บทที่ ๓

หญิงสาวเกือบไม่รู้สึกตัวว่าเขาเข้าไปยืนอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ จนกระทั่งได้ยินเสียงฝ่าเท้าบดทรายแสกสาก ขณะที่เขาเปลี่ยนอิริยาบถ และเงาราง ๆ ไหววอมแวม ทอดข้ามมาปรากฏอยู่ข้างหน้า หล่อนรีบผุดลุกขึ้นจากขอนไม้ที่นั่งโดยเร็ว ร้องเรียก “จำปา” ทั้ง ๆ ที่รู้ตั้งแต่ก่อนจะหันหน้าไป ว่าจะไม่มีจำปาอยู่ที่นั่น ในที่สุดก็หันไปเผชิญกับร่างอันสูงของเขา ใจสะท้านนิด ๆ แต่ก็ปราศจากความหวาดกลัวอย่างจริงจังอีกต่อไป

“ต๊กกะใจแน่ะ–ไม่–ไม่ยักใช่จำปา”

“นึกเสียว่าข้าเป็นจำปา จะได้ไม่ต๊กกะอกต๊กกะใจ” เสียงของเขาล้อเลียน “รำสวยจังเลย–สวยเหมือนกินรีเล่นน้ำ!” เขาพึมพำอย่างลานตาลานใจ “นึกเสียว่า ข้าเป็นจำปา––”

จำปาที่มีฟันขาว ๆ มีเคราเขียว ๆ หญิงสาวนึกวาดภาพอย่างขบขันอยู่ในใจ หล่อนเหลียวดูรอบ ๆ กาย กวาดสายตาออกไปยังชายหาด และราตรีที่เวิ้งว้างว่างเปล่า “จำปาไปไหน ?”

“ไปหาจันทโครบ นายโจรใหญ่ หรือใครที่คล้ายพี่โปร่งเขา เวลานี้ที่นี่ไม่มีใครนอกจากเรา–เอ็งกับข้า”

“งั้น–งั้นข้าขอลา–”

“เดี๋ยวน่า จำปาเขาไม่ว่าอะไรหรอก นั่งลงก่อนเถอะ” เสียงของเขาดุ ๆ “จำปาอนุญาตข้าแล้ว–”

“อนุญาต ?” ด้วยความประหลาดใจในตนเอง หญิงสาวกลับทรุดตัวนั่งปุกลงตามเดิม

“ฮื่อ เขาไว้ใจข้า ว่าดูคนไม่ผิดแน่–”

“แต่ข้าไม่ค่อยเชื่อใจใครง่าย ๆ นอกจากนี้ เรื่องนั้นมาเกี่ยวอะไรกับข้าละ ?”

“ทำไมจะไม่เกี่ยว ในเมื่อเอ็งปล่อยให้ข้าเที่ยวติดตามมาตลอดเย็น”

“นั่นมันเรื่องของพี่ทิดต่างหาก”

“จริงละ เรื่องของข้า แต่ถ้าไม่มีเอ็ง เรื่องมันก็คงไม่เกิดอย่าง.....อย่างเมื่อกลางวัน” เขาก้าวเข้าไปยืนอยู่ข้างขอนไม้ตรงหน้าหล่อน “รู้หรือเปล่าว่า ข้าต้องการพบเอ็งทำไม?”

“เพื่อบอกว่า เทวดาจะส่งพี่ทิดมาเป็นนายที่นี่กระมัง ?”

“ไม่ใช่ !” เสียงของฝ่ายชายบอกว่าหงุดหงิด เมื่อสำนึกว่าเด็กหญิงซึ่งเขาคิดว่าไม่เดียงสาคนนี้กำลังหัวเราะเยาะ “ข้าต้องการจะบอกเอ็งว่า พรุ่งนี้ พออ้ายเรืองเสร็จธุระของมันจากหนองปลิงตามมาถึงก็จะออกเรือไปจากที่นี่ อีกกี่ปีจะกลับมาปากคลองก็ยังไม่รู้ เพราะฉะนั้นก่อนไป ข้าจึงไม่อยากให้ คนบ้านนี้–เอ็งกะคนที่ได้ฟังเรื่องจากเอ็ง.... ...นึกถึงทิดรื่น คนวังแขม อย่างอ้ายคนที่เอ็งเห็นเมื่อกลางวัน...”

เสียงหัวเราะของหล่อน แจ่มใสและบริสุทธิ์ ทำให้ฝ่ายชายเริ่มรู้สึกอึดอัด

“อะไรทำให้พี่ทิดเชื่อนักหนาว่า คนที่นี่จะนึกถึงพี่ทิด ?”

“ความขี้เมา สามหาว และหยาบคายอย่างข้า”

“อย่างนั้นหาได้ถมไปที่บ้านนี้ ไม่มีใครเขาจะเอาใจใส่จำให้ปวดหัว”

ร่างอันสูงของเขา โน้มลงเหนือหล่อน “แล้วเอ็งล่ะ ?” เสียงที่ถามต่ำและห้าว จนหญิงสาวเริ่มกระสับกระส่าย

“สำคัญอะไรนักหนาเทียว คนอย่างข้า ?”

“เพราะว่า เอ็งเป็นผู้หญิงคนแรกที่ข้าพบที่ปากคลอง ทั้ง ๆ ที่ขึ้นล่องมาแล้วหลายปี.....เอ็งเป็นผู้หญิงคนแรกที่ข้าติดใจ”

“ผู้หญิงที่หน้ามอมเหมือนแมวแล้วก็ใส่กำไล”

“ผู้หญิงที่หน้ามอมเหมือนแมว แล้วก็ใส่กำไล” ทิดรื่นหัวเราะออกมาได้ ตัวกลับยืดตรงตามเดิม “ใส่กำไล––นั่นซี ข้าถึงได้ติดใจ” สายตาของเขาซึ่งวาววามอยู่ในเงาของดวงหน้า พิจารณาดูทั่วร่างของหล่อนนิ่งอยู่เป็นครู่ “มุจลินทร์––

“ข้า –– ข้าชื่อสุดใจ”

“มุจลินทร์” ทิดรื่นพึมพำต่อไปเหมือนไม่ได้ยินหล่อน “จำปาเอาที่ไหนมาเปรียบเทียบ ? ช่างเหมาะอะไรกันเช่นนั้น ถึงมุจลินทร์ตัวจริงก็คงไม่งามถึง กลมกลึง เปล่งปลั่งน่ากอด น่าจูบ น่า––”

“บ้า!”

“เท่านั้นเองหรือที่เอ็งจะพูดได้ ?”

“เท่านั้นเองหรือ ที่พี่ทิดต้องการจะบอกข้า” หญิงสาวย้อน ทั้ง––ทั้ง ๆ ที่อุตส่าห์ติดตามหา เป็นวรรคเป็นเวร?”

สายตาของเขาซึ่งเหม่อมองข้ามศีรษะหล่อนไปลดลงจับอยู่ที่ใบหน้าอันเอิบอิ่มอยู่ในแสงสลัวของดวงดาวที่เกลื่อนฟ้า––อีกครั้ง–

“ไม่เพียงเท่านั้น” เขาบอก “ข้าอยากจะมีเวลาอีกสักวัน สักเดือน สักปี สักชั่วชีวิตหนึ่งที่นี่ เพื่อบอกเอ็งว่า หน้าของเอ็ง เสียงของเอ็งเปิดตาให้ข้าเห็นอะไรในชีวิตของข้า ความปรารถนาอะไรที่ข้าเคยต้องการ ความฝันที่ข้าเคยฝัน บ้าน เมีย ลูก อาณาจักรของข้า” เขาหยุดถอนหายใจนิดหนึ่ง ก่อนที่จะกล่าวต่อไป “เว้นเสียแต่ความสามหาว ก้าวร้าวของคนที่กำลังมาเมื่อตอนกลางวัน ข้าหมายความตามที่ข้าพูดทั้งนั้น บ้านนี้.....เอ็งและข้า.....”

สุดใจลุกขึ้นช้า ๆ หล่อนยืนเผชิญหน้าเขา นิ่งเงียบอยู่ชั่วขณะหนึ่งก่อนที่จะเอ่ย

“พี่ทิดคงจะพูดกับผู้หญิงทุกคน ในที่ทุกแห่งที่พี่ทิดผ่านมา”

หล่อนไม่สามารถจะแลเห็นสีหน้าของเขาได้ถนัดว่าเปลี่ยนไปอย่างไร รู้สึกแต่ลมหายใจของเขาสะดุด มือทั้งสองกำแน่นแล้วก็คลายออก ในที่สุดก็เอื้อมมากุมต้นแขนทั้งสองของหล่อนไว้ ค่อยดึงเข้าไปหา

“อะไรทำให้เอ็งเข้าใจว่า ทิดรื่นคนวังแขมจะพล่อยไปถึงเพียงนั้น?”

“ก็อะไรล่ะ ทำให้ทิดรื่นเข้าใจไปว่า ผู้หญิงปากคลองจะง่ายทุกคนไป?”

เขาถอนใจ มือทั้งคู่ยังกำแขนหล่อนอยู่ “เอ็งไม่เคยเชื่อวาสนา ไม่เคยเชื่อในเรื่องโชคชะตา หรือบุพเพสันนิวาสของคนเราบ้างดอกหรือสุดใจ”

“พี่ทิดกับข้า เพิ่งได้แรกพบกันวันนี้เท่านั้น” หญิงสาวเบือนหน้าไปเสียทางหนึ่งจากเขา “ยังไม่รู้จักกันด้วยซ้ำไปว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร และหัวนอนปลายตีนพี่ทิดอยู่ที่ไหน ?”

“สำหรับข้าไม่สำคัญ ว่าเอ็งจะเป็นใครมา” เสียงของเขาห้าว และสั่นนิด ๆ “ข้าเชื่อตาข้าว่า เจอคนที่ข้าต้องการเท่านั้นก็พอแล้ว ตาข้าไม่หลอก ใจข้าไม่ลวง เถือกเถาเหล่ากอหรือหัวนอนปลายตีนคนเราสำคัญอะไรหนักหนา เมื่อมีตาสำหรับดู มีใจสำหรับบอก ถามใจของเอ็ง สุดใจ ถามใจของเอ็งเกี่ยวกับหัวนอนปลายตีนเข้า”

หล่อนพยายามขยับแขน เหมือนจะให้หลุดจากอุ้งมือของเขา แต่ความอบอุ่นจากอาการที่กุมแน่นทำให้เลิกพยายามต่อไป เพียงแต่ความสำนึกถึงความใกล้ชิดของเขาแต่แรกก็ทำให้ความรู้สึกวุ่นวายพออยู่แล้ว อาการสัมผัสของเขา ยิ่งเร่งให้ผีเสื้อฝูงนั้นขยับปีกใหญ่

“ถามใจของเอ็ง!” ฝ่ายชายย้ำ

“มันตอบว่า พี่ทิดเป็นคนน่ากลัวที่ผู้หญิงคนไหนจะอยู่ใกล้...” เสียงสุดใจกระอึกกระอัก

เสียงหัวเราะของเขา ก้องไปในอากาศ “หัวใจน้อย ๆ ที่เต็มไปด้วยความหวั่นหวาด... หัวใจที่น่าสงสารเท่านั้นเองหรือที่มันตอบเอ็ง”

“พี่ทิดจะให้มันตอบกระไรอีก ?”

“ตอบตามความจริงที่ข้าเป็น ไม่ใช่อย่างที่เอ็งเห็นหรือเอ็งคิด กว่าสิบปีในชีวิตท่องเที่ยว ทิดรื่นอาจจะเกี่ยวผู้หญิงมาไม่เลือกหน้า แต่ข้าไม่เคยตั้งใจจริงเหมือนครั้งนี้” เขาก้าวชิดเข้าไปอีก จ้องหล่อนเขม็ง ลมหายใจต้องผมหล่อนผะผ่าว “ไม่เคยมีความรักใครเหมือนอย่างเอ็ง.............ต้องการใครเหมือนอย่างเอ็ง”

“อย่า พี่ทิด” สุดใจพยายามบิดตัวจะให้หลุดออกมาจากมือของเขา

“เที่ยวมาหลายแคว แต่เหนือจดใต้ จากเชียงใหม่ พิษณุโลก ถึงปากน้ำโพ มโนรมย์ บางกอก ยังไม่เคยเห็นใครเหมือนเอ็ง ทิดรื่นพูดต่อไป

หล่อนรู้สึกมือทั้งคู่ของเขากำแน่นเข้า เสียงที่พูดกระเส่าสั่น แหบเครือพึมพำต่อไป ไม่ได้ความ ฟังไม่ออก หัวใจที่เต้นเร่าของหล่อน เพราะผีเสื้อแสนตัวบินว่อนอยู่ภายในก็ยิ่งหวาดหวั่นหนักขึ้น

“ไม่เคยเห็นใครเหมือนเอ็ง” ทิดรื่นย้ำประโยคนั้นอีก โน้มศีรษะลงมา

หล่อนพยายามยกมือทั้งสองขึ้นยันอกอันอบอุ่นและกว้างของเขาไว้ อุทธรณ์แผ่วออกมาได้ แต่เพียงว่า “อย่า!” อีกครั้ง พอรู้สึกลมร้อนต้องผมและหน้าผาก ต่อมาจมูกของเขาสัมผัสเบา ๆ ที่แก้ม พร้อมด้วยความระคายของเคราเขียว ๆ พร้อมด้วยมือที่อยู่ไม่สุข เปะปะไปทั่วกาย ท้องฟ้าที่ประดับไป ด้วยดวงดาว หาดทรายที่ยาวเหยียด และแม่ปิงที่ไหลเอื่อยสงบเงียบ เยือกเย็น ก็หายวับไปกับตา

ฉันกำลังเป็นอะไรไป ? สุดใจแทบสำลักไปด้วยความรู้สึกอันปั่นป่วน นี่หรือคือสิ่งที่คนเราเรียกกันว่าความรัก ?.... ความรัก ! มือของหล่อนที่ยันอกเขาไว้อ่อนปวกเปียกตกลงข้างกาย ฉันขาดใจตายแน่ ถ้าเป็นอย่างนี้นานไปอีกหน่อย ผีเสื้อฝูงนั้นกระพือปีกใหญ่ ในหัวใจเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ตื้นตัน แล้วก็เวิ้งว้าง รู้สึกตัวเบาราวกับจะลอยไปในอากาศ อึดอัดแต่ก็เป็นสุขเพราะความกดขี่ที่อ่อนหวาน แล้วต่อมา ภายในพริบตาเดียวเท่านั้น ทันใด ที่รู้สึกเท้าหลุดจากพื้นหาดทรายขึ้นไปอยู่ในอ้อมแขนของเขาเหมือนเด็ก ๆ และทิดรื่นเดินดุ่มตรงไปที่ป่าตะไคร้น้ำอันมืด สุดใจก็ดิ้นอย่างสุดแรงเกิด

“นิ่ง ๆ” แขนของเขารัดหล่อนแน่นเข้า เสียงของเขาห้าวและแหบไปด้วยความรู้สึกจนจำไม่ได้

สติสัมปชัญญะของหล่อนที่วูบไปชั่วขณะ เพราะพิษจูบและสัมผัสควบคุมกันเข้าเป็นปรกติ ความหวาดกลัวเก่า ๆ ผุดขึ้นมาอีก เมื่อทายความประสงค์ของเขาออก หล่อนมิได้ร้องเอะอะ หรือตะโกนร้องเรียกความช่วยเหลือ รู้ดีว่าในสถานที่และเวลาเช่นนั้น ไม่มีใครจะช่วยเหลือหล่อนได้ นอกจากตัวเอง หล่อนได้แต่ดิ้นหยิกและข่วนโดยไร้ประโยชนจนเหนื่อยอ่อน แต่พอเขาวางหล่อนลงกับพื้นหาดทราย ท่ามกลางป่าตะไคร้ที่เย็นชื้น รู้สึกเมื่อยื่นออกมาจับแขนเสื้อกระชาก สุดใจก็กระซิบด้วยเสียงแผ่ว กร้าวและแกร่งเหมือนเสียงเหล็กกล้ากระทบกัน

“อย่า พี่ทิด...อย่า ข้าจะเกลียดพี่ทิดไปจนตาย !”

แม้ท่ามกลางความมืดมนอนธกาลของอารมณ์ในขณะนั้น ฝ่ายชายก็ได้ยิน เขาหยุดชะงัก นิ่งอยู่หน่อยหนึ่ง และก็คลายมือจากหล่อน ลุกขึ้นเดินดุ่มกลับไปนั่งที่ขอนไม้ ยกมือขึ้นเช็ดหน้าที่เป็นมันไปด้วยความร้อนจากภายใน และความรู้สึกที่มืดเมื่อสักครู่ รู้สึกลมเย็นที่พัดมาต้องกาย ทำให้ความคิดและนัยน์ตาแจ่มใสขึ้น

สุดใจลุกขึ้นยืนปัดทรายออกจากหลังและเสื้อผ้าเดินตามไปยืนอยู่ข้างหลังเขา

“จำเป็นนักหรือที่พี่ทิดจะต้องทำอย่างนั้น” เสียงของหล่อนเต็มไปด้วยความรู้สึกและกังวานของผู้ใหญ่แทนจะเป็นเด็กรุ่นที่ยังไม่ถอดกำไล

“ข้าไม่เคยต้องการใคร เหมือนอย่างเอ็ง” เขาพึมพำประโยคเดิมโดยมิได้หันหน้าไปดู “ไม่เคยรักใครเหมือนอย่างเอ็ง !”

“ข้าก็เหมือนกัน” หล่อนรู้ตัวดีว่าเสียงที่สารภาพออกไปอดสั่นไม่ได้ “ไม่งั้นคงไม่กล้าออกมาอยู่กับพี่ทิดแต่ลำพังอย่างนี้....กับผู้ชายที่ไม่เคยรู้จักหัวนอนปลายตีนมาก่อน.... เหมือนอย่างอีผู้หญิงสิ้นคิด เหมือนผู้หญิงแพศยา เหมือนดอกไม้ข้างทาง สำหรับใครจะเด็ดดมชมแล้วขว้างทิ้งก็ได้ แต่ข้าไม่ใช่คนอย่างนั้น ถึงต่อไปคนทั้งบ้านเขาจะนินทาว่ากันอย่างไร ข้าก็รู้อยู่ว่าไม่เป็นไปได้ แต่ถ้าข้าปล่อยตัวให้กับพี่ทิดเสียครั้งหนึ่งจะเอาหน้าไปไว้ไหน นั่นไม่ใช่ความคิดที่ข้าต้องการ ข้าไม่อยากจะเป็นจำปา ไม่อยากเป็นเหมือนริ้วที่มีลูกหาพ่อไม่ได้ ไม่อยากจะเป็นเหมือนบุนนาค เหมือนพี่ราตรี สำหรับจะเป็นที่ซุบซิบยิ้มหวัวแก่คนทั้งหลาย ข้ายังไม่อยากจะเป็นอย่างนั้น ถึงจะรักพี่ทิดสักเพียงใด ปากคลองแคบเกินไปที่จะหนีกันพ้น” ยิ่งพูดเสียงของหล่อนก็ยิ่งสั่น จนเขาอดรู้สึกไม่ได้ว่าหล่อนกำลังร้องไห้

ทิดรื่นหันกลับไปช้า ๆ แลเห็นหยาดน้ำตาซึ่งขังขอบกระทบกับแสงดาวเป็นประกายก็ใจหาย เอื้อมออกไปจับมือหล่อนดึงเข้ามานั่งที่ขอนไม้ท่อนเดียวกัน ตนเองทรุดตัวลงกับพื้นทรายแทบเท้า แล้วก็เช็ดน้ำตาให้

“เอ็งทำให้ข้าตาสว่าง สุดใจ” เขาบอก “ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนเลยจะทำให้ข้าตาสว่างได้ มีแต่ข้าต้องการใคร ทุกคนยอมตามโดยไม่ขัดขืนทั้งนั้น”

“เพราะฉะนั้น พี่ทิดจึงคิดว่าข้าก็คงจะอย่างเดียวกัน” หล่อนก้มหน้า “หาค่าอะไรไม่ได้ ไม่มีประโยชน์อะไรสักอย่างเดียว นอกจากสำหรับ.....สำหรับ.....”

เขายกมือขึ้น ปิดปากหลอนไว้ “ไม่จริงเลยสุดใจ เอ็งเป็นคนแรกที่ทำให้ข้าคิดถึงการมีหลักฐานบ้านช่อง ชีวิตที่แล้วๆ มาหาสาระอะไรไม่ได้ ซัดเซพเนจร เร่ร่อนระหกระเหินไปเหมือนคนไม่มีที่หมายในชีวิต บ้านหนึ่ง ๆ เป็นที่สำหรับกิน ผู้หญิงคนหนึ่ง ๆ เป็นแต่ที่สำหรับนอน ความรักคืออะไร ความสุขคืออะไรไม่เคยเอาใจใส่ บางครั้งอด บางครั้งอิ่ม เดี๋ยวมีเดี๋ยวจน บางครั้งปลอดโปร่ง บางครั้งก็เสี่ยงอันตรายตลอดมา ข้าเป็นนายตัวข้า จนกระทั่งได้พบเอ็ง”

“จะให้เชื่อพี่ทิดได้อย่างไร ?” สุดใจมองไปข้างหน้า มิได้พยายามจะหดมือมาจากการเกาะกุมของเขาอีกต่อไป

ทิดรื่นหัวเราะหึอยู่ในคอ ก้มลงจูบหล่อนเบา ๆ ที่แขน “ถ้าข้ายังเป็นตัวของข้า คิดหรือว่าป่านนี้เอ็งจะมานั่งอยู่ที่นี่.....คิดหรือว่าเอ็งจะยังไม่ได้ถอดกำไล ?”

“บ้า! ” หล่อนเบือนหน้าที่ร้อนผ่าวไปเสียทางหนึ่ง

“ข้าเป็นคนไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน” ฝ่ายชายพูดต่อไปโดยมิได้เอาใจใส่ “พ่อไปรบฮ่อกลับมาเป็นไข้ป่าตาย ตั้งแต่ข้ายังจำความไม่ได้ แม่ก็เสียในปีต่อมา”

“ข้าก็เหมือนกัน” สุดใจบอก “นอกจากพ่อไม่ได้ไปรบฮ่อ พ่อเพียงแต่กลับจากป่าก็เป็นไข้ตายเฉย ๆ แม่ก็เหมือนกัน เคราะห์ดีที่ข้ายังมีป้าอยู่”

“ป้าที่ดุเหมือนเสือ”

“ใครบอกพี่ทิด ?”

“โมรา – จำปาของเอ็ง”

สุดใจได้ฟังก็กลับยิ้มได้อีก “อย่าไปถือสาจำปามัน” หล่อนว่า “จำปาเป็นเพื่อนรักของข้า แต่ก็หายใจเป็นจักร ๆ วงศ์ ๆ ไปหมด ไม่มีใครจะใจดีเหมือนป้า ถึงจะเป็นคนปากร้าย คนปากคลองรักและยำเกรงป้าทั้งนั้น ทั้งคลองใต้ บ้านไร่และคลองเหนือ”

“งั้นจำปาก็เห็นข้าเป็นวัว ?”

หญิงสาวหัวเราะเบา ๆ “ป้าอาจเป็นเสือได้เหมือนกัน – เสือที่หวงลูก”

“นั่นแหละ ร้ายเสียยิ่งกว่าเสือไหน ๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวผู้หรือตัวเมีย” ทิดรื่นยักไหล่ “แต่เอาเถอะคงได้พบกับข้าหรอกเมื่อถึงเวลา ข้าจะกลับมาอีกสุดใจ อย่างเร็วปลายปีนี้ อย่างช้าในปีหน้า”

“ช่างเป็นเวลานานเหลือเกิน” หล่อนถอนใจ “เมื่อยังไม่ได้พบพี่ทิด ๑๖ ปีในชีวิตข้าดูประเดี๋ยวเดียว พบพี่ทิดแล้ว อย่าว่าถึงสองปี ถึงพรุ่งนี้มะรืนนี้ก็เหมือนอสงไขย”

เขาปล่อยจากมือรื้อเข้ากอดสะเอวหล่อนไว้ใหม่ จูบให้ที่แก้มที่ไหล่และตัก แล้วก็ทรุดตัวลงนั่งกอดเข่า เอนศีรษะพิงขอนไม้อยู่ใกล้ ๆ หล่อน

“แต่เอ็งจะต้องคอยข้าสุดใจ”

“ข้าจะคอยพี่ทิดตลอดไป ขออย่างเดียวแต่ให้พี่ทิดกลับมา”

“ข้าจะกลับมา” สายตาของเขาเพ่งตรงไปยังทิวมะพร้าวที่สลอนอยู่บนตลิ่ง ทาบกับขอบฟ้าที่ขมุกขมัว “ข้าจะกลับมา ปากคลองจะเป็นเรือนตายของข้าต่อไป เมื่อขายของเก็บเงินที่ติดค้างอยู่เสร็จแล้ว ข้าจะมาสร้างบ้านใหม่ที่นี่ เป็นเรือนหอของเรา การถอดกำไลของเอ็งจะไม่ต้องอับอายขายหน้าใคร เราจะอยู่กินด้วยกัน มีลูกเต็มบ้าน หลานเต็มเมือง เราจะทำคลองให้เจริญรุ่งเรืองกว่านี้ และบางที– – นานไปวันหนึ่ง ปากคลองจะเป็นของเรา ปากคลองที่เต็มไปด้วยป่าไม้ ข้าว, ไต้, น้ำมันยาง, สีเสียด, ยาสูบ, หนังสัตว์–”

สุดใจนิ่งฟังเขาวาดภาพอนาคตชีวิตต่อไปอย่างเคลิ้มฝัน ช่างไม่ผิดอะไรกันเลยกับพ่อของหล่อนและในทำนองเดียวกันกับพ่อของหล่อน โลกสำหรับผู้ชายนี้คือสนามที่มนุษย์ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจะผ่านพ้นออกมาในฐานะผู้ชนะ ต่างกว่าชาวบ้านทั้งหลายที่หล่อนรู้จักทั่วไปที่พอใจในชีวิตสันโดษของตน จุดหมายปลายทางของชายผู้นี้อยู่ที่เป็นนายคนเป็นหัวหน้า ซึ่งใคร ๆ จะต้องเชื่อฟัง ใคร ๆ จะต้องปฏิบัติตาม

“ความจน ไม่เคยทำให้คนเราเป็นอะไรได้” เขาบอกหล่อนในตอนหนึ่ง “เอ็งเห็นอะไรเป็นที่สลดใจ เป็นที่ทุเรศตา เอ็งจะแก้ไขได้อย่างไรถ้าไม่มีเงิน เอ็งอยากจะทำบุญทอดกฐิน ผ้าป่า สร้างศาลา บวชนาค เอ็งจะทำอย่างไรได้ถ้าไม่มีเงิน ดูแต่วัดพระธาตุที่ทอดทิ้งกันชำรุดทรุดโทรมมาแต่สมัยปู่ย่าตายาย ใครล่ะทำนุบำรุง ? ใครล่ะปฏิสังขรณ์รื้อสร้างรวมเป็นองค์เดียว แล้วยกช่อฟ้าใบระกาใหม่ ? ใคร ? นอกจากพญาตะก่ากับพะโป้ อย่าลืมว่านั่นเป็นกะเหรี่ยงสองพี่น้อง ไม่ใช่คนไทย ไม่ใช่คนพื้นเพปากคลอง ดีละ พะโป้น้องพญาตะก่ากำลังสร้างคลองเหนือเป็นเมืองของแก ข้าจะมาสร้างคลองใต้ให้เป็นเมืองของข้า– และของเอ็ง !”

ดาวจระเข้เริ่มม้วนหางอยู่ในท้องฟ้าขณะที่เวลาล่วงไป เสียงตีเกราะเคาะไม้และเพลงเข้าแม่ศรีซึ่งปรากฏอยู่บนฝั่งเงียบลงเป็นลำดับ จนในที่สุดก็สงัด หาดทรายที่อบอุ่นเริ่มเย็นเฉียบไปด้วยน้ำค้าง ลมจากลำแม่ปิงที่ตื้นเขินโชยพัดมาอ่อน ๆ ทิดรื่นคลายวงแขนจากสะเอวหญิงสาว เงยหน้าขึ้นแล้วกระซิบ

“ข้าทรมานเอ็งมานานแล้วสุดใจ ด้วยเรื่องของผู้ใหญ่น่าเบื่อหน่ายสำหรับจะฟัง”

“ข้า ๑๖ ปีแล้ว” หล่อนบอกอย่างภาคภูมิใจ

ฝ่ายชายได้ฟังก็หัวเราะ “และข้า ๓๒ พวกปากคลองจะว่าอย่างไรเมื่อเราแต่งกัน”

“ช่างเขา ไม่ใช่เรื่องของใคร”

ทิดรื่นก้มลงจูบตักหล่อนอีก

“ไม่มีผู้หญิงคนไหนจะเหมือนเอ็งสุดใจ” เขาบอก “กลับขึ้นบ้านเสียเถอะ ดึกแล้ว”

หญิงสาวถอนใจยาว “ข้าอยากจะนั่งอยู่ที่นี่ตลอดไป ใต้ฟ้าอย่างนี้พึ่งพี่ทิดพูดถึงเรื่องเหล่านั้น ช่างเหมือนกันเหลือเกิน––– เหมือนความตั้งใจของพ่อที่เคยพูดไว้ พ่ออยากจะเปลี่ยนคลองใต้ให้พ้นจากบ้านป่าที่มีแต่โรคภัย ความตาย แล้วก็ความทุกข์ทรมาน ให้เป็นคลองใต้ที่เป็นบ้านสำหรับคนเราจะอยู่ ด้วยความสุข ความเจริญ”

“วันหนึ่งคลองใต้จะต้องเป็นอย่างนั้น” เสียงของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจ ขณะที่ฉุดมือหญิงสาวลุกขึ้นจากขอนไม้ “ไปเถอะ สุดใจ ไปเสียก่อนที่ข้าจะเปลี่ยนความคิด”

“แล้วเมื่อไหร่ พี่ทิดจะกลับมา ?” ความอาลัยเมื่อรู้แน่ว่าจะต้องจากกันปรากฏชัดอยู่ในเสียงนั้น

“อย่างเร็วปลายปีนี้ อย่างช้ากลางปีหน้า” เขาบอก โอบร่างอันอบอุ่นละมุนมือไปด้วยความเปล่งปลั่งและเต่งตั่งของวัยสาวเข้ามากอดไว้ในอ้อมแขนอีก “ทันใดที่ธุระข้าเสร็จจะกลับมาทันที คอยข้าให้ได้สุดใจ คอยข้า ฝันถึงข้าจนกว่าจะมาถอดกำไลให้เอ็ง!”

หล่อนมิได้อุทานด้วยความขวยเขินกระดากอายว่า “บ้า!” อีกต่อไป เงยหน้าขึ้นรับการจูบของเขาอย่างดูดดื่ม พลางกระซิบว่า “ข้าจะคอย –– จน –– จนกว่าพี่ทิดจะมาถอดกำไล!” แล้วก็ผละออกจากอกของเขา วิ่งตรงไปที่ตีนท่า ชั่วเวลาไม่ช้าไม่นาน ร่างนั้นก็หายลับไปในเงามืดของทิวไม้ริมตลิ่ง

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ