ในชานชาลาสถานีหัวลำโพงเมื่อใกล้เวลารถด่วนไปร-กรุงเทพ ฯ จะมาถึง มีฝูงชนอยู่มากหน้าเกือบทุกคนมีอาการกิริยาไม่สงบ ละม้ายคล้ายคลึงกัน เพราะเขาทั้งหมดมีใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน กล่าวคือตื่นเต้นหรืออึดอัดไม่มากก็น้อย ด้วยการที่ต้องคอย ดังนั้นนาฬิกาเรือนใหญ่ที่ติดอยู่ในที่สูง จึงเป็นเป้าสำคัญ อันดวงตาทุกคู่ที่จะเว้นเสียมิได้ ซึ่งการเฝ้าเวียนดูเกือบไม่เว้นวินาที

ในจำนวนฝูงชนที่กล่าวมานี้ มีบุคคลหมู่หนึ่งรวมกันอยู่ ณ ม้านั่งปลายทางที่สุดแห่งชานชาลา เป็นบุรุษ ๓ นาย ล้วนรูปร่างหน้าตาต่าง ๆ กัน ตรงกันข้ามกับสตรีอีก ๕ นางซึ่งละม้ายคล้ายคลึงกัน จนควรกับคำว่า “ออกจากพิมพ์เดียว”

นางศรีวิชัย บริรักษ์ ชื่อเดิมชื่น อายุปัจฉิมวัย ปลายผมดำสนิท แต่ที่โคนผมมีสีขาวประปรายสวมแว่นตากรอบทอง กิริยาที่กัดพลูดังกรอบ ! แสดงว่ายังไม่เสียฟันไปเท่ากับสตรีทั้งหลายในวัยเดียวกัน รูปร่างของคุณนายนั้นอ้วนกลม วงหน้าก็กลมเหมาะกับรูปกาย จมูกลาด ปากใหญ่ ผิวขาว

ช่วง ชด ชิด บุตรีคนที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ของคุณนายคือรูปปั้นของคุณนายเมื่อยังสาว แต่ช้อยบุตรีคนที่ ๔ นั้นผิวเนื้อดำแดง ร่างสูงกว่ามารดาและพี่สาวทั้ง ๓ คน รูปหน้ามีส่วนยาวกว่า จมูกโด่งกว่า ถึงกระนั้นเมื่อดูส่วนรวมในวงหน้า ก็จัดว่าหล่อนเป็นลูกที่เหมือนแม่ไม่น้อยเลย

ช่วงพูดกับสามีของหล่อนว่า

“เรารอให้ศักดาอาบน้ำแล้วพาแกมาด้วยก็ทันนะคะคุณพี่ เสียเวลามาคอยเป็นนานสองนาน”

หลวงศักดิ์รณชิต มีนิสัยคร้านที่จะพูดในบางคราว หลวงวิโรจน์เกษตร์กิจ เขยรองรับช่วงไปตอบแทน

“อีกประเดี๋ยวเดียวรถก็มาถึงแล้ว ไม่ว่าจะไปไหนผมยอมไปคอยนาน ๆ ก็ดีกว่าไปไม่ทันเวลา”

“ยังงั้นซี!” ชดเอ่ยขึ้นพลางค้อนสามีอย่างหมั่นไส้ “ตื่นเหมือนคนไม่เคยไปไหน”

“เรื่องอืดยกไว้ให้คุณพระของดิฉันซิคะ” ชิดวิวิธวรรณการว่า “ถ้าสับคู่กันเสีย ให้พี่ชดมาอยู่กับคุณพระ ดิฉันอยู่กับคุณหลวงวิโรจน์ ฯ”

“คู่เธอคงไม่มีเวลาได้ทำอะไร เพราะมัวแต่ไปเที่ยวนั่งคอยในที่ต่าง ๆ ทีละหลายชั่วโมง” พระวิวิธวรรณการกล่าวพลางหัวเราะ

“และคู่คุณพระก็คงไม่ได้ทำอะไรเหมือนกัน เพราะมัวแต่ไปไหนไม่ทัน” หลวงวิโรจน์ ฯ ตอบ

คุณนายชื่นฟังบุตรี และเขยเจรจากันอยู่นานจึงพูดขึ้นบ้าง

“พ่อหลวงก็เห็นจะคล้าย ๆ พ่อชัดของแม่ พ่อคนนั้นใจร้อนเป็นที่หนึ่ง ทำอะไรไม่มีอืดอาดเลย”

บุตรีของคุณแม่ช่วยกันหัวเราะเสียงใส ซึ่งเขยบางคนของคุณแม่มองไม่เห็นเหตุว่าหัวเราะเพราะอะไร นางวิโรจน์เกษตร์กิจพูดว่า

ตาชัดเห็นจะเบื่อรถไฟแทบตายนะคะ นั่ง ๆ นอน ๆ ไปตั้ง ๒๔ ชั่วโมงกว่า ได้เที่ยวสงขลาแวบเดียวเท่านั้นเอง ต้องนั่งรถกลับมาอีกแล้ว

“ก็ดู๊เถอะ” คุณนายลากเสียงรับ “อารามเห่อพี่ต้องไปรับจนถึงที่”

“อารามที่อยากจะแสดงว่าฉันเห่อพี่” หลวงศักดิ์ ฯ แก้วางหน้าตาเฉย

“เสียเงินเปล่า ๆ” ช่วงพูดเชิงครึ่งตำหนิและครึ่งเอ็นดู

“เห็นจะอยากได้เห็นสภาพหัวเมืองด้วยน่ะ” พระวิวิธ ฯ ตัดสินอย่างผู้ใหญ่ตามนิสัย

“โถ! ไปเสียหลายวัน ออกคิดถึง อยู่ก็คลั่ก ๆ ๆ ๆ ราวกับน้ำไหล แต่ไปเสียก็เงียบ”

ช้อยบุตรีคนที่ ๔ ของคุณแม่เอ่ยขึ้นเป็นคำแรกว่า

“เขาไปที่บ้านพี่ชิดเสมอหรือจ๊ะ?”

“เสมอ” ผู้เป็นพี่ตอบ “แต่ในตอนท้ายนี้เขาหายไปนานหน่อย พอโผล่ไปอีกทีบอกว่าจะไปสงขลา”

นางศักดิ์รณชิตผู้เป็นพี่ใหญ่ และเพราะความที่เป็นพี่ใหญ่ จึงไม่รู้หายที่จะเห็นน้องสุดท้องเป็นเด็กอยู่เสมอ ถามขึ้นด้วยเสียงแสดงความขันว่า

“ไปเรี่ยไรเงินใช่ไหม เขาบอกกับฉันว่าเขาจะไปเรี่ยไรพี่ ๆ ทุกคน มากน้อยเท่าไหร่เอาทั้งนั้น”

ชดกับชิดแสดงกิริยารับรอง แต่ช้อยพูดว่า

“ดิฉันไม่ได้พบหน้าตาชัดมา ๒ เดือนแล้ว ก็ดีไม่ต้องถูกเรี่ยไร”

คุณนายชื่น รู้เหตุแห่งการห่างเห็นของชัดที่มีต่อลูกหญิงคนเล็กดีอยู่ จึงรีบตัดบทเสียว่า

“พ่อใหญ่เห็นจะดีใจพิลึกที่น้องไปรับจนถึงสงขลา”

“พอได้เป็นเพื่อนคุยแก้เหงาในรถไฟ” ช่วงสนองคำมารดา

“อาจจะเห็นว่า แหลกเหลวสุรุ่ยสุร่ายไม่เป็นเรื่องก็ได้” หลวงศักดิ์ ฯ ขัด

คณะญาติข้างภรรยาเปลี่ยนสีหน้าไปตามกัน พอดีกับพระวิวิธ ฯ กล่าวเตือนว่า รถไฟใกล้จะเข้าในชานชาลาสถานีแล้ว จึงต่างคนต่างสิ้นความเอาใจใส่ต่อเรื่องที่พูดค้างกันอยู่ พร้อมกับขยับเขยื้อนจากที่ ชะแง้คอยผู้ที่จะมาใหม่ นางวิโรจน์ปรารภว่า

“เออมาเสียที อยากรู้ว่าพี่ใหญ่จะเลือกสีผ้านุ่งถูกไหม”

“จริงนะ ฉันก็สั่งซื้อไปหลายผืน” ชดบอก

พอรถจักรหยุดนิ่งกับที่ ก็มีเสียงถามกันและกันเอง

“สองคนพี่น้องนั่นอยู่ที่ไหน ใครเห็นแล้วหรือยัง?”

“ไม่เห็น” นางศักดิ์รณชิตตอบพลางชะเง้อคอ “เอ๊ะ! นี่มันรถชั้นสามนี่ ชั้นหนึ่งอยู่ท้าย”

นางวิโรจน์ ฯ ฉวยกระเป๋าหมากจากมือคุณแม่อย่างรวดเร็ว “ไปทางโน้นเถอะค่ะ” หล่อนบอก แล้วออกเดินทันที

สตรีทั้ง ๕ นางเดินด่วนไปข้างหน้า หลวงวิโรจน์ ฯ ตามติดหลังไป พระวิวิธ ฯ กับหลวงศักดิ์ ฯ ค่อย ๆ ออกเดินช้า ๆ มองดูผู้คนที่ขวักไขว่อยู่เบื้องหน้าอย่างสนใจ พบผู้ที่ตนรู้จักก็แสดงกิริยาทักทายกัน ครั้นแล้วในที่สุดพระวิวิธ ฯ หัวเราะขึ้นและว่า

“อ้าว หลวงอรรถ ฯ ยืนป้ออยู่นี่เอง

หลวงศักดิ์ ฯ มองตามสายตาคนพูด เห็นตัวบุรุษผู้ถูกกล่าวนามก็หัวเราะด้วย พลางเดินตรงไปที่รถ

“วิชัย!” เขาเรียกเสียงค่อนข้างดัง-มีการโบกมือทักทายระหว่างบุรุษทั้งสอง “ญาติของแกเขาไปเที่ยวหาทางโน้น ส่งของมาซีจะช่วยรับ”

ไกลจากหลวงศักดิ์ ฯ ไปในระยะ ๘ วา ขบวนคุณแม่ซึ่งยกล่วงหน้าไปแล้ว ปะทะเข้ากับขบวนนายร้อยตรีชัดโดยไม่รู้ตัว

นายทหารหนุ่มมีแขนขวาเกี่ยวอยู่กับแขนเพื่อนสาว มือซ้ายหิ้วกระเป๋าเดินทางขนาดเล็ก จึงคงเหลือแต่หน้าสำหรับใช้ทักทายแม่และพี่ โดยการพยักเพยิดหงึกหงักและคำพูดออกมาจากปาก มีความเร็วดังกระแสน้ำไหลจากที่สูง ซึ่งผู้ฟังจับความได้เพียงว่า “จะไปส่ง-เสียก่อนแล้วจะเลยไปที่บ้าน พี่ใหญ่อยู่โน้น” พยักหน้าไปทางข้างหน้า

บุคคลทั้ง ๕ มองตามชัดเป็นตาเดียว แต่ความฉุกละหุกแห่งเวลาและสถานที่ ไม่เปิดโอกาสให้วิพากษ์กิริยาและการกระทำของนายทหารหนุ่มน้อย หลวงวิโรจน์เตือนให้ถอยหลังกลับ ขบวนคุณแม่จึงย้อนมาทางเก่า ไม่ช้านักนางวิวิธ ฯ ก็พูดขึ้นอย่างตื่นเต้น

“นั่นแน่ ยืนอยู่ตรงบันได แต่ลงไม่ได้ อีตาฝรั่งขวางอยู่....ทางนี้ค่ะ คุณแม่ ทางท้ายรถ แหม! ยืนเช้ยเฉย ดูอีตาฝรั่งเสียจนเพลิน ไม่นึกอยากเห็นพวกพ้องบ้างเลย”

“ทำท่าใจเย็นตามเคย” นางศักด์ ฯ เสริม “เย็นไม่ว่าที่ไหนดู๊ ขอให้ดูไม่เดือดร้อนเลยที่ต้องยืนอยู่อย่างนั้น”

ถึงแม้ความจ้อกแจ้กจะครอบงำอยู่ทั่วสถานที่ และหลวงศักดิ์ ฯ ยืนอยู่ไม่ใกล้ภรรยา แต่ประสาทของเขาไวนัก จำเสียงหล่อนได้ถนัด ก็เหลียวมามองดูมีอาการเหมือนผู้ที่ถูกชวนไปดูละครที่ตนเคยดูแล้วซ้ำซากจนเบื่อที่สุด พระวิวิธ ฯ เอ่ยขึ้นว่า

“ถ้าเป็นเมียผม เห็นจะผลักตาอ้วนหัวแดงคนนั้นคะมำลงมาจากรถเป็นแน่”

หลวงศักดิ์ ฯ หัวเราะอย่างรู้สึกสบายใจ พอล้อเลื่อนที่บรรทุกสัมภาระของผู้โดยสารเคลื่อนจากหน้าบันไดนายฝรั่งเดินตามของไป หลวงอรรถคดีวิชัยก้าวลงเหยียบชานชาลา ก็มีเสียง ๔ เสียงประดังขึ้นพร้อมกัน

“ฮิ ๆ พี่ใหญ่ ๆ”

“พี่ใหญ่ดำปี๋เชียว !”

“พี่ใหญ่ดูเหมือนขาวขึ้น !”

“พี่ใหญ่ผอมไป !”

สุดเสียงหญิงทั้ง ๕ หลวงศักดิ์ ฯ ก็เอ่ยขึ้นบ้าง

“พี่ใหญ่เตี้ยลง !”

ชดขมวดคิ้ว ชิดทำปากเชิด ช่วงค้อนจนตาคว่e “พี่ใหญ่” มีอาการออกงง มองดูน้องคนนั้นทีหนึ่งคนนี้ทีหนึ่ง มือลูบผมอันยุ่งและลงมาปรกหน้า ในที่สุดจึงทำความเคารพมารดาอย่างนอบน้อม

“พ่อชัดเขาเดินไปกับใคร?” เป็นคำปราศัยของคุณแม่ !

วิชัยมิพักต้องตอบคำถามนั้น เพราะมีผู้ตอบแทนเขาถึง ๒ คน

“แม่อนงค์ยังไงล่ะคะ คุณแม่จำไม่ได้หรือ?”

จำได้ ! ทำไมจะจำไม่ได้ คำถามที่ถามไปแล้วมิได้ตั้งความหมายในอันจะรู้ว่าหญิงนั้นชื่อไร ตั้งไปหมายจะแสวงคำอธิบายว่า เพราะเหตุใดและโดยอย่างไร ลูกชายสุดท้องของท่านจึง “เอาภาระ” ต่อหญิงนั้นนักต่างหาก

“ของมีเท่านี้แหละหรือ?” ท่านถามไปพลางมองดูกระเป๋าหนังใบใหญ่ที่หลวงศักดิ์ ฯ วางไว้ใกล้ตัว

ผู้ถูกถามแสดงกิริยารับรอง พระวิวิธ ฯ จึงว่า

“แหม ! ดีจริง ย้ายจากเมืองหนึ่งมาอีกเมืองหนึ่ง มีกระเป๋าใบเดียวเท่านั้นเอง”

“ที่ไหนได้” ภรรยาคุณพระค้าน “ไม่ไปดูที่บ้านนี่คะ แทบจะไม่มีที่เดิน”

“ส่งล่วงหน้ามาก่อน” หลวงวิโรจน์ ฯ แสดงความเข้าใจ

“ยังงั้นซี” คุณนายชื่นกล่าว “เอาเปรียบให้แม่จัดเสียเจียนตาย จะเป็นลมวันละ ๓ พัก ๔ พัก”

“หน้าเดินกันเสียทีหรือยังล่ะ ประเดี๋ยวจะเกิดเป็นลมกันขึ้นที่นี่หรอก” หลวงศักดิ์ ฯ เอ่ยขึ้น ครั้นแม่ยายหันมาทำตาเขียว เขาก็วางหน้าเฉยไว้ พูดสืบไป เชิญนำแถวซิครับ”

คุณนายชื่นออกเดินอย่างใคร่กระแทกส้น คนอื่น ๆ ก็เดินตามไปพร้อมกัน

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ