๑๐

วันหนึ่งเวลาบ่าย หลวงอรรถคดีวิชัยยืนมือกอดอกอยู่ที่ริมระเบียงเรือน มองดูเม็ดฝนที่ตกซู่ ๆ อยู่ไม่ขาดสาย สีหน้าของเขาแสดงความรำคาญใจเล็กน้อย เนื่องด้วยวันนี้เขายังมิได้เยี่ยมกรายไปถามอาการน้องเขยผู้กำลังเจ็บหนัก ให้นึกห่วงใยในคนป่วยรวมทั้งภรรยาของเขาด้วย ในระหว่างสัปดาห์หลังนี้ วิชัยได้พานายแพทย์ที่มีชื่อเสียงไปตรวจอาการนายสมานถึง ๔ นาย แต่อาการคนไข้มิได้ดีขึ้น จนในที่สุด ทั้งนายแพทย์และพยาบาลก็ลงความเห็นพ้องกันว่าไม่มีทางรอด ทางที่ดีที่สุดเท่าที่ความสามารถของนายแพทย์จะทำได้ มีเหลืออยู่แต่ช่วยชะลอให้คนป่วยมีชีวิตยืนยาว เพียงชั่วนับวันโดยมิต้องทรมานนักเท่านั้น

เบื้องหลังวิชัย คุณนายชื่นนั่งกอดเข่าอยู่บนเก้าอี้หวายยาว สีหน้าแสดงความรำคาญใจยิ่งกว่าบุตรชายหลายเท่า หากแต่ความรำคาญมิได้เกิดจากเหตุเดียวกัน วิชัยรำคาญเพราะห่วงคนที่ใกล้ตาย คุณนายรำคาญเพราะนึกถึงคนที่เต็มไปด้วยชีวิต และกำลังวังชาอันแข็งแรง

วิชัยละจากลูกกรงเดินมายังที่มารดานั่งแล้วพูดว่า

“นายชัดไปซ่อนตัวอยู่เสียที่ไหนแล้วครับคุณแม่” ในสีหน้าแสดงความอึดอัดและเกรงใจในขณะที่พูดต่อไป ดังนั้นน้ำเสียงที่ออกจากลำคอจึงไม่มั่นคง “กว่าฝนจะหายคงอีกนาน ท้องฟ้าออกชอุ่มอย่างนี้ ผมอยากไปดูสมานสักประเดี๋ยว เดี๋ยวเดียวเท่านั้น พอฝนหายจะรีบกลับมาคงจะทันกันกับตาชัดพอดี”

คุณนายชื่นมองดูบุตรด้วยดวงตาอันขุ่นก่อน ครั้นแล้วจึงสะบัดเสียงตอบว่า

“ตามใจซี !”

วิชัยถอนใจเบา ๆ แล้วกลับไปยืนดูฝนตกตามเดิม

“พ่อใหญ่?”

“ครับ !” ขานรับโดยเร็ว แล้วหันหน้าเตรียมตัวฟังเต็มที่

“เจ้าสมานน่ะเขาจะตายหรือเขาจะหายแน่?”

“ตายครับ” เป็นคำตอบอย่างยอมแพ้ราบ

“แล้วทำไม ตัวถึงยังเป็นห่วงเป็นใยจนเกินเหตุอย่างนี้ มดหมอก็มีแล้ว คนพยาบาลก็มีแล้ว นังเมียไม่ได้กระดิกตัวไปไหนเลย ยังไม่พออีกหรือ”

ไม่มีคำตอบ วิชัยก้มหน้าดูปลายกางเกงที่ระอยู่กับข้อเท้า

“หมอตัวก็เป็นคนหาให้เขา นางพยาบาลตัวก็หาให้ เสียเงินเสียทองเข้าไปเท่าไหร่แล้ว ดีเป็นบุญเป็นกุศลช่วยชีวิตคน แม่ก็ชมอยู่ทุกวัน แต่มันไม่ได้ประโยชน์อะไร ไหน ๆ คนมันจะตาย เอาเงินไปทุ่มเทเสียทำไมเปล่า ๆ ตัวแกหรือก็ว่าไม่ใช่ว่าจะมั่งมีศรีสุขอะไรนัก ตั้งแต่กลับมาไม่เห็นทำอะไรนอกจากใช้เงิน เดี๋ยวซ่อมบ้าน เดี๋ยวทำตู้โต๊ะ ไอ้รถยนต์ก็เข้าไปตั้ง ๗๐๐ เงินเดือนแม่เดือนนี้ยังไม่ได้ให้เลย”

“โอ ตาย !” วิชัยอุทานอย่างตกใจ “ผมลืมไปครับ รับมาเมื่อวานยังอยู่ในกระเป๋าเสื้อนี่เอง”

“อ้าดูซี เดี๋ยวใครมันได้ฉวยเอาไปเสียหรอก”

วิชัยผละจากลูกกรง วิ่งขึ้นบันไดไปชั้นบนโดยเร็ว หายไป ๒ นาทีจึงกลับลงมาพร้อมด้วยธนบัตรซึ่งเขาส่งให้มารดา

คุณนายชื่นรีบรับธนบัตรมานับ เห็นครบจำนวนที่เคยได้รับแล้วก็พับเก็บไว้ก้นเชี่ยนหมาก

ทั้ง ๒ คนนั่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดฝ่ายผู้เป็นมารดาจึงเอ่ยขึ้น

“กว่าผัวจะตายนังช้อยคงเหลือแต่ตัว ไอ้นั่นก็ไม่ว่าหรอก เป็นเมียผัวเจ็บก็ต้องรักษา หมดเท่าไหร่ก็ต้องหมดกัน เดี๋ยวนี้ยังจะต้องทำศพ ยังมีลูกเป็นห่วงผูกคออีก”

“ผมรับยายนิดเป็นลูกผมแล้วครับ พ่อเขาฝากตั้งแต่รู้ตัวว่าเจ็บมาก”

“ดี ! แล้วตัวน่ะจะไม่รู้จักมีลูกของตัวเองบ้างหรือ จะเป็นพ่อหม้ายไปตลอดจนตายยังงั้นหรือ?”

“ถ้าผมมีลูกมันก็เป็นน้องยายนิดซีครับ ยายนิดแกตัวนิดเดียวเหมือนชื่อ คงจะไม่เป็นที่เกะกะแก่ใคร ทั้งค่าตัวแกก็เห็นจะไม่แพงนัก”

“อย่าพูดอวดดีไป ตัวยังไม่เคยมีลูก อย่านึกว่าเลี้ยงเด็กนั้นเลี้ยงได้ง่าย ๆ เหมือนตุ๊กตา ดูแต่แม่ซีทรมานทรกรรมมารู้จักเท่าไหร่ ถึงได้เลี้ยงพวกแกมาเป็นตัวได้จนถึงทุกวันนี้ ค่าตัวพวกแกแต่ละคนไม่แพงหรอก แต่ทว่าถ้าจะเก็บรวบรวมไว้เป็นเงินก้อน ป่านนี้เกือบจะปลูกให้เท่าพระที่นั่งอนันต์ได้ !”

อันคำพูดทำนองเตือนเรื่องความหลังนี้ บุตรชายหญิงของพระศรีวิชัยบริรักษ์ย่อมได้ฟังบ่อยครั้ง ในเมื่อเขาคนใดคนหนึ่งกระทำสิ่งที่ขัดต่อความเห็นหรืออารมณ์ของมารดา สำหรับตัววิชัยเอง เขาได้ฟังมารดาถึงเรื่องนี้ทุกคราวที่เขาละจากประจำการในต่างจังหวัดมาพักที่บ้าน และก็ทุกคราววิชัยมิได้บังอาจแม้แต่จะนึกรำคาญด้วยเหตุว่า กตัญญูและกตเวทีนั้นเป็นธรรมที่ประจำในบุรุษผู้นี้มาตั้งแต่เริ่มแรกที่เขารู้จักโลกมาทีเดียว

มีการเงียบเป็นคำรบ ๒ คราวนี้เงียบอยู่นานกว่าคราวแรก ครั้นแล้วคุณนายชื่นก็ทำลายความเงียบขึ้นก่อนเช่นเดียวกับคราวที่แล้วมา

“น่าเคืองพ่อชัดนัก นัดกันไว้เป็นมั่นเป็นเหมาะ ดูหรือเหลวได้ ชาตินี้ตีหัวเสียให้แตกละดีละ”

“คุณแม่นัดกับคุณหญิงมะยมไว้ด้วยหรือเปล่าครับ !”

“นัดซีจ๊ะ นัดกันเมื่อคืนนี้”

“นัดว่าจะพาไปหาทั้งคู่”

วิชัยหัวเราะแล้วว่า

“ขาดผมไปคนหนึ่งเห็นจะไม่เป็นไรนัก นี่เผอิญขาดคนสำคัญเสียด้วย”

คุณนายไม่ปฏิเสธ ปรารภสืบไปว่า

“ลูกคนนี้ตั้งแต่กลับมา ไม่เห็นทำให้แม่ชื่นใจสักทีมีแต่กวนใจ”

วิชัยออกฉงน “ลูกคนนี้” นั้นหมายถึงลูกคนไหนกันแน่ ! พอคุณนายพึมพำต่อไปอีก

“บ้านเรือนของตัวเองไม่มีอยู่ติด เช้าหายเช้าหายกว่าจะกลับบ้านก็ชนขวบ วันนี้ขอให้อยู่บ้านสักวันเดียวเท่านั้นยังอยู่ไม่ได้ หาเรื่องแก้ตัวจนต้องปล่อยให้ไป มิหน้าซ้ำนัดว่าจะกลับไปธุระด้วยกันก็ไม่กลับเสียอีก”

วิชัยกำลังนึกอยู่ในใจว่า ถ้าแม้น้องชายของตนไม่เข้าประตูบ้านมาบัดเดี๋ยวนี้ เขาจะต้องมีอาการสำลักน้ำลายตายเป็นแน่แท้ ก็พอดีบานประตูบ้านเปิดออก วิชัยรีบหันมาบอกมารดาอย่างโล่งใจ

“มาแล้วครับ !”

แต่ครั้นเมื่อผู้เปิดประตูเดินผ่านประตูเข้ามาแล้ว วิชัยจึงรู้ตัวว่าเดาผิดไป ร่างกายภายใต้เสื้อฝนที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขานั้นสูงกว่าขนาดนายร้อยตรีชัดมากนัก

“ไม่ใช่ตาชัดหรอกครับคุณแม่” เขารีบแก้ความเข้าใจผิดของตนโดยเร็ว “ใครก็ไม่ทราบผมดูผิดไป”

เสียงถอนใจอย่างขัดเคืองดังจากทรวงอกคุณนายชื่น วิชัยไม่มีเวลาหันไปแสดงความกังวล เพราะบุรุษในเสื้อฝนได้เดินครึ่งวิ่งมาถึงบันไดหลบเข้าในกันสาดแล้วก็เปิดหมวกออกมายืนยิ้มอยู่ในที่นั้น

“คุณสมพงศ์” วิชัยทักน้ำเสียงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ

สมพงศ์ก้าวขึ้นบันไดอย่างกระฉับกระเฉง มองดูคุณนายชื่นปราดเดียวแล้วก็ต้องยกมือไหว้ มิพักต้องรอให้วิชัยแนะนำว่าเป็นใคร

“เพื่อนพ่อชัด” วิชัยบอกกับมารดา แล้วหันกลับมาพูดกับผู้เป็นแขก “ตาชัดไม่อยู่”

“อ้าว !” สมพงศ์อุทาน มือปลดดุมเสื้อฝน วิชัยยืนนิ่งมองดูกิริยาลังเลเพียงเล็กน้อย ครั้นแล้วก็เดินเข้าไปในห้องรับแขก และยกเก้าอี้ออกมาตัวหนึ่ง สมพงศ์กล่าวขอบใจแต่มิได้นั่ง พูดว่า “ชัดไม่อยู่ผมสั่งคุณหลวงไว้ก็ได้ไม่ใช่หรือครับ ไม่ใช่ธุระสำคัญอะไรหรอก เป็นแต่ผมขอเชิญคุณหลวงกับเขาไปรับประทานอาหารค่ำที่บ้านผมวันที่ ๑๒ เดือนนี้”

“มีงานอะไรหรือครับ?” วิชัยถาม สีหน้าแสดงความสงสัยและประหลาดใจ

“เปล่าเลย ไม่มีงานอะไร เชิญไปคุยกันสนุก ๆ แล้วก็กินข้าวเท่านั้น”

“ครับผมจะบอกนายชัดให้”

“ไม่ใช่บอกนายชัดคนเดียว บอกตัวคุณหลวงเองด้วยซี ไม่ขัดข้องไม่ใช่หรือ?”

วิชัยนิ่งคิดอยู่อึดใจหนึ่งแล้วว่า

“ดูเหมือนผมรับเชิญใครไว้ อ้อ หลวงหาญผจญศึกเขาเชิญไว้วันเสาร์วันที่เท่าไหร่ไม่ทราบ”

“วันเสาร์ที่ ๑๑ ของผมอาทิตย์ที่ ๑๒”

“ยังงั้นก็ไปได้ซี ขอบคุณคุณมาก น้องชายคุณเป็นอย่างไรบ้าง ไม่ได้มาด้วยดอกหรือ?”

“มา อยู่ในรถ”

“อ้าว ทำไมถึงไม่ชวนแกเข้ามาด้วยล่ะ?”

“เพราะผมจะนั่งอยู่ไม่ได้นาน” ทอดสายตาไปตามส่วนยาวแห่งระเบียงเรือน พลางพูดต่อไป “เรือนคุณหลวงนี่น่าจะสบายมาก ผมชอบเรือนที่มีเฉลียงยาวอย่างนี้เหมือนกัน”

วิชัยยิ้มและไม่ตอบว่ากระไร สมพงศ์ยังคงใช้สายตาตรวจดูภูมิประเทศแห่งบ้านนี้อีก แล้วและมองลอดหลังคาข้ามรั้วบ้าน ไปยังตึกที่กำลังสร้างใหม่

“อีกไม่ช้าญาติของผมจะได้มาเป็นเพื่อนบ้านกับคุณหลวง” เขาเอ่ยขึ้น

“ยังงั้นหรือครับ?” วิชัยถามเรื่อย ๆ “เจ้าของบ้านเป็นอะไรกับคุณ?”

“อาผมทั้งคู่” สมพงศ์บอก

“ทั้งคู่ ! ๒ คนหรือครับ?”

“๒ คน ท่านเป็นพี่น้องฝาแฝด คุณแม้นเป็นพี่ คุณเมี้ยนเป็นน้อง”

“อ้อ ! มิน่าล่ะ ถ้าท่านจะเหมือนกันมากเสียด้วยจนใครที่เห็นเผินๆ แล้วก็นึกว่าคนเดียวกัน เพราะฉะนั้นจึงฟังดูคล้าย ๆ คนเดียวมีชื่อ ๒ ชื่อ”

“คุณหลวงอยู่ที่นี่ไม่เคยเห็นท่านบ้างดอกหรือ ท่านมาดูงานเสมอ ๆ เวลาเย็น”

“เคยเห็นมีรถมาจอด แต่ไม่ได้เอาใจใส่ดูคนที่มา ระยะไกลกันมากนี่ครับ....เชิญคุณนั่งก่อนซี” เขาพูดต่อไป เมื่อผู้เป็นแขกยังไม่แสดงท่าว่าจะลา

สมพงศ์สั่นศีรษะเล็กน้อยมองดูเมล็ดฝน ในที่สุดก็ตอบว่า “ผมจะลาละ จะไปที่อื่นต่อไปอีก” ทำความเคารพลาเจ้าของบ้านทั้ง ๒ คน แล้วสมพงศ์ก็ลงบันไดไป

“ใครจ๊ะพ่อใหญ่” คุณนายชื่นถามทันทีที่สมพงศ์เดินห่างไปแล้ว

วิชัยมีอาการกึกกักเล็กน้อย แล้วตอบได้ด้วยไวปัญญา

“ลูกพระยาเนติธรรมสุนทรครับ”

คุณนายชื่นนิ่งคิด มีความรู้สึกว่าได้เคยสำเหนียกชื่อนี้ไว้แล้วครั้งหนึ่ง แต่การสำเหนียกของคุณนายไม่จำเป็นต้องหมายความว่าจะไม่ลืมในภายหลัง ความอ่อนของคุณนายในข้อนี้ วิชัยจำได้แม่น ดังนั้นเขาจึงซ่อนยิ้มด้วยความพอใจ

“เป็นเพื่อนกับพ่อชัดด้วยหรือ?”

“เขาชอบกันมากเทียวครับ”

“มิน่าล่ะเขารู้จักแม่ แต่แม่มองดูเหมือนไม่เคยเห็นเขาเลย หรือเห็นแล้วจำไม่ได้ก็ไม่รู้ ท่าทางเขาเรียบร้อยดีนะ”

บัดนี้ความมืดกำลังปกคลุมไปทั่วแผ่นดิน ทั้งที่เวลายังไม่ล่วง ๑๘ นาฬิกา ความที่ได้นั่งนิ่งอยู่ในอาการคอยมานานนักแล้วทั้งอากาศก็เย็นขึ้น ทำให้คุณนายชื่นมึนศีรษะและง่วงนอน ดังนั้นภายหลังที่ได้ถอนใจและหาวหลายครั้งติดต่อกันแล้ว คุณนายก็จัดแจงเข้าห้องลงนอนคลุมผ้า เรียกให้เด็กคนใช้มานั่งทุบ มิช้าก็หลับอย่างสุขสบาย

ฝ่ายวิชัย การไม่ได้ทำงานทั้งโดยทางสมองและโดยทางกายนั้น เปรียบเหมือนเครื่องทรมานสำหรับเขา ขณะนั้นมารดาก็หลับแล้ว ฝนก็จวนจะขาดเม็ดแล้ว ชัดก็ยังไม่มา ครั้นวิชัยจะออกจากบ้านไปยังที่ ๆ ตนใคร่จะไป ก็เกรงว่าถ้าลูกชายคนเล็กมาถึง คุณแม่ตื่นขึ้นไม่พบลูกชายใหญ่จะเกิดการพื้นเสียหนักขึ้น แต่การที่ต้องถูกกักให้เฝ้าโยงเช่นนี้ วิชัยก็แสนที่จะอัดใจ อ่านหนังสือฆ่าเวลาหรือ น่าจะไม่ได้ประโยชน์เพราะเมื่อใจไปพะวงกับสิ่งอื่นเสียแล้ว สมองก็อ่อนในเชิงที่จะหาความรู้ นึกขึ้นมาถึงเครื่องแต่งห้องนอนที่ได้มาตัวใหม่และได้จัดแต่งไว้เมื่อตอนเช้าเรียบร้อย เมื่อตอนเช้า เมื่อไม่มีอะไรทำดีกว่า ก็ควรจะทำอาการเห่อของใหม่เพื่อแก้รำคาญชั่วครั้งคราว

พาตัวขาไปอยู่ในห้องแล้ว วิชัยมองไปทั่วห้องด้วยสายตาแสดงความพอใจ ม่านหน้าต่างสีเขียวกลางมีละอองฝนปลิวมาจับอยู่ เป็นหยาตน้ำระยิบระยับไปทั้งแถบ เครื่องแต่งห้องทุกชิ้นเป็นสีเดียวกับม่าน และทุกๆ ชิ้นวิชัยได้เลือกแบบและตรวจตราให้ช่างทำด้วยตนเอง

ทุก ๆ สิ่งเรียบร้อยไม่ต้องการแตะต้องเพิ่มเติม นอกจากโต๊ะเขียนหนังสือ จดหมายโต้ตอบทางการงานกับจดหมายส่วนตัวยังปนอยู่ที่เดียวกัน นี่คืองานชนิดเดียวที่วิชัยจะได้อาศัยทำเพื่อฆ่าเวลา นั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต้ะนั้น มองดูรูปภาพ ๆ หนึ่งที่ใส่กรอบวางอยู่บนชั้นน้อยที่ติดกับโต๊ะ แล้วก็ตั้งต้นทำสิ่งที่ตั้งใจ

เขาตื่นจากความเพลิดเพลิน เมื่อรู้สึกตัวว่ามีคนเดินเข้ามาในห้อง เงยหน้าดูก็เห็นนายร้อยตรีชัดยืนยิ้มอยู่

“แหมฝีตีนเบาแมวสู้ไม่ได้เทียวนะวันนี้ !” เจ้าของห้องทัก

“คุณแม่อยู่ที่ไหน?” ชัดถามเสียงเบาเกือบเท่ากระซิบ

“คุณแม่คอยแกจนอ่อนใจเลยหลับไปแล้ว”

ชัดทิ้งตัวลงบนเตียงนอนของพี่ชายแล้วหัวเราะอย่างขบขันที่สุด

“รอดตัวไปวันหนึ่ง !” เขากล่าว “ไม่ต้องฟังด่า”

วิชัยมองดูน้อง ครึ่งขันครึ่งเคือง ในที่สุดเขาออกปากว่า

“แต่ฉันอยากด่าแกเหลือเกินตาชัด”

“ทำไม?” น้องชายถามอย่างตกใจ ถือรองเท้าที่ถอดแล้วหิ้วค้างอยู่

“แกทำฉันเสียเวลาไปด้วย จะไปไหนก็ไปไม่ได้ เพราะว่าฉันก็มีหน้าที่จะต้องไปหาคุณหญิงมะยมพร้อมกับแกด้วยเหมือนกัน”

“ทีเดียว ๒ คนเทียวหรือ? ยายนี่มักมากจังเลย !”

“อะไรตาชัด !” วิชัยพูดพยายามจะดุ แต่กลั้นยิ้มหาได้ไม่

ชัดลุกขึ้นจากเตียงโดยแรง สอดมือลงในกระเป๋ากางเกงทั้ง ๒ ข้างแล้วก้าวเท้าเดินไปมา แต่หาอาจก้าวออกไปนอกพรมที่อยู่หน้าเตียงไม่ ด้วยเกรงฝีเท้าจะดังลงไปถึงห้องข้างล่าง

“ผมเบื่อคุณแม่เรื่องหาผู้หญิงมาจับยัดให้ผม” เขาพูดอย่างหัวเสีย “ใครที่ไหนก็ไม่รู้ เกิดมาไม่เคยเห็นหน้าค่าตา ท่านชอบแล้วละก้อเป็นเกณฑ์ให้ผมชอบด้วย ถึงทีที่ผมชอบของผมเอง ท่านเห็นเป็นลิงเป็นค่างไปฉิบ.... เออ ! นี่หรือเฟอร์นิเจอร์ใหม่ของพี่ใหญ่ สวยดีนี่ !” ก้าวเท้าออกจากพรมเป็นก้าวแรกพลางมองไปรอบตัวด้วยสายตาแสดงความเอาใจใส่ “สีเขียวเสียด้วย ที่ถูกมันควรจะเป็นของผมเพราะผมวันพุธ”

“พี่วันอาทิตย์แต่ชอบสีเขียว”

“ไอ้ชุดที่ผมใช้อยู่ซีมันควรเป็นของพี่ใหญ่ แลกกันเถอะน่ะ เอาชุดนี้ให้ผม พี่ใหญ่เอาของผมมาใช้”

“ขอบใจ” วิชัยตอบพลางหัวเราะ “ไหนคุณแม่บอกว่า แกชอบชุดเก่าของพี่นัก จะซื้อให้ใหม่ก็ไม่เอายังไงล่ะ พี่ถึงต้องไปทำชุดนี้มา”

ชัดทำหน้าเบ้ “ท่านให้เงินผม ๘๐ บาท” เขาตอบ “จะพอที่ไหน ขอเพิ่มก็ให้อีก ๒๐ บาท ก็ไอ้ไม่พออยู่นั่นเอง ตกลงผมก็เอาเงินนั่นไปพ่นสีชุดของพี่ใหญ่ แต่แบบมันเก่าโบราณเต็มทน ดูแล้วรำคาญตา”

วิชัยมองดูน้องอย่างเห็นขัน อมยิ้มอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถามขึ้นว่า

“แกเคยเห็นลูกคุณหญิงรานรอนแล้วหรือยัง?”

“เฮ้อ” ชัดร้องอย่างเบื่อหน่าย “ผมไม่ต้องการเห็น เคยรู้เสียแล้ว ตาคุณแม่กับผมมันตรงข้าม เดี๋ยวนี้ผมอยากรู้ว่าจะทำอย่างไร ผมจึงจะหนีไม่ให้คุณแม่จิกหัวผมไปหายายคุณหญิงบ้านั่นได้”

“พี่เกรงว่าแกมีอุปาทานแรงเกินไปชัด” หลวงอรรถคดี ฯ พูดเรียบ ๆ “อย่างน้อยที่สุดแกควรจะไปดูตัวผู้หญิงเสียหน่อย บางทีแกอาจจะชอบเขาก็ได้ ไม่ใช่คนเดียวนะแก ๔-๕ คนนั้นแน่ะ เขายอมให้แกเลือกเอาด้วย”

“ขอบใจ” ชัดเลียนพี่ชาย “ผมไม่รับประทาน อย่าว่าแต่ ๔ คนเลย ครึ่งคนก็ไม่รับ พวกนั้นเดนเลือกทั้งเพ”

สีหน้าวิชัยแสดงความพิศวงเล็กน้อย

“เป็นอย่างไรแกจึงได้ว่าเขาเดนเลือก”

“ก็เพราะไม่มีใครเขาต้องการน่าซี ถ้าไม่เดนมันจะมาถึงผมหรือ”

“แกเข้าใจผิดไปกระมัง พี่ได้ยินว่ามีคนต้องการ แต่ไม่กล้าจรดเข้าไปต่างหากเพราะราคาแพงนัก”

“มันก็ไอ้อย่างเดียวกันนั่นแหละ จะเป็นเพราะอะไรก็ตาม ลูกสาวบ้านนั้นไม่มีใครต้องการ ยายแม่ถึงต้องเอาออกเร่ขาย”

“พูดอย่างนั้นก็ไม่ถูกอยู่นั่นเอง คุณหญิงมะยมไม่ได้เอาลูกมาขายแก เขาจะเอาลูกเขาซื้อแกต่างหาก”

ชัดหัวเราะอย่างหงุดหงิดแล้วว่า

“ทำไมคุณแม่ถึงไม่เอาพี่ใหญ่ซื้อเขานะ”

“ก็เพราะเขาไม่ต้องการพี่ คนแก่แล้ว เขาต้องการพ่อชัดคนหนุ่มแน่นและเป็นนักเรียนนอก”

ชัดออกเดินอีก ครั้นแล้วก็กลับมาหยุดอยู่ตรงหน้าวิชัยดังเก่าถามขึ้นว่า

“ถ้าเขาต้องการพี่ใหญ่ พี่ใหญ่จะรับหรือ?”

วิชัยมองดูรูปภาพที่ตั้งอยู่บนโต๊ะแล้วจึงตอบว่า

“พี่เคยตามใจคุณแม่ในเรื่องนี้มาครั้งหนึ่งแล้ว คิดว่าท่านจะไม่เรียกร้องให้ทำอีกเป็นครั้งที่ ๒”

ชัดมองตามสายตาพี่ชาย แล้วถามอย่างเอางานเอาการ

“ในคราวนั้นพี่ใหญ่ได้รับผลอย่างไรบ้าง?”

วิชัยหยิบรูปมาถือไว้ สีหน้าค่อนข้างเศร้า เขาพูดช้า ๆ ด้วยเสียงเบา

“เรามีเวลาอยู่ด้วยกันน้อยเกินไป แกเห็นจะจำไม่ได้ว่า พอพี่แต่งแล้วได้ ๓ อาทิตย์ก็ต้องไปเชียงราย เวลานั้นการเดินทางแสนที่จะลำบาก พี่เองก็ไม่คุ้นกับภูมิประเทศ จะพาเมียไปด้วยก็กลัวจะไปเจ็บไข้ พี่ไปแล้วได้ ๖ เดือน จึงได้จดหมายบอกให้ทางนี้เตรียมตัวไปอยู่กับพี่ พอกำหนดวันไปแม่สุ่นก็ล้มเจ็บ คุณแม่โทรเลขไปบอกพี่รีบเดินทางมาทันทีแต่ไม่ทันเวลา แกตายเสียก่อนพี่มาถึง ๒ ชั่วโมง เรื่องเป็นเช่นนี้พี่จึงบอกไม่ถูกว่าผลที่ได้รับจากการที่อยู่ในคำคุณแม่คราวนั้น จะดีหรือร้ายประการใด บอกได้แต่เพียงว่าพี่ก็เป็นหม้ายอยู่มาจนถึงเดี๋ยวนี้ ๓ ปีแล้ว”

ชัดยืนมือไขว้หลังอยู่ข้างวิชัย พิศดูรูปภาพหญิงสาวอายุราว ๑๘-๑๙ ตัดผมสั้น นุ่งม่วง สวมเสื้อนอกสะพายแพร สวมถุงเท้ารองเท้า ประดับอาภรณ์ครบชุดตามสมัยในปีที่ถ่ายรูปนี้ ดวงหน้าของหล่อนกลมแป้นไม่ยิ้มไม่บึ้ง แววตาซื่อ ดูเฉยเมย เป็นสีหน้าและแววตาที่ไม่ช่วยผู้ดูให้อ่านนิสัยได้ออกแม้แต่สักเล็กน้อย

“ผมนึกไม่ออกว่า พี่สะใภ้ของผมคนนี้มีนิสัยเป็นอย่างไร” นายทหารหนุ่มเอ่ยขึ้นอย่างตรึกตรอง “จำได้แต่ว่า แกไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกับใครขลุกอยู่ในห้องเสมอ นอกจากเวลาคุณแม่ทำงานถึงจะได้เห็นแกมานั่งร่วมวงกับคนอื่น อ้อยังมีอีกอย่างหนึ่ง ดูเหมือนแกเป็นคนรวยไม่ใช่หรือครับ?”

แกเป็นลูกคนเดียวของพ่อแม่ ข้อนี้ทำให้ใคร ๆ เข้าใจว่าแกมีสมบัติมาก ซึ่งแท้จริงก็ไม่มีมากเท่าไรนัก อย่างไรก็ตาม นับว่าแกมีบุญคุณแก่เรามากอยู่ จากสมบัติส่วนหนึ่งของแกที่กองทุนด้วยกันกับของพี่ เราได้ถ่ายที่นาของเราทั้งหมดที่ได้จำนำเขาไว้เมื่อคุณพ่อถูกพักราชการ”

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ