๑๐
เรือนไม้สักหลังใหญ่ปรากฏขึ้นในบริเวณเนื้อที่ซึ่งหักร้างถางพงลงใหม่ ๆ อย่างไพศาลตรงกันข้ามกับปากทางเข้าเมืองเก่า เหนือเรือนจำและโรงพักตำรวจภูธรขึ้นไปในแล้งต่อมา ด้วยความปรารถนาของละเมียดที่จะใช้เป็นทั้งที่ทำการและบ้านพักให้ห่างไกลออกไปจากที่ทำการชั่วคราวในบริเวณจวนเก่า ซึ่งวันหนึ่งในชีวิตของคนเราเกือบไม่มีโอกาสจะอยู่แต่ลำพังได้ หล่อนให้คำอธิบายตอบความพิศวงของบรรดามิตรสหายเก่า ๆ แต่เพียงสั้น ๆ และสุภาพว่า ที่ทำการซึ่งอยู่ในอาณาเขตแวดล้อมไปด้วยเจ้าขุนมูลนายเช่นนั้น ไม่เป็นการสะดวกแก่การติดต่อของบรรดาพ่อค้าไม้และชาวบ้านป่า ซึ่งรู้สึกที่เหมือนว่าจะย่างเข้าไปในรั้วในวัง นอกจากนั้นบริเวณบ้านที่กว้างขวางเป็นที่ปรารถนาของหล่อนมาแต่ไหนแต่ไร สำหรับจะได้ตกแต่งประดับประดาตามแต่สายตาจะเห็น และรสนิยมจะชอบ
มันเป็นเรือนชั้นเดียว ระเบียงรอบ ใต้ถุนสูงอย่างที่ทำการและบ้านเรือนบนฝั่งแม่ปิงทั่วไป ซึ่งไม่รู้ว่าจะต้องเผชิญกับอุทกภัยเมื่อใด คูนใหญ่ต้นหนึ่งเหลือไว้ริมระเบียงหลังบ้านซึ่งหันลงสู่แม่น้ำ จากระเบียงตอนนั้นจะเห็นยอดพระบรมธาตุขาวสะอาดทาบขอบฟ้าอยู่คนละฝั่งแม่น้ำข้าม และสีครามของทิวเขาท่ากระดานตระหง่านอยู่เหนือยอดมะพร้าวของปากคลอง ทุกคราวที่ออกไปหยุดยืนมองดูทิวเขานั้นหล่อนก็มักจะถอนใจ รู้สึกมันไม่ต่างอะไรกับจุดหมายปลายทางในชีวิตหล่อน ใกล้แต่ไกลสุดหล้าฟ้าเขียว ขณะหนึ่งเหมือนอยู่แค่ช่วงมือเดียวจะเอื้อมถึง อีกขณะหนึ่งเหมือนมันจะห่างออกไปไกลร้อยโยชน์พันโยชน์
เสถียรอาจจะมอบความไว้วางใจในหน้าที่การงานของเขาทั้งหมดให้แก่หล่อนตามที่ลั่นวาจาไว้ มันทำให้เรื่องราวทั้งหลายแหล่ซึ่งต้องการแก้ไข ต้องการปรับปรุงง่ายเข้า บรรดาหนี้สินไม่ว่ารายน้อยรายใหญ่ที่ทำกันไว้สมัยเขาและหลวงราชบริการร่วมมือกันจัดการถูกปลดเปลื้องให้หมดไป ศรัทธาของพวกต้นไม้และพ่อค้าย่อยที่เคยเสื่อมไปชั่วคราวกลับมาใหม่ แต่ตราบใดที่กิจการยังเป็นบริษัท ตราบใดที่หลวงราชบริการยังมีส่วนเกี่ยวข้องในฐานถือหุ้นใหญ่เป็นที่สองรองลงไปจากสามีหล่อน ละเมียดยังมองเห็นอุปสรรคอีกมากมายที่จะต้องแก้และฟาดฟันลงไป ถ้าหล่อนปรารถนาจะบรรลุจุดหมายปลายทางนั้น
หล่อนรู้ว่างานหลายอย่างที่หล่อนวินิจฉัยและปฏิบัติลงไป ไม่เป็นที่สบอารมณ์ของเขา หลวงราชคัดค้านเมื่อคราวหล่อนตกลงกับผู้ใหญ่แม้นที่เกาะขี้เหล็กเกี่ยวกับสัมปทานป่าไม้วังพระธาตุเพียงด้วยวาจา เขาส่ายหน้าเมื่อหล่อนจัดการกับสัมปทานป่าแม่ระกาเช่นเดียวกัน เขาไม่เห็นด้วยในการที่ละเมียดคืนควายและเกวียนลากไม้ที่บริษัทรับมาจากพวกตัดไม้รายหนึ่ง ซึ่งรับเงินล่วงหน้าไป และตัด ไม้มาส่งไม่ครบตามจำนวนในสัญญา ไม่ว่าหล่อนจะทำอะไรลงไปก่อนเขาจะต้องไม่เห็นด้วย ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง ไม่โดยโจ่งแจ้งเปิดเผยก็โดยสีหน้าและนัยน์ตา จนกระทั่งหล่อนแน่ใจว่าเขาขาดความไว้เนื้อเชื่อใจหล่อน ก็เพราะหล่อนเป็นผู้หญิง เมื่อปรารภเรื่องนี้ขึ้นกับเสถียรเขาก็ได้แต่จะหัวเราะ
“เขาเป็นคนยังงั้นเอง ไปถือสาทำไม ตราบใดที่ละเมียดทำตามหลักการที่เคยตกลงกันไว้” เขามักจะบอกแก่หลวงราชบริการซึ่งเอ่ยถึงปัญหาเดียวกัน ด้วยเสียงกะปอกกะแปด เขามักจะยกมือขึ้นตบหลังอย่างเพื่อนสนิทสนมกันมานานและบอกว่า
“อย่าลืมว่า ในการประชุมใหญ่ละเมียดเขาได้รับเลือกเป็นผู้จัดการแทนผมตามข้อบังคับของบริษัท เขามีอำนาจทุกอย่างที่จะทำอะไรลงไปตามที่เขาเห็นควร คุณหลวงมีข้อขัดข้องอะไร น่าจะสอบถามหรือให้คำปรึกษาเขาได้ตามแต่เห็นสมควร”
“ไม่มีประโยชน์อะไร ในเมื่อผมให้ความเห็นอย่าง คุณละเมียดทำไปอีกอย่าง” หลวงราชบริการส่ายหน้า “คุณเมียดกะคุณเสถียรน่าจะรู้ว่าในฐานที่ผมอยู่ที่นี่มานาน รู้จักนิสัยคนพวกนั้นมามาก ควรจะฟังผมบ้าง เมื่อผมบอกว่า ถ้าไม่ผูกให้มั่นคั้นให้อยู่ วันหนึ่งจะไปรู้สึกเสียใจภายหลังว่า การตกลงแต่เพียงวาจาไม่พอสำหรับพวกนี้ และความปรานีในเรื่องอย่างนั้น มีแต่จะกลายเป็นความอ่อนแอเปิดช่องให้แกบิดพลิ้วกันไม่มีที่สิ้นสุด”
“คุณหลวงลองพูดกับเขาดูบ้างหรือยัง ?”
“อ๋อ หลายครั้งทีเดียว”
“แล้วเขาว่าอย่างไร ?”
หลวงราชบริการถอนใจ ยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับเหงื่อที่ศีรษะซึ่งเถิกจนเป็นนิสัย
“รู้จักใจคนพวกนั้นดี เป็นเหตุผลทั้งหมดที่คุณเมียดให้” เสียงของเขาขบขันกึ่ง ๆ ประชดกลาย ๆ “รู้จักใจ ! เฮอะ – คุณเมียดเชื่อเจ้ากำนันรื่น ยิ่งกว่าจะเชื่อผม เจ้านั่นแหละร้าย คอยดูกันต่อไป เกิดอะไรขึ้นหน่อยคุณเถียรจะว่าผมไม่เตือน”
เสถียรได้ฟังมองหน้านายอำเภอสหาย นิ่งอยู่หน่อยหนึ่งแล้วก็หัวเราะ
“ครั้งหนึ่งผมเคยรู้สึกอย่างคุณหลวงเหมือนกัน” เขาบอก “คน ๆ นั้นร้ายที่สุดสำหรับจะเป็นศัตรู แต่ผมยังต้องการเขาอยู่ในฐานเพื่อน เพื่อประโยชน์ของเราร่วมกัน”
“คุณเถียรเคยคิดถึงมันในฐานอื่นบ้างหรือเปล่า ?”
“ผมไม่เข้าใจ”
“งั้นก็ไม่มีประโยชน์ที่เราจะถกเรื่องนี้กันต่อไป เอาไว้ให้เหตุการณ์มันพิสูจน์เองดีกว่า” มองหน้าคู่สนทนาก่อนที่จะอำลากลับ ต่อมาก็ยักไหล่ “อย่าลืมว่าผมเตือนแล้ว ไม่ใช่ในฐานหุ้นส่วนบริษัท แต่ในฐานเพื่อน”
เมื่อเล่าให้ละเมียดฟังระหว่างนั่งกินอาหารอยู่ด้วยกันเย็นวันนั้น หล่อนหันมามองดูเขาอย่างอัศจรรย์ใจ ขณะที่ถามว่า “แล้วเสถียรตอบแกว่าอย่างไร ?”
“ใครจะไปตอบถูก หมอพูดยังกะปริศนาตาเถรอดเพลยังงั้น” สามีหัวเราะลั่น “ที่ฉันแน่ใจอย่างหนึ่งก็คือ หลวงราชยังคงไม่ชอบหน้ารื่นอยู่นั่นเอง ฉันเกรงว่า ความจำของแกจะแก่กล้ากว่าฉันมาก ที่จริงก็ไม่อยากจะเอ่ยถึงเรื่องราวที่ผ่านมาแล้ว ถึงขั้นละเมียดก็คงรู้จากคนเก่า ๆ ที่นี่ว่า เมื่อเป็นหัวหน้าป่าไม้ของพะโป้อยู่ที่นี่ ฉันเคยมีเรื่องกับกำนันรื่นแทบจะฆ่ากันตาย หลวงราชเขาเอาใจช่วยอย่างเต็มที่ในเรื่องนั้น แต่เมื่อมันผ่านไปแล้ว ฉันก็ไม่เคยคิดถึงอีก บางทีฉันอาจจะผิดและรื่นอาจจะถูก เราเลิกทุ่มเถียงกันแล้วในเรื่องนั้น แต่หลวงราชบริการไม่เคยลืม – –”
“คุณหลวงปกครองคนเหมือนกับปกครองควาย” ละเมียดลงมือตักอาหาร แต่ยังคงวางช้อนไว้ในจานข้าว สีหน้าของหล่อนเต็มไปด้วยความรู้สึก “หนี้สินนิด ๆ หน่อย ๆ ที่บริษัทเราติดค้างพวกลากไม้ไว้โดยไม่จำเป็นก็เพราะคิดเสียว่า ราษฎรที่ไหนจะกล้ามาทวงนายอำเภอ คุณหลวงลืมไปว่า อาหารมื้อหนึ่งของเราสำหรับคนเหล่านั้นหมายถึงทั้งวัน และเงินชั่งหนึ่งตำลึงเศษ หมายถึงการครองชีวิตของครอบครัวเขา
สามีพยักหน้าเนิบ ๆ “ฉันเข้าใจดีถึงวิธีการของแม่เมียด ฉันเชื่อว่ามันจะเป็นผลกว่าวิธีที่ฉันกะหลวงราชเขาทำกันมาแล้ว แต่หลวงราชเป็นเพื่อนเก่า เขาเป็นคนที่ริเริ่มงานให้เราลงรากฐานกิจการของบริษัทลงที่นี่ได้ ฉะนั้น ถ้าแม่เมียดจะพยักพเยิดเสียบ้างในบางเรื่องบางราวแกก็คงจะสบายใจขึ้น”
“แต่ทุกเรื่องล้วนแล้วแต่เกี่ยวกับการใช้อำนาจจัดการปัญหาต่าง ๆ ทั้งนั้น” ภรรยาชี้แจง “เสถียรก็รู้แล้วว่ามันตรงกันข้ามกับวิธีของฉัน ซึ่งต้องการให้ทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อยโดยวิธีละม่อม คุณหลวงควรจะรู้ว่าคนเมืองนี้ล้วนแต่ที่เกรงบารมีนายอำเภอและเจ้าเมือง สิ่งใดที่ทำกันไปโดยถูกต้องแล้ว ไม่เคยขัดข้อง ก็ทำไมเราจะต้องไปใช้อำนาจกับคนที่เสียเปรียบกว่าทุกประการ ? ทำไมจะไปใช้พระเดชในกรณีที่ใช้พระคุณจะเป็นประโยชน์กว่า”
“ฉันไม่ได้ว่าอะไร” เสถียรถอนใจ “ฉัน–ฉันเพียงแต่ขอให้พยายามอะลุ้มอะล่วยกับแกสักหน่อยเท่านั้น ถ้ามันไม่ใช่ปัญหาสลักสำคัญอะไร”
ละเมียดก้มหน้านิ่งอยู่ครู่หนึ่ง จึงได้ตอบ
“ฉันจะพยายามอย่างเสถียรบอก” หล่อนว่า “แต่เสถียรจะให้ฉันทำอย่างไรกับปัญหาสัมปทานโป่งน้ำร้อน เมื่อคุณลุงขึ้นมาจากกรุงเทพฯ ทำตามความเห็นของคุณหลวงราช หรือตามวิธีของฉัน ?”
“เอาไว้ดูกันเมื่อเจ้าคุณท่านกลับจากกรุงเทพ ฯ ดีกว่า” สามีบอก “เอาไว้ปรึกษาหารือกันอีกครั้งว่าตกลงกันอย่างไร ในเมื่อรู้ผลของคำสั่งทางเสนาบดีจากเจ้าคุณ”
แต่เมื่อผู้ว่าราชการจังหวัดกลับจากกรุงเทพๆ ถึงกำแพงเพชรในปลายเดือนต่อมา ปัญหาเรื่องสัมปทานป่าโป่งน้ำร้อนก็ยังคงเป็นปัญหาอย่างที่มันเป็นมากว่าสิบปีแล้ว อย่างเมื่อพะโป้ลองทาบทาม และอย่างเสถียรพยายามเข้าครอบครองโดยพลกำลัง เสนาบดีไม่สามารถจะสั่งการเด็ดขาดลงไปได้ การวินิจฉัยขั้นสุดท้ายตกอยู่แก่ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้อยู่ใกล้ชิดกับท้องที่ ท่านบอกแก่ละเมียด เสถียร และหลวงราชบริการ ในเรื่องนี้ เมื่อไปเยี่ยมเยียนเรียนถามท่าน
“งั้นเรื่องก็ง่ายเข้า ถ้าใต้เท้าจะลองเจรจากับพะโป้แก” นายอำเภอแนะ “สัมปทานป่าโป่งน้ำร้อนอาจจะเป็นเรื่องที่แกสนใจมาก่อน แต่ก็ยังไม่เคยได้รับอนุญาตเป็นทางการ เมื่อบริษัทเราเสนอขอสัมปทานขึ้นไปอีกราย ตามสิทธิเสนาบดีท่านก็อาจจะพิจารณาสั่งการลงไปตามที่เห็นเหมาะสมได้ ท่านมอบการวินิจฉัยชี้ขาดไว้ ให้ใต้เท้าก็เห็นจะเกรงใจ พะโป้เป็นใหญ่ พะโบมีเนื้อที่มากมาย นอกจากนั้นความสนใจของแกอยู่ที่ไม้สัก ส่วนโป่งน้ำร้อนเกือบล้วนแล้วไปด้วยไม้กระยาเลย ผมคิดว่าถ้าใต้เท้าจะกรุณาช่วยเหลือพวกเรา อย่างไรเสียแกก็คงเห็นใจยอมถอนเรื่องราวกลับไป”
เจ้าคุณกำแพงได้ฟังก็ถอนใจมองหน้านายอำเภอของท่านนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงได้เอ่ย
“คุณหลวงเข้าใจผิดถนัด นี่ไม่ใช่ปัญหาระหว่างบริษัทกับพะโป้ แต่เป็นปัญหาระหว่างบริษัทและพะโป้กับคนพวกนั้น –– ผมหมายถึงชาวบ้านปากคลองทั้งเหนือและใต้ บ้านไร่ หัวยาง วังยาง ซึ่งเป็นเจ้าของป่าโป่งน้ำร้อนมาก่อน”
“พวกนั้นไม่เคยมีสิทธิ์อะไรตามกฎหมาย” เสียงและสีหน้าหลวงราชเปลี่ยนไป “ทำอะไรต่ออะไรกันมาในป่าโป่งน้ำร้อนด้วยความเคยชินเท่านั้น ทำกันมานานจนถือเป็นประเพณี”
“คุณหลวงเข้าใจว่ากฎหมายสร้างขึ้นจากอะไร ?” ท่านผู้ว่าราชการนั่งตัวตรงนัยน์ตาอันชราของท่านเป็นประกาย “ถ้าไม่จากประเพณี ? ถ้าไม่ใช่จากขนบธรรมเนียมที่คนเรายึดถือ และปฏิบัติกันมาจนเคยชิน ? ถ้าไม่ใช่จากชีวิตประจำวันที่ทำ ให้คนเราอยู่ด้วยกันมาด้วยดี ?” ท่านชำเลืองดูเสถียรซึ่งกระสับกระส่าย และละเมียดผู้อยู่ในกิริยาสงบเสงี่ยม แล้วก็หันมาเผชิญนายอำเภอของท่านอีก “จริง, ตามกฎหมายที่มีอยู่คนพวกนั้นไม่มีสิทธิ์อะไรในป่าโป่งน้ำร้อน ผมอาจจะวินิจฉัยรายงานขึ้นไปทางกระทรวงให้อนุมัติบริษัทของคุณ หลวง นายเสถียร แม่ละเมียดหรือพะโป้เข้ายึดถือสัมปทานได้ แต่อะไรบ้าง จะเกิดขึ้นแก่คนพวกนั้นนอกจากความเดือดร้อน อย่างที่เคยได้รับกันมาแต่คราวก่อน เมื่อนายเสถียรสำคัญผิดคิดว่าสัมปทานของพะโป้กินอาณาเขตลงมาถึงฝั่งใต้ปากคลอง จริงอีกเหมือนกัน คนพวกนั้นจะไม่มีปากเสียงอะไรเลยเมื่อว่าผมวินิจฉัยให้สัมปทานแก่คนหนึ่งคนใดไป แต่ผมทนดูคนพวกนั้นเดือดร้อนไม่ได้ นั่นไม่ใช่การปกครองที่ดี นั่นไม่ใช่แม้แต่วิธีที่นายอำเภอ หรือเจ้าเมืองจะปฏิบัติแก่ราษฎรในท้องที่ของตัว––”
ความเคลื่อนไหวในขณะที่หล่อนเปลี่ยนอิริยาบถของละเมียดสะดุดตาท่าน เป็นเหตุให้กังวานเสียงซึ่งดังขึ้นทุกทีของท่านเจ้าคุณค่อยคลายลงจนกระทั่งแผ่วหายไปในลำคอ ท่านยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับขมับและหน้าผากพลางพึมพำ
“เสียใจที่ลุงทำอย่างนั้นไม่ได้แม่เมียด”
“ค่ะ ดิฉันเข้าใจ” หล่อนพยายามยิ้มอย่างอ่อนโยน
“ลองบอกทีหรือว่าลุงควรจะทำอย่างไร เมื่อรู้จักกันอยู่แล้วว่าข้อเท็จจริงมีอย่างนี้ ?”
“ดิฉัน––ดิฉันไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรถูกเพราะเป็นคู่กรณี” ละเมียดอีกอัก “แต่ดิฉันคิดว่าคุณลุงคงมีความตั้งใจอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่แล้ว เมื่อเสนาบดีท่านมอบอำนาจวินิจฉัยมาให้”
“ถูกของแม่เมียด ลุงตกลงใจไว้แล้วเหมือนกัน ลุงมีอำนาจที่วินิจฉัยปัญหานั้น แต่ลุงจะไม่ใช้มัน ลุงจะมอบการตัดสินใจไว้ให้แก่เจ้าของปัญหาเขาตัดสินของเขาเอง”
สายตาทั้ง ๓ คู่เงยขึ้นดูท่านเป็นจังหวะเดียวกันอย่างประหลาดใจ
ท่านเจ้าคุณคงพูดต่อไปเนิบๆ เชื่องช้า เหมือนปรารภกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งอยู่ในความทรงจำของท่าน
“ลุงหมายถึงคนพวกนั้น – – พวกปากคลอง เจ้าของป่าโป่งน้ำร้อนมาแต่ครั้งปู่ย่าตายาย มิใช่โดยกฎหมายก็โดยประเพณี และความเคยชิน – – ว่าเขาปรารถนาจะจัดการอย่างไรกับชีวิตในอนาคตของเขา”
“ใต้เท้าหมายความว่าถ้า พวกนั้นต้องการให้พะโป้ได้สัมปทานพวกเราก็อด” หลวงราชมองดูท่านอย่างงงงัน
“ผมหมายยิ่งกว่านั้น” ท่านผู้ว่าราชการสบตานายอำเภอของท่านเขม็ง “ผมเกรงว่าถ้าเขาไม่ต้องการให้สัมปทานได้แก่ใคร ป่าโป่งน้ำร้อนก็จะต้องอยู่ในภาวะและลักษณะเดิมของมันต่อไป––”