ในวันเดียวกันนี้พระอาทิตย์ลับไปนานแล้วจนมองเห็นดวงดาวลอยเด่นอยู่กลางฟ้า หลวงอรรถคดี ฯ ยังนอนอ่านหนังสืออย่างเพลิดเพลิน เสียงแตรไฟฟ้าดังมาจากหน้าบ้าน ๒ ครั้งติด ๆ กัน ผ่านโสตประสาทของเขาไปแต่เพียงแว่ว ๆ ครั้งที่ ๓ ที่ ๔ ดังขึ้นกว่าเก่ามาก วิชัยเริ่มขยับตัวและเริ่มนึกสงสัยว่า ใครหนอมาทำเสียงเป็นที่รบกวนน่าขัดใจเช่นนี้ ครั้งที่ ๕ ที่ ๖ ออกจะเป็นเสียงกระชากทำให้เขาเอะใจ วางหนังสือลง สายตามองไปที่ปฏิทินข้างฝา เกิดนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เป็นวันอาทิตย์ “ดูเหมือนนัดอะไรกับใครไว้” เขานึก ครั้นแล้วในทันใดนั้นเองเขาก็ผลุดลุกจากเก้าอี้ โยนหนังสือลงไว้บนโต๊ะใกล้มือ พอเสียงแตรดังขึ้นอย่างถี่และกระแทก ผู้พิพากษาหนุ่มฉวยผ้าม่วงที่ผลัดไว้เมื่อตอนบ่ายมาพันตัวสวมด้วยเสื้อนอกได้แขนหนึ่ง ฉวยถุงรองเท้าได้ก็วิ่งตื้อลงจากบันไดเรือนไปโดยเร็ว

“ลืมไปว่าวันนี้เป็นวันอาทิตย์” วิชัยพูดทั้งกำลังหอบและหัวเราะ “ขอโทษที ขอโทษมาก ๆ กันลืมจริง ๆ”

“บ้าระยำ !” หลวงศักดิ์รณชิตพูดในคอ ทำตาเขียว มองดูเพื่อนเสียก่อนแล้วจึงออกรถ และเสริมต่อว่า “อีกหน่อยมันคงลืมกินข้าว”

สหายของเขาหัวเราะอีกเป็นเชิงรับผิด ครั้นแล้วก็ถามว่า

“ก็แกทำไมไม่เอารถเข้าไปในบ้าน? เสียเวลาบีบแตรเป็นนาน

“ใครจะเข้าไป ! ขี้เกียจฟังแม่ยายบ่นหนวกหู”

“ยายช่วงปากไม่อยู่สุขแล้วซี?”

“เฮ้ยไม่บอกอั๊วก็รู้ อีบ่นเสมอ เฮ้ยนั่นทำะไรก้ม ๆ เงย ๆ ไม่รู้จักแล้ว”

“กันใส่ถุงตีน เออ ไอ้รถของแกนี่มันรถอะไรนะ”

“แล้วกัน นี่แกจำข้าหลวงเดิมไม่ได้หรือ?”

“ข้าหลวงเดิม ! ไอ้ฟอร์ดแก่ของแกน่ะรึ มิน่าล่ะ!”

“ทำไม? มันก็ยังใช้การได้ดีอยู่นี่นา เครื่องก็ไม่ดังนักไม่ใช่หรือ”

“ไม่ดังนัก” วิชัยตอบพลางกลั้นหัวเราะ เพราะในขณะนั้นเอง มีรถกุดังใหญ่และคร่ำครึคันหนึ่ง แล่นเฉียดรถคันที่เขานั่งไป และเป็นเพราะความ “ไม่ดังนัก” ของ *ข้าหลวงเดิม” วิชัยจึงไม่ได้ยินเสียงรถโกดัง ดังที่กล่าวมาเลย !”

เมื่อหลวงอรรถคดีวิชัยสวมถุงเท้า รองเท้า และขัดดุมเสื้อเรียบร้อยแล้ว หลวงศักดิ์รณชิต ฯ เอ่ยขึ้นว่า

“เมียอั๊ว เขาสั่งให้เตือนแกอย่าลืมเรื่องผ้านุ่งของเขา เขาตั้งใจจะไปเตือนตั้งแต่เมื่อวานแล้วมัวพูดนั่นนี่เลยลืมฉิบ?”

วิชัยมีอาการงงขึ้นทันที ถามว่า

“ผ้านุ่งอะไรแฮะ กันนึกไม่ออกเลย”

“ผ้าสงขลาน่ะซี ฝากแกซื้อไม่ใช่หรือ?”

อีกฝ่ายหนึ่งหัวเราะแล้วว่า

“ฝากซื้อ ! พวกนี้เอะอะอะไรก็ฝากซื้อ ไอ้เราก็ซื้อมาฝากทุกที ไม่เห็นใช้เงินให้เราสักทีเดียว”

“เอาเปรียบเท่านั้นเสียเอง” หลวงศักดิ์ ฯ กล่าว “เมื่อวานซืนนี้เองกันได้ยินพวกเขาพูดถึงผ้านุ่งที่ฝากแกซื้อ ไปนึกถึงพลอยจันทบูร เมียอั๊วใส่ป๋ออยู่ทุกวัน ถามว่าใช้เงินแกหรือยัง เพราะกันเคยเตือนเขาหลายหนแล้ว ก็ได้รับคำตอบว่ายังอยู่นั่นเอง ว่าเข้าเขาก็เถียงว่า “เขาเคยขอกันกินมากกว่านี้อีก” กันเลยหมดเสียง”

วิชัยหัวเราะอย่างขัน แล้วว่า

“พรุ่งนี้ต้องไม่ลืมโทรเลขไปสงขลา ถ้าไม่ได้เจ้าผ้าพื้นกุลีนี้มา เห็นจะไม่ได้รับความสงบแน่ พบแม่พวกนี้ทีไรเป็นบ่นเรื่องลืมผ้านุ่งทุกที เมื่อวานไปบ้านยายชด ยายชดบ่น วันนี้ไปบ้านยายชิด ยายชิดบ่น ข้างยายช้อยไม่ยุ่งเรื่องผ้านุ่ง ก็รบจะเอากุ้งไม้ให้พ่อสมาน ค่ำวันนี้ยายช่วงส่งทูตมาเตือนอีกแล้ว”

“แล้วแม่ยายอั๊วล่ะ บ่นกับเขาด้วยหรือเปล่า”

“ไม่ได้บ่น เพราะท่านไม่ได้สั่งให้ซื้อ กันนึกซื้อให้ท่านเอง”

“แม่ยายอั๊วเวลานี้เห็นจะบ่นอยู่เรื่องเดียว คือเรื่องอั๊วจองหองเลวต่าง ๆ หาว่ากันไม่เยี่ยมกราย พิโธ่ ! เมื่อคืนวานนี้เองไม่ใช่หรือกันยังจำได้ ไปนั่งคุยอยู่กับแกเป็นนาน”

“คืนนั้นนับไม่ได้ เพราะแกไปส่งกัน ไม่ได้ตั้งไจไปหาท่าน” วิชัยขัดเพื่อสนุกมากกว่าอย่างอื่น

“ก่อนนั้นก็ไป เมื่อวานซืนนี้เอง”

“วานซืนของแกน่ะ วานซืนยายแก่เสียละกระมัง”

“วานซืนแท้ ๆ ซี ก่อนแกมา ๒ วันไม่นับวานซืนหรือ?”

“นั่นแสดงว่า แกเป็นเขยรักของท่านมากกว่าเขยอื่น” พูดพลางวิชัยหัวเราะ

“ขอบใจ !” หลวงศักดิ์ ฯ ตอบ ครั้นแล้วก็สารภาพ “กันไปเพราะมีธุระจะต้องผ่านทางนั้น เมียเขาใช้ให้แวะเอาขนมหม้อแกงถั่วให้แม่เขาด้วย กันก็เลยนั่งพูดอยู่กับอี ๒-๓ นาที แต่ว่าก่อนนั้นบางที ๓-๔ เดือนกันไม่ไปหาเลย”

อันการที่นางศรีวิชัยกับหลวงศักดิ์ ฯ เข้าใกล้กันไม่ได้ เปรียบเหมือนขมิ้นกับปูนนั้น ผู้ที่รู้จักนิสัยของบุคคลคู่นี้ดีเช่นวิชัย ย่อมไม่เห็นเป็นข้อแปลกประหลาด ดังนั้นบุตรชายใหญ่ของนางศรีวิชัยจึงพูดเรื่อย ๆ

“ไอ้แกมันก็เหลือเกิน ผู้หลักผู้ใหญ่ไม่ลดละให้บ้าง ท่านได้ทำอะไรให้แกขวางอีกมากหรือ?”

หลวงศักดิ์ ฯ หันมองดูเพื่อน สบตากันยิ้มด้วยกันทั้งคู่ แล้วฝ่ายผู้เป็นทหารตอบว่า

“อันที่จริงอีก็ไม่ได้ทำอะไรนักหรอก เป็นแต่กันรำคาญ อีชอบทำอะไรที่มัน....มันแปลก ๆ”

“ไอ้ที่แปลกนั่นใช่ไหมล่ะที่แกขวาง ทำไมถึงจะต้องเปลี่ยนคำพูดของกันเสียด้วย?”

“ไม่ใช่ ! คือว่าอั๊วไม่ขวางมาก ขวางนิด ๆ เท่านั้นนี่ อย่างเมื่อคราวนั้น อั๊วพาหลานไปหา นั่งพูดกันอยู่ดี ๆ ประเดี๋ยวอีเกิดพีมขึ้นมาแล้วว่าเราขี้เหนียวหาทองผูกบั้นเอวให้ลูกสัก ๒ บาทก็ไม่ได้ ค่าที่ตาตุ๊ไม่มีสายสร้อยผูกบั้นเอว อีหาว่าหลานอีไม่มีเอวไม่มีไหล่ “ไอ้....่า ! ก็เด็กอายุ ๓ ขวบ แล้วก็อ้วนปานนั้นมันจะเอาเอวเอาไหล่ที่ไหนมา ลงปลายอีจัดแจงเอาเชือกบ้าอะไรไม่รู้มาควั่นผูกเอวให้ลูกอั๊ว”

“แล้วแกก็ตัดมันออกเสียทันทีที่กลับมาถึงบ้าน ถ้าแกไม่ห่ามพอที่จะตัดออกต่อหน้าท่าน”

“ดีว่าอั๊วไม่มีมีดอยู่ใกล้มือน่ะซี”

“ก็เหมาะกันพอดีแล้วนี่นา”

หลวงศักดิ์ ฯ ไม่แสดงว่าเอาใจใส่ในคำพูดนั้น บรรยายต่อไปอีก

“จะกล่าวถึงยายนิด อียายนิดผอมเพราะให้กินแต่ข้าวตุ๋นบด ไม่อยู่ท้อง เมียอั๊วก็สำคัญ เย็นนั้นจัดแจงให้ลูกกินข้าวสวยเม็ด ๆ ไอ้....่า ! ก็เด็กขวบเดียวมันจะทนทานที่ไหนได้ รุ่งขึ้นอีกวันเลยท้องเฟ้อต้องวิ่งตามหมอกันแทบตาย....ไอ้บ้า ! หัวยุ่งเหมือนกับอะไร หวีเสียเถอะน่า”

“แกน่ะแหละไอ้บ้า ขับรถเป็นพายุบุแคม ผมที่ไหนมันจะเรียบอยู่ได้ แกลองถอดหมวกออกดูทีหรือ?

“ก็นัดกับเขาไว้ ๑๙ น. ไม่เร็วมันจะได้ต่าตาย ไอ้....่า ! นัดกันเมื่อวานนี้แหละ ถึงวันนี้ลืมเสียแล้ว !”

“แล้วแกน่ะยังภาวนาถึง “ห่า” อยู่อย่างนี้เสมอหรือ?”

“แน่ละ” หลวงศักดิ์ ฯ รับหน้าตาเฉย “เมียอั๊วเขาบอกว่าวันหนึ่งมันจะจิกตาย”

“หวังว่ายังไม่ใช่คืนวันนี้นะ เมื่อแกไปดูการทหารต่างประเทศก็คงเชิญเอาตัวไอ้นี่ ไปเที่ยวใส่หน้าพวกนั้นด้วยซี”

“โอ๊ยใส่มันทุกคนเลย แต่มันไม่เข้าใจ เออพูดถึงเมืองญี่ปุ่น มีเรื่องแม่ยายอีกแล้ว ต้นขจรของอั๊วปลูกไว้ข้างหน้าต่างหัวนอน เมื่อกันไปมันกำลังขึ้นง้ามงามกันไปเสีย ๙ เดือน คิดว่ากลับมาจะได้เห็นขจรขึ้นเกือบเต็มซุ้ม เปลำ แม่ยายสั่งให้เมียอั๊วตัดเสียเตียนยอ อีว่ามันอยู่ใกล้หน้าต่างแล้วมันเป็นต้นไม้เลื้อยงูมันชอบอยู่ เดี๋ยวมันจะกัดลูกอีตาย”

“แหม ! ไอ้เรื่องนี้มันโบราณเต็มที กันเคยฟังสัก ๑๐๐ หนแล้ว ต้องแจกนมกระป๋องเล็กละแก เอาเรื่องใหม่ ๆ เถอะน่า”

หลวงศักดิ์รณชิตนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงว่า

“เรื่องใหม่ที่สุดหรือ? หมู่นี้อีกำลังจ้ำจี้จ้ำไชจะให้อั๊วไปเลียพระยารานรอน”

“ก็ลุงของแกเอง”

“ลุงแล็งที่ไหน ห่างกันตั้งโยชน์ พ่อเขากับพ่อของกันเป็นลูกพี่ลูกน้องกันเท่านั้น เกลียดหน้ายายเมียจะตายห่า มักได้ไม่มีใครสู้ กันไม่คบคนพรรค์นั้นเป็นอันขาด”

“เอ ! กันเห็นคุณหญิงนั่นสนิทสนมกับเมียแกมาก เขาไปพบกันที่บ้านกันเมื่อวานนี้เอง”

“เขารู้จักกัน ครั้งแรกเมื่อนายแม่ให้กันพาเมียไปไหว้พระยารานรอน แล้วทีหลังก็ไปพบกันตามโรงละครแล้วก็ตามบ่อนไพ่ เลยสนิทสนมกันจนลามไปถึงแม่ยายด้วย”

“มีลูกสาวหลายคนไม่ใช่หรือ?”

“มีนับไม่ถ้วน ตั้งราคาไว้สูงลิบจนไม่มีใครกล้าเขาไปจด”

“แต่กันคิดว่าคุณแม่กันกำลังจะจดอยู่”

หลวงศักดิ์ ฯ สะดุ้งเหมือนถูกไฟจี้ “จะขอให้แกหรือ?” เขาถามเร็วปรื๋อ “ตายห่า ! อย่าลืมเทียวนา อย่างแกงี้ไม่พอมือแม่หรอก”

“ทำไม?” วิชัยถามอย่างทึ่งที่สุดพร้อมกับหัวเราะ “เขาจะทำอะไรกับฉัน?”

“บีบขม่อมแกน่ะซี แต่ผัวของแม่ ๆ ยังบีบเสียกระดิกไม่ไหว แกอย่าทะลึ่งเอามือไปซุกหีบนา ทีหลังมาบ่นให้อั๊วฟังละได้ถูกเตะเลย”

“เปล่าน่า ไม่ใช่กัน ตาชัด”

“อ๋อ....อ้อ ! นี่เป็นความรู้ใหม่ มิน่าล่ะ ! เมื่อแรกอั๊วคิดว่าอีตั้งอกตั้งใจให้กันไปเลียเขา เพราะจะให้กันได้ ตาพระยารานรอนแกมีอิทธิพลในหมู่ทหารชั้นผู้ใหญ่มากเพราะทางราชการแกไม่เลว ที่แท้อีหวังประโยชน์ของอีด้วย แม่เมียกันก็สำคัญไม่บอกให้รู้เลย แต่กันสงสัยจริงว่าจะได้เขาหรือ ถ้าอย่างแกละก็ว่าไม่ได้เพราะแกออกจะมีสตางค์ ถึงจะไม่มีนับหมื่นเหมือนเขา ก็พอมีกองทุนกองสินไม่น้อยเกินไป อย่างตาชัดเท่ากะมีแต่ตัว ยายคุณหญิงมะยมแกจะให้ลูกสาวของแกหรือ?”

วิชัยหัวเราะก้ากใหญ่ “ชื่อสำคัญจริงนะ” เขากล่าว “ดูเหมือนตัวก็เหมาะกับชื่อเสียด้วย”

“ฮี่ เหมาะนะ” หลวงศักดิ์ ฯ รับ “แต่กันยังสงสัยเรื่องตาชัดยังไม่หาย ยายมะยมแกรู้ตัวไหมว่าแม่ยายอั๊วอีเคลมลูกสาวแก”

“ยิ่งกว่ารู้ กันเข้าใจว่าเขาเกือบจะเอาลูกสาวใส่ถาดมาวางให้พ่อชัดทีเดียว”

“ยังงั้นเทียวหรือ? อืม ! หรือแม่ยายอีมีกลเม็ดดียังไง อันที่จริงอีเป็นคนฉลาดมากนะ ปากหวานเป็นที่หนึ่ง เวลาอีต้องการจะหวาน....เฮ้ย ! ไอ้ห....่า ! ประเดี๋ยวพ่อชนสะบั้นเลย!”

รถลากที่จอดอยู่ริมบาทวิถีหน้าร้านอาหารจีน ถูกเจ้าของพาวิ่งไปโดยเร็ว แล้วฟอร์ดก็หยุดกึกลงที่ตรงนั้น

“เจ้าโชติยังไม่มารึ?” หลวงศักดิ์รณชิตถามทันทีที่ได้ก้าวลงจากรถ

แต่คำถามนั้นสูญเปล่าไปในอากาศ ไม่มีผู้ใดเอาใจใส่ที่จะตอบหรือแม้แต่จะฟัง ด้วยบุรุษ ๓ นายที่อยู่ในร้านนั้น ต่างตรงเข้าห้อมล้อมผู้พิพากษาหนุ่มอย่างดีเนื้อดีใจ สำแดงความสนิทสนมเป็นอย่างยิ่ง หลวงศักดิ์ ฯ ยกมือเกาศีรษะอย่างรำคาญ แล้วก็เลี่ยงไปพูดเรื่องอาหารเสียกับจีนคนหนึ่ง

เมื่อได้ทักทายกันเป็นที่พอใจแล้ว หลวงหาญผจญศึก บุรุษคนหนึ่งในจำนวน ๓ คน จึงเหลียวหาหลวงศักดิ์ ฯ แล้วเตือนขึ้นว่า

“แกสั่งกับข้าวแล้วหรือยัง อั๊วหิวเต็มทีแล้ว”

“ก็เจ้าโชติมันยังไม่มาเลย” หลวงศักดิ์ ฯ ตอบ มัวไปโอ้เอ้ที่ไหนไม่รู้

“ใครว่าเจ้าโชติยังไม่มา” เสียงค้านมาจากที่สูง พร้อมกับเจ้าของเสียงลงมาจากชั้นบน “กันมาถึงเสียเป็นนานแล้ว ก่อนพวกแกทุกคน”

“มาแล้วต้นซุกหัวอยู่ข้างบน ใครจะไปรู้ล่ะ”

“อั๊วมีเพื่อนมาด้วย ๒ คน” นายร้อยเอกโชติบอก

พอได้ยินคำนั้นหลวงศักดิ์ ฯ ก็ชักสีหน้าทันที สหายของเขารีบอธิบายต่อไป

“ช่วยไม่ได้จริง ๆ ว่ะ กันรับเชิญเขาไว้เสียก่อนแล้ว”

“ก็แล้วทำไมถึงทะเล้นมารับเชิญข้าด้วยล่ะ รับเขาแล้วก็ไสหัวไปกินกับเขาซี”

“ก็กันจะต้องไปหัวเมืองพรุ่งนี้เช้า ถ้ากันไม่มาที่นี่ทำไมกันถึงจะได้พบวิชัย ส่วนทางโน้นเขาก็เลี้ยงส่งกัน กันรับเขาไว้แล้ว อย่าโยกโย้ไปหน่อยเลยน่า เขาเป็นคนเรียบร้อยดี น่าคบ”

ความฉุนโกรธไม่มีเหลืออยู่ในสีหน้าหลวงศักดิ์ ฯ แล้ว แต่เขาคงพูดว่า

“ทะลึ่ง เตะเสียละดีละ”

“เอาสัก ๓ ป้าบก็เอาซี” นายร้อยเอกโชติตอบ “ขอแต่แกอย่าไปทำหน้ายักษ์ใส่นายพลเรือน ๒ คนเขาก็แล้วกัน ถ้าขืนทำ อัวไม่เตะละถีบเลย”

“แกจะไปจังหวัดไหนโชติ?” หลวงอรรถคดี ฯ ถาม

“เขาเนรเทศมันไปโคราช” หลวงโจมพลล้านตอบแทน

“อย่าพูดเป็นลางน่ะ” โชติค้าน “หมู่นี้อั๊วยิ่งรวนกับนายเขาอยู่ด้วย” แล้วหันมาอธิบายต่อกับวิชัย “เขาใช้ให้กันเอาปืนใหญ่ไปส่ง แล้วต้องอยู่หัดให้ทหารยิงปืนสัก ๒ หรือ ๓ เดือน”

“อ๋อ โคราชใกล้ ๆ แค่นี้เอง มาเมื่อไหร่ก็มาได้”

“อะไรมาเมื่อไหร่ก็มาได้ ! มันต้องลาเขานี่พ่อ เสียเวลาเดินทางตั้งวันเต็ม ๆ แล้วไอ้รถไฟกับอั๊วน่ะถูกกันนักเมื่อไรล่ะ”

“ขึ้นไปข้างบนกันเถอะ” นายทหารอีก ๒ นาย เตือนขึ้นพร้อมกัน

“นั้นน่ะซี คุยกันข้างบนจะได้กินไปพลาง ไม่มีอะไรก็เม็ดกวยจี้ก่อน”

ไปซี” โชติกล่าวแล้วนำหน้าเพื่อน “เอ๊ะนี่ศักดิ์หายไปไหน ถ้าจะดันไปหาห้องอีกกระมัง” พูดแล้วโชติก็วิ่งขึ้นบันไดโดยเร็ว

จริงอย่างที่ร้อยเอกโชติคาด เมื่อบุรุษทั้ง ๕ นายขึ้นไปถึงชั้นบนก็ได้เห็นหลวงศักดิ์ ฯ ส่งภาษาเอะอะอยู่กับจีน ๒ คน โชติเข้าขวางและพยายามส่งภาษากับหลวงศักดิ์อีกต่อหนึ่ง เสียเวลาหลายนาทีจึงเป็นที่เข้าใจกันได้ และพากันไปยังห้องที่โชติเลือกไว้แล้ว

บุรุษทั้ง ๒ มีโชตินำหน้า หลวงศักดิ์ ฯ อยู่หลังที่สุด เปิดบังตาเดินเรียงหนึ่งเข้าในห้อง เพื่อนของโชติทุกคนค่อนข้างทึ่งอยู่ว่า พลเรือน ๒ นายที่คอยเขาอยู่นั้นจะมีรูปร่างท่าทางเป็นอย่างไร ลึกเข้าไปทางปลายห้องด้านติดต่อกับเฉลียงอันยื่นออกสู่ถนน ชายหนุ่มคนหนึ่งลุกออกจากเก้าอี้เดินมารับ เขาเป็นคนร่างสันทัดผิวเนื้อขาว นุ่งผ้าม่วงสีไข่ไก่ สวมเสื้อแพรถุงเท้า รองเท้าเต็มที่ นายร้อยเอกโชติเรียกเขาว่าคุณสมพงศ์และแนะนำให้รู้จักเพื่อนของตนเป็นเชิงวิงวอน และบังคับกลาย ๆ นายพันตรีก้าวเท้าออกไปข้างหน้าแล้วพูดด้วยเสียงห้าวตามนิสัยว่า

“ผมเป็นเจ้าภาพในงานนี้ มีความยินดีที่คุณมาเป็นเพื่อนกินด้วยอีกคนหนึ่ง ผมหมายถึง ๒ คน อีกคนหนึ่งอยู่ไหนล่ะ จะได้ฟังเสียงพร้อม ๆ กัน ไม่ต้องพูด ๒ หน”

สมพงศ์เหลียวดูทางเบื้องหลัง แล้วเบี่ยงตัวให้ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งยืนบังเงาเขาอยู่ ออกมาข้างหน้า

“นี่ประสิทธิ์น้องชายผม” เขาบอก

“คุณคงเห็นแล้วว่าพวกผมเป็นทหารทั้งนั้น” หลวงศักดิ์ ฯ พูดสืบไป “ตลอดจนท่านผู้นี้” ชี้ที่หลวงอรรถคดี ฯ “ราชทินนามของเขาบอกอยู่โต้ง ๆ ว่าเป็นนักกฎหมาย ก็ได้เคยเป็นทหารเหมือนกัน ฉะนั้นถ้ากิริยาท่าทางของพวกผมโลดโผนไปบ้าง หยาบไปบ้าง หวังว่าคุณจะไม่ตกใจ พวกผมถือว่า “เป็นทหารชาญชัยไม่เหมือนคน”

เสียงหัวเราะหลายเสียงประสานกัน หลวงโจมพลล้านพึมพำอยู่ข้างหลังผู้พูด

“มันเรื่องราวอะไรถึงต้องกล่าวสุนทรพจน์”

“เห็นจะต้องการอวดว่า ถึงทหารไม่เหมือนคน ก็พูดอย่างคนเป็นเหมือนกัน” หลวงเทพเสนารักษ์พูดเบาเช่นเดียวกับสหายของเขา

ในชั่วเวลาไม่ถึง ๕ นาที สมพงศ์เข้ารอยกับสหายทุกคนของโชติได้อย่างสนิทสนม ทั้งปราศรัยไต่ถาม ทั้งติดตลกและหัวเราะเฮฮาไปด้วย แต่ส่วนนายประสิทธิ์ชายหนุ่มรูปร่างผมบางหน้าตาท่าทางบอกความอ่อนแอนั้น มีกิริยาเหมือนหญิงขี้อายคอยหลบเข้าข้างฝาหรือมิฉะนั้นก็หลบเข้าใต้เงาพี่ชายบังตัว ทำให้เป็นที่น่าฉงนว่าเขากับนายร้อยเอกโชติมีการติดต่อกันอย่างไร จึงนับเป็นเพื่อนได้

หลวงศักดิ์ ฯ นำรายชื่ออาหารมาส่งให้หลวงอรรถคดี ฯ พลางกล่าวว่า

“แกเป็นแขกเอกในงานเลี้ยงคืนนี้ เลือกมาจะกินอะไร?”

“อะไรก็ได้ทั้งนั้น” วิชัยตอบ “ให้คนอื่นเลือกเถอะ”

“กันเลือกให้เอาไหมล่ะ?” หลวงโจม ฯ ถาม

“อย่า ๆ” โชติค้าน “อย่าให้หลวงโจมเลือก มันชอบกินแต่ปลิงกับหอยโข่ง อั๊วกินไม่ได้ทั้ง ๒ อย่าง”

“หนอย ! กินไม่ได้ !” หลวงโจม ฯ พูดทันควัน “วิสกี้เข้าไปสัก ๔ ถ้วย ขี้คร้านเจ้าโชติไม่รู้ว่าเนื้อหมากับเนื้อไก่ต่างกันอย่างไร ทำผิวบาง”

“เจ้าโชติเขาไม่ชอบของทะเล เขาชอบของนา” หลวงเทพเสนารักษ์บอก

“อะไร ชอบอะไร?” หลวงโจม ฯ กระชั้นถาม

“จริง จริง !” หลวงศักดิ์ ฯ ว่า “นึกไว้แล้วเขาชอบหนูกับคางคก”

“ปรื๋อ !” หลวงโจม ฯ อุทาน ยกมือกุมคอไว้

หลวงอรรถคดีกับสมพงศ์มองดูกันแล้วยิ้ม ประสิทธิ์ออกจากเงา สมพงศ์เดินไปยืนมองดูกระโถน

“ใครจะกินได้หรือไม่ได้ก็ตาม” หลวงหาญ ฯ เอ่ยขึ้น “ส่วนกันเวลานี้อย่าว่าแต่เนื้อสัตว์ เนื้อคนก็เห็นจะกิน”

“คุณหลวงหาญ ฯ หิวจัดเต็มทีแล้ว” สมพงศ์พูดอย่างปรานี

“หิวตั้งแต่ยังมาไม่ถึง ดูซี” ชี้นิ้วไปยังจานเชิงแบบจีนใส่ขนมและผลไม้ “ผมกินเสียเกลี้ยง”

หลวงศักดิ์ ฯ ฉวยบัญชีอาหารถือออกจากห้องไป

นายทหารคนหนึ่งกล่าวชวนเพื่อนกันให้ “มานั่งดมโต๊ะกันก่อน” แล้วเราก็พร้อมใจกันนั่งรอบโต๊ะ รินวิสกี้โซดาออกแจกกัน สมพงศ์ยังยืนดูเขาเหล่านั้นอยู่ และประสิทธิ์ก็ยังยืนแอบหลังพี่ชายอยู่เช่นเดิม วิชัยเข้าใกล้หนุ่มน้อยผู้นี้แล้วจึงถามว่า

“คุณเป็นข้าราชการกระทรวงไหนครับ?”

ประสิทธิ์สะดุ้งโดยแรง ทำมือขยุกขยิกแล้วอ้าปากแต่ไม่ตอบว่ากระไรสมพงศ์จึงตอบแทน

“ยังไม่ได้ทำงานเลยครับกำลังเรียนกฎหมายอยู่”

“ฮี่ ฮี่ กำลังเรียนกฎหมายอยู่” ประสิทธิ์พูดพลางยิ้มเหย

“เห็นจะจวนสำเร็จแล้วกระมัง?”

“เพียงภาค ๒ เท่านั้น” สมพงศ์ตอบก่อน

“ฮี่ ฮี่ ภาค ๒ ภาค ๒”

“คุณเห็นจะรักวิชากฎหมายมาก” วิชัยถามแสดงความสนใจยิ่งขึ้น

สมพงศ์หัวเราะ “รักวิชากฎหมายมากหรือแก?” เขาถามน้องแล้วจึงหันมาพูดกับวิชัย “ไม่มีใครรู้ว่าประสิทธิ์รักวิชาอะไร บางทีดูเหมือนแกเรียนรู้ง่ายไม่ว่าวิชาไหน บางทีดูเหมือนแกจะเรียนอะไรก็ไม่ได้ทั้งนั้น เป็นอย่างนี้มาแต่เด็ก นี่แกเลือกเรียนกฎหมายเพราะแกเอาอย่างผม” ประโยคสุดท้ายกล่าวด้วยน้ำเสียงแสดงความภาคภูมิใจและขบขัน

“ฮี่ ฮี่ ผม ผม เอาอย่างคุณสมพงศ์”

“อ้อ คุณสมพงศ์เป็นเนติบัณฑิต?” คุณเป็นนักเรียนรุ่นไหน เห็นจะรุ่นหลังผม เราจึงไม่รู้จักกันมาก่อน”

ซึ่งหลวงอรรถคดี ฯ ถามดังนี้ เพราะคะเนอายุตามเค้าหน้าสมพงศ์และคาดว่าคงจะอ่อนกว่าตนหลายปี สมพงศ์หัวเราะแล้วตอบอย่างไว้สง่าว่า

“ผมกลับจากประเทศฝรั่งเศสได้ ๒ ปีกว่า”

เนติบัณฑิตสยามแย้มริมฝีปากหัวเราะแล้ว

“ผมขอโทษ”

“ไม่ใช่ !” สมพงศ์ค้านอย่างอึกอัก “ผมหมายความว่า เราไม่มีโอกาสที่จะได้รู้จักกันก่อนนี้อยู่เอง เพราะต่างคนต่างอยู่กันเสียคนละทวีป แต่ในที่สุดเราก็ได้มาเป็นข้าราชการกระทรวงเดียวกัน” ยกมือขึ้นตบบ่าน้อง “พ่อนี่ก็กำลังพยายามตั้งหน้าจะเรียนให้ได้มาอยู่ร่วมสังกัดเดียวกับเราอีกคนหนึ่ง แต่ยังอีกหลายปีนักแก”

“หลายปี ยังอีกหลายปี ฮี่ ฮี่”

“คุณประสิทธิ์ เห็นจะอายุไล่เลี่ยกับน้องคนสุดท้องของผม” วิชัยกล่าวมองดูหนุ่มน้อยด้วยความสมเพชและกรุณา

“น้องชายคุณหลวงอายุเท่าไร?”

วิชัยตอบพลางคิดพลาง “เขาอ่อนกว่าผมรอบหนึ่งพอดี....”

“โอ๊ย ถ้าเช่นนั้นประสิทธิ์จะอายุเท่าน้องคุณหลวงไม่ได้ ผมคะเนว่าคุณหลวงจะอ่อนกว่าน้องคนที่ ๒ ของผมเสียด้วยซ้ำ”

“ฮี่ ฮี่ แน่ แน่ อ่อนกว่าคุณแสวง”

“คุณอายุเท่าไร คุณประสิทธิ์?”

“อายุเต็มของแกเท่าไร?”

“ฮี่ ฮี่ ผม ผม....”

“๒๓ ใช่ไหมล่ะ วันเกิดแกเพิ่งผ่านมาได้ ๒ เดือน พี่จำได้”

“ค-ับ ค-ับ ๒ เดือน ฮี่ ฮี่ ๒๓”

“ดูเหมือนจะอ่อนเดือนกว่านายชัดของผมด้วยซ้ำไป”

“นายชัด !” สมพงศ์ทวน สีหน้าแสดงความเอาใจใส่มากขึ้นทุกที “นายร้อยตรีชัด วรทบุตต์ ใช่ไหม?”

“ถูกแล้ว คุณรู้จักเขาหรือ”

“รู้จักมากทีเดียว” สมพงศ์ตอบโดยเร็ว “แหมไม่รู้เลยว่าคุณหลวงเป็นพี่ตาชัด ขอจับมือทีเถอะ ผมขอบใจคุณโชติมากที่พาผมมาจนได้รู้จักคุณหลวงวันนี้ ตาชัดคุ้นเคยกับบ้านผมดี เมื่อวันที่คุณหลวงมาจากสงขลา น้องสาวของผมก็มาจากหัวหินด้วยกันกับตาชัด คุณหลวงเห็นแล้วไม่ใช่หรือ?”

“เห็นจะเห็น ถ้าน้องของคุณคือสุภาพสตรีสาวที่ชื่ออนงค์”

“นั่นแหละตัวเขาละ ผมโง่เองที่ไม่เคยถามถึงชื่อคุณหลวง ได้ยินแต่ชัดเขาเรียกพี่....อะไรนะประสิทธิ์ อ้อพี่ใหญ่”

“ฮี่ ฮี่ พี่ใหญ่ พี่ใหญ่”

“คุณหลวงจะพักอยู่กรุงเทพ ฯ นานสักเท่าใด?” สมพงศ์ถาม

“นานเท่าที่ราชการจะยังไม่ส่งผมออกหัวเมืองอีก” วิชัยตอบพร้อมกับยิ้มน้อย ๆ แล้วเบือนหน้ามาทางประสิทธิ์

“คุณอนงค์เป็นน้องคุณเหมือนกันหรือ?”

“เป็นน้อง อนงค์เป็นน้องคนสุดท้องและเป็นน้องหญิงคนเดียวของเรา” ในขณะที่กล่าวคำพูดนี้ น้ำเสียงสมพงศ์แสดงความภูมิใจเท่าเทียมกับเมื่อเขากล่าวว่า ตัวเขาเพิ่งกลับจากต่างประเทศ

“น้องหญิงคนเดียวของเรา ฮี่ฮี่ ของ ของคุณสมพงศ์”

พูดกันอยู่เพียงนี้ ก็พอดีจีนรับใช้ยกอาหารเนื่องกันเข้ามา นายทหารทั้ง ๕ คนจึงร้องเตือนพลเรือนทั้ง ๓ สมพงศ์นั่งลงตรงที่ว่างข้างหลวงโจม ฯ วิชัยแสร้งนั่งลงตรงข้างเขา กันเอาประสิทธิ์มาไว้ทางเบื้องซ้ายของตน หนุ่มน้อยผู้นี้มีกิริยาตื่นเต้นประดุจทารกที่กลัวน้ำถูกผู้ใหญ่บังคับให้ลงคลอง วิชัยเรียกซ้ำเป็น ๓ ทีจึงค่อย ๆ นั่งลงได้

นายร้อยเอกโชตินั่งอยู่ติดกับประสิทธิ์ ขยันเติมวิสกี้โซดาลงในถ้วยและขยันเตือนให้ประสิทธิ์ดื่มไม่ขาดปาก วิชัยเฝ้ามองดูด้วยความทึ่ง ครั้นแล้วก็ประหลาดใจและวิตกแทน เมื่อเห็นหนุ่มน้อยไม่ปฏิเสธแต่สักครั้ง เมื่อน้ำเมาพร่องไปครึ่งถ้วยที่ ๒ สีหน้าประสิทธิก็แดงขึ้น มือที่ขยุกขยิกอยู่เสมอก็ขยุกขยิกห่างลง ไม่ช้าก็มีอาการหัวเราะดังและบางทีก็หลงหัวเราะอยู่คนเดียว

“สุราอันว่าเหล้า” นายร้อยเอกโชติเอ่ยขึ้น “กินค่ำเช้าฆ่าพยาธิ์ตาย”

“ฮี่ ฮี่ ตายหมดไม่เหลือหลอ” ประสิทธิ์พึมพำย่นคอมองดูนายร้อยเอกโชติ

“ต่อไปอีกซี” หลวงโจมพลล้านว่า

“ต่อไม่ได้” โชติลากเสียงตอบ

“จน จน ฮี่ ฮี่ จน”

“ของแกเองหรือ?” หลวงหาญ ฯ ถามเรียบ ๆ ไว

“ไม่ใช่ จำเขามา”

“แล้วกัน แล้วกัน ฮี่ ฮี่ จำเขามา”

“ถ้ายังงั้นกันจะต่อให้ กันจำมาจากเมีย เมียเขาจำมาจากหนังสือพิมพ์รายเดือนเล่มหนึ่ง”

“เขาจำมาสอนแกหรือ?” หลวงเทพเสนารักษ์ถาม

“เปล่า” หลวงหาญ ฯ ตอบเรื่อย ๆ เช่นเดิม “เขาจำมาประชดกัน”

“ฮี่ ฮี่ ประชด ประชด ถูกประชด”

เหลือบตาขึ้นมองดูหน้าประสิทธิ์ สีหน้าหลวงหาญ ฯ สำแดงอาการ “ทนไม่ได้” อย่างเห็นได้ชัด ใช้ตะเกียบเคาะปากชามอยู่ ๒-๓ ครั้งแล้วจึงกล่าวว่า

“สุราอันว่าเหล้า กินค่ำเช้าฆ่าพยาธิ์ตาย ขึ้นสวรรค์ได้ง่ายดาย มีนางฟ้านับหมื่นนับแสน ผู้ใดไม่กินเหล้า ตกนรกทั่วดินแดน ยมบาลจับตีนแขวน พุ่งหัวส่งลงโลกันต์”

“โลกัน ! โลกันต์ ! ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด ฮี่”

ประสิทธิ์ไม่มีเวลาได้ “ฮี่” ให้ครบสอง เพราะเสียงหัวเราะ เสียงปรบมือกลบเสียงเขาแต่ต้นแล้ว วิชัยฉวยโอกาสที่ทุกคนกำลังเฮฮารินน้ำเย็นลงเต็มถ้วยวิสกี้โซดาของตนที่พร่องลงไปแล้วกว่าครึ่ง ยกถ้วยนั้นวางให้ประสิทธิ์ หยิบถ้วยของประสิทธิ์มาวางไว้ตรงหน้าตน

  1. ๑. จากไทยเขษมรีวิว

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ