บทที่ ๑๒

– ๑ –

บึงใหญ่ ซึ่งน้ำไม่เคยแห้ง และเต็มไปด้วยกอบัว หยียดยาวจากชานดงเศรษฐีด้านใต้ ไปจนกระทั่งจดหลังดงตาล หน้าพระเจดีย์กลางทุ่งเท่านั้นที่สกัดกั้นทางไฟ ช่วยกู้วัดพระบรมธาตุไว้ได้ ถึงกระนั้นลูกไฟที่ปลิวมาตกลงติดกอหญ้าแห้งในไร่กล้วยของชาวบ้านที่เจ้าของดายทิ้งไว้หลังเขื่อนวัดออกไป ก็ทำให้พระเณรและลูกศิษย์วัด วุ่นวายในการดับกันอยู่พักหนึ่ง

เมื่อรื่นวิ่งผ่านป่าช้า ศาลาวัด และองค์พระบรมธาตุไปถึงหน้าสำนักเหนือ มันเพิ่งจะสงบลงใหม่ ๆ ในขณะเดียวกันเหนือวัดขึ้นไป ดงมะพร้าวทั้งดงที่ปกคลุมหมู่บ้านคลองสวนหมากใต้ไว้ ตระหลบไปด้วยควันไฟตามทางที่เขาผ่าน เต็มไปด้วยเป็ดไก่และสุนัขที่วิ่งพล่าน ชาวบ้านหลายคนอุ้มลูกจูงหลานลงไปหาที่พึ่งจากชายหาดในแม่น้ำหลายคน แบกตุ่ม และที่นอนลงมากองไว้กลางลานบ้าน น้อยคนจะได้คิดหรือรู้ตัวว่าตนกำลังทำอะไร ทุกคนที่แลเห็นเขา สีหน้าเต็มไปด้วยความตื้นตันใจ

“ทำไงล่ะ รื่น? ทำไง” พวกผู้เฒ่าผู้ใหญ่ร้องบอกด้วยเสียงสลด “หมดกันคราวนี้เอง––หมดแน่”

“เกิดมาจากท้องพอท้องแม่ ก็เพิ่งเคยพบเคยเห็นนี่แหละ” ชาวบ้านอีกคนหนึ่งส่ายหน้า “ไฟบ้าไฟบออะไรก็ไม่รู้ ซักหม้อข้าวเดือดได้กระมัง ทิดอินกลับจากป่า บอกว่าไฟไหม้ป่าไผ่วังกระทะ เดี๋ยวเดียวแหละลามมาถึงดงเศรษฐี นาตาเลิศ แล้วก็ดงหญ้าคา ถ้าลมยังแรงอยู่ยังเดี๋ยวก็ถึงที่นี่”

รื่นรู้ ว่าถ้าลมยังพัดแรงอยู่อย่างในขณะนั้น ไม่มีอะไรเลยจะช่วยหมู่บ้านคลองสวนหมากใต้ เพียงหยิบมือเดียวไว้ได้จากเปลวไฟที่พวยพุ่งอยู่หลังม่านควันทางหลังบ้านออกไป เขาพอจะคิดวาดภาพได้ว่า ป่าหญ้าคาป่านั้นจะไม่ผิดอะไรเลยกับแดนนรก ไม่มีอะไรจะสกัดกั้นมันไว้ได้ ไม่มีอะไรจะเป็นเครื่องกีดขวาง มันจะลุกลามแลบเลียไหม้ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ต่อหน้า จนกว่าจะหมดเชื้อ

ขณะนั้นเอง รื่นก็นึกขึ้นได้ถึงทางเกวียนแคบ ๆ สายนั้น มันเป็นทางเส้นเดียวที่กั้นอยู่ ระหว่างป่าหญ้าคาและไร่กล้วยทางทิศตะวันตก กับเหย้าเรือนทั้งหลายทางทิศตะวันออก เขารู้ดีว่า ถ้าสามารถตัดเชื้อเพลิงที่ลูกไฟจะปลิวข้ามมาตกลงติดต่อได้ทันท่วงที ความหวังก็ยังมีอยู่ว่าหมู่บ้านจะรอดพ้นจากความวอดวายไปได้

“ทำไมถึงไม่มีใครคิดตัดต้นไฟ อย่าให้มันลุกลามเข้ามาที่นี่ ?” เขาตะโกน “มัวแต่มาขนของเอาตัวรอดกันอยู่อย่างนี้ เดี๋ยวก็วอดไปด้วยกันทั้งบ้าน พวกผู้หญิงเอาครุตักน้ำช่วยกันสาดหลังคาอยู่ทางนี้ พวกผู้ชายออกไปหลายหลังคากะฝาเรือนริมทางล้อให้หมด––”

“แล้วจะอยู่กันยังไงล่ะ พี่รื่น ?” ใครคนหนึ่งร้องถาม

“เอาไว้มุงกันทีหลัง” เขาร้องตอบ “ขืนปล่อยไว้ ลูกไฟหล่นลงลูกเดียว มึงจะไม่เหลือแม้แต่เสา อ้ายจัน”

เสียงของเขาเรียกขวัญกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวคนพวกนั้น ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ชายหรือหญิง วิ่งพล่านปฏิบัติหน้าที่ต่าง ๆ กัน ตามคำบอกเล่า มิได้เอาใจใส่ต่อควันที่ลอยซ่านตามลมเข้ามา ทำให้แทบสำลักหรือเสียงโผงผางอันเกิดจากไม้ปะทุ

รื่นวิ่ง –– วิ่ง –– และวิ่งต่อไป จนกระทั่งถึงบ้านของ เขาค่อยรู้สึกโล่งใจที่ปรากฏว่า ทุกคนขนของออกมายืนออกันอยู่นอกรั้วบ้านหมดแล้ว ป้าแคล้วนั่งนับโตก พานและขันลงหินของเก่าแก่ที่แกรักและหวงแหน ด้วยกิริยาสงบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น สุดใจยืนอุ้มลูกอยู่ถัดไป ด้วยใบหน้าอันค่อนข้างซีดเพราะความตื่นเต้น เรืองและพันกำลังช่วยจำปาขนชาม จาน หม้อ ไห แม้กระทั่งครกน้ำพริกจากครัวไฟลงมารวมไว้ที่โคนต้นมะม่วงสายทอง

“อ้ายแววไปไหน ?” รื่นร้องถาม

สุดใจได้ยินหล่อนผินหน้ามามองเขา แล้วก็วิ่งเข้ามาหา

“ไปช่วยทางบ้านไร่เมื่อตะกี้จ้ะ พี่รื่น”

สามีได้ฟังก็สบถอยู่ในลำคอ

“คนชิบหาย ! ควรจะเป็นห่วงทางนี้ว่าไม่มีใครกลับไปช่วยอีอุ่นเรือนทางโน้น คนที่คอยช่วยมันหรือทั้งบ้านไร่ –– สุดใจ เอ็งส่งลูกให้ป้า สองคนกับจำปาเอาครุกะสูบฉีดหลังคาบ้านอยู่ทางนี้ อ้ายเรืองอ้ายพันมากะข้า”

เขาพาคนทั้งสองกลับเข้าไปในบ้าน วิ่งผ่านสวนส้มและละมุดออกไปที่ทางเกวียนข้างหลัง ยกมือให้ดูม่านเพลิง ซึ่งกำลังแลบเลียใกล้เข้ามาทุกขณะ

“อย่างมากที่มันจะมาได้ก็แค่ทางล้อนี้เท่านั้น นอกจากลูกไฟจะปลิวไปติดข้างใน” เขาบอก “เอ็งสองคนช่วยกันรื้อหลังคาเพิ่งเก็บหวายกะยุ้งข้าวให้หมด ก่อนที่ไฟมันจะมาถึงไร่กล้วย – –”

เขาวิ่งต่อไปตามทางเกวียนสายนั้น ร้องตะโกนบอกให้ทุกบ้านรื้อหรือทำลายสิ่งซึ่งจะเป็นเชื้อไฟลง และทุกคนก็ปฏิบัติตามจนกระทั่งถึงบ้านผู้ใหญ่พูน

รื่นรู้สึกประหลาดใจ ที่ไม่แลเห็นแกเตรียมขนของ หรือป้องกันแต่อย่างใด ลูกสาวคนใหญ่ลงมายืนเต้นร่าอยู่ที่กลางลานบ้าน ลูกสาวคนรองเดินหน้ามุ่ยกลับไปกลับมา เหมือนไม่มีอะไรจะทำ เมียของแกซึ่งเป็นคนเวียงจันทร์เหมือนกัน นั่งกอดเข่าตาลอยอยู่ที่ประตูรั้ว

“อะไรกัน ริ้ว?” เขาร้องถามด้วยความประหลาดใจ “พ่อเขาไปไหน ถึงไม่ขนของ ไม่เตรียมดับไฟ”

หญิงสาวหยุดเต้น โคลงศีรษะไปมาอย่างอ่อนใจ “โอ๊ย อารื่น ฉันจะเป็นบ้าตาย แม่กะโรยกะฉัน เห็นไฟลามมาถึงดงเศรษฐีเท่านั้น เตรียมห่อข้าวห่อของสำหรับจะขนกันแล้ว แต่พ่อกลับห้ามไว้ บอกว่าไม่เป็นไร มีของดีของวิเศษ อย่างไรเสียไฟก็คงไม่มาถึงบ้าน เวลานี้กำลังสวดมนต์อยู่ในเรือนนั่นแน่ะ––”

“แต่พ่อเขาไม่รู้หรือริ้ว ว่ามันติดป่าหญ้าคา จะถึงไม่ถึงทางล้ออยู่รอมร่อแล้ว ?” รื่นร้อง “ของดีหรือวิเศษอย่างไรก็ช่วยไม่ได้ นอกจากเราช่วยตัวของเราเองเอาน้ำราดหลังคาเรือน อย่าให้ลูกไฟปลิวมาตกลงไหม้ได้ อะไรๆ ที่จะเป็นเชื้อไฟใกล้ทางล้อ ต้องทลายให้หมด........”

“ป่วยการพูดกะมัน บักหมาซีแม่มัน” ยายอ่อนจันทร์ภรรยาผู้ใหญ่พูนเอ่ยอย่างทอดอาลัยมาจากที่ ๆ แกนั่ง “คลั่งผ้าประเจียด ลูกประคำ น้ำมนต์อะไรของมันก็ไม่รู้ ไฟไหม้บ้าน กูจะเอาสากตอกหัว”

รื่นฟังแกโดยไม่ได้เอาใจใส่ ก้าวขึ้นบันไดไปทีละ ๒–๓ ขั้น จนกระทั่งถึงนอกชานเรือน

“ผู้ใหญ่!” เขาร้องเรียก

ไม่มีเสียงตอบ ไม่มีเสียงขาน เสียงปล้องไผ่ระเบิดและปะทุ ดังใกล้หลังบ้านเข้ามาทุกระยะ กลิ่นแห้งๆ ของหญ้าที่ไหม้และกลิ่นอับๆ ของใบไม้เน่า ในไร่กล้วยที่ลุ่มลอยมาตามควันไฟ ไม่ขาดระยะ

“ผู้ใหญ่ !” รื่นตะโกนจนสุดเสียง ขณะนั้นเองผู้ใหญ่พูนจึงโผล่หน้าออกมาได้จากห้องชั้นใน

“อะไรกันรึ รื่น ?” แกถาม ด้วยเสียงตื่น ๆ “กลับมาจากเมืองแต่เมื่อไร ? นายอำเภอท่านว่ายังไง ? แล้วก็รื่นว่ายังไง ?”

ความใจเย็น หรือโง่เง่าเบาเต็งของแกก็ตาม ทำให้ชายหนุ่มทั้งหัวเสียและขบขัน แทนการเป็นกังวลกับพระเพลิงที่กำลังจะเผาผลาญบ้านแก และบ้านของลูกบ้านแกอยู่ในปัจจุบัน ผู้ใหญ่พูนกลับไปพะวงอยู่ด้วยราชการที่นายอำเภอสั่งไว้ เขาพยายามสงบใจอย่างยิ่ง เพื่อมิให้วาจาหรือกิริยาก้าวร้าวใด ๆ ปรากฏออกไป

“ผู้ใหญ่ !” เขาเอ่ย “ฉันแปลกใจเหลือเกินว่าไฟป่าเกิดถึงวังกระทะกว่าจะลามมาถึงนี้ก็ตั้งนาน ทำไมผู้ใหญ่ไม่ตีเกราะเคาะกลองเรียกประชุมลูกบ้านให้ช่วยกันตัดต้นไฟ ?”

“ช่วยยังไงรื่น? ไฟออกยังงั้นต่างคนต่างเป็นห่วงบ้านเรือนมันข้าวของ ๆ มัน ถึงตีให้เกราะแตกก็คงไม่มีใครมา”

“นั่นเพราะว่า ผู้ใหญ่ไม่เคยทำให้ใครเขาเชื่อถือหรือศรัทธาอะไรได้เลย” รื่นรู้สึกว่าเสียงของเขาขมขื่นแข็งกร้าวโดยมิได้ตั้งใจ “ผู้ใหญ่ไม่เคยที่จะทำอะไรที่จะให้คนบ้านนี้เขารู้สึกว่ามีผู้ใหญ่บ้านอยู่–ผู้ใหญ่บ้านที่เขาจะพึ่งพาอาศัยได้ ผู้ใหญ่บ้านที่จะเป็นหัวหน้าชักนำหรือชี้ช่องทางให้ ในเวลาเข้าที่คับขันหรือจนปัญญา”

“ฉันกำลังสวดมนต์อธิษฐานอยู่แล้วนะรื่น เพื่อไม่ให้ไฟมันลุกมาติดถึงที่นี่” เสียงของแกบอกถึงศรัทธาและความเลื่อมใส เหมือนกับว่านั้นเป็นอย่างดีที่สุดที่แกได้ปฏิบัติหน้าที่ของแกแล้ว เป็นการสุดวิสัยที่เขาจะไปตัดพ้อต่อว่าอะไรกับผู้ชายเช่นนั้น รื่นหันกลับลงมาจากนอกชานทันที แต่เมื่อถึงลานกลางบ้านเขาก็หันกลับไปหาแกอีก พลางตะโกนบอก

“เราทุกคนกำลังช่วยกันทลายบ้านหรือเพิงที่อยู่ติดกะทางล้อ เพื่อไม่ให้ลูกไฟปลิวมาติดได้ ถ้าฉันเป็นผู้ใหญ่ฉันจะรีบรื้อเพิงเก็บไต้ทางหลังบ้านเสียให้หมด ก่อนที่มันจะสายไป–”

เมื่อกลับไปถึงบ้าน รื่นได้รับความพอใจ ที่เรืองและพันทลายหลังคาโรงเก็บหวายและยุ้งข้าวลงมาเสร็จแล้ว สุดใจและจำปาก็กำลังใช้สูบฉีดน้ำขึ้นไปบนหลังคาเรือนทั้ง ๓ หลัง อยู่เป็นพัลวัน

หันไปมองดูทางทิศใต้ ม่านไฟที่ลามทุ่งหญ้าคาเข้ามา ยังคงลุกโชติช่วงอยู่เหนือขอบฟ้า ฟากดงมะพร้าวออกไป ความเบาใจของเขาอยู่ที่มันลดความรวดเร็วลงไป และลมก็เริ่มอ่อน

“คงติดอยู่แค่ทางล้อ” เขาพึมพำ “ถ้าทุกคนทำตามที่กูบอก ก็คงไม่เป็นไร ลมเบาลงแล้วละ อ้ายเรือง”

ยอดมะพร้าวที่โอนเอนไปมาไหวช้าลง เมื่อลมที่กระโชกพัดสงบลงชั่วคราว เขามองดูควันไฟซึ่งแผ่กระจายไปทั่วขอบฟ้า แล้วก็ถอนใจ

“เห็นจะหมดอันตรายกันละมัง พี่รื่น ?” พันยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อที่หน้า ยังไม่ทันที่รื่นจะตอบว่าประการใด เสียงสุดใจ จำปา ก็ร้องเรียกลงมาจากบนเรือน

“ดูโน่นแน่ะ พี่รื่น !”

เขามองดูตามมือหล่อนชี้ เกือบจะในทันทีทันใดนั้นเอง ก็วิ่งนำหน้าเรืองและพันออกไปที่ทางเกวียนหลังบ้านอีกครั้ง สบถพึมตลอดทาง

ระหว่างลมที่สงบลง เพียงอึดใจเดียวเท่านั้นป่าไผ่หลังบ้านผู้ใหญ่พูนลุกโพลงขึ้นโดยเชื้อไฟ ที่แลบเลียมาตามพื้นดินโดยไม่มีใครรู้ตัว ก่อนที่รื่นจะไปถึงประตูรั้วหลังบ้านแก ลมซึ่งเกิดขึ้นอีกอย่างกระทันหัน ก็ส่งท้ายออกแม่น้ำ ทำให้เพิงเก็บไต้พลอยเป็นเหยื่อแม่พระเพลิงไปด้วย โดยมิได้มีใครคิดป้องกัน ต่อจากนั้นทุกคนและทุกสิ่งทุกอย่าง ก็เต็มไปด้วยความโกลาหลอลหม่าน ไม่มีใครรู้ว่าเรือนหลังไหนถูกลูกไฟติดขึ้นก่อน แต่ทันใดที่มันลุกฮือ และลมส่งท้ายแฝกและหญ้าคา ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงอย่างดีในฤดูร้อนจัดเช่นนั้น ก็ลามติดกันต่อ ๆ ไป ภายในไม่ถึงชั่วโมง เรือน ๔–๕ หลังในละแวกบ้านของผู้ใหญ่พูนก็กลายเป็นทะเลเพลิง

ท่ามกลางความร้อน กลุ่มควันและเสียงเอะอะที่เซ็งแซ่อยู่ในละแวกนั้น เสียงของรื่นห้าวและแหลมก้องออกมาเหนือเสียงใดๆ

“ทลายหลังคาบ้านน้าบัวไหล – – ขืนติดอีกบ้านเดียว ทั้งหมู่บ้านชิบหายหมด” เขาโดดขึ้นไปบนนอกชานเรือนหลังนั้น ชายฉกรรจ์อื่น ๆ ก็วิ่งตามขึ้นไป ภายในพริบตาเดียวต่อมา หลังคาเรือนและครัว ก็ถูกกระชากลงมากองอยู่กลางลานบ้าน บรรดาพวกที่มีถังน้ำอยู่ในมือ ก็ช่วยกันสาดจนเปียกโชกไปหมด

ทำนองเดียวกับที่มันเกิดขึ้นอย่างกระทันหัน ไฟตอนนั้นดับลงภายในไม่กี่อึดใจต่อมา เหลือแต่เสาเรือนที่ไหม้เกรียม ดวงหน้าที่ปราศจากความรู้สึกและนัยน์ตาที่เลื่อนลอย รื่นเดินสำรวจต่อไป ทักทายคนโน้นปลอบโยนคนนี้ จนกระทั่งถึงครอบครัวผู้ใหญ่พูน

– ๒ –

ยายอ่อนจันทร์ยังคงนั่งกอดเข่าอยู่ที่โคนต้นมะพร้าวหลังลูกสาวทั้งสองของแก ซึ่งยืนกระสับกระส่ายในขณะที่ผู้ใหญ่พูนเหม่อมองดูเสาตอม่อ และซากสลักหักพัง ซึ่งครั้งหนึ่ง เมื่อไม่กี่นาทีมานี้เองเคยเป็นบ้านที่แกและปู่ ย่า ตา ยาย ก่อนหน้าแกขึ้นไป ได้อาศัยเป็นเรือนตายมาเป็นเวลาช้านาน แกหันมาหาทันที ขณะที่ชำเลืองเห็นรื่น

“หมดกัน!” แกพยายามยิ้มอย่างน่าสงสาร แต่ริมฝีปากอดสั่นไม่ได้ “ทุกสิ่งทุกอย่างที่อุตส่าห์สะสมมาแต่ครั้งไหนๆ วอดวายไปหมดแล้ว ไม่มีอะไรเหลืออีกเลย นอกจากเสื้อผ้าที่พันตัว– ”

“กูจะเอาสากต่อยหัวมึง ––” ยายอ่อนจันทร์พึมพำอยู่ข้างหลัง แต่แกคงนั่งอยู่ในอิริยาบถเดิม ไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวเหมือนเป็นเหน็บชาหรือตายไปทั้งตัว “กูจะเอาสากต่อยหัวมึง ––”

รื่นก้าวเข้าไปใกล้แก รู้สึกตื้นตันใจจนพูดไม่ออกไปเป็นครู่

“ทำไมผู้ใหญ่ถึงไม่ยอมให้เขาขนของออกมาเสียจากในเรือน ?”

สีหน้าและนัยน์ตาอันเลื่อนลอยของแกไม่แสดงว่าเข้าใจความหมายของกระทู้ถามข้อนั้นเลย

“หมดกัน – – หมดตัวคราวนี้เอง” แกพึมพำต่อไป “ไม่มีอะไรเหลือนอกจากเสื้อผ้าที่พันตัว”

เป็นการเปล่าประโยชน์ที่เขาจะซักไซ้ไล่เลียงแกต่อไป รื่นหันไปหาริ้วผู้พี่และโรยผู้น้อง ซึ่งได้แต่ยืนจ้องดูเขาเขม็ง

“พาพ่อกะแม่เขาไปอยู่ที่เรือนจำปาก่อน แล้วค่อยคิดแก้ไขกันต่อไป –”

“ที่นอน เตาไฟ หม้อไห โอ่งน้ำ ข้าวสาร ไม่มีอะไรเหลือทั้งนั้น” ยายอ่อนจันทร์คร่ำครวญต่อไปอีก

“ไปเถอะ ไปรวมกันอยู่ที่นั่นก่อน ฉันจะเลยไปดูเขาทางบ้านใต้” รื่นบอกเป็นครั้งสุดท้าย

ทุกสิ่งทุกอย่างมิได้ผิดไปจากความคิด ที่เขาคาดคะเนไว้ เมื่อหญ้าคาป่านั้นราบเป็นเหยื่อพระเพลิงไป ไม่มีอะไรเหลืออยู่สำหรับที่จะเป็นเชื้อให้ลุกลามอีก มันก็หยุดอยู่เพียงแค่ทางเกวียน ควันกรุ่น เหมือนไฟสุมขอน ขี้เถ้ายังคงปลิวว่อนไปตามกระแสลมพัด แต่หมดพิษสงที่จะเป็นอันตรายแก่สิ่งใดอีก ต่อไป หลังคาเรือนหลายหลังที่ถูกทลาย กำลังได้รับการซ่อมแซม และมุงกันใหม่ ข้าวของต่างๆ บนบ้านลงไปกองอยู่ถึงหาดทราย ในแม่น้ำและบ้างก็กลางลานบ้าน ถูกขนกลับขึ้นเรือนอีก เมื่อเห็นว่าพ้นจากอัคคีภัยที่คุกคามอยู่เมื่อสักครู่แน่แล้ว ทุกคนก็ยิ้มออก แห่ห้อมล้อมเข้ามาที่อื่น

“เอาแต่ตื่นกันแทบล้มประดาตาย ไฟจะคลอกเสียหมดแล้ว ถ้าไม่ได้รื่นก็แย่” ตาถมซึ่งเป็นคนเก่าแก่คนหนึ่งของคนสวนหมากใต้เอ่ย “ดูอ้ายแม่นกับอีวอนเถอะ อารามตกใจแบกตุ่มน้ำลงมาได้ทั้งใบ ทีเวลาจะเอากลับขึ้นเรือนสองคนยังไม่ไหว”

“เห็นว่าบ้านผู้ใหญ่พูน บ้านของคำกอง บ้านของอ้ายแพว กะบ้านใครๆ ในละแวกนั้นอีกสองสามหลังเหลือแต่ขี้เถ้า” ใครอีกคนหนึ่งเอ่ย

“สมน้ำหน้ามัน อ้ายหะ – – นั่น” ตาแมนคำราม “รื่นเขาบอกให้รื้อเพิงไว้ไต้หลังบ้านออก รื้อเสียเมื่อไหร่ เวลาชิบหายไม่ชิบหายแต่คนเดียว พาเพื่อนบ้านพลอยย่อยยับไปด้วย”

“เมื่อเช้านี้เห็นเจ้าพูนเขาว่า ลาออกจากผู้ใหญ่บ้านแล้ว นายอำเภอท่านจะตั้งให้รื่นเป็นแทนต่อไป รื่นพบท่านได้ความว่ายังไง?”

แต่รื่นมิได้อยู่ ณ ที่นั้นเสียแล้ว เขารีบปลีกตัวออกไป นับแต่ได้ฟังประโยคแรก แหวกชาวบ้านที่ห้อมล้อมเข้ามาฟังข่าวด้วยความกระตือรือร้น กลับมาถึงบ้านเห็นสุดใจ จำปาและป้าแคล้วกำลังขนของกลับขึ้นเรือนอยู่ ก็พากันเข้าช่วย

“มันจะไม่ลามมาถึงแน่แล้วไม่ใช่หรือ พี่รื่น ?” สุดใจร้องถาม

“เห็นจะไม่ลามมาแน่ ดูเมฆฝนนั่นแน่ะ ตั้งเค้ามาโน่นแล้ว” เขาตอบ

เป็นความจริงอย่างว่า ขณะนั้นท้องฟ้าทิศตะวันตกซึ่งควันยังลอยอ้อยอิ่งอยู่เป็นหย่อมๆ เริ่มมืดครึ้มขึ้นทุกขณะ และมืดใกล้เข้ามาเป็นลำดับ จนกระทั่งทุกคนอาจได้สำนึกถึงความเย็นที่ระคนปนมากับกระแสลมอย่างผิดปกติ ต่อมาอีกไม่ช้าไม่นาน ก่อนที่จะทันขนของชิ้นสุดท้ายขึ้นเรือนเสร็จ ฝนก็ เริ่มโปรยเม็ด ชั้นแรกอย่างเปาะแปะก่อน ต่อมาก็ซัดซู่ใหญ่ จนกระทั่งลืมหูลืมตาไม่ขึ้น

รื่นมองดูท้องฟ้าที่ฉ่ำ และน้ำซึ่งนองพื้นดิน แล้วก็ยกมือขึ้นท่วมศีรษะ

“เรารอดแล้ว” เขาพึมพำพลางถอนใจ “สิ้นเคราะห์ไปที ––”

– ๓ –

จากการสำรวจในวันรุ่งขึ้น รื่นจึงรู้ว่าบ้านไร่ได้รับความพินาศยิ่งกว่าคลองสวนหมากใต้ บรรดาไร่กล้วยนอกหมู่บ้านออกไปย่อยยับ เพราะเป็นดงหญ้าคา และเรือนหลังเดียวที่เหลืออยู่จากการตกเป็นเหยื่อของไฟป่า คือเรือนของเจ้าลีและนางสีดา ซึ่งหมายถึงอุ่นเรือนที่ชายหนุ่มในหมู่บ้านทุกคนต่างแห่กันไปช่วย

หลายไร่กล้วยในคลองสวนหมากใต้ นับแต่เหนือวัดบรมธาตุออกไปถึงหน้าดงเศรษฐี หนีไม่พ้นจากชะตากรรมอันเดียวกัน ถึงกระนั้นก็เพียง ๕ หลังคาเรือนเท่านั้น ที่วอดวายไปในอัคคีภัยครั้งนี้

“กว่าสิบปีมาแล้วมั้ง เพิ่งเจอะเข้าคราวนี้แหละ” ตาโสมซึ่งเป็นคนเก่าแก่คนหนึ่งของบ้านไร่บอกเขา “ถึงงั้นคราวโน้นก็ไม่น่ากลัวเหมือนครั้งนี้ ไหม้อยู่แค่ดงเศรษฐี ก็พอฝนตกดับไปเอง”

ตลอดวันนั้นทั้งวัน ผู้ใหญ่พูนไม่ได้โผล่หน้ามาที่บ้านของเขาเลย แม้จะอยู่ที่เรือนจำปาเพียงคนละฟากรั้ว รื่นได้ยินแต่เสียงยายอ่อนจันทร์รำพันไป ตะบันหมากไปอยู่แต่ลำพังคนเดียว

“กูจะเอาสากต่อยหัวมึง – – กูจะเอาสากต่อยหัวมึง” แกบ่นพร่ำ ซ้ำๆ ซาก ๆ และจากที่หนึ่งที่ใดในเรือนนั้น ช้าๆ นานๆ ก็ได้ยินเสียงผู้ใหญ่พูน เอ่ยออกมาเสียทีหนึ่งว่า “นิ่ง ๆ เสียดีกว่าน่า”

จนกระทั่งหลังจากอาหารเย็นวันนั้น ขณะที่นั่งล้อมวงสนทนากันอยู่กลางนอกชาน แกจึงเข้ามาในบ้านก้าวขึ้นบันไดไปนั่งลงอย่างเชื่องช้าและอิดโรย นิ่งอยู่เป็นครู่ใหญ่

รื่นรู้สึกประหลาดใจ เมื่อแลเห็นสิ่งที่แกถืออยู่ในมือถึงกับอดถามไม่ได้ “เอาโปงมาทำไมกันผู้ใหญ่ ?”

“มันเป็นสมบัติชิ้นสุดท้าย ที่ฉันเหลืออยู่ รื่น” แกบอก “นอกนั้นไม่มีอะไรอีกเลย” นัยน์ตาของแกยังเลื่อนลอยยิ้มที่แห้งแล้งยังคงปราศจากความหมาย “รื่นจะขัดข้องไหมถ้าฉันจะขออาศัยตีเกราะเรียกประชุมพวกลูกบ้านที่นี่สักหน่อย”

“เรื่องอะไรหรือ ผู้ใหญ่ ?”

“เอาเถอะ เรื่องนั้นน่ะ ไว้แล้วค่อยรู้ทีหลัง ว่าแต่รื่นขัดข้องไหมล่ะ ? นึกว่าเห็นแก่ฉันสักครั้งเถอะ”

เปล่า เขาไม่มีอะไรจะขัดข้อง ความหม่นหมองที่ปรากฏอยู่บนสีหน้า ตลอดจนกิริยาที่เงื่องหงอยของแกทำให้รื่นไม่อยากจะปฏิเสธอะไร ได้แต่มองดูแกด้วยความอัศจรรย์ใจ ขณะที่ผูกโปงเข้ากับชายคา แล้วก็ลงมือรัวอย่างหนักหน่วงและเร่งร้อน

“หนวกหูจะตาย” เรืองบ่น “มาตีหาหอกอะไรเอาเวลานี้ ทีอีตอนไฟไหม้ ไม่ยักเรียกลูกบ้าน”

“จะแก้เผ็ดยายอ่อนจันทร์ ที่เอาสากกะเบือตีหัวละมัง ?” พันหัวเราะ

เกราะใบนั้นคงดังรัวต่อไป เดี๋ยวถี่ยิบ แล้วก็เว้นจังหวะห่าง เดี๋ยวช่วงยาว แล้วก็สั้น หน้าของผู้ตีเป็นมัน นัยน์ตาเป็นประกาย ตั้งแต่ได้รู้จักแกมา ไม่เคยครั้งใดเลยที่ใครจะได้เห็นผู้ใหญ่พูนตื่นเต้น และเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นเช่นนั้น บางครั้งริมฝีปากของแกสั่นระริก จนกระทั่งต้องเม้มแน่น บางครั้งเงื้อไม้เสียสุดแขน ก่อนที่จะเข่นลงไป เสียงรัวของโปงไม้ไผ่กังวานไปในเพลาเย็น อันสงบเงียบหลายต่อหลายคุ้งน้ำ ท่ามกลางป่ามะพร้าวที่โยนทางไสว ท่ามกลางซากบ้านและไร่ที่ไฟป่าทิ้งไว้เบื้องหลัง ท่ามกลางความชื้นของพื้นดินและความเย็นสุขุมของท้องฟ้าอากาศ ซึ่งฝนเพิ่งจากไปใหม่ ๆ

และทีละคนสองคน ชาวบ้านทั้งหลายก็ทยอยกันเข้ามาสู่ภายในบริเวณบ้านของรื่น บ้างยืนบ้างนั่ง ตามแต่จะถนัด แต่ละคนเห็นได้ชัดว่าแปลกใจ แม้กระทั่งรำคาญในการที่ถูกรบกวน ขณะเมื่อต่างคนต่างต้องการจะพักผ่อน หญิงแม่ลูกอ่อนคนหนึ่ง ซึ่งกระต๊อบเล็กหลังบ้านยายบัวไหล พลอยตกเป็นเหยื่อของไฟป่าไปด้วย หันไปกระแทกกระทั้นกับเพื่อนบ้านอีกคนหนึ่งว่า “ถ้าแกจะประชุมเรี่ยไรปลูกเรือนแกละมั้ง!”

เสียงเกราะคงรัวก้องต่อไป แม้ในลานบ้าน จะเต็มไปด้วยผู้คนแล้วทั้งหญิงและชาย ทั้งเด็กและผู้ใหญ่และแม้ต่างคนต่างเริ่มกระสับกระส่ายเพราะความโอ้เอ้ล่าช้าของการประชุมที่จะเริ่มขึ้น

“หยุดได้ละมังผู้ใหญ่” รื่นร้องบอก “พวกลูกบ้านมากันพร้อมแล้วนี่”

สีหน้าของผู้ใหญ่พูนเคร่งเครียด นัยน์ตาของแกเป็นประกาย เหงื่อเม็ดโป่ง ๆ ซึ่งเกาะอยู่ที่หน้าผากไหลหยดลงมาบนอกเสื้อ แกเงื้อไม้ขึ้นสุดแขน รัวเกราะอย่างสุดแรงเกิดอีกครั้ง แล้วก็ปลดมันลงมาถือไว้ หันขวับกลับมาด้วยกิริยาอันดุดัน

“ในชีวิตผู้ใหญ่บ้านของฉัน เพิ่งได้ตีเกราะเรียกประชุมลูกบ้านคราวนี้แหละเป็นครั้งแรก” แกบอกรื่นด้วยเสียงซึ่งเต็มไปด้วยความรู้สึกจนสั่น “มันจะเป็นครั้งสุดท้ายด้วย!”

แกเดินผ่านหน้ารื่นไป โดยมิได้เอาใจใส่ต่อสายตาของบรรดาผู้ที่นั่งล้อมวงอยู่กลางนอกชาน ซึ่งจ้องดูแกราวกับคนแปลกหน้า จนกระทั่งถึงเชิงบันได ยืนกวาดสายตาดูผู้คนที่จับกลุ่มชุมนุมอยู่ในลานบ้านนิ่งอยู่เป็นนานจึงได้เอ่ยขึ้น

“ข้าเรียกพวกเรามาพร้อมกันวันนี้ ก็เพื่อจะบอกว่า ข้าพ้นจากผู้ใหญ่บ้านแล้ว”

รื่นอดรู้สึกไม่ได้ว่า ในกระแสเสียงนั้น เหมือนจะมีอาการสะอื้นตื้นตันระคนอยู่ แต่ก็เพียงครู่เดียว ต่อจากนั้นไป เสียงของแกก็แจ่มใส ฉาดฉานอย่างที่ไม่มีใครเคยได้ยินแกพูด ไม่ว่าในชีวิตผู้ใหญ่บ้าน หรือชีวิตส่วนตัว

“ถูกยายอ่อนจันทร์ เล่นหัวด้วยสากกะเบือทีเดียวกลายเป็นคนละคนไปได้” เรืองพึมกับพัน

“เงียบ !” รื่นดุ “ฟังแกต่อไป”

“ในชีวิตข้า ไม่เคยอยากเป็นอะไรเท่ากับผู้ใหญ่บ้าน” เสียงชายผู้น่าสงสารดังต่อไป “แต่ได้เป็นเข้าแล้ว ข้าก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร อย่าว่าแต่ช่วยเหลือหรือป้องกันพวกลูกบ้านให้อยู่เป็นสุขสบาย ถึงจะช่วยตัวเองก็ยังไม่ได้ แล้วจะอยู่ไปทำไม ข้ารู้ว่าใคร ๆ พูดถึงข้ายังไง ด่าข้ายังไง แต่ข้าก็ไม่โกรธ เพราะมันจริงยังงั้น ผู้ใหญ่บ้านควรจะเป็นที่พึ่งแก่ลูกบ้านได้ ผู้ใหญ่บ้านควรจะเป็นคนอย่างรื่น ไม่ใช่คนอย่างข้า––”

“ผู้ใหญ่ !” รื่นลุกจากวงสนทนาปราดเข้าไปหาแก

“ฉันพูดด้วยความจริงใจ รื่น เป็นความสัตย์” แกหันไปหาเขาด้วยนัยน์ตาอันวาววาม “ถูกของนายอำเภอท่านแล้วรื่น คนอย่างฉันมันเหมาะสำหรับจะเป็นหมา เหมาะสำหรับจะเป็นขี้ข้าเมีย ยังไงๆ ก็เป็นผู้ใหญ่บ้านที่ดีไม่ได้––”

“เอาไว้สบาย ๆ ใจ ถึงค่อยพูดค่อยจากันใหม่ดีกว่า ผู้ใหญ่”

“ขอให้ฉันพูดต่อไปเถอะรื่น –– พูดกะพวกนี้เป็นครั้งสุดท้าย เพราะต่อไปฉันจะไม่ได้พูดอีก” แกหันกลับลงไปหาลานบ้านใหม่ “พวกเราคงยังไม่รู้กระมังว่า เมื่อวานนี้นายอำเภอท่านเรียกตัวขึ้นไปที่เมืองทำไม ?”

สายตาทุกคู่พุ่งขึ้นมาจับอยู่ที่รื่น เสียงที่จ้อกแจ็กแจจันเงียบลงฉับพลัน

“ฉันจะบอกให้ฟัง” ผู้ใหญ่พูนตะโกน “นายอำเภอท่านตั้งให้รื่นเป็นผู้ใหญ่บ้านแทนฉันแล้ว”

“ผู้ใหญ่บ้าน !” รื่นจับแขนแกเขย่าแต่ชายผู้อาวุโสกว่ากล่าวต่อไป โดยไม่เอาใจใส่

“สำหรับฉันน่ะ เห็นว่าไม่มีใครอีกแล้วจะเหมาะยิ่งไปกว่ารื่น คนอื่น ๆ ล่ะ จะว่ายังไง ?”

เสียงต่าง ๆ ระเบ็งเซ็งแซ่ออกมาจนอื้อไปหมดเหมือนทำนบซึ่งทลายด้วยน้ำเหนือ

“พี่รื่นดีแล้ว––เราอยากได้พี่รื่นเป็นผู้ใหญ่บ้าน” บรรดาหนุ่มสาวต่างร้องเป็นเสียงเดียวกัน

“ตั้งแต่รู้จักกันมา เพิ่งเห็นเอ็งพูดจาเป็นมนุษย์มนาวันนี้แหละ อ้ายพูน” พวกผู้เฒ่าผู้แก่แซ่ตามมา

– ๔ –

ชั่วอึดใจหนึ่งเต็ม ๆ รื่นยืนนิ่งอยู่ในท่ามกลางเสียงต่าง ๆ ที่อื้ออยู่รอบกาย ต่อหน้าสายตาทุกคู่ที่จ้องดูเขาอย่างเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและคาดหวัง สำนึกดีว่าร่างอันสมบูรณ์ของผู้ใหญ่พูน ซึ่งยืนอยู่ข้างหน้าโอนเอนอยู่บนเท้าทั้งสอง แกไม่หันกลับมามองเขาอีกเลย ถึงกระนั้นรื่นก็อดคิดไม่ได้ว่า สายตาของแกเพ่งไปไกลกว่าบรรดาผู้คนในลานบ้าน

“ฉัน––ฉันก็คิดอย่างนั้น” เสียงของแกเอ่ยขึ้นอีก คราวนี้หมดสั่นหมดตะกุกตะกัก และดังพอที่จะก้องไปในท่ามกลางเสียงอื้อที่กลบเสียงอื่น ๆ อยู่เมื่อสักครู่ “ฉันบอกนายอำเภอท่านอย่างที่บอกพวกเราอยู่เดี๋ยวนี้เหมือนกัน ว่ารื่นเหมาะที่จะเป็นผู้ใหญ่บ้านยิ่งกว่าฉัน ยิ่งกว่าพวกเราชาวปากคลองทุกคน ––”

“ผู้ใหญ่ !” รื่นก้าวออกไปข้างหน้าแก จ้องเขม็งเหมือนจะค้นหาความจริงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง นัยน์ตาอันเลื่อนลอย และริมฝีปากที่สั่นระริก “ผู้ใหญ่รู้ดีว่าฉันไม่มีความปรารถนาที่จะเป็นผู้ใหญ่บ้าน ฉันต้องการให้ผู้ใหญ่เป็นผู้ใหญ่บ้านต่อไป – –”

“ไม่มีใครอยากได้ฉันเลย” แกพึมพำ “ไม่มีใครอยากให้ฉันเป็นผู้ใหญ่บ้านต่อไป นายห้างแกไม่ต้องการ นายอำเภอก็ไม่ต้องการ ลูกบ้านทุกคนก็เหมือนกัน – –”

“ยังมีฉันอยู่อีกคนหนึ่งผู้ใหญ่” รื่นอดรู้สึกหวาดหวิวขึ้นมาไม่ได้เมื่อสังเกตเห็นใบหน้าอันเต็มไปด้วยความเคร่งเครียดนั้น ซีดลงเป็นลำดับเหมือนคนไข้ที่อาการของโรคกำเริบขึ้นมาโดยฉับพลัน “ฉันอยากให้ผู้ใหญ่เป็นผู้ใหญ่บ้านต่อไป – – แต่ไว้พูดกันวันหลังดีกว่า กลับไปพักเสียเถอะผู้ใหญ่ ฉันจะ พูดกะพวกนี้เอง”

“ไม่มีประโยชน์อะไรรื่น” แกส่ายหน้าอย่างทอดอาลัย “ไม่มีใครต้องการฉันเลย – –”

โดยมิได้รอฟังเขาต่อไป และโดยมิได้เอาใจใส่ต่อสายตาของบรรดาหญิงชายที่มองดูแกด้วยความพิศวง ผู้ใหญ่พูนก้าวลงบันไดไปอย่างเชื่องช้า พร้อมด้วยโปงกอดแจอยู่ในอ้อมแขนขวา ราวกับของที่รักหวงแหน สายตาของแกเพ่งไปข้างหน้า มิได้เหลียวซ้าย มิได้แลขวา จนกระทั่งร่างนั้นพ้นจากประตูรั้ว และลับกายไปภายในความมืดสลัวของเพลาโพล้เพล้เข้าไต้เข้าไฟ

ไม่มีใครปริปากหรือขยับเขยื้อนเลยตลอดเวลาเหล่านั้น นอกจากเด็กที่วิ่งเล่นไล่กันอยู่กลางลานบ้าน และทารกที่อ้อแอ้อยู่ในอ้อมอกของมารดา รื่นรู้สึกเหมือนว่าอากาศที่ยังเยือกเย็นอยู่ด้วยละอองฝน กลับเต็มไปด้วยความอบอ้าวและอึดอัด จนกระทั่งเสียงของสุดใจเอ่ยขึ้นใกล้ ๆ

“ฉันดูยังกะแกจะไม่สบายยังไงไม่รู้พี่รื่น” หล่อนบอก “คงจะเสียใจมากทีเดียว ที่ต้องออกจากผู้ใหญ่บ้าน”

เขาหันไปหาหล่อนช้า ๆ พลางถอนใจ “ทำยังไงได้ สุดใจ มันเรื่องของทางบ้านเมือง แต่ข้าน่ะไม่ยอมรับแน่ – – ตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านต่อจากแกน่ะ”

“ก็ถ้านายอำเภอท่านสั่งล่ะ”

“ไม่มีใครจะสั่งข้าได้” รื่นยืนยัน “ปฏิเสธท่านไปแล้ว เมื่อเช้า”

“แต่รื่น––” เรืองซึ่งนั่งอยู่บนนอกชานข้างหลังได้ยินเข้าก็ร้องค้าน “อย่าลืมนะว่าท่านเป็นเจ้าเป็นนาย – –”

“เออ กูไม่ลืมหรอก อ้ายเรือง” เขาหันไปบอก “แต่คนอย่างกูแย่งของที่คนอื่นเขารัก เขาหวงไม่ได้ กูรู้ดีตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว ว่าผู้ใหญ่พูนแกภูมิใจในตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านของแกแค่ไหน แกอาจจะเป็นผู้ใหญ่บ้านที่เลว เป็นผู้ใหญ่บ้านที่ใช้ไม่ได้ แต่ก็ไม่เคยคดโกงใคร แกเป็นผู้ชายคนแรกในบ้านนี้ ที่ยอมรับนับถือพวกเราเป็นเพื่อน กูทำกับเพื่อนยังงั้นไม่ได้ นายอำเภอท่านเอาแกออกจากผู้ใหญ่บ้าน ก็ให้ตั้งคนอื่นแทนต่อไป แต่กูเองไม่ยอม – –”

“มันไม่ใช่รื่นไปยื้อแย่งตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านจากแกนี่ !” พันสอด “เป็นหน้าที่นายอำเภอท่านเห็นเอง จัดการเองตังหาก – –”

“เออ เห็นเอง จัดการเอง ตามที่พะโป้เห็นและสั่งให้จัดการ” เขาหัวเราะอย่างขมขื่น “กูรู้ดีกว่าพวกมึงหรอกวะ อ้ายพัน”

“แต่พวกคลองใต้ทั้งบ้านต้องการรื่นจริง ๆ นะ” ตาถม ซึ่งเป็นหัวหน้าของบรรดาคนเก่าของชาวปากคลองร้องบอกขึ้นมาจากข้างล่าง “รื่นได้ฟังแก่หู ได้รู้แก่ใจอยู่แล้วนี่ อย่ามัวไปคิดถึงมันเลย อ้ายลาวเวียงจันทน์นั่นน่ะ เป็นประสีประสาอะไรกะมัน เชื่อฉันเถอะ –– อย่าปฏิเสธคำสั่งนายอำเภอท่าน พวกเราต้องการรื่นเป็นผู้ใหญ่บ้านจริง ๆ”

เขาหันกลับไปทางบันได ยืนนิ่งอยู่สักครู่ท่ามกลางแสงไต้ที่สว่างเรือง แล้วก็ก้าวลงไปข้างล่าง ทุกคนยินนิ่งคอยสดับตรับฟังแทบกลั้นลมหายใจ

“ฉันรู้นะลุงถม ว่าทุกคนที่นี่ให้ความรักใคร่เอ็นดูแก่ฉันเพียงใด” เสียงของรื่นมิได้ดังไปกว่าปกติธรรมดา แต่ความหนักแน่นแจ่มชัดของมัน แล่นเข้าไปในความสำนึกของผู้ฟังก้องเสียกว่าฟ้าร้อง “แต่ฉันบอกแล้วว่าทำอย่างนั้นไม่ได้ ฉันเองไม่ใช่ลูกบ้านนี้ ไม่มีใครที่นี่จะนับว่าเป็นลูกบ้านนี้ได้อีกต่อไป คนเก่าแก่ดั้งเดิม บ้างตาย บ้างหนีโรคภัยไข้เจ็บไปอยู่ที่อื่น ทุกคนที่นี่ล้วนมาจากสุดหล้าฟ้าเขียว บ้างจากมอญ บ้างจากลาว บ้างจากเมือง จากหนองปลิง ลานดอกไม้ พรานกระต่าย คลองขลุง และวังแขม ฉันจะมาจากไหนเลยไม่สำคัญ ––– ทุกคนมาจากไหนไม่สำคัญ ––– เมื่อใจฉันและทุกคนอยู่ที่นี่ เราเหมือนมาจากสายเลือดเดียวกัน ถ้าใครจะมีอันเป็นอย่างไรไป การที่จะคิดแก้ไขมันก็ควรจะอยู่ในระหว่างพวกเรา ไม่ใช่ให้คนอื่นมาเจ้ากี้เจ้าการ ผู้ใหญ่บ้านอย่างผู้ใหญ่พูน อาจจะมีข้อบกพร่องอื่น ๆ แต่แกก็เป็นคนซื่อหรือบ้านเมืองเห็นว่า ฉันมีความเหมาะสมมากกว่าแก การแต่งตั้งก็ควรจะมาจากบ้านเมือง–––”

“ก็นายอำเภอท่านตั้งรื่นไม่ใช่รึ ?”

เขาพยักหน้ารับอย่างขรึม ๆ

“นายอำเภอตั้งฉัน เพราะความต้องการของพะโป้” เขาตอบ “อย่าเข้าใจผิดว่าฉันคิดเป็นอื่นไกล พะโป้เป็นคนมีความตั้งใจดีต่อชาวปากคลองโดยทั่ว ๆ ไป และต่อฉันโดยเฉพาะ ฉันชอบใจแกในข้อนั้น แต่ฉันก็ยอมรับไม่ได้ ตราบใดที่ผู้ใหญ่พูนยังมีชีวิตอยู่ ฉันจะไม่ยอมรับตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน ขอให้ฉันสมนาคุณความรักใคร่เอ็นดูที่พวกปากคลองมีต่อฉัน ตามทางของฉันต่อไปดีกว่า”

อีกหลายคนพยายามคัดค้าน และหลายคนก็ขอร้อง แต่รื่นคงยืนกรานกระต่ายขาเดียว จนกระทั่งอ่อนอกอ่อนใจไปตาม ๆ กัน บรรดาชาวบ้านเหล่านั้นต่างก็ทยอยกลับ ชั่วเวลาไม่ช้าไม่นาน ลานบ้านทั้งลานบ้านก็ว่างเปล่า”

“ใจเอ็งแข็งเกินไปแล้วอ้ายทิด” ป้าแคล้วเอ่ยขึ้นแก่เขา ขณะที่กลับขึ้นไปนั่งล้อมวงกลางนอกชานใหม่ “แต่ข้าก็ดีใจที่เอ็งทำอย่างนั้น เห็นหน้าอ้ายพูนวันนี้แล้วอดสังหรณ์ไม่ได้เลยว่ากลัวจะมีอะไรเกิดขึ้น”

คืนนั้นทั้งคืน ผู้ใหญ่พูนไม่กลับบ้าน ไม่มีใครบอกถูกว่าแกไปที่ไหน ทั้งริ้วและโรยตามไปที่บ้านไร่ เปล่า, แกไม่ได้แวะไปที่นั่น สองพี่น้องเลยไปถึงคลองเหนือก็ได้ความอย่างเดียวกัน เมื่อหล่อนกลับมา สีหน้าบอกความไม่สบายใจเลย หล่อนแวะเข้าไปที่บ้านรื่น ปรารภกับเขาด้วยความร้อนใจว่า

“ฉันลืมเล่าให้อารื่นฟังว่า ตั้งแต่กลับมาจากเมืองวันนั้น พ่อไม่ค่อยพูดค่อยจาอะไรเลย ยิ่งไฟไหม้บ้านถูกแม่บ่นกับเอาสากตีหัว ก็ยิ่งผิดไปเกือบคนละคน ไม่กินข้าวกินปลา พูดแต่ว่าจะกลับเวียงจันทน์ท่าเดียว–”

“อย่าเพิ่งวุ่นวายอะไรไป” รื่นปลอบโยน “พ่อเอ็งกำลังกลุ้มใจ คงจะไปขลุกอยู่ที่บ้านใครสักแห่งหนึ่ง ปล่อยเถอะ พรุ่งนี้ค่อยคลายกลัดกลุ้มก็คงกลับมาเองหรอก”

แต่แม้จะบอกไปอย่างนั้น ใจของเขาก็อดสั่นไม่ได้ เมื่อคิดถึงสีหน้าซึ่งซีดเผือดเหมือนผีตาย และกิริยาอันแปลกประหลาดของผู้ใหญ่พูนเมื่อตอนจะจากไป รื่นเข้านอนด้วยความกระสับกระส่าย จนกระทั่งสุดใจเองก็ผิดสังเกต

“เป็นไรไปหรือ พี่รื่น ?” หล่อนถามมาจากความมืด

“เรื่องผู้ใหญ่พูนซี สุดใจ” เขาบอก “ลองทายทีว่า แกไปที่ไหนของแก ?”

“ถ้าบ้านไร่กับคลองเหนือไม่มี ก็เหลือแต่ที่วัดหรือบ้านใต้” สุดใจออกความเห็น

บางทีก็จะเป็นได้อย่างว่า เมื่อพิจารณาถึงความแก่วัดของแก คิดเช่นนั้นรื่นก็ค่อยสบายใจ เขาหลับไปได้ตื่นใหญ่ ๆ ก็พอรู้สึกถูกจับแขนเขย่า จึงลืมตาขึ้นในเวลาดึกสงัด

“อะไรกัน สุดใจ ?”

ในขณะนั้น สุดใจลุกขึ้นนั่ง หล่อนกำลังเงี่ยหูฟังสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ด้วยความตื่นเต้น

“ฟังนั่นแน่ะ พี่รื่น” หล่อนกระซิบ “ได้ยินตั้งแต่ฉันตื่นเมื่อชั่วครู่ใหญ่ ๆ แล้ว หรือว่าหูฉันฟังผิดไป”

แม้จะเป็นในเวลาอันงัวเงีย เพราะเพิ่งแรกตื่น หูของรื่นก็แว่วเสียงนั้น ชั้นแรกอย่างรางเลือน เหมือนเกิดจากเสียงลมซึ่งลวงหูตนเองก่อน แล้วต่อมาก็ค่อยชัดขึ้นเป็นลำดับ จนเชื่อว่าฟังไม่ผิดแน่

“ใครตีเกราะ ?” เขาผลุดลุกขึ้นนั่งอย่างเดียวกับหล่อน “ตีมาจากไหน ?”

ในท่ามกลางความสงบเงียบของเพลาดึกสงัด และอากาศกำลังเย็นสุขมเช่นนั้น เสียงรัวของมันเหมือนจะสะท้านเข้าไปในหัวใจ แม้ตามสำเนียงมันจะต้องข้ามน้ำมาแต่ไกลจากความทรงจำมากกว่าความสังหรณ์หรืออุปาทานอื่นใดอื่น รื่นจำได้เกือบจะในอึดใจต่อมา ว่ามันเป็นฝีมือของผู้ใด

“ผู้ใหญ่พูน !” เขาพูดพึมพำ “แต่ทำไมไปตีอยู่ฝั่งโน้น?”

เสียงเกราะคงรัวต่อไป เดี๋ยวถี่ เดี๋ยวห่าง เดี๋ยวจังหวะสั้น เดี๋ยวจังหวะยาว ทำนองเดียวกันกับแกเรียกลูกบ้านเมื่อตอนหัวค่ำ ครั้นแล้วก็เนิบช้าและแผ่วเบาลงเป็นลำดับ จนกระทั่งในที่สุดก็เงียบหายไป

“ทำไมไปที่อยู่ที่ป่าพุทรา ?” รื่นพยายามตรับฟังจนจับทิศที่เสียงนั้นแว่วมาได้ถนัด

“พี่รื่น ?” สุดใจผวาเข้ามาหาเขา กอดแขนไว้แน่น

“ทำไม ?”

ร่างของหล่อนสั่นเทิ้ม ขนลุกเกรียวไปทั้งกายขณะที่กล่าวตอบ

“นึกไม่ได้หรอกรึพี่รื่น ตรงนั้นน่ะ ป่าช้าที่ฝังศพพวกบ้านนี้มาแต่ไหนแต่ไร ?”

แขนข้างหนึ่งของเขาโอบหล่อนไว้โดยมิได้เอ่ยตอบประการใด ไม่มีความจำเป็นอะไรที่เขาจะต้องตอบ เข้าใจดีเสียยิ่งกว่าจะฟังคำอธิบายต่อไปในความหมายที่หล่อนอุทาน

“เป็นไปได้ถึงเพียงนั้นทีเดียวหรือ สุดใจ ?” เขากระซิบ อีกหลายอึดใจต่อมา “เป็นไปได้ทีเดียวหรือ ?”

แต่คำตอบที่เขาได้รับมีแต่ความเงียบสงัดเหมือนป่าชัฏที่ปกคลุมอยู่ในห้องนั้น และอากาศที่เย็นจัดขึ้นเป็นลำดับ ในยามที่น้ำค้างตกหนักอยู่ข้างนอก สุดใจกอดเข่าแน่นขึ้น ขณะนั้นเองรื่นจึงได้ยินเสียงสะอื้นออกมาจากลำคอของหล่อนถนัด........

เขาและชาวคลองสวนหมากใต้ ข้ามไปพบผู้ใหญ่พูนแขวนโตงเตงอยู่ข้างเกราะของแกที่ต้นหมัน ข้างป่าช้าฟากโน้นในวันรุ่งขึ้น นัยน์ตาทั้งคู่ถลน ลิ้นห้อยออกมาคาปาก แต่มือของแกยังคงกำไม้ที่ตีไว้แน่น เหมือนเป็นสายใยเส้นสุดท้ายที่ชีวิตและหัวใจของแกแขวนอยู่ !

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ