๑๔

แม่เฒ่าแคล้วล้มเจ็บด้วยไข้หวัดใหญ่ในฝนต่อมาขณะที่น้ำกำลังขึ้นเอ่อ และฤดูล่องแพกำลังจะเริ่ม ชั้นแรกรื่นและสุดใจเองไม่สู้จะกังวลเท่าใดนัก คิดเสียว่าเมื่อแกได้พักงานประจำวันซึ่งไม่เคยทิ้ง ได้พยายามรักษาตัวอยู่กับบ้านเฉย ๆ ไม่กี่วันก็คงจะหาย โรคภัยไข้เจ็บกับแม่เฒ่าเป็นแขกแปลกหน้ากันมาแต่ไหนแต่ไร แกผ่านมาได้จากอหิวาตกโรค ซึ่งระบาดไปทั่วกำแพงเพชรในวัยสาว แกเอาตัวรอดมาได้จากรากสาดใหญ่ ซึ่งคุกคามไปทั่วสุโขทัยสมัยที่แกแต่งงานแล้ว และฝีดาษซึ่งกวาดชีวิตชาวคลองสวนหมากเตียนไปเกือบทั้งหมู่บ้าน ไม่สามารถจะทำอะไรแกได้เลยแม้แต่ล้มเจ็บ ร่างกายอันแข็งแกร่งและกำลังใจอันแรงกล้า เป็นเกราะป้องกันภัยสำหรับหญิงชราผู้นี้ ยิ่งกว่าหยูกยาและเวทย์มนต์คาถาใด ๆ แม้กระนั้นสังขารของคนเราก็มิใช่จะสร้างด้วยเหล็กหรือด้วยไหล ความร่วงโรยของวัยที่ชรา ไม่สามารถจะทำให้แม่เฒ่ายิ้มเยาะ ต่อบรรดาโรคาพยาธิได้อีกต่อไป ๘๐ ปีมิใช่ปูนที่คนเราจะพึงหวังได้ในความเหนียวแน่นของร่างกาย เท่ากับคนในวัย ๑๘ ด้วยประการฉะนี้ เพียงตรำฝนวันเดียวแกก็ล้มเจ็บ และภายหลังที่เริ่มเจ็บได้ไม่ถึง ๓ วัน อาการซึ่งคิดว่าจะดีขึ้น ก็หลับทรุดหนักลงไป จนกระทั่งรื่นต้องล้มความคิดที่จะขึ้นไปคุมแพลงมาจากลานดอกไม้และข้ามไปรับหมอมาจากเมือง

แม่เฒ่าอุตส่าห์ลืมตาขึ้นบ่นกะปอดกะแปดตามวิสัยของคนแก่ เมื่อรู้เรื่องเข้าตอนหลานเขยพาหมอไปถึง

“มากเรื่องมากราวไปเปล่า ๆ อ้ายทิด” แกว่านัยน์ตาที่แดงก่ำไปด้วยพิษไข้ยังแจ่มใส เสียงที่สั่นเครือยังฟังชัด “อ้ายโรคอ้ายภัยน่ะเป็นได้ มันก็หายได้ – แล้วแต่บุญวาสนา ลงถึงวาระสุดท้ายละก้อให้เทวดาเหาะลงมาช่วยมันก็หนีไม่พ้น”

ทั้งหลานเขยและหลานสาวต้องปลอบโยนกันอยู่ช้านานแกจึงยอมให้หมอตรวจและเจียดยา ต่อมาแม่เฒ่าก็หลับตาเหมือนจะเคลิ้มหลับไป รื่นรู้สึกใจคอไม่ดีเลยเมื่อสังเกตเห็นสีหน้าของหมอ

“เป็นยังไง หมอ?” เขากระซิบเบา ๆ

หมอเฒ่าผู้ขึ้นชื่อลือชาเป็นที่นับหน้าถือตายิ่งกว่าหมออื่นใดในยุคนั้น สั่นศีรษะเนิบ ๆ

“ต้องรอดูอีกสัก ๒–๓ วันก่อน กำนัน” แกตอบ “แต่ระหว่างนี้มีอะไรเกิดขึ้นขอให้ไปตามฉันด่วน”

แต่ถึงจะกระซิบกระซาบกันเบาเพียงไร แม่เฒ่าซึ่งใคร ๆ คิดว่าหลับก็ได้ยิน

“อย่าไปกวนหมอแกเลยวะ อ้ายทิด” แกโพล่งออกมาโดยนัยน์ตาไม่ลืม อิริยาบถไม่เปลี่ยน “ข้าไม่เป็นไร ข้ารู้ว่าข้าจะหาย ยังไงเสียข้าก็ยังไม่ตาย เอ็งจะไปทำอะไรก็ไปเถอะ ไม่ต้องห่วงข้า”

ชายทั้งสองชวนกันย่องจากห้องกลับออกมาที่ระเบียงเรือน

“แกพูดเหมือนกะแกไม่เป็นอะไรเลย” หมอนั่งลงยกมือเช็ดเหงื่อที่หน้าผากอย่างอัศจรรย์ใจ “หลายคนที่มีอาการอย่างเดียวกัน อยู่ในวัยฉกรรจ์ด้วยซ้ำไป พูดกันไม่รู้เรื่องแล้ว”

รื่นหันกลับจากแม่น้ำที่กำลังเปี่ยมฝั่ง และสวะซึ่งลอยผ่านหน้าไปไม่ขาดสาย

“หมอคิดว่าร้ายแรงถึงเพียงนั้นทีเดียวหรือ หมอ?” เสียงของเขาสั่นเพราะความรู้สึก

“ฉันไม่ได้คิดกำนัน ฉันแน่ใจว่าจะไม่พ้นวันสองวันนี้ไปได้ มันไม่หวัดใหญ่อย่างเดียว โรคแทรกด้วย เห็นมาหลายรายแล้ว ไม่เคยรอดจนรายเดียว – –”

นั่นเป็นวาจาประโยคสุดท้าย ก่อนที่หมอจะหิ้วล่วมยากลับไป

แต่อีก ๓ วันต่อมา แม่เฒ่าแคล้วก็ยังมีชีวิตอยู่ อาการหอบและไอของแกอาจจะถี่ขึ้น ความร้อนสูงจัด ข้าวปลาอาหารไม่แตะต้อง แต่สติสัมปชัญญะของแกยังคงเป็นปกติทุกประการ ตื่นขึ้นมาเมื่อไรเป็นถามถึงพวกหลาน ๆ เมื่อนั้น พูดถึงการงานของรื่น และสั่งสอนสุดใจเหมือนอย่างที่แกเคยสอนมาแต่เด็กแต่เล็ก

“ปากคลองเป็นที่อยู่สำหรับคนเราที่แข็งและกล้าจริง ๆ เท่านั้น” แกมักจะบอกซ้ำ ๆ ซาก ๆ “เอ็งหันหน้าหนีจากมันอย่างพวกบ้านอื่น เมืองอื่นเมื่อไร เมื่อนั้นเอ็งก็อยู่ไม่ได้”

หมอเองต้อนรับข่าวนั้นจากรื่นด้วยความประหลาดใจเหมือนเห็นปาฏิหาริย์เกิดขึ้น แกเจียดยาขนานสุดท้ายให้รื่น ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่ว่าจะไม่เกิดประโยชน์อะไร

“ฉันจนปัญญาจริง ๆ กำนัน เพราะอาการที่ตรวจพบมีแต่หนักลง แต่ทำไมดูทรงอยู่ได้อย่างวันแรกที่ฉันเห็น ยาทุกขนานเหล่านั้นไม่เป็นประโยชน์อะไรเลย แต่ก็ต้องพยายามช่วยกันไปตามมีตามเกิด”

ไม่มีใครบอกได้ว่าอะไรเป็นอำนาจที่ดลใจให้แกต่อสู้กับมฤตยูที่คุกคามอยู่ต่อหน้าอย่างกล้าหาญ ไม่มีใครบอกถูกว่าอะไรเป็นสายใยที่ผูกพันแกอยู่กับชีวิตนี้โดยปรโลกไม่มีความสามารถจะช่วงชิงไปได้ง่าย ๆ

รื่นและสุดใจรู้อย่างหมอรู้ว่า อวสานของแกคงจะมาถึงในไม่ช้าไม่นาน อาการทุกอย่างบ่งชัดไปในทางนั้น เพียงแต่ไม่มีใครกล้าพยากรณ์หรือกำหนดได้ว่ามันจะมาถึงเมื่อไร ทุกวันที่ผ่านไปหมายถึงความทุกข์ทรมานสำหรับรื่นเพราะความสำนึกนั้นทุก ๆ วัน หมายถึงความวิตกถึงน้ำเหนือซึ่งขึ้นไม่รู้จักหยุดจนเลยระดับปีที่มันขึ้นสูงสุดแต่เขาขึ้นมาอยู่ที่นี่ ในไม่ช้าบริเวณบ้านที่ไม่เคยท่วมก็เจิ่งไปด้วยน้ำและทำท่าจะไม่หยุดอยู่เพียงแค่นั้น บรรดาแพที่จอดอยู่ท้ายเกาะต้องชะลอเข้าเทียบฝั่ง วันหนึ่ง ๆ ศาลาท่าน้ำวัดที่พัง ซากช้างที่ล่ามโซ่ติดอยู่กับซุง ตลอดจนสัตว์เลี้ยงลอยผ่านไปไม่ขาดระยะ อีก ๒ วัน ต่อมาเท่านั้นระดับน้ำก็ถึงลูกบันไดขั้นสุดท้าย และถ้ามันขึ้นอยู่ในอัตรานั้นต่อไป พื้นยุ้งข้าวซึ่งอยู่ระดับเดียวกับพื้นนอกชานก็หนีไม่พ้น

คนเจ็บซึ่งนอนแซ่วอยู่แต่ในเรือนรู้เหตุการณ์เหล่านี้ได้ดีเหมือนมีพรายกระซิบ แกร้องเรียกสุดใจซึ่งสาละวนอยู่กับการจัดครัวเพื่อเตรียมรับข้าวเปลือกที่จะย้ายขึ้นมาจากยุ้งเข้าไปในห้อง มองดูหน้าหลานสาวด้วยนัยน์ตาอันแจ่มใสอย่างสพึงพิศวงบอกว่า

“อย่าวุ่นวายไปเลยอีใจ บอกอ้ายทิดมันเถอะ พรุ่งนี้น้ำก็จะลด” นัยน์ตาคู่นั้นหันกลับออกไปทางช่องหน้าต่างซึ่งเปิดกว้าง จับอยู่ที่ท้องฟ้าสีน้ำเงินอันเวิ้งว้างและนกกระทุงซึ่งบินผ่านไปเป็นฝูง พลางพึมพำต่อไป

“แต่เกิดมาข้าก็เพิ่งเห็นน้ำท่วมใหญ่คราวนี้แหละเป็นครั้งแรก แล้วก็จะเป็นครั้งสุดท้าย เอ็งอย่าตกอกตกใจ เสนียดจัญไรจะหมดไปเสียที แต่นี้ไปปากคลองจะอยู่เย็นเป็นสุข ถึงปีหน้าทุกหนทุกแห่งจะต้องรับทุกข์ข้าวจะยากหมากจะแพง ปากคลองก็ไม่เป็นไร” ยิ้มละไมปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากอันเหี่ยวย่นของแก ขณะที่แลตามนกกระทุงฝูงนั้นลับขอบหน้าต่างไป “รุ่ง!” ริมฝีปากของแม่เฒ่าขมุบขมิบ “ข้ารู้หรอกว่าแกต้องการข้า ถึงได้ส่งเจ้าพวกนั้นมารับ แต่ข้าจะยังไม่ไปจนกว่าจะถึงพรุ่งนี้น้ำลดเมื่อไรข้าจะตามแกไป – –”

“สุดใจก้มหน้า หล่อนยกมือขึ้นป้ายตา แม่เฒ่าคงจะได้ยินเสียงสะอื้นซึ่งขึ้นมาติดอยู่ที่คอหอย เพราะแกหันกลับมาทันที

“ร้องไห้ทำไมวะอีใจ ยังกะข้าจะตาย” เสียงของแกปลอบโยน “อย่ากลัวไปหน่อยเลย ข้าไม่มีวันตายถึงตารุ่งลุงของเอ็งก็เหมือนกัน เอ็งรู้แล้วว่าเรารักกันมาก –– ข้ากะลุงเอ็ง –– คนเราที่รักกันไม่มีวันตายจะจากกันไป นานเท่านานเพียงใดก็ไม่มีวันลืม –– ” แกสะอึกเพราะอาการหอบ จึงยื่นมือซึ่งเหี่ยวแห้งเหมือนจะเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกออกมา “ขอน้ำข้ากินหน่อย – –”

หลานสาวยกถ้วยน้ำประคองศีรษะแกจิบได้สองสามอึก แม่เฒ่าพยักหน้า เมื่อหล่อนค่อย ๆ วางศีรษะลงกับหมอน แกก็หลับตาต่อไป แต่ริมฝีปากยังขมุบขมิบ

“บอกอ้ายทิดมันให้คอยดูแต่แพไม้ อย่าไปกังวลเรื่องยุ้งข้าว พรุ่งนี้เช้าน้ำก็จะลด”

สุดใจค่อย ๆ คลานออกมาข้างนอก เมื่อรื่นพาพวกลูก ๆ กลับจากผูกแพไม้และหล่อนบอกให้ฟัง เขาก็ได้แต่จะส่ายหน้าและถอนใจ

“งั้นก็รอไปถึงพรุ่งนี้” เขาบอก “อย่าไปขัดความประสงค์ของแก”

คืนนั้นทั้งคืนแม่เฒ่าเริ่มกระสับกระส่าย เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ล้มเจ็บเป็นต้นมา นอกจากรื่นและสุดใจกับพวกลูก ๆ ทั้งจำปา เรือง แววและพัน ตลอดจนเพื่อนบ้านใกล้เคียงอีกหลายครัวเรือนต่างก็มาชุมนุมกันอยู่พร้อมหน้า เพื่อเป็นเพื่อผลัดเวรกันเฝ้าไข้ สำหรับทุกคนแม่เฒ่าแคล้วเป็นหัวใจมิใช่แต่เฉพาะภายในครอบครัว หากปากคลองทั้งตำบลไม่ว่าบ้านไหนจะเกิด บ้านไหนจะตายแกจะต้องไปอยู่ที่นั่น ดวงหน้าอันชราของแกเป็นสัญญลักษณ์สำหรับคลองสวนหมาก วาจาเหมือนขวานผ่าซาก แต่เต็มไปด้วยความปรานีของแก คือคำบัญชาที่ทุกคนจะต้องเชื่อฟัง

แกตื่นขึ้นกลางดึก ขณะที่ฝนเริ่มโปรยเม็ดเปาะแปะ และลมเย็นพัดวูบเข้ามาในห้อง นัยน์ตาของแกที่มองดูตะเกียงลานที่จุดหรี่ไว้แจ่มใสและสงบ มือทั้งคู่กำเข้าแล้วก็คลายออก เท่านั้นเองที่บอกว่าแกยังมีชีวิตอยู่

สุดใจแลเห็นความเคลื่อนไหวนั้น หล่อนไขตะเกียงลานขึ้นอีก พลางก้มลงไปหาแก

“กินยาอีกสักทีเถอะป้า” หล่อนบอก “ยาลมน่ะ จะได้มีกำลัง”

หล่อนจ่อถ้วยตะไลซึ่งละลายยาในน้ำดอกไม้เทศเตรียมไว้กับริมฝีปากของแก แม่เฒ่าอ้าปากรับพยายามกล้ำกลืนเข้าไปจนหมดด้วยความยากลำบาก ต่อมาก็ถอนใจ แกหลับตานิ่งไปอยู่สักครู่จึงได้ลืมขึ้นอีก

“อ้ายทิดไปไหน อีใจ ?”

รื่นซึ่งเพิ่งส่องไต้ส่งเพื่อนบ้านที่มาเยี่ยมกลับไปกำลังก้าวเข้ามาในห้อง ทรุดตัวลงที่ปลายเท้าแกทันที

“ฉันอยู่นี่จ้ะป้า”

นัยน์ตาอันสุกใสของหญิงชราหันกลับมาเพ่งอยู่ที่หน้าเขาด้วยความสนใจ เหมือนได้เห็นเป็นครั้งแรก เหมือนเป็นคนแปลกหน้า ในขณะเดียวกันก็เหมือนกับคนที่อยู่ในความทรงจำของแกตลอดมาชั่วชีวิต

“ช่างเหมือนกันเสียนี่กระไร” แกพึมพำทำนองเดียวกับวันแรกที่เพิ่งเห็นหน้าเขาครั้งกระโน้น “เหมือนกันยังกะแกะ”

สองผัวเมียแลสบตากันอย่างงงงันเพราะไม่เข้าใจความหมายของแก ถึงกระนั้นก็ไม่มีกะจิตกะใจที่จะซักไซ้ไล่เรียงเลย

นัยน์ตาของแม่เฒ่าสอดส่ายไปทั่วตัวและหน้าของเขา นัยน์ตาซึ่งบอกถึงความรักและความเอาใจใส่อย่างสุดที่จะพรรณาออกมาได้

“เข้ามาใกล้ ๆ ข้าหน่อย อ้ายทิด เข้ามาตรงนี้ – – เออ ดีละ จับมือข้าขึ้นที แตะที่หน้าผากเอ็ง แล้วก็แก้ม แล้วก็จมูก ปาก – – อึ้ย ! นี่เมื่อไรเอ็งจะโกนเคราเสียบ้าง จักจี้ออกจะตายไป”

รื่นรู้สึกมือข้างนั้นเย็นเฉียบเหมือนจะหาหยาดโลหิตและความรู้สึกไม่ได้ อาการหายใจของแกขัด ๆ และยากลำบาก เสียงที่หลุดออกมาจากริมฝีปากของแกแผ่วเบาและเหน็ดเหนื่อย ถึงกระนั้นนัยน์ตาของแกก็ยังเต็มไปด้วยประกาย เต็มไปด้วยชีวิต เต็มไปด้วยอารมณ์ขัน และการหัวเราะ

“เอ็งยังจำหน้าแม่ของเอ็งได้ดีรึเปล่าอ้ายทิด ?”

“จำได้ จ้ะป้า”

“ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่จนถึงเวลานี้ลองนึกดูทีหรือว่าจะมีอะไรเหมือนข้าบ้าง ?”

“รูปร่างอาจจะผิดกันไป อายุอาจจะแก่อ่อนกว่ากันไม่กี่ปี แต่ป้ากะแม่มีนิสัยเหมือนกันเกือบทุกอย่างดุแต่ใจดีปรานีแต่ตามใจ”

ยิ้มละไมปรากฏขึ้นที่เหนือริมฝีปากอันย่นของแกอย่างเป็นสุข “ทุกคนเคยพูดเช่นนั้น ใครๆ ที่เคยเห็นเมียใหม่ของรุ่งพูดอย่างเดียวกัน ฉันอยากรู้เหลือเกินว่าอะไรทำให้เขาผละจากอกฉันไปสู่อ้อมแขนของผู้หญิงอื่น” วันคืนครั้งกระโน้น หวนกลับมาสู่ความทรงจำอันชราของแกอีก เหมือนดาวประจำเมืองโผล่ขึ้นประดับท้องฟ้าอันมืดมิดของคืนข้างแรม ขณะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็แจ่มจรัสขึ้นในความคิดอันเหนื่อยอ่อนของแก แม่น้ำยมที่ไหลเอื่อย ปราสาทร้างที่ปกคลุมไปด้วยเถาวัลย์เสียงมโหรีอันซึ่งใจต่างประดังกันขึ้นมาในความทรงจำของแก

แม่เฒ่าปล่อยให้หนังตาอันหนักหรี่ลงปิดสนิท มิฉะนั้นน้ำตาจะไหลซึมออกมาให้คนอื่นเห็น ความทรงจำเหล่านั้นเป็นของแก ทุกข์และสุขตามแต่ยุคและสมัยของมันก็เช่นเดียวกัน ไม่มีใครจะล่วงรู้ถึงเรื่องราวเหล่านั้น รื่นจะต้องไม่รู้ว่าเขาเป็นลูกของหญิงผู้ช่วงชิงความรักและหัวใจไปจากแก ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปโดยราบรื่น นอกจากเมียแกก็จะได้เป็นแม่และบางทีลูกคนนั้นก็อาจจะเป็นผู้ชายอย่างเขา เหมือนเขา ทั้งรูปร่างหน้าตาและอัธยาศัยใจคอ

“ข้ารู้จักพ่อเอ็งดี อ้ายทิด” นัยน์ตาที่ปิดสนิทเผยอปรือขึ้นอีก “รู้จักกันเหมือนญาติสนิทก็ว่าได้ ตารุ่งเป็นคนดี มีความทะเยอทะยานอย่างเอ็ง ใจนักเลงอย่างเอ็ง เสียแต่เทวดาลงตีนเขามากไป อยู่ที่ไหนไม่ค่อยติด”

“ป้าไม่เคยระแคะระคายเรื่องนี้ให้ฉันรู้เลย” เขายกมืออันแบบบางข้างนั้นของแกค่อยวางลงบนที่นอนข้างตัวเบาๆ เพราะเกรงจะเมื่อยล้าเกินไป

แม่เฒ่ามิได้ตอบอะไรแก่วาจาปรารภเหล่านั้น นัยน์ตาอันพร่าไปด้วยฝ้าน้ำตาของแก คงจับอยู่ที่ใบหน้าของหลานเขย ราวกับจะไม่รู้สึกตัวเลยว่า ตลอดเวลาหลานสาวนั่งอยู่ด้วยที่นั่น

“กี่ยามแล้วล่ะนี่ ?”

เสียงไก่ขันมาจากเล้าหลังบ้านตามคำถามของแกก่อนรื่นจะทันเอ่ยอะไร

“อีกไม่ช้าไม่นานก็จะยาม ๓ จ้ะป้า” เขาชำเลืองดูนาฬิกาแมงดาซึ่งเดินเป็นจังหวะอยู่ที่ฝาผนัง

“น้ำกำลังลด ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังจะล่วงไป” แม่เฒ่าพึมพำ นัยน์ตาอันแจ่มใสเริ่มเป็นฝ้าหนักขึ้นทุกที “ชีวิตก็เหมือนกะน้ำ ไม่มีวันจะอยู่คงที่ แต่มันก็ไม่มีวันสิ้นสุด จากที่นี่จะไปสู่ที่อื่น – –” แกหยุดหน่อยหนึ่งเมื่อหายใจขัด ครั้นแล้วก็พูดเร็ว “บอกข้าหน่อยรื่นเวลาดูจะเหลือน้อยเต็มที บอกข้าหน่อยว่าเอ็งพอจะรักข้าอย่างแม่ แทนรักอย่างป้าได้ไหม ?”

เขาก้มลงกราบที่ฝ่ามืออันแบบบางซึ่งวางหงายอยู่ข้าง ๆ แก แล้วก็ซบหน้านิ่งอยู่

“ฉันรักป้าอย่างแม่บังเกิดเกล้าของฉันเองเสมอมา ไม่เคยนึกถึงป้าอย่างคนอื่นคนไกลเลย !” เขาพึมพำด้วยเสียงเครือ

แม่เฒ่าถอนใจเป็นครั้งสุดท้าย

“เท่านั้นเองที่ข้าอยากได้ยิน” ริมฝีปากอันเหี่ยวแห้งขมุบขมิบ

และพร้อมด้วยยิ้มที่ยังปรากฏอยู่เหนือริมฝีปาก หนังตาอันหนักก็หรี่ปิดอีก อย่างไม่มีเวลาจะเปิดอีกต่อไป อีกอึดใจหนึ่งต่อมาเมื่อรื่นจับชีพจร และเอากระจกรอที่ขมูกของแก ชีวิตอันแข็งแกร่งและเต็มไปด้วยประวัติการณ์ของแม่เฒ่าแคล้วออกจากร่างไปเสียแล้ว !

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ