๒๒

เสียงดนตรีในทำนองเพลงวอลซ์อย่างช้ากังวานขึ้น เปิดฉากแห่งการเต้นรำ สุภาพบุรุษในเครื่องราตรีแบบตะวันตก โค้งกายให้แก่สุภาพสตรีในเครื่องแต่งกายแบบเดียวกัน ไม่ช้าห้องใหญ่ที่ครึ้มด้วยสีเขียวแห่งใบไม้และอร่ามด้วยสีนวลแห่งแสงไฟก็สะพรั่งไปด้วยหญิงชายที่ตระกองกอดกันก้าวเท้าเดินร่ายอยู่เป็นคู่ ๆ

แสงไฟจางหายไปเป็นลำดับ พร้อมกับที่แสงไฟฉายพุ่งปราดไปยังหมู่นักเต้นรำ กระทบแพรต่างสี แสงที่กระท้อนก็แปรไปตามสีแพรเกิดประกายอ่อน ๆ วูบไปวูบมา สลับกับเงาดำที่ทอดยาวไปตามพื้นเป็นทัศนภาพอันพึงพิศวง

ห้องเต้นรำนี้มีด้านหน้าเปิดออกทางมุขหน้าตึก ด้านข้างตะวันตกและด้านหลังเปิดออกสู่เฉลียง ส่วนต้านตะวันตกติดต่อกับห้องซึ่งจัดไว้เป็นห้องนั่ง ประดับประดาด้วยดอกไม้ใบไม้ต่างพรรณ ตั้งเก้าอี้หมู่เป็นหย่อม ๆ ในระยะพอสมควร และตั้งโต๊ะซึ่งมีผ้าปูล้วนปักลวดลายเก๋ ๆ แปลก ๆ กัน

ถ้าจะนับจำนวนคนทั้งหมดที่อยู่ในสถานนี้ จะนับได้ไม่ต่ำกว่า ๕๐ คน ถึงกระนั้นแขกที่ได้รับเชิญยังมาไม่พร้อม ช้า ๆ นาน ๆ ก็มีรถยนต์แล่นผ่านแสงไฟกลางบ้านมาจอดที่หน้าตึก แล้วจะได้เห็นบุรุษหนุ่มเปิดประตูลงมาก่อน สตรีสาวก้าวตามลงมาทีหลัง สายตาทอดตรงไปที่หมู่คนส่วนมือยังแตะต้องตามร่างกาย จัดทรงผมและเสื้อผ้า ครั้นแล้วคู่เหล่านั้นก็ถูกกลืนหายเข้าอยู่ในหมู่

บุรุษคนหนึ่งมาถึงสถานที่นี้ ในลักษณาการที่ผิดกับคนอื่น กล่าวคือเดินมาเดี่ยว ท่ามกลางแสงไฟในอิริยาบถที่ปราศจากความกระตือรือร้นพุ่งสายตาตรงไปยังหมู่คนที่ขวักไขว่อยู่เบื้องหน้า ริมฝีปากเผยอยิ้มอย่างนึกขำ แล้วก้าวขึ้นบันไดหน้ามุขอย่างแช่มช้า

เสียงหนึ่งดังขึ้นมีกังวานแจ่มใส ทำให้บุรุษนั้นเงยหน้ามองไกลขึ้นไปอีก จึงพบเจ้าของเสียงที่ยืนอยู่ตรงประตูห้องเต้นรำ หล่อนสวมเสื้อแพรต่วนดำ มีกระโปรงเบื้องหลังระเท้า ดอกกุหลาบสีแดงผูกเป็นช่อระย้าห้อยจากไหล่ลงมาถึงทรวงถึงอก ดวงหน้าของหล่อนนั้นนวลพริ้งมียิ้มอันสวยสดประดับริมฝีปาก หล่อนกำลังพูดว่า

“แหม คุณพระ อนงค์นึกว่าลืมคืนนี้เสียแล้วอีก ทำไมถึงล่านักล่ะคะ?”

“ล่าหรือ?” ผู้มีบรรดาศักดิ์เป็นคุณพระถามอย่างไม่รู้จะพูดอะไรดีกว่านั้น สายตาของเขาเลื่อนลงตามส่วนแห่งร่างกายที่อยู่ตรงหน้า “แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นคนสุดท้ายทีเดียวไม่ใช่รึ?”

“เห็นจะไม่ใช่ค่ะ” หญิงสาวตอบ เข้ามาใกล้เขาอีกเล็กน้อย “อ้อจริงซี ชัดก็ยังไม่มา”

“ชัดอยู่เวร คุณทราบแล้วไม่ใช่หรือ แต่ยังไงเขาจะพยายามมาให้ได้”

“โธ่ ! ตาย ชัดเคราะห์ร้ายอย่างนี้เสมอ ดิฉันเพิ่งทราบเดี๋ยวนี้เองค่ะ”

“อ้าว ถ้าเช่นนั้นก็เป็นความผิดของฉันเอง ชัดเขาสั่งให้ฉันบอกตั้งแต่เมื่อกลางวัน”

อนงค์ยิ้ม อยากจะเสริม “แล้วฉันก็ลืมเสียตามเคย” แต่เห็นว่าไม่ต้องด้วยกาล จึงพูดแต่เพียงว่า “เมื่อกลางวันได้ทราบว่าคุณพระมา ตั้งใจจะออกมาหา ก็พอได้ทราบต่อไปอีกว่ากลับเสียแล้วขอบพระคุณสำหรับของกำนัลค่ะ”

พระอรรถคดี ฯ ยิ้มรับและไม่ตอบว่ากระไร

“คนหมู่หนึ่งเดินเข้าใกล้ที่เขาทั้ง ๒ ยืนอยู่ คนหนึ่งในหมู่นั้นออกเสียงดังพลางก้าวออกหน้าคนอื่น “คุณหลวง ! ดีใจที่ได้พบกันอีก สบายดีหรือครับ?”

อนงค์หันไปดูทันที แล้วหัวเราะพลางว่า

“เอ๊ะ ยังไงคุณอุดมมาถอดยศคุณพระเสียแล้ว มัวไปหลับอยู่เสียที่ไหนหรือคะ” ,

“อ้าว ! อ้อ....ขอรับประทานโทษ ได้เลื่อนเมื่อฉัตรมงคลหรือครับ ไม่เห็นบอกกล่าวกันบ้าง จะได้แสดงความยินดี”

วิชัยไม่กล่าวตอบ มองเลยไปทางคนที่อยู่เบื้องหลังอุดม และกำลังจ้องดูเขาอย่างสงสัย วิชัยจำเอนกและผสานได้ ก็ก้มศีรษะให้พอเป็นที

“อ๋อ พี่ชายคุณชัดน่ะ !” ผสานพูดขึ้นด้วยเสียงอันดัง แล้วหันไปจับข้อมือเอนกเขย่าโดยแรง “เอนกจำไม่ยักได้ ฉันนึกออกตั้งแต่แรกเห็นแล้ว แต่ไม่แน่ใจเพราะวันนั้นคุณพระใส่แว่นดำ”

“นั่นซี” เอนกสนอง “เห็นวันนี้ดูแปลกกว่าวันนั้นมาก ขอโทษเถอะนะครับ ผมเป็นคนเหลวไหลอย่างนี้เสมอ จำคนไม่ค่อยแม่นหากว่าเคราะห์ดีมีคนคอยเตือน” พูดแล้วเขามองดูผสานด้วยสายตาแสดงความภูมิใจ

สีหน้าวิชัยแสดงความสนเท่ห์ อนงค์จึงชี้แจงว่า

“เขาแต่งงานกันแล้วค่ะ”

“คุณชัดยังไม่มาหรือคะ?” ผสานถามสวนขึ้น

จะเป็นด้วยวิชัยไม่ได้ยินคำถาม หรือได้ยินแต่มิได้นึกว่าเขาถามตนโดยตรง จึงไม่ตอบ อาการนิ่งของเขาทำให้อนงค์นึกกลับไปถึงภาพ “พี่ใหญ่” ในวันแรกพบ หล่อนจึงตอบเสียเองว่า

“ชัดเห็นจะมาดึกหน่อยเพราะติดราชการ”

“บ้า ! ชัดเหลวใหลมาก” เอนกพูดแกมหัวเราะ “ควรหรือจะปล่อยให้มีราชการติดตัวในคืนนี้”

มีเสียง “ฮี่” ประสานหางเสียงเอนก และก่อนที่ผู้หนึ่งผู้ใดจะหาตัวเจ้าของเสียงพบ ประสิทธิ์ก็กอดแขนวิชัยไว้ ละล่ำละลักว่า

“ผม ค....คิดว่าจะลืมมาเสียแล้ว”

วิชัยหันหน้ามาทางผู้มาถึงใหม่ ยิ้มพลางจับมือประสิทธิ์ที่พาดอยู่บนแขนตน และตอบว่า

“ไม่ลืมหรอก เมื่อกลางวันผมก็มาแต่ไม่พบคุณ”

“ฮี่ ฮี่ ไม่พบ ไม่พบ เห็นจะหลับ ผ....ผมหลับทั้งวัน ฮี่ ฮี่ เต้นรำไหม ผมจะหาคู่ให้ ฮี่”

“ขอบใจ” วิชัยตอบ แววตาเต็มไปด้วยความร่าเริง “คุณเมื่อไรจะเต้นผมจะคอยดู”

“ผม ม....ไม่เต้น ไม่สนุก ไม่ชอบ ผม ด....” แล้วเขางอนิ้วมือทำท่ากรอกสิ่งหนึ่งลงในลำคอ “ไปทางโน้นกันเถอะ”

โดยปราศจากิริยาลังเล วิชัยก้มศีรษะให้คนที่ยืนอยู่รอบข้างแล้วปล่อยตัวให้ประสิทธิ์รั้งไปทันที

เข้าในห้องรับแขก วิชัยพบผู้ที่ตนรู้จักไม่น้อย แต่ไม่มีเวลาได้ทักทายกันด้วยวาจา เพราะผู้นำของเขาเดินเร็วมาก ชนคนนั้นปะทะคนนี้ หลีกคนโน้นดุ่มไปถึงปลายห้อง พอเห็นช้อยยืนมือเกาะบังตาดูการเต้นรำอยู่ วิชัยจึงเหนี่ยวตัวประสิทธิ์ให้หยุดเพียงแค่นั้นก่อน”

พี่น้องตรงเข้าปราศรัยกัน ช้อยถามถึงลูกก่อน แล้วถามถึงแม่ วิชัยให้คำตอบ ประสิทธิ์ยังยืน “ฮี่” อยู่ข้าง ๆ นั้น แล้วชี้ชวนให้ดูสตรีทั้งหลาย แต่ละนางทรงโฉมไม่ด้อยกว่ากัน และเค้าหน้าของหล่อนก็ประพิมประพายละม้ายคล้ายคลึงกันเกือบทุกหน้า แก้มแดง ปากแดง คิ้วโก่งดังวงจันทร์ครึ่งซีก ผมเป็นลอนแข็งตัวอยู่เป็นระยะคือจับวาง ตัวเสื้อแหวะหน้าหรือผ่าหลัง แต่ละตัวเปิดช่องให้เห็นผิวอันขาวนวล มองดูปลายนิ้วของหล่อนแล้ว น่าจะนึกสมเพชกวีโบราณที่ยอโฉมเบญจกัลยาณีว่ามีมือดังบัวตูม นิจจาเอ๋ย ท่านกวีปรัมปรา ! กลีบบัวใดหนอจะส่งสีแดงสดเท่ากับสีบนปลายนิ้วของสตรีที่ลอยตัวอยู่ในอารยธรรม !!! และเพราะเหตุเดียวกันนี้ สตรีสมัยกระโน้นจะทรงไว้ซึ่งสรรพสิ่งที่ควรค่าแก่การรำพันเสมอด้วยสตรีสมัยปัจจุบันกระไรได้

ในเวลาที่ ๒ พี่น้องชมโฉมหญิงงามตามสมัยนิยม และประสิทธิ์ก็ออกความเห็นในเรื่องหญิงเหล่านั้นด้วยสำนวนคำพูดที่ทำให้เขาทั้ง ๒ ต้องหัวเราะหลายครั้ง พระอรรถคดี ฯ ได้ยินชื่อของตนเองลอดเสียงจ้อกแจ้กมากระทบหู ทำให้เขาต้องหันไปรอบตัว พร้อมกันนั้นช้อยสะกิดให้เขามองไปทางปลายห้องด้านหน้า

นางสาวอนงค์เดินมากับหญิงสาวคนหนึ่ง เจ้าหล่อนผู้นี้สวมเสื้อแพรสีน้ำเงินหม่่นและซิ่นแพรสีเดียวกัน ประกายเพชรจากห้อยคอส่งแสงวูบวาบมาแต่ไกล แต่ท่วงทีที่เจ้าของห้อยคอเดินเคียงข้างอนงค์มานั้น ไม่กลั่นกล้าเหมือนกับแสงเพชร ตรงกันข้ามกิริยาที่ก้าวขาดูไม่มั่นคง ลำตัวอ่อนระทวยดังจะทรงให้ตรงอยู่ไม่ได้ ศีรษะก้ม ตาตกมองดูปลายรองเท้า หล่อนเพิงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเมื่ออนงค์พูดว่า

“นั่นยังไงล่ะพี่ช้อย ! อ้อ อยู่ด้วยกันทั้งคู่”

ช้อยก้าวเท้าออกมาเบื้องหน้า หญิงที่เคียงอนงค์มาก็พนมมือไหว้

“อุ๊ย แม่จันทร พี่เกือบจำไม่ได้ เธอมากับคุณพี่รึ?”

“นั่นแน่ะค่ะผู้นำ” อนงค์ตอบก่อนพยักไปทางชัดผู้ซึ่งตามหลังหล่อนติดมา ทอดสายตาไปรอบห้องพลางพูดสืบไป “พี่ ๆ ไม่รู้ว่าหายไปไหนกันหมด อ้อ !” หล่อนหัวเราะ “มีอยู่ที่นี่คนหนึ่ง พี่ประสิทธิ์มารู้จักกับเพื่อนใหม่ของเราซิคะ”

จันทรแลไปเห็นวิชัยยืนเคียงอยู่กับประสิทธิ์ หล่อนจึงทำความเคารพ ๒ ครั้ง วิชัยรับแล้วยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน ประสิทธิ์ก้าวเท้าออกมาข้างหน้าพลางออกปากว่า

“ส....สวย ! ฮี่ ฮี่ ชื่อ....ชื่อไหร่?”

ท่ามกลางแสงไฟอันแจ่มจ้าเช่นนั้น ทำให้เห็นสายเลือดฉีดขึ้นหน้าจันทรโดยเร็ว ระบายแก้มที่ขาวเป็นนวลให้เป็นสีชมพูอ่อน แล้วจันทรก้มหน้าหลบตาลงดูพื้น อนงค์กัดริมฝีปาก พูดกลบเกลื่อนเสียโดยเร็ว

“พี่แสวงกับพี่จำลองหายไปไหนไม่ทราบ พี่สมพงศ์ก็เต้นรำอยู่ด้วยกันเมื่อตะกี้นี้เอง พอปล่อยมือจากกันเธอก็หายไปเลย”

“เห็นจำลองเดินคู่กับหญิงคนหนึ่งเฉียดหลังเราไปเมื่อเรากำลังจะเข้ามาในนี้” ชัดบอก

“เดี๋ยวก็คงพบ” อนงค์กล่าว แล้วพูดสืบไป “เชิญนั่งซีคะจันทร หรือจะออกไปนั่งข้างนอก ที่จริงในนี้ออกจะอุดอู้สักหน่อย พี่ช้อยไม่ออกไปเดินเล่นทางเฉลียงโน้นบ้างหรือคะ”

ช้อยยิ้มและสั่นศีรษะ ยังมิได้ตอบว่ากระไร พอสมพงศ์เข้าประตูมา อนงค์เห็นก็ชูมือและพยักหน้าเรียก

“พี่ค่ะ ชัดพาเพื่อนใหม่มาให้เราคนหนึ่ง” หล่อนพูดเมื่อสมพงศ์มาใกล้แล้ว “เธอชื่อจันทร นี่พี่สมพงศ์ค่ะ”

ทั้ง ๒ ฝ่ายทำความเคารพกัน ยังมิทันที่สมพงศ์จะได้ออกปากปราศรัย นายแสวงกับนายจำลองก็มาถึงและมีผู้หญิงสาวเดินเคียงข้างมาด้วยทั้ง ๒ คน

ขณะนั้น ดวงตาอนงค์ก็เป็นประกายด้วยความรู้สึกสนุกอย่างที่สุด “คุณจันทรคะ” หล่อนกล่าว “นี่พี่ชายของอนงค์อีก ๒ คน พี่แสวง พี่จำลอง” หันมาทางนายทหารหนุ่ม “ชัดคะ ขอแนะนำให้รู้จักกับคุณสนองและคุณพยอม”

นายทหารหนุ่มซ่อนความประหลาดใจไว้ในหน้าคำนับอย่างเก๋ให้แก่หญิงทั้ง ๒ แต่สายตาจับดูสอางอย่างเอาใจใส่

พอดนตรีเริ่มบรรเลงอีก สมพงศ์ก้าวเท้าเข้าไปที่จันทร โค้งตัวลงเล็กน้อยกล่าวว่า

“โปรดให้เกียรติยศ”

จันทรมีอาการออกงง แต่คำพูดที่จำลองกับอนงค์ “เที่ยวนี้ต้องเต้นกับพี่” ช่วยให้หล่อนเข้าใจว่าสมพงศ์ขอให้หล่อนทำอะไร ดังนั้นหล่อนจึงตอบเขาในท่วงทีกระมิดกระเมี้ยนว่า

“ดิฉันเต้นไม่เป็นหรอกค่ะ”

เขาทำหน้าอย่างไม่เห็นสำคัญ และตอบพร้อมกับยิ้มอย่างสุภาพ

“ใครบอกว่าเต้นรำไม่เป็น เท่ากับบอกว่าเดินไม่เป็น ซึ่งเป็นการเหลือเชื่อ ลองดูเถอะ คุณจะเห็นว่าง่ายที่สุด ถ้ายังไม่แน่ใจก็ขอให้ไปยืนดูกับผมสักประเดี๋ยวแล้วก็เต้นได้”

“จริง ๆ” ชัดเสริม “นอกจากนั้นเธอกำลังได้ครูที่ดีที่สุดแล้ว คุณสมพงศ์เป็นนักเต้นรำที่เชี่ยวชาญ ชัดเองก็ตั้งใจมาแน่วแน่ว่า จะพยายามให้เธอเต้นรำเป็นคืนนี้ให้จงได้ มางานอย่างงี้ ไม่เต้นรำเธอจะรู้สึกว่าขาดอะไรไปมาก”

จันทรมองดูช้อยและพระอรรถคดี ฯ ด้วยจะร้องขอความช่วยหรือด้วยความเกรงใจก็ยากที่จะกล่าว ครั้นสบสายตา ๒ พี่น้องไม่แสดงความรู้สึกตอบ หล่อนก็ลุกขึ้นช้า ๆ อย่างไม่เต็มใจ มือซ้ายถือผ้าเช็ดหน้า มือขวาดึงเอวเสื้อเดินไปกับสมพงศ์

คนอื่น ๆ ที่อยู่ในหมู่นั้นพากันออกไปจากห้อง คงเหลือแต่พี่น้อง ๓ คน ชัดตรงเข้ามาหาพี่ชายและพูดแกมหัวเราะว่า

“ยังไงเผอิญมาจ๊ะเอ๋กับลูกสาวคุณหญิงมะยมเข้าได้”

แต่วิชัยมีหัวคิดเต็มไปด้วยผู้หญิงอีกคนหนึ่ง จึงถามสวนขึ้น

“แกทำยังไงถึงไปคว้าแม่จันทรมาได้ พี่สาวเขาอนุญาตให้มาหรือ?”

“พี่สาวเขาไม่อยู่ อยู่แต่พี่เขย” ชัดตอบ “ผมบอกเขาว่าพี่ใหญ่กับพี่ช้อยอยู่ที่นี่ด้วย เขาเลยอนุญาตให้มา”

“แกจะเอาเหามาใส่หัวพี่แล้วตาชัด ลูกเขาไม่เคยกับสมาคมเช่นนี้”

“เพราะไม่เคยน่ะซีผมจึงได้พาแกมา แกจะได้เห็นได้สนุกกับเขามั่ง สงสารแก รู้สึกว่าแกไม่ค่อยได้ไปไหนกับเขาเลย อุดอู้อยู่กับบ้าน”

“ทำไมเขาจะไม่ได้ไป” ช้อยค้าน “เขาไปเสมอแต่ไม่ได้ไปที่เดียวกับแกเท่านั้น”

“อ้าว !” ชัดตอบอย่างคล่องแคล่ว “ถ้ายังงั้นวันนี้แกจะได้เห็นของใหม่จะช่วยให้แกฉลาดขึ้น พิโธ่มีลูกสาวสวย ๆ เอาเก็บไว้แต่ในบ้านไม่เปิดโอกาสให้ใครชมเสียเลยรู้สึกว่าน่าเสียดายนัก แล้วทำให้เด็กโง่กว่าเพื่อน ๆ เขาด้วย” พูดขาดคำชัดก็ผละไปเสียจากพี่ชายพี่หญิง

ช้อยหันมาดูพระอรรถคดี ฯ ขมวดคิ้วพลางพูดว่า

“ตาชัดแกจะบ้า ลูกเขาอบรมมาอย่างหนึ่ง แกจะมาทำให้เขาเป็นอีกอย่างหนึ่ง ไม่เห็นมีประโยชน์อะไรนอกจากจะทำให้เด็กใจแตก”

“มันไม่ใช่ความผิดของตาชัด” วิชัยพูดเรียบ ๆ

ช้อยรอฟัง สำคัญว่าเขาจะพูดต่อ แต่วิชัยหาพูดไม่หล่อนจึงว่า

“พี่ใหญ่ก็คอยแต่จะเข้ากับน้องเท่านั้น ! ถูกแล้วมันไม่ใช่ความผิดของตาชัดคนเดียว หลวงธุรกิจก็ผิดด้วยตัวเป็นเพียงพี่เขย ดูรึปล่อยให้เด็กสาว ๆ มากับชายหนุ่มตามลำพัง ผิดด้วยกันทั้ง ๒ คน”

พระอรรถคดี ฯ ไม่ตอบประการใด เมื่อน้องหยุดพูดแล้วก็ชวนให้หล่อนพูดไปถึงเรื่องอื่นเสีย

ในงานสโมสรที่มีผู้คนคับคั่งเช่นนี้ กล่าวโดยส่วนรวม จะว่าทุกคนที่มางานต่างเอาใจใส่กันละกันหรือจะว่าทุกคนที่มาในงาน ต่างไม่เอาใจไม่กัน ก็ว่าได้ทั้ง ๒ ทาง ข้อที่ว่าเอาใจใส่เพราะต่างคนต่างชอบมอง ชอบติ ชอบชม ชอบซุบชิบกล่าวขวัญคนที่ผ่านเข้ามาในสายตาของตน ที่ว่าไม่เอาใจใส่ เพราะว่าแม้ระหว่างผู้มักคุ้นกัน ก็หามีสมาธิพอที่จะพูดกันให้เป็นเรื่องราวไม่ เมื่อประจันหน้ากัน ความเคยชินสอนให้ทักทายด้วยคำพูดที่ใจไม่ได้สั่ง และคำตอบก็ผ่านหูไปโดยไม่เข้าสมอง อาศัยเหตุนี้ ผู้ใดมาสู่สมาคมของท่านผู้เจริญแล้ว !!! คือสมาคมเช่นที่กล่าว มาตรว่าไม่เคยชินมาก่อน ก็ย่อมจะมีความรู้สึกเสมือนพลัดเข้าไปในถิ่นต่างด้าว ดังเช่นช้อยเป็นต้น เวลาล่วงไปยังมิทันไรหล่อนก็พูดกับพี่ชายของหล่อนว่า

“ดิฉันอยากกลับบ้านเสียแล้ว งานอย่างนี้ไม่ใช่งานสำหรับเราเลย”

วิชัยยิ้มน้อย ๆ “พี่คิดไว้ว่าจะกลับก่อน ๕ ทุ่ม” เขาบอก “แต่เดี๋ยวตาชัดก็เอาห่วงมาผูกคอเสียแล้ว จันทรยังไม่กลับเราก็กลับไม่ได้”

ช้อยนิ่งคิด มีอาการหงุดหงิดเล็กน้อย ภายหลังหล่อนจึงว่า

“ยังงั้นดิฉันไปอยู่กับคุณครูดีกว่า พอเขาเลี้ยงอาหารว่างกันแล้ว คุณครูคงกลับ ดิฉันจะโดยสารท่านกลับด้วย”

วิชัยมิได้คัดค้าน มองตามน้องผู้ซึ่งออกประตูทางด้านหลัง แล้วตัวเขาเองก็ไปยืนเท้าบังตาดูผู้ที่กำลังเต้นรำ

ความสนุกร่าเริงของหนุ่มสาวทวีขึ้นตามเวลา สรรพเสียงทั้งหลาย มีเสียงดนตรี เสียงแก้วกระทบแก้ว เสียงพูด เสียงหัวเราะ ฯลฯ ประกันมีระดับความดังเพิ่มขึ้นทุกที ในระหว่างนี้พระอรรถคดี ฯ มิได้มีเวลาเข้าใกล้น้องชายหรือจันทร หรือเจ้าของบ้านคนใดคนหนึ่ง จนถึงเวลาเที่ยงคืน

เป็นกำหนดเวลาที่จะเลี้ยงอาหารว่าง โดยวิธีจัดอาหารวางไว้บนโต๊ะใหญ่ ฝ่ายชายพาคู่ของตนไปเลือกอาหารที่ชอบ ช่วยจัด ช่วยส่งให้ แล้วพากันไปนั่งหรือยืนบริโภคตามสบาย ตอนนี้วิชัยยืนอยู่คนละฟากโต๊ะกับชัดผู้ซึ่งปฏิบัติจันทรอยู่ ผู้พิพากษากำลังเพลินมองหนุ่มสาวคู่นี้-ฝ่ายชายขะมักเขม้นเลือกชี้นั่นเลือกนี่ ถามโน่น ฝ่ายหญิงชม้อยชม้ายสะทกสะเทิ้นลังเล..... พอรู้สึกชายแพรปัดขาเขาไป วิชัยเหลียวดูก็พบอนงค์เข้ามายืนอยู่ข้างตัว

“ยังเลือกอาหารไม่ได้หรือคะ?” หล่อนถามพร้อมกับยิ้มอย่างสดใส

“มีมากอย่างเหลือเกิน ไม่ทราบจะเลือกอย่างไหน”

“ให้ดิฉันเลือกให้เถอะค่ะ” หญิงสาวกล่าวแล้วโดยไม่รอฟังคำตอบ เอื้อมมือไปตักเยลลี่ไก่ใส่ลงในจานใบหนึ่ง เสร็จแล้วเอียงคอมองดูอาหารจานอื่นอีกในท่าตรึกตรอง ในที่สุดก็ตักได้ไส้กรอกฝรั่งต่างชนิดใส่รวมลงในจาน แล้วหยิบขนมปังวางลงไปด้วยแล้วยกจานส่งให้วิชัย

พระอรรถคดี ฯ รับจานแล้วกลับวางลงบนโต๊ะยิ้มพลางพูดว่า

“บางทีจะมีคนคอยจ้องจะปฏิบัติคุณอยู่หลายคน แต่เมื่อคุณมาถึงฉันก่อน ถ้าฉันจะปล่อยโอกาสให้พ้นไปเสียเปล่าก็จะเสียนักเลง” พูดแล้วเขาก็จัดแจงแบ่งอาหารอย่างเดียวกับที่อนงค์ได้แบ่งให้เขานั้น

หญิงสาวมองดูเขาทำงานให้หล่อน มีสีหน้าเต็มไปด้วยความพิศวงด้วยน้ำใส่ใจจริง หล่อนไม่เคยคาด หรือแม้แต่นึกว่าวิชัยจะแสดงกิริยาวาจาตอบหล่อนเช่นนี้ ในสายตาของอนงค์พระอรรถคดี ฯ ยังไม่เปลี่ยนจาก “พี่ใหญ่” ของชัดที่หล่อนพบในวันแรกแม้เมื่อหัวค่ำนี้เอง หล่อนยังได้เห็นเขาเป็นเหมือนกับวันที่นั่งรถไฟมาด้วยกันไม่มีผิด พอก้าวขึ้นบันไดพบเพื่อนหนุ่มเพื่อนสาวของอนงค์รวมอยู่มากหน้า วิชัยก็เลิกใช้ลิ้นปล่อยให้คำพูดที่ผู้พูดพูดสำหรับเขา ทั้งโดยตรงและโดยปริยาย ผ่านหูไปผ่านมา โดยไม่ปรารถนาที่จะเอ่ยปากตอบแต่สักคำ

เมื่อเขาส่งจานให้หล่อนพร้อมด้วยมีดส้อม และกระดาษเช็ดปาก อนงค์ก็พูดด้วยเสียงค่อนข้างเบา

“เราไปหาที่รับประทานให้ใครหาเราไม่พบดีกว่า ตามดิฉันมาชิคะ”

หล่อนนำเขาออกจากห้อง เดินผ่านเฉลียงโดยไม่เหลียวแลดูใคร แล้วเข้าในห้องเต้นรำซึ่งเวลานี้ว่างเปล่าปราศจากผู้คน ที่ตั้งเครื่องดนตรีนั้นอยู่ตรงมุมห้อง ภายใต้ซุ้มไม้ซึ่งจัดขึ้นเป็นพิเศษ โดยเฉพาะสำหรับงานคืนวันนี้ อนงค์ดับไฟฟ้าบนเพดานเสียสิ้น เปิดไฟดวงน้อยที่นักดนตรีใช้ดูโน๊ตเพลง แล้วชวนวิชัยให้นั่งลงบนเก้าอี้ตัวเล็กข้างตัวหล่อน

“รับประกันว่าไม่มีใครหาเราพบ” หล่อนพูดและหัวเราะอย่างสนุก “แต่บางทียุงจะกวนเราสักหน่อย”

“ประเดี๋ยวเดียวเห็นจะไม่เป็นไร” วิชัยตอบ “ฉันเคยทำงานจนดึก ยุงตอมเต็มไปหมดยังไม่เดือดร้อนเท่าไหร่”

ทั้ง ๒ ลงมือรับประทาน วิชัยกำลังพยายามจะเข้าใจการกระทำอันนี้ของอนงค์ ซึ่งเขาก็เห็นว่าค่อนข้างพิสดาร อนงค์ก็เอ่ยถามขึ้น

“คุณพระทำงานอะไรคะเวลากลางคืน?”

“ราชการที่ทำเวลากลางวันไม่พอบ้าง งานส่วนตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับสนุกบ้าง”

“เวลานี้กำลังเขียนเรื่องละครใช่ไหมคะ พี่ช้อยบอกดิฉัน เล่นเมื่อไหร่ดิฉันต้องดูให้ได้”

“ฉันขอบใจคุณล่วงหน้าแทนสมาคม แต่เห็นจะอีกนานกว่าจะได้เล่น ยังไม่มีอะไรพร้อมสักอย่าง”

“คุณพระจะเป็นตัวละครด้วยไหมคะ?”

พระอรรถคดี ฯ หัวเราะอย่างขบขันที่สุดในขณะที่ตอบว่า

“ฉันนึกภาพตัวฉันเองไม่ออกเลยว่า อยู่บนเวทีจะทำหน้าอย่างไร”

หล่อนพิศดูเขาเท่าที่ไฟอันอ่อนแสงจะช่วยให้ดูได้แล้วว่า

“รู้สึกว่าคุณพระจะเล่นละครได้ดี !”

“เอ๊ะ ! ทำไมรู้สึกอย่างนั้น”

อนงค์เคาะส้อมกับขอบจาน ๒-๓ ครั้ง ในที่สุดจึงตอบว่า

“เพราะดิฉันรู้สึกว่าคุณพระเล่นละครอยู่เสมอโดยไม่ขึ้นเวที”

พระอรรถคดี ฯ มีอาการสงสัยเป็นอันมากถามว่า

“นี่หมายความว่ายังไงกัน?”

อนงค์หัวเราะน้อย ๆ แล้วตอบช้า ๆ

“อันที่จริงคนทุกคนต้องเล่นละครไม่มากก็น้อย คนที่มีกิริยาวาจาขวางหูขวางตาที่สุด คือคนที่เล่นละครไม่เป็นเสียเลย ส่วนคนที่ไม่ทำสิ่งใดขวางหูขวางตามนุษย์เสียเลย คือคนที่เล่นละครเก่งที่สุด”

“ฉันคิดว่าคนชนิดที่คุณกล่าวทีหลังนี้เป็นคนที่น่ากลัวอยู่”

“ไม่ใช่น่ากลัวค่ะ” อนงค์ค้าน “เป็นคนน่าชมซีคะ คิดดูง่าย ๆ อะไรเป็นเหตุให้คนแสดงกิริยาเป็นที่ขวางหูขวางตามนุษย์มากที่สุด ดิฉันคิดว่าความหยิ่งกับความโกรธ และความโกรธนั้นเมื่อมันเกิดขึ้นแล้วมันไม่ยอมอยู่แต่ในใจเท่านั้น ต้องดิ้นรนออกมาภายนอกจนได้ เพราะฉะนั้นคนที่ไม่เคยแสดงความโกรธให้ใครเห็นเสียเลยจึงนับว่าเป็นคนน่าชมนัก”

อนงค์พูดเช่นนี้ คือหล่อนยอผู้ฟังซึ่ง ๆ หน้า แต่วิชัยไม่เข้าใจเป็นดังนั้น เขากลับถามว่า

“เรายังไม่มาถึงตอนที่ฉันถูกหาว่าเล่นละครเก่งไม่ใช่หรือ?”

“ถูกหา !” หญิงสาวทวนคำ “ดิฉันเคยได้ยินผู้ที่ดิฉันต้องเชื่อเล่าให้ฟังว่า อย่าว่าแต่ความโกรธ แม้ความไม่พอใจก็จะไม่ได้พบในกิริยาของคุณพระ”

วิชัยนิ่งอยู่ในทีตรอง เป็นเวลานานสักครั้งหนึ่งจึงเขาจะตกเกณฑ์ต้องฟังและพูดถึงความรู้สึกภายในของตนเองดังเช่นคืนนี้ ออกรู้สึกพิศวงที่ผู้สนทนาสนใจจะต่อคำกับเขานัก ในเรื่องที่เขาเห็นว่าหล่อนไม่น่าเอาใจใส่เลยสักนิด แต่เมื่อได้พูดกันมามากแล้ว เห็นควรจะพูดให้แจ่มแจ้งโดยตลอด เขาจึงตอบว่า

“คุณเรียกคนที่ไม่แสดงความโกรธให้ใครเห็นว่าเป็นนักเล่นละครเก่งที่สุดก็ตามทีเถิด เพราะเป็นความเห็นของคุณ สำหรับฉันคิดว่าการระงับความโกรธไม่ให้ออกนอกหน้านั้นเป็นการระงับใจไม่ให้วู่วามด้วย ซึ่งในที่สุดใจของเรากับกิริยาของเราก็จะตรงกัน แต่การแสดงละครนั้นใจกับกิริยาเดินกันคนละทางเทียวนะคุณ”

“คนที่ไม่แสดงกิริยาโกรธให้ใครเห็นนั้น หมายความว่าใจของเขาไม่รู้จักโกรธใครด้วยหรือคะ?” อีกฝ่ายหนึ่งถามพลางยิ้มในหน้า

ยิ่งเสียกว่ารู้เท่าทันลักษณะยิ้มนั้น แต่วิชัยก็ตอบเรียบ ๆ ว่า

“ไม่ถึงกับยังงั้น เป็นแต่เพียงโกรธแล้วก็บังคับปาก บังคับกิริยาไว้ด้วย แล้วดับความโกรธลงทีละน้อย ๆ จนหมด ถ้าทำเช่นนั้นบ่อย ๆ เจ้าความโกรธมันเป็นตัวอะไรตัวหนึ่งที่ขี้ขลาดและไม่มีความพยายาม ลงเราเอามันไว้ใต้อำนาจได้เสียทีหนึ่ง คราวหลังมันก็ไม่กล้าแผลงฤทธิ์ หนักเข้ามันเกือบจะไม่กล้ามากวนเสียด้วยซ้ำ

ตลอดเวลาที่ฟัง อนงค์มองดูผู้พูดไม่วางตา เมื่อเขาหยุดหล่อนก็ถามพร้อมกับยิ้ม แต่เป็นยิ้มที่เกิดจากความรู้สึกต่างกับคราวก่อน

“เจ้าตัวโกรธเห็นจะกลัวคุณพระมานานแล้ว คุณพระจึงไม่รู้จักโกรธใคร”

วิชัยยังไม่วางใจ จึงตอบโดยไม่หัวเราะ

“คนที่ไม่รู้จักโกรธเสียเลยนั้น ต้องเป็นอริยบุคคล ฉันเองยังเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น”

อนงค์มีไหวพริบในเชิงจับน้ำเสียงและสีหน้าคู่สนทนาไม่ยิ่งหย่อนกว่าวิชัย เพื่อจะแสดงให้เห็นความเลื่อมใสที่เกิดขึ้นแก่ใจหล่อน จึงวางส้อมลงไว้ในจานชะโงกหน้าเข้าไปใกล้เขา และพูดด้วยน้ำเสียงเป็นงานเป็นการยิ่ง

“ถ้าคุณพระยังไม่เป็นอริยบุคคล ก็เป็นบุคคลที่อยู่เหนือมนุษย์ธรรมดาแล้วละค่ะ มีคนบอกกับดิฉันว่าเรื่องที่ใคร ๆ ในโลกจระงับใจไม่โกรธไม่ได้ คุณพระก็ระงับได้”

เขาหัวเราะและตอบว่า

นั่นแสดงว่าโลกของเขาคนที่บอกกับคุณเช่นนั้นแคบมาก”

“อาจจะเป็นได้ แต่โลกของเขาไม่แคบกว่าโลกของดิฉัน”

“อาจจะเป็นได้” วิชัยเลียน “แต่ว่าคงไม่ใช่โลกลูกเดียวกัน”

อนงค์ยิ้ม ชอบใจในโวหารของเขาเป็นอันมากจนไม่อยากนึกต่อล้อต่อเถียงสืบไป ตักอาหารใส่ปาก ๒-๓ คำแล้วถามขึ้นอีก

“มีคาถาอะไรบ้างคะ สำหรับระงับความโกรธ?”

“ยังไงก็ไม่ทราบ” วิชัยตอบ รีบเคี้ยวอาหารในปากให้หมดไปโดยเร็วแล้วพูดต่อ “ผู้ใหญ่ท่านสอนให้นับ ๑ ถึง ๑๐ ยังไงล่ะ”

“โอ๊ย !” หญิงสาวอุทาน “อย่าว่าแต่ ๑๐ เลยค่ะ ๑๐๐ ก็ไม่พอ”

“ถ้ายังงั้นก็ต้องไปถึง ๑,๐๐๐ ถึง ๑๐,๐๐๐ ถึง ๑๐๐,๐๐๐”

คุณพระเคยนับจนถึง ๑๐๐,๐๐๐ เหมือนกันหรือคะ”

วิชัยหัวเราะอีก คราวนี้นึกขันจริง ๆ

“เท่าที่จำได้ ดูเหมือนไม่เคยนับแม้แต่ ๑”

“อ้าว ยังงั้นคุณพระระงับความโกรธได้ด้วยวิธีใด? มันต้องมีวิธีซีคะ เพราะธรรมชาติของความโกรธนั้นมีอำนาจแรงมาก”

“คนที่จะหัดไม่แสดงความโกรธออกนอกหน้า ต้องเชื่อเสียก่อนว่าตามที่เรื่องนิทานต่าง ๆ กล่าวถึงความน่าเกลียดน่ากลัวของยักษ์ไว้มากมายนั้น ในเวลาที่โกรธหน้าตาท่าทางของเราไม่ผิดกับยักษ์ที่ท่านกล่าวไว้ กิริยาของคนโกรธเป็นเครื่องขันสำหรับคนดี ๆ เขาหัวเราะเล่น”

“ดิฉันเชื่อค่ะ” หญิงสาวตอบโดยเร็ว วิชัยจึงว่า

“นั่นแหละตัวคาถา ท่องไว้ซี”

“เวลาโกรธหน้าเราเหมือนยักษ์ กิริยาของเราเป็นเครื่องขันสำหรับคนอื่น” อนงค์ท่องพลางหัวเราะ “แหมแต่การที่โกรธแล้วต้องทำหน้าเฉย ++467ไม่ได้พูดได้ทำอะไรเสียบ้าง ดูเหมือนยิ่งทำให้อัดใจมากนะคะ ดิฉันทนไม่ไหวแน่”

“ยังงั้นก็ต้องเชื่อต่อไปอีกว่า ความโกรธเป็นเครื่องร้อน เพราะมันทำให้ใจไม่เป็นสุข”

“ข้อนี้ก็เชื่ออีกละค่ะ”

“ยังงั้นก็เป็นคาถาที่ ๒”

“ค่ะ ความโกรธเป็นเครื่องร้อน แล้วว่ายังไงถึงจะห้ามไม่ให้โกรธได้ล่ะคะ?”

“ขั้นแรกอย่ายอมลงเนื้อเห็นว่า ใครมีเจตนาร้ายต่อคุณเป็นอันขาด ถ้ามันจำเป็นต้องเห็น จงถามตัวเองว่าคุณได้ทำสิ่งใดให้เคืองใจเขาหรือเปล่า ถ้าคุณได้ทำก็เป็นความผิดของคุณเอง ทำไมจะไปโกรธเขาเล่าถ้าคุณไม่ได้ทำ เขามาหาเรื่องคุณเล่นสนุกเปล่า ๆ จงตั้งใจว่าจะชนะความโกรธด้วยความไม่โกรธ กลั้นปากกลั้นมือไว้ให้ดี คุณจะชนะจริง ๆ เพราะคนที่มาหาเรื่องกับเราโดยไม่มีสาเหตุนั้น จะเอาเรื่องที่ไหนมาหาได้บ่อย ๆ ผลสุดท้ายก็จะรามือไปเอง”

“ฟังดูคุณพระพูดดูเหมือนจะทำได้ง้ายง่าย” อนงค์กล่าวเชิงปรารภ “แต่ถ้าทำจริง ๆ คงยากพิลึก”

พระอรรถคดี ฯ ไม่ตอบ รับประทานอาหารเป็นคำสุดท้ายแล้วก็รวมมีดและส้อมไว้ในจาน อนงค์จึงบอกกับเขาว่า

“ของว่างอย่างอื่นยังมีอีกนะคะ เราไปแบ่งมาอีกเถอะ”

“ฉันเองนะอิ่มแล้ว คุณจะต้องการอะไรอีกโปรดใช้ฉันก็ได้”

ดิฉันก็อิ่มแล้วคะ แต่คุณพระคงต้องการเครื่องดื่ม?”

วิชัยสั่นศีรษะ “ไม่ต้องการอะไรเลย สบายพอแล้ว ว่าแต่คุณจะต้องการอะไร จะให้ฉันไปรับมาให้หรือจะไปด้วยกัน?”

“ต้องรับประทานไอศครีมฝีมือพี่ช้อยผสม โปรดรับมาฝากดิฉันด้วย

วิชัยวางจานไว้บนที่รองปีอาโน แล้วก็ออกจากห้องไปตามเฉลียงพอใกล้ห้องที่ตั้งอาหาร พบคนใช้ถือถาดไอศครีมเที่ยวเดินแจก นายร้อยตรีชัดเดินตามหลังผู้ถือถาดมา และร้องว่า

“ก๊อปี้โส่ย ช็อกกกอเล็ตโส่ย โอเล้นช์โส่ย”

มีหนุ่มสาวอยู่ที่นั่นเป็นกลุ่มใหญ่ คนหนึ่งพูดขึ้นว่า

“ลูกสมุนแป๊ะม้อพลัดมาอยู่ที่นี่คนหนึ่ง”

ผู้ที่ไม่เข้าใจคำพูดของชัด ก็เกิดความเข้าใจขึ้นบัดนี้ จึงมีเสียงหัวเราะดังประสานกันหลายเสียง

วิชัยเดินหลีกคนเข้าถึงถาดไอศครีม หยิบได้ ๒ ถ้วยมีขนมปังหวานพร้อมแล้วก็กลับหลัง

“เอ๊ะ พี่ใหญ่” ชัดทักขึ้น ๒ ถ้วยเทียวหรือได้ใครหนอเป็นเพื่อนกิน”

“ไปแอบซ่อนอยู่ที่ไหนมา?” สมพงศ์เสริม

“ไม่ตั้งใจซ่อนแต่ไม่อยากให้ใครเห็น” พระอรรถคดี ฯ หันมาตอบ พอได้ยิน ๒-๓ เสียงเอ่ยชื่อเจ้าของบ้านสาว เขาจึงลัดเข้าเสียในห้องรับแขกโดยเร็วแล้วสาวเท้าอ้อมเฉลียงไปเข้าห้องเต้นรำทางด้านหลัง

“ใคร ๆ เขาถามถึงคุณออกขรมไปแล้ว” วิชัยบอกทันทีที่ยืนอยู่ตรงหน้าอนงค์ และส่งไอศครีมให้หล่อน

“ช่างเขาเถิดค่ะ” หญิงสาวตอบอย่างไม่เอาใจใส่ “ดิฉันไม่มีเวลาได้พูดกับคุณพระเลยในตอนหัวค่ำ เพิ่งได้นั่งพูดกันตอนนี้เท่านั้น”

ทั้ง ๒ รับประทานไอศครีมอยู่เงียบ ๆ วิชัยส่งใจออกไปนอกห้องถึงหญิงคนหนึ่ง ซึ่งเขาได้เห็นเพียงแว็บเดียว กำลังยืนสงบเสงี่ยมอยู่ข้างตัวสมพงศ์

แล้วอนงค์พูดขึ้นว่า

“ป่านนี้พี่ช้อยถ้าจะกลับแล้วกระมัง ถ้าจะคิดถึงลูกนะคะ มาเสียตั้งแต่เช้า อันที่จริง ถ้าดิฉันทราบว่าเธออยากกลับแต่หัวค่ำ ก็จะให้รถไปส่งเสียแล้วไม่ต้องรอคุณอา”

ด้วยความที่กำลังคิดเพลิน วิชัยไม่นึกจะตอบว่ากระไรทั้งสิ้น อนงค์วางถ้วยไอศครีมลงไว้ข้างตัว วิชัยก็วางถ้วยของเขาลงพร้อมกัน แล้วหยิบซองบุหรี่จากกระเป๋าเสื้อมือหนึ่ง อีกมือหนึ่งหาไม้ขีดไฟแต่หาไม่ได้ เขาจึงทำท่าจะเก็บบุหรี่เสีย พออนงค์พูดขึ้นว่า

“ไม้ขีดไฟหรือคะ โปรดดูตรงข้างปีอาโนแน่ะค่ะ มีหีบบุหรี่วางอยู่ที่นั่นสำหรับเลี้ยงนักดนตรี หรือใครย้ายไปไว้เสียที่ไหนก็ไม่ทราบ”

“อยู่ ได้แล้ว” วิชัยตอบพลางสั่นกลักไม้ขีดไฟ

เขาเปิดซองบุหรี่ส่งให้อนงค์ หล่อนปฏิเสธและเสริมว่า

“คุณอาท่านบอกว่าดิฉันมีความดีเหลืออยู่อย่างเดียวคือไม่สูบบุหรี่ เพราะฉะนั้นต้องรักษาความดีนี้ไว้เสมอ”

วิชัยหยิบบุหรี่ใส่ปากตัวเอง เก็บซองเสียดังเดิมพอจะขีดไม้ขีดไฟ อนงค์ก็เอื้อมมือออกมา

“ให้ดิฉันจุดเถอะค่ะ” หล่อนกล่าว

เขาส่งไม้ขีดไฟให้หล่อนแล้วพูดแกมหัวเราะ

“กลัวฉันจะเอาใส่กระเป๋าไปบ้านเสียด้วยหรือ?”

หญิงสาวหัวเราะกิ๊ก “ต๊าย ! ดูเอาเถอะ” หล่อนพูดมีอาการงอนแกมเล็กน้อย “ตั้งใจจะทำดี กลับกลายเป็นตรงกันข้าม”

พระอรรถคดี ฯ ยื่นปลายบุหรี่ที่ตนคาบไว้แล้วเข้าไปใกล้มืออนงค์ หญิงสาวก็จุดไฟให้เขา ในเวลาเดียวกันนั้นไฟฟ้าในห้องก็เปิดพรึ่บขึ้นสว่างจ้า

“โอ้ อนงค์นั่นเอง !”

“พิโธ่ มาแอบอยู่นี่เอง”

ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ

หลายเสียงดังประสานกัน และดังแซ่ต่อไปอีก

“แชมเปญ เชมเปญเจ้าข้า !”

หาตัวได้แล้ว !”

“แชมเปญ ดื่มให้เจ้าภาพ !”

ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ

ภายในเวลาเพียงเล็กน้อย ห้องอันสงัดอยู่เมื่อครู่ก่อนก็ก้องไปด้วยเสียงพูดเสียงหัวเราะ เสียงส้นรองเท้ากระแทกพื้น มีการดื่มและการให้พรเซ็งแซ่ยืดเยื้อ เพราะว่าทุกคนต้องการจะแข่งกันแสดงโวหารอันไพเราะ แม่สาวเจ้าของบ้านสรวลยิ้มระริกกับคนโน้น ชำเลืองค้อนคนนี้ นิ่วหน้าใส่คนนั้น แสดงบทดาราอันรุ่งโรจน์ได้อย่างงดงาม

นักดนตรีกลับเข้าประจำที่ เจ้าของบ้านพยักให้เริ่มบรรเลง วิชัยเลี่ยงออกจากห้องนั้น พอเห็นจันทรยืนอยู่เดียวเบื้องหลังคนที่กำลังตื่นในอันจะห้อมล้อมเจ้าของบ้าน จนเบียดเอาจันทรพลัดไปทางหนึ่ง วิชัยตรงเข้าไปหาหล่อน ความยินดีปรากฏอยู่ในแววตายิ้มอย่างสุภาพและถามว่า

“สนุกไหม?”

ก่อนที่จันทรจะตอบ ทั้ง ๒ ได้เดินออกห่างหมู่คนไปหยุดที่ริมเฉลียง หญิงสาวยกข้อศอกขึ้นเท้าขอบลูกกรงหินอ่อนไว้ ทอดสายตาไปยังสนามหญ้าแล้วพูดว่า

“เป็นครั้งแรกที่ดิฉันได้เห็นงานอย่างนี้”

“ชอบไหม?” วิชัยถาม

“สนุกมากค่ะ แต่ว่ารู้สึกเมื่อยขา ดูเหมือนตั้งแต่มาถึงยังไม่ได้นั่งเลย”

“ยังงั้นควรจะไปหาที่นั่งเสียดีกว่า จะได้พักขาเสียบ้าง”

“อย่าเลยค่ะ ดิฉันอยากอยู่ที่ตรงนี้ ได้เห็นของสวย ๆ”

“ของสวย” ที่จันทรกล่าวถึงนั้น คือธารน้ำพุซึ่งประดับด้วยไฟฟ้าต่างสีดวงน้อย ๆ ห้อยติดต่อกันเป็นสายยาว สายน้ำที่พุ่งขึ้นสูงต้องประกายไฟก็เกิดแสงระยิบระยับ น้ำค้างในฤดูหนาวค้างอยู่ตามยอดหญ้าสีเขียวสด มองเห็นหยาดใสแจ๋วคาดไปทั่วพื้นสนาม

พระอรรถคดี ฯ เห็นด้วยกับความคิดของจันทร เขาจึงว่า

“ถ้าเช่นนั้นฉันจะไปยกเก้าอี้มาให้?”

“อย่าเลยค่ะ ขอบพระคุณ ยืนอยู่อย่างนี้สบายแล้วหดขาก็ได้” แล้วหล่อนทำกิริยาประกอบคำพูด

วิชัยพิศดูร่างซึ่งต้องแสงไฟฉายอยู่เต็มที่ ทั้งที่จันทรได้ออกกำลังเข้าจังหวะดนตรีมาแล้วเกือบครึ่งคืน นวลหน้าของหล่อนจะได้หมองลงสักเล็กน้อยก็หาไม่ ผิวขาว ๆ นวลดังกลีบกุหลาบ นวลผ่องตั้งแต่วงหน้ารูปไข่ คอกลมระหง แขนเรียว ตลอดจนถึงปลายนิ้ว ดูตาของหล่อนดาวพฤหัสบดีที่ฉายแสงอยู่เบื้องหน้าโน้นยังไม่ทัดเทียม เมื่อได้พิศแล้วและเห็นหล่อนเป็นเช่นนี้ หัวใจของชายที่สำคัญว่าตนมีโลหิตอันอ่อนความอุ่นอันมากพอแล้ว ก็มีอาการตื่นตัวและแรงผิดปกติขึ้นในบัดนั้น

“เธอชอบเต้นรำหรือ?” วิชัยถามขึ้นด้วยเสียงค่อนข้างเบา

จันทรหัวเราะน้อย ๆ “ชอบเวลาที่เต้นกับเขาถูกค่ะ” หล่อนตอบ “เวลาเต้นไม่ถูกรู้สึกรำคาญ”

“รวมความว่า ถ้าเต้นกับเขาถูกทั้งหมดเธอคงชอบใช้ไหม?”

หญิงสาวหัวเราะอีก มีอาการไม่แน่ใจว่าควรจะตอบอย่างใด ในที่สุดจึงว่า

“ถ้าเป็นคงสนุกมากเทียวค่ะ”

วิชัยถอนใจเบา ๆ แล้วนิ่งเงียบไปด้วยกันทั้ง ๒ ฝ่ายอีกครู่หนึ่งจันทรพูดขึ้นว่า

“แรกมาถึงดิฉันรู้สึกตัวว่าเปิ่นเหลือเกิน”

“ทำไมถึงเป็นดังนั้น?”

“แต่งตัวไม่เหมือนคนอื่นเขาซิคะ ดูซิ ใคร ๆ เขาแต่งแหม่มกันทั้งนั้น มีดิฉันกับคุณสะอาง แล้วก็คุณอะไรอีกคนหนึ่งเท่านั้นที่นุ่งซิ่นมาขายหน้าเขาออก”

ในเวลาที่ยืนอยู่ตามลำพังหญิงที่เป็นเจ้าสาวแห่งดวงใจของเขาเช่นนี้ วิชัยมีอุปทานเหมือนกับว่าหญิงนั้นเป็นของเขาแล้ว บัดนี้เขากำลังฟังความคิดของหล่อนอันแสดงความเห็นผิดเป็นชอบ ให้เกิดความที่ปรารถนาจะตักเตือนหล่อน เช่นเดียวกับที่เขาคอยตักเตือนตนเองอยู่เป็นนิจในเหตุการณ์ทั่วไป ดังนั้นวิชัยจึงว่า

“เธอไม่ควรคิดว่าการที่เธอเป็นไทย และแต่งตัวตามที่คนไทยเคยแต่งเป็นของน่าอับอาย เพราะเธอนั่นแหละเป็นฝ่ายถูก เราทุกคนก่อนที่จะทำสิ่งใดลงไปควรคิดถึงเหตุผลเสียก่อน ไม่บังควรทำเพื่อเอาอย่างเขา”

เห็นจันทรมองดูตนเฉยอยู่ วิชัยจึงพูดต่อไป

“เธอเองคงนึกว่า ทำไมฉันไม่ให้เหตุผลแก่เธอในการที่ฉันไม่ชอบให้คนไทยแต่งฝรั่ง ฉันเองคอยฟังและคอยที่จะเข้าใจเหตุผลของคนที่แต่งฝรั่งอยู่เสมอเหมือนกัน แต่เหตุผลเหล่านั้นฟังไม่ขึ้น ส่วนเหตุผลของฉันนั้นเปรียบเหมือนหญ้าปากคอก หากคนอื่นเขามองข้ามไปเสียหมดจึงมองไม่เห็น คิดดูง่าย ๆ เมื่อรายรับในบ้านของเรามีน้อยกว่ารายจ่าย เราไม่มีปัญญาหาเงินเข้าบ้าน อย่างน้อยที่สุดเราต้องสงวนเงินที่มีอยู่แล้วมิให้ไหลออกนอกบ้านโดยไม่จำเป็น จึงจะเรียกเราเป็นคนมีความคิด”

พระอรรถคดีวิชัยเป็นชายที่ได้อบรมใจไว้ในธรรมของสัตบุรุษครบตามที่พุทธบัณฑิตยกเป็นข้อสำคัญทุกข้อ ยิ่งบ้างหย่อนบ้างตามอุปนิสัยแต่ข้อที่เขาปฏิบัติโดยหย่อนและอ่อนหัดที่สุดนั่นคือข้อที่ ๑ ในหมวดสัปปุริสธรรมปุคคลโรปรัญญตา แปลว่าความเป็นผู้รู้จักบุคคลยิ่งคนที่เราวิสาสะด้วยใจรัก วิชัยมักปฏิบัติต่อบุคคลผู้นั้นโดยนัยแห่งความสำคัญคิดว่าเป็นผู้มีธรรมสมบัติ จริยสมบัติ และวุฒิสมบัติเสมอยิ่งกว่าตนแล้ว

แต่จันทรได้ยกมือขึ้นปิดปากหาว ก่อนที่วิชัยจะได้พูดจบลง !

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ