เมื่อปีเก่าผ่านไปและปีใหม่มาถึง ข่าวเสด็จประพาสกำแพงเพชรของสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ซึ่งชั้นแรกรู้กันไม่กี่คน ก็ยิ่งแพร่ออกไปเพราะคำบอกเล่าจากญาติสนิทมิตรสหาย ผู้ระแคะระคายในข่าวนั้น หรือเสียงโจษขานกันหนาหูขึ้น รื่นยังคงข้ามฟากไปเมืองทุกวันที่ว่างงาน ถึงกระนั้น ก็ยังไม่ได้รับการยืนยันจากพวกจวนเก่า ซึ่งนับว่าอยู่วงในเกี่ยวกับความเป็นอยู่และเป็นไปในกรุงเทพฯ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในราชสำนักหรือจากคณะกรมการจังหวัดให้เป็นการแน่นอนชัดแจ้งอย่างหนึ่งอย่างใดลงไป จนกระทั่งเขาเองเริ่มสงสัยว่าข่าวที่ได้รับจากท่านเจ้าคุณ ผู้ว่าราชการจังหวัดจะคลาดเคลื่อนหรือมิฉะนั้นก็เป็นนโยบายอย่างหนึ่งอย่างใดของท่าน เพราะตั้งแต่ข่าวนั้นแพร่งพรายออกไป บ้านไร่ และปากคลองอุ่นหนาฝาคั่งคึกคักขึ้นทุกวัน ด้วยเพื่อนบ้านหน้าใหม่ บ้างอพยพจากภูมิลำเนาเดิมภายในบนฝั่งคลองสวนหมาก และบ้างก็จากพรานกระต่าย คลองเมือง ท่าไม้แดง ตลอดจนตำบลอื่น ๆ ในแขวงเมืองตากมาตั้งเหย้าเรือนลงที่นั่น ด้วยอยากได้ชมบารมีเจ้าชีวิตเหนือหัวของเขา

“เจ้าเมืองท่านจะพูดให้พวกเราดีใจเท่านั้นก็ไม่รู้” เขาบอกท่านพระครูขณะที่ไปนมัสการท่านในค่ำวันหนึ่ง

แต่ท่านพระครูไม่เห็นด้วยในข้อนั้น “ฉันรู้จักเจ้าคุณกำแพงมานาน” ท่านว่า “เป็นคนพูดอะไรเป็นนั่นถ้าข่าวการเสด็จคลาดเคลื่อนไป ก็ต้องมีใครทำให้ท่านเชื่อด้วยความแน่ใจอย่างนั้น นอกจากนี้ เมื่อวานซืนฉันข้ามไปเยี่ยมพวกจวนเก่า เจอะหลวงอภัยเขาเพิ่งขึ้นมาจากกรุงเทพฯ ก็ว่าเสด็จแน่ แต่เรื่องเวลาเท่านั้นยังกำหนดเอาแน่ไม่ได้ ทางนครสวรรค์ก็กำลังวุ่นกันอยู่เหมือนกันในเรื่องเวลา จู่ ๆ พลับพลายังไม่ทันเสร็จ เกิดเสด็จมาถึงจะลำบาก”

“เรื่องนี้ผมรอคำสั่งจากทางเมืองด้วยความร้อนใจ” รื่นบอก “สงกรานต์แล้ว คนเข้าป่ากันหมด เกิดสั่งให้เกณฑ์ราษฎรสร้างพลับพลา จะหาคนที่ไหนไปให้ เคยเรียนถามคุณปลัด ๆ ให้ไปถามนายอำเภอ นายอำเภอให้ไปถามเจ้าเมือง เรื่องจึงยังคารังคาซัง ผมยังไม่รู้ว่าถ้าไปเรียนถามเจ้าเมืองเข้า ท่านจะให้ไปเรียนถามเทศาถึงปากน้ำโพหรือไม่”

ท่านพระครูได้ฟังก็หัวเราะ “ฉันจะลองถามเจ้าคุณท่านให้ เวลาพบกันคราวหน้า แต่ถ้าใจร้อนอยากจะรู้เร็วละก้อ ทำไมไม่ลองถามนางหลานสาวเจ้าคุณคนนั้น ฉันได้ข่าวว่าผู้ใหญ่ไปหาเขาที่จวนเก่าบ่อย ๆ ไม่ใช่รึ ?”

“ผม........ผมไปธุระเรื่องเกี่ยวกับป่าไม้ที่ผมจะทำต่อไปในปีหน้า หน้าผากของรื่นร้อนผ่าว ใบหูทั้งคู่ของเขาแดงเรื่อขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ท่านพระครูเงยหน้าจากถ้ำชา เลิกคิ้วด้วยความมหัศจรรย์อย่างจริงใจ

“ฉันไม่ยักรู้ว่าทางบ้านเมืองเปิดให้ทำป่าไม้ในเมืองเก่าได้” ท่านว่า “ไหนวันหนึ่งฉันไปหาหลวงพิพิธเขา ถามถึงคุณละเมียด ก็บอกว่าไปเที่ยวเมืองเก่ากับผู้ใหญ่

“นั่นนายเสถียรเขาขอร้องให้ผมพาคุณละเมียดไป” รื่นถอนใจแรง “แต่ธุระที่ผมว่าเกี่ยวกับป่าไม้แม่ระกา กะป่าวังพระธาตุ เกาะขี้เหล็ก ปีหน้าผมจะลงมือค้าไม้ใหม่”

ข่าวนั้นอีกเหมือนกันเป็นที่แปลกใจท่านพระครู

“ฉันเคยรู้แต่ว่ารื่นกับนายเสถียร เหมือนน้ำกับน้ำมัน ท่านมองดูเขาพลางซดน้ำชาพลาง “แต่ก็ดีแล้วที่เข้ากันคบกันได้ จะเป็นประโยชน์แก่ผู้ใหญ่ต่อไปในกาลข้างหน้า ทั้งผัวทั้งเมียเป็นคนที่พวกทางเมืองเกรงใจ”

รื่นอยากจะร้องออกไป ว่ามันมิได้เกี่ยวกับนายเสถียรเลยจนนิดเดียว ที่ทำให้เขาต้องข้ามไปที่จวนเก่าและเข้าไปในเมืองร้าง และธุระการงานข้างหน้าซึ่งเจรจากันเป็นเครื่องพรางตาเท่านั้น ของความสัมพันธ์ระหว่างเขากับละเมียด อันมีมาแต่ก่อน และยังคุกรุ่นอยู่ในใจโดยไม่มีวันเสื่อมคลาย

สำหรับเขา ใบหน้าของละเมียดที่แรกปรากฏขึ้นภายใต้ร่มเงาของกอไผ่ที่วังกระทะนั้น เหมือนแสงเดือนแสงตะวันซึ่งส่องลงไปในชีวิตที่มืดมน เพราะความทนทุกข์ทรมานและสิ้นอาลัยตายอยากต่อสิ่งแวดล้อมของเขา และทุกฝีก้าวที่หล่อนใกล้เข้ามา หมายถึงการยกตัวเขาลอยขึ้นมาเหนือขุมนรกเหล่านั้น วาจาของท่านผู้ว่าราชการจังหวัดในวันนั้นเกือบไม่มีความหมายสำคัญ การปลอบโยนของใคร ๆ ก็เช่นเดียวกันเมื่อสายตาของหล่อนแลจับอยู่ที่หน้า วาจายังกรอกหู และรู้อยู่แก่ตนทุกชั่วลมหายใจเข้าออกว่า ความรักและความปรารถนาดั้งเดิมของเขายังไม่สูญหายไปไหน

บ่ายวันหนึ่งขณะที่นั่งพักอยู่ด้วยกันแต่ลำพังในลานวัดร้างของเมืองเก่า ใต้ร่มเงาของใบเสมาศิลาแลง ซึ่งเอนทรุดลงมาชะโงกเง้อมอยู่เหนือศีรษะเหมือนหลังคาถ้ำ คอยนายเสถียรและเพื่อนชาวพระนครลงไปล้างหน้าและเช็ดตัวอยู่ที่สระน้ำ ก่อนเดินทางกลับ รื่นผวาเข้ารวบมือทั้งสองของหล่อนไว้ เพราะบังคับใจและความปรารถนาอันตื่นตัวขึ้นมาอย่างกระทันหันไม่อยู่

“ผมคอยโอกาสอย่างนี้มาหลายปีเต็มที่ ตั้งแต่คืนนั้นหน้าวังพระธาตุ” เสียงของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึก “คิดถึงคุณละเมียดหรือใจจะขาด – ว้าเหว่หรือเหมือนจะเป็นบ้าตาย”

“อย่า – – รื่น!” สีหน้าของหล่อนซีดเผือดมือที่อยู่ในการเกาะกุมของเขาเย็นเฉียบ แต่ก็มิได้ขยับเขยื้อนหรือดิ้นรนอย่างไร “อย่ารื้อฟื้นสิ่งที่ล่วงไปแล้วแต่หนหลังกลับขึ้นมาอีก ถ้าเรารักจะคบกัน อยู่ใกล้กันต่อไปข้างหน้า เราต่างคนต่างมีภาระที่จะต้องทำ รื่น––ปากคลองและอนาคตของคนพวกนั้น ฉัน––กิจการป่าไม้ที่จะต้องรับช่วงมาจากเขา มันเป็นภาระยิ่งใหญ่กว่าตัวเรา––ยิ่งใหญ่กว่าชีวิต !”

“ตัวของเรา มีความหมายอะไร เมื่อปราศจากสิ่งที่ปรารถนา ชีวิตมีค่าอะไร เมื่อปราศจากซึ่งกันและกัน” เสียงของเขาสั่นและห้าว “ทุกคืนทุกวันผมฝันถึงแต่คุณละเมียด คิดถึงแต่คุณละเมียด ท่ามกลางนรกเหล่านั้น––คิดและฝันถึงสิ่งที่ไม่มีโอกาสจะเป็นของผมอีกต่อไป”

“มันเคยเป็นของรื่นมาแล้ว และจะเป็นของรื่นตลอดไป” หล่อนตอบปลอบใจอย่างอ่อนโยน “ความรักมิใช่สิ่งที่จะต้องแสดงออกนอกหน้าเสมอไปรื่น ฉันคิดว่าข้อนี้เป็นที่ตกลงกันแล้วแต่คืนนั้น คืนสุดท้ายที่หน้าวังพระธาตุ”

เขาคลายมือจากหล่อนทันที สีหน้ามิได้เปลี่ยนไปขณะที่นั่งกอดเข่าตัวตรง

“ขาดกันเพียงแค่นั้นเองหรือคุณละเมียด ?”

“เปล่าเลย, ความรักไม่มีขาดไม่มีหยุด เหมือนกระแสน้ำที่ต่อเนื่องกันไป เหมือนกระแสลมในอากาศขาดการติดต่อทางกาย หรือห่างไกลกัน มิได้หมายความว่ารักนั้นพลอยขาดไปด้วย”

และอีกครั้งหนึ่ง รื่นก็กลับเป็นเด็กที่ว่าง่าย เพราะหมดหนทางที่จะเอาชนะเหตุผลและวาจาของหล่อนได้ เขารู้จากสีหน้า จากนัยน์ตา แม้กระทั่งหัวใจว่า ละเมียดหมายความตามที่หล่อนพูดด้วยความจริงใจ เขาเชื่อว่าหล่อนยังรักเขาอยู่ และจะรักต่อไป ถึงกระนั้นก็มิใช่ทางที่เขาต้องการจะให้หล่อนรัก

“จะให้ผมเชื่อได้อย่างไรว่า ผู้หญิงคนเดียว เป็นเมียผู้ชายสองคนแล้วก็รักเอาด้วย” เขาอดต่อท้ายไม่ได้

นัยน์ตาของละเมียดเป็นประกายวับขึ้นมาทันที เมื่อได้ยินประโยคนั้น

“ฉันอาจจะเป็นเมียผู้ชายสองคน–นั่นเป็นเหตุการณ์ที่ช่วยไม่ได้” เสียงของหล่อนต่ำและห้าว “แต่รักของฉันมีหนเดียว––ผู้ชายที่ฉันรักมีคนเดียว––ผู้ชายที่ตามืดมองไม่เห็นอะไร พูดจากันไม่รู้เรื่อง!”

ความขุ่นเคืองของหล่อนครั้งนั้นเป็นครั้งแรก ในความสัมพันธ์ระหว่างหล่อนและเขาแต่เดิมมา มันเกือบจะเป็นชนวนของการวิวาทแตกร้าวไปชั่วกาลอวสาน แม้กระนั้นเมื่อพบกันอีกครั้ง ระหว่างที่นายเสถียรและเพื่อน ๆ ของเขายังไม่ล่องใต้ สีหน้าของละเมียดก็กลับยิ้มแย้มแจ่มใสเป็นปกติเหมือนเก่า

“คุณละเมียดคงหายโกรธผมแล้ว ?” รื่นกระซิบ ถามหล่อนเมื่อตอนจะอำลาจากมา

ยิ้มละไมอย่างเต็มไปด้วยความเวทนาปรานีของพี่เลี้ยงที่แสดงต่อเด็กในความเลี้ยงดู เป็นคำตอบอยู่บนใบหน้าของหล่อน

รื่นแลเห็นก็ถอนใจยาว “ผมจะไม่พูดจาอะไรที่ก้าวร้าวหยาบคายให้คุณละเมียดเคืองอีกเลย”

“รื่นไม่ใช่คนหยาบคาย” หล่อนกระซิบตอบปลอบใจเขา “แต่ก้าวร้าวหยาบคายอย่างไร ฉันก็โกรธและเกลียดรื่นไม่ลง”

จนกระทั่งเสถียรและเพื่อน ๆ ล่องใต้ และหล่อนยังอยู่ที่กำแพงเพชรเพื่อจัดธุระเรื่องตั้งสาขาที่ทำการของบริษัทใหม่ รื่นก็ยังคงข้ามไปมาหาสู่อยู่เป็นปกติ ในฐานที่รู้จักคุ้นเคยกันมา และ––ตามสายตาของชาวเมืองทั้งปวง––ติดต่อในเรื่องการค้าไม้

ไม่มีหนทางเลย ที่เขาจะเล่าให้ท่านพระครู หรือใคร ๆ ฟังถึงเรื่องเหล่านั้นได้ ไม่มีใครที่จะเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างละเมียดกับเขา บางคราวมองเห็นสุดใจกุลีกุจออยู่ในการอาบน้ำป้อนข้าวลูก หรือตักน้ำตำข้าวหน้าดำคร่ำเครียด ผมเผ้าเป็นกระเซิง ก็อดรู้สึกเสียวปลาบเข้าหัวใจไม่ได้ เมื่อคิดว่าหล่อนปล่อยปละละเลยตัวเองลงไปเพียงใด และเขาห่างเหินหล่อนไปเพียงใดในระยะหลัง ๆ นี้ แม้กระนั้นสีหน้าของหล่อนก็ดูเต็มไปด้วยความพอใจในชีวิตหล่อนบำเพ็ญด้วยการอุทิศเวลาทั้งวัน และแรงงานทั้งปวง เพื่อลูกและเขา

คืนวันหนึ่งค่อนข้างเมากลับจากบ้านไร่ ซึ่งเขาต้องไปเป็นเฒ่าแก่สู่ขอลูกสาวรายหนึ่ง ให้แก่ลูกชายของเพื่อนบ้านใกล้เคียง รื่นขึ้นบันไดเรือนเซเปะปะข้ามนอกชานไปถึงระเบียงได้ก็ล้มตัวลงนอน และเรียกหาสุดใจในเวลานั้น หล่อนกำลังกกลูกอยู่ในห้อง ซึ่งเพิ่งหยุดร้องไห้ไปใหม่ ๆ จะออกมาก็ไม่ได้ จะขานรับก็กลัวลูกจะตื่น รื่นเรียกและเรียกเสียงอ้อแอลิ้นไก่สั้น เหมือนเด็กแดง ๆ จนกระทั่งพื้นเสีย ตะเกียกตะกายลุกขึ้นได้ เซไปเกาะประตูไว้ มองดูสุดใจแล้วก็มองดูลูก

“อยู่แค่นี้แหละ ขานไม่ได้” เขาสะอึก

สุดใจเงยหน้าขึ้น ยกมือแตะริมฝีปาก เป็นสัญญาณเตือนให้เบา

“ให้มันเห่าไป––กลัวอะไรกะเด็กร้อง” เขาพยายามยกเท้าข้ามธรณีประตูเข้าไปในห้อง พอมือหลุดจากขอบประตู ศีรษะซึ่งหนักก็ง้ำไปข้างหน้า เซถลาเหมือนจะล้มลงไปทับลูก ภรรยาก็ถลันลุกขึ้นรับไว้ประคองไปที่ ๆ นอน

“บอกว่าเงียบ ๆ อ้ายหนูมันเพิ่งหลับไปเดี๋ยวนี้เอง” หล่อนว่า

“โตเป็นวัวเป็นควายแล้ว จะต้องกกต้องกล่อมมันไปถึงไหน” รื่นบอก “มานอนกะข้าดีกว่า”

“โธ่ ยังไม่ได้อาบน้ำอาบท่าเลย เหม็นสาบไปทั้งตัว” สุดใจอิดเอื้อน

สามีจับมือหล่อนไว้ “อยู่มาด้วยกันลูกตั้งโขลงแล้ว กลัวอะไรกะเหม็นสาบ”

เขาผลักหล่อนลงนอนข้าง ๆ แสงสว่างจากตะเกียงลานที่หรี่ไว้บนโต๊ะเล็กเหนือหัวนอน ส่องต้องร่างอันเปลือยเปล่าของหล่อนและเขา ความปรารถนาใดๆ ซึ่งลุกโพลงขึ้นมาชั่วคราวด้วยฤทธิ์สุราก็อันตรธานหายไป ––– ไม่มีอะไรของสุดใจคนเก่าจะเหลืออยู่อีกในสุดใจคนนี้........ผมที่เคยละเอียดและหอมสะอาด ตามกลิ่นธรรมชาติเกรอะกรังไปด้วยรังแค และเกือบไม่เคยหวี ผิวที่เคยเปล่งปลั่งและเนียนแก่การสัมผัส หยาบกระด้างและกร้านไปด้วยการกรำแดด และกรำงาน ทรวงอกที่เคยเต่งตึงหย่อนยานจนหารูปไม่ได้ สุดใจนอนนิ่งอยู่ที่นั่น เหมือนเนื้อที่ขึ้นเขียง ยื่นคอรอพรานฆ่า เหมือนทาสที่คอยปฏิบัติหน้าที่ตามบัญชาสั่งของนาย – เหมือนอะไรทุกสิ่งทุกอย่างที่ปราศจากชีวิตจิตใจ นอกจากหญิงที่รอการแสดงความรักจากชาย หรือเมียที่คอยการเล้าโลมของผัว––! ชั่วขณะหนึ่ง เขากลั้นใจและก้มลงจูบที่แก้มซึ่งเริ่มย่นและเย็นชืด ด้วยความจำเป็น เพราะเห็นหล่อนนอนหลับตาคอยจูบนั้น อย่างที่เคย ๆ มามากกว่าเหตุอื่น แต่ทันทีที่สัมผัสกัน รื่นก็โถมเข้ากอดหล่อนไว้แน่น จนกระทั่งหล่อนลืมตาขึ้นด้วยความตกใจ

“อะไรกันพี่รื่น ?” เสียงของหล่อนตื่นตระหนกตกประหม่า

ชั้นแรกสุดใจคิดว่าเป็นอุปทาน ครั้นแล้วจึงสำนึกแน่ว่า เป็นของจริงเมื่อน้ำตาอุ่น ๆ หยาดหนึ่ง หยดแหมะลงต้องใบหูหล่อน––รื่นกำลังร้องไห้ !”

“อะไรกัน, พี่รื่น?” สุดใจพยายามจะลุกขึ้นนั่ง พยายามเผยอศีรษะจะแลดูหน้าเขาให้ถนัด แต่ไม่สามารถจะพลิกตัวให้หลุดพ้นออกไปจากอ้อมแขนของเขาได้ หล่อนยื่นมือออกไปลูบแก้มเขา ซึ่งยังอุ่นอยู่ด้วยคราบน้ำตา

“สุดใจ !” เสียงเครือของเขาหลุดออกมาจากลำคอ ภายหลังที่สะกดกลั้นอยู่นาน เสียงนั้นกลับเป็นปกติ ปราศจากวี่แววของฤทธิ์เมา แม้กลิ่นเหล้าจะระคนอยู่ในลมหายใจ “นี่ ไม่ใช่ฝันไม่ใช่หรือสุดใจ ? ไม่ใช่การละเมอเพ้อพกอะไร มันเป็นความจริงทุกอย่าง เอ็งกับข้า ลูกแล้วก็เรือนนี้ เดือนและปีที่เราผ่านมาด้วยกัน–– ออกจะนานเหลือเกิน––นานเหมือนชั่วอสงไขย แต่มันก็เป็นความจริง เอ็งยังเป็นเอ็ง ข้ายังเป็นข้า ถึงแม้ว่าจะหลายคนและหลายสิ่งและหลายอย่างจะพลัดพรากไปจากชีวิต”

ลมเย็นวูบหนึ่งพัดเข้ามาในห้องพร้อมกับเสียงฟ้าร้องมาแต่ไกล แสงไฟจากตะเกียงลานที่หรี่ไว้วอมแวมลุกเป็นควัน แล้วก็สว่างนวลต่อไป

“นานเหมือนอสงไขย แต่ก็เป็นความจริงทุกอย่าง” คางซึ่งระคายไปด้วยเคราของเขา เกลือกกลิ้งอยู่กับทรวงอกอันแฟบของหล่อน

สุดใจนอนลืมตาโพลง ดูอกไก่เบื้องบน ไม่พูดอะไร ไม่พยายามพลิกตัวอีกต่อไป อกไก่อันเดียวกัน ที่นอนก็เกือบจะแห่งเดียวกัน กับอกไก่ที่หล่อนดู และที่ซึ่งหล่อนนอนในคืนแรกของการแต่งงาน ก่อนที่นัยน์ตาอันหรี่ปรือจะหลับสนิท เพราะความรู้สึกซึ่งแทบสำลักไปด้วยความเสน่หา และเสียงมโหรีกล่อมหอจะจางหายไปจากหู

“นานเหมือนอสงไขย” รื่นถอนใจเอ่ยขึ้นอีก หน้าของเขาในที่สุดก็ซบนิ่งอยู่กับซอกคอของหล่อน “แต่ดู ๆ ไปก็เหมือนเมื่อวาน––”

หล่อนไม่เข้าใจความหมายจนคำเดียวว่าเขาพูดถึงอะไร แต่นั่นไม่สำคัญ ตราบใดที่เขายังพูด และเปิดโอกาสให้หล่อนมีเวลาคิด ในชีวิตสาวของหล่อน สุดใจไม่เคยต้องการอะไร นอกจากผู้ชายคนหนึ่งซึ่งจะเป็นที่รัก ที่เคารพ เชื่อฟังและบูชา––ผู้ชายที่จะเป็นหลักประกันสวัสดิภาพของชีวิต ในอนาคตอันแสนไกลได้ แต่หลังจากได้ผู้ชายคนนั้นแล้ว หล่อนต้องการอีกหลายอย่าง ลูกที่สืบเชื้อสาย ที่ทางที่ทายาทเหล่านั้นจะได้ยึดเป็นหลักแหล่งที่ทำมาหากินต่อไป ไม่น้อยหน้ากว่าชาวบ้านที่อยู่เก่า หรือเพื่อนบ้านที่มาใหม่ หล่อนไม่เคยได้คิด จนกระทั่งบัดนี้ เมื่อคลื่นของคืนวันในวัยสาวหวนกลับมาสู่ความทรงจำรำลึกขณะที่มองดูอกไก่ได้คิดถึงความอบอุ่น ซึ่งดูเหมือนจะไม่เคยจางไปจากพื้นห้องตรงที่ตั้งเตียงวิวาห์ ว่าการได้ผู้ชายไว้เป็นกรรมสิทธิ์ กับเข้าใจในความรู้สึก และความต้องการของผู้ชายคนนั้น เป็นคนละเรื่อง คนละปัญหาต่างหากจากกันเพียงไร

หลายต่อหลายปีมาแล้ว––นานจนกระทั่งหล่อนเกือบจะจำไม่ได้ รูปร่างหน้าตาและการแต่งกายของสุดใจเกือบไม่มีความหมายสำหรับหล่อนอีกต่อไป การตอบแทนความรักความต้องการของเขา ก็เกือบไม่มีอะไร นอกจากถือเป็นหน้าที่ เขาเป็นผู้ขอและหล่อนเป็นผู้ให้ ไม่มีการเอียงอาย ไม่มีจริตขบวน หรือบิดเบือน ที่จะเตือนความปรารถนาแต่อย่างใด

“เหมือนคนตาย –– เหมือนศพ” ครั้งหนึ่งเขาเคยพึมพำด้วยความผิดหวังและขมขื่น ลุกขึ้นและแต่งตัวออกจากบ้านไป

และสุดใจก็คิด “เขาไม่อยากได้ฉันแล้ว –– เพราะหมดสาวหมดสวยอีกต่อไป”

ผู้ชายคนเดียวกันนี้เอง กอดหล่อนแน่นไว้กับทรวงอกในขณะนี้ พึมพำภาษาที่หล่อนไม่เคยเข้าใจ พูดถึงสิ่งที่หล่อนเคยคิดเป็นปริศนา เพียงแต่ว่าครั้งนี้หล่อนทราบดีว่าเขาหมายถึงอะไร

“หลับแล้วหรือสุดใจ ?”

ปีใหม่ทุกปี สงกรานต์ทุกครั้งและเสียงเพลงแม่ศรีของทุกคน ไหลหลั่งถั่งมาท่วมท้นหัวใจหล่อน กลิ่นฟางกลางทุ่งนาน้ำลาด และควันจากป่าพงบนไร่เกาะผ่านไปในสมอง ห้องทั้งห้องเต็มไปด้วยบุคคล และคืนวันซึ่งผ่านมาแล้วแต่หนหลัง–

รื่นพลิกตัว เผยอศีรษะขึ้นมองดูหน้าหล่อน ครั้นแล้วก็ลุกขึ้นนั่งด้วยความประหลาดใจ เมื่อเห็นนัยน์ตาทั้งคู่ของภรรยาลืมโพลงอยู่

“คิดว่าเอ็งหลับ ถามอะไรไม่ตอบ พูดอะไรไม่ได้ยิน” เขาบอก ก้มลงพิจารณาหล่อนในระยะชิด “มองดูอะไรของเอ็ง สุดใจ ?”

“พี่รื่นกะฉัน !”

“ข้ากะเอ็ง ?” สามีผงะด้วยความพิศวงงงงัน

ครั้นแล้วเขาก็เข้าใจ เมื่อเห็นประกายรักในตาหล่อน เห็นยิ้มที่เต้นอยู่ที่ริมฝีปาก และความปรารถนาที่ร่ำร้องอยู่ในหัวใจ ชีวิตถอยหลังกลับไปสู่ยุคและวัยครั้งกระโน้นอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งหล่อนยังเป็นเด็กสาวอายุ ๑๖ ปี สวมกำไลลงไปที่ท่าน้ำในวันนั้น และเขากลับเป็นรื่นหนุ่มฉกรรจ์ผู้ตัดใจยอมสละชีวิตโสด เพื่อหญิงคนแรกที่เขารัก ––

“เอ็งยังเป็นเอ็ง ข้ายังเป็นข้า, สุดใจ” รื่นก้มลงไปอีก จูบให้ทั้งที่แก้มซ้ายและแก้มขวา “ถึงเวลาจะล่วงไป วัยจะร่วงโรย”

เวลามีความหมายอะไร วัยและสังขารมีความหมายอะไร สำหรับสายตาที่แจ่ม หัวใจที่จำ และความสงสาร ซึ่งมีอำนาจแรงกล้ายิ่งกว่าสิ่งใด ? จากความสำนึกในข้อนั้นเอง รื่นก็ตื่นขึ้นสู่ชีวิตใหม่ ซึ่งทุกสิ่งที่เป็นสุดใจ และของสุดใจ เต็มไปด้วยความสวยสดงดงาม

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ