๖
แม้ว่าขบวนเรือเสด็จจะไปถึงกำแพงเพชรเอาเมื่อพลบค่ำ ท่ามกลางความมืดและความชื้นของละอองฝนซึ่งยังอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ ท่ามกลางการตกตะลึงจังงังของชาวตลาดและชาวบ้านท้ายเมืองที่จู่ ๆ เจ้าชีวิตของเขาก็ปรากฏขึ้นอย่างกระทันหัน ภายหลังที่รอคอยมาเป็นเวลาแรมเดือน ทั่วจังหวัดและตำบลใกล้เคียงก็รู้กันทั่ว ก่อนวันที่สามจะผ่านพ้นไป
รื่นจะไม่ลืมวันนั้นเลย แม้อีกหลายสิบปีจะล่วงไปและวัยจะร่วงโรยแล้ว ๒๕ สิงหาคม ๒๔๔๙ จะประทับแน่นอยู่ในความทรงจำของเขาต่อไปชั่วชีวิตอวสาน มิใช่เพราะมันเป็นครั้งแรกที่เขาได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าหลวงโดยใกล้ชิดเป็นครั้งแรกในชีวิต เมื่อเสด็จขึ้นทอดพระเนตรวัดพระบรมธาตุในตอนบ่ายอย่างเดียว หากความตื้นตันใจต่อภาพของประชาชนทั้งชาวปากคลอง หนองปลิง ลานดอกไม้ แม้กระทั่งชนบทและตำบลที่ห่างไกลเข้าไปในป่าลึกและดงสูง ที่มาชุมนุมรับเสด็จรอชมบารมีเจ้าเหนือหัวของเขาแน่นขนัดไปหมดทั้งลานวัดอีกด้วย
ตลอดเวลา สายตาเขาจับอยู่ที่ขบวนเสด็จ แต่ใจจดจ่ออยู่กับผู้คนเหล่านั้น พร้อมด้วยข้าวตอกดอกไม้หรือพระพิมพ์อยู่ในพาน พร้อมด้วยธูปเทียนจุดชาอยู่ข้างหน้า ครั้นแล้วก็รู้สึกนัยน์ตาพร่าพราวไปด้วยฝ้าน้ำตาซึ่งซึมออกมาโดยไม่รู้สึก เมื่อนึกขึ้นได้ว่าหลายคนในจำนวนนั้น อยู่ด้วยชีวิตมหาวิบากของปากคลองร่วมกันกับเขามาแต่ต้น และหลายสิบหลายร้อยคนล้วนแต่เปลกหน้าและต่างถิ่นมาจากที่อื่นทั้งสิ้น บางคนเป็นพวกลาวพวนที่เขาชักชวนให้อพยพมาจากแม่ลาด หลายคนเป็นชาวเวียงจันทน์ที่อพยพจากนครนายกมาตั้งภูมิลำเนาอยู่ที่พรานกระต่าย ก่อนท่านพระครูที่วัดจะเกลี้ยกล่อมให้ตามท่านมาอยู่ปากคลองด้วยศรัทธา แต่ส่วนใหญ่และหลายร้อยคนมาจากตำบลอื่น เพราะตื่นข่าวที่เขาพยายามแพร่ออกไป
“ความประสงค์ของเจ้าเมืองท่านสมประสงค์ ปากคลองกลับเป็นตำบลที่แน่นไปด้วยผู้คนสำหรับรับเสด็จ” เขาคิดแล้วคิดอีกอยู่ในใจ “แต่มันไม่ใช่เลือดเนื้อของปากคลอง เดี๋ยวต่างคนต่างก็จะแยกย้ายกันกลับไป ภายหลังในหลวงเสด็จกลับ ปากคลองก็จะเป็นอย่างเก่าเงียบเหงาว้าเหว่ มีแต่ความทรงจำเป็นเจ้าเรือน”
แต่การเสด็จประพาสวัดพระบรมธาตุ และคลองสวนหมากของพระพุทธเจ้าหลวงครั้งนั้นเอง เหมือนมนต์อันศักดิ์สิทธิ์ มีความหมายที่จะชุบชีวิตซึ่งร่อยหรอประดุจดวงไฟที่หรี่จะดับมิดับแหล่ของตำบลนั้นให้สว่างโพลงยืนยงคงทนต่อไป ต่อหน้าโรคระบาด อุทกภัยและทุพพิกขภัยอย่างที่ไม่มีอำนาจอันใดจะมาทำลายให้ดับสูญไปได้
ก่อนที่ปีนั้นจะล่วงไป หลายครอบครัวในเมืองก็ข้ามฟากมาตั้งรกรากอยู่ที่คลองสวนหมากเหนือ อีกหลายครอบครัวจากปากอ่าวและสุโขทัยอพยพมาตั้งภูมิลำเนาลงที่คลองสวนหมากใต้ ผู้คนจากอีกหลายตำบลและจังหวัด ต่างก็ทยอยตามขึ้นไปและลงมาเป็นลำดับ
ศรัทธาและขวัญคนเราเป็นของประหลาด คลองสวนหมากซึ่งแต่ไหนแต่ไรมา เชื่อถือกันว่าเป็นตำบลอุบาทว์ ป่าช้า และหลุมศพสำหรับคนต่างถิ่น สิ้นเสนียดจัญไรกันที หลังจากที่พระบาทของพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จดำเนินผ่านมา แม่เฒ่าแคล้วเองถึงกับลั่นวาจาว่า
“แต่นี้ไปกูไม่ตายแล้ว อ้ายทิดเอ๊ย!” แกบอกรื่น
ความหมายของกิริยาวาจาที่คนอื่น ๆ แสดงออกมา ก็เช่นเดียวกัน รื่นรู้ด้วยสัญชาตญาณว่าการเสด็จประพาสของพระพุทธเจ้าหลวง เริ่มชีวิตและยุคใหม่ของคลองสวนหมากนับจากอึดใจแรกที่พระองค์เสด็จถึง แม้กระนั้นเขาก็บอกไม่ได้ว่า อะไรเป็นเหตุให้ป้าแคล้วลั่นวาจาประโยคนั้นออกมา – วาจาซึ่งความหมายของมันจะเป็นคำขวัญประจำชีวิต ของทุกครอบครัวชาวปากคลองต่อมาชั่วกาลอวสาน
จนกระทั่งนานและนานต่อมา เมื่อสายตายิ่งมองไกล และปริมณฑลของความคิดจิตใจที่ได้รับจากความสันทัดจัดเจนกว้างขึ้น รื่นจึงนึกขึ้นได้
“ถูกของป้าแก” เขาเคยบอกสุดใจและทุกคนเมื่อรื้อฟื้นถึงเรื่องนี้ “ความกลัวเป็นความอ่อนแอของบ้านนี้ กลัวผีป่า กลัวโรคห่า กลัวเสนียดจัญไร กลัวกันไปเสียทั้งนั้น จนกระทั่งสิ่งที่ไม่รู้กันว่าเป็นอะไร ความกลัวทำให้พวกเราตายไปตั้งแต่ความตายยังมาไม่ถึง ชั่วชีวิตหนึ่งตายไม่รู้ว่ากี่หนต่อกี่หน การเสด็จของพระพุทธเจ้าหลวงครั้งนั้น ทำให้ความกลัวต่าง ๆ หมดไป เมื่อคนเราหมดกลัวก็หมดตาย แม้วาระสุดท้ายจะมาถึง”
อีกครั้งหนึ่งในชีวิตของคลองสวนหมาก กุฏิทุกวัดเต็มไปด้วยพระ หมู่บ้านทุกหมู่แน่นไปด้วยเหย้าเรือนผู้คน คลองสวนหมากถูกยกฐานะขึ้นเป็นตำบล และพร้อมด้วยฐานะใหม่ของมัน ตำแหน่งกำนันก็ไม่พ้นรื่นไปได้สมดั่งคำละเมียดว่าไว้ และสมตามความคาดหมายของชาวปากคลองทั้งหลาย
รื่นถอนใจ เมื่อแจ้งให้ทุกคนทางบ้านทราบข่าวนี้ในวันแรกที่เขานำมันกลับมาจากศาลากลางจังหวัด
“อดคิดถึงผู้ใหญ่พูนไม่ได้” เขาบอก “แกจะดีใจสักแค่ไหน ถ้ายังมีชีวิตอยู่ได้รับตำแหน่งนี้ มันเป็นความฝันชั่วชีวิตแก”
เขาไม่เคยลืมชายใจดีผู้ให้โอกาสแก่เขาเป็นคนแรกในการที่ได้รับเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขชาวคลองสวนหมากต่อมาจนบัดนี้ ความสนใจของรื่นอาจจะมีต่ออนาคตของครอบครัวเป็นธรรมดา แม้กระนั้นมันก็ยังไม่ยิ่งใหญ่กว่าลึกซึ้งกว่าความสนใจที่เขามีต่อบรรดามิตรสหายซึ่งเป็นลูกบ้านที่ ได้ร่วมเกิดร่วมตายกับชีวิตของบ้านนั้นมาเป็นเวลาช้านาน ในปัจจุบันส่วนใหญ่อาจจะแปลกหน้ามาจากถิ่นอื่น แต่ถ้าพื้นดินของปากคลองดีพอสำหรับเขาและชาวคลองสวนหมากแต่ดั้งเดิมจะฝังรากแก้ว ของชีวิตลงได้ มันย่อมจะดีพอสำหรับคนรุ่นใหม่ทั่วไป รื่นรู้ว่าทำนองเดียวกันกับเขา เมื่อเวลาล่วงนานไป บุคคลเหล่านั้นจะกลายเป็นส่วนหนึ่งและทุกส่วนของปากคลองไปเอง ทั้งเลือดเนื้อ ร่างกายและชีวิตจิตใจ แผ่นดินที่มีความหมายที่จะยึดเหนี่ยวและครอบงำความรู้สึกอันลึกซึ้งของมนุษย์ไว้เช่นนั้นเอง คลองสวนหมากก็มีความหมายอย่างนั้นและยิ่งกว่านั้น
ภาระในการติดต่อพ่อค้าไม้ ภายหลังที่เขาหยุดค้าขายมาชั่วระยะหนึ่งเป็นอุปสรรคซึ่งทำให้รื่นรู้สึกไม่ได้ว่าเหมือนเริ่มจับงานใหม่ หลายคนล้มหายตายจากไป เพราะภัยพิบัติจากฝีดาษปีเดียวกัน และหลายครอบครัวก็อพยพไปอยู่ที่อื่น ถึงกระนั้นรื่นก็พยายามรวบรวมขึ้นเป็นแพจนได้ พ่อค้าใหม่เกิดขึ้นอีกหลายราย ทั้งในเมืองและหนองปลิง แต่จำนวนไม้กระยาเลยและเบญจพรรณก็ยังไม่พอกับความต้องการของตลาดปากน้ำโพ เขาเริ่มสำนึกว่า สนามของการค้าไม้ซึ่งแต่ไหนแต่ไรมาปราศจากการแข่งขัน นับวันนับแต่จะเต็มไปด้วยการชิงไหวชิงพริบ รื่นมองเห็นการณ์ข้างหน้า ซึ่งบรรดาไม้ชั้นสองรองลงมาจากสักจะหร่อยหรอลงจากป่า และบรรดาไม้ที่ไม่เคยมีใครเหลียวแลกระท้อและยาง ซึ่งสูงสล้างแน่นขนัดเต็มไปทั้งสองฝั่งแม่ปิง จะมีความหมายขึ้นเป็นลำดับ เขาเริ่มจับตาดูบรรดาไม้เหล่านี้ และที่ใดตำบลใดซึ่งพอจะเจรจาตกลงไว้ได้กับชาวบ้านที่ได้อาศัยตักยาง ผู้ถือกรรมสิทธิ์โดยปริยาย สำหรับประเพณีสมัยนั้น ก็จัดการลงมือทันที สายตาที่มองไกลและการตัดสินใจครั้งนั้นเอง เป็นหัวเลี้ยวหัวต่ออย่างสำคัญ ในการวินิจฉัยโชคชะตาอนาคตของเขาในกาลต่อมา
พะโป้ ซึ่งแว่วข่าวนี้ถึงกับสั่นศีรษะปรารภกับบรรดาผู้ที่พบปะสนทนาด้วยว่า “เคราะห์ดีที่เราเดินกันคนละทางและอยู่กันคนละสนาม ฉันได้สักโดยเฉพาะ และเขาได้ไม้เบญจพรรณทั่วไป มิฉะนั้นฉันจะหนักใจมากทีเดียวที่ต้องเจอะคู่แข่งขันอย่างนั้น บอกมาแต่แรกแล้วว่าคนๆ นี้เกิดมาสำหรับจะเป็นหัวหน้าคน เขาจะเป็นใหญ่ต่อไป มิใช่แต่ปากคลองหากทั้งกำแพง”
มันเป็นอภินันทนาการอันยิ่งใหญ่ที่ราชาป่าไม้ผู้นั้นจะได้เคยมอบให้แก่ใคร รื่นได้แต่หน้าแดงแล้วก็หัวเราะโดยมิได้ปริปากแต่อย่างไร เมื่อมีผู้มาเล่าให้ฟัง
เขารู้ว่าคู่แข่งขันที่แท้จริงของเขา ถ้าหากการค้าไม้จะก้าวหน้ารุ่งเรืองต่อไป มิใช่พะโป้มิใช่พ่อค้าใหม่หรือคนพื้นเมืองนั้นหากบริษัทของนายเสถียรคู่ปรับเก่า ซึ่งอาจจะสงบเงียบมาชั่วคราว นับแต่ละเมียดขึ้นมาดูแลการงานที่สาขาใหม่ ความจริงที่ว่าละเมียดรับผิดชอบในกิจธุระทุกอย่างในจังหวัดนี้ อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งของความสงบนั้น และฐานะที่ยังช่วยตัวเองไม่ได้ของเขาอาจจะเป็นประการต่อไป แต่ถึงกระนั้น รื่นในฐานะที่รู้จักและเข้าใจนายเสถียรดีก็อดรู้สึกไม่ได้ว่า ในทันใด ที่ปรากฏว่าปีกหางของเขากล้าแข็งขึ้นมา หน้ากากที่ต่างสวมเข้าหากัน ก็คงจะเผยออก และความสัมพันธ์ใด ๆ ที่ละเมียดและเขามีอยู่ต่อกันก็คงไม่สามารถจะระงับควันของสงครามใหม่ ซึ่งคุกรุ่นมาเป็นเวลาหลายปีแล้วได้
รื่นเกือบไม่มีเวลาพบปะละเมียดเลย หลังจากพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จประพาสกำแพงเพชร และการค้าไม้ของเขาเริ่มต้นอีกครั้ง แต่ทุกคราวที่ผ่านในระยะห่างทั้งในงานประจำปีที่หลักเมืองและนมัสการพระบรมสารีริกธาตุที่วัดเสด็จ เขาอดสังเกตเห็นไม่ได้ว่า หล่อนยิ่งดูเคร่งเครียดและซูบซีดลงไป ในขณะที่สามียังคงร่าเริงแจ่มใส เต็มไปด้วยความมั่นใจ และกว้างขวางอยู่ในหมู่ข้าราชการตามเคย ต่อจากนั้นมาอีกไม่ช้าไม่นานเขาก็ได้ข่าวว่าทั้งนายเสถียรและละเมียดล่องกลับปากน้ำโพ บ้างว่าเขาพาภรรยาลงไปรักษาตัวที่กรุงเทพ ฯ ด้วยโรคซึ่งไม่มีใครทราบชัดว่าเป็นอะไร และบ้างก็ว่าหล่อนและเขาลงไปเยี่ยมญาติที่กรุงเก่า จนกระทั่งเขากลับมาอีกครั้งแต่ลำพังคนเดียวในแล้งต่อมา มิตรสหายที่ในเมืองจึงได้รับการยืนยันว่า ละเมียดป่วยหนักต้องรับการรักษาพยาบาลเป็นอย่างดีที่กรุงเทพฯ
“แต่อาการทุเลาลงมากแล้ว” นายเสถียรบอกพวกเพื่อน ๆ ที่จวนเก่า ต่อมาข่าวนี้ก็ต่อปากข้ามฟากมาถึงรื่นโดยเด็กรับใช้คนหนึ่ง ซึ่งเป็นชาวเมืองนั้น “เห็นจะไม่ใช่อะไร นอกจากตรากตรำการเดินทางเกินไปแล้วก็ผิดอากาศที่นี่ หมอบอกว่าเลือดไม่ดี หัวใจไม่ดีต้องการพักผ่อนนานหน่อย ไม่มีอะไรน่าวิตก”
รื่นต้อนรับข่าวนั้นด้วยความรู้สึกอันสับสนไปชั่วขณะหนึ่ง กึ่งยินดี กึ่งปวดร้าว เมื่อได้คิดว่าเขาไม่มีโอกาสที่จะได้เป็นประโยชน์แก่หล่อนเลยยามเจ็บไข้ได้ป่วย ปวดร้าวและสะเทือนใจเหนือสิ่งอื่นใด ก็เพราะความสำนึกว่าละเมียดอาจต้องการเขาสักเพียงใดในยามเช่นนั้น ขณะเดียวกันเขาเองไม่มีทางจะทำอะไรได้ เหมือนผู้ร้ายหรืออ้ายมหาโจรที่เลาะอยู่ตามขอบรั้ว คอยลักเขากินขโมยเขากินฝ่ายเดียว แต่เมื่อวันและเดือนล่วงไป งานการใหม่ทุ่มเทเข้ามาทับถมงานเก่า ความคิดของเขาที่พลุ่งพล่านจดจ่ออยู่ในเรื่องนี้ก็ถูกผลักถอยไปอยู่ในอนุสติ
ท้ายน้ำปลายปีนั้นเอง ข่าวที่ได้รับจากต่วนด่ำทำให้ภาพของความหวังในอนาคตที่เขาวาดไว้แจ่มใสขึ้นอีก เมื่อพ่อค้าใหญ่ใจกว้างผู้นั้นรายงานความเคลื่อนไหวของตลาดการค้าไม้ในกรุงเทพ ฯ ขึ้นมาให้รื่นทราบ
“––กำนันคิดถูกที่เตรียมดู ๆ ป่าไม้ยางไว้” เป็นใจความตอนหนึ่งในจดหมายที่ต่วนด่ำเขียนมา เพราะอีกไม่ช้าหรอกมันจะแทนไม้กว้าวและตะแบก ซึ่งระหว่างปีสองปีที่แล้วมานี้ ลดจำนวนลงเป็นลำดับ โรงเลื่อยจักรศรีราชาของเจ้าคุณสุรศักดิ์ท่านเริ่มทดลองส่งออกสู่ท้องตลาด ก็ดูมีผู้นิยมใช้ ประการหนึ่งเพราะราคามันถูก อีกประการหนึ่งได้หน้าไม้และขนาดตามความต้องการ แต่ประการสำคัญ เห็นจะเป็นด้วยมีคนใช้เป็นตัวไม้ในร่มได้ดี เนื้อไม้ก็บริสุทธิ์ ไม่เคยมีตำหนิเหมือนอย่างไม้อื่น ถึงจะทำฝาก็ได้ ทาสีแล้วใครดูไม่ออกหรอกว่ายางหรือตะแบก กรุงเทพฯ เวลานี้กำลังเจริญขึ้นทุกที ต่างกว่า ๑๐ ปีที่แล้วมามาก ว่าง ๆ ฉันอยากให้กำนันลงไปเที่ยวเล่นบ้างจะได้มีโอกาสติดต่อพ่อค้าอื่น ๆ ซึ่งอาจจะเป็นประโยชน์แก่กำนันต่อไปภายหน้า”
เมื่อเขาปรึกษาสุดใจ หล่อนก็เห็นด้วย กรุงเทพ ฯ เป็นความฝันของหล่อนมาช้านานนักหนา หลังจากปล่อยแพแล้วรื่นจะมีเวลาว่างอีกนาน ก่อนการเดินทางเข้าป่า นอกจากนี้ ลูกคนเล็กเล่าก็โตพอที่จะเดินทางไกลได้แล้วโดยไม่ต้องกังวลถึงสุขภาพของแก
“จำปาเองก็เห็นรบเร้าพี่เรืองมานานหนักหนาว่าอยากจะไปนมัสการพระปฐมสักที” หล่อนเสริม “ฉันคิดว่ามีเขาไปด้วยก็ดีจะได้เป็นเพื่อนกัน เวลาพี่รื่นมีธุระไปไหนมาไหนกับต่วนด่ำ ระวังแต่ป้าแกจะด่าที่ทิ้งไว้คนเดียวกับพวกหลาน ๆ จอมทะโมนที่บ้านเถอะ”
รื่นหัวเราะ “ไม่เป็นไร ไปก็ไป อ้ายแววกะอ้ายพันอยู่อีกถึง ๒ คนเห็นจะพอช่วยกันดูแลบ้านหรอก” เขาว่าพลางหันไปหาจำปา “เอ็งจะอธิษฐานอะไรเมื่อไปถึงพระปฐมแล้ว ?”
“ฉัน–– ฉัน––” จำปาตะกุกตะกักไปด้วยความตื่นเต้น “ฉันอยากนมัสการเฉย ๆ เท่านั้น”
“แฮะ – แอ้ ! รู้หรอกว่าจะขอลูกให้อ้ายเรืองมันสักคน” รื่นยิงฟันขาว
ทั้งสองผัวเมียหลบตา หน้าม้านเลือดซ่านขึ้นสู่หน้าผากเป็นจุด ๆ ไปตาม ๆ กัน ลูกไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย เป็นยอดปรารถนาอีกประการหนึ่งในชีวิตของเรือง ซึ่งจำปาไม่สามารถจะให้เขาได้ ทั้ง ๆ ที่อยู่กินร่วมกันมาเป็นเวลาร่วม ๑๐ ปีแล้ว
“มันไม่ใช่หมงใช่หมันอะไรหรอกเรือง” รื่นหัวเราะต่อไป “แล้วก็ไม่ใช่ความผิดของจำปามันด้วย ลูกของมันคนแรกพิสูจน์อยู่แล้ว ข้าคิดว่าเอ็งนั้นแหละจะเป็นฝ่ายใช้การไม่ได้ พระท่านจะไปช่วยอะไรได้ ในเมื่อเอ็งไม่ช่วยตัวเอง”
“พี่รื่นละก้อ !” สุดใจดุพลางหัวเราะพลาง “คนออกอายจะมุดแผ่นดินอยู่แล้ว ยังขับอยู่ได้”
“จริง ๆ” สามีส่งท้าย “พยายามเป็นนายโรงหน่อยเถอะโว้ยเรือง อย่ามัวแต่เป็นตัวเสนา เชื่อข้าเอ็งจะได้ลูก !”
ตลอดสัปดาห์ต่อมา รื่นจัดการซื้อของลงเรือว่าจ้างคนถ่อเพิ่มขึ้นอีก ๒ คน แทนเขาและเรือง เมื่อส่งแววกับพันขึ้นบ้านแล้ว อีก ๓ วัน เขาก็พาสุดใจกับลูกจำปากับเรืองล่องลงกรุงเทพฯ โดยทางรถไฟเป็นครั้งแรกในชีวิต.