บทที่ ๘

– ๑ –

ในปีนั้น น้ำเหนือก็มาเร็วผิดปกติ เพราะฉะนั้นลงไปอยู่บ้านได้ไม่ถึงเดือน รื่นก็ต้องกลับขึ้นไปคลองเมืองและเกาะพิมูลอีก พร้อมด้วยลูกจ้างสำหรับเจาะจมูกและผูกแพล่องทยอยลงมารวมอยู่ที่ท้ายเกาะหน้าคลองสวนหมาก เพื่อจัดขบวนเป็นพื้นใหญ่ ตั้งทับสำหรับอาศัยพะองสำหรับดูร่องและเข็มสำหรับผูกพรวนต่อไป แม้ว่ามันจะเป็นงานใหม่สำหรับเขา ความสันทัดจัดเจนเก่า ๆ ที่ได้จากความสังเกตตลอดชีวิตพ่อค้าเรือเร่ในสมัยก่อน ก็ช่วยให้งานทั้งปวงลุล่วงไปได้ด้วยความรวดเร็ว และการควบคุมงาน ถึงกระนั้น ความยากลำบากในการหานายท้ายแพและคนหลัก ก็ทำให้เสียเวลาอยู่จนเดือน ๑๐ เมื่อน้ำเริ่มจะลดและแพทางเหนือล่วงหน้ากันไปเป็นอันมากแล้ว แพของเขาจึงออกจากคลองสวนหมากได้

“ถึงช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร ข้อสำคัญให้มันพร้อมเสียก่อน” รื่นบอกสุดใจ เมื่อหล่อนปรารภถึงความล่าช้าของการออกแพครั้งนี้ “มันเป็นการตั้งต้นครั้งแรกของเรา ข้าไม่ได้หวังกำรี้กำไรอะไรหนักหนามากไปกว่าหาความรู้ ความชำนาญ สำหรับกาลข้างหน้า หลายคนเห็นข้าเป็นบ้า ที่จ้างตาแดงนายท้ายแพราคาตั้งชั่ง ถึงอ้ายมั่ง อ้ายทิมคนหลักก็ว่าแพงเหมือนกัน แต่จะไปหานายท้ายแพกะคนหลักที่ไหนเก่งเท่าสามคนนั้นเล่า สิ่งไรที่เราได้จากเขานั่นแหละ กำไรของเราละ”

แม้ว่าจะเคยผ่านภูมิประเทศ และชีวิตประจำวันตามลำแม่ปิงตอนนั้นมามากแล้ว รื่นก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้นและกระตือรือร้นอยู่ตลอดเวลา ในการแสวงหาความรู้ความชำนาญจากการดูร่องน้ำ ในการทดลองลงหลัก ผลัดเปลี่ยนไปกับมั่งหรือทิมเมื่อถึงตอนสะดวก และในการบอกเล่า หรืออธิบายให้สุดใจฟังถึงประวัติและชีวิตของหมู่บ้าน ตำบลและอำเภอต่าง ๆ ที่แพผ่านไป ชีวิตประจำวัน บนยอดพะองคู่กับตาแดงทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ในโลกใหม่หายใจสะดวก เป็นอิสระและสำนึกถึงความรับผิดชอบในตัวเองมากกว่าที่เคยนั่งถือหางเสืออยู่บนม้านั่งท้ายเรือเป็นไหน ๆ ป่าไม้สองฝั่งซึ่งประกอบไปด้วยยาง พยุง และเสลาสูงชะลูดอยู่เป็นระยะ ๆ ทำให้เขายิ่งมั่นใจในอาณาจักร ซึ่งเขาเลือกครองว่าขอบเขตของมันจะไม่สิ้นสุดลงง่าย ๆ

ทุก ๆ วันหมายถึงความกระตือรือร้นสนใจใหม่สำหรับสุดใจ เมื่อผ่านนกกระทุงซึ่งลอยแพนับจำนวนร้อย หรือเก้งที่ว่ายน้ำตัดหน้าไปในเวลากลางวัน และเสียงปลาลิ้นหมาครางอืดอยู่ใต้ท้องแพในเวลากลางคืน แต่ละตำบลแต่ละหมู่บ้านล้วนแต่ประวัติศาสตร์อยู่ในตัวของมัน ทั้งลักษณะบ้านเรือนที่ปลูก ผู้คนที่อยู่และอาชีพที่ดำเนิน ทุก ๆ วันเต็มไปด้วยความสุขและความเพลิดเพลินสำหรับหล่อนและรื่น แม้จะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าตากแดดกรำฝน จนบางคืนหลับรวดเดียวสว่าง

การล่องแพครั้งนั้น เป็นไปด้วยความราบรื่นตลอดทาง นอกจากครั้งเดียวเมื่อผ่านแสนตอ และแพหวุดหวิดจะชนหัวเกาะ แตกทั้งพื้นเพราะพรวนหลักเอกขาด ขณะที่จะเข้าจอดที่ท้ายเกาะ ท่ามกลางพายที่พัดแรงกล้า แต่ด้วยความชำนาญและการตัดสินใจเด็ดขาดของตาแดงผู้เป็นนายท้าย ในที่สุดก็พาแพเข้าเทียบกับตลิ่งจนได้

“หลักมันติดตอจะไถก็ไม่ได้จะปล่อยก็ไม่ทัน” มั่งซึ่งเป็นคนประจำหลักนั้นอธิบาย

“ถีบพรวดลงไปถึงพื้นครั้งแรกมึงควรจะรู้ว่าถูกทรายถูกดิน หรือตอ” ตาแดงบ่นพึม “ดีแต่รื่นแกขึ้นลวดสังกะสีโรยกะอ้ายหว้าต้นนั้นทัน ไม่งั้นก็ฉิบหาย––”

ไม่ต่ำกว่าสามแพแตกเพราะหัวเกาะเดียวกันนี้ในปีนั้นเนื่องจากกระแสน้ำพุ่งเข้าใส่ ไม่ต่ำกว่า ๒ แพแตกเพราะตอใต้ลงมาอีกสองคุ้ง พื้นหนึ่งยังกำลังเก็บไม้ผูกไม่หมดอยู่ที่หน้าบ้านหาดชะอม แต่ละพื้นที่แพแตกไม้จมและสูญหายไปเป็นจำนวนไม่น้อย

“แม่ย่านาง ช่วยเรา” ตาแดงบอก ยิ้มขรึม ๆ ด้วยความพอใจเมื่อนำแพเข้าจอดที่เกาะตาเทพเหนือปากน้ำโพได้ในวันสุดท้ายของการเดินทาง

ทั้งสมัยนั้น และอีกหลายสิบปีต่อมา เกาะตาเทพและหาดไทรงามเป็นชุมทางชั่วคราว ก่อนที่จะเลื่อนแพลงไปจอดประจำสถานีถาวร ตั้งแต่วัดไทรลงไปจนถึงหน้าผา เหนือปากน้ำโพบนฝั่งตะวันตก และเกาะยม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอู่ไม้ของบริษัทฝรั่งบนฝั่งตะวันออก

ความกว้างขวางแต่ละครั้งยังดำเนินชีวิตพ่อค้าเรือเร่ของรื่น ปรากฏเป็นประโยชน์อย่างมากอีก ในการติดต่อขออาศัยหน้าท่าชาวปากน้ำโพในการจอดแพ และการเจรจาซื้อขาย พูดโดยฤดูไม้เขาอาจจะมาถึงล่า แต่พูดถึงความงามของมัน ทั่วทั้งพื้นล้วนแต่คัดมาทั้งสิ้น ฉะนั้นจึงไม่เป็นการยากอะไร ที่เขาจะปล่อยแก่พ่อค้าไม้ที่ขึ้นมาจากล่างไปโดยมีกำไรพอสมควร ภายในเวลาไม่ถึงเดือน

“เราควรจะได้ราคาดีกว่านี้ ถ้าหน่วงเหนี่ยวไว้อีกสักหน่อย” เขากล่าวแก่สุดใจและสหายร่วมแพ “แต่ยิ่งนานไป ไหนค่าโสหุ้ยที่จะต้องใช้จ่าย ไหนจะเสียเวลา........ยี่สิบชั่งดีถมไป สำหรับกำไรการค้าครั้งแรก นอกจากนั้น เราได้ทั้งความรู้ความชำนาญ ได้ทั้งการทำทางไว้สำหรับวันข้างหน้า ถ้าเขารักษาชื่อเสียง และความไว้วางใจ ที่เขามีต่อเราครั้งนี้ไว้ให้ดี ต่วนด่ำจะเป็นขาประจำของเราต่อไป”

ความใกล้ชิด และชีวิตที่ร่วมทุกข์สุขมาด้วยกันเป็นชนวนของมิตรภาพและความรักใคร่ ฉะนั้นทันใดที่ขายแพ และจ่ายค่าจ้างตามที่ตกลงกันไว้ แทนที่จะแยกทางจากกันไป ตาแดง ทิดมั่งและทิม กลับแสดงความปรารถนาทันที ที่จะร่วมงานกับรื่นในปีต่อไป

“อย่าไปคิดกังวลในเรื่องค่าจ้างค่าออนเลยรื่น” ตาแดงว่า นัยน์ตาของแก ซึ่งแดงก่ำอยู่เนืองนิตย์ด้วยฤทธิ์สุรา บอกถึงความรัก ความเอ็นดูเหมือนญาติสนิท “ได้มากน้อยยังไงไม่สำคัญ คนอย่างข้า ไม่มีลูกมีเมีย พอกินไปวัน ๆ หนึ่งเท่านั้นก็เป็นสุขแล้ว สำหรับทิดมั่งกับอ้ายทิม นับไปก็เหมือนหลาน ฟันไม้ขุดเรือโกลนไปปีหนึ่ง ๆ หมดหน้าแล้วก็ไม่มีอะไรทำ”

ความเปิดเผย และน้ำใจอันดีของแกเป็นที่จับใจรื่นอย่างหาที่เปรียบมิได้

“งั้นเราจะร่วมงานกันต่อไป” เขาบอก “น้าแดงกับพวกเอ็ง ๆ” ชี้ไปที่มั่ง ทิม เรือง และแวว “คอยดูใจข้าก็แล้วกัน....”

เมื่อตาแดง มั่งและทิมขึ้นเรือเมล์กลับบ้านล่วงหน้ามาก่อนแล้ว รื่นยังคงพักอยู่ที่ปากน้ำโพต่อมาเพื่อซื้อของลงเรือ และพาสุดใจกับลูกเที่ยวตลาด ชมภูมิประเทศ และไหว้พระ ทั้งที่วัดกบและวัดเขา ความจอแจของผู้คนที่ปากน้ำโพในฤดูนั้น เป็นที่ลานตาลานใจของสุดใจ จนกระทั่งบางครั้งถึงแก่ปากอ้าตาค้างพูดไม่ออกเพราะขนบประเพณีและการแต่งกายของหญิงชายต่างถิ่นต่างเมือง ที่ไปชุมนุมกันอยู่ที่นั่น

“ฉันคงอึดอัดใจตาย ถ้าอยู่ที่นี่นานไป” หล่อนเคยบอกรื่น สามีได้ฟังก็ยิงฟันขาว

“เอาไว้โอกาสหน้า ข้ามีเวลาจะพาเอ็งไปบางบอก” เขาบอก “เห็นสามยอด โรงหวย สะพานเหล็ก สะพานหัน เอ็งจะรู้สึกปากน้ำโพเหมือนป่า ในชีวิตข้าเที่ยวมามากแล้ว ถึงที่ไหน ๆ ก็ไม่เหมือนบางกอก....”

“หรือจ๊ะ ?” นัยน์ตาของหล่อนเบิกโพลง เคลิ้มฝันและครุ่นคิด ชั่วชีวิตที่เกิดมา หล่อนไม่เคยหวังไกลถึงเพียงนั้น อย่าว่าแต่บางกอก เพียงแต่ปากน้ำโพ ก็รู้สึกเหมือนอยู่ห่างไกลกันคนละโลกและสุดหล้าฟ้าเขียว แต่ดูไม่มีอะไรที่จะเป็นไปไม่ได้ในเมื่อมีรื่นอยู่ด้วย หล่อนได้มาได้เห็น และได้รับทุกสิ่งทุกอย่างที่ปากน้ำโพจะพึงมีให้ ถึงกระนั้นมันก็มิใช่ทั้งหมดของจุดหมายปลายทางแห่งชีวิต บางกอกยังอยู่ไกลออกไป..... บางกอกซึ่งเพียงแต่ชื่อของมันทำให้หล่อนใจเต้นระทึก นึกและคิดวาดภาพ ถึงปราสาทราชมนเทียรยอดแหลมสล้างระดะฟ้าอย่างที่ป้าแคล้วเคยเล่าให้ฟัง เมื่อกลับจากนมัสการพระปฐมเจดีย์ หล่อนไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลาสักกี่ปีจึงจะไปนครหลวงแห่งนั้น แต่ช้านานเพียงใดก็ตามจะต้องไปให้ถึงจนได้ สุดใจมั่นใจเหลือเกินว่า หล่อนจะไปถึง แม้มิใช่ด้วยเหตุอื่นใด ก็เพราะรื่นรับคำไว้เช่นนั้น !

จนกระทั่งลมเหนือเริ่มพัด อากาศเริ่มหนาว และฝูงปลาสร้อยเริ่มขึ้น รื่นจึงพาสุดใจออกเรือมากับเรืองและแวว ขณะที่ตลาดปากน้ำโพจวนวาย น้ำลดลงทุกทีพอที่จะกำหนดการเดินทางถึงกำแพงเพชรได้สบาย ๆ ภาย ใน ๕ คืน ๖ วัน สำหรับเรือชะล่ากาบแป้น ๒ ถ่อของเขา

– ๒ –

ข่าวต่าง ๆ รอคอยรื่นอยู่ที่บ้านในทันทีที่ไปถึง ชั่วเวลาเพียงเดือนครึ่งที่เขาจากไป โจรผู้ร้ายซึ่งสงบเงียบมาช้านานในเมืองนั้นกลับปรากฏชุกชุมขึ้นอีก เริ่มต้นขึ้นในท้องที่อำเภอพรานกระต่ายก่อนแล้วก็ลุกลามข้ามฟากมาถึงลานดอกไม้ บ้านไร่ ปากคลองและตำบลใกล้เคียง วัวควายที่ชาวบ้านเคยปล่อยให้ออกมาหากินแต่ลำพัง โดยไม่ต้องมีคนเลี้ยงเสี่ยงต่อการถูกต้อนไปไม่เว้นแต่ละวัน จนกระทั่งไม่มีใครกล้าปล่อยออกจากคอก แต่แรกเหตุเกิดเพียงทุ่งและป่าชั้นนอก ยิ่งนานวันก็ยิ่งใกล้เข้ามา จนกระทั่งแม้นอกรั้วหลังบ้านก็ไม่เป็นการปลอดภัย รายหลังที่สุด วัวของแขกปาทาน ซึ่งย้ายจากระแหงลงมาตั้งภูมิลำเนาอยู่ใหม่ในดงตาล หลังวัดพระบรมธาตุ ถูกต้อนไปทั้งฝูง ก่อนหน้าเขาขึ้นมาถึงบ้านได้เพียง ๓ วัน

ถึงกระนั้นข่าวนี้ก็ยังไม่เป็นที่รบกวนใจรื่น เท่ากับข่าวพะโป้ขยายเขตสัมปทานป่าไม้ จากฝั่งเหนือของคลองสวนหมาก ข้ามมาหนองปีกไก่ จนกระทั่งครอบงำหมดทั้งป่าโป่งน้ำร้อน

“ไหนว่าพะโป้ได้แต่สัมปทานไม้สัก ฝั่งเหนือคลองสวนหมาก ?” เขาตั้งกระทู้กับผู้ใหญ่พูน ซึ่งให้ข่าวนั้นในเย็นวันหนึ่ง เมื่อแวะไปเยี่ยมและนำของฝากไปให้ “โป่งน้ำร้อนมีอะไร นอกจากสักที่ยังไม่ได้ขนาด ยาง ตะแบก เสลา กว้าว แล้วก็พยุง”

“ยังไงก็ไม่รู้ได้” ผู้ใหญ่พูนบอก “เห็นพวกคลองเหนือว่ากันอย่างนั้น พวกบ้านไร่ ท่าขี้เหล็ก นาบ่อคำ กะคนบ้านเราที่เคยออกไปตัดหวาย ทำไต้ ตักยาง ได้รับคำสั่งห้ามขาด ไม่ให้เข้าไปตั้งปางในบริเวณป่าโป่งน้ำร้อนอีกต่อไป”

“ใครเป็นคนออกคำสั่ง ?” สีหน้ารื่นตึงเครียด “นายห้างหรือทางเมือง”

“ไม่ใช่ นายเสถียร ผู้จัดการภาคคนใหม่ของพะโป้”

รื่นโคลงศีรษะอย่างอัศจรรย์ใจ “ไม่เคยรู้จัก” เขาบอก “ไม่เคยได้ยินชื่อ แต่ผู้จัดการภาคของพะโป้หรือไม่ใช่ไม่สำคัญเท่ากับว่าทางอำเภอ หรือคณะกรมการจังหวัดปิดประกาศบอกกล่าวให้ราษฎรรู้กันหรือเปล่า ?”

ผู้ใหญ่พูนกระสับกระส่าย แกไม่มีความรู้เลยในเรื่องนั้น อันที่จริงแกเกือบไม่มีความรู้อะไร นอกจากการเป็นผู้ใหญ่บ้านของแก เพราะทางอำเภอคัดเลือกแล้ว หาใครดีกว่านั้นไม่ได้ในปากคลอง และชาวบ้านรักหรือสงสารแกก็เพราะว่า นอกจากเป็นคนธัมมะธัมโมแล้ว ยังอ่อนพอที่ใครต่อใครจะใช้เป็นลูกมือได้แม้จนกระทั่งเมีย

“ผู้ใหญ่เป็นหัวหน้าบ้านนี้ เมื่อลูกบ้านมีเรื่องเดือดร้อน ไม่ว่าจะเกี่ยวกับโจรผู้ร้ายหรือทางอาชีพ ผู้ใหญ่ก็ควรจะรีบหาทางแก้ไขอย่างหนึ่งอย่างใดลงไป” รื่นว่า

“ก็รื่นจะให้ฉันจัดการอย่างไร ?” สีหน้าผู้ใหญ่พูนไม่สบายเสียเลย

“ขอแรงลูกบ้านช่วยกันปราบปรามพวกผู้ร้ายขโมยควาย ปล้นสดมภ์เหล่านั้น.....”

“เกิดเรื่องทีไร ฉันตีเกราะเคาะกลองแทบล้มประดาตาย ไม่เคยมีหมามาสักตัว”

“งั้นก็รายงานขึ้นไปให้นายอำเภอท่านรู้” เสียงของรื่นชักจะพื้นเสีย “ถึงเรื่องคำสั่งของนายเสถียรนั้นก็เหมือนกัน ระเบียบราชการเป็นอย่างไรผู้ใหญ่ควรจะรู้นี่ อยู่ ๆ ใครต่อใครจะเที่ยวมาหวงห้ามกีดกันป่าไม้ไร่นา ที่ชาวปากคลองกับบ้านใกล้เรือนเคียงเคยทำมาหากินมาแต่ครั้งปู่ย่าตายาย โดยไม่มีหมายประกาศบ้านเมืองมาก่อนได้อย่างไร ?”

“ก็ต่างว่านายห้างเขาได้สัมปทานไว้ก่อน ?”

“อย่างน้อย พะโป้ก็จะต้องบอกเล่าเก้าสิบให้พวกเรารู้ล่วงหน้า อัธยาศัยใจคอของเขาเป็นอยู่อย่างไร ผู้ใหญ่น่าจะรู้ดีกว่าฉันนี่”

สีหน้าของผู้ใหญ่พูนยิ่งยุ่งยากใจหนักขึ้น “ก็นั่นน่าซี แต่นายเสถียรเขาบอกนี้ ว่าได้รับคำสั่งมาจากนายห้างมาอีกต่อหนึ่ง”

“ใครกันนายเสถียร ผู้จัดการภาคคนนี้ ?”

“เพิ่งมาแทนหม่องกะเมยผู้จัดการภาคคนเก่า ซึ่งย้ายไปประจำที่คลองจ้าว อายุรุ่นราวคราวเดียวกับพ่อรื่นเห็นจะได้กะมัง เห็นเขาว่าเป็นคนกรุงเก่าหรือกรุงเทพฯ ไม่รู้ได้ บริษัทป่าไม้ฝรั่งที่ปากน้ำโพส่งตัวขึ้นมา”

สายตาของรื่นมองข้ามทิวต้นตะขบฝรั่งริมรั้วออกไปกลางแม่น้ำ คิ้วทั้งคู่ขมวดเข้าหากันอย่างครุ่นคิด นิ่งอยู่สักครู่ก็ถอนใจหันกลับไปหาคู่สนทนา

“ผู้ใหญ่” เขาเรียก “ฉันอยากจะขอร้องอะไรสักอย่าง”

“ว่ามาเถอะรื่น”

“พรุ่งนี้ข้ามไปเมือง เรียนถามนายอำเภอท่านดูทีเถอะเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฉันแน่ใจเหลือเกินว่าพะโป้ไม่ได้สัมปทานข้ามฟากคลองสวนหมากมาฝั่งใต้ถึงโป่งน้ำร้อนแน่”

“แต่.............แต่เคยมีคนเขาร้องเรียนไปแล้วนะรื่น ไม่เห็นนายอำเภอท่านว่าอย่างไร”

“งั้นทำไมไม่ร้องให้ถึงท่านเจ้าเมืองล่ะ ?”

“ท่านกำลังป่วยลงไปรักษาตัวที่บางกอก”

“พะโป้ล่ะ ?”

“นายห้าง ยังไม่กลับจากนมัสการพระตะโก้ง”

“เพราะฉะนั้นจึงไม่มีใครที่พวกเราจะหันหน้าไปพึ่งได้!” รื่นถอนใจนิ้วที่คีบบุหรี่มวนใบตอง ซึ่งยังไม่ได้ขุดคลึงเล่นกับฝ่ามือ “ดีละ ผู้ใหญ่ ฉันจะบอกให้ฟังว่า ฉันจะทำอย่างไรต่อไป พวกตัดไม้บ้านเราบ้านไร่และคลองเหนือหลายคน รับเงินล่วงหน้าฉันไว้เป็นค่าตกไม้ และตัดไม้สำหรับน้ำหน้า บางคนซื้อเกวียนซื้อควาย บางคนให้ค่าจ้างลูกมือไปแล้วก็มีเตรียมเข้าโป่งน้ำร้อนแล้งนี้ทั้งนั้น อย่างที่เคยเข้ามาแล้วในปีก่อน ๆ เขาจะคงเข้าต่อไป ถ้าไม่มีใครกล้าฉันเองจะไปด้วย”

“นั่น.. ....นั่นมันหมายถึงเกิดเรื่องนะรื่น” ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงของผู้ใหญ่พูนบอกความตื่นเต้นเต็มที่ “มันจะกลายเป็นคดีฟ้องร้องกัน ฉันลืมเล่าให้ฟังว่าเดือนก่อนนี้เอง เจ้าลีกับนางสีดาคนบ้านไร่ เพียงแต่เข้าไปหาเปลือกสีเสียดและตัดหวายมาสำหรับผูกคอควายเท่านั้น ถูกนายเสถียรเขาปรับตั้งกึ่งตำลึง ไม่มีเงินให้เจ้าคนงานก็ยึดเอาควายไว้จนต้องเอาเงินไปไถ่ มันพากันมาบอกฉัน ๆ ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร นายอำเภอกะนายเสถียรชอบพอกันยังกะเพื่อนเกลอนี่ เชื่อฉันดีกว่ารื่น อย่าไปหาเรื่องกะเขาเล้ย”

บุหรี่ใบตองมวนนั้นแหลกคาฝ่ามือไป เมื่อผู้ถือค่อยๆ กดขยี้จนเส้นยากระจาย

“ฉันรู้ว่าผู้ใหญ่ตักเตือนเพราะเจตนาดีต่อฉัน” รื่นพูดช้าๆ นัยน์ตาทั้งคู่เป็นประกาย “แต่ไม้ในป่าโป่งน้ำร้อนจะเป็นชีวิตของฉันกะคนบ้านนี้ต่อไป หะแรกที่ออกสำรวจเมื่อปีกลาย ใคร ๆ ก็รู้กันทั่วทั้งปากคลองแม้กระทั่งพะโป้ ว่าฉันตั้งใจจะทำป่านั้น แต่ใคร ๆ ก็ไม่เห็นคัดค้านหรือแสดงความขัดข้อง นอกจากส่ายหน้าว่ามันไกล จนกระทั่งเจ้าทัดกะเจ้าเวกตัดทางลากไม้ให้ฉันตามด่านเก่าออกท่าขี้เหล็กได้ จึงเห็นกันถึงค่าของป่านั้น ปัญหาเวลานี้อยู่ที่สัมปทานของพะโป้กินมาถึงโป่งน้ำร้อนหรือเปล่า จนกว่าจะสืบได้ความแน่ชัดอย่างหนึ่งอย่างใดลงไป เราจะตัดไม้ ตัดหวาย ตักยาง ขี้ผึ้ง และทำไต้ อย่างที่พวกปากคลองและบ้านไร่ได้เคยทำกันมาแล้วแต่ครั้งปู่ย่าตายายก่อนฉันมาอยู่เสียด้วยซ้ำไป ผู้ใหญ่ย่อมจะรู้ข้อนี้ดี”

“งั้นก็รอให้เจ้าเมืองท่านหายป่วย หรือพะโป้กลับจากตะโก้งเสียก่อนไม่ได้หรือ รื่น ?” นัยน์ตาของผู้ใหญ่พูนบอกความวิงวอน

“ฤดูกะดินฟ้าอากาศ มันรอได้หรือผู้ใหญ่ ?” เขาหันไปถามด้วยเสียงเรียบ ๆ แต่จากประกายอันเยือกเย็นที่ปรากฏอยู่ที่นัยน์ตา ผู้ใหญ่พูนรู้ดีว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่แกจะไปขัดทัดทานเจตนาของเขาไว้ “การทำมาหากินยั้งกันได้เมื่อไร ทุกคนต้องกินเข้าไปทุกวัน ฉันรับรองได้แต่ว่าปรากฏแน่ชัด จากประกาศกรมการจังหวัดหรือหลักฐานว่า สัมปทานของพะโป้ กินมาถึงป่าไม้กระยาเลยและเบญจพรรณในโป่งน้ำร้อนด้วยเมื่อไร ฉันจะย้ายออกทันที แต่ก่อนถึงเวลานั้น ฉันไม่ฟังคำสั่งหรือประกาศใครนอกจากหัวใจของฉันเอง....”

เมื่อข่าวการตกลงใจของเขาแพร่สะพัดออกไป บรรดาชาวบ้านส่วนใหญ่ ตั้งแต่คลองหนือ บ้านไร่ คลองใต้และวังยาง ซึ่งได้อาศัยโป่งน้ำร้อนเป็นที่ยังชีพของตน ตลอดฤดูแล้ง ต่างก็ทยอยกันเข้ามาหารื่นแสดงความชื่นชมยินดี และสนับสนุนอย่างเต็มที่

“พวกเราก็คิดอย่างพี่รื่น ว่าเขตป่าไม้ของพะโป้คงไม่ถึงโป่งน้ำร้อน” เจ้าแอนคนเก่าแก่ของบ้านไร่ทำหน้าที่เป็นหัวหน้า “ถามป้าแคล้วป้าแมวหรือลุงพินดูก็ได้ อยู่ปากคลองมากว่า ๒๐ ปี เคยได้ข่าวว่าพะโป้ให้คนงานลากไม้จากป่าโป่งน้ำร้อนซักต้นมั้ย ? ลำพังป่าใหญ่ไม้สักทางท่ากระดาน ห้วยอีโก้งกะคลองสมุย ทำไปชั่วชีวิตพะโป้กะลูกหลานก็ไม่หมด ทำไมจะต้องมาเปิดป่าใหม่ ถูกของพี่รื่น โป่งน้ำร้อนเป็นที่หากินทางของป่าของพวกบ้านเรามาชั่วชีวิตปู่ย่าตายาย เราจะต้องใช้เป็นที่หากินต่อไป ขอให้พี่รื่นนำเถอะ พวกเราไปด้วย นายเสถียรก็นายเสถียร พะโป้ก็พะโป้ เจ้าเมืองก็เจ้าเมือง...”

“มันจะมากไป อ้ายแอน” เสียงขุ่น ๆ ของป้าแคล้วขัดขึ้น “อย่ามาทำเหมือนถึงอยู่เวียงจันทน์หน่อยเลย ฟังทิดรื่นเขาดีกว่า”

“อย่าไปคิดหาเรื่องกับใคร เคยทำมาหากินมาแต่ก่อนอย่างไร ทำต่อไปอย่างนั้นก็แล้วกัน” รื่นบอก

– ๓ –

แต่ก่อนที่ครัวใด จะทันออกป่าในแล้งนั้น สัญญาณอันตรายครั้งแรกจากนายเสถียรก็มาถึงรื่น โดยผ่านผู้ใหญ่พูน

“เขาให้ฉันบอกรื่นว่า ใครก็ตามที่เข้าไปตั้งปางอยู่ในโป่งน้ำร้อนแล้งนี้ เข้าไปด้วยการเสี่ยงภัยของตนเอง” แกเล่า “เขาว่า เกิดเหตุอะไรขึ้นระหว่างชาวบ้านเรากับพวกคนงานป่าไม้เหล่านั้น เขาจะไม่รับผิดชอบเป็นอันขาด เพราะประกาศให้รู้ทั่วกันแล้วว่า ไม้ป่านั้นอยู่ในเขตสัมปทานพะโป้นายจ้างของเขา”

“เดี๋ยวนี้เราจะต้องอยู่ใต้กฎหมายของนายเสถียรแทนกฎหมายบ้านเมืองเสียแล้วหรือผู้ใหญ่ ?” เสียงของรื่นเย็นและกร้าว เหมือนเสียงเหล็กกล้ากระทบกัน “อย่าลืมว่าบ้านเมืองมีขื่อมีแป ถ้าพะโป้มีสิทธิ์ทำป่าไม้นั้นจริง และถือว่าเราบุกรุกเข้าไปอย่างนายเสถียรว่า ผู้ที่จะมาออกคำสั่งปรับจับกุมหรือพิพากษาโทษอยู่ที่คนของหลวง ไม่ใช่คนงานของนายเสถียร........”

รื่นเตรียมเกวียน เตรียมควาย เสบียงอาหาร ขวาน และเครื่องมือต่างๆ ซึ่งจำเป็นแก่การงานในป่าของเขา เพราะรู้ดีว่า ในทันใดที่ข่าวซึ่งผู้ใหญ่พูนมาบอกแพร่ออกไป อย่างไรเสียก็คงจะก่อให้เกิดความระส่ำระสายขึ้นในระหว่างพวกตัดไม้ของเขา และชาวบ้านไร่ปากคลองผู้รักสงบบ้างไม่มากก็น้อย เว้นไว้แต่เขาจะเป็นผู้ไปในขบวนนั้นด้วย ซึ่งก็เป็นความจริง

“คนบ้านนี้เป็นยังไงนะพี่รื่น ?” เรืองบอกเขาวันหนึ่ง ขณะที่กินข้าวเย็นอยู่พร้อมกัน “ตอนแรกเห็นพร้อมเพรียงแข็งขันว่า เอาไงเอากัน พอรู้ว่านายเสถียรเตือนมาอีกเท่านั้นแหละ ชักรวนเรไปตาม ๆ กัน เจ้าสาทำท่าจะป่วย อ้ายแอนถึงกะจะเลิกล้มความคิดเข้าโป่งน้ำร้อน แต่แล้วก็ฮึดขึ้นมาอีก เมื่อรู้ว่าพี่รื่นไปด้วยแน่”

รื่นได้ฟังก็หัวเราะหันไปหาสุดใจ

“นั่นแหละ ที่ข้าเคยบอกเอ็งไว้แต่แรก สุดใจ”

ทุกคนสงสัย หันไปดูสองผัวเมียเป็นตาเดียว

“เจ้าทิดมันบอกอะไรเอ็ง นางใจ ?” ป้าแคล้วสงสัย

หลานสาวได้ฟังก็หน้าแดงขึ้นมาทันที

“เขา.....เขาว่าที่นี่น่ะ อะไรๆดีทุกอย่าง เสียแต่ขาดหัวหน้า” หล่อนบอก “เพราะฉะนั้นเขาจึงมาเพื่อจะเป็นนาย”

เหมือนพ่อเหมือนลูก เป็นพิมพ์เดียวกัน ! แม่เฒ่าครุ่นคิดอยู่ในใจ นัยน์ตาเชื่อมไปด้วยความสุข และความภาคภูมิตลอดเวลาเหล่านั้น ตั้งแต่เหตุการณ์เกิดขึ้น แกไม่เคยคัดค้านหรือทักท้วงการตัดสินใจของหลานเขย นอกเหนือไปจากการตักเตือนแนะนำบางประการ ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่งานของเขาต่อไป

“อย่าไว้ใจมันนัก คนบ้านนี้น่ะ” แกเคยบอก “ขี้ขลาดตาขาวเท่านั้น รวนเรหรือเหมือนลิง ดีแต่โว เวลาเอาจริงเอาจังเข้าแล้ว เป็นหัวหดไปตาม ๆ กัน”

รื่นรู้ว่าชีวิตในชนบทที่สงบ และชาวชนบทอพยพมาตั้งภูมิลำเนาอยู่จากภาคต่าง ๆ กันเช่นนั้น ต่างคนต่างปราศจากถิ่นฐานดั้งเดิมที่จะหวงแหน ปราศจากเกียรติประวัติของครอบครัวที่จะภาคภูมิ และอนาคตที่จะฝันถึง ฉะนั้นจึงไม่มีความทะเยอทะยานใด ๆ ในการก่อร่างสร้างตัว นอกจากอยู่และกินไปวันหนึ่ง ๆ และการดิ้นรนต่อสู้กับสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ยังพอมีทางหลีกเลี่ยงได้ ก็พยายามห่างไกลจนกลายเป็นนิสัยติดตัว แต่ครั้งหนึ่งที่ต่างสำนึกถึงสิ่งเหล่านั้น และค่าอันสูงของมันที่จะต้องรักษาไว้ ทุกคนก็ย่อมจะพยายามให้ความคุ้มครองป้องกันอย่างสุดชีวิต ตามวิสัยและสัญชาตญาณของมนุษย์ทั่วไป

อย่างเงียบ ๆ และปราศจากความเร่งร้อน เขาเตรียมการของเขาต่อไป เปลี่ยนดุมและกงล้อใหม่ ซื้อควายเพิ่มขึ้นอีก ๒ คู่ คราวนี้สุดใจกะลูกจะต้องอยู่บ้าน การอ้อนวอนและอ้างเหตุผลของหล่อนเพียงไร ก็ไม่สามารถจะเปลี่ยนเจตนาอันเด็ดเดี่ยวของเขาได้

“งั้นก็เอาจำปาไป จะได้ช่วยหาข้าวหาปลาทางปาง” หล่อนยอมจำนนในที่สุด

“ไม่จำเป็น” รื่นยังคงยืนยัน “นี่เป็นงานของพวกผู้ชาย ให้พวกผู้ชายเขาทำกัน อ้ายเรืองเฝ้าบ้าน อ้ายแววกะอ้ายพันไปกะข้า อย่าเป็นห่วงเลย เอามันไว้เป็นแรงทางไร่เกาะดีกว่า”

อากาศเริ่มอบอุ่นขึ้น หลังจากฤดูหนาวผ่านไป ต้นไม้ในป่าและสองฝั่งแม่ปิงผลิใบอ่อนเขียวชอุ่ม เมื่อใกล้กำหนดของการออกป่า ข่าวโจรผู้ร้ายที่ซาไปชั่วคราว ก็กลับฮือขึ้นอีกทางฝั่งตะวันออก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในท้องที่อำเภอพรานกระต่าย ซึ่งเกือบจะเป็นของธรรมดาสำหรับอู่ข้าวกำแพงเพชร ในทุกฤดูแล้งและสำหรับหมู่บ้านตำบลที่แยกย้ายกระจัดกระจายกันอยู่อย่างอำเภอนั้น

“บ้านเราอยู่ใกล้ชิดเกินไป ที่จะมีผู้ร้ายก๊กไหนเข้าปล้น” เขาบอกเรือง “แต่เพื่อไม่ประมาท เอ็งเอาอ้ายดาวกระจายที่ข้าซื้อมาใหม่จากปากน้ำโพไว้ อย่าไปหวังพึ่งผู้ใหญ่พูน หรือพึ่งใคร พึ่งมือกะปืนในมือของเอ็ง........”

ในที่สุดวันออกป่าก็มาถึงตามกำหนดนั้น อ้ายแอนจะพาพวกบ้านไร่ไปคอยอยู่ที่นาน้ำลาด ส่วนพวกวังยางคอยสมทบอยู่ที่วังกระทะ กะประมาณคนทั้งหมดไม่ต่ำกว่า ๒๐ ครัวเรือน รื่นตื่นแต่เช้า กินข้าวแล้วหยอกล้อเล่นกับลูก รอแววและพันเอาของขึ้นเกวียนอยู่ ทันใดนั้นเองผู้ใหญ่พูนกระหืดกระหอบไปถึง

“รื่น” หน้าที่สมบูรณ์ไปด้วยเลือดฝาดของแกซีดและเต็มไปด้วยความตื่นแต้น “นายเสถียรกำลังมาที่นี่”

เขาส่งลูกคืนให้สุดใจทันที “นายเสถียรมาที่นี่ ?” สีหน้าของเขาบอกความอัศจรรย์ใจ “มาทำไม ?”

ขณะนั้นเอง ร่างสูง ๆ ของชายคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่ทางเดินริมมุมรั้ว รื่นไม่สามารถจะสังเกตหน้าตาและเครื่องแต่งตัวได้ถนัดนัก นอกจากเสื้อกุยเฮงขาว ผ้านุ่งสีเทา ๆ และผ้าขาวม้าตาหมากรุกเคียนพุง จนกระทั่งร่างนั้นก้าวเข้ามายืนเกาะกรอบประตูรั้วนิ่งอยู่ราวอึดใจหนึ่ง จึงแลเห็นหน้ากันถนัดเป็นครั้งแรก

มือของรื่นกำแน่นถอนหายใจแรง ก่อนที่จะก้าวออกไปเกาะเสาราวลูกกรงบันไดไว้

“เชิญบนเรือนครับ นายเสถียร” เขาบอก “เชิญข้างบน”

คิ้วที่ดกและดำคู่นั้น เลิกขึ้นไปสู่หน้าผากที่ค่อนข้างเถิกและกว้าง ริมฝีปากหนาใต้หนวดซึ่งขลิบไว้อย่างหมดจด แม้จะเผยอจากกันก็มิได้ส่วนกับคางสี่เหลี่ยมเลย คางนั้นบอกความเข้มแข็งของจิตใจ จนเกือบจะกลายเป็นเหี้ยมเกรียม ตรงกันข้ามกับลักษณะของขากรรไกร ซึ่งอ่อนแอและนัยน์ตาเจ้าความคิด แต่ชั่วชีวิตของเขา รื่นยังไม่เคยเห็นยิ้มของชายใดจะเต็มไปด้วยปริศนา เหมือนยิ้มที่เต้นระรัวอยู่บนใบหน้าของชายผู้นี้ ในขณะนั้น อีกใจแรกดูเหมือนจะบอกถึงความเป็นมิตร แต่อึดใจต่อไปกลับกลายเป็นยิ้มของผู้มีอำนาจ ––––– ยิ้มของผู้ชายเกิดมาสำหรับจะบังคับบัญชาคน มากกว่าจะเป็นผู้อยู่ในโอวาทหรือเชื่อฟัง

“เรารึ––รื่น ?” เสียงของเขานุ่มนวลเหมือนเสียงผู้หญิง จนกระทั่งรื่นเองก็แปลกใจ เมื่อเปรียบกับลักษณะทั้งหลายแหล่ และร่างซึ่งสูงขนาดรื่น บางทีจะสูงกว่าด้วยซ้ำไป

“ครับ ผมแหละรื่น”

นายเสถียรก้าวข้ามธรณีประตูรั้วเข้ามาอย่างเนิบๆ และช้า ราว ๔–๕ ก้าวก็หยุดยืน ยกมือทั้งสองขึ้นท้าวสะเอวอยู่กลางลานบ้าน

“ฉันอยากจะพูดอะไรด้วยสักหน่อย”

“เชิญข้างบนเถอะครับ” รื่นบอกอีก “เชิญข้างบน”

นายเสถียรสั่นศีรษะน้อยๆ ยิ้มยังไม่หายไปจากใบหน้า

“ช่างเถอะ ไม่เป็นไร ข้างล่างก็ได้”

“ตามใจ”

ทั้ง ๆ ที่สายตาต่างจับอยู่ที่ใบหน้าของกันและกัน และทั้ง ๆ หูแว่วได้ยินเสียงกลั้นใจดังมาจากสุดใจ และผู้ใหญ่พูนที่ระเบียงหลัง รื่นก้าวลงบันไดไปสู่ลานบ้านเผชิญหน้ากับชายผู้สัญชาตญาณเตือนบอกแต่วินาทีแรกว่า เป็นบุคคลที่เขาพึงระมัดระวังตัวให้มากยิ่งกว่าคู่ปรับใด ๆ ที่เขาเคยได้พบและผ่านมาแล้ว

“ฉันเห็นแล้วว่าเรากำลังจะออกป่า” สายตาของเขากวาดไปที่เกวียน ซึ่งแววและพันกำลังยืนคอยอยู่อย่างเคร่งเครียด เรือง จำปา และป้าแคล้วออกมายืนออกันอยู่ที่หน้าประตูครัว “ฉันรู้ด้วยว่าเราจะเข้าไปตัดไม้ในโป่งน้ำร้อน พร้อมกับใครต่อใครในบ้านไร่ วังยางและที่นี่....”

“ครับ เราเคยทำกันอย่างนั้นมาทุกปี” รื่นมิได้เปลี่ยนสีหน้าที่สงบ และน้ำเสียงซึ่งปรกติให้ผิดแปลกไป

ยิ้มละไมอย่างเป็นมิตร และผู้มีอำนาจวาสนาเต้นอยู่ในตาดำซึ่งเป็นประกาย

“เมื่อฉันได้ข่าวว่า คำสั่งและประกาศของฉันไม่ให้ใครเข้ามาเกี่ยวข้องกับป่านั้นไม่ได้รับความเอาใจใส่ ทีแรกก็แปลกใจ เพราะไม่มีใครทั้งคลองเหนือคลองใต้บ้านไร่ท่าขี้เหล็กทุก ๆ แห่งแหละ........จะฝ่าฝืน แต่มาเห็นแล้ว ฉันก็เข้าใจ เราไม่ใช่ คนบ้านนี้ไม่ใช่รึ ?”

“ครับ ผมมาจากที่อื่นอย่างนายเสถียรเหมือนกัน”

“ฉันเป็นคนกรุงเก่า”

“ผมเป็นคนวังแขม”

มือข้างหนึ่งซึ่งท้าวสะเอวอยู่ลดลง กำเข้าแล้วก็คลายออก ในที่สุดก็ถอนใจ

“รื่น” เสียงของนายเสถียรเย็นเมื่อเอ่ยนามนั้น “เรากับฉันไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลยในชีวิต ฉันเองเป็นคนชอบคบมิตรมากกว่าจะหาศัตรู เราต่างคนต่างเพิ่งมาอยู่ที่นี่ ฉันได้ฟังกิตติศัพท์รื่นมานาน เพิ่งจะได้เห็นรื่นวันนี้ก็ชักจะชอบใจ เราควรจะเป็นเพื่อนกันต่อไปได้ ไม่ใช่หรือรื่น ?”

“ครับ มันควรจะเป็นอย่างนั้น”

“งั้นก็เชื่อฉัน รื่น เลิกเข้าไปเกี่ยวข้องกับป่า ๆ นั้น ฉันมีงานอื่นจะให้รื่นทำ เลือกเอาเถอะ จะเบิดป่าแม่ระกา หรือจะค้าไม้ท่อน ฉันยินดีที่จะให้ความช่วยเหลือทุกอย่าง”

“ขอบใจครับ นายเสถียร แต่ผมเลิกไม่ได้”

คิ้วคู่นั้นขมวดเข้าหากันอย่างอัศจรรย์ใจ “เพราะอะไร ?”

“เพราะที่นี่ไม่เพียงแต่จะเป็นชีวิตของผม ลูกเมียของผมเท่านั้น แต่มันเป็นชีวิตของเพื่อนบ้านทั่วไปด้วยทั้งคลองเหนือ บ้านไร่ คลองใต้ วังยาง”

“พะโป้ยังต้องการลูกจ้างอีกมาก ลำพังคนงานกะเหรี่ยงที่มีอยู่ยังไม่พอ ฉันเป็นธุระให้ในเรื่องนั้น”

รื่นส่ายหน้าไปมาอย่างอ่อนใจ “คุณเสถียรยังไม่เข้าใจ” เขาพยายามอธิบาย “เราต้องการเป็นนายตัวของเราเอง ไม่ใช่ลูกจ้าง คนบ้านนี้ก็ดี ผมเองก็ดี เคยใช้ชีวิตอย่างนี้มานานแล้ว เลิกไม่ได้ เปลี่ยนไม่ได้ มันเหมือนกับต้นไม้ ลงรากแก้วฝังลึกเสียแล้วก็ยากที่จะถอนได้”

นัยน์ตาอันคมของเจ้าความคิดคู่นั้น สอดส่ายเข้าไปในดวงตาซึ่งแลจับใบหน้าเขานิ่งอยู่ตลอดเวลา เหมือนจะพยายามแสวงหาข้อเท็จจริง หรือจุดอ่อนอะไรสักอย่างหนึ่ง ครั้งแล้วก็เบือนหลบไป ชำเหลืองเหลียวดูทั่วบริเวณบ้าน เขารู้ดีอย่างผู้ที่ผ่านชีวิตโชกโชนมาแล้วเช่นเดียวกันว่า เขาไม่มีวันจะหาสิ่งที่เขาต้องการจากดวงตาคู่นั้น รู้ดีว่ารื่นไม่มีวันจะเปลี่ยนเจตนาอันแรงกล้าของเขา

“รื่นมีบ้านที่น่าอยู่” เขาเอ่ยเบา ๆ สายตากวาดไปจนแลเห็นร่างของสุดใจยืนแอบอยู่บนระเบียงเรือน “มีเมียที่น่ารัก ควรที่จะมีสุขไปได้ตลอดชีวิต....” ถอนใจแล้วก็หันขวับ กลับมาเผชิญหน้าอีก “คิดเสียใหม่ให้ดี รื่น คิดเสียใหม่”

“ผมคิดมาหลายคืนแล้วก่อนวันนี้” คำตอบคงเป็นอย่างเดิมอยู่นั่นเอง “โป่งน้ำร้อนเป็นแหล่งหากินของพวกบ้านนี้มาแต่ไหนแต่ไร เราจะไม่ปล่อยให้มันหลุดมือไป เพราะว่ามีใครคนใดคนหนึ่งไม่ประสงค์จะให้เราเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเท่านั้น”

“เราพูดกันมามากแล้วในเรื่องนี้ ไม่เห็นมีประโยชน์อะไร ไป ๆ มา ๆ ในที่สุดก็กลับมาตั้งต้นใหม่อีก” นายเสถียรหันกลับช้า ๆ ตั้งท่าจะออกเดิน แต่หวนกลับมายืนอยู่ในท่าเดิมอีกครั้ง กิริยาท่าทางของผู้มีอำนาจวาสนาปรากฏอย่างเต็มที่ “อย่าลืมว่าฉันเตือนเราแล้วรื่น อย่าลืมด้วยว่า ฉันต้องการเป็นเพื่อนมากกว่าศัตรู!”

ต่อจากนั้นก็หันกลับ ก้าวด้วยขาอันยาวออกจากประตูไป

ชั่วครู่ใหญ่ ๆ ชายหนุ่มยังคงยืนอยู่ที่นั่น อัศจรรย์ในความใจเย็นของตนเอง เท่า ๆ กับกระแสเสียงอันเต็มไปด้วยความคุกคามในประโยคสุดท้ายของชายผู้จากไป สุดใจวิ่งปราดลงไปหาเขา ในทันทีที่ร่างของนายเสถียรลับประตูรั้ว เกาะแขนสามีไว้แน่น

“เขาว่าอย่างไรกะพี่รื่น ?” เสียงของหล่อนตื่นเต้นจนเกือบเป็นกระหืดกระหอบ “อยู่ข้างบนได้ยินบ้างไม่ได้ยินบ้าง”

“ให้วางมือเสียจากงานทุกอย่างที่เราตั้งต้นไว้ แล้วไปเป็นลูกจ้างของเขา” รื่นหัวเราะร่า “เองฟังดูเห็นเป็นอย่างไร ?”

สีหน้าของหล่อนไม่สบายใจ

“แน่ใจหรือพี่รื่น ว่าออกป่าคราวนี้จะไม่มีอันตราย ฉันฟังผู้ใหญ่พูนพูดมิหนำซ้ำมาเห็นนายเสถียรเข้าอีก ชักหวาด ๆ แทนยังไงพิกล”

“อย่าไปกังวลเลยสุดใจ ผู้ใหญ่แกคิดมากไปเอง” สามีปลอบเอาใจ “ถึงนายเสถียรก็เถอะ เอาอำนาจราชศักดิ์มาจากไหนหนักหนา ถึงจะเที่ยวฆ่าแกง เที่ยวปรับจับกุมคนเล่นตามใจชอบ...”

“ถูกของอ้ายทิดมัน” ป้าแคล้วยานคางเนิบ ๆ ลงจากหัวบันได “อย่าไปชักใบให้เรือเสีย นางใจ คนอย่างนายเสถียร ลงใครยอมให้ขี่คอเสียหนหนึ่งแล้ว เขาจะขี่ตลอดไป ทุกคนจะไม่มีที่อยู่ในปากคลอง นอกจากที่เขาจะเขียนวงให้.....”

“แต่ที่จริงก็ดูเขาหวังดีต่อรื่น–––” ผู้ใหญ่พูนเอ่ย

ป้าแคล้วหันขวับไปหา นัยน์ตาซึ่งชราของแกลุกเป็นไฟ

“ถ้าเอ็งไม่ใช่คนที่ข้ารู้จักนิสัยใจคอมาเก่าแก่ละก้อ อยากจะว่าสอพลอเอาตัวรอดไปวันหนึ่ง ๆ เท่านั้นแหละวะ ผู้ใหญ่ –– ข้าอยากจะว่าข้าชักจะไม่รู้จักเอ็งขึ้นทุกวันด้วยซ้ำไป––”

“อย่าไปว่าผู้ใหญ่แกเลยจ้ะป้า” รื่นพยายามกลบเกลื่อน “เรื่องมันเกี่ยวกับฉันคนเดียวเท่านั้น––”

เขากลับขึ้นไปบนเรือน เปลี่ยนเสื้อผ้าเครื่องแต่งตัว รับลูกมากอดจูบแล้วส่งให้สุดใจลงไปที่เกวียน

จำปาคอยเขาอยู่ที่นั่น แววและทิมกำลังเทียมควายเข้ากับเกวียนคันถัดไป

“พี่รื่น” หล่อนเรียกเบา ๆ ก้มหน้าก้มตาจัดย่ามและปืนเข้าที่อยู่โดยมิได้หันมามองดูเขา ตลอดเวลาหลายเดือนที่ไม่มีโอกาสอยู่ใกล้ชิดหล่อนแต่ลำพัง ดูผิวพรรณเปล่งปลั่งขึ้นอย่างผิดตา “ทำไมไม่ยอมให้ฉันไปด้วยอย่างสุดใจเขาบอก”

“อย่าวุ่นวายไป จำปา” รื่นกระซิบตอบโดยมิได้หันไปหาหล่อนเช่นเดียวกัน “เอ็งไม่รู้หรอกว่า ตั้งแต่คืนนั้น ข้าต้องการพบเอ็งอีก อยากอยู่กับเอ็งอีกเพียงไร แต่โอกาสมันไม่ให้ รอไว้กลับจากป่าก่อน จำปา เวลาข้างหน้ายังถมไป–––ระวัง! สุดใจกับป้าแคล้วกำลังลงมา––”

ความปรารถนาเก่าๆ ยังคงคุกรุ่นขึ้นมาอีกในทรวงอกของเขาเมื่ออยู่ใกล้หล่อน ความปรารถนาที่เร่าร้อน ซึ่งจะดับได้ก็ด้วยความปรารถนาอันแรงกล้าเช่นเดียวกัน – – ความปรารถนาซึ่งจำปาคนเดียวเท่านั้นจะเข้าใจ และให้ความอิ่มเอมเต็มตามสัญชาตญาณป่าดงพงไพรของเขาได้ อย่างที่สุดใจและหญิงอื่นในชีวิตไม่เคยสามารถจะให้ถึง รื่นรู้ว่าความรักเป็นอย่างหนึ่ง ในขณะที่ความใคร่เป็นอีกอย่างต่อไป แม้กระนั้นเขาก็ไม่เคยพยายามแยกมันออกจากกัน และยอมตัวอยู่ในอำนาจทั้ง ๒ นั้นด้วยความสมัครใจยินดี อย่างชายที่ถือความปรารถนาของตนเป็นพระเจ้าทั่วไป

เขาเหลียวหลังกลับมาดูเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อเกวียนพ้นเขตรั้วออกมาสู่ทางล้อหลังบ้าน ทุกคนยังยืนอยู่ที่นั่น ป้าแคล้วซึ่งผมขาวโพลนทั้งศีรษะ สุดใจและลูกผู้มองตามมาด้วยกิริยาอันเป็นห่วง แล้วก็จำปานุ่งผ้าอ่างหินสีไพล และคาดนมด้วยผ้าแถบลายดอกตะแบก ที่เขาซื้อมาฝากจากปากน้ำโพ ผมปลิวไสว นัยน์ตาลอยเหมือนลูกสุนัขที่ถูกเจ้าของทอดทิ้งไป!

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ