บทที่ ๑๐
– ๑ –
เช้าวันนั้น เรืองด้อม ๆ มอง ๆ อยู่นาน จนกระทั่งป้าแคล้วไปไร่ สุดใจกับจำปาหอบลูกข้ามไปเมืองเพื่อซื้อของเตรียมทำบุญที่วัด เห็นรื่นไสกบและเลื่อยไม้ประกอบเครื่องมือง่วนอยู่ที่ไต้ถุนเรือนใหญ่แต่ลำพังจึงได้เร่เข้าไปหา
“อ้าว ไหนว่าไปเรือกับสุดใจ ?” รื่นเงยหน้าขึ้นมองอย่างอัศจรรย์ใจ
“อ้ายพันเขารับอาสาถ่อ จำปาคัดท้าย ฉันก็เลยต้องรับเฝ้าบ้าน” เรืองบอก
“งั้นอ้ายแววก็เห็นจะไปอยู่บ้านไร่”
“จ้ะ ไปบ้านไร่ ! ตั้งแต่กลับจากป่า อ้ายหอกนั่นไม่เป็นทำอะไร เช้าถึงบ้านไร่ เย็นถึงบ้านไร่”
รื่นส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ แล้วก็หัวเราะ “มันจะเอาชนะอ้ายพันให้ได้” เขาว่า
“แต่มันแพ้อ้ายเคนวันยังค่ำ”
“ทำไม?”
“โธ่พี่รื่น” สีหน้าของเรืองบอกความแปลกใจ “ไม่รู้เรื่องที่เขารู้กันทั้งบ้านไร่หรอกรึ อีอุ่นเรือนเป็นเมียอ้ายเคนตั้งแต่ก่อนออกป่า กลับมามันก็เป็นของอ้ายเคนอีกเท่านั้นเอง”
“แต่มันเป็นเมียอ้ายแววเหมือนกัน” รื่นบอก “อ้ายพันด้วยอีกคน...”
“จะแปลกอะไร อีสีดาเป็นเมียของผู้ชายมาเกือบทั้งบ้านไร่ ก่อนได้กับอ้ายลี แต่อีอุ่นเรือนจะเซ่นผีเหย้าเรือนกะอ้ายเคนน่ะ แน่อย่างไม่มีปัญหาละ....”
“แล้วอ้ายแววจะเซ่อไปหาอะไรของมัน ?”
“ใครจะไปรู้ เห็นแต่กลางคืนนอนกะฉัน ละเมอแต่ว่าขาวเหมือนจาวตาล....ขาวเหมือนจาวตาล ! อะไรของมันไม่รู้ได้”
แต่รื่นรู้และเข้าใจ ผู้ชายที่จริงจังต่อชีวิตเกินไปอย่างแวว มิใช่คนที่จะลืมอะไรได้ง่าย ๆ ใจอ่อนและเปราะเกินไป สำหรับในโลกที่ความรักหมายถึงการลืม และผู้หญิงหมายถึงเครื่องเล่นของอารมณ์ เขารู้ต่อไปว่าลำพังการลักลอบได้เสียกับอุ่นเรือนครั้งนั้น มิได้มีความหมายสำคัญสำหรับแวว มากไปกว่าความเวทนาสงสาร ขณะที่เห็นอุ่นเรือนตกอยู่ในสภาพอย่างที่ตกอยู่ในเงื้อมมือของพวกกะเหรี่ยง และภายในถ้ำของเขาเขียววันนั้น ต่างกว่าพันผู้หนุ่มกว่าและชีวิตยังอีกไกล ฉะนั้นจึงไม่แยแสต่อเหตุการณ์ใดๆ ซึ่งเกิดขึ้น สัญชาตญาณแห่งลูกผู้ชายที่ได้รับอยุติธรรม และความตรากตรำลำบากมามากแล้วของแวว กลับแรงกล้า ในการที่จะให้ความพิทักษ์รักษาและคุ้มครองป้องกันแก่หญิงสาว ซึ่งเขาคิดว่าปราศจากที่พึ่งพาและช่วยตัวเองไม่ได้
“เอาไว้ว่างๆ ข้าจะลองพูดกับมันดูสักวัน” รื่นถอนใจ ก้มหน้าลงมือไสกบไม้ต่อไป
“พี่รื่น!” เรืองเอ่ย
เสียงตื่น ๆ ตะกุกตะกักของเขา ทำให้ผู้อาวุโสกว่ากลับเงยหน้าขึ้นอีก
“ทำไม?”
“เมื่อ...เมื่อไหร่จะจัดการเรื่องนั้นให้ฉันรู้สักที”
“เรื่องอะไรของเอ็งวะ เรือง ?”
“เรื่องจำปาน่ะ” ครั้งหนึ่งพูดออกมาได้ก็โล่งใจ “ตั้งแต่ขอร้องสุดใจกับพี่รื่นมาเกือบ....เกือบจะกว่าปีแล้ว....”
มือที่ถือกบไสช้าลงๆ จนที่สุดก็นั่งอยู่กับที่
“หมายความว่า ตลอดเวลาเหล่านี้........ตั้งแต่กลับจากขายไม้....ตลอดเวลาที่ข้าไปป่า และเอ็งเฝ้าบ้าน เอ็งไม่เคยพูดจากระแนะกระแหนเรื่องนั้นกะเขาเลย...”
“หนสองหนเท่านั้น เป็นอย่างมาก”
“แล้วเขาว่ายังไง?”
เรืองถอนใจ “หัวเราะแล้วก็ร้องยี่เก บางทีเรื่องสุวรรณหงส์ บางทีลักษณาวงศ์ แล้วบางทีก็โคบุตรไม่เคยตอบว่ากะไร”
รื่นส่ายหน้า นัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยความครุ่นคิด
“คนใจอ่อนอย่างเอ็ง ไม่มีวันจะได้เมียสวย....ถึง....ถึงจะเป็นแม่หม้ายอย่างจำปา”
“ครั้งหนึ่งฉันเคยกล้า” เรืองหลบตาลงมองดูพื้นดิน “แต่ไม่เห็นได้ความเหมือนกัน....”
“เอ็งทำยังไร?”
“เมื่อ....เมื่อพี่รื่นไปป่า คราวนี้แหละ คืนหนึ่งไปนอนเป็นเพื่อนเขา จำปานอนกับลูกในเรือน ฉันนอนที่ระเบียง ตื่นขึ้นตอนดึก เห็นประตูเรือนเปิดอยู่ คิดว่าได้การ ฉัน....ฉันจึงเข้าหา....” เสียงของเรืองขาดห้วนหายไปในลำคอ หน้าตาแดงเรื่อจนถึงใบหู
“แล้วยังไง” รื่นเกือบจำเสียงของตัวเองไม่ได้
“จะยังไง พอเอื้อมมือเข้าไปถูกขาเท่านั้นแหละแม่ถีบโครมออกมาเลย....ตั้งแต่นั้นมา จำปาเพิ่งพูดกับฉันก่อนพี่รื่นกลับจากป่านิดเดียว”
เสียงที่พูดตะกุกตะกัก สีหน้าที่ซื่อจนดูเป็นเซ่อ ตลอดจนกิริยาตื่น ๆ ของชายร่างใหญ่ใจดี ผู้ร่วมชีวิตเร่ร่อนมากับเขาเป็นเวลาช้านาน ทำให้รื่นอดนึกขันไม่ได้ เมื่อเขายิ้มความเคร่งเครียดของใบหน้าอันเขียวไปด้วยหนวดและเคราที่ขึ้นใหม่ก็คลาย ความครุ่นคิดอันตรธานไปจากนัยน์ตา เขาวางกบเอื้อมมือไปแตะไหล่เรืองพลางบีบเบา ๆ
“สาวๆ บ้านนี้ถมไป เรือง ที่อยากได้เอ็งเป็นผัว” เขาบอก “ทำไมกลับไปชอบอีจำปา คนที่หาทองติดตัวสักเฟื้อง ก็ไม่ได้........”
“ฉันอยากได้เมีย ไม่ใช่ทอง”
“เมียที่เป็นแม่หม้าย ถูกผัวยี่เกทิ้ง”
“ผู้ชายพรรค์นั้น มันรักมันเลี้ยงใครจริงบ้างพี่รื่น?”
“แม่หม้ายที่ลูกติด รังแต่จะกวนใจ”
“เวลานี้อ้ายหนูมันเรียกฉันลุงแล้ว อยู่ด้วยกันนานไป มันก็คงจะรักและเรียกฉันได้ว่าพ่อ”
รื่นชักมือกลับมาท้าวสะเอว แล้วถอนใจ
“ถามจริงๆ เถอะเรือง เมื่อเอ็งคิดจะมีเมียน่ะ เอ็งอยากได้อะไร?”
“ฉัน....ฉัน” สหายผู้อ่อนอาวุโสกว่ากลับตะกุกตะกักไปอีก “โร่ถามได้ พี่รื่นก็อยากได้ผู้หญิงที่จะมีลูกกะฉันได้ รู้จักตักน้ำตำข้าว เอาใจใส่บ้านเรือน ลูกผัวตามสมควร”
“พวกสาว ๆ บ้านนี้ ทำอย่างนั้นได้ทุกคน”
“แต่คงไม่เหมือนกับจำปา....”
“ที่ถีบเอ็งโครมออกมา เมื่อเวลาเลิกมุ้งคลำไปถูกขามันเข้านิดเดียว ? ที่ร้องยี่เกเมื่อเอ็งพูดถึงความรัก ? และที่เพิ่งพูดกับเอ็งก่อนข้ากลับจากป่านิดเดียว” เขาถอนใจอีก “ฟังข้าก่อนเรือง เรา....ข้า เอ็ง อ้ายแวว....รักกันมานาน ผ่านชีวิตทั้งทุกข์และสุขมาด้วยกันนาน จนรู้สึกเหมือนเป็นพี่น้องคลานตามออกมา แทนที่จะเป็นเพื่อน ข้าไม่มีใคร เอ็งกะอ้ายแววก็ไม่มีใคร อย่างไรเสียเราก็แยกจากกันไม่ได้ เมื่อข้าแต่งกะสุดใจ คิดตั้งรกรากลงที่บ้านนี้ ข้าคิดด้วยว่าจะเป็นบ้านของเอ็งกะอ้ายแววต่อไป มิใช่ว่าข้าจะไม่นึกถึงเอ็ง 2 คน ข้าคิดถึงตลอดมาอยากให้เป็นฝั่งเป็นฝา ฐานะทัดเทียมเพื่อนบ้านทั้งหลาย ถึงได้ดูผู้หญิงที่จะให้มันสมกันสักหน่อยอย่างริ้วลูกสาวผู้ใหญ่พูน อย่างละมูลลูกสาวลุงคง ยังรออยู่ก็แต่ว่า ป้าแคล้วแกจะเห็นเป็นอย่างไร แล้วก็อยากจะให้ฐานะข้าดีขึ้นอีกสักหน่อย จะได้จัดงานให้เป็นหน้าเป็นตา บางทีอาจจะปีหน้า บางทีก็คงจะปีโน้น – –”
“แต่ฉัน....ฉันรักจำปาจ้ะ พี่รื่น” เรืองยังคงยืนกรานไม่เต็มปากคำ
ผู้หญิงอย่างจำปามีอะไรหลายอย่าง ที่ผู้ชายเราไม่สามารถจะหาจากหญิงอื่นได้ ความเข้าใจในความต้องการของผู้ชาย ความไม่เดียงสาทั้ง ๆ ที่หล่อนเป็นสาวเต็มตัว มีผัวและมีลูกแล้ว ตลอดจนความแจ่มใสร่าเริงได้อย่างบริสุทธิ์ ทั้ง ๆ ที่ในใจเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นทั้งเก่าและใหม่ เปรียบเสมือนโรคติดต่อสำหรับผู้ชายทุกคนที่อยู่ใกล้ รื่นเข้าใจในข้อนั้น และเพราะว่าเข้าใจคำตอบยืนยันของเรือง จึงทำให้เขาอึดอัด หมดหนทางที่จะเจรจาเบี่ยงบ่ายอย่างไรต่อไปได้
“เอาเถอะข้าจะขอให้สุดใจเขาลองพูดดูอีกที” รื่นบอก
“สุดใจเขาเคยพูดมาแล้วไม่รู้ว่ากี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่ทั้งหมดที่จำปาตอบ ก็ได้แต่หัวเราะ – –”
“แล้วเอ็งจะให้ข้าทำยังไง ?”
“ในบ้านนี้ ไม่มีใครที่จำปาเขาจะเชื่อถือเท่ากับพี่รื่น ออกปากสักคำเดียวแหละ อย่างไรเสียก็คงไม่ขัดขืน ฉันกะเขาก็จะได้เป็นทองแผ่นเดียวกันต่อไป”
ยิ้มละไมปรากฏขึ้นที่หน้าของรื่น เมื่อได้ยินประโยคนั้น
“ทองแผ่นเดียวกัน ! เอ็งคิดว่าเอ็งกำลังพูดกับใคร ? ข้า ? หรือว่าพ่อของจำปา ?”
“เขารักและนับถือพี่รื่นเสียยิ่งกว่าพ่อ”
นั่นเป็นความจริงอีกข้อหนึ่ง ซึ่งรื่นไม่ปฏิเสธ เขารู้ว่าจำปาเชิดชูบูชาเขาเพียงใด สำนึกนั้นเรียกร้องความปรารถนาเก่า ๆ ไหลมาเทมาสู่หัวใจเขาอีกครั้ง – –ความปรารถนาซึ่งเขาพยายามยับยั้งเพราะรู้ว่ามีแต่จะพาตัวเข้าไปพัวพันกับหล่อนลึกหนักขึ้นไปอีก แต่ก็ไม่เคยสำเร็จ
“ข้าจะลองดู เรือง ข้าจะลองดู” เสียงของรื่นเลื่อนลอยไป “เอาไว้ให้ข้ามีเวลาเจอะเขาแต่ลำพัง แต่อย่าเพ่อหวังอะไรจากข้านัก – –”
ความตื่นเต้นยินดีที่ปรากฏอยู่บนใบหน้า นัยน์ตาและน้ำเสียงของเรืองเป็นที่น่าสมเพชเวทนา
“ฉันเชื่อเหลือเกิน พี่รื่น ว่าจะสำเร็จ อย่างไรเสียก็ต้องสำเร็จ”
“อย่าเพื่อหวังอะไรจากข้านัก” รื่นทวนประโยคนั้นอีก
– ๒ –
แต่แม้บ้านจะอยู่คนละฟากรั้วเช่นนั้น ได้พบเห็นและพูดจาปราศัยกันอยู่ทุกวัน ทั้งเช้าและเย็น เขาก็ไม่มีโอกาสจะได้อยู่ร่วมกับหล่อน โดยเฉพาะแต่ลำพังสองต่อสองได้ จนกระทั่งอีกเดือนหนึ่งผ่านไป งานเก็บใบยาที่ไร่เกาะงวดสุดท้ายเสร็จสิ้นลง และฤดูเก็บแมงอีนูนมาถึงเพราะฝนเริ่มลงชุก
ทุก ๆ เย็น เกาะใหญ่ ซึ่งไร่เริ่มร้างและพงเริ่มรก เซ็งแซ่ไปด้วยชาวคลองใต้และบ้านไร่ ทั้งผู้ใหญ่และเด็ก ทุก ๆ เย็นเสียงเพลงเก่าๆ และแอ่วลาวล่องลอยไปในอากาศ ท่ามกลางแมงอีนูน ที่ออกจากรูบินขึ้นไปแน่นฟ้า เกาะอยู่ตามกอพงต่ำลงมาและศีรษะของผู้เก็บ สำหรับจะยัดลงไปไต่ยั้วเยี่ยอยู่ในข้องหรือหม้อตามแต่จะหากันมาได้ เพื่อเป็นอาหารคาวหรือหวานต่อไป
เย็นวันนั้น รื่นซึ่งคอยโอกาสมาแต่บ่ายมิได้ปล่อยให้จำปาลอดสายตาเขาไปได้ ภายหลังที่นอนก่ายหน้าผากคิดด้วยความทรมานใจตลอดคืน ในที่สุดเขาก็ตกลงใจว่า ไม่มีทางใดดีกว่าจะพูดจากับหล่อนให้เป็นการเด็ดขาดลงไป
“แต่จะพูดกับเขาว่าอย่างไร ?” เขาคิด รู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งหน้า ด้วยความว้าวุ่นใจ เมื่อมองเห็นจำปาร่าเริง อยู่ในระหว่างเพื่อนหญิงของหล่อน ผมอันยาวสยายไปตามลมขณะที่วิ่งไปโน้มพงกอนั้น หันมาหักกอนี้เพื่อเก็บเจ้าแมลงที่เคราะห์ร้ายลงข้อง สายตาของหล่อนที่ชำเลืองมองมายังเขาคนละฟากไร่ เต็มไปด้วยความหมาย และความหวังเหมือนเด็กๆ
เขาจะพูดกับหล่อนว่าอย่างไรภายหลังจากเหตุการณ์ที่นาน้ำลาดคืนนั้น ? หล่อนและเขาอาจจะไม่ได้เอ่ยถึงมันอีกเลย ตลอดเวลากว่าปีที่ล่วงมานี้ กิริยาพาทีของหล่อนอาจจะไม่ส่อพิรุธหรือแสดงอะไรออกมา แต่จะโดยอุปาทานหรืออะไรดลใจก็ตาม รื่นรู้ดีว่า หล่อนคิดเหมือนเขา เขาและหล่อนเป็นกรรมสิทธิ์ซึ่งกันและกันแล้วโดยสิ้นเชิง ทำนองเดียวกับเขาและสุดใจ
ฉันจะพูดกับเขาว่าอย่างไร ? รื่นคิดอีก นึกเกลียดเรือง เกลียดสุดใจ ตลอดจนกระทั่งตัวเอง ที่ทำให้เขาอยู่ในฐานะอันน่าอึดอัดเช่นนั้น มิได้เอาใจใส่กับเด็กสองคนที่วิ่งผ่านหน้าเขาไปชิงเก็บแมงอีนูน ซึ่งเกาะเป็นกะจุกใหญ่ อยู่ที่กอพงข้างหน้าหรือเสียงเพลงของพวกบ้านไร่ ซึ่งกังวานตามลมมาจาก ฟากป่าพงด้านโน้น –––
ต่อมา ทีละคนสองคนพร้อมด้วยข้องที่เต็มไปด้วยแมงอีนูน ทั้งผู้ใหญ่และเด็ก ต่างก็เริ่มทยอยกลับเมื่อตะวันเริ่มลับยอดไม้ และความมืดเข้าปกคลุมบริเวณไร่เกาะนั้น กำลังหันรีหันขวางอยู่คนเดียว โดยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป จำปาซึ่งสายตามิได้ละจากเขามาแต่เย็นเหมือนกัน ก็ปลีกตัวจากเพื่อนหญิงของหล่อนเหล่านั้นผ่านมาทางเขา
“ฉันรู้แล้วละ ว่าพี่รื่นจะมาคอยพบฉัน” หล่อนว่า หันหน้าไปปลิดแมงอีนูนอีกก้อนหนึ่ง ซึ่งเกาะติดอยู่กับใบพงข้างทาง โดยมิได้มองดูเขา
ฝ่ายชายเลิกคิ้ว ด้วยความประหลาดใจ
“ทำไมถึงรู้”
“ก็พี่เรืองบอกนี่ เมื่อตะกี้จะมาด้วยกันกะฉันแล้วละ แล้วยังไงไม่รู้กลับเปลี่ยนใจ”
สายตาของรื่น ชำเลืองกวาดไปรอบกาย ในเวลานั้น นอกจากเด็ก ๔–๕ คน ที่ยังวุ่นอยู่กับการวิ่งไล่เก็บแมงอีนูน ซึ่งหนาแน่นขึ้นทุกทีขณะที่ยิ่งใกล้มืด ด้วยความคะนองมากกว่าความต้องการ บรรดาชาวบ้านต่างลงไปที่ชายหาดเกือบสิ้นแล้ว
“เลยไปที่ไร่เก่าของเราดีกว่า จำปา” เขาบอก “ข้าจะคอยเอ็งอยู่ที่นั่น ที่นี่ไม่เหมาะสำหรับจะพูดกัน–”
“เดี๋ยวฉันจะตามไป” หญิงสาวกระซิบตอบเดินกลับไปที่เก่า หล่อนก้มหน้าก้มตาสาละวนอยู่กับแมงอีนูนเหล่านั้น จนไม่รู้ว่าจะยัดลงไปในข้องอย่างไรได้ กระทั่งเพลาโพล้เพล้พลบค่ำเข้าไป และเสียงเพลงเสียงคนพูดกันเงียบลงทุกที จึงหันหลังกลับลอดรั้วก้างปลาของไร่ร้างไร่นั้น ผ่านไปตามทางเดินเท้าซึ่งยังชื้น ท่ามกลางป่าพงอันขึ้นทึบ ราวอึดใจเศษ ๆ จึงพ้นมาออกที่ไร่ซาก ซึ่งเต็มไปด้วยผักโขมและร่องมันเทศที่ขุดไปใหม่ ๆ
หล่อนหยุดยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ที่ปากทางอย่างระมัดระวัง จนกระทั่งแน่ใจว่าไม่มีวี่แววเสียงใด จึงก้าวเข้าไป
แสงไฟบุหรี่ลุกวาบอยู่ ในความมืดสลัวของเพิงพักฟากไร่ทางโน้น หล่อนรู้ดีว่า เพราะเหตุที่ตั้งอยู่ทางริมเกาะด้านตะวันออก ไม่มีชาวบ้านคนใดเลยจะผ่านมาทางนั้น ด้านหนึ่งของมันติดชายเกาะและแม่น้ำ ขณะที่ด้านอื่นหนาแน่นไปด้วยป่าพง ซึ่งนับวันนับแต่จะทึบ จนกว่าจะหาทางเดินไม่ได้ และน้ำเหนือจะมาลบล้างไป
หล่อนจำได้ จากกลิ่นบุหรี่ดอกปีบใบบัว ก่อนที่จะทันถึงตัวด้วยซ้ำไป ว่าเขาอยู่ที่นั่น จำปาขาสั่น ใจสั่นขณะที่ก้าวใกล้เพิงพักเข้าไป ยังไม่ทันถึงชายคาหรือปลดข้องออกจากบ่า รื่นก็โดดลงจากพื้นฟากก้าวเข้ามารวบหล่อนไว้ในอ้อมแขน
“จำปา !” เสียงห้าวของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึก “เอ็งคิดบ้างไหมว่ามันทรมานใจข้าเพียงไร ที่ต้องรอมาปีกว่า จึงถึงเวลาเช่นนี้”
“บ้านแค่รั้วกั้นเท่านั้น ฉันเองก็ไม่ได้ไปไหน พี่รื่นเองตั้งหาก ห่างเหินฉันไป” หญิงสาวพยายามหัวเราะก้มหน้าหลบหน้าอันเต็มไปด้วยเคราของเขา ซึ่งสอดส่ายลงมาหาแก้มและซอกคอ
กังวานตัดพ้อกึ่งเยาะ ๆ กึ่งยั่วเย้าของหล่อน ทำให้เขาหมดความยับยั้งชั่งใจอีกต่อไป ร่างซึ่งอบอุ่นละมุนมืออยู่ในอ้อมแขน ทำให้เขาแทบสำลักไปด้วยความปรารถนา ซึ่งท่วมท้นหัวใจขึ้นมาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวอีกครั้ง รีบปลดข้องที่คล้องบ่าหล่อนอยู่โยนทิ้งไปทางหนึ่ง ในพริบตาต่อมาจำปาก็รู้สึกตัวว่า เท้าทั้งสองหลุดจากดินและหลังสัมผัสกับพื้นฟากของเพิงพัก เสื้อชั้นในของหล่อนถูกกระชากออก และทรวงอกสัมผัสกับมือที่หยาบและใหญ่ข้างนั้น อะไร ๆ ดูเกิดขึ้นและเป็นไปมิได้ต่างกว่าครั้งแรกที่นาน้ำลาด เหมือนเข็มนาฬิกาหมุนกลับ และเหมือนกับเหตุการณ์คืนนั้นย้อนหลัง เพียงแต่ค่ำวันนี้อากาศอบอ้าว และดวงดาวกระจ่างฟ้า เพียงแต่ว่ากิริยาของเขา เต็มไปด้วยความอ่อนโยนแทนที่จะดุดัน และความคิดของหล่อนมิได้มืดมนไปหมดอย่างเมื่อครั้งกระนั้น
“เท่านั้นเองหรือที่พี่รื่นให้พี่เรืองบอกฉัน ว่าอยากจะพบ” จำปามองดูนัยน์ตาซึ่งเป็นประกายของเขา
“เปล่า–เปล่า ข้าไม่ได้ให้มันไปบอก แล้วก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้”
แม้จะเป็นในที่มืดสลัวใต้หลังคาเพิงพัก ยามเข้าไต้เข้าไฟ สายตาและความรู้สึกอันเร็วของหล่อน ก็อดสังเกตเห็นไม่ได้ว่า สีหน้าและกิริยาของเขาผิดปรกติไป
“อะไรกันจ๊ะ พี่รื่น ?”
“อะไร จำปา ?”
“ฉันรู้ว่าพี่รื่นมีอะไรอยู่ในใจ เราอาจจะไม่ได้พบกันอย่างนี้มาปีกว่า แต่ฉันรู้ดีว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจนกระทั่งตลอดเดือนที่แล้ว และสองสามวันหลังนี้ บอกฉันเถอะว่ามีอะไร ? เกี่ยวกับสุดใจ ? หรือว่าเกี่ยวกับฉัน?”
เขาอาจจะเกลียดหล่อนในการที่เอ่ยเรื่องนั้นขึ้นมาในเวลาเช่นนี้ แต่ในทันทีที่หล่อนเอ่ยถึงเรื่องนั้น ความปรารถนาอันร้อนแรง และความคิดที่มืดมนอนธกาลก็ค่อยคลายเป็นเยือกเย็นและแจ่มกระจ่าง รื่นเผยอศีรษะขึ้นชักศอกหนุนฝ่ามือ มองหน้าหล่อนแล้วก็ถอนใจ
“เอ็งคงไม่คิดว่าข้าเป็นคนใจร้าย หรือผู้ชายอสัตย์ ไม่ใช่หรือจำปา ถ้าจะบอกว่า นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้พบกันอย่างนี้”
นัยน์ตาหล่อนที่มองดูเขายังแจ่มใสเหมือนดวงดาว ริมฝีปากที่เผยอยิ้มยังคงบรสุทธิ์เหมือนเด็ก ๆ เพียงแต่เสียงที่เอ่ยถามเท่านั้น ฟังดูสั่นและห้าวไป
“เพราะอะไรกัน พี่รื่น ?”
“เพราะ – –” เอ่ยได้เท่านั้นเขาก็นิ่ง
เป็นการสุดวิสัย ที่เขาจะอธิบายให้หล่อนเข้าใจอย่างแจ้งชัดได้ว่า เพราะอะไร ? ในเมื่อความรัก ความบูชาและความซื่อสัตย์ของหล่อนยังเป็นประจักษ์พยานอยู่– ความรักที่ไม่ต้องการตอบแทน ไม่ต้องการหน้าตา ไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น นอกจากความแน่ใจว่า หล่อนยังเป็นที่ต้องการของเขา
“เพราะพี่รื่นเกิดความเบื่อหน่าย เพราะเกรงว่าสุดใจเขาจะจับได้ เพราะกลัวว่าต่อไปเกิดมีลูกขึ้นมาพี่รื่นจะต้องรับภาระใช่ไหมล่ะ” จำปาพูดต่อไปช้า ๆ ศีรษะของหล่อนหนุนอยู่บนฝ่ามือที่ประสานกัน นัยน์ตาหันจากเขาไปเพ่งจับอกไก่ของหลังคาเบื้องบน “ฉันเคยคิดล่วงหน้าถึงเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน แต่ยังไม่เคยคิดว่ามันจะมาถึงเร็วอย่างนี้ ภายหลังที่ฉันเป็นเมียพี่รื่นเพียงสองหน – –”
“จำปา – ”
“ฉันเคยคิดแต่ว่า พี่รื่นจะไม่เหมือนผู้ชายคนอื่น” หญิงสาวพึมพำต่อไป ทรวงอกซึ่งขาวโพลนอยู่ในที่มืดสะท้อนขึ้นลง เสียงที่พูดมิได้แสดงความขมขื่น หรือน้อยเนื้อต่ำใจแต่ประการใด หล่อนพูดเรียบ ๆ สม่ำเสมอเป็นปกติ เหมือนข่าวร้ายหรือความผิดหวัง เป็นเหตุการณ์ในชีวิตประจำวันมาเสียจนเคยชิน รื่นรู้สึกเสียวแปลบเข้าหัวใจ เมื่อได้คิดถึงข้อนั้น “แต่พี่รื่นคงจะมีเหตุผลพอ ฉันจะไม่ซักถามหรอกว่ามันเรื่องอะไร เพราะว่าฉันรักพี่รื่นมากเกินไป ฉันจะไม่ขัดใจพี่รื่นเลย ว่ามาอย่างไรฉันจะทำตามทั้งนั้น – –”
หล่อนลุกขึ้นนั่งดึงเสื้อชั้นในปกปิดทรวงอกซึ่งล่อนจ้อน ถอนใจแล้วก็เอ่ยขึ้นอีก
“เท่านั้นไม่ใช่รึ พี่รื่น ?”
ฝ่ายชายซึ่งนิ่งเงียบอยู่ตลอดเวลา หันไปมองดูหน้าหล่อนช้าๆ
“มันไม่ใช่เท่านั้น จำปา” เขาบอก “เอ็งเข้าใจผิดทั้งเพ มันไม่ได้เกี่ยวกับว่าข้าเบื่อหน่าย มันไม่ใช่เพราะกลัวสุดใจเขาจะจับได้ หรือต้องรับเลี้ยงดูลูกของข้า ถ้ามันจะมีกะเอ็งขึ้นมาเมื่อไร คนอย่างอ้ายรื่นไม่ใช่ผู้ชายที่จะเลี่ยงความรับผิดชอบอย่างนั้น” เขาเอื้อมมือไปจับแขนหล่อนกระชากร่างนั้นเข้ามาหาอย่างดุดัน “จำได้ไหมจำปา ว่าคืนนั้นข้าพูดกับเอ็งไว้อย่างไร ? ข้าอาจจะรักสุดใจ รักเขาตลอดไป แต่ข้าต้องการเอ็ง อยากได้เอ็ง...อย่างที่ไม่เคยอยากได้ใคร !”
จูบหนัก ๆ หลั่งลงที่แก้ม ที่ไหล่ ซอกคอ และทรวงอกของหล่อนอีก ท่ามกลางเสียงพึมพำซึ่งฟังไม่ได้ความของเขา จนกระทั่งได้ยินเสียงจำปาร้องเบา ๆ จึงได้คลายแขนออก ถอนใจยาว และนิ่งไปนาน
เมื่อเอ่ยขึ้นอีกครั้ง เสียงนั้นค่อยสงบเป็นปกติขึ้น
“แต่ถึงอยากได้เอ็งเพียงไร มันก็ไม่ช่วยอะไรให้ดีขึ้นได้ เอ็งคงจะเป็นเมียข้าลับ ๆ อย่างนี้ต่อไป มีลูกออกมาหาพ่อไม่ได้ อย่างริ้ว อย่างมะลิ เอ็งชอบชีวิตอย่างนี้หรือ จำปา ?”
“เพียงแต่รู้ว่าพี่รื่นยังอยากได้ฉัน ต้องการฉันเท่านั้น ถึงจะอยู่ไปโดยไม่ได้พบได้พูดกันอย่างนี้ ฉันก็มีความสุขแล้ว” หล่อนตอบ ซบศีรษะซุกอยู่กับไหล่ของเขา
ฝ่ายชายได้ฟังก็ถอนใจ
“งั้นก็พอจะพูดกันได้ง่ายเข้า”
“พูดอะไรจ๊ะ พี่รื่น ?” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นอีก
“เรื่อง...เรื่องที่ทิดเรืองเขาบอกว่า ข้าอยากจะพูดกับ เอ็งน่ะแหละ” เสียงของเขาเริ่มตะกุกตะกัก “เรืองมันอยากได้เอ็งเป็นเมีย...”
“พี่รื่น !”
“อย่าเพิ่งพูดอะไร จำปา ฟังข้าต่อไปก่อน ข้ารู้ดีว่าเราเคยพูดกันมาหนหนึ่งแล้วที่นาน้ำลาด แล้วเอ็งก็ร้องไห้ แล้ว.......แล้วข้าก็ได้เองตั้งแต่นั้นมาเป็นเวลาปีกว่าแล้ว ข้าคิดว่าเจ้าเรืองคงจะลืมกระมัง แต่มันไม่ยักลืม พอกลับมาจากโป่งน้ำร้อนคราวนี้ก็ออกปากทันที ขอให้ข้าช่วยพูดอีก เอ็งจะให้ ข้าทำยังไง จำปา....ทิดเรืองเป็นเพื่อนแล้วก็เป็นคนที่ไม่มีใครจะซื่ออย่างมัน ไม่มีใครจะขยันขันแข็งเหมือนมัน ข้าบอกแล้วว่า ผู้หญิงบ้านนี้มันอยากได้ใครขอให้บอกเถอะ ข้าจะขอให้ แต่มันไม่อยากได้ใคร จำปา...มันอยากได้เอ็ง !”
หล่อนถอนใจ กลับซุกศีรษะกับไหล่ของเขาต่อไปอีก
“ฉันรู้พี่รื่น ว่าพี่เรืองเป็นคนดี ถึงอ้ายหนูก็มีความรักเขามาก แต่ – – แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อฉันไม่รักเขา”
“เพราะอะไรกันจำปา ?”
“เพราะว่าฉันรักพี่รื่น” หล่อนตอบง่าย ๆ
รื่นถอนใจ “ฟังก่อน จำปา ข้ารู้ดีว่าเอ็งรักข้า แต่อย่าลืมว่า ถึงอย่างไร ๆ เราก็อยู่กันอย่างออกหน้าออกตากันไม่ได้ ป้าแคล้วแกฉีกอกเอ็งตาย เพราะฉะนั้นอย่างมากก็ได้แต่จะลักขโมยเขากินอย่างนี้
“ฉันไม่มีความรังเกียจเลยในข้อนั้น”
“แต่มันเกี่ยวกับอนาคตของเอ็ง จำปา....เอ็งกะอ้ายหนู ลูกเอ็งซึ่งต้องการคนปกป้องรักษาเลี้ยงดู ให้มีหน้ามีตาอย่างคนอื่นเขาต่อไป ได้กะทิดเรืองเอ็งก็ได้หัวหน้าบ้าน อ้ายหนูก็ได้พ่อใหม่สำหรับที่จะเป็นที่พึ่งอาศัยกันต่อไป”
“แต่ฉันไม่รักพี่เรืองเลย” หล่อนยืนยัน
“อยู่กินกันนานไปเอ็งก็อาจจะรู้จักมันขึ้นได้ ผู้ชายอย่างทิดเรืองไม่ใช่เป็นการลำบากยากเย็น อะไรนักหนาที่ผู้หญิงจะรู้จักรักมัน”
“ถึงฉันได้กะพี่เรือง ก็ทิ้งพี่รื่นไม่ได้ จะให้ฉันทำอย่างไรในเวลาคิดถึงพี่รื่น”
“บ้านแค่นั้นเอง เห็นกันอยู่ทุกวัน ไปมาหาสู่ได้ทุกวัน”
“แต่ฉันอยากพบพี่รื่นอย่างนี้ จะเป็นเดือนละครั้งหรือปีละหนก็ไม่ว่า ไม่งั้นคงเป็นบ้าตาย – –”
หล่อนกอดเขาไว้แน่น ดวงหน้าเกลือกกลิ้งอยู่กับไหล่ รื่นได้ยินเสียงสะอื้นกระซิก น้ำตาหยดหนึ่งหยาดแหมะลงมาต้องมือของเขา หัวใจที่เย็นยะเยือกก็กลับผะผ่าวขึ้นมาอีกด้วยความปรารถนา เขาพยายามสะกดใจ กรามทั้งสองขบกันแน่น แล้วก็คลายมือที่กุมแขนหล่อนอยู่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ
“ได้กับทิดเรืองแล้วเมื่อไร เราทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก จำปา” เขาพูดเบา ๆ
“เท่านี้ก็เห็นได้ว่า พี่รื่นไม่อยากได้ฉันอีกเลย – – ต้องการจะผลักฉันไปให้พ้นเท่านั้น”
“เอ็งยังไม่เข้าใจ จำปา” เขาพยายามอธิบาย “ทิดเรืองกะข้าเป็นเพื่อนกันยิ่งกว่าพี่กว่าน้อง ผู้ชายอย่างข้าไม่ทรยศต่อเพื่อนอย่างนั้น ถึงผู้หญิงอย่างเอ็งก็คงไม่ทรยศต่อผัวอย่างมัน”
“แต่เราเป็นผัวเมียกันแล้วนี่พี่รื่น ถึงจะไม่มีใครรู้พี่รื่นก็ยังเป็นผัวฉันอยู่”
เขาถอนใจส่ายหน้าไปมาช้า ๆ “ในทันทีที่เอ็งเป็นเมียทิดเรือง เราจะต้องเลิกติดต่อกันอย่างนี้ จำปา เอ็งจะต้องเป็นเมียของมันต่อไปคนเดียว คิดถึงข้าอย่างพี่หรืออย่างชู้ที่เคยรักกันมาก่อนแต่อย่าคิดอย่างผัว”
“ฉันทนไม่ไหว...”
“ไหนเอ็งว่ารักข้า จำปา ไหนเอ็งว่า เพียงแต่รู้ว่าข้ายังอยากได้เอ็ง ต้องการเอ็งเท่านั้น ถึงจะอยู่ไปโดยไม่ได้พบกันพูดกันอย่างนี้ ก็มีความสุข ไหนเอ็งว่าข้าบอกยังไงเอ็งจะทำตามนั้น อย่าลืมจำปา ข้าต้องการเอ็งเสมอ....”
“แต่พี่รื่น ก็จะยกฉันให้พี่เรือง” เสียงหญิงสาวอ่อนลงไป
“อ๋อ นั่นเพื่อความเจริญสุขและปลอดภัยของเอ็งกะอ้ายหนูลูกเอ็งข้างหน้าหรอกนะ เอ็งรักมันมากเหมือนกันไม่ใช่หรือจำปา อ้ายหนูน่ะ ?”
“จ๊ะ รัก ถึงมันจะมีพ่อเป็นอ้ายยี่เก”
“ดีละ งั้นก็เชื่อข้า ได้เสียกะอ้ายเรือง –– เรื่องการสู่ขอหรือตกแต่ง ข้าจะให้ป้าแคล้วเป็นธุระให้เอง ตกลงไม่ใช่หรือจำปา ?”
อาการเงียบเป็นคำตอบของหล่อน จำปาได้แต่ถอนใจยาว นิ่งอยู่นาน ครั้นแล้วก็ผวาเข้ากอดไว้ใหม่
“ฉันคงจะคิดถึงพี่รื่นขาดใจตาย” หล่อนสะอื้น “เวลาเขากอดจะคิดว่าพี่รื่นกอด เวลาเขาจูบ จะคิดว่าพี่รื่นจูบ แต่ฉันไม่อยากได้ลูกกะใคร– ฉันอยากได้ลูกกะพี่รื่น”
“จำปา !”
ความปรารถนาซึ่งคุกรุ่นอยู่ภายในหลุดพ้นออกมาจากความควบคุมอีกครั้ง ท่ามกลางความมืดของเพิงพักนั้น รื่นไม่สามารถจะมองเห็นอะไรได้ นอกจากนัยน์ตาคู่หนึ่งซึ่งลุกวาว อกที่ขาวสล้าง และริมฝีปากที่เผยอ เขาไม่ได้ยินเสียงอะไร นอกจากลมหายใจตะกุกตะกักของหล่อน เสียงถอนใจแรงของเขา แมงอีนูนที่บินว่อนออกจากข้อง ซึ่งฝาเปิดกลิ้งอยู่กับพื้นดิน และลมที่พัดยอดพงข้างเพิงพักสะท้านไหว เขาไม่ได้ยินอะไร และไม่ได้เอาใจใส่อะไร จนกระทั่งสายเสียแล้ว เมื่อเสียงร้องเบา ๆ ปรากฏขึ้นที่รั้วไร่ และเสียงฝีเท้าของคนวิ่งตึก ๆ ออกไป––
“อะไร ?” จำปาผลักเขาไปทางหนึ่ง รีบลุกขึ้นนั่ง
“เสียงลมละมัง !” รื่นกระซิบ
“ไม่ใช่ ฉัน––ฉันได้ยินเสียงคนร้อง” จำปายืนยัน มือที่จับแขนเขาเริ่มสั่น “เสียงผู้หญิงแล้วก็เสียงคนวิ่ง”
“เหลวไหล !” รื่นหัวเราะ “ข้าได้ยินแต่เสียงลมพัด แล้วก็พงหัก” เขาเอื้อมมือไปโอบไหล่หล่อนอีก แต่จำปาถอยออกห่าง พลางรีบสวมเสื้อแล้วเสยผม
“ไปเถอะพี่รื่น” หล่อนบอก “รู้ไหมว่าเดือนเกือบขึ้นแล้ว คืนนี้แรมสองค่ำ”
ท่ามกลางแสงสลัวของดวงดาวบนท้องฟ้าซึ่งกระจ่าง รื่นกระโดดลงไปข้างล่าง แล้วก็ยื่นมื่อขึ้นไปรับหล่อน ความเร่งร้อนของจำปาที่จะรีบกลับ ทำให้หล่อนและเขาลืมข้องใบนั้น มันคงกลิ้งอยู่ใต้พื้นเพิงพักอย่างเมื่อรื่นเหวี่ยงลงไป แมงอีนูนไต่ออกมาถึงปากข้องที่ปราศจากฝาปิดทีละตัวสองตัว แล้วก็บินวู่ไปสู่อิสรภาพที่มันแสวงหา และท้องฟ้าซึ่งสว่างขึ้นทุกขณะ เมื่อพระจันทร์ต้นแรมโผล่ขึ้นมา แดงจ้า และสุกปลั่ง เหมือนขอบกระด้งทอง
– ๓ –
สุดใจหน้าซีดเหมือนคนตาย มือเท้าเย็นเฉียบเหมือนถูกผีหลอก วิ่งออกมาจากที่นั้นราวกับปีศาจทั้งฝูงกำลังไล่ หล่อนไม่แลเห็นอะไร นอกจากความมืดมิด ในสมองที่ปั่นป่วน ไม่รู้สึกอะไร นอกจากความเจ็บแปลบปลาบในทรวงอกที่ว่างเปล่า ความตั้งใจอย่างเดียว อยู่ที่จะหนีออกมาเสียให้พ้นจากที่นั้นโดยเร็วที่สุดที่จะเร็วได้
หล่อนวิ่งไป –– วิ่งไป และวิ่งไป มิได้เอาใจใส่ต่อกอพงที่เข้าปะทะร่าง ใบอันคมของมันปะทะหน้าตา ล้มลุกคลุกคลานแล้วก็ลุกขึ้นมาวิ่งต่อไปใหม่ เหนือพื้นไร่อันเต็มไปด้วยหนามผักโขมและผักเสี้ยนผี ตามทางที่ลื่น ชื้นแฉะ และอบอ้าว ความบาดเจ็บที่ได้รับจากหนามตำ และใบพงบาดมีความหมายอะไร เมื่อหัวใจเต็มไปด้วยความปวดร้าว แข้งขาและหัวเข่าถลอกปอกเปิกมีความหมายอะไร เมื่อร่างกายชาไป เพราะเสียงนั้นยังติดหู และภาพนั้นยังติดตา
หล่อนตามเขามาเพราะเห็นผิดเวลา เพื่อจะเร่งให้กลับบ้าน ความระแวงแคลงใจมิได้อยู่ในความคิดจนนิดหนึ่ง ว่าจะได้พบเหตุการณ์เช่นนั้น ชั้นแรกเข้าใจว่าตาฝาด และอุปทานทำให้รู้สึกได้ยินไปเอง แม้กระทั่งแว่วเสียงที่กระเส่าสั่น จำได้แม่นยำว่าเป็นเสียงใคร หล่อนก็ยังไม่ระแวงอยู่นั่นเอง จนในกาลต่อมา – –
หล่อนมุดป่าพงที่ปกคลุมอยู่เหนือทางลงจากไร่เกาะต่อไป จนกระทั่งถึงหาดทราย ซึ่งสว่างจ้าไปด้วยแสงจันทร์ จึงได้หยุดอยู่หน่อยหนึ่งหอบหืดแทบหายใจไม่ออก ลมเย็นที่พัดมาจากแม่น้ำทำให้นัยน์ตาอันฝ้าฟางค่อยแจ่มใส และความคิดจิตใจที่สับสนอลหม่านค่อยควบคุมกันติด
รื่นและจำปา ! ใครเลยจะคิดว่ามันจะเป็นไปได้ชั่วชีวิตของสุดใจ ไม่มีใครเลยจะมีความหมายแก่อนาคตและโลกความฝันของหล่อนเท่ากับหญิงชายคู่นั้น
“ฉันหรือรักเขายังกะอะไร” หล่อนคิด ออกเดินต่อไป เลื่อนลอยและปวดร้าว จนกระทั่งไม่รู้ว่าถึงชายหาดแต่เมื่อไร และท่องน้ำข้ามไปถึงชายหาดฝั่งตรงข้ามได้อย่างไร
เรื่องชู้สาวอาจจะเป็นของธรรมดาสามัญมาแต่ไหนแต่ไรสำหรับชาวบ้านไร่และปากคลอง แต่ผู้หญิงอย่างสุดใจ เกิดและครองชีวิตมาในครอบครัวที่ถือศรัทธาในความซื่อตรงของมนุษย์และความบริสุทธิ์ของความรักเกินไป จนยากที่จะอดสะเทือนใจไม่ได้เมื่อประสบเข้ากับตนเอง
หล่อนคิดว่าอาจจะให้อภัยได้ในการกระทำของรื่น ถ้าเป็นผู้หญิงอื่น เพราะรู้ดีว่า ชีวิตของเขาผ่านอะไรมาบ้างก่อนที่จะแต่งงานอยู่กินกับหล่อน และแสลงใจเพียงใดก็ตาม หล่อนคงจะพยายามคิดเห็นเป็นเรื่องธรรมดาไป อย่างที่เป็นประเพณีมาช้านานนักหนาในตำบลนั้น ชั่วเวลาไม่ช้านานคงจะลืมได้ แต่จำปา ! ในบรรดาคนบ้านไร่และปากคลอง––ในบรรดาผู้หญิงทั้งกำแพง ในบรรดาผู้หญิงทั้งโลก––
ทำไมจะต้องเป็นจำปา !–––ผู้ที่แม้หล่อนจะรักและศรัทธายิ่งกว่าเพื่อน ยิ่งกว่าพี่ ยิ่งกว่าน้อง ทั้งปากคลองและบ้านไร่ก็มองด้วยสายตาอันดูหมิ่น ? คนทั้งปวงจะพูดกันอย่างไร ? ใคร ๆ จะคิดถึงเรื่องของหล่อนด้วยความรู้สึกอย่างไร ?
เดินไปท่ามกลางหาดทรายที่สว่างว่างเปล่า และเงียบเชียบ ความคิดของหล่อนมิได้พ้นไปจากปัญหาเหล่านั้น และเป็นครั้งแรกในชีวิต สุดใจรู้สึกตื้นตันคอหอย เมื่อได้คิดว่าความอ่อนหวานของความรักอาจเป็นความระทมขมขื่นของยาพิษได้เพียงใดเมื่ออะไรเกิดผิดพลาดไป – ถูกหักหลังและทรยศ !
เมื่อถึงหน้าท่า หล่อนนั่งพักอยู่นานที่ตีนบันได เพื่อสะกดอกสะกดใจและคิดว่า จะทำอย่างไรต่อไปกับกาลอนาคต
“ฉันจะเผชิญหน้าเขาต่อไปได้อย่างไร ?” หล่อนคิดอีก หมายถึงรื่นและจำปา
ชีวิตอันผาสุกของหล่อน จะมาลงเอยเพียงเท่านี้เองหรือ ? สุดใจมองไม่เห็นอะไรในวันรุ่งขึ้น นอกจากความขมขื่นและผิดหวัง โลกนี้มีแต่จะเต็มไปด้วยความน่าเกลียดสพึงชัง ทุกคนก็จะมีแต่ความน่ากลัว ทุกใบหน้าจะมีแต่ยิ้มหวัวและเย้ยหยัน
ฉันจะทนดูเขาอยู่ได้อย่างไร ? ความคิดของหล่อนไม่พ้นกระทู้ถามข้อนั้นไปได้ แต่ทั้งปากคลองและบ้านไร่ก็อยู่กันมาแล้วเช่นนั้น กำลังอยู่กันอย่างนี้และจะอยู่กันต่อไปในวันข้างหน้า ทุกคนอาจจะซุบซิบนินทายิ้มหวัว แต่ทุกคนก็เห็นเป็นธรรมดา รื่นและจำปาเป็นอะไรมาหนักหนาที่จะผิดแปลกแตกต่างไปกว่าคนทั้งปวง หล่อนเองเป็นอะไรมาหนักหนาที่จะสามารถครองรักของผู้ชายอย่างเขาไว้เป็นกรรมสิทธิ์ของตนได้แต่คนเดียว ชาวบ้านไร่และปากคลองอยู่กันมาแล้วอย่างนั้น และเขาจะอยู่กันต่อไป จะโดยมีหล่อนร่วมอยู่ด้วยหรือไม่ก็ตาม จะมีรื่น มีจำปาอยู่ด้วยหรือไม่ก็ตาม
หล่อนลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า เหน็ดเหนื่อยและอิดโรย แต่ก็ตกลงใจเด็ดขาดว่าจะปฏิบัติตนต่อไปอย่างไร แสงได้ยังลุกสว่างอยู่ที่ระเบียงเรือนป้าแคล้ว เมื่อหล่อนก้าวเข้าประตูรั้วบ้านไป เรืองและแววก็อยู่กันที่นั่นพร้อมหน้า เป็นคราวเคราะห์ดีอยู่อย่างหนึ่ง ที่ลูกของหล่อนนอนหลับแล้ว สุดใจล้างเท้าขึ้นบันไดเรือนของหล่อน เสียงป้าแคล้วก็ร้องถามออกมา
“ทิดรื่นมันกลับแล้วหรือใจ ?”
“กำลังตามมาข้างหลังกับจำปาจ้ะ”
หล่อนอดรู้สึกประหลาดใจตนเองไม่ได้ ที่รู้สึกว่าเสียงที่ตอบเป็นปกติ มิได้แสดงความรู้สึกหรือสำเนียงผิดแปลกออกไป ป้าแคล้วจะต้องไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ถึงเรืองและแววก็เช่นเดียวกัน อย่างเทวรูปที่บูชาสักการะของหล่อน รื่นได้เป็นมาแล้ว และอย่างเทวรูปของหล่อนเขาจะต้องเป็นต่อไป แม้จะเป็นเทวรูปที่ไม่มีระแคะระคาย นอกจากหล่อนคนเดียวว่าปั้นด้วยโคลน หล่อนจุดไต้เข้าครัวดูแลสำรับกับข้าวที่จัดไว้อีกครั้ง เห็นยังเรียบร้อยดีก็กลับออกมาโดยมิได้แตะต้อง ปักไต้ไว้ที่ระเบียง แล้วก็เข้าห้อง และล้มตัวลงนอนข้าง ๆ ลูก ลืมตาโพลงอยู่ในที่มืด
ชั่วครู่ใหญ่ ๆ ต่อมา เสียงรื่นและจำปาจึงปรากฏขึ้นที่บ้านป้าแคล้ว ร้องตอบคำถามของเรืองและแววเป็นปกติราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“คอยกินแมงอีนูนของรื่นกะจำปา จนบ้านอื่นเขาคายกากไปหมดแล้วลามัง ? แววบ่น
เปล่า ทั้งสองคนไม่ได้แมงอีนูนติดมือมาจนตัวเดียว
“ข้องหลุดจากมือข้า อีตอนข้ามน้ำมาจวนจะถึงหาดอยู่แล้ว ชวดหมดทั้งแมงอีนูนทั้งข้อง” รื่นอธิบาย
สุดใจ อยากจะร้องค้านออกไปด้วยความคั่งแค้นที่เดือดพล่านขึ้นมาอีก แต่แล้วก็ระงับเสียได้ หล่อนนอนนิ่ง ฟังการโต้ตอบระหว่างรื่นกับสองสหายของเขาต่อ จนกระทั่งได้ยินเสียงล้างเท้า เสียงขึ้นบันไดมาบนนอกชาน แล้วก็เสียงร้องเรียกเบา ๆ เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบก็เข้ามาหยุดมองอยู่ที่หน้าประตูห้อง นั่งอยู่ครู่หนึ่งจึงกลับออกไปอีก ได้ยินเสียงเขาอาบน้ำ ผลัดผ้าแล้วก็กลิ่นควันบุหรี่ดอกปีบ รื่นนั่งอยู่นานที่ชานระเบียง ยังมิได้เข้าครัว มิได้แตะต้องข้าวปลาอาหาร ครั้นแล้วก็ชักบันไดเรือน ดับไต้ เข้าห้องและปิดประตูลงกลอน
ในท่ามกลางความมืดสนิทของห้องนั้น นอกจากแสง จันทร์ที่ส่องเป็นลำ เข้ามาทางหน้าต่างหัวนอนทาบอยู่กับหิ้งพระ สุดใจได้ยินเสียงเขาถอนใจแรง เมื่อล้มตัวลงนอนคนละฟากข้างลูกน้อย อาการนิ่งและพลิกตัวกระสับกระส่ายของเขาทำให้หล่อนอึดอัด บรรยากาศรอบ ๆ กายรู้สึกเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด เขารู้ว่าหล่อนยังไม่หลับ แต่เขาก็ไม่เรียกอีก และจากการนิ่งเงียบนั้นเองหล่อนก็รู้ว่า เขารู้ว่าหล่อนรู้ถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้วบนเพิงพักกลางไร่ซาก พลบค่ำคืนนั้น
เด็กน้อยละเมอออกมาเบา ๆ ขณะที่พลิกตัว เสียงละเมอของแกนั่นเอง ดูเหมือนจะทำให้ความเคร่งเครียดของบรรยากาศที่เป็นอยู่ในห้องค่อยคลายลง รื่นเอ่ยขึ้นเป็นครั้งแรก เลื่อนลอยและเต็มไปด้วยความรู้สึก
“กลับมาถึงบ้านนานแล้วหรือ สุดใจ ?”
“เมื่อกี้นี้เหมือนกัน” หล่อนพยายามบังคับเสียงไม่ให้สั่น จนกระทั่งต้องหยิกต้นแขนตัวเองเล็บจิกลงไปในเนื้อ “ก่อนหน้าพี่รื่นนิดเดียว”
เขากลับนิ่งไปอีกและนิ่งอยู่นาน เสียงพลิกตัวและถอนใจแรงเท่านั้นที่ปรากฏในห้องอันมืดและเงียบ
“ทำไมโกหกกับพวกนั้นว่า มาด้วยกันจากไร่เกาะ ?” รื่นเอ่ยขึ้นอีก
“ฉันไม่ได้โกหก ฉันรู้ว่าพี่รื่นกำลังตามหลังฉันมา”
“ทำไมไม่บอกเสียด้วย ว่าเจอะข้ากะจำปาอย่างไรที่ไร่ ?” เสียงของเขาเต็มไปด้วยความขมขื่นในตัวเอง
สุดใจกัดฟันเพื่อสะกดกลั้นวาจาที่จะลั่นออกไป ตลอดเวลาเหล่านี้หล่อนพยายามที่สุดที่จะไม่พูดไม่เอ่ยถึงนามของเพื่อนหญิงผู้นำทุกข์มาให้หล่อนเป็นคนแรก............จำป่าผู้หล่อนไม่เคยรักเพื่อนคนใดเหมือน หล่อนคิดและตกลงใจว่า จะรอจนกว่าความสะเทือนใจที่ได้รับมาสด ๆ ร้อน ๆ จะค่อยลางเลือนเจื่อนจางไปจากความรู้สึกและทรงจำเสียก่อน จึงจะพูดจากับเขาโดยละม่อม แต่รื่นกลับทำให้หล่อนเปลี่ยนความคิดนั้น หล่อนนิ่งอยู่นานเพื่อควบคุมสติและสัมปชัญญะ
“มีความจำเป็นอะไรพี่รื่น ที่จะมารื้อฟื้นเรื่องที่ควรจะอยู่ในป่าช้าขึ้นมาให้ใครๆ เขารู้ ใครๆ เขาเห็น ?”
เขาไม่ตอบว่ากระไร นอกจากพลิกตัวและถอนใจแล้วก็นอนนิ่งไปอีก ลำแสงเดือนที่เลื่อนต่ำลงมาทำให้เห็นเงาเสี้ยวหน้าของเขาได้ถนัด รื่นนอนหงายแหงนขึ้นดูหลังคาเฉยอยู่เหมือนกำลังหลับ แต่หล่อนก็รู้ว่าเขาตื่นอยู่ทั้งกายและใจ
“เอ็งจะทำอย่างไรต่อไป สุดใจ ?”
“ทำอะไรกันจ๊ะ พี่รื่น ?”
“เรื่องของข้ากับจำปาซิ” เสียงนั้นขุ่นและขมขื่นไม่หาย “ภายหลังที่สะกดรอยตามไปดูมาเห็นแก่ตาแล้ว–– อย่าโกหก ว่าคนที่หนีมาจากไร่ไม่ใช่เอ็ง!
“ฉันไม่โกหก แต่ฉันไม่ได้สะกดรอยคอยตามพี่รื่นกะเขาไป เห็นหายไปนาน จึงไปตามกินข้าวตังหาก” ความคั่งแค้นเพราะความรักประดังขึ้นมาอีกจนทำให้เสียงเริ่มสั่น “พี่รื่นอยากรู้นักรึ ว่าฉันจะทำอย่างไรต่อไป?”
หล่อนหยุดนิ่งอยู่หน่อยหนึ่ง หันหน้าเข้าข้างฝาคอยฟังอยู่นาน เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบจึงได้เอ่ยต่อ “ฉันจะบอกให้รู้ว่าฉันจะทำอย่างไร จะอยู่ไปอย่างนี้แหละ พี่รื่นอยากได้เขาเป็นเมียอีกคนก็ตามใจ ไม่ว่าไม่กล่าวอะไรทั้งนั้น”
นั่นมิใช่คำตอบที่เขาคิดจะได้ยินจากหล่อน รื่นนอนนิ่ง มือข้างหนึ่งก่ายหน้าผาก หมดหนทางที่จะพูดต่อไป ไม่มีกะใจที่จะเอ่ยอะไรอีก แสงเดือนเคลื่อนที่ต่อไป คลานตามพื้นห้องมาจนกระทั่งส่องต้องหน้าลูกน้อย ซึ่งหลับพริ้มอยู่เต็มที่
“พี่รื่น” สุดใจเอ่ยขึ้นอีก หลายอึดใจต่อมา
“ฮึ” สามีมิได้เปลี่ยนอิริยาบถ
“เรื่องมันเกิดมาแต่เมื่อไหร่ ?”
“เรื่องอะไร ?”
“พี่รื่นกะจำปาซิ” กระแสเสียงของหล่อนเริ่มสั่นอีกด้วยโทสะ “เรื่องอย่างที่เกิดในไร่เมื่อตอนหัวค่ำน่ะ––”
“ตั้งแต่ปีกลาย เมื่อออกไปเกี่ยวข้าวด้วยกันที่นาน้ำลาดคราวนั้น”
“ตกลงตลอดเวลาเหล่านั้น พอลับหลังฉัน จำปากะพี่รื่นก็ลักลอบพบกันเรื่อยมา ไม่ได้คิดเลยว่าใครเขาจะพูดกันอย่างไร ไม่ได้นึกถึงเลยว่ายังมีฉันโทนโท่อีกทั้งคน––”
“เปล่า ตั้งแต่คราวนั้น เพิ่งได้พบกันนี่อีกหนเดียว แล้วก็ไม่ได้ตั้งใจ––”
อาการนิ่งไปของหล่อนบอกเขาว่า เหลือวิสัยที่สุดใจจะเชื่อได้
“เป็นความสัตย์ สุดใจ” เขาคงพูดต่อไป “ข้าพบกับจำปาครั้งนี้ เพื่อบอกกับเขาว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้าย ต่อไปมันก็จะได้กับอ้ายเรือง เราตกลงกันเรียบร้อยแล้วในข้อนั้น––”
สุดใจนิ่งไปนานเมื่อเอ่ยขึ้นอีกครั้ง เสียงของหล่อนอ่อนใจ เหน็ดเหนื่อยและอิดโรยเหมือนเดินทางมาแต่ไกล
“พี่รื่นตั้งใจจะบอกฉันว่า จำปาเขาจะยอมแต่งกะพี่เรืองภายหลังที่เกิดเรื่องอย่างนั้นแล้ว ? – – – ภายหลังที่เขาเป็นเมียพี่รื่น ?”
“อย่าพูดอย่างนั้น สุดใจ” เสียของเขาปวดร้าว พลิกตัวกลับมาหาหล่อนอย่างกระสับกระส่าย “ในโลกนี้เมียข้ามีคนเดียว คือเอง สุดใจ ผู้หญิงอื่น ๆ นอกนั้นเพียงแต่ผ่านเข้ามาในชีวิตข้า แล้วก็ผ่านไป บ้างเหมือนฝันดี บ้างเหมือนฝันร้าย เป็นเพียงอารมณ์ชั่วแล่นเกิดแล้วก็หาย ไม่มียืดเยื้อจีรังอะไรเหมือนความรักเอง” เขามิได้เอ่ยถึงจำปา เพราะรู้ตัวดีอยู่ว่า การสงเคราะห์หล่อนรวมอยู่ด้วยในบรรดาหญิงเหล่านั้นเพียงแต่จะเป็นการมดเท็จตนเอง ผู้หญิงอย่างจำปาเต็มไปด้วยความปรารถนาเกินไป ยึดเหนี่ยวใจเกินไปที่ผู้ชายคนใดพบหล่อน รู้จักหล่อนแล้วจะลืมได้ง่าย ๆ
“เชื่อข้าดีกว่า สุดใจ” เขาบอกอีก “หัวใจข้าไม่มีใครจะแทนเอ็งได้”
“แต่เขาก็เป็นเมียพี่รื่นมาแล้วถึงสองครั้ง ใครจะไปรู้ว่าเขาจะเป็นเมียพี่รื่นต่อไปอีกกี่หน จนกว่าจะมีใครไปเจอเข้า และเรื่องมันแดงขึ้นอย่างที่ฉันเจอะคืนนี้ ?
“เราจะไม่พบกันอีก สุดใจ” เสียงของเขาห้าวไปด้วยความรู้สึก แล้วก็กลับเลื่อนลอยไปอีก “บอกเอ็งแล้วไม่ใช่หรือ ว่าข้ากะจำปาเจอกันเป็นครั้งสุดท้าย อีกหน่อยมันก็เป็นเมียของอ้ายเรือง เราจะไม่มีอะไรเป็นกันอีกต่อไป”
แต่ผู้หญิงอย่างจำปา มิใช่คนที่จะลืมอะไรได้ง่าย ๆ สุดใจอดหังหรณ์ใจไม่ได้ว่า เรื่องมันจะไม่สิ้นสุดยุติลงเพียงแค่นั้น การแต่งงานระหว่างเรืองกับจำปา อาจจะแก้ปัญหาบางเปลาะบางประการให้ผ่านไปได้ แต่มันจะไม่ทำให้แผนผังชีวิตของหล่อนของรื่น และจำปาเปลี่ยนไปเป็นอื่น
“พี่รื่น !” หล่อนเรียกเขาออกมาจากเงามืดข้างฝา
“ฮึ?”
“พี่เรืองเขาระแคะระคายบ้างหรือเปล่า ถึงเรื่องระหว่างพี่รื่นกะจำปา ?”
“อย่าว่าแต่อ้ายเรือง ถึงข้าเองก็ไม่เคยระแคะระคายตัวของตัวเอง จนกระทั่งมันแล้วไปแล้ว”
“พี่รื่นหมายความว่า ปุบปับก็อยากได้จำปาขึ้นมาเฉย ๆ พี่รื่นไม่เคยคิดเคยฝันมาก่อนเลย”
“ไม่เคยจริง ๆ สุดใจ”
“แล้วพี่รื่นคิดว่าจะลืมจำปาเขาได้จริง ๆ
“ข้าจะไม่เกี่ยวข้องกับมันอีกต่อไป เอ็งเชื่อใจได้ในข้อนั้น – –”
“เพราะฉันเชื่อพี่รื่น มันถึงได้ – – ได้ – ”เสียงของหล่อนขาดห้วนหายไปในท่ามกลางสะอื้น ซึ่งสุดวิสัยที่จะอดกลั้นไว้ได้ “– – เจ็บอยู่ในอกถึงเพียงนี้”
“สุดใจ !” หล่อนรู้สึกมืออันใหญ่และหยาบของเขา เอื้อมข้ามเบาะลูกมากุมไหล่หล่อนไว้ การสัมผัสนั้น ทำให้ร่างที่สั่นเต็มค่อยสงบลง
“พี่รื่นไม่รู้หัวใจฉันนะ ว่ารักพี่รื่นกะเขาเพียงใด” หล่อนพึมพำต่อไป
“ข้ารู้ สุดใจ – – ข้ารู้ !”
“รักมากถึงกะคิดว่า ถ้าเป็นความประสงค์ของพี่รื่นแล้ว ฉันยอมยกเขาให้พี่รื่นได้ – –”
“อย่าไปพูดถึงมันอีกดีกว่า สุดใจ บอกแล้วนี่ว่าจำปาจะได้กะอ้ายเรือง มันจะเป็นผัวเมียกันต่อไป – –”
“ต่างว่าในวันหนึ่งข้างหน้า พี่เรืองรู้ขึ้นมาว่าจำปาเป็นเมียพี่รื่นแล้ว”
“นิ่ง ๆ ดีกว่า จำปาเป็นเมียอ้ายโปร่งยี่แกมาแล้วเหมือนกัน – –”
“ถึงงั้น มันก็ไม่เหมือนเขาเป็นเมียพี่รื่น” หล่อนยังยืนกราน เสียงสะอื้นค่อยหายไป “พี่เรืองเขาจะว่ายังไง ถ้ารู้ว่าใช้ให้พี่รื่นเป็นพ่อสื่อไปพูดกับจำปา เหมือนใช้แมวไปขโมยปลา ?”
อย่างแผ่วเบาและแหบเครือ หล่อนตัดพ้อต่อว่าเขาต่อไปเป็นเวลาอีกนาน จนกระทั่งแสงเดือนลำนั้นเคลื่อนตามต่อมา จนไม่สามารถจะหลบเข้าหาเงามืดจากข้างฝาห้องอีกได้ สุดใจจึงหันกลับมาเผชิญหน้าเขา จากเสียงกรนเบา ๆ และฝ่ามือที่รับร่างหล่อนเฉยอยู่ มากกว่านัยน์ตาที่หรี่ปิดอยู่ในเงามืดทางด้านโน้น หล่อนก็รู้ได้ว่าเขาหลับเสียแล้ว
เด็กน้อยพลิกตัวตื่นอีกครั้ง ครางออกมาเบา ๆ จากการหลับของแก หล่อนแลดูหน้าลูก แล้วก็เลื่อนไปพิจารณาดูหน้าเขา เคราเขียวๆ ยังอยู่ที่นั่น ฟันขาว ๆ ก็เช่นเดียวกัน รื่นในเวลาหลับดูไม่ต่างอะไรกับลูก ปราศจากทุกข์ ปราศจากกังวล ทั้งที่ผ่านการทนทุกข์ทรมานมาใหม่ ๆ ในเวลาตื่น
อาการสะอื้นแน่นขึ้นมาจุกคอหอยสุดใจอีก เมื่อคิดว่าชีวิตในอนาคตจะเป็นไปอย่างที่หล่อนวาดไว้ หรือไม่เป็นก็ตาม หล่อนกับเขาจะไม่มีวันแยกจากกันออก รื่นจะซื่อตรงจงรัก หรือหักหลังหล่อนอย่างไรก็ตาม หล่อนและเขาจะต้องเป็นของกันและกันตลอดไป ไม่มีอำนาจของมนุษย์หรือเทวดาฟ้าดินใด ๆ จะมาทำลายลบล้างหรือขัดขวางไว้ได้ หล่อนรู้ว่าหล่อนจะรักเคารพและซื่อตรงต่อเขาตลอดไป แม้มิใช่เพราะอะไรอื่น ก็เพราะว่ารื่นเป็นรื่น จะดีหรือร้ายเพียงใด เขาก็ยังคงเป็นรื่น ชายคนแรกที่หล่อนรัก รื่นผู้มาเปิดอาณาจักรในหัวใจ และยุคใหม่ขึ้นในชีวิตสาวของหล่อน รื่นผู้เป็นบิดาของทารกซึ่งนอนอยู่บนเบาะต่อหน้าในปัจจุบัน –– ทารกคนนั้นเกิดจากเลือดเนื้อของหล่อนและเขา ทั้ง ๓ คนจะต้องเป็นกรรมสิทธิ์ของกันและกันต่อไป จนกว่าความตายจะมาพรากจากกัน
นั่นเป็นเจตนาอันเด็ดเดี่ยวของหล่อน ก่อนที่ความง่วงเหงาหาวนอนจะมาปิดเปลือกตา อันเหน็ดเหนื่อยและอิดโรย ให้หลับสนิทไปเมื่อค่อนรุ่ง
– ๔ –
หล่อนมิได้เอ่ยถึงเรื่องนั้นกับเขาอีกเลย ในวันรุ่งขึ้น และวันต่อ ๆ ไป เหตุการณ์ในบ้านคงดำเนินไปเป็นปกติ ไม่มีใครเลยจะได้ระแคะระคายว่าอะไรเกิดขึ้นบ้าง ระหว่างคนเหล่านั้น นอกจากหล่อน รื่น และจำปาโดยเฉพาะ
หญิงสาวผู้เคราะห์ร้าย ยังคงไปและมาที่บ้านช่วยสุดใจและป้าแคล้วทำงาน อย่างที่เคยช่วยมาแล้วในกาลก่อน เพียงแต่หล่อนพูดน้อยลงและดูเงียบขรึมขึ้น จะยิ้มหรือหัวเราะแต่ละครั้ง ก็เป็นไปอย่างฝืนมากกว่าจะออกมาจากหัวใจอย่างบริสุทธิ์ หลายครั้งสุดใจจับพิรุธได้ว่าหล่อนพยายามหลบตาเมื่อมองกันจัง ๆ หน้า และหลายครั้งก็พยายามหลีกเลี่ยงที่จะพบหรืออยู่ด้วยกันโดยเฉพาะแต่ลำพัง ทุกครั้งที่แลเห็นอาการของสองหญิงในลักษณะนั้น รื่นก็ได้แต่จะเม้มริมฝีปากแล้วถอนใจ
เรืองเองตั้งแต่ได้ข่าวจากสหายผู้อาวุโสกว่า ถึงการตกลงใจของจำปา ก็หน้าบานไปด้วยความตื่นเต้นและเป็นสุข ทุก ๆ วันเขาจะต้องไปขลุกอยู่ที่นั่นในเวลาว่าง ช่วยเลี้ยงดูลูกให้หล่อนบ้าง ตักน้ำผ่าฟืนบ้างโดยไม่ต้องขอร้อง จนกระทั่งเป็นที่ยิ้มหัวแก่คนทั่วไป
“อ้ายนี่ เตรียมให้จำปามันสนตะพายเสียตั้งแต่ยังไม่ได้แต่งกัน” แววว่า
“ก็เอ็งล่ะ ?” รื่นหัวเราะ “เอ็งกะอีอุ่นเรือนน่ะ........”
เปล่า, เรื่องระหว่างแววกะอุ่นเรือนยังไม่คืบหน้าไปถึงไหน หล่อนยังคงต้อนรับเขาด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส อย่างที่ได้ต้อนรับชายหนุ่มทั้งปากคลองและบ้านไร่ทั่วไป เพียงแต่ในขณะเดียวกัน หล่อนไม่เคยไปไหนมาไหนกับใครแต่ลำพัง นอกจาก เคน
“เขารู้กันทั้งบ้านว่า นั่นแหละผัวของอุ่นเรือนมันละ ถึงงั้นเอ็งก็ยังหลับหูหลับตาอยู่คนเดียว” รื่นเคยเตือนแล้วเตือนเล่า “เอ็งกะอ้ายเรืองมันเป็นยังไง สาว ๆ ถมไปไม่ชอบ อยากจะได้แต่คนมีผัวแล้ว”
“ถึงอ้ายเคนจะเป็นผัว ก็ยังไม่เป็นตัวเป็นตนน่าพี่รื่น” แววอ้อมแอ้ม “อ้ายเรื่องอื่นนะ พอฝืนกันได้หรือก แต่เรื่องลูก เรื่องเมียนี่มันยาก หากไม่ถูกอกถูกใจ ถึงจะสาวทั้งแท่ง หรือปิดทองมาทั้งตัวยังไง เดี๋ยวก็ไปทิ้งไปขว้างกันกลางคันเปล่า ๆ พี่รื่นจัดการให้เจ้าเรืองเขาสำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว น่าจะคิดถึงเรื่องฉันบ้าง....”
“เอ็งจะให้ข้าทำยังไง ?”
“ก๊อ ลองพูดกับอ้ายลี อีสีดาหรือตัวอุ่นเรือนมันให้ฉันหน่อยซิ”
“ขอที – – อ้ายแวว – – ขอเสียที” รื่นยกมือท่วมศีรษะ “อย่าให้ข้าไปยุ่งกับเรื่องพรรค์นี้อีกเลย, เข็ดแล้ว, ข้ารู้ตัวของข้าดีว่าเป็นอะไร ใช้ข้าเรื่องอื่นดีกว่า อย่าให้ข้าไปเกี่ยวกับเรื่องนี้”
แววไม่มีโอกาสจะรู้ได้เลยว่า อะไรเป็นต้นเหตุให้รื่นปฏิเสธการช่วยเหลือเขาเช่นนั้น และอย่างคนที่อยู่ร่วมกันมานาน ในฐานะผู้รับคำสั่งมากกว่าในฐานะเทียมกัน เขาก็ได้แต่รับคำปฏิเสธนั้น อย่างที่เคยรับการบอกปัดในเรื่องอื่น ๆ มาแล้ว
ป้าแคล้วต้อนรับข่าวการตกลงระหว่างจำปากับเรืองจากหลานเขยของแกด้วยความยินดี มิได้น้อยไปกว่าคราวสุดใจกับรื่น
“รักมัน ไม่ได้ต่างไปกว่าลูกคนหนึ่ง” แกพูดในคืนที่หลานเขยไปขอร้องให้จัดการเรื่องนั้น “มีเหย้ามีเรือนไปเสียจะได้ห่วงอีกคน คราวนี้จะได้เหมือนครอบครัวเดียวกัน”
ถึงกระนั้นจำปาเอง ก็มิได้แสดงความยินดียินร้ายต่อความเคลื่อนไหวเหล่านั้น ราวกับว่ามันเป็นเหตุการณ์ธรรมดาสามัญอย่างหนึ่ง ซึ่งชีวิตของหล่อนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ด้วย จนใครๆ พากันประหลาดใจ
“เห็นทีรูปทิดเรืองมันจะไม่หล่อคอยาว เหมือนเจ้าโปร่งกระมั้ง?” เพื่อนบ้านคนหนึ่งว่า
“จำปาเอง มีดีอะไรมานักหนา ได้ผู้ชายอย่างนี้แล้วจะยังไม่จุใจ” อีกคนหนึ่งค้าน
แม้ข่าวนี้ จะเป็นที่รู้กันแซ่ไปทั้งปากคลอง และบ้านไร่แล้ว หล่อนก็ยังครองชีวิตและทำงานต่อไปเป็นปรกติเหมือน ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
และสุดใจ, ด้วยสายตาของผู้หญิงที่มองเข้าไปในความคิด แทนที่จะพิจารณาเพียงใบหน้า ก็กลับพลุ่งพล่านไปด้วยความเดือดดาลเก่า ๆ ขึ้นมาอีก
“เขาลืมพี่รื่นไม่ได้ ถึงอย่างไรๆ ก็ลืมไม่ได้” หล่อนว้าวุ่นอยู่ในใจ
จนกระทั่งเย็นวันหนึ่ง ได้โอกาสที่ป้าแคล้วยังไม่กลับจากไร่ และพวกผู้ชายยังไม่กลับจากธุระในเมือง หล่อนกล่อมลูกหลับแล้ว จึงลงไปที่สวนหลังบ้าน ซึ่งจำปากำลังสอยใบตองสำหรับห่อขนมอยู่ ในทันทีที่เหลือบไปแลเห็นแม่เพื่อนสาวผู้อ่อนอาวุโสกว่าเท่านั้น จำปาก็รีบก้มหน้า จัดการเก็บใบตองที่สอยลงมากองอยู่ จะเลี่ยงกลับเข้าไปในบ้าน
“จำปา !” สุดใจ ก้าวเข้าไปยืนอยู่ตรงหน้า
“ทำไมรึ สุดใจ ?” หญิงสาวยังไม่เงยหน้า มือที่จับก้านใบตองอยู่เริ่มสั่นจนแลเห็นชัด
“กันหาเวลาพบเองแต่ลำพังมาหลายวันแล้ว” เสียงของหล่อนเต็มไปด้วยความรู้สึก หยุดนึกอยู่นานว่าต้องการจะพูดอะไร แต่แล้วก็แปลกใจ ที่มาได้คิดเอาในนาทีสุดท้ายว่า หล่อนไม่ต้องการจะหวนกลับไปพูดถึงเรื่องเหล่านั้นเลย
จำปาเงยหน้าขึ้นดูแม่เพื่อนหน่อยหนึ่ง แล้วก็ลุกขึ้นยืนนิ่งอยู่
“กัน– – กันอยากจะพูดกับเองถึงเรื่องนั้นสักหน่อย” สุดใจรู้ดีว่าเสียงของหล่อนเลื่อนลอยเต็มที เมื่อคิดไปถึงความหลังที่ผ่านมาแล้ว หล่อนกับจำปาในวัยเยาว์ สมัยยังไว้จุก หล่อนกับจำปาในงานวัดพระบรมธาตุ หล่อนกับจำปาในเทศกาลตรุษและสงกรานต์ ความเศร้าโศกเสียใจระหว่างวันที่จำปาหอบผ้าตามพระเอกยี่เกไป ความเศร้าโศกเสียใจในวันที่หล่อนหอบลูกกลับมาปรับทุกข์ และสู้หน้ากับการครหาของชาวปากคลองทั้งบ้าน สุดใจรู้ดีว่าหล่อนไม่สามารถจะลืมคืนวันเหล่านั้นได้ หล่อนรู้ดีว่าไม่มีใครเลยในชีวิตที่หล่อนจะเรียกได้สนิทปาก และนับได้อย่างบริสุทธิ์ใจว่าเพื่อนอย่าง จำปา
“กันอยากจะพูดกับเองถึงเรื่องนั้น” หล่อนพูดอีก รู้สึกเหมือนก้อนบ้าอะไรขึ้นมาจุกอยู่ในคอหอย
“เรื่องอะไรกัน สุดใจ” สีหน้าของจำปา ไม่บอกความรู้สึกอะไรเลย
สวนทั้งสวนเงียบไปอีกวาระหนึ่ง ไม่ได้ยินเสียงอะไร นอกจากลมหายใจที่กระอักกระอ่วน และลมหลงที่พัดมา ปั่นป่วนอยู่ระหว่างยอดตองเหนือศีรษะขึ้นไป
“กันทนไม่ไหว จำปา – ทนไม่ไหวจริง ๆ ที่จะเห็นเอ็งกับกันเหมือนคนแปลกหน้าไปยังงั้น เพราะ ––– เพราะเรื่องผู้ชายคนเดียว” มือของหล่อนกำแน่น แขนทั้งคู่เหยียดตรงอยู่ข้างกายด้วยความพยายามข่มใจข่มสติอย่างเหลือฝืน วันและคืนแห่งความสัมพันธ์แต่ครั้งเก่าก่อน ผุดขึ้นมาในความทรงจำอีกอย่างช่วยไม่ได้
“กัน– – กันไม่รู้จะพูดยังไง สุดใจ” แม่เพื่อนหญิงผู้อาวุโสกว่า ก้มหน้ากัดริมฝีปากแน่น “เอ็งรู้เรื่องหมดแล้ว ว่าอะไรเป็นอะไร กันเองไม่มีอะไรจะแก้ตัว ไม่มีอะไรจะมาอ้าง นอกจากความจริงอย่างเดียวว่า ถึงจะเห็นเป็นความชั่วแสนชั่ว ความคิดในการที่จะแย่งผัวเพื่อนก็ไม่มีอยู่ในหัวใจกัน เรื่องมันเกิดขึ้นอย่างไรบอกไม่ถูกเลยเป็นความสัตย์ จนกระทั่งมันเกิดขึ้นแล้ว และกันไม่มีทางจะแก้ไข”
“กันเข้าใจ จำปา – – กันเข้าใจดี เพราะฉะนั้นอย่าไปรื้อฟื้นมันขึ้นมาอีกดีกว่า” หล่อนมองหน้าแม่เพื่อนหญิงอย่างเต็มตา “เอ็งไม่รู้หรอกจำปา ว่าการกระทำของเอ็งเหมือนกะจะฆ่ากันทั้งเป็น แต่ป่วยการไปพูดถึงเรื่องนั้นอีก มันแล้วไปแล้วถึงกันเองก็จะให้แล้วไปแล้วขอให้เราพยายามลืม และมารักกันต่อไป อย่างที่เอ็งกะกันได้เคยรักกันมา อย่าให้เราคิดถึงกันอย่างคนอื่น จำปา ขอให้คิดเหมือนกะว่าเอ็งเป็นพี่และข้าเป็นน้อง ถึงจะผิดพ้องหมองใจกันเพียงใดก็ตัดไม่ขาด––”
“กัน– – กัน – ” จำปาเอ่ยได้เท่านั้นก็ตื้นตันคอหอย ก้มหน้า พูดอะไรต่อไปอีกไม่ได้
สุดใจก้าวเข้าไปอีกก้าวหนึ่ง ยกมือขึ้นโอบไหล่หล่อนไว้เหมือนเด็ก ๆ
“จำปา” น้ำตาเจ้ากรรมอดซึมออกมาคลอหน่วยไม่ได้ “เราคบกันมานานพอที่เอ็งจะรู้ใจกันแล้ว เพราะฉะนั้นก็ไม่จำเป็นอะไรที่กันจะต้องพูดอีกว่า เรื่องต่าง ๆ เหล่านั้นกันลืมหมดแล้ว ถึงเอ็งก็จะต้องลืมอย่างเดียวกัน คิดถึงแต่วันข้างหน้า ที่เอ็งและพี่เรืองจะได้ร่วมชีวิตกัน อย่าไปคิดถึงคืนวันที่ผ่านมาแล้วแต่หนหลัง – –”
“กันจะพยายาม สุดใจ – – กันจะพยายาม – –”
แต่ลึกลงไปในหัวใจ จำปารู้ดีว่า หล่อนไม่มีวันจะลืมเขาได้เป็นอันขาด –– รื่นพร้อมด้วยฟันขาว ๆ และเคราเขียว ๆ ของเขา รื่นผู้มีมืออันใหญ่และหยาบกระด้าง ทำให้หล่อนสั่นเทิ้มไปทั่วสรรพางค์ รื่นพร้อมด้วยคืนอันเย็นยะเยือกข้างกองฟางที่นาน้ำลาด และรื่นพร้อมด้วยคืนอันอบอุ่นกระหึ่มไปด้วยเสียงกระพือปีกของแมงอีนูนที่ไร่เกาะครั้งนั้น !
– ๕ –
ขึ้น ๗ ค่ำของเดือนต่อมา ก่อนหน้าที่ฤดูล่องแพจะเริ่มต้น จำปากับเรืองก็แต่งงานกัน
เสียงของป้าแคล้ว มีบทบาทอยู่อย่างสำคัญในการวินิจฉัยเรื่องนั้น
“ทำไมจะต้องรอไปจนถึงเดือนอ้ายเดือนยี่ หรือเดือนสามเดือนสี่ จนกว่าทิดเรืองมันจะกลับจากขายไม้กะเอ็ง ?” แกตั้งกระทู้กับรื่น “ขืนรอไปก็มีแต่จะทำให้มันทุรนทุรายไปเปล่า ๆ จะทำบุญพรรค์นี้มันต้องก่อนหน้าหนาว สำหรับพิธีรีตองนั้น จะไปเอาอะไรกันหนักหนา จำปามันไม่ใช่สาวใช่แส้แล้ว ถึงทิดเรืองเองมันก็ไม่ต้องการอะไร นอกจากให้ได้อีจำปามาเป็นเมียเท่านั้น”
เมื่อมันเป็นความปรารถนาของป้าแคล้ว ทุกคนก็ได้แต่จะปฏิบัติตาม ความจริงรื่นเองก็ยินดีที่ภาระนั้นจะได้สิ้นสุดไปเสียที ประการหนึ่งเพื่อเป็นการพิสูจน์คำมั่นสัญญา ที่เขาได้ให้แก่สุดใจ และประการต่อไปหวังว่าจำปาในฐานะภรรยาของสหาย จะทำให้เขาพยายามลืมหล่อนได้
คืนวันผ่านไป เมื่อน้ำเหนือหลากและเวลาของการเอาไม้ลงน้ำมาถึง บรรดาหน้าเก่า ๆ ที่เคยร่วมงานกันมาแต่ปีกลาย ก็ได้กลับมาพบกันอีกครั้งหนึ่ง ตาแดงดูแก่ลง การดื่มก็จัดขึ้น แต่คงกระปรี้กระเปร่าร่าเริง และแข็งแรงตามเดิม มั่นและทิมก็เช่นเดียวกัน
“คิดจะชวนกันมาหาแต่คราวได้ข่าวว่าไปมีเรื่องกับนายเสถียรแล้ว” ตาแดงว่า “ผู้จัดการภาคคนใหม่ของพะโป้คนนี้น่ะ กะฉันรู้จักกันดี คิดว่าบางทีพอจะพูดจาให้ปรองดองกันได้ แต่อ้ายเรื่องไร่เรื่องนามันยุ่งเหลือดี เห็นเขาว่าเรียบร้อยกันไปแล้วไม่ใช่หรือ ?”
รื่นพยักหน้า ข่าวที่ได้รับจากตาแดง เป็นความรู้ใหม่สำหรับเขา แต่เมื่อคิดว่าปากน้ำโพสำหรับตาแดงเหมือนบ้านอีกแห่งหนึ่งสำหรับแก ก็พอจะเข้าใจ
“จะเรียกว่าเรียบร้อยก็ได้ เพราะตั้งแต่กลับจากโป่งน้ำร้อนแล้ว ยังไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นอีกเลย” เขาอธิบาย “อย่างไรก็ดี ฉันไม่เคยคิดถึงเรื่องนั้นอีก แล้วก็แล้วไป เกิดใหม่ก็ว่ากันไปอีกเรื่องหนึ่ง แต่ไม่ยักรู้ว่าน้าแดงคุ้นเคยกับนายเสถียรมาก่อน”
ชายชราถอนใจขณะที่มวนยาใบตองใส่ปาก แล้วจุดพ่นควันโขมง
“จะคุ้นเคยก็ยังไม่ถึง” แกว่า “อีกปีหนึ่งฉันล่องแพไปเจอะเขาเข้าที่ปากน้ำโพ เขาเกิดชอบใจอะไรขึ้นมาไม่รู้ละ ชวนลงไปเที่ยวถึงบ้านเขาที่กรุงเก่า จากนั้นมาพาแพลงไปส่งปากน้ำโพทีไร ก็แวะไปเยี่ยมทุกครั้ง บางทีเขาก็แวะมาเยี่ยมฉัน คน ๆ นั้นชอบกล – – เป็นคนประหลาดยังไง ๆ อยู่” ตาแดงส่ายหน้าไปมา แล้วก็หยุดนิ่งอยู่ครู่หนึ่งครุ่นคิด
รื่นอดอยู่ไม่ได้ “ประหลาดยังไงน้าแดง ?” เขาถาม
“บางครั้งเหมือนโจร – – เหมือนองคุลีมาล บางครั้งเหมือนพระ – – เหมือนองคุลีมาลอีกเหมือนกัน”
“ฉันยังไม่เข้าใจ”
“คือยังงี้” ตาแดงเกาศีรษะ เพราะไม่สามารถจะหาถ้อยคำที่เหมาะเจาะมาอธิบายให้ผู้ฟังเข้าใจชัดได้ “วันหนึ่งดูเป็นคนดี มีธัมมะใจคอกว้างขวาง สมกะเป็นนักเลงแควใหญ่ อีกวันหนึ่งกลับดุดื้อถือแต่ใจ เอาอะไรจะเอาให้ได้ ฉันน่ะไม่เคยชอบพออะไรเขามากมายหรอก แต่เขาเองกลับมาชอบฉันนักหนา ตั้งแต่ขึ้นมาเป็นหัวหน้าป่าไม้ภาคของนายห้างอยู่ที่นี่ เคยแวะไปเยี่ยมฉันที่หนองปลิงหลายหนแล้ว รบเร้าจะให้มาทำงานกะเขานับครั้งไม่ถ้วน แต่อ้ายฉันมันไม่ชอบ มีเจ้ามีนายอยู่กับใครได้ไม่นาน แม้แต่การรับจ้างล่องแพ เคยซ้ำเจ้าของเสียเมื่อไหร่ละ – –”
“ถึงงั้นน้าแดงก็ยังอุตส่าห์มาร่วมงานกะฉันอีก” รื่นหัวเราะ
“สำหรับรื่นนะ มันคนละอย่าง จะเอาไปเปรียบกะเขาไม่ได้” ตาแดงอธิบาย “นายเสถียรเขาอาจจะดี บางทีก็อาจจะร้าย แต่เขาก็วางตัวเป็นเหมือนนายคนเสมอไป ไม่เหมือนรื่น ซึ่งถือเหมือนญาติ ประหลาดแท้ ๆ” แกหยุดเกาศีรษะอีก “ประหลาดที่เขายอมแพ้รื่นเอาง่าย ๆ ในเรื่องโป่งน้ำร้อน”
แต่รื่นหาได้นิ่งนอนใจ เชื่อเอาง่าย ๆ อย่างเหตุการณ์ปรากฏ และอย่างที่ตาแดงคิดไม่ เพียงแต่มิได้เก็บเอามาคิดให้เป็นเครื่องกังวลใจ จนกว่าเหตุการณ์ใหม่จะบังเกิดขึ้นอีกเท่านั้น เขายังเชื่ออยู่เสมอว่าความสงบของบ้านไร่และปากคลองในปัจจุบัน เปรียบเหมือนความสงบของท้องฟ้าอากาศก่อนเกิดพายุใหญ่ และมิวันหนึ่งก็วันใด นายเสถียรคงจะลงมืออีก เพียงแต่จะเป็นที่ไหนและเมื่อไรเท่านั้น
เดือนต่อมาทั้งเดือนชุกไปด้วยงาน จนแทบไม่มีเวลาอยู่ติดบ้าน กระทั่งเอาไม้ลงน้ำผูกแพ ล่องจากเหนือลงมาพักรอเวลาการเดินทางอันไกลอยู่ที่หน้าคลองใต้แล้ว วันหนึ่งสุดใจกระหืดกระหอบลงไปหา
“ผู้ใหญ่ดูนมาคอยอยู่บนเรือนใหญ่แน่ะ พี่รื่น !” หล่อนบอก “เห็นว่านายห้างกลับจากตะโก้งแล้วหรืออะไรไม่รู้ละ”
สามีวางมือจากขันชะเนาะหวายที่ผูกจมูกซุงกับคานแพ เงยหน้าอันเป็นมันไปด้วยเหงื่อขึ้น
“แล้ว–แล้วมาเกี่ยวอะไรกับเราด้วยล่ะ ?” เสียงของเขาบอกความรำคาญใจ
“ฉันจะไปรู้รึ ผู้ใหญ่พูนบอกยังงั้นนี่ แกมาหาพี่รื่น บอกว่ามีธุระอยากพบซักหน่อย ขึ้นไปถามดูเองเถอะ”
รื่นหันไปสั่งงานกับเรืองและพัน ซึ่งอยู่ด้วยกันบนแพพื้นนั้น แล้วก็ลงเรือหมูพายพาภรรยาข้ามฟากมา
“น่าจะถามให้รู้เรื่องแล้วถึงค่อยไปบอก” เขาบ่นพึม “ไม่รู้รึว่าวันนี้น้ำขึ้นอีกเกือบศอก จะออกแพได้ในวันในพรุ่งอยู่รอมร่อ แต่ผูกเสร็จเสียเมื่อไหร่ล่ะ น้าแดงกับทิมก็ไปเอาเข็ม ยังไม่กลับมาจากหนองปลิง ––” บ่นไปพายไป เมื่อเห็นสุดใจได้แต่นิ่งตาเหม่อจับอยู่ข้างหน้าก็หยุดบ่นไปเอง จนกระทั่งเรือถึงตีนท่า
ในทันทีที่ก้าวขึ้นไปบนนอกชาน รื่นรู้สึกประหลาดใจที่เห็นผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งไม่ค่อยจะแสดงความตื่นเต้นใดๆ ออกมานอกหน้า นั่งกระสับกระส่ายเหมือนมีอะไรกังวลอยู่อย่างหนัก
“เกิดอะไรขึ้นหรือผู้ใหญ่ ?” เขาก้าวเข้าไปนั่งลงที่ระเบียงตรงกันข้าม
“นายห้างให้.... ให้คนมาตามฉันไปหาเมื่อกลางวันนี่เอง” ผู้ใหญ่พูนบอก “แกกลับจากนมัสการพระตะโก้งมาถึงเมื่อคืน ดูเหมือนจะรู้เรื่องรื่นกับนายเสถียรเข้าเพราะเห็นพื้นเสียใหญ่ พอเห็นหน้าฉันก็ตาลุกเป็นไฟ พูดไทยคำกะเหรี่ยงคำ จับใจความได้แต่ว่า ให้ฉันพาขึ้นไปหาเท่านั้นแหละ รีบแต่งตัวเข้าเถอะ”
รื่นได้ฟังก็เลิกคิ้ว “ทำไมฉันจะต้องไป ผู้ใหญ่ ?”
“โธ่ รื่นก้อ เพราะนายห้างอยากพบน่ะซิ !”
“ต่างว่าฉันไม่ไปละ ?”
หน้าของผู้ใหญ่พูน ที่ซีดอยู่แล้วยิ่งซีดหนักขึ้น ริมฝีปากที่เปรอะไปด้วยน้ำหมากถึงกับสั่น งงงันอยู่ครู่หนึ่งเหมือนไม่เชื่อหูตัวเอง
“นายห้างนะรื่น – – เข้าใจไหมล่ะ ? ไม่มีใครบ้านนี้เคยขัดขืนคำสั่งของนายห้างหรอก”
“ลองดูกันไหมละ ผู้ใหญ่ ?” ริมฝีปากของเขาเผยอจากกันน้อย ๆ เมื่อหัวเราะเบา ๆ แต่ประกายวาวจากนัยน์ตาคู่นั้นบอกผู้ใหญ่พูนดียิ่งกว่าสิ่งใด ว่าเขาหมายความตามนั้น หรือสัพยอกเล่น ๆ
“เห็นแก่ฉันเถอะรื่น ไม่เห็นแก่ใครก็เห็นแก่ฉัน ไปด้วยกันสักหน่อยเถอะ – –” เสียงของผู้ใหญ่พูนเต็มไปด้วยการวิงวอน ดูเหมือนว่าขณะนั้นถ้าการกราบของแกจะสามารถทำให้รื่นเปลี่ยนใจได้ แกก็คงจะก้มลงกราบแล้ว
“อะไรกันวะ, ผู้ใหญ่ ?” เสียงที่ใคร ๆ จำไม่ผิดแน่ ดังมาจากหัวบันได ต่อจากนั้นป้าแคล้วก็ก้าวขึ้นมาบนนอกชาน
ผู้ใหญ่บ้านคลองสวนหมากใต้ อธิบายให้แม่เฒ่าฟังโดยละเอียดด้วยสีหน้าซึ่งไม่สบายใจเลย
“ถูกของเอ็ง อ้ายทิด” หญิงชราหันไปหาหลานเขย “ผู้ใหญ่ผิด ! ทำตามที่เอ็งคิดว่าถูกต้อง อย่าทำตามที่ใครเขาบังคับ”
“ฉันไม่ได้ว่าบังคับ” ผู้ใหญ่พูนค้าน “น้าแคล้วก็รู้อยู่แล้วว่า นายห้างเป็นคนยังไง บอกให้ฉันมาตามรื่นไปพบ ฉันก็มาตาม ยังไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าจะพูดเรื่องอะไร”
รื่นเงยหน้ามองดูแม่เฒ่าแล้วหันกลับไปมองดูสุดใจ ซึ่งนั่งนิ่งมิได้พูดอะไรอยู่ตลอดเวลา แล้วก็ถอนใจ
“เอาละ ฉันจะไปกับผู้ใหญ่” เขาบอก “แต่อย่าลืมว่า ไม่ใช่เพราะเป็นคำสั่งของพะโป้ – – ของนายห้างที่คนเมืองนี้ทุกคนเรียก ! หรือในฐานะเป็นจำเลยเกี่ยวกับเรื่องนายเสถียร เพราะมันเป็นเรื่องของบ้านเมือง ฉันไป – – เพราะว่าอยากจะตามใจผู้ใหญ่ ในฐานะที่ชอบพอกัน”
“ถูกของเอ็งอีก อ้ายทิด” แม่เฒ่าแคล้ว หันกลับไปหาผู้ใหญ่พูน “ถึงมันจะผิด ๆ พลาด ๆ ทำอะไรป้ำเป๋อ เจ้าพูนก็เป็นคนซื่อคนเซ่อ มีอย่างที่ไหน พบนายห้างทั้งทีควรจะชี้แจงเรื่องต่าง ๆ ให้นายห้างรู้ กลับนิ่งเป็นเบื้อ ได้แต่รับเป็นม้าใช้คาบข่าวต่อมา”
“โธ่ ทันพูดอะไรออกเสียเมื่อไหร่ล่ะ เห็นหน้าแกก็ใส่ฉันโครม ๆ ให้แต่ตามรื่นไป –– ตามรื่นไป”
“ช่างเถอะป้า เดี๋ยวก็คงรู้เรื่องหรอกว่าอะไรกัน” รื่นตัดบท “ผู้ใหญ่คอยฉันอาบน้ำ แต่งตัวประเดี๋ยวเถอะ – –”