๒๘

เวลา ๑๕ นาฬิกาเศษ รถเฟียตสีดำแลดูคร่ำคร่า เพราะความเก่าแห่งตัวถังและประทุน พาตัวพระอรรถคดีวิชัยมายังบ้านหลวงธุรกิจ ฯ อีกครั้งหนึ่ง เจ้าของบ้านสาวเป็นผู้ออกมารับรองเอง แล้วเชิญพระอรรถคดี ฯ เข้าไปในห้องรับแขก

“วันนี้ต้อนรับอย่างมีพิธี” อุไรพูดเมื่อได้นั่งลงแล้ว “เพราะคุณพระ ก็มาเป็นพิธีไม่ใช่หรือคะ?”

“ถูกแล้ว ผมมาฟังคำตอบเรื่อง- -เรื่องน้องของคุณ”

“น้องของดิฉัน ๆ เต็มใจเป็นน้องของคุณพระ โปรดช่วยสงสารแกมาก ๆ ด้วย”

วิชัยรับด้วยน้ำเสียงและสำนวนคำพูดที่พอทำให้อุไรวางใจได้ โต้ตอบกันในเชิงผู้ใหญ่ที่กังวลในความสุขของเด็กในปกครองด้วยกันอีก ๒-๓ คำแล้ว นางธุรกิจก็พาพระอรรถคดี ฯ ไปถึงข้อสำคัญอีกข้อหนึ่ง

“ดิฉันได้ทราบว่าเมื่อคุณชัดแต่งงานแล้ว คุณพระตั้งใจจะไม่ให้แกอยู่บ้านที่อยู่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่หรือคะ?”

“ครับ เรื่องนี้ผมอยากจะพูดกับคุณตรง ๆ เพื่อไม่ให้ต้องอึกอักภายหลัง การที่ผมเป็นตัวจัดการให้ตาชัดเสียเองนั้น ผมทำลุอำนาจคุณแม่มากไปหน่อย”

“จริงค่ะ เมื่อคืนนี้คุณหลวงว่าเราทำอย่างคนหัวใหม่ซึ่งออกหน้าติอยู่บ้าง ถ้าคุณแม่ของคุณพระท่านผูกใจเจ็บ เราก็โกรธท่านไม่ได้นะคะ”

“ถูกแล้ว เพราะเช่นนั้นถึงได้คิดป้องกันเสียก่อน”

“ค่ะ คุณหลวงก็เห็นด้วยเหมือนกัน แต่ว่าถ้าคุณชัดจะต้องเช่าบ้านเขาอยู่ จะเปลืองเงินเข้าไปอีกไม่น้อยนะคะ ไหนจะยังค่าน้ำค่าไฟ ค่าอะไรอีกจิปาถะ แล้วคนอย่างคุณชัดบ้านซอมซ่อนักแกก็คงอยู่ไม่ได้”

“เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของเขา สามีภรรยาจะต้องรู้จักผ่อนผัน”

“แต่ว่าแกเด็กทั้งคู่ จันทรอายุเพิ่ง ๒๑ คุณชัดเพิ่ง ๒๕”

วิชัยไม่ตอบ ด้วยไม่แน่ใจว่าควรจะตอบอย่างไร อุไรจึงพูดต่อ

“ดิฉันอยากจะช่วยแกทั้ง ๒ คน แต่สมบัติส่วนตัวของดิฉันไม่มีอะไรเลย เมื่อคุณหลวงได้ดิฉันมาก็ได้มาแต่ตัวแท้ ๆ ดิฉันจะเอาสมบัติของคุณหลวงไปกอบโกยให้น้องดิฉันก็ไม่ถูก เพราะเช่นนั้นจันทรแต่งงาน ดิฉันก็จะให้ได้ก็แต่เครื่องทองเครื่องเพชรเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่คุณหลวงจะให้ที่ดินทั้งแปลงอยู่แถวบางซื่อ ประมาณเนื้อที่สักไร่กว่า ๆ ดิฉันอยากให้คุณชัดปลูกเรือนหออยู่ในที่นั้น”

นิ่งคิดอยู่ไม่ถึงอึดใจ วิชัยก็ตอบว่า

“ถ้าเป็นความประสงค์ของคุณก็ได้”

“ขอบพระคุณค่ะ” อุไรกล่าวด้วยความยินดีอย่างจริงใจ “แรกทีเดียว ดิฉันไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้ จึงได้บอกคุณช้อยไปว่าไม่ต้องการอะไรเลย ครั้นเมื่อคุณหลวงพูดถึงเรื่องนี้ขึ้น จึงนึกว่าปลูกบ้านอยู่แล้ว คุณชัดก็จะเป็นผู้อยู่เอง ไม่ใช่ว่าเรียกร้องมาเป็นของน้องหรือของดิฉัน ที่ของแม่จันทร บ้านของคุณชัดอย่างนี้ก็ยุติธรรมดีแล้วไม่ใช่หรือคะ?”

พระอรรถคดี ฯ ก้มศีรษะแทนคำตอบแล้วก็ลุกขึ้นยืน

“จะกลับละหรือคะ?” อุไรถามด้วยความประหลาดใจ “แหมช่างมาเป็นงานเป็นการเหลือเกิน ยังไม่ทันได้พบคุณหลวงเลยค่ะ”

พระอรรถคดี ฯ พูดอ้อมแอ้มแก้ตัว ๒-๓ คำ แล้วก็มาขึ้นรถจนได้

จากบ้านหลวงธุรกิจ ฯ มาถึงบ้านตัวเอง วิชัยขับรถมาได้ด้วยสัญชาตญาณมากกว่าขับด้วยความตั้งใจ ตัวเขาเวลานั้นเปรียบเหมือนโครงกระดูกที่ไม่มีวิญญาณ สมองมึนตื้อเหมือนจะสิ้นความรู้สึกนึกคิด จนเมื่อเขาลงจากรถแล้ว สติเตือนใจให้ตื่นขึ้นเพื่อเตรียมตัวรับงานอันจะมาข้างหน้า คุณแม่ ! วิชัยจะต้องผจญกับคุณแม่ เขามีกำลังเหลืออยู่พอที่จะทนต่อความเผ็ดร้อนแห่งน้ำคำของท่านได้หรือ?

ราวกับภูติผีปิศาจจงใจจะทดลองความมั่นคงของวิชัย พอเขาก้าวขึ้นบันไดก็พบคุณนายชื่นคอยรับอยู่แล้ว ยิ้มพยักกวักเรียกลูกแล้วบอกว่า

“อย่าเพิ่งขึ้นไปข้างบนเลย แม่สั่งเตรียมของว่างไว้ให้ที่นี่แล้ว พ่อใหญ่มาคุยกับแม่เถิด”

ยังไม่ทันที่วิชัยจะขึ้นมาพ้นบันได คุณนายชื่นก็พูดต่อ

“แม่เพิ่งไปหาคุณหญิงมะยมเพิ่งกลับมาเดี๋ยวนี้”

บุตรชายใหญ่ของคุณนายสะดุ้งดังถูกไฟจี้ ถามโพล่งออกไปว่า

“ไหนว่าคุณแม่จะไปเย็น ๆ ยังไงครับ?”

“แม่คิดว่าจะรอพ่อใหญ่ แต่เมื่อบ่ายนี้แดดมันไม่ร้อน แล้วแม่ไม่มีธุระอะไรก็ไปเสียให้เสร็จ เผอิญไม่พบ แม่สั่งคนที่บ้านนั้นไว้ให้บอกคุณหญิงว่าพรุ่งนี้สัก ๓ โมงเช้าจะไปหาจะได้เหมาะแก่เวลาที่พ่อใหญ่จะไปส่งแม่ได้”

วิชัยขยับเข้าใกล้ลูกกรงใช้ความแข็งแห่งไม้ยันตัวไว้ แววตาแห้งแล้งเกิดมีประกายความเด็ดเดี่ยว แต่ขาและมือของเขายังสั่นด้วยกำลังทั้งสิ้นถูกเรียกไปรวมอยู่ที่ดวงใจในขณะที่เขาพูดขึ้นว่า

“เคราะห์ดีแล้วที่ไม่ได้พบคุณหญิง ถ้าพบก็จะเกิดเรื่องยุ่งกันใหญ่ ตาชัดพูดกับผมอย่างเด็ดขาดว่า เป็นตายอย่างไรไม่ยอมแต่งงานกับลูกสาวพระยารานรอน?”

“พูดเมื่อไร?” เป็นคำถามที่แสดงว่าความโมโหกำลังเข้าครองใจคุณนายชื่นอยู่บ้างแล้ว

“ในวัน ๒ วันนี่เองครับ”

“เขารู้ซีว่าฉันจะไปหมั้นผู้หญิงให้? ใครดันไปบอกเขาล่ะ ไหนสัญญากันว่าจะไม่บอกยังไง?”

“มีเหตุผลอื่นที่ผมจำเป็นต้องบอก ตาชัดรักผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นน้องเมียของเพื่อนผมด้วย”

“ก็แล้วยังไง ทำไมพ่อใหญ่ถึงไม่บอกแม่ กลับเอาความลับของแม่ไปบอกน้อง?”

“ผมเห็นแล้วว่าจำเป็นจะต้องบอกทั้ง ๒ ฝ่าย ชัดเอาเรื่องผู้หญิงที่เขารักมาปรึกษาผมก่อน ผมจึงได้ยกเรื่องคุณแม่ขึ้นท้วงเขา”

“แล้วเขาว่ายังไง?”

“เขาว่าอย่างที่ผมเรียนกับคุณแม่แล้ว”

คุณนายชื่นมีสีหน้าเป็นอย่างวันที่ท่านพื้นเสียถึงขีดสุด จับนั่นกระแทกนี่ เคี้ยวหมากหยับ ๆ ไม่เป็นจังหวะจะโคน ในที่สุดก็พูดออกมา ด้วยเสียงขุ่นว่า

“สันดานผู้ชายหนุ่ม ๆ เห็นผู้หญิงมันก็เที่ยวรักไปน่ะแหละ จะเอาจริงเอาจังอะไรกับมัน ฉันไม่เชื่อว่าไอ้ชัดจะอวดดีกับแม่ไม่ฟังเสียงแม่ ส่วนที่มันรักอยากรักก็ให้มันรักไป ส่วนที่แม่จัดการเป็นส่วนหนึ่งต่างหาก ฉันนัดคุณหญิงเขาแล้วพรุ่งนี้จะไปหา ทั้งเงินทั้งของเป็นหลาย ๑,๐๐๐ ไอ้ชัดมันจะทิ้งได้ก็ให้มันรู้ไป”

“แต่ว่า--คุณแม่ยังไม่เข้าใจดี ผู้หญิงที่ชัดรักเขาก็เป็นลูกของครอบครัวที่มีหลักฐาน ชัดจะรักเล่นแล้วทิ้งเสียนั้นไม่ได้ ทั้งผู้หญิงเขาก็เป็นน้องของเพื่อนผมดังที่ได้เรียนแล้ว”

“เป็นลูกใครน้องใครก็ช่างหัวใครปะไร ชัดมันเป็นลูกของฉัน มันก็ต้องเชื่อฉัน อยากเสือกมารักกันทำไม”

“ถ้าชัดจะเชื่อคุณแม่ ก็คงเชื่อเสียตั้งแต่แรก คงจะไม่ก่อเรื่องยุ่งยากโดยไปให้คำมั่นสัญญากับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง เพราะคำสัญญาเช่นนั้นต้องสัญญากันด้วยเกียรติยศ คุณแม่โปรดกรุณาล้มความคิดเดิมเสียเถอะครับ มิฉะนั้นจะต้องเสียของหมั้นไปเปล่า ๆ”

“เอ๊ะ พ่อใหญ่นี่ยังไงนะ” คุณนายชื่นพูดเกือบเป็นเสียงตะโกน “อยู่ ๆ ก็มานั่งเคี่ยวเข็ญแม่ ไม่ให้ทำนั่นไม่ให้ทำนี่ ฉันเห็นแกคอยขัดคอฉันมาหลาย ๑๐ หนแล้ว เรื่องราวมันเป็นยังไง มือไม่พายยังเอาตีนราน้ำ”

พระอรรถคดี ฯ กัดริมฝีปากพลางถอนใจ สิ้นปัญญาที่จะแถลงความจริง ในวิธีการจะประทังความโกรธของมารดา เขาจึงตอบออกไปว่า

“ตามที่ผมได้เรียนแล้วว่าผู้หญิงที่ชัดรักเป็นน้องของเพื่อน เป็นธรรมดาที่ผู้ใหญ่ฝ่ายโน้นพอทราบเรื่องก็ต้องหารือผม ผมเป็นพี่ชายของชัด เมื่อน้องชายได้ก่อไว้แล้ว ก็จำเป็นต้องสานต่อเพื่อรักษาเกียรติยศของน้อง จึงได้จัดการกับเขาว่าจะช่วยจัดการให้เรียบร้อย”

พูดจบแล้ว เขารู้สึกประหลาดใจที่มารดายังนิ่งเงียบค่อยเหลือบตาขึ้นมองดูหล่อน ดูราวกับสายตาของเขานั้นแสดงความยำเกรงเป็นอย่างสูง กลับเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงทำโทลัคนีของนางศรีวิชัย ฯ ให้พลุ่งโพลงขึ้นทันที หญิงผู้มีอายุกระทืบเท้าลงบนพื้นดังสนั่น แล้วร้องตะโกนออกมาว่า

“ต๊าย ตาย !” นี่มันลูกคนหรือลูกเสือลูกจระเข้ พอมันโตก็แว้งกัดแม่”

พระอรรถคดี ฯ หรี่ตาลง มือคลำลูกกรงก้มหน้านิ่งอยู่

“เหมาะกันดีทั้งพี่ทั้งน้อง คบคิดกันเดินบนหัวแม่โกหกปลิ้นปล้อน เลี้ยงมาเสียข้าวสุก มันเห็นแม่เป็นหมา”

ประโยคที่ ๒ ที่ ๓ จนถึงกว่าที่ ๑๐ หลังจากปากคุณนายมีข้อความคล้าย ๆ กัน เสียงของท่านดังขึ้นทุกทีจนก้องบ้าน วิชัยหน้าซีดจนเขียว อาการที่ยืนนิ่งไม่กระดุกกระดิกราวกับว่าเขาลืมหายใจ ประโยคที่ ๑๑ จนถึงกว่าที่ ๒๐ ดังซ้อนกันออกมาเรื่อย ๆ ถี่เผ็ดร้อนขึ้นปรักปรำเขาหนักขึ้น จนในที่สุดดูเหมือนชื่อนายร้อยตรีชัดจะพ้นจากใจคุณนาย คำปรามาสทั้งสิ้นก็มีที่ความหมายอยู่ตรงวิชัยแต่ผู้เดียว

ในคำที่สุด เมื่อคุณนายเหนื่อยจนหอบ ท่านลุกขึ้นยืนยายสไบ ทำท่าทะมัดทะแมง และเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าวว่า

“ไอ้ชัดยังไม่กลับ อยากจะฟังน้ำคำของมันนักอวดดีเดี๋ยวแม่เอาเลือดหัวออกเสียนี่” แล้วก็พุ่งสายตาไปยังศีรษะลูกชายใหญ่

ในขณะนั้นคุณนายจึงสำนึกได้ว่า วิชัยยืนสำรวมอยู่นานนักหนา ยังมิได้ปริปากโต้เถียงสักคำ ประกอบกับฤทธิ์โมโหนั้น เปรียบเหมือนเพลิงที่คุขึ้นเมื่อได้เชื้อ ครั้นเชื้อหมดเพลิงก็โทรมลง คุณนายจึงถามขึ้นว่า

“อินังคนนั้นน่ะ วิเศษมายังไง ลูกเต้าเหล่าใครบอกฉันได้ไหม พ่อเอเย่นต์?”

“เขาเป็นน้องเมียหลวงธุรกิจ ฯ ครับ--”

“อ้อ ! ยังงี้นี่เล่าพ่อถึงเวียนไปได้ไม่หยุด ! พิโธ่พ่อใหญ่นี่มันแกล้งเหยียบหัวแม่เล่นตรง ๆ นี่นา แกกับนางช้อยนั้นแหละเป็นตัวการชักผู้หญิงให้น้องแน่ ๆ แกช่วยกันทำยังงั้นจะหวังสวรรค์วิมานอะไร?”

เออ ! ข้อขำของคำพูด ตนทำดังนั้นจะหวังเอาสวรรค์วิมานอะไร ? พระอรรถคดี ฯ หายใจอย่างยากเย็นก่อนที่จะออกปากตอบว่า

“เรื่องนี้ช้อยไม่ได้รู้เห็นด้วย ส่วนผมเองปฏิญาณได้ว่าไม่เคยคิดว่าชัดจะชอบผู้หญิงคนนี้ แต่เมื่อเขาชอบกันแล้ว ผมเห็นว่าผู้หญิงเขาดี เรียบร้อยอ่อนโยนอยู่ในคำผู้ใหญ่ เก่งในการบ้านการเรือนรู้อยู่และไม่สมัยใหม่จนนิดเดียว ผม--”

“ออกวิเศษอย่างนั้นทำไมตัวเองไม่เอาเสียเองล่ะ?”

ถึงแม้จะรู้สึกเสมือนคำนั้นมีคม แทงทะลุถึงหัวใจพระอรรถคดี ฯ ก็ยังตอบได้อย่างสงบเสงี่ยม

“พ่อชัดเขารักของเขาเสียแล้ว ผู้หญิงเขาก็รักพ่อชัด พวกเราอยู่ในฐานะพออันจะกิน ไม่จนนักไม่มีนัก ผู้ใหญ่เขาก็เต็มใจให้โดยไม่เรียกร้องเอาอะไรเลย !

อนิจจาความเขลา ! ด้วยความตั้งใจจะพูดความให้แก่ฝ่ายหญิงมากนัก วิชัยเปิดช่องโหว่ให้ฝ่ายปรปักษ์อย่างโล่งที่สุด คุณนายชื่นหัวเราะเสียงดังกร้าวพูดสวนควันขึ้นมาว่า

“อ้อ ! ก็เท่านั้นเอง ลงท้ายฉันรู้กลแก เรื่องนี้ไม่มีอะไรเลย นอกจากพ่อใหญ่เห็นแก่เงิน ๒-๓ พันบาท ที่แม่ขอยืมให้น้อง เมื่อแกไม่อยากให้--”

“คุณแม่ !” วิชัยอุทาน น้ำเสียงแสดงความปวดร้าวแสนสาหัสจนคุณนายชื่นหยุดซะงัก มองไปเห็นลูกชายกำมือกดหน้าผาก มือนั้นสั่นจนเห็นได้ถนัดถนี่

ออกตกใจ ด้วยว่าความร้ายกาจแห่งโทสจริตไม่เหนืออำนาจความรักที่แม่มีต่อลูก นึกถึงภาพวิชัยเมื่อปวดศีรษะในคืนก่อนขึ้นทันที คุณนายชื่นก็หันกลับไปกระแทกก้นลงบนเก้าอี้

พระอรรถคดี ฯ ทรงตัวขึ้นตรง เจ็บในอกเจ็บในใจยิ่งจนชาไปหมดทั้งตัว สุดกำลังที่จะทนยืนนิ่งต่อไปได้จึงหลีกมารดาไปเสียทันที

ขึ้นบันไดชั้นบนด้วยอาการคล้ายคนเมาจวนเจียนจะทรงตัวไว้ไม่อยู่ ผ่านผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงนั้น วิชัยไม่เห็นเสียด้วยซ้ำว่าหล่อนเป็นใคร แต่ช้อยลุกขึ้นตามหลังเขามา ขอบตาของหล่อนแดงก่ำ น้ำตายังเปียกแก้ม วิชัยเข้าในห้องของตัว ปิดประตูลั่นกลอน ช้อยย่องเข้าในห้องชัด แอบมองดูเขาที่ตามช่องฝา เห็นเขาตรงไปที่เตียง ทิ้งตัวลงนอนคว่ำ เครื่องแต่งกาย ทั้งชุดรวมทั้งรองเท้า ช้อยก็ทรุดตัวนั่งกอดเข่าอยู่กับที่

ด้วยมัวแต่ครุ่นคิดด้วยความเหี่ยวแห้งใจ ช้อยไม่ได้รู้สึกตัวว่าได้นั่งอยู่เช่นนั้นนานกี่มากน้อย จนเมื่อเสียงหนึ่งดังมากระทบหู เป็นเสียงคนร้องไห้โฮใหญ่ ช้อยจึงสะดุ้งขึ้นทั้งตัว ตกใจ นึกว่าวิชัยสำแดงอาการเช่นนั้นลุกถลันมองดูตามช่อง ก็เห็นเขานอนนิ่งอยู่เช่นเดิมแต่เปลี่ยนท่าเป็นนอนตะแคง หันหน้าเข้าฝา เสียงดังก้องนั้นมาจากชั้นล่าง ใช้ความสังเกตใหม่ จึงสำเหนียกได้ว่าเป็นเสียงผู้หญิงแก่สะอึกสะอื้นพลางรำพันถ้อยที่ผู้ฟังจับความหาได้ไม่ ไม่มีใครแล้วนอกจากคุณแม่ ช้อยปราดไปตรงบันได ก็เผชิญหน้ากับชัดผู้มีอาการตื่นเต้นไม่แพ้หล่อน เขาพึมพำบอกแก่พี่สาวว่า

“ดู คุณแม่ซีอะไรก็ไม่รู้ลุกขึ้นโบ๊เบ๊ร้องห่มร้องไห้ยังไม่ทันพูดจากันให้รู้เรื่องเลย เอะอะก็ชี้หน้าว่าไอ้ลูกเนรคุณ”

“ท่านพูดถึงอะไรก่อน?” ช้อยถามเสียงกระเส่า

“พูดถึงจันทร จะมีใคร พอเห็นหน้าก็ตวาดใส่ ถามว่าใช้ให้พี่ชายไปขอลูกสาวใครเขาหรือ ผมก็รับว่าจริงเท่านั้นแหละด่าอึงราวกับผมฆ่าใครเขามา ไม่ไหวหรอก ยังงี้ผมพูดด้วยไม่ได้ เดี๋ยวเลยพากันเป็นบ้าหมด”

พูดแล้วเขาก็หลีกพี่สาวขึ้นบันไดไป

เดินปัง ๆ เข้าในห้อง เสียงวัตถุกระทบกันดังกุกกักก๊อกแก็กโครมคราม อีกสักครู่ใหญ่ เขาก็กลับออกมาหน้านวล ผมหวีเรียบร้อยและแต่งตัวพลเรือนอย่างจะออกจากบ้าน

“แกจะไปไหน?” ช้อยถามเมื่อน้องเดินมาถึงตัว

“ไปเที่ยวตามเรื่อง บ้านอย่างนี้ใครจะอยู่ได้ ไอ้คนทำงานเหนื่อยแทบตาย กลับมาบ้านยังต้องพบอะไรบ้า ๆ ร่ำไป เดี๋ยวก็เลยไม่กลับเสียเลย”

ช้อยขมวดคิว หลีกทางให้พลางพูดว่า

“ไปเถอะ แต่อย่ากลับให้ดึกนัก อย่าลืมคำที่สัญญากับพี่ใหญ่ไว้”

“พี่ใหญ่กลับมาแล้วหรือยัง?”

“มาเสียเป็นนานแล้ว ถูกคุณแม่กราดเสียใหญ่ด่าเสียจนเงยหน้าไม่ขึ้น เลยเข้าไปนอนเงียบอยู่ในห้อง”

ชัดมองไปทางห้องพี่ชาย สีหน้าอันกระด้างก็อ่อนลง แล้วหันกลับมากล่าวแก่พี่สาวว่า

“จันทรบอกกับผมว่า พี่ใหญ่รับจะปลูกเรือนให้ในที่ ๆ หลวงธุรกิจ ฯ จะยกให้แก ตั้งใจมาว่าจะขอบใจพี่ใหญ่ใจดีเหลือเกิน เอาเถอะ วันหลังถึงค่อยพูดกันก็ได้”

พูดแล้วชัดลงบันไดอย่างระวังฝีเท้า เลี้ยวออกทางระเบียงเรือนด้านหลัง ทะลุสวนน้อย พอออกประตูเล็กจะเลี้ยวซ้าย เขาก็หยุดชะงักเปิดหมวกสีหน้าแสดงความประหลาดใจ !

หญิงหนึ่งยืนอยู่ตรงช่องรั้วชบา ปกคลุมร่างกายด้วยซิ่นแพรสีเขียวและเสว็ตเตอร์แพรสีเดียวกัน หมวกเบเรต์ชนิดเดียวกับเสื้อปิดส่วนศีรษะของหล่อนไว้ ๓ ส่วนเมื่อทั้ง ๒ ฝ่ายมองสบตากัน สีหน้าอนงค์เฝื่อนไปเล็กน้อย แต่เป็นอยู่เพียงชั่วขณะเดียวหล่อนก็ยิ้มและส่งมือให้

“แสดงความยินดีด้วยมาก ๆ”

“อะไร ฯ--อ้อ ! ขอบใจ แหมรู้เร็วจริง” แล้วชัดก็หัวเราะเจื่อน ๆ “นี่อนงค์มายืนอยู่ทำไม?”

“กำลังคิดว่าจะไปหาพี่ช้อยในบ้านดีหรือไม่ดี”

“อย่าเข้าไปเลยเวลานี้ ไม่สนุก” ชัดพูดตรง ๆ แล้วจึงหัวเราะกลบเกลื่อนให้ฟังเป็นเชิงเล่น “ชัดจะไปตามพี่ช้อยให้”

“อย่าเลยค่ะ เสียเวลาของชัด เท่าที่หน่วงไว้อย่างนี้ก็ไม่เหมาะอยู่

นายร้อยตรีหนุ่มหัวเราะอีก คราวนี้เป็นเชิงค้าน

“เป็นความจริง ชัดยังไม่รู้ว่าจะออกจากนี่แล้วจะไปไหน ต้องไปเพราะว่าบ้านร้อน อยู่ไม่ได้ คุณแม่โกรธลูกทุกคน อยากจะหนีไปให้พ้น พอท่านสงบโมโหแล้วถึงค่อยกลับมา”

อนงค์เชื่อแน่ว่าหล่อนทายเรื่องได้ในทันที แต่หาทายออกมาเป็นคำพูดไม่ พอดีกับชัดพูดต่อไปว่า

“ชัดจะให้เด็กไปตามพี่ช้อยเดี๋ยวนี้” แล้วเขาก็หลบหายเข้าไปในประตู

ยังไม่ทันถึงนาที ชัดกลับออกมาอีก ยืนอยู่ตรงหน้าอนงค์ และทรมานหมวกด้วยการจับปีกพับขึ้นพับลงหลายครั้ง กิริยาเช่นนี้อนงค์เห็นแล้วทนไม่ได้จึงบอกแก่เขาว่า

“ชัดไปเถอะค่ะ อนงค์ไม่ต้องการเพื่อนหรอก ยืนอยู่คนเดียวเงียบ ๆ ก็สบายดีเหมือนกัน”

เขาพยายามที่จะทำสีหน้าแสดงความเสียใจ “ถ้าอนงค์สั่งดังนั้น ชัดก็ต้องทำตาม เพราะทั้งเวลานี้และต่อไปชัดจะอยู่ใต้คำสั่งอนงค์เสมอ ไม่มีเวลาเปลี่ยนแปลง”

หญิงสาวยิ้มเยาะเขาอย่างเปิดเผย และไม่ตอบว่ากระไร

ช้อยทำให้อนงค์ต้องคอยอยู่เกือบ ๑๐ นาที จึงโผล่ประตูออกมา พอเห็นหน้ากันก็ตรงเข้าจับมือกันจูงเข้าในบ้านคุณแม้น ช้อยละล่ำละลักพูดว่า

“พี่เกือบมาไม่ได้เสียแล้ว กลัวคุณแม่จะเรียกหาต้องสั่งเด็กให้คอยฟังให้ดีแล้วรีบมาตาม เรียกหาไม่ได้วันนี้เป็นเกิดเรื่องแน่”

“ท่านทราบเรื่องนั้นแล้วหรือคะ ได้ยินว่าท่านโกรธลูกทุกคน”

“ชัดเขาบอกเธอหรือ?”

“ค่ะ ใครบอกท่านล่ะคะ ท่านถึงได้ทราบ?”

“ไม่รู้ พี่เองก็ไม่รู้ เมื่อสักชั่วโมงหนึ่งเห็นจะได้ พี่ใหญ่มาถึงบ้าน ประเดี๋ยวได้ยินคุณแม่เอ็ดตะโร พี่ไปแอบฟังได้ยินท่านว่า พี่น้องคบคิดกันหลอกลวงท่าน แล้วอะไรต่ออะไรอีกเยอะแยะ เทศน์เสียยืดยาว คำหนัก ๆ ทั้งนั้น ไม่รู้ว่าท่านสรรค์หาเอาที่ไหนมา”

“แล้วคุณพระว่ากระไรบ้าง เกลี้ยกล่อมสำเร็จไหม?”

“สำเร็จอะไรท่านด่าพี่ใหญ่เงยหน้าไม่ขึ้น โธ่น่าสงสารเหลือเกิน ทุกข์ใจก็หนักหนา แล้วยังถูกแม่เกรี้ยวกราดเสียใหญ่ เอ็ดเอา ๆ เสียลั่นบ้าน พี่ยังงี้ใจเต้นแทบออกมานอกซี่โครง”

“ชัดอยู่ไหนคะเวลานั้น?”

“ชัดยังไม่มา เพิ่งมาเมื่อพี่ใหญ่ทนคุณแม่ไม่ไหวแล้ว เห็นจะเต็มอัด อกจะแตกตายหรือยังไงล่ะ เพราะเธอต้องนิ่งให้ด่าข้างเดียวไม่ปริปากเถียงเลย ในที่สุดทนไม่ไหวเลยหนีเข้าห้องปิดประตูนอน รองเท้าก็ไม่ถอดเสียด้วยซ้ำ”

หล่อนทั้งคู่เพิ่งรู้สึกตัวว่าได้ยืนพูดกันอยู่ตลอดเวลา ช้อยนั่งลงก่อนบนสนามหญ้า อนงค์จึงนั่งลงด้วย แล้วต่างฝ่ายต่างตอบต่างถามกันต่อไป ช้อยเล่าคำปรามาสของคุณนายที่กล่าวแล้วแก่วิชัยเกือบทุกคำ ในที่สุดแห่งเรื่องหล่อนเสริมว่า

“แล้วคำที่ท่านว่าพี่ใหญ่เห็นแก่เงินนั้น เป็นคำที่อยุติธรรมที่สุด พี่เชื่อว่าคำนี้เองที่พี่ใหญ่ทนไม่ได้ และเงินนั้นมิใช่ว่าพี่ใหญ่จะไม่ต้องเสีย เธอรับกับฝ่ายแม่จันทรเขาแล้ว ว่าจะปลูกเรือนให้ตาชัดในที่ ๆ ฝ่ายโน้นเขายกให้แม่จันทร”

คำว่าเงินที่กล่าวเป็นจำนวนพัน ไม่ทำความรู้สึกอย่างใดให้เกิดแก่หญิงผู้มั่งคั่งเช่นอนงค์ได้ แต่ค่าแห่งการเสียสละซึ่งถูกลบหลู่อย่างแรงเช่นนั้น ทำให้โลหิตอนงค์ร้อนเกือบถึงเดือด และความปรานีต่อบุรุษผู้ต้องรับความอยุติธรรมจากแม่บังเกิดเกล้าของตนเอง ก็งดงามขึ้นในใจหล่อนเป็นตรีคูณ

สิ้นความที่ช้อยเล่าแล้ว อนงค์จึงถามขึ้นบ้าง

“วันนี้คุณนายไปที่บ้านเจ้าคุณรานรอนหรือคะ?”

“ค่ะ ท่านบอกพี่ก่อนไป ทำไมเธอถึงรู้ล่ะ เธอพบกับท่านหรือ?”

“เปล่าคะ ได้ยินคนใช้เขาบอกคุณหญิง คุณนายไปไม่พบคุณหญิงกับเจ้าคุณหรอกค่ะ พี่แสวงพาท่านไปที่บ้านเราทั้งครอบครัว เราก็รับรองเลี้ยงดูเสียใหญ่ พี่จำลองแข็งแรงไม่แพ้พี่แสวง พี่ช้อยควรจะบอกคุณนายเสียให้ทราบ จริงนะคะ อนงค์ไม่แกล้งคุย ถึงชัดไม่หมั้นกับจันทร ถ้าอืด ๆ อย่างแต่ก่อนยังไงก็ไม่ทันพี่ชายของอนงค์”

“เออแน่ะ เร็วยังงั้นเทียวนะ คุณจำลองจับบทชอบตั้งแต่เมื่อไร?”

“ตั้งแต่วันเกิดอนงค์ อันที่จริงพี่จำลองถูกหนุนมากด้วยกันแหละค่ะ อนงค์หนุนทุกวันเลย แล้วก็ชวนไปที่บ้านนั้นทุกวันด้วย ทั้งพ่อ ทั้งแม่ ทั้งพี่ ทั้งตัวผู้หญิงเขาต้อนรับแข็งแรงขึ้นทุกที ในที่สุดพี่จำลองก็ใจอ่อน อนงค์ชอบใจจริง ขันก็ขัน ดีใจก็ดีใจ นี่อนงค์ก็เพิ่งมาจากบ้านนั้นอีกน่ะแหละ พาเขาออกจากบ้านอนงค์ไปส่งที่บ้านเขาก่อนแล้วอนงค์เลยมานี่ พี่ ๆ จะตามมาด้วย แต่อนงค์ไม่ยอมให้มา”

สองหญิงมีเรื่องเล่าสู่กันฟังอีกนาน จนสิ้นแสงพระอาทิตย์จึงลาจากกันไป

....คุยกับพี่ช้อยนาน ไม่มีเรื่องอะไรนอกจากพี่ใหญ่ โธ่ สงสารคน ๆ นี้เหลือเกิน เกิดมายังไง ถึงถูกแต่ความเบียดเบียนกับความอยุติธรรม ให้ ให้ ให้ ให้ ไม่ว่าอะไร ใครจะเอาอะไรก็ให้ ยังงั้นยังไม่ดี ไม่มีใครเห็นใจ ยายคุณแม่แกผิดคนไม่เหมือนแม่เขาทั้งหลาย โธ่ เมื่อไรพี่ใหญ่จะได้อะไรจากใครบ้าง เขาเอาเปรียบกันทั้งนั้น เสียคนก็เสีย แล้วยังถูกหาเจ้าเล่ห์ คนบ้า สมแล้ว อยากรักไม่ว่าใคร ไม่ต้องดูอะไรหมด เห็นแต่ว่าสวยแล้วก็ใช้ได้ สันดานผู้ชาย เห็นความสวยสำคัญกว่าอะไรหมด ดูท่าไม่น่าจะเหมือนคนอื่นเลย ทำไมถึงพลอยเซ่อเป็นคนอื่นไปได้ ดูหน้าตาท่าทางในเวลาที่ไม่แกล้งทำโง่ ดูก็คมไม่น้อย แต่ว่ามีคมไม่ตัดใคร กลับปล่อยให้คนอื่นเขาตัดตัว เห็นจะเป็นคนดีเกินไป ฉลาดด้วย ดีด้วย จะเป็นได้ยังไงทั้ง ๒ อย่าง น่าสงสารคนอย่างนี้ ไม่เคยให้ร้ายใครเลยแม้ด้วยคำพูด ใครอยู่ด้วยก็เป็นสุขจนตาย ไม่มีเวลาต้องทะเลาะกันเลย คนที่ได้อยู่น่าจะเอาใจจะปฏิบัติจะถนอม จะให้ทุกอย่างสมกับที่ให้คนอื่นเขามากแล้ว ให้ด้วยของด้วยคำพูดด้วยใจ ต้องเกณฑ์ให้เป็นฝ่ายรับเสียบ้าง พี่ใหญ่ ! คุณพระอรรถคดีวิชัย-คุณวิชัยของ--

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ