บทที่ ๔

พร้อมด้วยเสียงไก่ขันบอกวันรุ่งขึ้น สุดใจก็ตื่นจากการหลับอันเต็มไปด้วยความฝันอันแสนสุข ก่อนที่แสงเงินแสงทองจะทันทาขอบฟ้า หล่อนค่อยๆ ลุกไปถอดกลอนประตูเบาๆ ด้วยเกรงว่าป้าจะตื่น ล้างหน้าแล้วก็เข้าครัว ก่อไฟตั้งหม้อข้าว ตั้งใจว่าจะออกไปที่ตีนท่าแต่เช้ามืด เพื่อดูว่าเรือชะล่าประทุนลำนั้นยังอยู่หรือไปแล้ว

“แต่ถ้าเขายังอยู่” หล่อนคิด หน้าแดงเรื่ออยู่คนเดียว เมื่อหวนกลับไปรำลึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาเมื่อคืน “ฉันจะทำอย่างไร ถ้าพบเขาเข้าอีก ?”

หล่อนไม่มีความประสงค์อื่นใดเลย นอกจากอยากรู้เท่านั้นว่า เขายังอ้อยอิ่งอยู่ที่นั่นหรือจากไปแล้ว ถึงกระนั้นก็อดหวาดหวั่นไม่ได้ ฉันจะทำอย่างไร หล่อนคิดอีก ถ้าไปพบเขาเข้า ?

ไม่มีเช้าวันไหนในชีวิตของหล่อนนับแต่จำความได้ จะเย็นสุขุม เต็มไปด้วยความสุข ความสบายเท่ากับเช้าวันนั้น ทุกแห่งที่แสงไฟในเตาฉายไปจับกับฝาขัดแตะของครัว ดูมีแต่ยิ้มรับ ทุกปรมาณูของอากาศที่หายใจเข้าไป มีแต่กลิ่นหอมอันบริสุทธิ์ มิใช่ของมะลิที่หน้าบันไดเรือนหรือดอกไม้ป่า หากเป็นกลิ่นหอมแห่งความสุขของวัยสาวที่แรกเริ่มรับแสงสว่างแห่งความรัก

“อยากรู้จริงๆ ว่าเขายังอยู่หรือไปแล้ว ?” ความคิดของหล่อนไม่พ้นกังวลข้อนั้นไปได้

ในทันใดที่ท้องฟ้าสาง รุ่งรางพอที่จะแลเห็นอะไรได้ หล่อนจะลงไปที่ตีนท่าอย่างที่ได้เคยลงไปนับแต่ไหนแต่ไรมา ป้าจะไม่มีอะไรสงสัย ใครๆ จะไม่ล่วงรู้ถึงความลับ และความรักระหว่างเขากับหล่อน นอกจากเจ้าตัวเองสองคนเท่านั้น ฉันจะกลับมาให้ทันป้าตื่น แต่งตัวและเตรียมของไปทำบุญที่วัด หล่อนตกลงใจ

แต่ยังไม่ทันหม้อข้าวจะเดือด แสงไต้ก็สว่างเรืองมาจากครัวของจำปาซึ่งอยู่ห่างกันไม่ถึงวา คั่นอยู่ด้วยรั้วไม้ไผ่ขัดแตะเตี้ย ๆ และพุ่มพุทธรักษา สุดใจได้ยินเสียงหล่อนล้างหน้าเสียงบ่นพึม เมื่อค้นหาอะไรไม่เจอะ ต่อมาก็มีเสียงร้องถามเบา ๆ ออกมาจากช่องหน้าต่างครัวฟากตรงกันข้าม

“ตื่นแล้วรึ สุดใจ ?” เสียงของแม่เพื่อนสาวบอกอาการงัวเงียเหมือนอย่างง่วงนอน

“ฮื่อ !” หล่อนตอบสั้น ๆ รู้สึกอึดอัดที่มาถูกขัดจังหวะความสงบเงียบสำหรับคิด ในยามที่ต้องการอยู่แต่ลำพังกับความฝันอันแสนสุข

“ยื่นหน้าออกมาหน่อยเถอะ อยากจะถามอะไรสักนิด” จำปาว่า “เป็นอย่างไรบ้างล่ะ เมื่อคืน ?” อดรู้สึกไม่ได้ว่า กังวานหัวเราะคิกปรากฏอยู่ในเสียงกระซิบนั้น

หล่อนหันใบหน้าอันแดงเรื่อและร้อนผ่าวไปหาแม่เพื่อนสาวอย่างข้องใจ

“หลับสบายดี ทำไม ?”

คราวนี้เสียงหัวเราะคิกของจำปาปรากฏออกมาเบา ๆ ฟังชัดอย่างไม่มีที่สงสัย “ทำไม ? ตายละถามดูหน่อยก็ไม่ได้ ยังกะกันไม่เคยถามเอ็งมาก่อนเลยงั้นแหละ ––รู้ละว่าหลับสบาย––” หล่อนเน้นตอนท้ายอย่างมีความหมาย ก่อนที่จะหันกลับเข้าไปในครัว ได้ยินเสียงซาวข้าวอยู่สักครู่ ตั้งหม้อแล้ว จำปาก็กลับไปที่หน้าต่างเล็กนั้นอีก

“ดีอยู่หรอกหรือ เขาน่ะ ?”

สุดใจ ซึ่งนั่งอยู่หน้าเตาไฟตลอดเวลา ย้อนถามโดยมิได้หันหน้ามา “เขาไหน ?”

“เขาไหน ? เขาหลวง หลวงไหน ? หลวงพรหม พรหมไหน ? พรหมศร ศรไหน ? ศรยิง ถามอีกไหมล่ะว่า ยิงอะไร ?” จำปาหัวเราะ

“อย่าบ้าไปหน่อยเลย !” หล่อนหันไปดุเบา ๆ “เดี๋ยวป้าตื่น เขาไม่ได้ทำอะไรข้าสักหน่อยเดียว”

“ทำเอ็ง ? เสียงจำปาบอกความประหลาดใจ “ต๊าย ถึงขั้นนั้นเทียวหรือน่ะ กันบอกหรือว่าอย่างนั้น ? คิดมากไปได้ โธ่ อยากรู้หน่อยเดียวเท่านั้นแหละว่า หลังจากกันออกแขก ๑๒ ภาษาให้แล้ว จันทโครบกับมุจลินทร์ออกโรงกันอย่างไร ?”

“ไม่ใช่อย่างเอ็งนี่ จะได้ไวเป็นปรอท” พูดออกไปแล้วหล่อนก็อดรู้สึกเสียใจไม่ได้ เมื่อปรากฏว่าเสียงของจำปานิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ๆ “กัน– – กันไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เอ็งกระเทือนใจหรอกจำปา แต่––แต่ว่าเขากะกันไม่มีอะไรต่อกันจริงๆ นอกจากตกลงอะไรกันนิดหน่อยเท่านั้น”

เสียงถอนใจยาวดังมาจากแม่เพื่อนสาว “เอาเถอะ จะนิดหน่อยหรือมากหน่อยเป็นเรื่องของเอ็ง สำหรับกัน––กันไม่มีอะไร นอกจากอยากดีใจด้วย เมื่อรู้ว่าเพื่อนจะเป็นสุข อย่าไปเอาใจใส่ถึงเรื่องพี่โปร่งกับกัน มันคนละศักดิ์คนละชั้น เขาบอกหรือเปล่าล่ะ ว่าทำไมกันถึงปล่อยให้อยู่แต่ลำพังเอ็งสองต่อสอง––”

“บอก” สุดใจอ้อมแอ้ม “ทำราวกับว่ากันน่ะเป็นลูก เอ็งเป็นแม่––”

“นั่นแหละเพื่อนที่ดีละ” เสียงของจำปากลับร่าเริงขึ้นมาอีก “กันรู้หรอกนะสุดใจว่ากันทำอะไรลงไป” หล่อนกระซิบเบา ๆ อย่างจริงจังเป็นครั้งแรก “ถามจริงๆ เถอะ เขาเป็นอย่างไร ? อย่าอายกันสุดใจ กันเคยพลาดมาแล้ว ไม่อยากจะให้เอ็งเป็นอย่างกัน มีอะไรจะได้ช่วยกันได้”

“ดูก็เหมือนจะเป็นคนดี” หล่อนก้มหน้า “จะเสียอยู่ก็ตรงที่แก่กว่ากันกว่ารอบ”

“กันกะพี่โปร่งกว่าสอง”

“และก็ดูจะเอาแต่ใจ อะไร ๆ คิดจะเป็นนายไปเสียทั้งนั้น”

“นั่นแหละ ลักษณะของคนที่จะเป็นใหญ่เป็นโตไปในข้างหน้า”

“แต่อะไรก็ไม่ร้ายเท่ากับอ้ายเรื่องปากว่ามือถึง –”

จำปานิ่งเงียบไปครู่หนึ่งทำท่าคิด

“อือม์ นั่นควรระวังอยู่สักหน่อย แต่ก็เป็นอันตรายสำหรับผู้หญิงเราที่ใจอ่อนเท่านั้น”

“กันไม่ใช่คนใจอ่อน––”

“กันรู้ว่าเอ็งไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นซีถึงได้กล้าปล่อยไว้กับเขาแต่ลำพัง กันเองรู้ตัวดีว่าเหมือนขี้ผึ้ง ถูกออดถูกอ้อนหน่อยมืออ่อนตีนอ่อนไปหมด เรื่องมันถึงได้ลงเอยอย่างนี้ วิสัยผู้ชายน่ะ อย่าว่าแต่พี่โปร่งของกัน ถึงไหน ๆ ก็อ้ายตะเภาเดียวกันทั้งนั้น ได้อะไรไปง่ายหน่ายเร็วเหมือนเด็ก ๆ เล่นตุ๊กตา แต่เด็กไม่เป็นอันตราย เหมือนผู้ชายตัวโตๆ แล้วผู้หญิงเราก็ไม่ใช่ตุ๊กตา พลาดท่าแต่ละทีท้องโตขึ้นมาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน––”

“กัน – – กันไม่ใช่ผู้หญิงอย่างนั้น” สุดใจตะกุกตะกัก รู้สึกร้อนไปหมดทั้งตัว

“กันรู้” จำปาถอนใจ “ว่าเอ็งไม่ใช่ผู้หญิงอย่างนั้น ไมใช่อย่างกัน อย่างริ้ว อย่างพี่ราตรี––”

“กันไม่ได้ว่าเอ็ง––”

“เออน่า อย่าคอยแต่คิดถึงเรื่องของกันไปหน่อยเลย เรื่องของโมรากะนายโจรน่ะ จบไปแล้ว คอยดูเรื่องจันทโครบกะมุจลินทร์ ต่อไปดีกว่า กันออกจะรู้ว่า จันทโครบของเอ็งคนนี้ ท่วงทีหน่วยก้านในเรื่องปากว่ามือถึง ออกจะเอาการ–”

“นอกจากนั้นยังบอกว่ามีเมียมาแล้วหลายคน เกี้ยวผู้หญิงมาแล้วหลายโกฏิ เพียงแต่ว่าไม่จริงจังอะไร ?”

“อ้อ เขาบอกเอ็งถึงอย่างนั้นทีเดียว” เสียงของจำปาแปลกใจจนฟังได้ชัด “ประหลาด” หล่อนถอนใจ “ประหลาดมาก ประหลาดยิ่งกว่าที่กันคิดไว้––”

“ประหลาดยังไง ?”

“โอ๊ย ทำไมจะประหลาด กันน่ะนึก ๆ อยู่เหมือนกันว่า ผู้ชายปูนนั้น และลักษณะอย่างนั้น อ้ายเรืองไม่เคยผ่านผู้หญิงมาแล้วเป็นสิบ ๆ น่ะ ยังสงสัย แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะกล้าถึงสารภาพกับผู้หญิงที่เขาเพิ่งบอกว่ารักออกมาตรง ๆ––ได้การแน่สุดใจ” เสียงของหล่อนเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

“ได้การอะไรกัน ?”

“เนื้อคู่แน่” จำปายืนยัน “เอ็งนี่แหละจะทำให้เขาอยู่ในกำมือ ไปไหนไม่รอด”

“กันยังสงสัย จำปา”

“สงสัยอะไร ?”

“เขารับรองกันว่าปลายปีนี้ หรือในปีหน้าจะกลับมาสู่ขอ แต่งให้เสร็จ ๆ ไป กันยังไม่รู้ว่า ป้าจะว่าอย่างไร ?”

“คนอย่างทิดรื่น อย่างไรเสียก็ต้องเข้าป้าแคล้วได้”

“อีกอย่างหนึ่ง แต่งกันแล้ว จู่ๆ พวกลูกเมียเก่า ๆ แห่กันมาหาเขาเป็นแถวกันจะทำอย่างไร ?”

จำปาได้ฟังก็หัวเราะ “คิดมากไปทำไม ในเมื่อเอ็งจะเป็นเมียคนเดียวที่เขาแต่งและรักจริง ไม่ว่าใครอยากเป็นเจ้าของผัวของตัวแต่ลำพังโดยเด็ดขาดทั้งนั้น แต่เอ็งรู้ได้อย่างไรว่าพะโป้แกมีเมียแต่แม่ทองย้อยคนเดียว นายชื่นเศรษฐีใหญ่หนองปลิงก็เหมือนกัน ถึงงั้นใครละเอาแกไว้อยู่มือ นอกจากแม่ปราง”

“เอ็งคิดหรือว่า เขาจะรักกันถึงเพียงนั้น ?”

“คิด ?” จำปาอุทานเบา ๆ “กันไม่ได้คิด กันเชื่อแน่ทีเดียว”

“เชื่ออะไรกันวะ อีจำปา ?” เสียงห้าว ๆ ปรากฏขึ้น

สุดใจรู้สึกเหมือนครัวจะยุบฮวบลงในบัดนี้ ท่ามกลางแสงไฟในเตาที่สว่างออกมา หล่อนเห็นริมฝีปากของจำปาสั่นขณะที่ขมุบขมิบตอบแต่ไม่ปรากฏเสียง ด้วยความสนใจในเรื่องที่กำลังสนทนากัน หล่อนไม่รู้ตัวว่า ป้าของหล่อนตื่นขึ้นล้างหน้า และเข้ามายืนข้างหลังแต่เมื่อไร ไม่มีใคร“ได้ยินแม้แต่เสียงฟากพื้นครัวลั่น และเงาอันเกิดจากเปลวไฟในเตาฉายต้องตัวของแก

“เปล่าจ้ะ ป้า” ในที่สุดจำปาจึงหลุดออกมาจากปากได้

“เปล่ายังไง อีนี่” เสียงของป้าแคล้วมิได้ดังหรือแสดงถึงสิ่งใดมากไปกว่าเป็นการซักถามตามธรรมดา แต่จำปารู้สึกเหมือนวาจาของเพชฌฆาต “กูได้ยินพูดถึงทิดชื่น พูดถึงนางปราง แล้วก็รัก ๆ เชื่อ ๆ ไม่เข้าใจ”

“อ๋อ” จำปาเหงื่อแตกโซมหน้า “สุดใจเขาถามว่านายชื่นกับแม่ปรางเขารักกันเชื่อมั้ย ฉันก็ตอบว่าฉันเชื่อจ้ะ”

“แน่ละ ไม่รักกันมันจะอยู่มาจนลูกตั้งครอกสองครอกรึ ไม่อย่างเอ็งกับอ้ายโปร่งนี่!”

ชีวิตของหล่อน กับนายโรงลิเกคนนั้น เกือบจะเป็นอาหารประจำวันของป้าแคล้ว จนหมดความสำคัญอีกต่อไป ถึงกระนั้น จำปาก็ไม่เคยดีใจเหมือนครั้งนี้ที่จะได้ยินแกเทศนาถึงเรื่องเดียวกันขึ้นมาอีกเป็นประเดิมแรกของวันใหม่ เพราะโดยการกระทำเช่นนั้นเอง หมายถึงการหันความสนใจของแกออกไปจากเรื่องของสุดใจ ซึ่งหล่อนมีส่วนร่วมรู้อยู่เต็มตัว

“ถึงนังนี่ก็ระวังหน่อย” แกหมายถึงสุดใจ “มันกงการอะไรของเอ็งว่าใครเขาจะรักหรือไม่รักกัน”

“ฉัน––ฉัน––”

“ไม่ต้องมาทำติดอ่าง” หญิงชรานั่งลงหน้าเตา “มีอย่างรึปล่อยให้เปิดประตูคอยตั้งยามสองยาม กลับมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ตื่นขึ้นก็ไม่ปลุก เล่นแม่ศรีตะหวักตะบวยอะไรกัน เที่ยวกับนังคนนั้น” หมายถึงจำปา “อีกหน่อยก็จำเริญร้อก”

จะโดยตั้งใจ หรือไม่มีเจตนาอะไรเลยก็ตาม จำปาเป็นตัวอย่างทุกครั้งไป ในเมื่อเอ่ยถึงลักษณะของหญิงสาวที่แกไม่ต้องการให้สุดใจเอาเยี่ยงและคบค้าด้วย แต่แม่เฒ่าแคล้วก็ไม่เคยขัดข้องทุกคราวที่หลานสาวแกไปไหนมาไหนกับ “นังคนนั้น” ความจริงในฐานที่เป็นลูกเพื่อนบ้านใกล้เคียงกันมาช้านาน จำปาได้รับความรักใคร่เอ็นดูจากแกไม่ต่างกว่าลูก ๆ หลาน ๆ เหมือนกัน แกเป็นคนเดียวในคลองที่จาระไนถึงความหลังอันผ่านพ้นมาแล้วของจำปา อย่างสิ่งที่ชั่วช้าพึงสะอิดสะเอียน แต่ทันใดที่มีใครผสมโรง หรือตั้งข้อรังเกียจหญิงเคราะห์ร้ายคนนั้น แกอีกเหมือนกัน เป็นคนแรกที่จะคัดค้านออกรับแทนราวกับเรื่องของตัวเองคอเป็นเอ็นเป็นตน” แกเคยว่า “ไม่เหมือนกะอีหลายคนบ้านนี้ มีลูกหาพ่อไม่ได้ หาได้ก็พ่อหลายคน เฮอะ– –เอายังไงกะมัน เมียอ้ายโปร่งคนไหนคนนั้นอยู่ได้ถึงปีอย่างอีจำปาไหมล่ะ ?”

จำปา ฉวยโอกาสที่แกก้มหน้าก้มตา บ่นพึมพำอยู่กับการสั่งสุดใจให้ยกโน่นจัดนี่ หลบกลับเข้าไปในครัวไฟของหล่อน แล้วก็ถอนใจยาวโล่งอก เหมือนผ่านพ้นเขี้ยวเล็บของแม่เสือร้ายมาได้อย่างหวุดหวิด

“นี่ยังไง ทัพพีมาอยู่ในครก ? ทีสากกะเบือกลับไปอยู่ในขัน ?” เสียงแม่เฒ่างุ่นง่านต่อไป “อีนี่เลอะเทอะใหญ่ เช้าวันนี้เอ็งเป็นยังไงไป ฮึ สุดใจ ระวังหน่อยเดี๋ยวพระจะได้ฉันวุ้นน้ำปลาของเอ็งแทนน้ำเชื่อมร้อก–”

หญิงสาวรู้ดีว่า จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย แต่ยิ่งพยายามสะกดเท่าไร ดูเหมือนมือไม้จะยิ่งสั่นหยิบนั่นหยิบนี่พลาดขึ้นมากเท่านั้น ฉันคงไม่ได้ลงไปตีนท่า หล่อนคิดพล่านอยู่ในใจ ฉันคงไม่ได้เห็นเรือชะล่าลำนั้น กับฟันขาว ๆ เคราเขียว ๆ ของเขาเป็นครั้งสุดท้าย มือหล่อนวุ่นอยู่กับการจัดสำรับคาวและหวาน แต่สายตาลอบชำเลืองไปยังท้องฟ้า ซึ่งเริ่มสว่างเรืองอยู่ภายนอก นี่ป้าของหล่อนจะไม่มีวันออกไปจากครัวไฟเลยหรือ ?

แต่ทุกสิ่งทุกอย่างมีเวลาสิ้นสุดของมัน แม้การพิถีพิถันของป้าแคล้ว

“สว่างแล้ว” แกบอกพลางลุกขึ้น “กูไปดูหมากพลูธูปเทียนก่อน เดี๋ยวจะได้อาบน้ำ––”

เกือบจะในวินาทีเดียวกับร่างป้าของหล่อน หายลับเข้าไปในเรือนหญิงสาวก็ถึงหัวบันได หล่อนปราดไปที่ประตูรั้ว ค่อย ๆ ถอดกลอนออกด้วยมืออันสั่น ผ่านพุ่มพุทธรักษาสองข้างทางเข้าไป ถึงใต้ต้นมะม่วงสายทองอันแผ่กิ่งก้านสาขาอยู่เหนือหน้าท่า แล้วก็หยุดนิ่งเหมือนถูกตรึงอยู่กับที่

ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงอยู่ที่นั่น บันไดซึ่งทาบลงไปตามตลิ่งอันสูงชัน ไม้ซุงที่หล่อนใช้เป็นที่อาศัยอาบน้ำทุกเช้าเย็น พุ่มผักบุ้งฝรั่งซึ่งหนาทึบ เพียงแต่สิ่งเดียวที่ขาดไป––เรือชะล่าที่มีประทุนลำนั้น และฟันขาว ๆ เคราเขียว ๆ ของเขา

หญิงสาวกวาดสายตาไปตามลำน้ำอันเวิ้งว้าง ท่ามกลางเช้าตรู่ที่อากาศเย็นสุขุม พลางเอนหลังพิงต้นมะม่วงใหญ่ เปลือกของมันยังอบอุ่นไปด้วยไอแดดแต่วันวาน แต่ขณะนั้นหล่อนไม่รู้สึกอะไรเลย นอกจากวาจาในความทรงจำ

“อย่างเร็วปลายปีนี้ อย่างช้ากลางปีหน้า–– คอยข้าให้ได้สุดใจ คอยข้า ฝันถึงข้า จนกว่าจะกลับมาถอดกำไลเอ็ง !”

เมื่อเดือน ๕ ผ่านไป และงานไร่ที่เกาะหน้าบ้านชุกมือขึ้น หญิงสาวก็เกือบไม่มีเวลาที่จะมาหมกมุ่นครุ่นคิดถึงแต่อนาคตของชีวิตหล่อนอยู่ได้ เพราะนอกจากพืชผลหลายอย่างจะเริ่มแก่และสุก ภาระที่จะต้องเร่งเก็บใบยาที่แก่มาบ่มและหั่นตากเป็นยาตั้งต่อไปก็รออยู่ข้างหน้า เกาะใหญ่ซึ่งเหยียดยาวอยู่นอกฝั่งกลางแม่ปิง แต่ปากคลองสวนหมากเหนือจนจดหัวบ้านคลองสวนหมากใต้ อาจจะเป็นแหล่งกลางของการทำไร่ผักและพืชผลอื่น ๆ ของชาวตำบลนั้น แต่มันก็มีความหมายเพียงอาหารประจำวัน หมายถึงการแจก แลกเปลี่ยน และซื้อขายในระหว่างกันเอง ต่างกว่ายาสูบซึ่งท่านอาจห่อเก็บไว้ได้นาน เป็นสินค้าสำคัญเท่ากับน้ำผึ้ง ขี้ผึ้ง ไต้ สีเสียด หรือน้ำมันยาง เมื่อพ่อค้าเหนือล่องลง หรือเรือส่งขึ้นไปถึง

ไร่ของสุดใจ เป็นเพียงส่วนหนึ่งและนิดเดียวของบรรดาไร่หลายสิบรายบนเกาะนั้น มันมีเนื้อที่เพียง ๓–๔ ไร่ แต่หญิงสาวก็รู้สึกว่ากว้างใหญ่เต็มกำลังที่หล่อน และป้าพร้อมด้วยจำปาซึ่งได้อาศัยแบ่งปันผลพลอยได้จากการช่วยด้วยแรง จะสามารถหักร้างถางพงปลูกและดูแลรักษาได้ แม้ว่าครั้งหนึ่งในสมัยที่บิดามารดาหล่อนยังมีชีวิตอยู่ จะเคยทำกันมามากกว่านั้น เกาะทั้งเกาะกว้างใหญ่ไพศาลเกินไปสำหรับกำลังของพวกคลองเหนือบ้านไร่และคลองใต้ จะใช้ให้เกิดประโยชน์โดยสมบูรณ์ได้ คนละไร่สองได้เป็นอย่างมาก ที่แต่ละครอบครัวจะเข้ายึดถือทำมาหากินไปแต่ละปี ไม่มีใครเคยเข้าครอบครองส่วนหนึ่งส่วนใดเป็นกรรมสิทธิ์ ไม่มีใครเคยคิดจะยื้อแย่งหรือบุกรุกเขตแดนซึ่งกันและกัน และอย่างมากที่ใช้เป็นรั้วกั้นที่ไร่แต่ละแปลง ก็เพียงซากกอพงและต้นก้างปลา ครั้งหนึ่งเมื่อท่านตกลงใจจะทำไร่กัน ท่านก็เพียงแต่เลือกที่ดินที่ท่านชอบใจ ถางและเผาป่าพงตามกำลังที่ท่านจะสามารถทำได้ ลงข้าวโพด ฟักทอง แตงไทย ยาสูบ ถั่วทอง หรือถั่วแระ แล้วท่านก็ดูแลรักษา ดายหญ้าและไล่นกไล่กาไปจนกว่าจะได้ผลทุก ๆ ปี เมื่องานไร่เสร็จ และน้ำเหนือที่มาท่วมท้นเกาะนั้น ซากไร่ของท่านก็ถูกลบหายไป แม่ปิงกลายเป็นทะเลของสวะ ฟองน้ำ จอกแหน และแพไม้ไม่เว้นแต่ละวัน จนกระทั่งน้ำลดในต้นฤดูหนาวและเกาะโผล่ มันก็กลายเป็นป่าพงใหม่ ไม่มีอะไรเหลืออยู่แม้ซากไร่ เขตรั้วหรือเพิงที่พัก นอกจากพื้นดินอันอุดมสมบูรณ์และป่าพงสำหรับจะหักร้าง ถางขุด แลทำไร่ตามความพอใจและกำลังของแต่ละคนต่อไป

ตั้งแต่ปลายเดือน ๕ เป็นต้นมา เมื่อเสร็จงานสงกรานต์ บรรดาชายฉกรรจ์ต่างก็เข้าป่า ตัดยาง ตัดหวาย ทำไต้ หรือตีผึ้งตามแต่จะถนัด หลายครอบครัวยกไปตั้งปางทำนาที่นาน้ำลาด หลายครอบครัวที่วังกระทะ และหลายครอบครัวที่ท่าขี้เหล็ก คลองสวนหมากใต้เป็นตำบลที่เล็กอยู่แล้วไม่ถึง ๕๐ หลังคาเรือน ความเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวเหมือนอยู่ในป่าชัฏ เมื่อขาดเพื่อนบ้านไปหลายครอบครัวในฤดูนั้น จึงเริ่มส่งความรู้สึกสะท้านเข้าไปในทรวงอกของสุดใจ ในทันทีทันใดงานที่ไร่ของหล่อนเสร็จสิ้นลง

แต่ไหนแต่ไรมาทุกปีก็เป็นเช่นนี้ ทุกปีใครต่อใครจะต้องออกป่า เสียงหัวเราะร่าเริงจะหายไปชั่วคราว คลองสวนหมากใต้จะเงียบเหงาเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า ๓ เดือน จนกว่าฝนจะเริ่มชุก ไข้ชุม และทุกคนกลับสู่เหย้า เพียงแต่ในชีวิตหล่อนไม่เคยปรารถนาที่จะให้เดือน ๑๒ มาถึงโดยเร็ว มิใช่เพราะว่ามันหมายถึงเทศน์มหาชาติงานวัด และการชุมนุมผู้คนอีกวาระหนึ่ง หากหมายถึงอวสานของปี ที่รื่นกำหนดไว้

“อย่าเร็วปลายปีนี้ อย่างช้ากลางปีหน้า” หล่อนคิด ไม่ว่าจะนั่งอยู่บนม้าหั่นยา ลงไปหาบน้ำที่ตีนท่า หรือกำลังตำข้าว

ขณะใดที่อยู่ในอารมณ์นั้น คนเดียวที่หล่อนจะหันหน้าไปปรารภระบายความในใจด้วยได้ ก็มีแต่จำปา

“กันจะทำยังไง จำปา ถ้าเขาไม่มา ?” ครั้งหนึ่งหล่อนเอ่ยกับแม่เพื่อนสาว ขณะที่ออกไปเก็บผักด้วยกัน ที่ชายดงเศรษฐีหลังบ้าน

จำปาหน้าเป็นมัน อยู่ใต้ปีกงอบ เงยขึ้นดูอย่างอัศจรรย์ใจ

“ทำยังไง ? เอ็งก็โตต่อไป เป็นสาวต่อไป จนกว่าจันทโครบคนใหม่ แวะเรือชะล่าเข้ามาจอดที่ตีนท่าอีกน่ะซี”

“โธ่ อย่าพูดเล่นไปหน่อยเลยน่า ยิ่งใจไม่ดี” นัยน์ตาสุดใจเต็มไปด้วยการวิงวอน

ถอดงอบ วางชะอมกำใหญ่ลงบนขอนไม้ แล้วจำปาก็หันมาหาเพื่อนหญิงของหล่อน พิจารณาอยู่สักครู่จึงเอ่ย

“สุดใจ !” หล่อนว่า “อะไรทำให้เอ็งคิดไปว่าคนอย่างทิดรื่นจะผิดถ้อยคำที่ให้ไว้ ?”

“กัน...กัน แหม! ถามยังงี้ใครจะไปตอบได้ถูก” สุดใจหน้าแดง “บอกได้แต่ว่ามันอดคิดไปไม่ได้นี่”

“งั้นก็คอยตามที่เขาพูดไว้ อย่าไปคิด” จำปาสั่ง “กันเชื่อว่ากันดูคนไม่ผิด ถึงเอ็งก็รู้ว่าเอ็งดูไม่ผิด”

หล่อนรู้ ทั้ง ๆ ที่อธิบายเหตุผลไม่ได้ว่า หล่อนมั่นใจในวาจาของเขาไม่ต่างอะไรกับจำปา ถึงกระนั้นวันเวลาที่ผ่านไประหว่างฤดฝนอันชื้นแฉะ และน้ำเหนือที่บ่ามาทั้งกลางวันและกลางคืนจนนองฝั่ง ท่ามกลางความหวัง ความว้าเหว่ เพราะอยู่เปล่าในเวลาว่างงาน กระทู้ถามข้อเดียวกันนั้น ก็อดผุดขึ้นมาในความคิดไม่ได้

“ฉันจะทำอย่างไร ถ้าเขาไม่มา ?”

หน้าน้ำทั้งหน้าผ่านไป ในที่สุดก็เดือน ๑๒ เดือนอ้าย เดือนยี่ ตรุษ สารท และสงกรานต์กลับมาเยือนอีกรอบหนึ่ง แต่รื่นก็ยังคงเงียบหาย การจากไปของเขาดูไม่ต่างอะไรกับโยนกรวดและทรายลงน้ำ ดูไม่ต่างกับขอนไม้ สวะและจอก ที่ไหลผ่านหน้าบ้านไปอย่างไม่มีวันวกกลับ เขาไม่เคยติดต่อในทางหนึ่งทางใด เขาไม่เคยส่งข่าวไม่ว่าจะโดยหนังสือหรือสั่งใครด้วยปาก คนทั้งปากคลองไม่มีใครรู้จักเขา หรือคนวังแขมพอที่หล่อนจะเลียบเคียงสอบถามได้

เมื่อเดือน ๙ มาถึง และรื่นยังเงียบหายไป ความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความดิ้นรนกระวนกระวายของสุดใจ ก็ถึงสิ้นหวัง

“เขาไม่มาแน่ จำปา” หล่อนบอกในเย็นวันหนึ่ง เมื่อลงไปตักน้ำที่ตีนท่าด้วยกัน “เขาบอกกันว่าอย่างเร็วปลายปี แล้วอย่างช้ากลางปีนี้ นี่ก็เดือน ๙ – – อย่างไรเสียเขาก็ลืม”

แต่ข้อนั้นจำปายังสงสัย

“เขาบอกเองว่าอย่างไรอีก สุดใจ”

“เขาจะกลับมาสู่ขอกันกะป้าเมื่อขายของเก็บเงินทองที่ติดค้างเสร็จแล้ว – – เขาจะปลูกเรือนหอขึ้นที่นี่ ทำปากคลองให้ดีกว่านี้ กันยังจำเขาได้ทุกคำ จำได้จนกระทั่ง – – กระทั่งเราจะมีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง”

“งั้นยังไงเสียเขาก็ต้องมา” จำปายืนยันอย่างมั่นใจ สายตาหล่อนเหม่อออกไปกลางแม่น้ำอันเวิ้งว้าง “อย่างไรเสีย เขาก็ต้องมา”

“เพราะอะไร จำปา ? อะไรทำให้เอ็งเชื่อใจเขานัก ทั้งๆ ที่เอ็งไม่ได้รู้จักเขาดีไปกว่ากันจนนิดเดียว”

“อ๋อ เพราะเขาเป็นทิดรื่น คนวังแขมอย่างที่เขาบอกซี สุดใจ ไม่มีผู้ชายคนไหนหรอกจะกล้าพูดออกมาด้วยกิริยาท่าทางอย่างนั้น แล้วก็กลับคืนคำง่าย ๆ กันคิดว่ากันพอจะรู้ว่า อย่างไหนผู้ชายจริง อย่างไหนแมวขโมย”

แม้หล่อนจะมีศรัทธาปสาทะ ต่อความรักของเขาเพียงใด และแม้จะมีจำปาเป็นคนให้ความหวังด้วยการปลุกปลอบเพียงใด หญิงสาวก็ยังอดหวาดระแวงไปไม่ได้ ว่าความรักครั้งแรกของสาวอันบริสุทธิ์ผุดผ่องของหล่อนจะละลายหายสูญไป ทำนองเดียวกับรอยจารึกบนหาดทรายที่ถูกกระแสแม่ปิงลบ ขอนไม้ท่อนนั้นถูกพัดลอยตามน้ำไปแล้วแต่ปีกลาย ป่าตะไคร้น้ำป่านั้นก็มิอยู่ที่เก่า หาดทรายทั้งหาดเปลี่ยนรูปไม่มีอะไรอยู่กับที่ ไม่มีอะไรคงเดิม นอกจากซุง ๒ ต้นที่ยังไม่มีใครมาถ่ายคืนไปจากหน้าท่า ป่าผักบุ้งฝรั่งและมะม่วงสายทองต้นนั้น

เดือน ๙ ผ่านไปอีก สุดใจพยายามจะลืม เหมือนว่าเหตุการณ์ใด ๆ มิได้เคยเกิดขึ้นในชีวิต และเขากับหล่อนก็มิได้เคยมีอะไรต่อกัน แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อแผลรักของวัยสาวที่ไร้เดียงสาลึกยิ่งกว่าแผลอาวุธ และผีเสื้อฝูงใหญ่ยังคงกระพือปีกวุ่นอยู่ในทรวงอก ทุกครั้งที่คิดถึงฟันขาว ๆ เคราเขียวๆ ของผู้ชายโผล่หน้าอันแดงออกมาจากประทุนเรือชะล่า ชายผู้ความใกล้ชิดของเขาทำให้ความรู้สึกว้าวุ่น และความอบอุ่นจากอ้อมแขน ทรวงอก และลมหายใจยังคงไหลอยู่ในเส้นโลหิตของหล่อนรุนแรงและสดชื่นเหมือนคืนนั้น

“ฉันจะไม่พูดกับเขาอีกเลย ถึงแม้จะมา” หล่อนซบหน้าลงกับหมอนทุกคืนที่เข้านอน พยายามกลั้นเสียงสะอื้นเพราะเกรงป้าจะตื่นขึ้นได้ยิน จนกว่าความคิดอันเหนื่อยอ่อนจะทำให้หลับไปเอง

ชีวิตของชุมนุมน้อย ๆ ในคลองใต้คงดำเนินต่อไปอย่างสงบ แต่ก็เงียบเหงา นอกจากช้า ๆ นาน ๆ เรือส่งจากใต้จะแวะเข้ามาขายเสื้อผ้า กะปิ น้ำปลา และภาชนะถ้วยชาม หรือพวกล่องแพจากเหนือจะขึ้นมาเที่ยว สุดใจพยายามที่สุดที่จะปลีกตัวอยู่แต่ลำพังคนเดียวเมื่อเวลาว่างงาน เพื่อคิดถึงความคิดที่อัดอั้นตันปัญญา และฝันถึงความฝันอันลางเลือนลงทุกขณะ

ในระยะที่จวนถึง ขีดทอดอาลัยตายอยากในชีวิตนี่เอง เย็นวันหนึ่งปลายเดือน ๑๒ ขณะที่กำลังตัดใบตองเพื่อเอาไปห่อขนมตาลขายอยู่ในสวนหลังบ้าน จำปาก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้าไปหา หอบหืดแทบไม่หายใจ

“ทายทีหรือ สุดใจ ว่ากันเห็นอะไรมา ?” หล่อนละล่ำละลัก จับข้อมือแม่เพื่อนสาวไว้แน่น

หญิงสาวสั่นศีรษะ “ปีศาจพี่โปร่งละมั้ง ?” หล่อนพยายามจะหัวเราะ

“ยังก่อน ยังไม่เคราะห์ดีถึงเพียงนั้น แต่ฟังกันให้ดี สุดใจ หน่อยจะเป็นลมตาย จันทโครบมาแล้วละ”

“จันทโครบ ?”

“เออ จันทโครบฟันขาว ๆ เคราเขียว ๆ ของเอ็งน่ะ – – อ้าว เป็นอะไรไปล่ะ ?”

สุดใจก้มหน้า แก้มทั้งสองของหล่อนซีดเผือด มือที่พับใบตองสั่นระริก

“ขอทีเถอะ จำปา อย่า – – อย่าล้อกันหน่อยเลย” หล่อนบอก

“เป็นบ้าไปได้” จำปาเกือบจะเต้นเร่า “เขาจริง ๆ นะเอ็ง ทรงเรือเป็ดลำเบ้อเร่อมาเสียด้วย จะเต็มไปด้วยทองหรือเพชรนิลจินดาก็ไม่รู้ จอดอยู่ที่หน้าท่าแน่ะ ไปทอดพระเนตรเอาเองซิ ทีแรกกันกลับจากวัดเห็นเข้าก็สงสัย ถามคนในเรือเขานั่นแหละ ถึงได้รู้ว่าเป็นจันทโครบ”

ชั่วครู่ใหญ่ ๆ สุดใจโผเผเหมือนจะล้มลง หน้าของหล่อนเผือดลงไปกว่าเก่าแล้วก็กลับแดงเรื่อขึ้น

“แล้วทิดรื่น ?” เสียงของหล่อนแผ่ว

“กันจะไปรู้ได้ยังไง รู้แต่ว่าไม่อยู่ในเรือ กันก็เปิดแน่วมาหาเอ็งนี่แหละ เร็วเข้าเถอะ ! ไปดูกัน – – ดูว่าในเรือลำนั้นมีอะไร ?”

ความกระทันหันของข่าวที่ได้รับ ทำให้หล่อนพูดไม่ออก ได้แต่ก้าวเดินตามไป เพราะแรงฉุดของจำปา กึ่ง ๆ ด้วยกำลังขาของตนเองกลาย ๆ ใบตองที่ตัดและพับไว้คงกองอยู่ที่พื้นดิน หูหล่อนอื้อไม่ได้ยินถ้อยคำที่จำปาเล่าต่อไป ตัวชาจนไม่รู้ว่าเหยียบลงไปในปลักโคลนตามทางเกวียนแต่เมื่อไหร่ จากสวนนอกเข้ามาถึงประตูรั้วสวนใน ความสำนึกเดียวที่พล่านอยู่ในความคิดก็เพียงแต่เขามาแล้ว – – เขามาแล้วเท่านั้น

แต่ทันใดที่ถึงประตูรั้ว หล่อนก็หยุด มือข้างที่ว่างเปล่ายึดเสากระทู้ไว้

“ทำไมล่ะ ?” จำปาหันมาถาม

“พักประเดี๋ยว ให้ – – – ให้กันหายใจให้ทั่วท้องสักหน่อย”

“ว่าแล้วไหมล่ะ ได้แต่ข่าวยังไม่ทันเห็นหน้ายังถึงเพียงนี้ อยู่ใกล้อีกทีเถอะ เอ็งเอ๊ย ขาดใจเสียลามั้ง ?”

ตาหล่อนดู หูหล่อนฟัง แต่เขามาแล้ว.... ....มาแล้ว! ยังเป็นประโยคเดียวที่หล่อนได้สำนึก ต่อมาสักครู่จึงก้าวตามจำปาไปอย่างเด็กว่าง่าย ไม่มีวันไหนเลย กลิ่นดอกส้มข้างทางจะหอมหวนยวนใจเท่ากับวันนี้ ไม่มีวันไหนเลยที่เรือนฝาขัดแตะมุงแฝก และพื้นฟาก ซึ่งอยู่กันมาแต่ครั้งชวดหล่อนยังหนุ่ม จะดูเต็มไปด้วยความโอโถงมั่นคง และอบอุ่นอย่างวันนี้ ท้องฟ้าเหนือยอดมะม่วงและกระท้อนสีครามสดกว่าทุกวัน บรรดานกและแมลงทั้งหลายก็ส่งเสียงไพเราะผิดปกติ สิ้นสุดกันทีสำหรับการรอคอยอันเต็มไปด้วยความทรมานใจ สิ้นสุดกันทีสำหรับการฝันร้าย ความหวาดระแวงอย่างลม ๆ แล้ง ๆ เขามาแล้ว เขามาแล้ว เขากลับมาอีก! เท่านั้นเองที่หล่อนขึ้นใจ เท่านั้นเองที่หล่อนได้ยิน ไม่รู้ว่าจำปาพูดอะไร หรือซักถามอะไร จนกระทั่งถึงเชิงบันไดท้ายครัว ซึ่งจะขึ้นไปสู่นอกชาน ได้ยินเสียงห้าว ๆ ร่วนไปด้วยการหัวเราะเหมือนขบขันอะไรเสียเต็มประดา และเสียงเบา ๆ แต่กร้าวแกร่งและลึกอยู่ในลำคอเหมือนแม่เสือของป้าแคล้วแว่วลงมาจากหน้าระเบียงข้างหน้า จึงปลุกให้หล่อนตื่นจากภวังค์

“ฟังสุดใจ !” จำปาหยุดชะงักที่ตีนบันไดหลัง “ฟัง.....”

แม้ว่าจะอยู่ในที่มืดหรือท่ามกลางฝูงชนนับแสน หล่อนก็สามารถจำเสียงหัวเราะนั้นได้อย่างแม่นยำว่า เป็นใครโดยไม่ต้องเห็นหน้า ขาทั้งคู่ของหล่อนสั่น หน้าของหล่อนกลับซีด มือข้างนั้นกำต้นแขนจำปาแน่น

“เขา” หล่อนกระอึกกระอัก

ใช่แน่ อย่างไม่มีปัญหา ชั่วระยะประเดี๋ยวเดียวที่จำปาเข้าไปตามหล่อนถึงในสวนนั่นเอง จะมาจากไหน และโดยวิธีหนึ่งวิธีใดก็ตาม ปุบปับทิดรื่นก็ปราดขึ้นไปพบแม่เฒ่าแคล้าเข้าแล้ว โดยหล่อนไม่ได้คาดฝัน !

หญิงชายทั้งสองเผชิญหน้ากันอยู่บนชานระเบียงเรือนเย็นวันนั้น เหมือนคู่ต่อสู้ผู้คุมเชิงซึ่งกันและกัน อย่างระมัดระวัง ทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันไปคนละข้าง ทั้งโดยวัยและการควบคุมอิริยาบถ ฝ่ายหญิงชราแล้วผมเผ้าขาวโพลนไปทั้งศีรษะ แม้กระนั้น ฟันที่ดำขลับไปด้วยการกินหมากก็ยังอยู่ครบ รอยย่นและตีนกาอาจจะปรากฏใต้ขอบตา หน้าผาก ริมฝีปาก และโหนกแก้ม แต่หน้านั้นก็ทำนองเดียวกับร่างอันค่อนข้างสมบูรณ์ของแก ยังแสดงถึงความแข็งแรงจากชีวิตกลางแจ้ง และงานออกกำลังอยู่เนืองนิตย์ นันย์ตาทั้งคู่อาจจะดูขาดความแจ่มใส แต่ก็ยังเต็มไปด้วยประกายอันบอกความรู้สึกรุนแรง ซึ่งคุกรุ่นอยู่ภายใน บางขณะประกายนั้นดุดัน แต่ในขณะเดียวกัน ก็อาจอ่อนโยนขึ้นมา โดยไม่มีใครทันรู้ตัว

ฝ่ายชายเป็นหนุ่มฉกรรจ์ นอกจากฟันขาว ๆ ซึ่งยิ้มอยู่ตลอดเวลาเหมือนนึกขบขันอะไรหนักหนา เคราเขียว ๆ มิได้ปรากฏอยู่บนใบหน้าซึ่งคล้ำเพราะเปลวแดดอีกต่อไป ความจริงนั้น การแต่งกายที่สะอาดสะอ้านของเขาทำให้ดวงหน้าที่เกลี้ยงเกลา คิ้วที่ดก ไหล่ที่กว้าง และร่างซึ่งโปร่ง มีลักษณะคล้ายไปข้างคหบดี หรือข้าราชการที่มีหลักฐานมั่นคง มากไปกว่าจะเป็นพ่อค้าเรือเร่ และนักผจญภัยที่ในชีวิตหาอะไรแน่นอนไม่ได้

แม่เฒ่าแคล้วชำเลืองข้ามแว่นตาออกมา พิจารณาดูใบหน้านั้นแล้ว ก็อดคิดไม่ได้

“เหมือนคนหนึ่งคนใดที่ฉันเคยรู้จัก เหมือนใครที่ฉันเคยเจอะนานมาแล้ว ––––แต่ใครหนอ ?”

แก่ชายหนุ่มผู้นั่งพับเพียบเรียบร้อยราวกับฟังธรรมเทศนา หรือรอคำพิพากษาว่าจะปล่อยหรือประหารชีวิต แกพึมพำประโยคเดิมอีก

“ขอลูกสาวเขา โดยไม่มีเฒ่าแก ไม่มีใครรับรองหัวนอนปลายตีน........อือม์ อายุเกือบจะ ๖๐ เข้าแล้วข้าก็เพิ่งจะได้ยินนี่แหละพ่อทิด”

“แต่ฉันรักสุดใจจริง ๆ จะป้า” สีหน้าฝ่ายชายระรื่นตลอดเวลา เสียงที่พูดสม่ำเสมอ ไม่มีหนัก ไม่มีเบา

แม่เฒ่าเงยหน้าขึ้นจากเชี่ยนหมากพลางขยับแว่น

“แน่ละ พ่อทิดบอกข้ามาตั้งแต่นั่งปุกลงยังไม่ทันหายใจแล้ว........รักกันแต่สงกรานต์ปีกลาย เมื่อรู้จักกันยังไม่ทันข้ามคืน เฮอะ... ไม่นึกเลยว่านังคนนี้จะไวเป็นปรอทอย่างนั้น อ้อ สัญญากันไว้เสียด้วยว่าจะกลับมาสู่ขอ จะมาปลูกเรือนหอที่นี่....?”

“ฉันมีความตั้งใจอยากจะมาขอพึ่งบุญป้าจริง ๆ”

“ประจบ! ยังกะเขาไม่รู้ พ่อทิดเคยรู้จักมักจี่ข้ามาแต่เมื่อไหร่ จนกระทั่งทุกวันนี้”

“แต่ฉันได้ยินกิตติศัพท์ป้ามานาน”

“อ้อ ได้ยินว่าอย่างไรกัน––”

“ใจดีเหมือนเสือ–– อ้า–– ใจดีเหมือนพระจ้ะ”

หน้าเป็น ! แม่เฒ่าเห็นฟันขาว ๆ จากการยิ้มไม่สร่างนั้น แล้วก็อดคิดอีกไม่ได้ “เหมือนใครหนอ ? เหมือนใครคนหนึ่ง ซึ่งเคยรู้จักมานานแล้ว..........นานจนนึกไม่ออก”

“พ่อทิดบอกฉันว่าชื่อรื่น เป็นคนวังแขม แต่กลับไปบวชเรียนที่ขาณุ....”

“แม่ฉันเป็นคนบ้านนั้น แม่ฉันชื่อสืบ พ่อฉันเป็นคนสุโขทัย ย้ายไปอยู่วังแขม ตั้งแต่ยังไม่ได้กับแม่ แต่พอได้กันไม่ถึงปี ถูกเกณฑ์ไปรบฮ่อกลับมาพ่อเป็นไข้ป่าตาย....”

“ชื่อไร? ประกายนัยน์ตาแม่เฒ่าวับขึ้นมาอีก มือที่ถือกรรไกรตัดหมากสงอยู่กำแน่น

“รื่นจ้ะ........”

“ไม่ใช่ ข้าหมายถึงพ่อของพ่อทิด”

“รุ่ง”

“พ่อทิดอายุเท่าไหร่ ?” เสียงแม่เฒ่าแคล้วเบาลงไปเกือบเป็นเสียงกระซิบ

“๓๒ จ้ะ”

ทีนี้ก็หมดปัญหาอีกต่อไป ว่าแกเห็นเป็นประพิมพ์ประพายของหน้านี้มาจากไหน.........หมดปัญหาอีกต่อไปว่าชายผู้นี้เหมือนกับใคร ซึ่งแกรู้จักมาแล้วนานแสนนาน มือซึ่งเริ่มสั่นจนเห็นชัดของแม่เฒ่าวางกรรไกรลงในเชี่ยนหมาก แกยกชายสไบขึ้นเช็ดริมฝีปาก นัยน์ตาทั้งคู่ก้มลงมองดูมือซึ่งบัดนี้มิได้ถืออะไร และมองไม่เห็นอะไร

“ฉันเป็นกำพร้าพ่อแม่ มาตั้งแต่เล็ก ไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน” ขณะนั้นทิดรื่นกำลังพูดต่อไป “ท่องเที่ยวค้าขายมาก็มากแล้ว ยังไม่เคยรักใครเหมือนรักสุดใจ จึงได้บากหน้าเข้ามาขอพึ่งบุญป้า นึกว่ากรุณาชุบเลี้ยงให้ฉันเป็นผู้เป็นคนสักครั้ง....”

“ขอให้ฟังเจ้าตัวเขาก่อน พ่อทิด” แม่เฒ่าโบกมือช้าๆ “เวลานี้ข้ายังตอบอะไรไม่ได้ เอาไว้พูดกันวันหลัง ขอให้ข้าฟังสุดใจก่อน”

“สุดใจเขาก็รักฉันจ้ะป้า”

“ข้อนั้น พ่อทิดก็บอกข้าแล้วเหมือนกัน....”

“ฉันก็รักเขา....”

“เออดีละ กลับไปก่อนเถอะ กลับไปก่อน ขอให้ข้ามีเวลาคิดสักหน่อย เวลานี้ข้าตอบอะไรไม่ได้ มันกระทันหันเกินไป กระชั้นเกินไป”

การสนทนายุติลงเพียงนั้น เมื่อชายหนุ่มลงเรือไปแล้ว แม่เฒ่าแคล้วก็ยังคงนั่งอยู่นั่น แกถอดแว่นออกมาเช็ดผ้า รู้สึกเหมือนน้ำตาเจ้ากรรมร่ำ ๆ จะหยดออกมาเสียให้ได้

“ช่างเหมือนกันเสียนี่กระไร” แกคิดอีก “เหมือนยังกะแกะยังงี้นี่เล่า พอเห็นหน้าให้อดคิดไม่ได้ว่าเคยเห็นมาจากที่ไหน”

สายตาของแกเหม่อออกไปข้างหน้าข้ามรั้วไม้ไผ่ขัดแตะและพุ่มพุทธรักษาสีต่าง ๆ กัน ขณะนั้นแม่ปิงเพิ่งเริ่มลด เกาะใหญ่ทั้งเกาะโผล่ไม่หมดเห็นแต่ยอดพงซึ่งลู่น้ำ เห็นแต่สวะซึ่งผ่านไปมาไม่ขาดสาย แต่แม่เฒ่ามองไม่เห็นอะไรจนนิดเดียว นัยน์ตาของหัวใจแกเท่านั้นที่กำลังเพ่งลึกลงไปในความทรงจำ.....

ใครจะคิดบ้างว่า เวลาล่วงมากว่า ๓๐ ปีแล้ว ? ใครจะคิดบ้างว่า ความหวังซึ่งผ่านมาแล้วแต่ดึกดำบรรพ์ ปุบปับจะปรากฏขึ้นอีก อย่างไม่ได้คาดฝัน ?

แม่เฒ่ามองเห็นชายหนุ่มอีกคนหนึ่งผึ่งผาย สูงโปร่ง ช่างพูด และหน้าเป็นอย่างนี้ แกมองเห็นพระเจดีย์หัก ปราสาทร้าง และสระศิลาแลงในเมืองเก่าของสุโขทัย มองเห็นไร่นาที่โล่งเตียนเหลือแต่ซังข้าวหลังฤดูเก็บเกี่ยว ขณะที่ออกท่องเที่ยวด้วยกัน แม่น้ำยมที่ใสไหลผ่านไปบนกรวดทรายตื้นแค่ตาตุ่ม แล้วต่อมาก็เรือนหอ ขบวนขันหมาก เสียงกล่อมของมโหรี ตลอดจนกระทั่งถึงนาทีสำคัญ เมื่อถูกส่งตัวเข้าไปอยู่แต่ลำพังในห้องกับชายหนุ่มผู้นั้น สัมผัสของเขายังอบอุ่น หัวใจของเขายังเต้นแรงอยู่ในความทรงจำของแก แม่เฒ่าแลเห็นต่อไปถึงประกายนัยน์ตาอันร่าเริงด้วยความสำนึกในชัยชนะของเขา ขณะที่โอบอุ้มเดินตรงไปยังที่นอนอันอ่อนนุ่ม ตระหลบไปด้วยกลิ่นมะลิ ควันเทียน และกระแจะจันทร์ ก่อนที่ความรู้สึกอันแจ่มใสจะมืดมนไปด้วยความเสน่หา ซึ่งประดังขึ้นมาท่วมท้นหัวใจ.......

ใครบ้างจะไปลืมคืนวันเหล่านั้นได้ ? หญิงสาวในพรหมจารี ที่เริ่มสำนึกถึงความสดชื่นอันอ่อนหวานของความรักครั้งแรก คนใดบ้างจะลืมคืนสมรสของตนได้ ? มันอาจจะกินเวลาไม่ช้าไม่นาน เดือนหนึ่ง หรือปีเดียวไม่สำคัญ แกไม่มีวันจะลืมคืนนั้น

“ข้ายังรักแกอยู่เสมอนะรุ่ง” แม่เฒ่ารำพึง น้ำตาซึมออกมาคลอเบ้า มือข้างที่อยู่เปล่าควานหาแว่นอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ในลักษณะและอาการเช่นนี้เองที่สุดใจขึ้นบันไดท้ายครัวมาพบแก หล่อนพยายามจะเดินเลยเข้าไปในครัว เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่แล้วก็ชะงักเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากแม่เฒ่า

“อีใจ” หญิงสาวหันกลับมา ขาทั้งสองเริ่มสั่น บอกอาการพิรุธของคนที่รู้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น

“ยืนกะดกกะโดนโด่ เป็นสากกระเบืออยู่ทำไมล่ะ เมื่อข้าเรียก ?”

หล่อนก้าวเข้าไปหา ก้มหน้านั่งพับเพียบลงบนระเบียงคนละฟากเสากับป้า ซึ่งทะนุถนอมมาแต่เล็กแต่น้อย

“อย่าก้มหน้า เวลาผู้ใหญ่หรือใครพูดด้วย” เสียงของแกไม่บอกความรู้สึกอะไรเลย และหลานสาวก็คอยด้วยความทรมานใจ

“อีใจ”

“จ๋า” คราวนี้หล่อนเงยหน้าขึ้นเต็มที่ รู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นคราบน้ำตาปรากฏอยู่ที่เหนือแก้มอันกร้านของหญิงชรา

“เอ็งรักกันมาแต่เมื่อไหร่ ?”

ในที่สุด ฟ้าก็ผ่าลงมาแล้ว นัยน์ตาของหล่อนหลบลงต่ำอีก ริมฝีปากที่ซีดยิ่งสันหนักเข้า

“รัก....รักใครจ๊ะ ป้า”

“รักใคร ? เฮอะ ยังมีหน้ามาถาม ก็อ้ายเถรฟันขาวๆ ของเอ็งซี...ทิดรื่น คนวังแขม”

“เขาเจอะฉันที่นี่ เมื่อสงกรานต์ปีกลาย........” ครั้งหนึ่งเมื่อพูดออกไปเสียได้ หล่อนก็ค่อยโล่งอก “ฉันลงไปอาบน้ำที่ตีนท่า เขาว่าฉัน ฉันด่าเขา เราพบกันอีกที่บ้านผู้ใหญ่พูน แล้ว...แล้วเราก็รักกัน”

“อ้อ ด่ากัน – – แล้วก็รักกัน........” อุปทานหรืออะไรก็ตาม ทำให้หลานสาวรู้สึกเหมือนยิ้มน้อย ๆ จะปรากฏขึ้นที่เหนือริมฝีปากของหญิงชรา “ในวันสงกรานต์เสียด้วย........ช่างเหมือนกันอะไรยังงั้น?”

“อะไรเหมือนกันจ๊ะ ป้า?”

“อย่าเสือก!” แม่เฒ่ากลับตื่นจากภวังค์อีก “เอาเถอะ พูดสั้น ๆ เมื่อกี้ทิดนั่น....ทิดรื่นของเอ็งมาสู่ขอต่อข้า สัญญาว่าจะปลูกเรือนหอแต่ขอที่ปลูก สัญญาว่าจะแห่สามถ้วยแต่ขอคนแบกสำรับ สัญญาว่าจะมีมโหรี แต่ขอคนเล่น มันขอไปเสียทั้งนั้น แม้กระทั่งให้ข้าเป็นเฒ่าแก่ของเอ็งให้มัน.... เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็น เหมือน....เหมือนพ่อมัน”

“พ่อใคร ?” สุดใจอดอยู่ไม่ได้

“พ่อมัน....ทิดรุ่ง” เสียงเฒ่าแคล้วชักจะพื้น แกมองหน้าหลานสาวนิ่งอยู่ครู่หนึ่งอย่างอึดอัด ในที่สุดก็ยิ้มออกมาได้อย่างฝืน ๆ อิดโรย อ่อนใจ และเอ็นดู เกือบจะเป็นครั้งแรกในชีวิตที่สุดใจจำได้ “ทิดรุ่ง...พ่อทิดรื่น เขาขึ้นไปหากินอยู่ทางแควโน้น ตั้งแต่เรา....แม่ของเอ็งกะข้า....ยังอยู่ที่สุโขทัย เวลานั้นเขาเป็นหนุ่มในวัยอย่างทิดรื่นเวลานี้แหละ หน้าเป็น หัวเราะเก่ง เจ้าชูก้อร่อก้อติก ไม่จริงจังกับใคร ไม่แยแสกับอะไรแม้กระทั่งอนาคตของตัวเอง ผู้หญิงหลายคนติดเขากรอ แต่เขากลับไปหลงใหลอีกคนหนึ่ง ซึ่งไม่ใส่ใจใยดีด้วยเพราะความเจ้าชู้ของเขา ความไม่แน่นอนของเขา แต่ผู้หญิงเราถึงจะใจแข็งสักเพียงไร เคร่งเครียดต่อขนบธรรมเนียมของผัวเดียวเมียเดียวสักเพียงไร ถูกออดอ้อนติดตามจากผู้ชายที่ไม่เคยยอมท้อถอย หรือจำนนต่ออะไรง่ายอย่างทิดรุ่งเข้า ลงท้ายก็เสียเขาไม่ได้ พูดสั้น ๆ ที่สุดผู้หญิงคนนั้นก็ยอมแต่งงานกับทิดรุ่ง ภายหลังที่เอาคำมั่นสัญญากันเป็นมั่นเหมาะว่า เขาจะเลิกชีวิตเหลวแหลกที่แล้ว ๆ มา แต่ครั้งหนึ่งเป็นหมูจะต้องเป็นหมูเสมอไป แต่งกันได้ไม่ถึงปี ทิดรุ่งเอาไม้ไปขายปากน้ำโพ ขากลับแวะขึ้นทางแควนี้เพื่อเยี่ยมบ้านเก่าที่วังแขม เลยคว้าเมียเข้าอีกคนหนึ่งที่ขาณุ ผู้หญิงคนนั้นแหละแม่ของทิดรื่น–”

“ผู้หญิงคนไหน ?”

“เมียใหม่ของทิดรุ่ง........เซอะ” แกดุ “นี่แหละมันถึงได้บ้านแตกสาแหรกขาด ทิดรุ่งกับเมียคนแรกแยกทางกันไป ถึงขั้นเขาก็ไม่ลืมกันได้ หนังสือที่เขามีไปถึงเมียที่สุโขทัยก่อนไปทัพฮ่อ บอกอยู่ว่าเขาเกือบไม่ใช่ทิครุ่งคนเก่าอีกต่อไป เพราะความเศร้าโศกเสียใจ ฝ่ายผู้หญิงคนนั้นก็อย่างเดียวกัน เมื่อได้ข่าวทิดรุ่งตายตอนกลับจากไปทัพแล้ว ร้องไห้หรือเป็นวรรคเป็นเวรเหมือนใจจะขาด – –”

“ประหลาด” สุดใจรำพึง

“ประหลาดอะไรวะ?”

“ทีเวลามีชีวิตอยู่ไม่เหลียวแลกัน เวลาตายไปแล้วกลับมาเสียดาย”

หญิงชราหยุดนิ่งไปครู่ใหญ่ ๆ จนกระทั่งสุดใจคิดว่าแกจะไม่พูดอีก แต่แกก็พูดเสียงเครือ แผ่ว เหมือนแว่วมาแต่ไกล

“คนเรามันก็ยังงั้นแหละอีใจ ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย จะรู้สึกถึงค่าของสิ่งหนึ่งสิ่งใด เสียดมเสียดายเอาก็ต่อเมื่อสิ่งนั้นหลุดมือไปแล้ว ข้ารู้ดีว่า ถ้าเขามีโอกาสตั้งต้นชีวิตใหม่อีกครั้งทั้งสองคน ทิดรุ่งคงจะไม่ทำอย่างนั้น ถึงเมียคนแรกของเขาก็คงจะไม่ถือเป็นเรื่องสลักสำคัญอะไร ที่ทิดรุ่งจะไปมีเมียใหม่ แต่มันก็สายเสียแล้วแก้ตัวไม่ได้....”

“ก็สมแล้วนี่ป้า ที่ควรจะได้รับโทษของตัว”

“ใครวะ ?”

“เมียคนแรกของทิดรุ่งซี”

“อีใจ !” แม่เฒ่าตันคอหอย แต่แล้วก็ยั้งคิดเสียได้ “อะไรทำให้เอ็งเห็นว่าเขาผิด?”

“ผู้ชายอย่างทิดรุ่งของป้า...”

“เขาไม่ใช่ทิดรุ่งของข้า”

ฉันหมายว่า ทิดรุ่งที่ป้าเล่า ถ้าลักษณะกะนิสัยเป็นอย่างทิดรื่น ลูกของเขา ก็ไฟเราดีๆ นี่เอง นักเลงและเจ้าชู้สารพัด เขาอาจจะเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของผู้ชาย เป็นคนรักที่หาอีกไม่ได้ในโลกของผู้หญิง แต่เป็นผัว........เลวเกินไป ไวเป็นปรอทเกินไป ไว้ใจไม่ได้เหมือนแมวขโมย ลงผู้หญิงเราปลงใจจะอยู่กินกับผู้ชายอย่างนั้น ควรจะเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมสำหรับรับความทุกข์ความทรมานใจ เพื่อแลกเปลี่ยนกันกับความสุขของการได้ครองรัก ผู้ชายอย่างเขา...ความสุขกะความภาคภูมิใจเหมือนขี่ม้าพยศ”

“นั่นเองสอนข้า อ้า ...เขา หรือ....หรือว่าคิดอย่างนั้นจริงๆ ?”

“ฉัน....ฉันคิดอย่างนั้นจริงๆ จ้ะป้า”

“อือม์ ?” แม่เฒ่าปิดตลับไม้จันทน์ หยิบขี้ผึ้งขึ้นสีปาก “ชอบกล คิดเหมือนกะข้าคิด แต่นังคนนั้นมันผิดไปแล้ว ก็ควรจะได้รับโทษทรมานใจตัวเอง ไปจนกว่าจะตายอย่างเอ็งว่า”

“ป้าช่างรู้เรื่องของพ่อทิดรื่นดีเหลือเกิน” หลานสาวพึมพำ

นัยน์ตาของแม่เฒ่าวับขึ้นมาอีก “ข้าต้องรู้ ผู้หญิงคนนั้นกะข้ารักกันเหมือนพี่น้องคลานตามกันออกมา” แกถอนใจ เอาละอีใจ ข้าสาธยายให้เอ็งฟังก็เพราะว่า สำหรับข้าเอ็งเหมือนกะลูกในไส้ ข้าต้องการให้เอ็งรู้ว่าเถือกเถาเหล่ากอของทิดรื่นเขาเป็นมาอย่างไร ก่อนที่จะตกลงปลงใจให้คำตอบข้า”

“ฉัน.......ฉันแล้วแต่ป้า” หญิงสาวหน้าแดงขึ้นมาอีก “สุดแท้แต่จะจัดการจ้ะ”

“คิดอยู่แล้วเหมือนกันว่า เอ็งจะต้องตอบอย่างนั้น นั่นเป็นการประจบ เขามาขอแต่งกับเอง จะให้หลับหูหลับตายกให้กันไปง่าย ๆ อ้ายเรื่องสินสอดทองหมั้นนะไม่สำคัญอะไร จะแต่งกันให้คนบ้านนี้ขึ้นชื่อลือเลื่องไปเจ็ดท้องคุ้ง หรือส่งตัวเข้ามุ้งเงียบๆ ก็ไม่สำคัญ มันอยู่ที่เอ็งกับเขาจะอยู่กินกันอย่างไรต่อไป หลังจากนั้นตังหากที่ข้าเป็นห่วง หน่อยเป็นอะไรไป ขี้คร้านให้อีพวกปากตำแยบ้านนี้มาถอนหงอก ข้า – –ว่ามาเถอะ ตอบตามใจเอ็งสมัคร รักเขาจริง ชอบเขาจริง ก็จะได้ยกให้ไป”

“แล้วแต่ป้า” หลานสาวตอบเกือบไม่มีเสียง “ฉันเพิ่ง ๑๗”

“เฮอะ ! ข้าแต่งตั้งแต่อายุ ๑๕ ข้า–” แม่เฒ่ายั้งคิดได้อีกก่อนที่จะต่อไปว่า หลังจากนั้นอีกปีเดียวแกก็เป็นหม้าย “ข้าไม่เคยชอบอ้ายวิธีคลุมถุงชน ผู้ชายคนที่ข้าแต่งด้วย ไม่ใช่คนที่ตาหรือยายของเอ็งเลือก....บอกมาเถอะ พรุ่งนี้เช้าเขามา ข้าจะได้ตอบเขาถูก”

“ฉันแล้วแต่ป้า”

“เออน่า รู้แล้วละ แต่ว่าชอบเขาหรือไม่ชอบ”

“ฉัน – – ฉัน – ”

“ขืนตอบแล้วแต่ข้าอีกคำเดียว....เลิก”

“ชอบจ้ะ”

“ข้าก็รู้ว่าเอ็งชอบเขา รักเขา ไม่งั้นมันไม่พูดได้เรื่องได้ราวยังงั้นร็อก” แม่เฒ่าหัวเราะออกมาได้ “ผู้หญิงทุกคนแหละเป็นใบ้ พูดอะไร สอนอะไร เหมือนนกแก้ว แต่พอถูกมือผู้ชายเข้าซักทีละก้อ พูดจ้อ รู้แจ้งไปสารพัดเที้ยว!”

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ