จนกระทั่งสิ้นเดือนห้า และหน้าฝนจวนจะเริ่มอยู่แล้ว ข่าวเสด็จของในหลวงก็ยังคงเงียบหายไป แม้กระนั้น นายเสถียรซึ่งขึ้นมาจากปากน้ำโพก็ยืนยันว่า ที่นครสวรรค์กำลังเตรียมรับเสด็จกันเป็นการใหญ่

“ที่โน่นกำหนดรายการรับเสด็จไว้พร้อมแล้ว” เขาบอกละเมียดและบรรดาผู้ที่มาเยี่ยมเยียน “นอกจากนั้น ยังได้จัดเรือประพาส และเกณฑ์ช้างให้พวกกองพรานคอยตามถวายอารักขาขึ้นมาตลอดระยะทาง”

“งั้นเทศาท่านก็คงได้รับรายงานจากทางในแน่ แม้จะเป็นที่ทราบกันว่าทางกระทรวงจะไม่ออกคำสั่ง” หลวงราชบริการว่า “ทางจังหวัดเราเถอะจะทำอย่างไร ไม่เห็นผู้ว่าราชการท่านสั่งอะไรของท่านสักที”

“มันยากเหลือเกินที่เราจะทำอะไรลงไป โดยมิได้รับคำสั่งจากเทศาท่าน เพราะรู้กันอยู่แล้วว่าเสด็จคราวนี้เป็นประพาสต้น ไม่ต้องการให้ผู้คนแตกตื่นมารับเสด็จเป็นการวุ่นวาย ไม่มีพระราชประสงค์จะให้เกณฑ์แรงราษฎรให้เดือดร้อนเสียเวลาทำมาหากิน”

“ถึงงั้น เวลาท่านเสด็จจริง เราก็จะต้องสร้างพลับพลาที่ประทับ ถางป่าสำหรับเป็นทางเสด็จเข้าเมืองเก่า” นายอำเภอเรียนท่าน “เราจะทำอย่างไร ?”

“ผมจะใช้แรงนักโทษ” ท่านเจ้าคุณตอบ แต่ก็ยังไม่ใช่เวลานี้ มิฉะนั้นพลับพลาก็เก่า ถนนหนทางที่เราทำไว้ก็รก เราพอจะเร่งได้เมื่อใกล้เวลา ข้อสำคัญผมอยากรู้กำหนดเวลาแน่นอนเท่านั้น ไม่มีใครจะบอกได้ นอกจากเทศาท่าน อ้ายจะลงไปเองเวลานี้หรือ ร่างกายมันก็ยังเต็มที”

หลวงราชบริการดูเหมือนจะเข้าใจในความหมายของท่าน

“ถ้าใต้เท้าคิดว่าใช้กระผมลงไปจะได้ความก็อยากจะขออาสา” เขาบอก

“ก็ได้เหมือนกัน ผมจะเขียนหนังสือฝากคุณหลวงไปถึงท่านด้วย รีบกลับถ้าได้เรื่องราว ไม่งั้นก็ส่งข่าวให้ผมรู้ก่อน”

นายอำเภอล่องลงมาปากน้ำโพ พร้อมกับนายเสถียรในปลายเดือนนั้น ครั้นแล้วก็เงียบหายไปทำนองเดียวกับข่าวการเสด็จ เช่นเดียวกันรายงานฉบับเดียวที่ท่านผู้ว่าราชการได้รับ ก็เพียงยืนยันถึงเหตุการณ์ทางนครสวรรค์ตามที่นายเสถียรบอกเล่า ไม่มีใครทราบกำหนดแน่นอนของวันเสด็จนอกจากเทศา และเทศาก็กำลังลงไปกรุงเทพฯ

“ท่านพระครู ผู้ใหญ่รื่น กะพวกปากคลองคงบ่นกันแย่ว่าลุงหลอกเขา” ท่านเจ้าคุณผู้ว่าราชการจังหวัดบอกกับละเมียดในเย็นวันหนึ่ง เมื่อท่านแวะไปเยี่ยมหล่อนที่จวนเก่า “นอกจากนั้น ลุงยังได้ข่าวว่า ตาพะโป้ก็ดูเหมือนจะกลับจากตะโก้งมาถึงบ้านอยู่ในวันสองวันเพื่อให้ทันรับเสด็จเหมือน กัน เข้าใจว่าทางบ้านคงจะมีหนังสือบอกไป เอาละซี, ที่แรกได้ข่าวเสด็จ ให้เขาช่วยกันทำตำบลที่ไม่มีผู้มีคนให้เป็นตำบลคอยรับเสด็จคราวนี้ ทำสำเร็จแล้ว ไม่มีในหลวงจะให้เขาชมบารมี”

ละเมียดเองรู้ว่า กำแพงทั้งกำแพงต่างคอยสดับตรับฟังกำหนดแน่ของข่าวนี้ และความล้มเหลวลงไปด้วยเหตุหนึ่งประการใด มิใช่หมายแต่เพียง – – ความผิดหวังของผู้ซึ่งปรารถนาจะได้ชมบุญญาบารมีของเจ้าชีวิตของเขาอย่างเดียว หากหมายถึงความเสื่อมศรัทธาต่อชายคนรักของหล่อน จากชาวบ้านผู้แห่กันมาตั้งภูมิลำเนาลงตั้งแต่หัวยางขึ้นไปจนถึงปากคลองเหนือ เพราะการบอกเล่ากล่าวขานจากเขา ถึงการเสด็จครั้งนี้ด้วย มันอาจจะเป็นเหตุการณ์เพียงนิดเดียวในชีวิตของมนุษย์เรา แต่ความหมายของมันมากมายเหลือเกินสำหรับคนอย่างรื่น

การพบระหว่างหล่อนและเขาในกาลต่อมา มิได้เป็นไปอย่างใกล้ชิดหรือบ่อยครั้ง เหมือนอย่างเวลานายเสถียรอยู่ และแม้โอกาสจะเปิดให้ได้อยู่สองต่อสองในบางเวลา เขาก็ไม่เคยรื้อฟื้นความแต่ครั้งก่อน ๆ ขึ้นมาให้เป็นที่อึดอัดและกระอักกระอ่วนใจ เมื่อเวลาล่วงนานไปและไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้น หล่อนคิดว่า แม้จะลืมไม่ได้ อย่างน้อยเขาก็คงจะเรียนรู้จักบังคับใจให้อยู่ในอำนาจ

ปัญหาบางประการเกี่ยวกับป่าไม้วังพระธาตุ เป็นเหตุให้หล่อนต้องขอร้องให้เขาลงไปเป็นเพื่อนด้วย ในปลายเดือนมิถุนายน ซึ่งฝนเริ่มโชย และความชื้นลอยอยู่ในอากาศทั่วไป สุดใจพยักหน้าอย่างปราศจากความยินดียินร้ายใด ๆ เมื่อรื่นหันไปขอความเห็นในเรื่องนี้

“ก็ดีแล้วนี่ พี่รื่นจะได้ทวงถามเงินทองที่ยังติดค้างอยู่กับเจ้าบุญตามันด้วย”

ถ้าลูก ๆ เกิดมาจะทำให้หล่อนครุ่นคิดอยู่แต่ปัญหาสวัสดิภาพ ในอนาคตของแกเพียงใด หนึ่งปีที่วังกระทะก็ยิ่งทำให้หล่อนเข้มงวดกวดขัน ในเรื่องการเงินการทองขึ้นเพียงนั้น หล่อนเข้มงวดทุกบาททุกสตางค์ที่ได้มาและทุกบาททุกสตางค์ที่จะใช้ไป ไม่ว่าจะเป็นการซื้อการขายการบุญสุนทรทาน หรือการอุดหนุนจุนเจือ ผู้ซึ่งเคยต่อกันมาในทางหนึ่งทางใด

แต่สำหรับแม่เฒ่าแคล้ว แม้หูและตาในระยะหลังๆ นี้ จะเสื่อมโทรมลงไปเพียงใด ความคิดความสังเกตก็ฉับไวพอที่จะได้ระแคะระคายถึงบางสิ่งบางอย่าง ซึ่งผิดปกติไปในหลานเขยของแก

“กูดูมันยังไงๆ อยู่ไม่รู้ อีใจ ระหว่างผัวมึงกับคุณนายคนนี้น่ะ” แกตำหมากไปพึมไป ในทันทีที่ร่างของสองชายหญิงลับประตูรั้วบ้าน

หลานสาวมิได้เงยหน้าขึ้นจากงานในมือเลย ขณะที่หล่อนตอบว่า “ป้าคิดมากไปเอง พี่รื่นกะฉันรู้จักคุณละเมียดมานาน ตั้งแต่ช่วยแกจากพวกปล้นที่ลานดอกไม้เกือบสิบปีแล้วละมั้ง”

“เออ นั่นแหละระวังให้ดีเถอะ ยิ่งนานมันยิ่งสนิทนักละ” เสียงป้าแคล้วกระแทกกระทั้น “เขาว่าน้ำตาลใกล้มด แล้วก็ผู้หญิงตายังงั้น กูไม่ค่อยเชื่อน้ำมนตร์เลยวะ ถึงอ้ายทิดก็เถอะ ไวเป็นปรอท –– ไวเหมือนพ่อมัน”

สุดใจเงยหน้าขึ้นมองดูแกอย่างอัศจรรย์ใจ สายตาของหญิงทั้งสองแลสบกัน ครั้นแล้วแม่เฒ่าแคล้วก็กระแอม และก้มหน้าลงตำหมากต่อไป “ไวเหมือนพ่อมัน อย่างที่เขาว่า ๆ กัน”

“เชื่อฉันดีกว่าจ้ะป้า พี่รื่นกะคุณละเมียดรักและนับถือกันจริงๆ ไม่มีอะไรหรอก” หลานสาวบอก “นอกจากนั้น เขายังมีงานที่จะทำต่อไป ต้องติดต่อกันอยู่เสมอด้วย – –”

ริมฝีปากของแม่เฒ่า ขมุบขมิบโดยสุดใจไม่รู้ว่าแกพูดอะไร นอกจากประโยคเดียวซึ่งฟังเหมือน “อะไรของข้า” ตอนท้าย แล้วเสียงตำหมากก็ดังต่อไป แรงและถี่กว่าเดิม

เรือชะล่าประทุน ๒ พายพร้อมด้วยคนหัวท้ายและสาวใช้ของละเมียดพาหล่อนและรื่น ล่วงลงมาถึงวังพระธาตุในเวลาโพล้เพล้ใกล้พลบค่ำของวันเดียวกัน

“ฉันคิดว่าแวะจอดหุงข้าวปลากินกันที่ท้ายหาดนั่นเสียก่อนไม่ดีหรือรื่น” หล่อนบอกขณะเมื่อถึงหาดสูงริมฝั่งซึ่งป่ายางสูงละลิ่ว แลทะมึนทาบอยู่กับท้องฟ้าที่มืดลงโดยรวดเร็ว “แล้วค่อยเลื่อนลงไปค้างคืนบ้านผู้ใหญ่แม้น ที่เกาะขี้เหล็ก จะได้ไม่ต้องไปรบกวนให้เจ้าของบ้านเขาลำบาก”

รื่นยื่นศีรษะออกไปนอกประทุนเรือ เหลียวดูภูมิประเทศโดยรอบแล้วก็ถอนใจ

“นอกจากนั้น” ละเมียดยกมือชี้ไปที่สาวใช้ที่คนถือท้ายและคนพายหัว “กว่าจะไปถึงเกาะขี้เหล็กพวกนี้คงหิวตาย”

“ครับ ดีเหมือนกัน” เขาบอกคลานออกไปหยิบถ่อ ยืนขึ้นช่วยค้ำหัวเรือ ตัดร่องน้ำเบนเข้าหาฝั่ง “แต่ผู้ใหญ่แม้นรู้เข้าคงบ่นพึมแน่ การรับรองไม่เคยเป็นการรบกวนเลยสำหรับแก หรือทุกหลังคาเรือนบนฝั่งแม่ปิงคุณละเมียดรู้ข้อนั้นแล้ว”

“ฉันรู้” หล่อนหัวเราะ พลางกระโดดขึ้นไปบนหาดทราย ในทันทีที่เรือเทียบชายฝั่ง

ความวิเวกจากเงามืดของทิวไม้ และความวังเวงจากเสียงจักจั่น ที่เพรียกอยู่ตามทิวไม้บนตลิ่ง มิได้ต่างไปเลยจากความวิเวกวังเวงของป่าอื่น ๆ บนฝั่งแม่ปิง แม้กระนั้นหญิงชายทั้งคู่ก็อดรู้สึกไม่ได้ว่า มันต่างกว่าแม่ปิง เพียงแต่ตอบไม่ได้ว่ามันเกิดจากอะไร กระแสน้ำที่ไหลรินอยู่รอบกายตลอดเวลาผลัดผ้าอาบก็เช่นเดียวกัน พื้นทรายที่ยังไม่คลายความอบอุ่น ตลอดเวลาที่นั่งรอคนเรือและสาวใช้ก่อไฟหุงข้าวต้มแกงก็เช่นเดียวกัน

หล่อนและเขานั่งอยู่ที่นั่น บนเนินทรายสีขาวสะอาด ข้างกอตะไคร้น้ำดื่มด่ำไปด้วยความสุขและสงบ ซึ่งหลั่งไหลมากับความเงียบ จนกระทั่งแสงสว่างจากพระจันทร์ข้างขึ้นแก่สาดสู่ท้องฟ้า ก่อนที่สีแดงจ้าของมันจะโผล่พ้นทิวไม้ ไม่ได้พูดอะไรต่อกัน มิได้แสดงกิริยาอันใดต่อกัน พระจันทร์โคจรต่อไป จนกระทั่งในที่สุดแสงสว่างลำแรกก็พุ่งถึงกลุ่มยอดเจดีย์อันสลักปรักพังอยู่ระหว่างหมู่ตาลทางขวามือของหล่อนและเขา รื่นและละเมียดชำเลืองดูยอดเจดีย์เหล่านั้น ครั้นแล้วก็หันกลับพร้อมด้วยความสำนึก ซึ่งติดตามมาทันทีว่า อะไรที่ทำให้บริเวณป่าและเมืองร้างแห่งนี้ ผิดแผกแตกต่างไปจากทุก ๆ ป่าและเมืองร้างบนฝั่งแม่ปิง และพร้อม ๆ กับความสำนึกนั้น ต่างฝ่ายก็ต่างพยายามที่จะไม่มองดู เพราะความหวั่นเกรงซึ่งตนเองต่างรู้อยู่แก่ใจด้วยกันทั้ง ๒ ฝ่าย

“วังพระธาตุ !” รื่นพึมพำ “คืนสุดท้ายของเรา”

ละเมียดรู้ว่าเขากำลังคิดถึงอะไร หล่อนพยายามที่สุดที่จะไม่หันไปดูเขา แต่ก็อดไม่ได้ ขณะนั้นรื่นนั่งกอดเข่าตามนิสัยที่เขาชอบ คางเชิดและตัวตรง เพ่งออกไปสู่พื้นน้ำ ซึ่งเป็นประกายอยู่ข้างหน้า

“ฉันไม่ทันคิดเลย – – เป็นความสัตย์” หล่อนกระซิบ “ไม่ทันคิดจริงๆ เมื่อบอกให้แวะเรือเข้ามาที่นี่ว่าจะพาขึ้นมาเจอะชีวิตเก่าที่เราต่างคนต่างพยายามจะลืม ฉันยอมรับผิด ฉันเสียใจ”

เขาหันมาช้า ๆ ชำเลืองดูหน้าซึ่ง ๑๐ ปี นับแต่ลานดอกไม้ ประพิมพ์ประพายของนางกินรีบนพระปรางค์ร้างแห่งนครไตรตรึงษ์ยังมิได้จากไป ความยึดเหนี่ยวซึ่งแฝงอยู่หลังสีหน้าและนัยน์ตานั้นก็มิได้เปลี่ยนแปลงไป

“เสียใจ ?” เสียงของเขาบอกอัศจรรย์ “ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคืนนั้น ? หรือในการที่พาผมกลับมาสู่ชีวิตที่นี่ ?”

อิริยาบถที่นั่ง และสีหน้าที่ซีดของหล่อน ทำให้แลดูเหมือนจะเป็นดวงหน้าของรูปสลักนางกินรีไปจริงๆ เพียงแต่ริมฝีปากที่สั่นระริก และทรวงอกที่สะท้อนขึ้นลงเท่านั้น ที่บอกว่านี่เป็นนางมนุษย์

“พูดกับฉันดี ๆ หน่อยรื่น – – ถ้าเห็นแก่ฉัน ขออย่าได้ทรมานด้วยคำพูดอย่างนั้น”

คืนและวันครั้งกระโน้นยังไม่ไปไหน คืนที่กลางไร่ซากบนเกาะร้างพร้อมด้วยกลิ่นควันจากกองไฟ และกลิ่นคาวปลา ภายใต้ฟ้าเหมันต์ ซึ่งมีแต่ร่างของเขา เป็นเครื่องกำบังหยาดน้ำค้างที่ลงหนัก และลมที่พัดกล้า คืนที่หน้าวังพระธาตุ เกือบจะแห่งเดียวกันกับเรือชะล่าของหล่อนจอดอยู่ ณ บัดนี้ พร้อมด้วยเสียงระลอกที่ซัดภายนอกและพายุมืดที่พัดอยู่ภายใน นัยน์ตาของหล่อนพร่าไปด้วยความทรงจำ หัวใจของหล่อนเต็มไปด้วยรู้สึก หูทั้งสองก็อื้อไปหมดเพราะความอาวรณ์ถึงสิ่งเหล่านั้น

เสียงร้องเรียกจากนางสาวใช้ปลุกละเมียดตื่นจากภวังค์ หล่อนพยายามลุกขึ้นจากท่านั่ง แต่ก็ไม่สามารถจะลุกขึ้นได้ ใจสั่นและขาสั่นเหมือนจะเป็นลมเสียให้ได้ รื่นยื่นมือออกไปประคองไว้ การสัมผัสนั้นทำให้เขาสั่นเทิ้มไปทั้งตัวเช่นเดียวกัน

“ฉัน––ฉันไปเองได้” หล่อนบอก แต่ทันทีที่เขาเอามือออก ละเมียดก็เซไปอีก

“คุณละเมียดเป็นอะไร ?” คราวนี้เขากอดหล่อนไว้แน่น

“ไม่รู้เลยรื่น” หล่อนบอก “แต่ปล่อยฉันดีกว่าเดี๋ยวทับทิมมาเห็นเข้า”

“งั้นก็ขานรับมันเสีย” เขาบอกด้วยเสียงดุๆ “ไม่งั้น ผมจะอุ้มคุณละเมียดออกไป”

“อย่ารื่น! หรืออยากให้ฉันตาย ?”

รื่นได้ฟังก็คลายแขนออกจากเอวหล่อนทันที ชั่วขณะหนึ่ง เขาได้แต่ยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น งงงันจนไม่รู้ว่าจะพูดหรือทำอะไรต่อไป ทันใดนั้นเองทับทิมก็มาถึง

“ดิฉันเรียกหาคุณนายอยู่เป็นนาน” หล่อนบอก “อาหารเสร็จแล้วค่ะ”

“เออ, ได้ยินแล้ว เรียกเสียใส่คะแนนไม่ทัน จนขานรับเอ็งไม่ถูก” ละเมียดดุ “เข้ามาใกล้ ๆ ขอให้ข้าเกาะไปหน่อย”

นางสาวใช้ปฏิบัติตาม แต่ก็อดมองหน้านาย แล้วก็หันไปชำเลืองดูรื่นไม่ได้ “คุณนายเป็นอะไรไปคะ ?”

“หกล้ม” ละเมียดตอบสั้นๆ “เพราะรีบจะไปตามเสียงเรียกของเอ็ง!”

รื่นยืนนิ่งอยู่กับที่หน่อยหนึ่ง มองตามสองบ่าวนายประคองกันไป สักครู่ก็โคลงศีรษะแล้วออกเดินตามไป

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ