๑๗

รถเฟียตเล็กมีเจ้าของคือ พระอรรถคดีวิชัยเป็นผู้ขับกำลังออกจากประตูบ้าน พอพบกับนายร้อยตรีชัดผู้ซึ่งกำลังลงมาจากรถเช่าคันหนึ่ง สองพี่น้องยิ้มพยักทักทายกัน แล้วชัดกระโดดก้าวมาเกาะบันไดรถวิชัยอยู่

“จะไปไหนครับ?” เขาถาม “กลับช้าหรือกลับเร็ว”

“ยังตอบไม่ถูก แกมีธุระอะไรหรือ?”

“เปล่า ชั่วแต่วันนี้ผมคิดจะอยู่บ้าน ไม่ไปเที่ยวไหน แต่ถ้าพี่ใหญ่ไม่อยู่ผมก็อยู่ไม่ได้ต้องไปบ้าง”

“ทำไม?” ผู้เป็นพี่ถามแกมหัวเราะ “ไม่มีพี่แกอยู่บ้านไม่ได้ยังงั้นหรือ ถึงทีแต่ก่อน เมื่อพี่อยู่หัวเมืองทำไมแกถึงอยู่ได้ หรือไม่เคยอยู่บ้านเลยแต่ไหนแต่ไรมา?”

“เวลานั้นกลับเวลานี้ไม่เหมือนกัน แต่ก่อนพ่อชัดเป็นเทวดา เดี๋ยวนี้พ่อชัดเป็นหมา ไม่ไหวผมไม่ชอบอยู่กับท่าน ๒ ต่อ ๒ มันคอยหวาดแต่ว่าจะถูกด่าอยู่ร่ำไป”

“บ้า ! ไม่เห็นเข้าเรื่อง !” วิชัยพูดเสียงเดิมแล้วเสริมต่อ “ช้อยเขาก็อยู่”

“พี่ช้อยอยู่ก็คุ้มไม่ได้” ชัดตอบโดยเร็ว “แม่นึกจะด่าขึ้นมาเวลาไรแม่ก็ด่า พี่ช้อยไม่รู้จักหาเรื่องกลบเกลื่อนให้ท่านเพลิน ไม่เหมือนพี่ใหญ่ เวลาพี่ใหญ่อยู่ด้วยผมอุ่นใจ ถึงจะถูกด่าก็ไม่ค่อยเดือดร้อนมาก รู้สึกว่ามีคนคอยช่วยแบ่งกันฟังแบ่งกันรับ”

“เรื่องของแกมันก็มีอยู่ว่าจะเอาเปรียบเท่านั้น” วิชัยกล่าว “ถูกด่าไม่ยอมฟังคนเดียว ไอ้เวลาแกไม่อยู่คนอื่นเขาต้องฟังท่านด่า แกน่ะไม่นึกถึงใจเขาบ้างหรือ?”

ชัดหัวเราะพร้อมกับยักไหล่และแบมือ “ช่วยไม่ได้นี่ครับ !” เขาว่า แล้วถามต่อไปโดยเร็ว “บอกผมได้ไหมพี่ใหญ่จะไปไหน?”

“จะไปบ้านหลวงธุรกิจ แล้วจะกลับมาให้ทันเวลากินข้าว”

“นั่นแน่ !” ชัดร้องดัง “ยังงั้นทำไมไม่ชวนผมมั่งล่ะ ไหนรับกับผมว่าจะพาผมไปดูคนสวยยังไง?”

ผู้เป็นพี่เลิกคิ้วอย่างไม่แน่ใจ “พี่ลืมนึกถึงเรื่องนั้น” เขาสารภาพ “ไม่นีกว่าแกตั้งใจจริง ๆ จัง ๆ อยากจะไปด้วยกันก็ได้ แต่ว่าทั้งสกปรกยังงั้นละหรือ?”

ชัดก้มมองเครื่องแบบทหารที่ตนสวมอยู่ แล้วใช้ลำข้อโยนตัวขึ้นนั่งบนรถเคียงข้างพี่ชายพลางว่า

“ไปมันยังงี้แหละ มันก็ไม่สกปรกจนเหลือเกินนักนี่”

ดังนั้นรถซึ่งเดินเครื่องโดยล้อมิได้หมุนอยู่หลายนาทีจึงเคลื่อนจากที่ ชัดคว้าผ้าเช็ดหน้าออกเช็ดหน้าจนเกลี้ยงสะอาด แล้วหวีผมด้วยหวีที่เขาติดกระเป๋าเสื้อไว้เสมอ เสร็จแล้วเขาบรรจงสวมหมวกลงดังเก่า แล้วถามขึ้นว่า

“จันทรอายุเท่าใดครับ?”

“ไม่รู้ ช้อยเขาเคยบอกแล้ว แต่พี่จำไม่ได้”

“ท่าทางเป็นยังไง?”

“สำหรับพี่เห็นว่าเรียบร้อยดีไม่มีที่ติ สำหรับแกบางทีจะไม่ชอบก็ได้ เพราะจันทรไม่มีท่าโก้”

“ขี้อายไหมครับ?”

วิชัยขมวดคิ้วในท่าตรอง ครั้นแล้วก็หัวเราะและว่า

“อีกสักประเดี๋ยวเดียวก็จะได้เห็นเขา ยังจะนั่งซักพี่ทำไมให้เสียเวลา ความเห็นของแกกับของพี่น่าจะไม่ตรงกันนัก พี่เห็นอย่างหนึ่งแกอาจจะเห็นเป็นอีกอย่างหนึ่งก็ได้”

“เพราะยังงั้นน่ะซีผมถึงได้ถาม อยากจะดูว่าความเห็นของพี่ใหญ่กับของผมจะต่างกันมากไหม?”

“ในเรื่องผู้หญิงเป็นธรรมดา ที่จะต่างกันเกือบตรงกันข้ามเพราะแกเป็นคนสมัยใหม่ ส่วนพี่เป็นคนโบราณ พี่ยังสงสัยอยู่เดี๋ยวนี้ว่าการที่แกจะไปรู้จักกับจันทรน่ะ จะได้ประโยชน์อะไร เท่าที่พี่เคยสังเกต ผู้หญิงอย่างจันทรไม่ใช่ผู้หญิงที่แกเคยชอบ”

“ผมชอบคนสวย” ชัดตอบง่าย ๆ “แต่ผู้หญิงมีสวยหลายอย่าง สวยหน้า สวยรูป สวยท่า แม่จันทรตามที่เห็นในรูป หน้าแกสวยอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะมีผู้หญิงไทยสวยได้เท่านี้ ผมถึงอยากดูตัวแกให้เห็นจริงด้วยตา”

“ลูกสาวคุณหญิงมะยม ก็มีคนลือว่าสวยเหมือนกัน พี่จะหารูปเขามาให้แกดูเอาไหม เผื่อจะชอบใจบ้าง สงสารความตั้งใจของเขา ยังคอยจะให้แกไปดูตัวทุกวัน แม่ของเราก็เคี่ยวเข็ญเรา ทำไมแกถึงไม่ไปมองดูเขาบ้างเล่า”

ชัดสีหน้าตึงขึ้นทันที น้ำเสียงที่พูดก็กระด้างขึ้น

“กราบตีนละพี่ใหญ่ อย่าพูดถึงเรื่องพวกนี้ให้เข้าหูผมหน่อยเลย ผมเกลียดจริง ผมเดือดร้อน ถูกคุณแม่เคี่ยวเข็ญจนไม่อยากจะเหยียบเข้าบ้าน ไม่เพราะพวกยายบ้านี่รึ พี่น้องก็พากันด่าว่าผมเที่ยวหามรุ่งหามค่ำ พบใคร ๆ ด่าจนไม่อยากพบเสียแล้ว ว่าเราอยู่บ้านไม่ติด ก็มันจะติดยังไง มีแม่คอยด่าจุกจิกจู้จี้อยู่เรื่องเดียว พิโธ่ บ้านใครจะไม่อยากอยู่ แต่ว่าอยู่ไม่มีความสุขใครมันจะทนอยู่ได้”

วิชัยนิ่งฟังน้องโดยสงบ ชัดหยุดพูดแล้วเขาเอ่ยขึ้นช้าๆ

“พี่เห็นใจว่าการถูกจี้บ่อย ๆ นั้นเป็นเรื่องรำคาญจริง แต่วิธีแก้รำคาญของแกมันไม่ถูกทาง ไอ้การเที่ยวจัดมันทำให้เปลืองทั้งตัว เปลืองทั้งทรัพย์ เปลืองทั้งเกียรติคุณ แล้วก็เป็นการเปิดช่องให้คุณแม่ด่าถนัดเข้าอีก ทางทีถูกแกจะดื้อใส่คุณแม่เรื่องมีเมีย แกต้องดื้ออย่างลูกผู้ชาย ไม่ผลัดเจ้าล่ออย่างเดี๋ยวนี้ ตอบท่านซีว่าไม่อย่างเด็ดขาด แล้วยืนกรานอยู่คำเดียว ท่านจะทำอะไรแกได้ ผิดนักก็พึมไปสัก ๗ วัน ในระหว่างนั้นแกทำตัวของแกให้ดีไว้ อดทนหน่อย ไม่โกรธตอบท่าน ไม่หนีท่านอย่างที่แกเคยหนี นึกเสียว่าท่านเป็นแม่ มีพระเดชพระคุณแก่เรานักหนา ผลที่สุดท่านก็สงบไปเอง”

ชัดเบือนหน้าออกทางนอกรถแววตาถมึงทึง ภายหลังจึงหันหน้ากลับมาทางพี่ชายและพูดว่า

“เรื่องยอมอดทนให้คุณแม่นั้น ใคร ๆ เขาก็ยกให้พี่ใหญ่เป็นที่หนึ่ง ผมเองก็อยากกราบพี่ใหญ่ในเรื่องนี้ แต่ส่วนตัวผม ๆ บอกตามตรงว่าทนไม่ไหว ขืนให้ท่านด่าบ่อย ๆ วันไหนใจผมดีก็จะนิ่งได้ วันไหนผมบ้าขึ้นมา ตึงตังเอากับท่านขึ้นมา ผมก็จะกลายเป็นคนระยำ”

“ก็ถ้าแกรู้แล้วว่าทำสิ่งไหน แกจะเป็นคนระยำแล้วแกขืนทำลงไป มันก็ระยำจริงอย่างเขาว่าน่ะซี แกควรจะรู้ตัวว่าคุณแม่รักแกมากเพียงไร เท่าที่ท่านบ่นพึมพำต่อหน้าแกนั้น มันน้อยกว่าที่ท่านพึมพำกับคนอื่นในเวลาที่แกไม่อยู่ถึง ๕ ต่อ ๑ แกไม่ได้สังเกตหรือ เวลาที่แกอยู่ให้ท่านเห็นหน้าท่านพะนอแกยังไง ต่อเมื่อวันไหนท่านพูดกับแกเรื่องมีลูกมีเมียหรือเรื่องความประพฤติของแกหรอก ท่านถึงจะเกิดโมโหเอ็ดอึงเอาแก แต่แกก็ควรจะอภัยให้ท่านบ้าง เพราะแกก็รู้อยู่ว่าท่านพูดเพราะอยากให้แกดี”

“พูดให้ดี !” ชัดย้ำเสียงกระด้าง แต่ครั้นแล้วน้ำเสียงก็อ่อนลง เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนพูดอยู่กับใคร “ก็ผมอภัยให้ท่าน ไม่ใช่ว่าโกรธ แต่ผมทนนั่งฟังท่านด่านานไม่ได้ ใจผมไม่เย็นพอ ถ้าคุณแม่อยากจะพูดให้ผมดี ขอให้ท่านพูดอย่างพี่ใหญ่พูดกับผมซี ไม่เพียงพูดและด่าก็เอา หรือเตะสักทีก็ไมโกรธ ให้ดิ้นตายซี เพราะเมื่อด่าแล้ว ผมพูดบ้างพี่ใหญ่ก็ฟัง ที่ไหนผมถูกพี่ใหญ่ก็รับว่าถูก แต่คุณแม่ท่านไม่ยังงั้น ท่านเล่นด่าปาว ๆ ข้างเดียว แล้วได้เรื่องที่ผมถูกด่าน่ะมีอะไร ก็มีไอ้เรื่องที่ท่านจะมัดผมเป็นหมูเท่านั้น ผมจะทนที่ไหนไหว”

วิชัยไม่ตอบ เพราะเกรงว่าคำตอบจะทำให้น้องได้ใจ คำพูดของชัดนั้นถึงวิชัยจะจับได้ว่าพูดด้วยความฉลาด แต่ก็เป็นคำที่ต้องกับความจริงอันวิชัยจะปฏิเสธไม่ได้ในยามโกรธ คุณนายซึ่งจะกล่าวคำรุนแรงกรอกหูชัดโดยไม่ยอมฟังเหตุผล ในยามดีเหตุผลของเขาจึงจะถูกต้องตามเกณฑ์ คุณนายก็ฟังโดยไม่วิเคราะห์ให้เห็นประจักษ์ในวิชัยกับชัด ยังไม่เคยต้องเป็นปากเสียงกันเลยแม้ด้วยเรื่องใด ๆ ทั้งนี้เพราะวิชัยมีนิสัยสมเป็นผู้พิพากษาโดยแท้ ในการวินิจฉัยคดี วิชัยย่อมวินิจให้ประโยชน์แก่จำเลยมากที่สุด เมื่อชัดเป็นจำเลยที่มีปากเป็นเอก วิชัยจึงต้องรับเหตุผลที่ชัดยกขึ้นอ้างเป็นเครื่องแก้ตัวทุกคราว จริงอย่างที่ชัดกล่าวแล้วนั้น

แต่ชัดมีความผิดซึ่งยังไม่ได้แก้ให้ตก หรือมิฉะนั้นก็รู้ตัวเสียแล้วว่าไม่มีทางแก้ จึงไม่พยายามแก้เสียเลย ความผิดนั้นคือการผลัดเจ้าล่อตามที่วิชัยว่า ชัดยังไม่เคยตอบกับมารดาว่า จะไม่แต่งงานกับบุตรคุณหญิงมะยม เป็นแต่ได้ตอบกับพี่ชาย และแสดงความไม่พอใจในเรื่องนี้ให้มารดาเห็น โดยหลีกเลี่ยงผลัดวันที่จะไปดูตัวผู้หญิง วิชัยกำลังคิดถึงความผิดข้อนี้เกือบจะกล่าวออกมาเป็นวาจาแล้วกลับหวนคิดสงสัยว่า ชัดก็เป็นลูกผู้ชายคนหนึ่ง การที่ไม่ให้คำตอบอันเด็ดขาดแก่มารดา จะเหมาเอาว่าเป็นเพราะความขลาดก็ดูกระไรอยู่ หรือชะรอยความดื้อดึงของชัดเกิดแต่ความทิฐิฝ่ายเดียว เนื้อแท้ชัดไม่ชังลูกสาวพระยารานรอน ฯ จนเหลือขนาด เผื่อว่าชัดเคยนึกเห็นชอบในการวิวาห์รายนี้อยู่บ้างเล็กน้อย ถ้าหากวิชัยขะยั้นขะยอจนคุณนายชื่นต้องฟังคำปฏิเสธจากปากชัดโดยตรงเสียแล้ว ภายหลังที่ไหนเลย ชัดจะกล้ากลับคำการก็เป็นไปคล้ายกับว่าความหวังของคุณนายถูกทำลายลงโดยน้ำมือวิชัยนั่นเอง

๒ พี่น้องต่างหมกมุ่นอยู่ในความคิดของตน จึงต่างฝ่ายต่างนิ่งเงียบอยู่ ต่อมาอีกในไม่ช้าก็พอรถแล่นมาถึงที่หมาย

เลี้ยวเข้าในประตูไม้สีน้ำตาลเข้ม แล่นต่อมาจนถึงหน้าตึกใหญ่ วิชัยก็มองเห็นเจ้าของบ้านยืนอยู่ในที่นั้นทั้ง ๒ คน

หลวงธุรกิจ ฯ ลงบันไดมารับ พลางพูดด้วยน้ำเสียงแสดงความยินดี

“ผมกำลังพูดถึงคุณพระอยู่เดี๋ยวนี้ หายไป ๒ หรือ ๓ วัน แม่อุไรเขาบ่นคิดถึง”

พระอรรถคดี ฯ ลงจากรถพร้อมชัด และแนะนำชัดให้รู้จักกับเจ้าของบ้านทั้ง ๒

“ผมได้ยินชื่อคุณเสมอ” หลวงธุรกิจ ฯ กล่าว “เพิ่งได้รู้จักวันนี้เอง ดีใจมาก ขอบคุณที่มาถึงบ้านผมขอให้ถือว่าบ้านนี้เป็นเหมือนบ้านคุณพระอรรถ ฯ หมายความว่าคุณนึกจะมาเมื่อไรไปเมื่อไรก็ได้ทุกเมื่อ เพราะคุณพระกับผม นอกจากจะเป็นเพื่อนร่วมโรงเรียนเดียวกันแล้ว ผมยังถือว่าคุณพระเป็นมิตรที่ดีของผม และออกจะถือว่ามีเกี่ยวดองเป็นญาติข้างเมียด้วย”

เมื่อสามีได้แถลงถ้อยโดยยืดยาวเช่นนี้แล้ว ภรรยาก็เห็นว่าเพียงพอแก่ความต้องการ จนหล่อนไม่จำเป็นจะแถลงอะไรอีก ดังนั้นอุไรจึงเป็นแต่เพียงยิ้มให้แก่ชัดในขณะที่เขาพูดว่า

“ขอบพระเดชพระคุณ โปรดเชื่อในความเป็นมิตรของผมเท่ากับที่เชื่อในพี่ใหญ่ด้วย”

หลวงธุรกิจ ฯ ยิ้มพยักด้วยสีหน้าแสดงความสนิทสนม อุไรพูดขึ้นว่า

“เรากำลังจะลงสนามแบดมินตัน คุณพระดิฉันเห็นจะไม่ต้องชวน แต่คุณชอบเล่นไหมคะ?”

“ยังไม่เคยลองเลย” ชัดตอบพร้อมยิ้มอย่างเก๋ตามปกติที่เขามักยิ้มในเวลาเข้าสมาคม

“อย่างคุณชัดก็ต้องเทนนิส หรือกอล์ฟถูกไหม?” หันไปทางพระอรรถ ฯ “ไม่เหมือนพวกเรานะ พวกเราเอาทุกท่า แต่ไม่ได้ดีสักท่าเดียว”

“เชิญไปทางโน้นเถอะค่ะ ไม่เล่นก็นั่งคุยกันที่สนามสบายกว่าในตึก” พูดแล้วอุไรก็ออกเดินนำหน้า

เมื่อใกล้จะถึงสนาม มองไปเห็นชายหญิงคู่หนึ่งกำลังตีแบดมินตัน วิชัยจึงว่า

ขาสำคัญตั้งต้นประลองฝีมือกันแล้ว แม่จันทรท่าทางแข็งแรงขึ้นมาก”

“ตีดีขึ้นตั้งเยอะ” หลวงธุรกิจ ฯ กล่าว “ยังเสียแต่ไม่ค่อยไว ลูกห่างมือหน่อยก็รับไม่ค่อยทัน”

คนทั้ง ๔ เข้าไปใกล้ ชายหญิงคู่นั้นก็หยุด หันมามองดู ทั้งประณมมือไหว้ พระอรรถคดี ฯ รับพร้อมกับยิ้มอย่างแจ่มใส

“เล่นเสียให้จบเกมซี” หลวงธุรกิจ ฯ ว่า “พวกเราจะนั่งเป็นกรรมการ”

“ไม่ได้นับแต้มครับ ตีกันเล่น ๆ อย่างนั้นเอง” คู่แข่งขันที่เป็นชายรุ่นหนุ่มตอบ

“อ้าว ยังงั้นพวกเราลงมือเถอะ คุณพระ คุณชัดเชิญซีครับ ไม่เคยลองก็ลองเสีย เนียนเอาแร็กเก้ตมาส่งให้

“นี่น้องคุณหลวงค่ะ” อุไรบอก นั่นน้องดิฉันแม่จันทร นี่คุณชัดน้องคุณช้อยยังไงล่ะ”

จันทรย่อตัวลงเล็กน้อยในเวลาที่ประณมมือไหว้ ชัดโค้งตัวในท่าอันงามอย่างน้อยที่น้อยคนจะทำได้เหมาะเจาะเช่นเขา แล้วจันทรเดินออกจากคอร์ตแบดมินตันมานั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง พี่เขยของหล่อนเห็นก็ทักขึ้นทันที

“อ้าว ทำไมมานั่งเสียล่ะ คุณพระเตรียมตัวพร้อมแล้ว แม่อุไรไปซีเธอ ฉันจะนั่งคุยกับชัด”

“ไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอกครับ” ชัดว่า “ผมชอบนั่งดูเพลินดี ถ้าคุณจะอนุญาตให้ผมถือตัวเป็นกันเองกับบ้านนี้ละก็โปรดอย่ากังวลถึงผมเลย”

“เปล่า ไม่ใช่กังวล ผมอยากคุยกับคุณ ให้เขาเล่นกันก่อน แม่อุไรน่ะไปได้ไม่กี่น้ำหรอก ประเดี๋ยวก็ลา”

ผู้ที่จะเข้าเล่นก็เข้ายืนที่ อุไรกับพระอรรถคดี ฯ เป็นคู่กัน แข่งขันกับจันทรผู้ซึ่งมีนายเนียนเป็นคู่ หลวงธุรกิจ ฯ ลากเก้าอี้เข้ามาใกล้ชัด ชวนแขกหน้าใหม่คุยพลางมองดูการเล่นไปพลาง

ในตอนต้น ผู้ดูสังเกตเห็นว่าคู่แข่งขันทั้ง ๒ ฝ่ายมีฝีมือและกำลังพอทัดเทียมกัน แต่ในตอนกลางและตอนสุดท้าย เหตุเพราะเสียงคุยของผู้ดูนั้นดังห่างขึ้นทุกที คู่ของนายเนียนชายตามาทางนอกคอร์ต เป็นบางคราวและทุกคราวหล่อนพบดวงตาคู่หนึ่ง จับจ้องอยู่แต่จำเพาะที่ตัวหล่อน ความรู้สึกไม่ปกติในใจเกิดขึ้นแก่จันทร ขาดความเพ่งเล็งในกีฬาที่ตนเล่นอยู่ จะขยับเขยื้อนก็เฉื่อยชา จนดูท่าที่เงื้อไม้ถือรับลูกนั้นคล้ายกับว่าหล่อนหมดกำลังที่จะตีโต้ตอบไปทีเดียว ฝ่ายเนียนจึงเป็นรองพระอรรถคดี ฯ ถึง ๘ ต่อ ๑๔

ยังขาดอีกแต้มเดียวอุไรจะชนะ นายเนียนเสิฟลูกส่งทางวิชัย พระอรรถคดี ฯ ตีเหยาะมาตรงหน้าตาข่าย จันทรเงื้อแร็กเก้ตรับ แต่รับพลาด ลูกตกลงโคนไม้ลูกเสิฟของเนียนจึงเสียไปเปล่า

“วันนี้แม่จันทรอ่อนไปมาก” หลวงธุรกิจ ฯ เอ่ยขึ้น “หมดกำลังเสียตั้งแต่ตีเล่นกับตาเนียนแล้วกระมัง?”

เวลานั้นถึงคราวจันทรจะต้องเสิฟ ลูกขนไก่อยู่ในมือซ้าย จันทรเงื้อแร็กเก้ตที่ถืออยู่ในมือขวา เมื่อสุดคำพูดของพี่เขยหล่อนอดใจจะไม่ชำเลืองไปนอกคอร์ตหาได้ไม่ แลไปเพียงแวบเดียว พอสบสายตาชัดอย่างถนัดถนี่ลำข้อจันทรก็อ่อนเพลีย เสิฟลูกไม่ข้ามพ้นตาข่ายไปได้ !

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ