตากก็นิดเดียว ไม่พอมือป้ากะจำปาเขาร็อก”

“ถึงงั้น ข้าก็คิดว่าเอ็งอยู่กะบ้านดีกว่า” สามีบอก

“เพราะอะไร พี่รื่น ?”

“เอ็งยังไม่เคยเดินทางไกล ๆ สุดใจ เอ็งยังไม่รู้ว่าการกินการนอนในเรือมันตรากตรำเพียงไร สำหรับคนที่ไม่เคย เอ็งหรือลูกไปเจ็บไข้ได้ป่วยเข้าจะลำบาก”

“งั้น ฉันยิ่งควรจะได้ไปด้วย” หล่อนยืนกราน “จะได้เป็นธุระดูแลในเรื่องข้าวปลาอาหาร ระหว่างพวกที่ไปทำงาน พูดทำไมกันถึงความลำบากตรากตรำ เมื่อฉันกะอ้ายหนูเป็นคนเกิดบ้านนี้ด้วยกันทั้งคู่ ใครจะมีชีวิตอยู่ที่ปากคลองได้ เขาถือว่าล้วนแต่คนกระดูกแข็งเดนตายทั้งนั้น” หล่อนเดินเข้าไปหาเขา ยกมือขึ้นโอบกอดบั้นเอวไว้ “นอกจากนี้ พี่รื่น อย่าลืมที่สัญญาฉันไว้แต่แรกว่าเราจะช่วยกันสร้างปากคลอง ให้เป็นที่น่าอยู่ มีความสุข ความสบายด้วยกัน ถ้าพี่รื่นจะให้ฉันมีส่วนร่วมด้วย ฉันจะได้เริ่มตอนต้น”

นั่นเป็นครั้งแรกที่ความประสงค์ของหล่อนกับเขาขัดแย้งกัน แต่ครั้งหนึ่งเมื่อสุดใจอยู่ในอารมณ์นั้นถึงป้าแคล้วเองก็ไม่สามารถจะตัดสินอะไรได้ นอกจากถอนใจ เมื่อรู้เรื่องเข้าจากหลานเขย

“อย่าไปขัดใจมันเลย อ้ายทิด” แกบอก “ป่วยการ มันมีเลือดพ่อเลือดแม่มัน ข้าเองก็ห้ามไม่ได้ นางใจพูดถูก ใครจะอยู่ปากคลองได้ต้องคนเดนตาย นอกจากนี้วิสัยผัวเมียน่ะ การร่วมหัวจมท้ายร่วมทุกข์ร่วมสุขกันเป็นของธรรมดาเหลือเกิน ถ้าข้าเป็นนางใจ ข้าก็คงจะไปกะเอ็ง ให้มันไปเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วงอ้ายเรื่องผักเรื่องใบยา ข้ากะอีจำปาจัดการได้ถมไป”

รื่นส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ “มันไม่ใช่เรื่องความลำบากตรากตรำกะโรคภัยไข้เจ็บเท่านั้นนะป้า โจรผู้ร้ายปล้นกันไม่เว้นแต่ละเดือน เมื่อวานซืนนี้เอง คนมาจากท่าไม้แดงโดนเข้าที่เกาะพิมูลหมดตัว บาดเจ็บไปทั้งผัวทั้งเมีย ใครจะไปรู้ว่าเราจะไม่ไปโดนเข้าบ้าง”

“งั้นก็เอาปืน ๑๒ นัดของพ่อสุดใจไป มันยิ่งอ้ายโจรตายมาหลายคนแล้ว” แม่เฒ่าแคล้วแนะ สีหน้ามิได้เปลี่ยนจนนิดเดียว “นอกไปจากนั้นตามแต่บุญวาสนาเคราะห์หามยามร้ายก็ตาย ไม่ถึงที่ก็อยู่ พวกข้ามีชีวิตมาอย่างนี้ทั้งนั้นจะไปกลัวอะไร”

นัยน์ตาในกร้าวขึ้นมาทันที ขณะที่มองสบตาแม่เฒ่า “ฉันกลัวสำหรับลูก กะสุดใจ” เสียงห้าวอยู่ในลำคอ “ฉันเองเป็นคนมีชีวิตกะเขาเมื่อไหร่ !”

แม่ปิงในหน้าแล้งแห้งและขอดลงทุกวัน จนกระทั่งบางตอนต้องใช้คราด สองฟากร่องน้ำเต็มไปด้วยหาดทั้งสูงและต่ำ ทั้งที่เป็นป่าพงและทรายขาวสะอาด อากาศภายในประทุนเรือชะล่ากาบแป้นลำนั้น ผะผ่าวไปด้วยเปลวแดดในเวลากลางวัน เย็นยะเยียบเพราะน้ำค้างในตอนดึกบางคืน จนกระทั่งต้องลุกขึ้นก่อไฟผิง ถึงกระนั้น สองแม่ลูกก็เป็นสุขสบายดีตลอดการเดินทาง ตั้งแต่คลองสวนหมากจนถึงลานดอกไม้และคลองเมือง

รื่นใช้เวลาเพียง ๕ วันสำหรับการตรวจไม้กว้าวและกระยาเลย ซึ่งคนตัดลากมาวางไว้ริมตลิ่งตามที่ตกลงกัน ๕๐ ต้นจากลานดอกไม้ ๓๐ ต้นจากคลองเมือง ๒๐ ต้นจากเกาะสีเสียด เป็นจำนวนเพียงพอสำหรับจะผูก และล่องได้แพหนึ่งในฤดูน้ำต่อมา

“ถัวทั้งแพ เราจะได้กว้าวขนาน ๑๐ กำ ๓๐ ต้น” เขาบอกกับสุดใจด้วยความยินดี “นอกนั้นล้วนตะแบกขนาด ๑๒ กำขึ้นไป ไม่มีพู ไม่มีโพรง ตรงและค้างปีทั้งนั้น เราจะว่าหวายและคานเขาไว้จากที่นี่ให้เสร็จ ส่วนพรวนตีเอาที่บ้าน ทับ พะอง หรือเข็มก็เหมือนกัน”

ความกว้างขวางของเขา ระหว่างเวลาที่ค้าขายขึ้นล่องอยู่ในแม่น้ำนั้นช่วยให้กิจการของรื่นเป็นไปโดยสะดวก การตกลงแทบทุกรายไม่มีสัญญาใด ๆ ผูกมัดนอกจากวาจาที่ให้ไว้ต่อกัน และบัญชีสำหรับกันความหลงลืม ความไว้เนื้อเชื่อใจที่ชาวบ้านเหล่านั้นมีอยู่ต่อเขาเป็นที่น่าปลาบปลื้ม จนกระทั่งบางครั้งแม้สุดใจเองก็อัศจรรย์

“อะไรกันนะ ที่ทำให้เขาเชื่อถือพี่รื่นง่าย ๆ” หล่อนถามเขาในเย็นวันหนึ่ง “อย่างรายไม้ผู้ใหญ่เริญเงินขาดเกือบห้าชั่ง แกยังยอมให้ค้างไว้ชำระเมื่อขายไม้ได้แล้ว ไม่มีสัญญา ไม่มีของเป็นประกันอะไรสักอย่างเดียว”

“เปล่ามันไม่ง่ายอย่างที่เอ็งคิด” เขาหัวเราะ “มันมาจากเรามิตรจิตก่อน เขาก็มิตรใจตอบ ครั้งหนึ่งผู้ใหญ่เริญเชื่อของข้าไว้เกือบ ๒ ปีโดยไม่ได้มีหลักฐานพยานอะไร ไม่มีการทวงการถามจนนิดเดียว กระทั่งปีหนึ่งแกรวยน้ำมันยางก็เอามาใช้คืนเอง การติดต่อการค้าขายของข้ากับพวกลูกค้าเป็นอย่างนี้ มันกินเวลาเป็นปี ๆ และใช้ได้สำหรับคนทางเหนือเท่านั้น ข้าเคยลองทางใต้เหมือนกัน ตั้งแต่ขาณุเป็นต้นไปถึงปากน้ำโพแต่รายไหนรายนั้นสูญทุกที นิสัยใจคอของคนเราแต่ละส่วนแต่ละภาคไม่เหมือนกัน มันไม่เหมือนกับทางนี้และเหนือ ๆ ขึ้นไป ซึ่งคนเราอยู่กันได้ด้วยใจ”

เมื่อเสร็จการตีตราไม้ ซึ่งเป็นเครื่องหมายแสดงกรรมสิทธิ์ของเขา รื่นก็ล่องลงใต้ จากคลองเมืองโดยมิได้เร่งร้อนอะไรแวะเยี่ยมใครต่อใครที่เคยคุ้นกันมาก่อน จอดเรือพักผ่อนเมื่ออยากจะพัก ออกเรือเมื่ออยากจะออก จนกระทั่งถึงหัวบ้านลานดอกไม้ ใกล้เวลาโพล้เพล วันหนึ่งจึงเทียบเรือเข้าข้างชายหาดฝั่งตะวันตกเพื่อหุงหาอาหารกินก่อนที่จะเลยไปพักนอนที่หน้าหมู่บ้าน แต่ก่อไฟยังไม่ทันตั้งหม้อ เสียงปืนก็ดังมานัดหนึ่งจากตะวันออก

สุดใจลุกจากหน้าเตาวิ่งกลับมาท้ายเรือทันที “เสียงปืนอะไรกันพี่รื่น ?”

“ยังไม่รู้ซี” สามีวางเบาะลูก ซึ่งเขากำลังกล่อมให้หลับ ก้าวขึ้นไปบนชายหาด ทั้งแววและเรืองวิ่งมารวมอยู่เป็นกลุ่มเดียวกัน

ขณะนั้นเพิ่งจะเข้าไต้เข้าไฟ และในระยะเกือบ ๓ เส้น ซึ่งเป็นความกว้างของแม่น้ำตอนนั้น สายตาของทุกคนที่เพ่งไปยังฝั่งตรงกันข้าม ไม่สามารถจะมองเห็นอะไรได้เลยนอกจากทิวไม้อันมืดทะมึนอยู่บนตลิ่ง และทิวหาดทรายที่ขาวพร่าต่ำลงมา จนกระทั่งปรากฏประกายแวบขึ้นที่ชายตลิ่ง พร้อมด้วยเสียงปืนอีกนัด สายตาซึ่งค่อยชินกับความสลัวของรื่นจึงแลเห็นเงาตะคุ่ม ๆ ของเรือแม่ปะขนาดใหญ่ลำหนึ่งจอดเทียบอยู่ที่ท้ายเกาะใต้ท้องคุ้งของฝั่งนั้น ต่ำกว่าระดับที่เรือของเขาจอดลงไปราวเส้นเศษ

“ท่ามันเกิดเหตุแน่” เขาพึมพำ แขนข้างหนึ่งโอบไว้รอบไหล่สุดใจ “อ้ายพวกปล้นคงเล่นงานเรือเหนือลำไหนเข้าแล้ว บ้าแท้ ๆ ไม่มีอาวุธกันเลยหรือนั่น เงียบเป็นเป่าสาก เดี๋ยวก็เสร็จ !”

เสียงปืนดังขึ้นอีก ๒ นัด จากประกายวาบซึ่งชัดเจนขึ้นทุกขณะที่อากาศเริ่มมืดสนิท แสดงว่าพวกปล้นบนฝั่งกำลังเคลื่อนใกล้เหยื่อของมันเข้าไป กิริยาของรื่นกระสับกระส่ายขึ้นเป็นลำดับ

“อุ้มลูกขึ้นมาสุดใจ” เขาบอก “แล้วคอยอยู่ที่นี่

“พี่รื่นจะไปไหน ?” หล่อนยึดแขนสามีไว้แน่น

“ไปช่วยพวกนั้น” เสียงของเขาเย็น “ทนดูอยู่อย่างไรไหว พวกบ้านั่นควรจะต่อสู้ หรือไม่ก็ถอนหลักปล่อยเรือลอยตามน้ำลงไปทำไมจอดนิ่งอยู่อย่างนั้น”

ยังพูดไม่ทันขาดคำ ประกายแวบพร้อมด้วยเสียงปืน ก็ปรากฏขึ้นจากเรือแม่ปะเป็นครั้งแรก การยิงตอบครั้งนั้น เท่ากับเป็นสัญญาณที่พวกปล้นคอยอยู่ เพราะสิ้นเสียงปืนจากเจ้าของเรือไม่ช้าไม่นาน การระดมตอบก็เป็นไปอย่างหนาแน่นทั้งจากชายหาด จากตลิ่ง และท้ายเกาะเป็นประทัดแตก

“เร็วสุดใจ” รื่นกระตุ้นหล่อนลงไปที่ท้ายเรือ “อุ้มลูกขึ้นมา”

แต่หญิงสาว ได้แต่กอดเบาะลูกไว้ ไม่ยอมลุกจากที่

“พี่รื่นจะตาย...” เสียงของหล่อนสั่น “ปืนกระบอกเดียวจะไปสู้อะไรมันไหว”

“อย่าตกใจไปหน่อยเลย สุดใจ ข้าไม่ใช่คนที่จะตายได้ง่าย ๆ ไปเถอะ อุ้มลูกขึ้นไปบนหาด คอยอยู่ที่นี่ประเดี๋ยวก่อน”

“ฉันไม่ไป” สุดใจกอดเบาะลูกแน่นขึ้น “พี่รื่นไปไหน ฉันกะลูกจะไปด้วย....ตายก็ให้มันตาย”

เงียบกันไปครู่ใหญ่ ๆ ในขณะนั้นการยิงโต้ตอบระหว่างเจ้าของเรือกับพวกปล้นบนฝั่งตรงข้าม เป็นไปอย่างมิได้ลดละ จนกระทั่งอึดใจต่อมา เสียงปืนจากเรือจึงค่อยห่างลง

“ตามใจ” รื่นส่ายหน้า “พาลูกเข้าไปในประทุนเรือ หมอบลงหลังกระบุงข้าวสารนั้น อย่าออกมาหรือโงหัวขึ้นเป็นอันขาด จนกว่าข้าจะบอก”

ขณะที่เรืองและแววเบนหัวเรือออกจากท้ายหาด อากาศเหนือพื้นน้ำกำลังมืดสนิท นอกจากขอบฟ้าทางทิศตะวันออกซึ่งเริ่มสว่างรางสลัวขึ้นเป็นลำดับ ด้วยแสงพระจันทร์ต้นแรม รื่นรู้ตัวว่าโอกาสที่ดีที่สุดของเขาอยู่ที่หัวต่อระหว่างความมืดกับสว่างนั้น เขาคัดท้ายบ่ายหัวเรือตัดร่องน้ำพุ่งตรงไปจุดหมายที่ปรากฏอยู่เหนือชายหาด ร้องบอกเรืองและแววด้วยเสียงแผ่วเกือบเป็นกระซิบอยู่เป็นระยะ ๆ “นอนลง––ถ่อตรงไปอย่าให้มีเสียง– – อย่าให้เรือขวางลำ!”

วินเชสเตอร์ ๔๔ กระบอกนั้นเย็นเฉียบอยู่ในมือของเขา ขณะที่มือซ้ายถือหางเสือประคองเรือกระดิบ ๆ ไปเหมือนหางปลากะโห้ สายตาทั้งคู่จ้องอยู่แต่เนินหาดทรายข้างหน้า จากระยะ ๓๐๐ ก้าวเข้าไปจนถึง ๒๕๐ และ ๒๐๐ ตามลำดับ ประกายไฟยังแวววาบ เสียงปืนยังดังสนั่นมาจากป่าตะไคร้น้ำเหนือเนินทรายตอนนั้น รื่นชักหางเสือ เหยียบราบไว้กับเรือ ยกปืนขึ้นประทับบ่าทันทีเมื่อระยะเหลืออยู่ไม่ถึง ๑๕๐ ก้าว แม้กระนั้นเขาก็คงจะยังไม่ยิงจนกว่าจะแน่ใจ กระทั่งท่ามกลางเสียงสนั่นหวั่นไหวนั้น กระสุนปืนนัดหนึ่งแหวกอากาศข้ามเรือไปตกลงข้างหลังน้ำแตกกระจาย และในพริบตาต่อมาเขากลงมือหมายกอตะไคร่น้ำที่แลเห็นดำตะคุ่มอยู่เหนือเนินทราย และเบื้องหลังประกายไฟที่แวบวาบออกมา

“หยุดถ่อ........อย่าเงยหน้า........อย่าโงหัว........อย่าให้เรือไหว!” เขาร้องบอกเรืองและแววเบาๆ ก่อนที่กระสุนนัดแรกจะลั่นออกไป

เขายิงอย่างรวดเร็ว แต่ปราศจากความเร่งร้อน เยือกเย็นแต่ปราศจากความขยักขย่อนหรือลังเล เสียงหัวเราะร่วนอยู่ในลำคอ ตลอดเวลาที่กระสุนปืนพ่นออกจากปากกระบอก หัวเรือยิ่งใกล้ชายหาดสูงข้างหน้าเข้าไปเพียงใด เขาและทุกคนบนเรือก็ยิ่งได้ที่กำบังดีขึ้นเพียงนั้น ไม่ถึงอึดใจต่อมา ก่อนที่พระจันทร์ต้นแรมจะทันโผล่พ้นขอบฟ้า และทิวไม้ขึ้นมาเต็มดวง ทุกสิ่งทุกอย่างก็ลงเอย เมื่อเสียงปืนจากโจรกลุ่มใหญ่บนเนินหาดทรายสงบ และพวกกระเส็นกระสายที่ท้ายเกาะกับบนตลิ่งเงียบ

“ทุด ! เท่านั้นเอง !” รื่นถอนใจลดปืนลงจากบ่า นั่งลงบนท้ายเรือ “ออกมาได้ละ สุดใจ ลูกเป็นอย่างไร ?

แทนคำตอบ เสียงหัวเราะของทารกแว่วออกมาจากในประทุนเรือร่าเริงและแจ่มใส เหมือนได้ของเล่นที่ชอบใจอย่างใดอย่างหนึ่ง

– ๔ –

ภายในเรือแม่ปะลำนั้นทั้งลำ มืดและเงียบเหมือนจะหาชีวิตไม่ได้ ใต้ขยาบตอนหัวและหลังคาตอนท้ายก็ปราศจากผู้คน จนกระทั่งรื่นเองอดใจเต้นไม่ได้เพราะความหวาดหวั่นต่อภาพและเหตุการณ์ ซึ่งอาจจะได้เห็นในอึดใจสองอึดใจต่อมา เขาคัดหางเสือพลางก้มศีรษะสอดส่ายสายตาหาวี่แววอันจะเป็นสัญญาณของชีวิตมนุษย์ไปทั่วเรือลำนั้น และนั่นเองที่ช่วยชีวิตเขาไว้ได้เพราะเกือบจะในเวลาเดียวกัน ประกายไฟก็ปรากฏขึ้นแวบหนึ่ง ข้ามหลังคาเรือแม่ปะมาจากชายหาด พร้อมกับเสียงเปรี้ยงสนั่น กระสุนปืนกลุ่มหนึ่งทะลุหลังคาผ่านเหนือศีรษะรื่นไปห่างเกือบไม่ถึงคืบ

“ใคร ?” เสียงทุ้ม ๆ ห้าว ๆ ร้องถามออกมา

ชั่วอึดใจเต็ม ๆ นัยน์ตาของเขาพร่า หูทั้งสองอื้อมองอะไรไม่เห็น ฟังอะไรไม่ได้ยิน แม้กระทั่งเสียงร้องของสุดใจ และเสียงหัวเราะร่วนของทารกที่อยู่ในอ้อมแขนของหล่อน

“อ้ายคนฉิบหาย !” รื่นสบถลั่น ฟุบตัวลงกับพื้นเรือโดยเร็ว “เป็นบ้าไปหรืออย่างไรนั่น?”

ร่าง ๆ หนึ่งผุดลุกขึ้นยืนทันที บนชายหาดตรงทิศที่กระสุนนัดนั้นพ่นออกมา แสงจันทร์สีเหลืองนวลซึ่งสาดไปทั่วบริเวณชายหาดและท้องน้ำ ส่องต้องลำกล้องปืนที่ลดลงมาถือไว้เป็นประกาย ในพริบตาต่อมาก็ท่องน้ำปราดเข้ามาที่รื่น

“เป็น– –เป็นอะไรหรือเปล่า ?” เสียงที่ถามกระหืดกระหอบ

“อ๋อ ต่ำอีกนิดเดียวแหละได้เป็นศพ” ความเดือดดาลทำให้เขาไม่ได้สังเกตเห็นอะไรทั้งสิ้น ตั้งแต่สำเนียงของผู้พูด ซึ่งไม่ใช่ชาวพื้นนั้น ผมซึ่งลุ่ยสยายประอยู่สองบ่า เสื้อชั้นใน ๕ ตะเข็บ และผ้าลายที่นุ่ง

“ฉันเข้าใจผิด คิดว่าเป็นโจรอีกพวก”

“คิดว่าเป็นโจรอีกพวก !” รื่นร้องเกือบเป็นตะโกนด้วยโทสะ “เพราะงั้นจึงได้ยิงโป้งเลย แล้วถึงถาม แหม ! ดีนี่ – – ดีมากทีเดียว รู้งี้พ่อปล่อยให้ตายโหงตายห่าไปทั้งโขยงเลยดีกว่า ห้ายหะ––”

“ฉันเสียใจจริงๆ ความตกใจ ไม่ทันคิดพิจารณาอะไรทั้งนั้น––ไม่ทันคิดจริงๆ”

“อะไรกันพี่รื่น ?” เสียงสุดใจร้องถามออกมาจากข้างใน

“ก็อ้ายบ้าที่เรามาช่วยแทบล้มแทบตายนาซี พาลูกออกมาเถอะสุดใจ” เขายังไม่หายหงุดหงิด “จุดไต้ให้ด้วย ดูหน้าอ้ายเซ่อบรมคนนี้ทีเถอะ !”

มือทั้งสองของเขากำแน่น เสียงสบถพึมอยู่ในลำคอไม่ขาดปาก จนกระทั่งสุดใจจุดไต้คลานออกมาปักไว้ที่กระบอกนอกประทุนเรือ แสงวอมแวมของมันสว่างไปทั่วบริเวณนั้น เห็นใบหน้าที่ยังซีดเผือด เพราะความตกใจที่ได้รับมาใหม่ ๆ อยู่ระหว่างขมวดมวยผมที่แผ่กระจาย เห็นนัยน์ตาอันคมและดำที่ยังเต็มไปด้วยความตื่นเต้น และริมฝีปากที่เม้มของอ้ายบรมเซ่อ นัยน์ตาก็เบิกโต คำสบถต่างๆ ถูกกลืนหายไป นั่งอึ้งเหมือนไม่เชื่อสายตาของตนเองอยู่เป็นนาน จึงได้เอ่ยขึ้นอย่างตะกุกตะกัก

“คิด – – คิดว่าเป็นพวกเรือเหนือเสียอีก ? คิดว่าเป็นผู้ชาย”

ริมฝีปากที่เม้มแน่นค่อยคลายออกจากกัน เปลี่ยนเป็นยิ้มอย่างขบขัน นัยน์ตาทั้งคู่ก็เป็นประกาย

“ถึงผู้หญิงก็เป็นอ้ายบรมเซ่อได้เหมือนกัน” หล่อนหัวเราะ “เป็นการสมควรแล้วนี่ ที่ฉันถูกเอ็ดถูกว่าอย่างนั้น แต่ถ้าจะคิดว่าฉันคนเดียวต้องสู้กับพวกปล้นทั้งโขยง ก็คงจะเห็นใจที่หวาดระแวงอะไรไปเสียทุกสิ่งทุกอย่างแทบประสาทจะเสีย

สุดใจมองดูผู้พูดอย่างอัศจรรย์

“พวกผู้ชายของคุณนายไปไหนเสียหมด ?” หล่อนถาม “ปล่อยคุณนายไว้แต่คนเดียวอย่างนั้น”

“เราทั้งหมดเจ็ดคนด้วยกัน” หล่อนบอก “ฉัน คุณพ่อ นายฮ้อยแล้วลูกเรืออีกสี่คน แต่คุณพ่อฉันป่วย พวกนั้นก็มีแต่มีดแต่พร้าจะสู้รบตบมืออะไรกับมัน ฉันคนเดียวเท่านั้นที่มีปืนของคุณพ่ออยู่ พอเกิดการต่อสู้ฉันจึงให้ทุกคนหลบอยู่เสียแต่ในประทุนเรือ เคราะห์ดีเหลือเกินที่ไม่มีใครเป็นอะไร ก็ทางนี้เล่า ?”

“เปล่า, ไม่มีใครเป็นอันตรายเหมือนกัน นอกจากความใกล้ชิดเหลือเกิน ของกระสุนปืนหล่อนนัดนั้น”

“ฉันต้องขอโทษอีกที หล่อนมองหน้ารื่นอย่างเสียใจ นัยน์ตาอันดำและคมของหล่อนทั้งอ่อนหวาน ทั้งสุภาพ มีอำนาจยึดเหนี่ยวใจ เกินที่เขาจะถือโกรธขึ้งอยู่ได้

“ผมก็ขอโทษที่ล่วงเกินคุณนาย” เขาบอก “คิดว่าเป็นอ้ายพวกเรือเหนือจริงๆ – –”

หล่อนหัวเราะอีก “อย่าไปเอ่ยถึงดีกว่า ฉันบอกแล้ว ว่าความเซ่อซ่าประสาทเสียของฉันควรแก่การถูกเอ็ดถูกว่าอย่างนั้น ฉันไม่ถือเลย –– ตั้งแต่เกิดมาเคยพบกับเหตุการณ์อย่างนี้สักครั้งเมื่อไร––”

“คุณนายเป็นผู้หญิงกล้าอย่างผมไม่เคยเห็น” รื่นบอก “ถึงผู้ชายก็เถอะ น้อยคนจะใจเย็นสู้อยู่ได้อย่างนี้” สีหน้าที่ซีดของหล่อนเรื่อขึ้นด้วยสายโลหิต

“ทุกคนต้องต่อสู้เพื่อป้องกันชีวิตของตัวทั้งนั้น เมื่อเข้าตาจน ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย” หล่อนว่า กังวานเสียงอาจจะไม่แสดงถึงความรู้สึกอะไร แต่นัยน์ตาที่เป็นประกายบอกซึ้งถึงความพอใจอย่างชัดแจ้ง “ฉันเองควรเชื่อนายฮ้อยเขาจอดพักนอนเสียที่หน้าบ้านลานดอกไม้ แต่เพราะรั้นว่าตั้งแต่ออก ากปากน้ำโพมาเจ็ดวันเจ็ดคืนแล้ว ไม่เห็นมีอะไรถึงได้เกิดเรื่องขึ้น”

“คุณนายจะไปไหน ?” รื่นถามมองตาอันงามของหล่อนเขม็ง โดยมิได้คิดว่าจะเสียกิริยาหรือไม่

“เมืองตากจ้ะ คุณพ่อฉันเป็นข้าราชการถูกย้ายจากนครสวรรค์ไปเป็นยกกระบัตรที่นั่น ฉัน––ฉันชื่อละเมียด”

“ผมเองชื่อรื่น !”

สายตาของหล่อนและเขามิได้ละจากกัน ฝ่ายหนึ่งเต็มไปด้วยความพิศวงงงงัน ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งสุขุมและครุ่นคิด ไม่มีใครทายถูกว่าอะไรบ้าง แฝงอยู่เบื้องหลังของสายตาคู่นั้น ไม่มีใครแม้สุดใจจะแปลความหมายออก เมื่อเห็นเส้นโลหิตที่หน้าผากของสามีโปนจนเขียว และยิ้มน้อยๆ ปรากฏละไมขึ้นที่เหนือริมฝีปากของละเมียด

ตลอดเวลาอันเล็กน้อยเพียงใดที่ได้รู้จักกันมา รื่นอดอัศจรรย์ใจตนเองไม่ได้ที่รู้สึกอึดอัดและกระสับกระส่ายเมื่อตกอยู่ใต้สายตาคู่นั้น การสนทนาใดๆ ยิ่งทำให้สำนึกเหมือนอยู่ห่างไกลกันออกไปคนละโลกและเกิดมาคนละยุค แม้ละเมียดจะอุ้มชูกอดจูบลูก แม้ว่าหล่อนจะอ่อนหวานและดีต่อสุดใจเพียงใด ตลอดจนกระทั่งแนะนำให้รู้จักกับบิดาที่ยังนอนแซ่วอยู่ในเรือเพราะพิษไข้ป่า เขาก็อดคิดไม่ได้ว่า ภาพและเหตุการณ์เหล่านั้นเหมือนหนึ่งความเพ้อฝัน ซึ่งต่อเนื่องมาจากการเผชิญกับภัยแทบเอาตัวไม่รอด มากกว่าจะเป็นความจริง

หญิงผู้นี้มิได้ขวัญอ่อน หรือประสาทเสียดังที่หล่อนออกตัว ความจริงเหตุการณ์ในวันรุ่งขึ้น ขณะที่ชวนกันไปตรวจศพคนร้าย ซึ่งถูกปืนตายอยู่กับที่สองคนบนฝั่ง แสดงให้เห็นความใจแข็ง และอารมย์อันเยือกเย็นของหล่อนอย่างน่าพิศวง

“นั่นถูกปืนของพ่อรื่น” หล่อนชี้ไปที่ศพ ๆ หนึ่ง “นั่นถูกปืนฉัน” ชี้ไปอีกศพหนึ่ง ซึ่งกลิ้งอยู่ข้างเคียงกัน แผลที่กระสุนปืนทั้งสองกระบอกนั้นทำไว้ที่ศีรษะและทรวงอกคนร้ายจัดแจ้งปราศจากที่สงสัย นัยน์ตาที่คมของหล่อนกร้าวเหมือนเหล็กกล้า สีหน้าสงบปราศจากความรู้สึกใด ๆ เหมือนไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงอะไรเกิดขึ้น

รื่นลอบชำเลืองดูดวงหน้าอันงามอย่างน่ากลัวนั้นแล้วก็อดใจสั่นไม่ได้

“สวยเหมือนใครหนอ ?” เขาเคยนึกแล้วนึกอีก “งามเหมือนอะไร ?”

เปล่า หล่อนไม่เหมือนใคร หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่สวยสดงดงามโดยเฉพาะ หากงามอย่างผู้หญิงอื่นทั่ว ๆ ไปที่ผู้ชายไม่สามารถจะจาระไนให้แน่ชัดลงไปได้ กึ่งมนุษย์ กึ่งนางไม้ กึ่งเทพธิดาและปีศาจ โดยทรวดทรงหล่อนอาจจะเป็นคนเอวบางร่างเล็ก แต่โดยสำนึกรื่นรู้สึกเหมือนหล่อนจะกำยำล่ำใหญ่กว่าเขา นัยน์ตาที่ดำสนิทและคมวาวกลมโต เกินที่จะอยู่ในดวงหน้าอันแน่งน้อย ปากที่ค่อนข้างกว้างก็เช่นเดียวกัน ทรวงอกซึ่งอวบผิดปกติก็เช่นเดียวกัน ละเมียดขณะนั้น ๒๕ ปีเต็ม แต่บางคราวรู้สึกเหมือนหล่อนสาว สดชื่น และเด็กกว่าสุดใจ ครั้นแล้วในชั่วขณะต่อไป กลับดูร่วงโรยราวกับแก่กว่าสัก ๒–๓ รอบ

ภายในครึ่งคืนนั้น และค่อนวันต่อมา ก่อนที่จะออกเรือจากกัน เขาพยายามที่สุดที่จะเรียนรู้ถึงความเป็นอยู่และอัธยาศัยใจคอของหล่อนบางประการ แต่อย่างหญิงที่เขาอ่านไม่ออกในขณะแรกที่พบกัน ในฐานปริศนาลึกลับเขาก็จากหล่อนมาโดยมิได้คิดหรือฝันว่าวิถีชีวิตของหล่อนและเขาจะผ่านกันอีกในโอกาสหลัง

“ฉันดูยังกะคุณนายคนนี้ จะเคยรู้จักพี่รื่นมาก่อนแต่ครั้งไหน” สุดใจปรารภขณะที่เรือล่องมาตามกระแสน้ำ เหลียวหลังไปดูเรือแม่ปะ ๔ ถ่อลำนั้นเริ่มเคลื่อนออกจากที่

“บางที่จะในชาติก่อน หรือในฝัน” สามีหัวเราะ สายตาเพ่งอยู่กับร่องน้ำ “เกิดมาเพิ่งเคยพบกันนี่แหละ แต่ก็ชอบกล – – นึกออกเอาเดี๋ยวนี้เองว่า แกเหมือนกะอะไร ? แกทำให้ข้านึกถึงรูปนางกินรีคนนั้น นางกินรีที่ปู่ย่าตายาย กะคนเก่า ๆ เล่ากันมาว่า พวกคนธรรพ์พากันมาตายเสียมากต่อมาก ในการรบราฆ่าฟันเพื่อชิงเอาไปเป็นคู่ครอง !”

“นั่นต้องก่อนท้าวแสนปม สร้างเมืองไตรตรึงษ์”

“ก่อนหรือหลังไม่รู้ แต่เขาเล่ากันมาอย่างงั้น –”

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ