เวลาเช้าตรู่วิชัยยังหลับ เกิดนิมิตว่าจีนในสยามก่อการกำเริบ ตัวเขาเองจะเป็นโดยสถานใดก็ตามได้ถูกเกณฑ์ไปปราบพวกเหล่านี้ด้วยกำลังปลุกปล้ำต่อสู้กับจีนคนหนึ่งท่ามกลางเสียงม้าฬ่อ และเสียงประทัด วิชัยลืมตาขึ้นพบตัวเองอยู่ในมุ้ง กำลังปล้ำหมอนข้างอย่างขนานใหญ่ เขาเริ่มรู้สึกตัวว่าฝัน แต่เสียงดังโครมครามยังดังอยู่ใกล้หูทำเขางงไป แล้วก็ตกใจถึงกับลุกนั่งขึ้นโดยเร็ว มองทะลุผ้าโปร่งไปตรงหน้า พบฝาเรือนและประตู เกิดความแก่ใจว่าตนกำลังอยู่ในห้องนอน ซึ่งหมายความว่าไกลจากเสียงอึกทึกจะพึงกล้ำกราย เพราะบ้านผู้พิพากษาจังหวัดสงขลา ไม่เคยมีคนพาลสันดานหยาบมาเกะกะ เหตุไฉนวันนี้จึงมีเสียงอันไม่ไพเราะเสนาะหูมารบกวนแต่รุ่งสาง ออกนึกโกรธเท่าที่ใจเย็นเช่นเขาพึงโกรธเป็น จึงเปิดประตูมุ้งออกโดยแรง เห็นตู้เสื้อผ้าของตนตั้งตระหง่านอยู่ข้างเตียง แสงทองส่องลอดช่องหน้าต่างอันปราศจากม่าน วิชัยยกมือขึ้นเกาศีรษะ เขาเพิ่งนึกได้เดี๋ยวนี้เองว่าในบ้านที่เขาอยู่นี้ ซึ่งเขาเป็นเจ้าของโดยตรง-มิได้มีเฉพาะตัวเขาเป็นประมุขสิทธิ์ขาดแต่ผู้เดียว การนอนของเขาจึงไม่ปลอดโปร่งดังที่เคย คิดได้ดังนี้แล้ววิชัยก็หันกลับขึ้นเตียงทิ้งตัวลงบนที่นอนดังเก่า

เสียงอึกทึกนั้น ปรากฏว่าเป็นเสียงประตูและเสียงฝีเท้า ครั้นแล้วก็มีเสียงพูด เสียงบ่น เสียงด่า บัดนี้วิชัยยังนึกได้ต่อไปอีกว่า ห้องนอนของเขาอยู่ติดกับห้องนายร้อยตรีชัด และจำได้ด้วยว่านายทหารหนุ่มน้องเขานั้น จะต้องไปฝึกหัดทหารก่อน ๖ นาฬิกา แทนความฉงนสนเท่ห์และความฉุน วิชัยนอนฟังเสียงต่าง ๆ ที่ดังมาจากห้องด้วยอารมณ์ดี ประมาณ ๑๕ นาทีจึงได้ยินเสียงรองเท้ากระทบพื้นกระดานโดยแรงและเร็วและไปสุดเสียงลงเมื่อชัดลงบันไดเรือนไปแล้ว

บัดนั้น ดวงจิตวิชัยก็ประหวัดถึงความหลัง เมื่อครั้งตนยังศึกษาอยู่ในโรงเรียนนายร้อย และภูมิใจยิ่งนักในเครื่องแบบแห่งโรงเรียน ซึ่งตนมีความชอบธรรมที่จะสวมได้

ธรรมชาติอย่างหนึ่งที่มนุษย์เห็นได้ด้วยตา ดังนั้นจะกล่าวยืนยันให้จะแจ้งว่าคือสิ่งใด มีขึ้นอย่างไรก็ยากที่จะกล่าว แต่มนุษย์ได้บัญญัติศัพท์ไว้สำหรับเรียกธรรมชาตินี้ว่า กรรมพันธุ์ คือกรรมที่ติดต่อกันในวงศ์

มนุษย์คนหนึ่งเมื่อยังคงชีพ มีวัตถุสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นของตน ครั้นชีวิตล่วงไปแล้ว ตามความนิยมของโลกย่อมให้วัตถุนั้นแก่บุตร เรียกว่า มรดก

จะแยกมรดกออกเป็น ๒ ชนิด ชนิดหนึ่งเป็นนามที่มีรูป ย่อมหยิบยื่นยกให้ปันกันได้ อีกชนิดหนึ่งเป็นนามไม่มีรูป ใครไม่มีอำนาจที่จะยกให้ใคร แต่จะหวงแหนมิให้ตกถึงใครได้ก็เป็นการเกินอำนาจอีก มรดกชนิดที่ ๒ นี้ได้แก่กรรมพันธุ์

คนทั้งหลายมีความเชื่อว่า ลูกย่อมเหมือนพ่อแม่ โดยลักษณะและนิสัย นี่คือคนทั้งหลายเชื่อในกรรมพันธุ์ แต่บางคราวปรากฏว่าพ่อกับลูกหรือแม่กับลูกผิดแผกกันมากทั้งกายและใจ ข้อนี้เป็นเพราะกรรมพันธุ์ไม่เป็นมรดกที่จะตกทอด รับช่วงกันแต่เฉพาะจากพ่อแม่ถึงลูกโดยตรง หากจะข้ามชั้น หลานรับจากปู่หรือตา หรือเหลนรับจากทวดก็มีมากอยู่ ดังเช่นวิชัย ทวดของเขาเป็นนักรบที่แกล้วกล้ากลางศึก ปู่เป็นคหบดีมีนาให้เช่าและทำนาของตนเอง บิดาเป็นข้าราชการฝ่ายปกครอง ส่วนตัววิชัยรักทหาร รักความเป็นทหาร และรักการเป็นทหาร ตลอดจนเครื่องแบบทหารตั้งแต่แรกรู้ความ

“คุณพ่อฮับ ใครเป็นนายใหญ่ของทหาร?” วิชัยเคยถามบิดาดังนี้ด้วยท่าทางขึงขัง และสีหน้าขรึมอย่างเอางานเอาการ ครั้นได้รับคำตอบว่า “แม่ทัพซิลูก” วิชัยก็ยืนตัวตรง แอ่นอก ยกศีรษะ แล้วพูดอย่างเด็ดขาด “หนูโตแล้วหนูจะเป็นแม่ทัพใหญ่” ครั้นแล้วสัญชาตญาณแห่งเด็กที่จะโตขึ้นเป็นผู้มั่นในกตัญญูรู้เชิดชูผู้ให้กำเนิดไว้เหนือตน เขาหันมาถามบิดาว่า “แล้วใครเป็นนายแม่ทัพใหญ่ฮับ” “เวลาสงครามไม่มีใครเป็นนายทัพใหญ่หรอกลูก” คราวนี้พ่อหนูน้อยก็นิ่งคิดแล้วจึงว่า “ผมเป็นแม่ทัพเล็กเท่านั้นแหละ คุณพ่อเป็นแม่ทัพใหญ่ดีกว่า”

ต่อมาอีก ๓ ปี เมื่อพระราชวงศ์ผู้สูงศักดิ์ได้ทรงจัดการให้โรงเรียนนายร้อยเติบใหญ่ และเจริญดังที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ เด็กน้อยผู้มีความใฝ่ฝันล้วนแล้วไปด้วยเรื่องของนักรบ ก็ได้เข้าศึกษาวิชาในโรงเรียนนักรบสมประสงค์

แต่วิถีแห่งชีวิตมนุษย์ หาได้อยู่ใต้ความเจตนาและความควบคุมของมนุษย์ไม่ แต่พอวิชัยสอบไล่ได้ขึ้นอยู่ในชั้นประถม ๓ ก็มีเหตุร้ายเกิดขึ้นแก่ครอบครัว ร้ายนักจนถึงกับวิชัยต้องหมดหวังในการที่จะดำเนินชีวิตตามรอยเท้าผู้เป็นทวดต่อไปทีเดียว

บิดาของวิชัยมีบรรดาศักดิ์เป็น พระศรีวิชัยบริรักษ์ มีตำแหน่งเป็นนายอำเภอจักรวรรดิ์ โดยตำแหน่งนี้ คุณพระมีหน้าที่รับผิดชอบด้วยกับสมุห์บัญชี รักษาเงินราชการเมื่อคืนวันเกิดเหตุ มีผู้รู้เห็นว่านายอำเภอกับสมุห์บัญชีนั่งรถลากออกจากโรง “หนังญี่ปุ่น” ด้วยกัน ครั้นรุ่งเช้าเมื่อสมุห์บัญชีกับนายอำเภอ ผู้ต่างฝ่ายต่างถือกุญแจตู้กำปั่นคนละดอก คือนายอำเภอถือกุญแจกำปั่นชั้นนอก สมุห์บัญชีถือกุญแจชั้นในพากันไปไขกำปั่นนั้น ปรากฏว่าเงินที่มีอยู่ ๑๒,๐๐๐ บาท เมื่อวันก่อนนั้นหายไปจนหมดสิ้น

ได้มีการไต่สวนอย่างละเอียด แต่ไร้ผล ไม่มีรอยชำรุดที่กำปั่นแม้แต่เล็กน้อย ดำรวจที่อยู่ยามรักษาการยืนยันว่าไม่ได้ยินหรือได้เห็นสิ่งใดผิดปรกติ และเจ้าหน้าที่ค้นไม่พบของกลาง ใบหน้าผู้รักษาเงินทั้ง ๒ ไม่มีผู้ใดไขความลับให้กระจ่างได้ ทางราชการจึงบัญชาให้ขังตำรวจผู้รักษาหน้าที่เสีย ๑ เดือน และปลดนายอำเภอและสมุห์บัญชีออกจากราชการ โดยมิได้รับพระราชทานเบี้ยบำนาญ

มีคำกล่าวว่า ตัวเคราะห์เมื่อเข้าสู่ผู้ใด หาเข้าแต่ตัวเดียวไม่ หากย่อมเข้าหลายตัวในคราวหนึ่ง เช่นเดียวกับตัวเคราะห์ที่เข้าสู่พระศรีวิชัย ฯ แต่พอคุณพระต้องโทษมัวหมองได้สักหน่อย ห้องแถว ๑๘ ห้อง ปลูกอยู่ริมถนน ๒๒ กรกฎา เป็นสมบัติที่พระศรีวิชัยได้รับจากบรรพบุรุษก็ถูกเพลิงเผาผลาญวินาศไปในเวลาไม่ถึง ๒ ชั่วโมง ต่อจากนั้นเจ้าทรัพย์ก็ล้มเจ็บเป็นโรคเส้นประสาทอย่างแรง

ในระยะต้นนี้ วิชัยยังคงศึกษาประจำอยู่โรงเรียนเดิม ทุก ๆ วันเสาร์เขากลับมานอนค้างที่บ้าน และถือโอกาสพยาบาลบิดาด้วยความเอาใจใส่ และช่วยมารดาทำงานเท่าที่ความสามารถของตนจะทำได้

“ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ” ดังปรารภในพุทธศาสนสุภาษิต โดยนัยนี้ ความมีโรคก็เป็นเครื่องล้างลาภอย่างร้ายกาจ เมื่อหมดเงินเดือน หมดรายได้จากห้องแถว ครอบครัวพระศรีวิชัยยังมีหวังแต่จะพึ่งค่าเช่านา และดอกเบี้ยจากตัวเงินสะสมไว้ได้บ้างเล็กน้อย ครั้นประมุขแห่งครอบครัวเจ็บหนัก ค่ารักษาที่ต้องเสียมิใช่เสียเป็นระยะเวลาเสมอกันดังเช่นรายรับที่ได้รับเป็นกำหนดรายปีหรือรายเดือน หากต้องเสียไม่จำกัดเวลาใด จึงเป็นธรรมดาที่ภายในเวลาอันสั้น เงินทุนที่มีอยู่ก็หมดไป รายจ่ายท่วมรายได้ ถึงกับต้องจำนำอสังหาริมทรัพย์ เพื่อหาเงินมาใช้

เมื่อหมดเกียรติ หมดทรัพย์ ก็หมดเพื่อน หมดตลอดทั้งข้าทาสหญิงชาย งานในบ้านทุกชนิดเว้นแต่งานทำครัว นางศรีวิชัยต้องประกอบเอง โดยมีลูกหญิงคนโตที่ควรจะช่วยได้มาก แต่ขาดความเคยและความอดทนเป็นผู้ช่วย กับมีลูกหญิงอีก ๓ คนพอวิ่งเต้นหยิบโน่นฉวยนี่ได้บ้าง ถ้าเจ้าหล่อนน้อย ๆ นั้นไม่มัวเป็นห่วงที่จะหนีไปวิ่งเล่น หรือหาเรื่องทะเลาะวิวาท ตลอดจนหยิกตีกันเอง นอกจากนั้นเจ้าหล่อนทั้ง ๔ คนนี้ยังอยู่ในเขตแห่งการต้องไปโรงเรียน เพื่อการศึกษา ซึ่งหมายความว่าภายหลังที่ต้องทำตนอยู่ในระเบียบ และทำงานด้วยสมองมาหลายชั่วโมงแล้วก็เป็นธรรมดาของเด็กที่เกิดมาในความสุขสมบูรณ์ จะเบื่อหน่ายต่องานบ้านอย่างที่สุด

ส่วนวิชัยผู้เป็นบุตรหัวปี มีวัยเป็นอาวุโส มีความคิดพอที่จะเข้าใจในความทุกข์ และช่วยทุกข์หนักด้วยกับมารดา ผู้ต้องแบกภาระอันใหญ่ยิ่งไว้ในอกแต่ผู้เดียว เขาจึงเพิ่มความอุตสาหะ ในการที่จะทำตัวเป็นประโยชน์แก่ครอบครัวยิ่งขึ้นเสมอ คิดดูก็เป็นข้อขำ ความดีของคนหนึ่งนั้นเองเป็นต้นเหตุแห่งความวิบากของตนเอง....ลูกรักของแม่ เจ้าคนเดียวเป็นคนช่วยทำให้แม่เบาอกได้ทุกระยะ ๑ สัปดาห์ ทำไมเล่าเจ้าไม่มาช่วยแม่ให้ทุกวัน!!!--ในเดือนนั้นเอง โดยคำวิงวอนแกมบังคับของมารดา วิชัยต้องลาจากโรงเรียนนายร้อย ลาจากทางแห่งอาชีพที่เขารัก และได้ใฝ่ฝันถึงความใฝ่สูงมาแต่น้อย !

วันแรก ๆ แห่งการต้องเสียสละนี้ เป็นวันที่วิชัยจะลืมเสียมิได้โดยยาก และน้ำตาที่เขาได้เสียไปเพราะเหตุนี้ ก็จวนจะเปรียบได้ว่าเป็นหยดโลหิตกระเด็นจากตา อย่างไรก็ตาม ประโยชน์ที่นางศรีวิชัยหวังได้จากลูกคนโตนั้นก็มิได้น้อยไปจากที่หวังไว้ ไม่มีงานสิ่งใดเลยที่วิชัยจะดูดายในเมื่อตนจะทำให้สำเร็จได้ การพยาบาลพ่อ การทำความสะอาด การซักรีด การดูแลน้องทั้ง ๔ คน เฉพาะอย่างยิ่งน้องคนเล็กซึ่งมีอายุเพียง ๔ ปี ไม่สมควรละเลยให้พ้นสายตาผู้ใหญ่ การทั้งหมดที่กล่าวมาแล้วนี้ย่อมสำเร็จได้ด้วยความตั้งใจจริงของวิชัยโดยสิ้นเชิง

โรคร้ายของพระศรีวิชัยทำการล้างทรัพย์อยู่ ๒ เดือนเศษแล้วก็ยุติ ภรรยาและบุตรค่อยหายใจสะดวกขึ้น ต่างตั้งหน้าทำการงานอันเป็นกิจวัตรและหาความสุขอย่างเบียดกรอเท่าที่ทุนทรัพย์จะหาให้ได้ การเป็นดังนี้อยู่ ๒ ปีเศษ

ถึงคราวพระศรีวิชัย ฯ จะพ้นเคราะห์ วันหนึ่งหนังสือพิมพ์ลงข่าวเรื่องภรรยาพยายามจะประหารสามีด้วยมีดชายธง เพราะเหตุวิวาทเรื่องชายชู้ ในเวลาที่เจ้าหน้าที่ไต่สวนปากคำ ทั้ง ๒ ฝ่ายบันดาลโทสะกล่าวผรุสวาทแก่กันไม่ลดละ และในที่สุดภรรยาได้แถลงต่อเจ้าหน้าที่ว่า สามีเป็นผู้เคยทำผิดกฎหมาย ตัวเป็นผู้ช่วยสมุห์บัญชีสมคบกันกับสมุห์บัญชีผู้เป็นนาย ทำกุญแจปลอมลักเงินราชการไปจากกำปั่นที่ตั้งอยู่บนที่ว่าการอำเภอจักรวรรดิ์

บุญมาวาสนาช่วย ที่ป่วยก็หายที่หน่ายก็รัก พระศรีวิชัย ฯ มิได้กลับเข้ารับราชการตามเดิม เนื่องจากร่างกายทุพพลภาพ แต่ได้รับเงินเดือนชดเชยเวลา ๓ ปีที่ไม่ได้ทำงานจนครบถ้วน และได้รับพระราชทานเบี้ยบำนาญตามเวลาราชการ ความฟื้นตัวก็ค่อยมีขึ้นแก่ครอบครัวนี้ พร้อมด้วยความนับหน้าถือตาจากญาติมิตรทั้งหลาย

แต่ความใฝ่ฝันในวัยเด็กของวิชัยนั้น เป็นอันเหลวเปล่า วิชัยหมดสิทธิที่จะได้เข้าศึกษาวิชาพลรบเสียแล้วเพราะการลาของเขา ซึ่งในตอนต้นอนุโลมเป็นการลาพักมีขีดจำกัดเวลาเพียง ๓ เดือนเท่านั้น ได้แปรรูปเป็นการลาออกตามข้อบังคับ เพราะเหตุที่วิชัยมิได้กลับเข้าในสถานศึกษาตามเวลากำหนด แต่ความรักทหารยังฝังอยู่ในใจ วิชัยจึงสนับสนุนให้น้องชายได้เป็นนักเรียนนายร้อยแทนตัว ส่วนเขาเองนั้น ต่อมาได้เป็นเนติบัณฑิตสยาม ได้รับราชการในกระทรวงยุติธรรม และไปเป็นผู้พิพากษาอยู่ตามจังหวัดต่าง ๆ หลายปี จนในที่สุดได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นหลวงอรรถคดีวิชัย

แสงทองที่จับขอบฟ้า เปลี่ยนเป็นแสงแดดกล้า ชายหนุ่มผู้นอนลืมตาฝันอยู่จึงลุกขึ้น นำตัวออกมาจากมุ้ง

มองไปรอบฝาผนังทั้ง ๔ ด้านแล้ว วิชัยขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ ในตอนกลางคืน วิชัยมีอารมณ์เบิกบานเยี่ยงคนที่ระเหระหนจากบ้านเกิดไปนับปี ครั้นแล้วได้กลับมายังที่พร้อมด้วยความหวัง ที่จะได้อยู่ยืดยาวก็ย่อมจะปล่อยตัวปล่อยใจให้เบิกบานไปตามอารมณ์ ละเสียซึ่งความพิถีพิถันและการคิดเล็กคิดน้อย เหตุฉะนั้นเขาจึงเข้านอนอย่างสุขสบายโดยมิได้สังเกตเห็นว่าสภาพห้องนอน ของตนนั้นเป็นอย่างไร ครั้นถึงเวลาเมื่อแสงแดดกระจายไปทั่วห้อง วิชัยให้นึกแปลกใจที่ห้องนี้ผิดแปลกไปจากสภาพที่เขาเคยเห็นอยู่เป็นอันมาก

เหลียวหาเครื่องแต่งห้อง ที่เคยใช้ประจำในคราวที่ได้โอกาสมาเยี่ยมบ้าน พบแต่ตู้เสื้อผ้าแบบพ้นสมัยที่เป็นของบิดาท่านเคยใช้อยู่ตู้เดียว ส่วนที่เป็นของเขาเองทั้งโต๊ะ เก้าอี้ เตียง ตลอดจนราวแขวนผ้าเช็ดตัวไม่มีเหลืออยู่ หน้าต่าง ๒ หน้าต่างที่ข้างเตียงมีเศษม่านห้อยร่องแร่งเป็นแผ่นใหญ่ แต่หน้าต่างหัวนอนนั้น แม้แต่ราวม่านก็ไม่เหลืออยู่ ทางปลายเตียงมีโต๊ะเครื่องแป้งเก่าคร่ำคร่า เป็นร่องรอยล้วนลายสลักแบบพ้นสมัยเช่นเดียวกับตู้ กระจกเงาที่ในกรอบไม้อันติดอยู่บนโต๊ะมีทั้งรอยขีด รอยฝ้าบนโต๊ะไม่มีผ้าปู แต่เครื่องตั้งประจำโต๊ะเครื่องแป้งนั้นครบชุด ตั้งแต่ขวดน้ำอบไทยตลอดจนขันน้ำพานรอง

โดยไม่ใช้เวลาคิดอะไรให้มากไปกว่าสงสัยว่า เครื่องแต่งห้องของตนไปอยู่เสียที่ไหน วิชัยคุกเข่าลงบนพื้นห้อง จัดแจงเปิดกระเป๋าเดินทางหาของที่ต้องการ

๑๕ นาทีต่อมา วิชัยก็ออกจากห้องชั้นบนลงมาชั้นล่างเพื่อหามารดา

อันบ้านที่อยู่ของวิชัยนี้ เป็นเรือนไม้อย่างเก่า ชั้นบนแบ่งออกเป็น ๕ ห้องเล็ก ๆ ใช้เป็นห้องสำหรับอยู่ ๓ ห้อง นอกนั้นเป็นห้องรก คือเป็นที่สำหรับคนใช้อาศัยนอนปนกับของ ชั้นล่างทางส่วนหน้า ทำเป็นเฉลียงทั้งกว้างและยาว จึงมีห้องแต่เพียง ๔ ห้อง ซึ่งคุณนายชื่นใช้เป็นห้องนอนเสียห้องหนึ่ง ส่วนอีก ๒ ห้องเรียกว่าห้องรับแขกและห้องกินข้าว

วิชัยพบมารดาอยู่ในห้องนอน กำลังทาแป้ง พอเห็นหน้าบุตรชายก็ทักว่า

“ตื่นแล้วหรือ เมื่อคืนร้อนไหม?”

“ไม่รู้สึกเลยครับ” บุตรชายตอบเสียงแจ่มใส “พอเข้ามุ้งก็หลับสนิทรวดเดียวจนสว่าง พ่อชัดเขาลุกโครมครามถึงได้ตื่น”

“อ้อ วันนี้ พ่อชัดเขาไปฝึกหัด พ่อใหญ่ล่ะต้องไปกระทรวงไหม?”

“ต้องไปครับ แต่ไปสายหน่อยได้”

ขณะนั้น สาวใช้คนหนึ่งของคุณนาย ถือไม้กวาดเข้ามาในห้อง คุณนายกำลังจะรับประทานหมาก พอเห็นคนใช้ก็หยิบตลับขี้ผึ้งขึ้นถือไว้พลางลุกขึ้นยืนบอกลูกชายว่า

“ออกไปข้างนอกเถอะ เด็กมันจะกวาดเรือน”

วิชัยลุกขึ้นจากที่ หยิบเชี่ยนหมากกับกระโถนถือตามคุณนายออกมานั่งที่เฉลียงหน้าห้อง

“คุณแม่ครับ” เขาพูดในครู่หนึ่งต่อมา “เครื่องแต่งห้องของผมไปไหนเสียหมดครับ?”

“อะไร?”

“โต๊ะ เก้าอี้ และอะไรต่าง ๆ ที่ผมเคยใช้”

“อยู่ที่ห้องพ่อชัดแน่ะ นี่ยังไม่ได้เข้าไปเยี่ยมห้องน้องดอกหรือ?”

“เข้าไปประเดี๋ยวหนึ่งเมื่อคืนนี้ ไม่ทันเห็นว่าของ ๆ ผมอยู่ที่นั้น”

ผู้เป็นมารดาหัวเราะแล้วพูดอย่างขัน

“จำไม่ได้น่ะไม่ว่า พ่อชัดเขาเอาไปพ่นสีเสียใหม่สวยเรี่ยมเทียว แล้วเขาให้ช่างต่อตู้มาเข้าชุดอีกใบหนึ่ง อ้อ ! ดูเหมือนโต๊ะหัวนอนด้วย ของพ่อใหญ่แต่เดิมไม่มีไม่ใช่หรือ?”

“ไม่มีครับ” บุตรชายตอบเสียงต่ำ นิ่งอยู่อึดใจหนึ่ง แล้วถามต่อไป “ตู้หนังสือของผมอยู่ดีหรือครับ?”

“อยู่ดี” เป็นคำตอบอย่างแน่นแฟ้น “แม่คอยให้เขาเอายากันตัวสัตว์ใส่ไว้เสมอ เข้าไปดูซิ อยู่ในห้องนั้นทั้ง ๓ ใบ”

มองตามมือมารดา สีหน้าวิชัยเต็มไปด้วยความสนเท่ห์ ห้องนั้นห้องที่คุณนายบอกว่าเก็บตู้หนังสือไว้ เขาจำได้ว่าเป็นห้องสัมภาระ เป็นที่เก็บหีบ กระบุง ตะกร้า ถ้วยชาม โอ่ง ไห ก็เหตุไฉนหนังสือของเขาจึงเข้าไปอยู่ในห้องนั้นด้วย พอจะเอ่ยปากถาม คุณนายก็อธิบายขึ้นเสียก่อน

“พ่อชัดเขาว่าตู้มันเก่าครำครึเต็มทน ตั้งไว้ในห้องรับแขกมันน่าเกลียด เขาก็เลยต่อตู้ใหม่ แล้วเอาหนังสือที่เขาเอามาจากนอกจัดไว้ ไปดูซีของเขาสวยเรี่ยมเทียว แต่ว่าหนังสือยังไม่เต็มตู้ พ่อชัดว่าหนังสือพ่อใหญ่มีสวย ๆ เขาจะเลือกมาใส่ตู้ใหม่ด้วย แต่ยังไม่เห็นเขามาเลือก เห็นจะมัวยุ่งนั่นยุ่งนี่เลยลืม”

วิชัยเอนหลังพิงลูกกรงระเบียงเรือน มือลูบคางนั่งเงียบ ไม่ปริปากว่าอะไรต่อไป

แต่คุณนายชื่นมีเรื่องพูดกับลูกชายอีกมาก พ่อชัดเพิ่งกลับจากประเทศอังกฤษได้ ๘ เดือน ชื่อเสียงกำลังหอมด้วยความรู้ที่กล่าวกันว่าใหม่ที่สุดในหมู่นายทหาร ส่วนร่างกายก็เป็นเสน่ห์แก่ตาด้วยความสวยเก๋ประเปรียวอันคำกล่าวที่น่าชื่นใจปานนี้ คุณนายชื่นย่อมไม่รู้เบื่อที่จะฟัง และพูดซ้ำแล้วซ้ำอีก ก็วันนี้ ผู้ที่คุณนายจะพูดให้ฟังก็เป็นพี่ของชัดเอง ไม่ต้องสงสัยว่าจะช่วยให้การพูดออกรสยิ่งขึ้นอีก ดังนั้น ต่อมาอีกไม่กี่นาทีความเครียดขรึมในดวงหน้าวิชัยก็ละลายไปทีละเล็กละน้อย ด้วยกระแสความปลื้มจากตัวคุณนายดูดเอาบุตรชายพลอยปลื้มไปด้วย

ราว ๘.๓๐ นาฬิกา คุณนายชื่นจึงชวนบุตรไปรับประทานอาหาร

ทั้ง ๒ พากันเข้าในห้องที่เรียกว่าห้องกินข้าว สิ่งแรกที่กระทบสายตาวิชัย คือที่นอนใหญ่ที่นอนหนึ่งวางแอบอยู่ข้างฝา กระชุใบใหญ่วางอยู่เคียงที่นอนและไม้ปั่นนุ่น ๓ อันพิงอยู่ข้างกระชุ และยังมีกระจาดกับตะกร้าเก่า ๆ วางอยู่อีก ๓ ใบ

โต๊ะกินข้าวทำด้วยไม้สัก ขนาด ๘ คนนั่งสบาย เก้าอี้ทำด้วยไม้พยุง วิชัยสั่งทำจากเรือนจำจังหวัดสุรินทร์ในสมัยที่เขาเป็นผู้พิพากษาอยู่ในจังหวัดนครราชสีมา ทั้ง ๒ อย่างนี้เคยตั้งอยู่ในที่เดิมแต่เก่าก่อน โต๊ะถูกคลุมด้วยผ้าชนิดหนา ส่วนเก้าอี้มีปลอกผ้าคลุมอยู่เช่นเดียวกัน ไซน์โบร์ตฝีมือนักโทษ มาจากแหล่งเดียวกันกับเก้าอี้ในเวลาไล่เลี่ยกัน แต่ดูค่อนข้างสกปรกและเก่ากว่ากันมาก เพราะได้รับใช้เป็นที่เก็บภาชนะวางภาชนะตั้งแต่ชาม จาน ถ้วย ตลอดเวลาจนขวดเปล่าอยู่ทุกวี่ทุกวัน

ตลอดเวลา ๑๐ ปีเศษ ที่วิชัยต้องโยกย้ายตัวเองจากจังหวัดนี้ไปจังหวัดโน้นโดยหน้าที่ราชการ คราวใดที่เขากลับมาพักยังบ้าน ก็ได้พบห้องที่เรียกกันอย่างหนึ่งแล้วใช้ประโยชน์สำหรับอีกอย่างหนึ่งเสมอ เหตุฉะนั้นเขาจึงไม่รู้สึกตื่นต่อสภาวะของห้อง ที่เรียกว่าห้องกินข้าวเท่าใดนัก เป็นแต่สงสัยเล็กน้อย จึงถามมารดาว่า

“พ่อชัด เขาไม่ได้ใช้โต๊ะรับประทานอาหารดอกหรือครับ?”

“แรก ๆ เขาก็ใช้หรอกจ้ะ แต่ที่หลังเขาก้อ....เขาไม่ค่อยจะได้กินข้าวบ้าน” ประโยคสุดท้ายกล่าวด้วยน้ำเสียงแสดงว่าอารมณ์ไม่สู้ดีนัก

ที่รับประทานอาหารสำหรับคุณนายนั้นจัดไว้บนเสื่ออ่อน ตรงกับประตูที่เปิดออกทางผนังห้อง วิชัยนั่งลงตรงหน้ามารดา สาวใช้เข้ามาเปิดสำรับ เห็นกับข้าวล้วนแต่กับสำหรับข้าวจริง ๆ เช่นแกงเผ็ด ลูกหนำเลี๊ยบผัด ผักน้ำพริก วิชัยก็หน้าเสีย พอมารดาเงยหน้าขึ้นมองเป็นทีถามเพราะเห็นเขานั่งเฉยอยู่ วิชัยก็ยิ้มเหมือนเด็กที่พยายามยิ้มเมื่อประจบผู้ใหญ่แล้วพูดอ่อย ๆ ว่า

“ผมหัดเท่าไหร่ก็ไม่สำเร็จ มันอิ่มเกินไปจริง ๆ พอรับประทานแล้วชักขี้เกียจ ทำอะไรไม่ได้อยากนอน”

“อะไร?” คุณนายถามอย่างมืดแปดด้าน

“ข้าวเช้าครับ” ตอบเสียงดังขึ้นกว่าเดิม “ผมรับประทานไม่ได้จริง ๆ” รีบพูดต่อโดยเร็วและเสียง่อนลงอีก “พ่อชัดเขารับประทานอะไรเวลาเช้า”

“ไม่เห็นเขากินอะไร นอกจากกาแฟถ้วยเดียวกับลูกไม้นิด ๆ หน่อย ๆ พ่อใหญ่จะเอาอะไร เอาข้าวต้มหรือจะได้กินกับลูกหนำเลี๊ยบ บอกให้เขาไปต้มเดี๋ยวนี้ประเดี๋ยวก็ได้กิน”

“อย่าเลยครับ ชักช้าเปล่า ๆ ให้เขาต้มน้ำชงกาแฟถ้วยเดียวเท่านั้น สำหรับเช้าพรุ่งนี้ผมจะสั่งเขาเอง

เสร็จจากบริโภคแล้ว คุณนายชื่นคงอยู่ในห้องกินข้าว เราะที่นอนเก่าที่นอนหนึ่ง เพื่อรื้อนุ่นออกตากและปั่นแล้วจึงเย็บใหม่ วิชัยไปเที่ยวดูบริเวณบ้าน ความเติบโตขึ้นแห่งต้นไม้ ที่วิชัยได้จากไปในเมื่อมันแรกขึ้น ทำให้พอใจมาก และทำให้รู้สึกชุ่มชื่นยิ่งขึ้น เมื่อคิดถึงว่าในที่สุดตนก็ได้กลับมาสำนักภายใต้หลังคาที่ได้ให้ความร่มรื่นแก่ตนมา ตั้งแต่วันแรกที่ตนได้เกิดมาในโลกจะเป็นไรไปกะเรือนครัวที่โทรมจวนจะพัง วิชัยจะซ่อมเสียใหม่ ถังน้ำฝนใบใหญ่สนิมจับเกรอะกรังและทะลุรอบตัว วิชัยจะขายเสีย พืชพรรณที่ไม่พึงปรารถนาขึ้นบนถนนและบนสนาม วิชัยจะถอนทิ้ง รั้วสังกะสีที่ผุพังวิชัยจะเปลี่ยนเสียใหม่ บ้าน ! บ้านของบิดา บ้านของเขาเอง ในที่สุดเขาก็ได้กลับมาอยู่บ้าน ! วิชัยยิ้ม นัยน์ตาวาว ด้วยความรู้สึกเป็นสุข !

ที่ใกล้กับบ้านนี้ ทางทิศตะวันตก แต่ก่อนมีโรงรถม้าสำหรับให้เช่าปลูกอยู่ แขกเป็นเจ้าของรถและม้า คหบดีไทยเป็นเจ้าของที่และโรงเรือน คราวสุดท้ายที่วิชัยมาเยี่ยมบ้าน เขาได้เห็นโรงเรือนและทั้งผู้เช่า ซึ่งถึงจะทรุดโทรมลงกว่าเดิมมาก จนเป็นที่น่าสมเพชก็ยังทำให้วิชัยเกิดความรู้สึกคล้ายได้พบเพื่อนเก่า บัดนี้โรงเรือนนั้นหายไป มีแต่เศษไม้ และสังกะสีกองอยู่เกะกะวิชัยรู้สึกใจหาย มองไกลออกไปอีกประมาณ ๒๐ วา จึงเห็นรากตึกเพิ่งก่อใหม่ หมายตาไว้แล้ววิชัยตรงขึ้นเรือนจะกลับไปหามารดาอีก

“คุณแม่ครับ ตาแขกแก่เจ้าของรถเช่าแกไปไหนเสียแล้วคุณแม่ทราบไหมครับ”

“ไม่ทราบจ้ะ” คุณนายชื่นตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้นจากที่นอนที่ตนกำลังเราะอยู่ “ได้ยินว่ามีคนมาซื้อที่นั้นจากเจ้าของเดิม เขากำลังปลูกบ้านใหม่ยังไงล่ะ”

“ใครนะที่จะมาเป็นเพื่อนบ้านใหม่ของเรา?” ชายหนุ่มปรารภ

“เห็นเรียกกันว่าคุณแม้น ๆ บางคนก็ว่าคุณเมี้ยน แต่แม่ก็ไม่รู้ว่าใครที่ไหนทั้ง ๒ คน พ่อใหญ่จะกลับมากินข้าวกลางวันไหม?”

“เห็นจะไม่กลับครับ คิดว่าออกจากกระทรวงจะเลยไปบ้านยายช้อย อยากไปเยี่ยมตาสมานเต็มที คุณแม่มีธุระจะสั่งอะไรไปบ้างไหมครับ”

“ไม่มี ไม่รู้จะสั่งอะไร........พูดถึงผัวเมียคู่นี้แล้วแม่กลุ้มใจ ถ้าจะว่าไปละก้อ แกทีเดียวเป็นเหตุ”

วิชัยกลืนน้ำลาย มองเห็นพายุใหญ่อยู่รำไร หัวเราะหึ ๆ แล้วว่า

“เรื่องมันแล้วไปแล้วครับ หมดเวลาที่จะแก้ไข” หยุดนิดหนึ่งเป็นเชิงรอฟังคำตอบด้วยความเคารพ ครั้นคำตอบยังไม่มีมา ก็รีบพูดตอบโดยเร็ว “แหม ! นี่เห็นจะสายมากแล้ว ต้องรีบไปแต่งตัว” พูดแล้วก็รีบลุกขึ้นและรีบออกจากห้องโดยด่วน

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ